วันที่ 19 เมษายน 2024

ก.พลังงาน ขู่ ใช้ กฏหมายเข้าควบคุมค่าการตลาดน้ำมันเบนซิน

People Unity News : 22 พฤศจิกายน 2566 กระทรวงพลังงาน ขอความร่วมมือผู้ค้าทุกรายควบคุมค่าการตลาดน้ำมันเบนซินให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อช่วยเหลือประชาชนผู้ใช้น้ำมัน หากไม่ได้รับความร่วมมือ จะประสานกับกระทรวงพาณิชย์ในการใช้มาตรการด้านกฎหมายในการควบคุมค่าการตลาด

นายวัฒนพงษ์  คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน  (สนพ.) กล่าวว่า หลังจากที่มีการร้องเรียนเกี่ยวกับค่าการตลาดน้ำมันเบนซินของผู้ค้าที่สูงกว่าที่กระทรวงพลังงานขอความร่วมมือผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่ให้ปรับลดราคาขายปลีกให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม  ทางกระทรวงฯได้ขอความร่วมมือมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ประชาชน และได้มีการศึกษามาแล้วว่า ถึงแม้ต้นทุนค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นจาก ค่าแรง ค่าเช่า อัตราภาษีที่ดิน ตลอดจนค่าสาธารณูปโภคที่เพิ่มขึ้น ผู้ค้ายังควรต้องรักษาระดับค่าการตลาดให้อยู่ในระดับที่มีความเหมาะสม และเป็นธรรมกับผู้บริโภค

ทั้งนี้ กระทรวงพลังงานได้ติดตามสถานการณ์การปรับขึ้น-ลงค่าการตลาดมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบางช่วงก็อยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 2 บาท แต่ในบางช่วงก็อยู่ในระดับที่สูงกว่า 2 บาท พบว่า ค่าการตลาดน้ำมันเบนซิน มีค่าสูงเกินค่าที่เหมาะมาอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด 4.8 บาทต่อลิตร และ ก.พลังงานได้ขอให้ผู้ค้าให้ความร่วมมือไม่ให้ค่าการตลาดน้ำมันกลุ่มเบนซินในภาพรวมสูงเกินกว่า 2 บาทเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายด้านราคาน้ำมันให้แก่ประชาชน  ซึ่งหากมีความจำเป็นกระทรวงพลังงานจะร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ใช้มาตรการด้านกฎหมายในการเข้ากำกับดูแล

อย่างไรก็ตาม ค่าการตลาดคือ ส่วนที่เป็นต้นทุน ค่าใช้จ่าย และกำไรของธุรกิจค้าปลีกน้ำมันทั้งระบบ ตั้งแต่การจัดการคลังน้ำมัน การขนส่งน้ำมันมายังสถานีบริการ รวมถึงการให้บริการของสถานีบริการที่เติมน้ำมันแต่ละลิตรให้กับประชาชน

“ผมได้ขอให้ผู้ค้าน้ำมันทุกรายควบคุมค่าการตลาดกลุ่มเบนซินให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เป็นธรรมกับทั้งผู้ค้าน้ำมันและประชาชนผู้บริโภค ซึ่งที่ผ่านมา ผู้ค้าน้ำมันจะมีการปรับขึ้น-ลงค่าการตลาดน้ำมันเฉลี่ยทุกชนิด  ในช่วงนี้ ค่าการตลาดสูงเกินไป ถึงแม้ว่า ราคาน้ำมันในตลาดโลกมีความผันผวน แต่อยากให้ผู้ค้าน้ำมันคำนึงถึงประชาชนที่กำลังได้รับความเดือดร้อน ดังนั้น หากยังไม่ได้รับความร่วมมือ อาจจำเป็นต้องประสานกับกระทรวงพาณิชย์ในการใช้มาตรการด้านกฎหมายเข้ากำกับดูแล ทั้งนี้ กระทรวงพลังงานจะสร้างสมดุลด้านราคา โดยเฉพาะค่าการตลาดระหว่างผู้ค้าน้ำมันกับผู้บริโภคให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมและเป็นไปตามข้อกฎหมาย แต่จะคำนึงถึงผลประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ” นายวัฒนพงษ์ กล่าว

Advertisement

สภาพัฒน์ ปรับคาดการณ์จีดีพีปี 66 ขยายตัวร้อยละ 2.5

People Unity News : 20 พฤศจิกายน 2566 สภาพัฒน์ ปรับคาดการณ์จีดีพีปี 66 ขยายตัวร้อยละ 2.5 แรงส่งหนุนปี 67 ขยายตัวร้อยละ 3.5  แนะปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม ขยายตลาดส่งออก สำคัญกว่าการบริโภคในประเทศ ลุ้นกฤษฎีกา พิจารณากู้เงินดิจิทัลวอลเล็ต

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวว่า สภาพัฒน์ ปรับคาดการณ์จีดีพีในปี 66 ขยายตัวร้อยละ 2.5 จากเดิมร้อยละ 2.5-3 นับว่าขยายตัวต่อเนื่องจากร้อยละ 2.6 ในปี 65 คาดอัตราเงินเฟ้อในปีนี้ร้อยละ 1.4 ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ 1.0 อัตราการว่างงานต่ำสุดในรอบ 15 ไตรมาส ทุนสำรองระหว่างประเทศ 2.1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หนี้สาธารณะ ณ ก.ย. 66 ร้อยละ 62.1 ของจีดีพี

สภาพัฒน์ ยอมรับว่า การประเมินจีดีพีในปี 67 ยังไม่คำนวณข้อมูลจากโครงการโอนเงินดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท เพราะต้องรอดูความชัดเจนผลการพิจารณาของกฤษฎีกา จากแผนกู้เงินผ่าน พ.ร.บ. เงินกู้ 5 แสนล้านบาท โดยมองว่า การกระตุ้นเศษฐกิจให้เติบโตยั่งยืนในช่วงนี้ ควรปรับโครงสร้างภาคการผลิตและอุตสาหกรรม การขยายตลาดส่งออก เนื่องจากไทยพึ่งพาจากทั้งสองปัจจัยเป็นหลัก เพราะมองว่าการกระตุ้นการบริโภค ด้วยการใช้เงินดิจิทัลกระตุ้นการใช้จ่าย อาจหมดแรงส่งได้ และการโอนเงินดิจิทัลวอลเล็ต ต้องมีเงินหนุนหลังในจำนวนเท่ากับจำนวนที่ใช้จ่ายออกไป จึงต้องลุ้นว่าจะมีความชัดเจนอย่างไร จึงไม่ได้รวมข้อมูลดังกล่าวในคาดการณ์จีดีพีปี 67

