วันที่ 28 พฤศจิกายน 2025

“พิพัฒน์” เดินหน้าขับเคลื่อนทางหลวงชนบท สะพานเศรษฐกิจ – ถนนปลอดภัย 4 เดือนเห็นผล

9 ตุลาคม 2568 “พิพัฒน์” เดินหน้าขับเคลื่อนทางหลวงชนบท สะพานเศรษฐกิจ – ถนนปลอดภัย เพื่อคุณภาพชีวิตประชาชนใน 4 เดือนเห็นผล

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานในงานวันคล้ายวันสถาปนากรมทางหลวงชนบท ครบรอบ 23 ปี พร้อมเปิดนิทรรศการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านวิศวกรรม ณ กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กรุงเทพฯ โดยมี นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม นางสาวรัชนีพร ธิติทรัพย์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม นายผดุงศักดิ์ สรุจิกำจรวัฒนะ ผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม และนายปิยพงษ์ จิวัฒนกุลไพศาล อธิบดีกรมทางหลวง นายพิชิต หุ่นศิริ  รองอธิบดีกรมทางหลวงชนบท รักษาราชการแทนอธิบดี ทช. ผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ ทช. ร่วมในพิธีอย่างพร้อมเพรียง

นายพิพัฒน์ กล่าวว่า กระทรวงคมนาคมมีภารกิจสำคัญในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมของประเทศให้เชื่อมโยงกันทุกมิติ ทั้งทางบก ทางราง ทางน้ำ และทางอากาศ เพื่อให