ด้านการท่องเที่ยว มองว่าในช่วงไตรมาส 4 ช่วงไฮซีซั่น คาดว่านักท่องเที่ยวยุโรป จะเข้ามาจำนวนมาก หลังจากมาเลเซีย เป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มหลักเดินทางเข้าไทย แต่จะทำอย่างไรให้นักท่องเที่ยวอาศัยและใช้เงินท่องเที่ยวในประเทศให้มากขึ้น โดยคาดการณ์ว่านักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าไทยในปีนี้ 3 ล้านคน จากเดิม 5 ล้านคน และเพิ่มเป็น 7 ล้านคนในปี 67 โดยมองว่านโยบายแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน ตามที่นายกรัฐมนตรีเตรียมประกาศในช่วงสิ้นเดือนพฤศจิกายนนี้ จะช่วยลดภาระหนี้ครัวเรือนยังสูงถึงร้อยละ 90.7 ของจีดีพี รวมถึงการช่วยเหลือด้านทุนหมุนเวียนให้กับเอสเอ็มอี

ทิศทางเศรษฐกิจในปี 2567 คาดการณ์จีดีพีขยายตัวร้อยละ 3.2 การส่งออกขยายตัวร้อยละ 3.8 จากเดิมลดลงร้อยละ 2.6 ในปี 66 อัตราเงินเฟ้อร้อยละ 1.7-2.7 จึงเสนอให้รัฐบาลมุ่งขยายตลาดเพื่อการส่งออกไปยังประเทศมีศักยภาพ ในวันพรุ่งนี้นายกรัฐมนตรีเรียกประชุมทูตพาณิชย์จากทั่วโลก มองว่าจะเป็นการร่วมหาตลาด เพื่อสร้างรายได้เข้าประเทศเพิ่มขึ้น รวมถึงกรณีนายกรัฐมนตรีโรดโชว์ดึงการลงทุนจากบริษัทยักษ์ใหญ่ในสหรัฐ จะเป็นอีกปัจจัย ส่งเสริมให้การลงทุนจากต่างชาติเพิ่มขึ้น สำนักงบประมาณจัดเตรียมแผนให้หัวหน้าส่วนราชการ จัดเตรียมขั้นตอนจัดซื้อจัดจ้าง เมื่องบประมาณผ่านสภา จะได้ทำสัญญาได้ทันที เริ่มใช้ได้ในช่วงเดือนเมษายนปี 67 จะได้เริ่มเบิกจ่ายงบลงทุน เพื่อเร่งรัดการใช้เงินด้านงบลงทุนให้ได้ตามเป้าหมายร้อยละ 90.4

การเตรียมแผนรองรับปัญหาภัยแล้งจากเอลนิญโญ่ หลังจากหลายหน่วยงานคาดการณ์ ส่งผลกระทบหนักต่อเกษตรกร รัฐบาลยังต้องเตรียมแผนหารายได้เพิ่ม สร้างความมั่นคงทางการคลัง รองรับความเสี่ยงในอนาคต ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ การลดสร้างภาระให้กับกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ด้วยการแนะให้ประชาชนปรับตัวรองรับปัญหาพลังงานปรับสูงขึ้น จีดีพีของไทย หากไม่ทำอะไรเพิ่มเติมจะขยายตัวต่ำกว่าศักยภาพประมาณร้อยละ 3 ดังนั้น จึงต้องเร่งปรับโครงสร้างภาคการผลิต ขยายฐานการส่งออก

สภาพัฒน์ เปิดเผยว่า ตัวเลขจีดีพี ไตรมาส 3 ปี 66 ขยายตัวร้อยละ 1.5 ขยายตัวต่อเนื่องจากไตรมาส 2 เนื่องจากปัจจัยภายในประเทศเป็นหลัก เพราะการบริโภคภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ 8.1 การลงทุนรวมขยายตัวร้อยละ 1.5 เพราะการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวถึงร้อยละ 3.1  ขณะที่การลงทุนภาครัฐเบิกจ่ายงบประมาณล่าช้า จึงหดตัวร้อยละ -2.6 จากปัจจัยจากต่างประเทศ จากการส่งออกหดตัวต่อกัน 4 ไตรมาส จากไตรมาส 4 ปีก่อน จากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ทำให้การผลิตภาคอุตสาหกรรมในประเทศชะลอตัว การบริโภครัฐบาลน้อยหดตัวร้อยละ -4.9 ทำให้ช่วง 9 เดือนแรก จีดีพีขยายตัวเพียงร้อยละ 1.9 นับว่าเศรษฐกิจไทยยังมีแรงส่งฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง

Advertisement

ธอส. จัดทำโครงการบ้าน ธอส. สุขสบาย ปี 2566 ลดดอก ช่วยคนไทยมีบ้านง่ายขึ้น

People Unity News : 14 พฤศจิกายน 2566 ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ขานรับนโยบายรัฐบาล เตรียมกรอบวงเงินรวม 10,000 ล้านบาท จัดทำโครงการบ้าน ธอส. สุขสบาย ปี 2566 สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำ เพื่อช่วยเหลือลูกค้าสินเชื่อบ้านให้มีภาระค่าใช้จ่ายในการผ่อนชำระเงินงวดลดลง สำหรับลูกค้า 2 กลุ่ม ประกอบด้วย 1. ลูกค้าปัจจุบันของ ธอส. ที่มีความประสงค์เปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ โดยธนาคารไม่พิจารณาประวัติการผ่อนชำระหนี้ หรือสถานะในการทำข้อตกลงประนอมหนี้ อัตราดอกเบี้ย 2 ปีแรก เท่ากับ MRR-2.00% ต่อปี (4.90% ต่อปี) และ 2. ลูกค้าใหม่ (รีไฟแนนซ์จากสถาบันการเงินอื่นมายัง ธอส.) อัตราดอกเบี้ย ปีที่ 1 เท่ากับ 3.75% ต่อปี เฉลี่ย 3 ปีแรกเพียง 4% ผู้ที่สนใจสามารถยื่นกู้/ยื่นคำร้อง ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ณ สาขาธนาคารทั่วประเทศ

นายกฤษณ์ เสสะเวช กรรมการธนาคาร และรักษาการกรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ตลอด 70 ปีที่ผ่านมา ธอส. ในฐานะสถาบันการเงินของรัฐ ที่มีพันธกิจ “ทำให้คนไทยมีบ้าน” ได้สนับสนุนให้คนไทยได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองมาแล้วมากกว่า 4.4 ล้านครอบครัว และมีบทบาทในการขับเคลื่อนภาคอสังหาริมทรัพย์ ที่มีผลต่อการเติบโตของภาวะเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันยังดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล ในการช่วยลดค่าครองชีพของลูกค้าประชาชนในการผ่อนชำระเงินงวดในระดับที่เหมาะสม โดยจัดทำสินเชื่อที่อยู่อาศัยอัตราดอกเบี้ยต่ำมาอย่างต่อเนื่อง และเพื่อสานต่อการช่วยเหลือลูกค้าประชาชน ธอส.จึงได้จัดสรรกรอบวงเงินรวม 10,000 ล้านบาท จัดทำ “โครงการบ้าน ธอส. สุขสบาย ปี 2566” สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำ เพื่อช่วยคนไทยให้ได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองได้ง่ายขึ้น ตามนโยบาย นายพชร อนันตศิลป์ ประธานกรรมการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ โดยโครงการดังกล่าวจัดทำสำหรับลูกค้า 2 กลุ่ม ประกอบด้วย

1.สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำสำหรับลูกค้าปัจจุบันของ ธอส. ที่มีความประสงค์เปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ กรอบวงเงิน 5,000 ล้านบาท โดยในวันยื่นคำขอเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ต้องไม่มีหนี้ค้างชำระและผ่อนชำระหนี้เงินกู้กับธนาคารมาแล้วไม่น้อยกว่า 3 ปี นับจากวันทำสัญญาครั้งแรก คิดอัตราดอกเบี้ย ปีที่ 1-2 เท่ากับ MRR-2.00% ต่อปี (4.90% ต่อปี) ปีที่ 3 เท่ากับ MRR-1.00% ต่อปี (5.90% ต่อปี) และปีที่ 4 เป็นต้นไป กรณีลูกค้าสวัสดิการ อัตราดอกเบี้ย MRR-1.00% ต่อปี ลูกค้ารายย่อย อัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี และซื้ออุปกรณ์/ชำระหนี้ เท่ากับ MRR

2.สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำสำหรับลูกค้ากู้ใหม่ ที่ต้องการรีไฟแนนซ์บ้าน หรือห้องชุด(คอนโดมิเนียม) จากสถาบันการเงินอื่น กรอบวงเงิน 5,000 ล้านบาท วงเงินกู้สูงสุดไม่เกิน 5 ล้านบาทต่อหลักประกัน คิดอัตราดอกเบี้ยคงที่ตลอดระยะเวลา 3 ปี ปีที่ 1 เท่ากับ 3.75% ต่อปี ปีที่ 2 เท่ากับ 4.00% ต่อปี ปีที่ 3 เท่ากับ 4.25% ต่อปี ปีที่ 4-5 เท่ากับ MRR-2.00% ต่อปี (4.90% ต่อปี) ปีที่ 6-7 เท่ากับ MRR-1.50% ต่อปี (5.40% ต่อปี) และปีที่ 8 เป็นต้นไป กรณีลูกค้าสวัสดิการ อัตราดอกเบี้ย MRR-1.50% ต่อปี ลูกค้ารายย่อย อัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี และกรณีกู้ชำระหนี้ = MRR (ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MRR ธอส. เท่ากับ 6.90% ต่อปี) กรณีกู้ 1 ล้านบาท ผ่อนชำระเริ่มต้นเพียง 4,400 บาท/เดือนเท่านั้น พิเศษ!! ยกเว้นค่าประเมินราคาหลักประกัน และค่าธรรมเนียมจดทะเบียนการจำนอง

ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสามารถยื่นกู้/ยื่นคำร้อง ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป และทำนิติกรรมภายในวันที่ 28 มิถุนายน 2567 ณ สาขาธนาคารทั่วประเทศ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธอส.ทุกสาขาทั่วประเทศ G H Bank  Call Center โทร.0-2645-9000 หรือ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และติดตามข่าวสารของธนาคารได้ที่ Mobile Application : GHB  ALLGEN และ  www.ghbank.co.th

Advertisement

ออมสิน ทำโครงการ “ตลาดออมสินรวมใจ” สร้างต้นแบบตลาดเพื่อเศรษฐกิจดี ชีวิตดี สังคมยั่งยืน

People Unity News : 11 พฤศจิกายน 2566 ออมสิน ทำโครงการยกระดับตลาดแบบองค์รวม “ตลาดออมสินรวมใจ” นำร่อง 18 แห่งทั่วประเทศ สร้างต้นแบบตลาดเพื่อเศรษฐกิจดี ชีวิตดี สังคมยั่งยืน

นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารได้จัดทำโครงการยกระดับตลาดแบบองค์รวม (Holistic Market Project) ภายใต้ชื่อ “ตลาดออมสินรวมใจ” ต่อยอดแนวคิดงานพัฒนาชุมชนแบบองค์รวม หรือ Holistic Area-Based Development ตั้งเป้าช่วยแก้ไขปัญหาหนี้และเป็นแหล่งเงินทุนแก่ผู้ขายในตลาดสดของชุมชน ล่าสุดได้ลงพื้นที่ตลาดเจดีย์แม่ครัว อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ 1 ใน 18 ตลาดของโครงการฯ เพื่อติดตามความคืบหน้างาน รวมถึงร่วมประชุมประเมินปัญหา-อุปสรรค และกำหนดปัจจัยความสำเร็จของตลาดแต่ละแห่งที่เข้าร่วมโครงการ ณ ห้องประชุมคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จ.เชียงใหม่

โครงการยกระดับตลาดแบบองค์รวม หรือ Holistic Market Project เป็นความร่วมมือของธนาคารออมสิน กับเจ้าของตลาด และหน่วยงานภาครัฐภาคเอกชน ที่ได้ร่วมกันคัดเลือกตลาดเอกชนและตลาดเทศบาล นำร่อง 18 แห่งทั่วประเทศ เพื่อช่วยเหลือกลุ่มผู้ประกอบการในตลาด ได้แก่ พ่อค้า แม่ค้า หาบเร่ แผงลอย และผู้ประกอบการรายย่อย ให้มีความเข้มแข็ง มีรายได้และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ขณะเดียวกันสามารถเข้าถึงแหล่งเงินในระบบด้วยเงื่อนไขที่เป็นธรรม หลุดพ้นจากการเป็นหนี้นอกระบบ ด้วยการเข้าไปช่วยเหลือให้ความรู้ ให้คำปรึกษาแก่พ่อค้าแม่ค้า หรือผู้ค้าขายในตลาดผ่านการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ครอบคลุมการพัฒนาใน 7 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านการแก้ไขปัญหาหนี้สิน ด้วยการให้ความรู้และคำปรึกษาเรื่องการแก้ไขหนี้ในระบบ/นอกระบบ การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ และแนวทางการป้องกันการเกิดหนี้ 2) การส่งเสริมการออม เพื่อสร้างวินัยการออม 3) การเข้าถึงแหล่งเงินทุนหรือสินเชื่อด้วยอัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขที่เป็นธรรม ไม่พึ่งพิงหนี้นอกระบบ 4) ให้ความรู้ทางการเงิน Financial Literacy การบริหารการเงิน และวางแผนการออม 5) สนับสนุนให้มีอาชีพที่ 2 เป็นอาชีพเสริม และเพิ่มทักษะเฉพาะด้านที่มีความจำเป็น 6) ให้ความรู้ในการเพิ่มช่องทางการขาย/การตลาด ผ่านช่องทางออนไลน์ และ 7) สนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานในการค้าขาย ทั้งการ Re-Branding ตลาด ปรับปรุงสถานที่ ร้านค้า ป้ายบอกโซนค้าขาย และสภาพแวดล้อมในตลาด เป็นต้น ซึ่งขณะนี้ อยู่ในขั้นตอนการติดตามความคืบหน้าและประเมินผลความสำเร็จของการดำเนินโครงการฯ ทั้ง 18 ตลาด ได้แก่ ตลาดนัดจตุจักร จ.กรุงเทพฯ ตลาดน้ำดอนหวาย จ.นครปฐม ตลาดเจดีย์แม่ครัว จ.เชียงใหม่ ตลาดสดเทศบาลวารินชำราบ จ.อุบลราชธานี ตลาดเทศบาลเมืองสะเดา จ.สงขลา และ ตลาดสดเจ้าพระยา จ.ชลบุรี

Advertisement

น้ำตาลทรายจ่อปรับขึ้น หลังทบทวนหลายสาเหตุ พบกระทบต้นทุนจริง

People Unity News : 11 พฤศจิกายน 2566 คณะทำงานแก้ปัญหาชาวไร่อ้อย ได้ข้อสรุปแก้ไขปัญหาต้นทุนอ้อยและน้ำตาลทราย เตรียมเสนอให้ ครม.เคาะราคาน้ำตาลทรายขึ้นสัปดาห์หน้า แต่ยังไม่ยกเลิกให้น้ำตาลทรายอยู่ในบัญชีสินค้าควบคุม หวั่นกักตุนเอาเปรียบผู้บริโภค

นายยรรยง พวงราช ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะทำงานบริหารความสมดุลในอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาล เปิดเผยว่าที่ประชุมได้ข้อสรุปร่วมกันในการแก้ปัญหาน้ำตาลทราย โดยจะมีการปรับขึ้นราคาน้ำตาลทรายหน้าโรงงาน และราคาจำหน่ายปลีกซึ่งเป็นราคาที่เป็นธรรมและทุกฝ่ายยอมรับได้ โดยจะยังคงน้ำตาลทรายอยู่ในบัญชีสินค้าควบคุมตามเดิม

ส่วนจะปรับขึ้นราคาเท่าไหร่ยังไม่สามารถเปิดเผยตัวเลขได้ เนื่องจากจะต้องผ่านการพิจารณาอีกหลายขั้นตอน โดยจะต้องนำเสนอผลสรุปให้นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์พิจารณา และนำเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติในวันที่ 14 พ.ย.2566

อย่างไรก็ตาม การปรับขึ้นราคาน้ำตาลทรายครั้งนี้ เชื่อว่าไม่น่าจะเป็นเหตุผลให้ผู้ผลิตสินค้ายื่นขอปรับขึ้นราคา ซึ่งที่ผ่านมากระทรวงพาณิชย์พยายามดูแลปัญหาเงินเฟ้อ ไม่ให้การปรับราคาน้ำตาลทรายกระทบต่อราคาสินค้า เนื่องจากเป็นต้นทุนวัตถุดิบในการผลิตสินค้าหลายรายการ เช่น อาหาร และยารักษาโรค

นอกจากนี้ ในระหว่างที่ยังไม่มีการปรับขึ้นราคาจำหน่ายน้ำตาลทราย คณะทำงานฯ ได้มีข้อเสนอแนะไปยังรัฐบาลว่ากรมการค้าภายใน และสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย หรือ สอน.จะต้องช่วยกับดูแลไม่ให้เกิดปัญหาการกักตุนน้ำตาลทรายก่อนการปรับขึ้นราคา รวมทั้งให้มีการประสานงานกันอย่างใกล้ชิดมากขึ้นหากจะมีการปรับเปลี่ยนราคาน้ำตาลทรายเพื่อไม่ให้เกิดปัญหา เนื่องจากราคาน้ำตาลในตลาดโลกไม่คงที่มีความผัวผวนต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม ในประเด็นเกี่ยวกับข้อเสนอการปรับขึ้นราคาน้ำตาลทราย 2 บาท เพื่อเก็บเงินเข้ากองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย เพื่อนำไปจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ปลูกอ้อยที่ตัดอ้อยสดส่งเข้าโรงงานน้ำตาลตามนโยบายลดฝุ่น PM 2.5 นั้น ขอให้รัฐบาลไปพิจารณางบประมาณในส่วนอื่นเพื่อบริหารจัดการเรื่องมลพิษ ไม่ควรผลักภาระมาให้กับผู้บริโภค

แหล่งข่าวคณะทำงานบริหารความสมดุลในอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลเปิดเผยว่าที่ประชุมได้ข้อสรุปร่วมกันให้มีการปรับขึ้นราคาน้ำตาลทรายหน้าโรงงาน กิโลกรัมละ2 บาท โดยน้ำตาลทรายขาว ปรับขึ้นเป็นเป็น ก.ก.ละ 21 บาท และน้ำทรายขาวบริสุทธิ์ ปรับขึ้นเป็น ก.ก.ละ 22บาท โดยคาดว่าราคาใหม่จะมีผลบังคับทันทีภายหลังผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี

นายกำธร กิตติโชติทรัพย์ นายกสมาคมกลุ่มชาวไร่อ้อยเขต 7 เปิดเผยว่า ราคาที่ชาวไร่อ้อยพอใจคือ กิโลกรัมละ 4-5 บาท แต่ก็ต้องคุยในรายละเอียดในที่ประชุมอีกครั้ง เพราะที่ประชุมวันนี้ยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องตัวเลข แต่ถ้าได้ราคาที่ 2 บาท ชาวไร่อ้อยยังไม่มีคำตอบเพราะถ้าถามว่าอยากได้ราคาเท่าไร่ชาวไร่อ้อยถึงจะพอใจ คือ 4-5 บาท อย่าเอาราคาน้ำตาลโลกมาเป็นตัวชี้วัดของชาวไร่อ้อยในการขอขึ้นราคาเพราะไม่ใช่ประเด็นแต่ที่ชาวไร่อ้อยอยู่ไม่ได้คือ ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นทุกปี ต้องบอกว่าทุกวันนี้คนไทยบริโภคน้ำตาลถูกที่สุดในโลก ถ้าพวกเราชาวไร่อ้อยเลิกทำ เชื่อว่าคนไทยจะกินน้ำตาลทรายกิโลกรัมละ 100 บาทแน่นอน การประชุมวันนี้ยังไม่ได้คำตอบ100% ว่าจะปรับราคาได้มากน้อยแค่ไหน

Advertisement

กระทรวงพลังงานลดราคาน้ำมันเบนซินทุกประเภทลง เริ่ม 7 พ.ย.นี้

People Unity News : 3 พฤศจิกายน 2566 กระทรวงพลังงานลดราคาน้ำมันเบนซินทุกประเภท เริ่ม 7 พ.ย.นี้ ย้ำควรเติมน้ำมันตามประเภทที่คู่มือรถกำหนด ป้องกันเครื่องยนต์ขัดข้อง

นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2566 ปรับลดอัตราภาษีสินค้าน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมันประเภทน้ำมันเบนซินลง 0.15-1 บาทต่อลิตร ตามสัดส่วนเนื้อน้ำมันเบนซินที่ผสม ตั้งแต่วันที่ 7 พฤศจิกายน 2566 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2567 นั้น ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ได้เห็นชอบให้ใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินแก๊สโซฮอล์ E10 ในส่วนของแก๊สโซฮอล์ 91 ลง 2.50 บาทต่อลิตร และยังลดราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 และ E20 ลงตามอัตราภาษีสรรพสามิตที่เปลี่ยนแปลงตามแนวนโยบายของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ที่จะส่งผ่านให้การลดภาษีสรรพสามิต ไปลดราคาขายปลีกให้แก่ประชาชน พร้อมทั้งลดราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 ลงมากกว่าอัตราภาษีน้ำมันที่สรรพสามิตที่เปลี่ยนแปลงไป

สำหรับการปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันกลุ่มเบนซินในครั้งนี้จะให้มีผลตั้งแต่วันที่ 7 พฤศจิกายน 2566-31 มกราคม 2567 โดยมีรายละเอียดดังนี้

น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 ลดลง 2.50 บาทต่อลิตร

น้ำมันเบนซิน ULG 95 และ แก๊สโซฮอล์ 95 ลดลงประมาณ 1 บาทต่อลิตร

น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 และ E85 ลดลงประมาณ 80 สตางค์ต่อลิตร

ปัจจุบันแม้ว่าฐานะเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจะยังคงติดลบ แต่สถานะของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นหลังจากได้เงินกู้ยืมเข้ามาเติมในระบบ แต่ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงยังคงมีความผันผวนด้วยปัจจัยกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปก และความกังวลในเศรษฐกิจที่ยังคงถดถอย ตลอดจนความไม่สงบจากการสู้รบ ทำให้สภาพคล่องของกองทุนยังมีรายรับน้อยกว่ารายจ่าย อย่างไรก็ตาม เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อการดำรงชีพของประชาชนในช่วงวิกฤตการณ์ด้านราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ยังคงอยู่ในระดับสูง จึงทำการปรับลดราคาขายปลีกกลุ่มน้ำมันเบนซินดังกล่าว สำหรับฐานะเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสุทธิ ณ วันที่ 29 ตุลาคม 2566 ติดลบ 74,292 ล้านบาท แบ่งเป็นติดลบจากบัญชีน้ำมัน 28,938 ล้านบาท บัญชีก๊าซ LPG 45,354 ล้านบาท

“การลดราคาน้ำมันเบนซินทุกประเภทในครั้งนี้ก็เป็นอีกหนึ่งมาตรการที่เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีที่ต้องการจะช่วยเหลือประชาชนด้วยการลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลโดยกระทรวงพลังงานก็ได้มีการช่วยเหลือประชาชน ทั้งการตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร รวมทั้งการลดค่าไฟให้เหลือ 3.99 บาทต่อหน่วย ซึ่งการลดราคาน้ำมันเบนซินจะมีผลตั้งแต่วันที่ 7 พฤศจิกายนที่จะถึงนี้ จึงอยากขอความร่วมมือผู้ค้าน้ำมันและสถานีบริการ เตรียมน้ำมันแต่ละชนิดให้เพียงพอกับความต้องการ เพื่อไม่ให้ประชาชนได้รับผลกระทบ รวมทั้งขอให้ประชาชนตรวจสอบการเติมน้ำมันให้เหมาะสมกับรถยนต์ที่ใช้ โดยดูได้จากฝาช่องเติมน้ำมัน คู่มือการใช้รถยนต์ หรือสอบถามที่ศูนย์บริการ เพราะหากเติมผิดประเภทอาจจะทำให้เกิดผลเสียต่อเครื่องยนต์ได้“ นายประเสริฐ กล่าว

Advertisement

ตลาดคาดเฟดจะคงดอกเบี้ยที่ระดับสูงสุดในรอบ 22 ปีต่อไป

federal_reserve_IS_939248364_720x450

People Unity News : 1 พฤศจิกายน 2566 วอชิงตัน – ตลาดคาดการณ์กันอย่างกว้างขวางว่า ธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟด (Fed) จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่สูงสุดในรอบ 22 ปีต่อไป เพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อโดยไม่ให้กระทบเศรษฐกิจสหรัฐที่ขยายตัวแข็งแกร่ง

นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ชี้ว่า มีความเป็นไปได้สูงว่าคณะกรรมการนโยบายการเงินของเฟดหรือเอฟโอเอ็มซี (FOMC) จะแถลงหลังเสร็จสิ้นการประชุมวันที่ 31 ตุลาคม-1 พฤศจิกายนตามเวลาสหรัฐว่า จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ร้อยละ 5.25-5.50 ต่อไป แต่ไม่มั่นใจว่าเฟดได้ยุติวงจรการขึ้นดอกเบี้ยแล้ว

เฟดขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง โดยได้ปรับขึ้นจากร้อยละ 0.25 ในเดือนมกราคม 2565 เป็นร้อยละ 5.50 ในเดือนกรกฎาคม 2566 หวังควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้ลงมาที่ร้อยละ 2 ตามเป้าหมาย ขณะที่อัตราเงินเฟ้อยังทรงตัวที่ร้อยละ 3.7 ในเดือนกันยายน 2566 หลังจากขึ้นไปสูงกว่าร้อยละ 7 ในเดือนมิถุนายน 2565

นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ รวมถึงคนทำงานในเฟดคาดว่า สหรัฐจะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปีนี้เพราะการขึ้นดอกเบี้ยอย่างรวดเร็ว แต่เศรษฐกิจสหรัฐกลับเติบโตเกินความคาดหมาย สะท้อนว่าเฟดสามารถลดอัตราเงินเฟ้อลงได้โดยไม่กระทบต่อเศรษฐกิจ ขณะที่ตลาดแรงงานส่งสัญญาณว่า อ่อนตัวลงในปีนี้แม้ว่าอัตราว่างงานยังคงต่ำใกล้แตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์อยู่ก็ตาม

Advertisement

รัฐบาลชวนเที่ยวไทย กระตุ้นเศรษฐกิจประเทศช่วงไฮซีซัน

People Unity News : 21 ตุลาคม 2566 โฆษกรัฐบาล ชวนเที่ยวไทย กระตุ้นเศรษฐกิจประเทศช่วงไฮซีซันปลายปี 66 ย้ำหลักเกณฑ์การจ่ายเงินค่าบริการคืนให้นักท่องเที่ยว กรณีซื้อทัวร์แล้วยกเลิกการเดินทาง

นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่าขณะนี้เข้าสู่ช่วงปลายปี 2566 ที่เป็นช่วงเวลาปลายฝนต้นหนาวของประเทศไทย ถือเป็นช่วงไฮซีซันของการท่องเที่ยวซึ่งแหล่งท่องเที่ยว ผู้ประกอบการท่องเที่ยว และธุรกิจภาคบริการที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ต่างมีการจัดกิจกรรมกระตุ้นตลาดการท่องเที่ยวช่วงปลายปี โดยการออกบูธขายแพคเกจท่องเที่ยวในศูนย์การประชุม ห้างสรรพสินค้า และสถานที่ต่าง ๆ รวมทั้งการขายผ่านช่องทางออนไลน์ให้กับนักท่องเที่ยวที่สนใจ ซึ่งรัฐบาลขอขอบคุณหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชนด้านการท่องเที่ยว และประชาชนทุกภาคส่วน ที่ได้ร่วมกันขับเคลื่อนด้านการท่องเที่ยวของประเทศตามนโยบายรัฐบาล

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า สำหรับนักท่องเที่ยวที่ซื้อทัวร์แล้วมีเหตุให้นักท่องเที่ยวไม่สามารถเดินทางได้ จำเป็นต้องยกเลิกการเดินทางนั้น เพจเฟซบุ๊กกรมการท่องเที่ยว Department of Tourism กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้ย้ำให้ความรู้กับนักท่องเที่ยวตามประกาศคณะกรรมการธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ เรื่อง หลักเกณฑ์เกี่ยวกับการกำหนดอัตราการจ่ายเงินค่าบริการคืนให้แก่นักท่องเที่ยว พ.ศ. 2563 โดยกรณีการซื้อทัวร์แล้วยกเลิกการเดินทางได้เงินคืนหรือไม่ จ่ายเงินคืนอย่างไร กรณีมีเหตุที่ทำให้นักท่องเที่ยวไม่สามารถเดินทางได้ ให้นักท่องเที่ยวแจ้งความประสงค์ขอรับเงินค่าบริการคืนจากผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยว โดยผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวต้องจ่ายเงินคืนแก่นักท่องเที่ยวในอัตรา ดังต่อไปนี้

1.นักท่องเที่ยวขอยกเลิกการเดินทางล่วงหน้า 30 วันขึ้นไป คืนเงินโดยนำค่าทัวร์ที่จ่ายไปแล้ว 100% หัก ค่าใช้จ่ายที่จ่ายจริงของบริษัททัวร์ (ถ้ามี) เท่ากับเงินที่จะได้คืน

2.นักท่องเที่ยวขอยกเลิกการเดินทางล่วงหน้า 15 – 29 วัน คืนเงินโดยนำค่าทัวร์ที่จ่ายไปแล้ว 50% หัก ค่าใช้จ่ายที่จ่ายจริงของบริษัททัวร์ (ถ้ามี) เท่ากับเงินที่จะได้คืน

3.นักท่องเที่ยวขอยกเลิกการเดินทางล่วงหน้าน้อยกว่า 15 วัน (0 -14 วัน) “ไม่ได้รับเงินคืน”

4.กรณีมีเหตุยกเลิกทัวร์ โดยไม่ใช่ความผิดบริษัททัวร์ คืนเงินโดยนำค่าทัวร์ที่จ่ายไปแล้ว 100% หักค่าใช้จ่ายที่จ่ายจริงของบริษัททัวร์ (ถ้ามี) เท่ากับเงินที่จะได้คืน

สำหรับค่าใช้จ่ายที่จ่ายจริงของบริษัททัวร์ ได้แก่ ค่าธรรมเนียมการขอวีซ่า ค่ามัดจำบัตรโดยสารเครื่องบิน และค่าใช้จ่ายที่จำเป็นอื่น ๆ โดยต้องแสดงหลักฐานการจ่ายให้นักท่องเที่ยวทราบด้วย ทั้งนี้ หากไม่ได้รับเงินค่าบริการคืนตามหลักเกณฑ์ดังกล่าว สามารถร้องเรียนได้ที่ Call Center กรมการท่องเที่ยว (24 ชั่วโมง) โทร. 0 2401 1111

“ช่วงเวลาปลายฝนต้นหนาวเป็นเวลาที่แหล่งท่องเที่ยวของไทยมีความงดงามที่สุดของปี ทั้งทะเล ภูเขา ดอกไม้ เหมาะสำหรับการเดินทางท่องเที่ยว เพราะนอกจากนักท่องเที่ยวจะได้ประสบการณ์การท่องเที่ยวและความทรงจำใหม่ ๆ ในการท่องเที่ยวไทยแล้ว ยังถือว่าเป็นการออกไปช่วยชาติ ช่วยเหลือผู้ประกอบการ และช่วยกระจายรายได้สู่ท้องถิ่นอีกด้วย รัฐบาลจึงขอเชิญชวนคนไทยทุกคนร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยการวางแผนออกเดินทางท่องเที่ยว และออกเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศช่วงปลายปี 2566 ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญในการช่วยสร้างความแข็งแกร่งและยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทยต่อไป” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าว

Advertisement

“เศรษฐา” เตรียมยกระดับความสามารถการแข่งขันกับซาอุฯ หวังเพิ่มการค้า-การลงทุน

People Unity News : 21 ตุลาคม 2566 ซาอุดีอาระเบีย – นายกรัฐมนตรีเดินหน้าสานต่อสัมพันธ์ไทย-ซาอุดีอาระเบีย หวังเพิ่มขีดความสามารถแข่งขันการค้า-ลงทุน

เมื่อเวลา 10.30 น. ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งช้ากว่าประเทศไทย 4 ชั่วโมง กรุงริยาด ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ถึงผลสำเร็จในการเยือนราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ว่าเมื่อค่ำวันที่ 20 ต.ค. เอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงริยาด ได้เลี้ยงรับรองอาหารค่ำตนกับคณะ โดยได้พบกับทีมไทยแลนด์ และเจ้าหน้าที่ทางพาณิชย์การค้า การลงทุน ซึ่งได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกัน

ทั้งนี้ ทางเอกอัครราชทูตไทยได้ให้ข้อคิดว่า ความจริงแล้วศักยภาพการค้า การลงทุน ที่ซาอุดีอาระเบียยังสูงมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการขยายการค้า ด้านการเกษตร เชิงพาณิชย์ และการลงทุน ซึ่งบีโอไอได้แจ้งว่าต้องการเจ้าหน้าที่ประจำซาอุดีอาระเบีย หลังจากพูดคุยกันแล้วตนมีความเข้าใจถึงความต้องการตรงนี้ และอยากให้เอกอัครราชทูตเขียนมาว่าเหตุผลที่ต้องการคืออะไร เพราะถือว่าเป็นประเทศหลักที่รัฐบาลเพิ่งเปิดความสัมพันธ์ใหม่อีกครั้ง หลังจากปิดไปนาน ถือว่าเป็นประเทศที่ไทยอยากมีความสัมพันธ์กันเพิ่มขึ้น และเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน การค้า การลงทุนขึ้นไปอีก

นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า ตนได้ไปเยี่ยมชมเมืองโบราณของซาอุดีอาระเบีย ประมาณ 300-400 ปี ถือเป็นเมืองแรกในซาอุดีอาระเบีย ซึ่งถูกทำลายไปและสร้างขึ้นมาใหม่ โดยมีการลงทุนไปเยอะมากในการสร้างเมืองนี้แห่งการท่องเที่ยว มีการสร้างพื้นที่อย่างมโหฬหาร และได้ขึ้นเป็นทะเบียนมรดกโลกด้วย รวมถึงยังได้เยี่ยมชมนิทรรศการเมืองแห่งอนาคต มีการลงทุนกว่า 5 แสนล้านล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อไปดูก็ตกใจในความอลังการยิ่งใหญ่ โดยซาอุดีอาระเบียมีความมั่งคั่งสูงจากการค้าขายปิโตรเคมีคอลและน้ำมัน เพราะฉะนั้นจึงมีเงินทุนสูงมาก แต่เขาเองก็ทราบดีว่าโลกเปลี่ยนไป การส่งเสริมการลงทุนและสร้างเมืองใหม่เป็นเรื่องสำคัญ ตนได้ดูนิทรรศการและวิธีการที่เขาเสนอ ซึ่งการลงทุนน่าจะนำไปใช้ได้ในการต้องทำความเข้าใจกับทุกภาคส่วนในแง่เมกะโปรเจกต์ที่เราจะทำที่เมืองไทย ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้าหรือแลนด์บริดจ์

นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า ได้คุยกับภาคเอกชน 4 บริษัท บริษัทแรกคือ SALIC เป็นบริษัทที่ครบวงจรด้านการเกษตรและปศุสัตว์ มีการลงทุนไปทั่วโลก เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหาร เรารู้สึกแปลกใจอย่างมาก ขนาดประเทศเขามีแต่ทะเลทราย แต่มีบริษัทใหญ่ระดับโลกในการค้าขายสินค้าเกษตรและปศุสัตว์ ที่อเมริกาใต้ ยุโรป และในเอเชีย วันนี้มีการพูดคุยกันหลายเรื่อง ทางด้านการเกษตร ด้านปศุสัตว์ เรื่องของวัว ซึ่งเป็นนโยบายหลักของรัฐบาลนี้ว่าจะสามารถผลักดันไปด้วยกันหรือไม่

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ถ้าเป็นไปได้จะให้รัฐมนตรีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นำภาคเอกชนมาพูดคุยกับทางบริษัท SALIC ซึ่งเขาก็ยินดีและตื่นเต้นที่เราจะมีการทำอะไรร่วมกันในมิติใหม่ๆ และมิติใหญ่ๆ รวมถึงได้เจอกับกลุ่มกองทุนเพื่อการลงทุนสาธารณะ ซึ่งเป็นกองทุนที่มีขนาดใหญ่มาก ลงทุนทั้งในซาอุดีอาระเบียและต่างประเทศ เช่น สหรัฐ และจีน แต่ยังไม่มีการลงทุนที่เมืองไทย แต่ต้องการลงทุนด้านเมกะโปรเจกต์ เพราะฉะนั้นไทยเองมีโครงการขนาดใหญ่เยอะ จึงจะมีการพูดคุยกันต่อ

ทั้งนี้ ทางบริษัทดังกล่าวยังเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทปิโตรเคมีและน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งมีการค้าขายกับเราเยอะอยู่แล้ว และพยายามหาโอกาสร่วมมือทำธุรกิจกับไทยในหลายๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการหาโรงกลั่น ซึ่งเขาเข้าใจว่าโรงกลั่นเรามีสภาพที่เก่าและต้องการอัพเกรด ซึ่งต้องการเงินลงทุนหลายแสนล้านบาท จึงมีการพูดคุย และตนจะส่งเจ้าหน้าที่มาประสานงานต่อ และรายสุดท้ายคือ บริษัท SABIC ซึ่งเป็นผู้ผลิตเคมีภัณฑ์ของซาอุดีอาระเบีย หนึ่งที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีผู้ถือหุ้นคนเดียวกัน นั่นคือ PIF ซึ่งมีการลงทุนเยอะมากอยู่แล้ว และเรื่องของปุ๋ย ที่ส่งให้เราเป็นรายใหญ่ที่สุด เอกชนไทยที่ทำเกษตรกรรมก็ซื้อจากบริษัทนี้เยอะมาก รวมถึงหัวเชื้อปุ๋ย ที่เรามีอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ก็จะมีการพูดคุยเพื่อหาความร่วมมือกัน

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า และสิ่งที่น่ายินดีอย่างหนึ่งที่ตนถามเขาว่าบริษัท SABIC มีความสัมพันธ์ที่ดีกับ ปตท. และหลายบริษัทเอกชน ทางเขาติดขัดอะไรหรือไม่เกี่ยวกับการลงทุน การทำธุรกิจกับไทย ซึ่งเขาบอกไม่มีเลย ทุกอย่างได้รับการสนับสนุนที่ดีมาก และอยากให้การสัมพันธ์เดินต่อไป ตนต้องขอบคุณหน่วยงานต่างๆ ที่ร่วมงานกับทางบริษัท SABIC ที่ทำให้เขาชื่นชมเราได้ตรงนี้ หวังว่าการลงทุนจะพัฒนาต่อไปในทุกมิติ

Advertisement

ข่าวดี!! การรถไฟฯ จัดโปรลดค่าขนส่งพัสดุรายย่อยไม่เกิน 2 กก. เหมาจ่าย ชิ้นละ 30 บาท

People Unity News : 17 ตุลาคม 2566 ทำเนียบฯ – การรถไฟฯ จัดโปรโมชั่นลดค่าบริการขนส่งพิเศษ พัสดุรายย่อยไม่เกิน 2 กก. เหมาจ่าย ชิ้นละ 30 บาท ช่วยลดค่าครองชีพ ถึง 31 มีนาคม 67

นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาล โดยการรถไฟแห่งประเทศไทย กระทรวงคมนาคม สนับสนุนนโยบายรัฐบาลในการช่วยลดค่าครองชีพของประชาชนและภาคธุรกิจ ดำเนินการปรับลดค่าบริการขนส่งพิเศษสำหรับพัสดุประเภทหีบห่อวัตถุมีน้ำหนักไม่เกิน 2 กิโลกรัม เหลือเพียงชิ้นละ 30 บาท เป็นระยะเวลา 6 เดือน เพื่อช่วยลดต้นทุนและรายจ่ายแก่ประชาชน ผู้ประกอบการ ร้านค้าขนาดเล็ก ร้านออนไลน์ รวมถึงเอสเอ็มอี ให้มีต้นทุนการขนส่งที่ถูกลงกว่าปกติถึง 50-70% เริ่มเปิดให้บริการได้ตั้งแต่บัดนี้จนถึง 31 มีนาคม 2567

สำหรับสินค้าใช้บริการขนส่งดังกล่าว นายคารมกล่าวว่า จะต้องบรรจุในกล่องหรือซองที่ปิดมิดชิด แข็งแรง เป็นสินค้าที่ไม่เน่าเสียง่าย และมีน้ำหนักต่อชิ้นไม่เกิน 2 กิโลกรัม เช่น อะไหล่ เสื้อผ้า อาหารแห้ง โดยคิดอัตราค่าบริการแบบเหมาจ่ายชิ้นละ 30 บาท ตลอดระยะทางที่มีการขนส่งสินค้าของขบวนรถสินค้าและขบวนรถโดยสาร นอกจากนี้ ผู้ใช้บริการสามารถรวมส่งสินค้าในครั้งเดียวกันได้ถึง 10 ชิ้น ซึ่งจะคิดค่าบริการเป็นรายชิ้นโดยไม่คิดค่าบริการยกขึ้นลง ตลอดจนมีการรับประกันความเสียหายของสินค้าที่เกิดจากการขนส่งตามระเบียบของการรถไฟฯ อีกด้วย

“ขอเชิญชวนประชาชนใช้บริการโปรโมชั่นพิเศษนี้ได้ทุกวัน ไม่มีวันหยุดข้าราชการ และสามารถใช้บริการได้ทุกสถานีที่มีการรับ-ส่งสินค้าของการรถไฟฯ ซึ่งแต่ละครั้งจะใช้เวลาขนส่งจากต้นทางถึงปลายทางที่รวดเร็วภายใน 1-2 วัน ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากการรถไฟแห่งประเทศไทย กระทรวงคมนาคม สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ www.railway.co.th หรือ Call Center 1690” นายคารม กล่าว

Advertisement

Verified by ExactMetrics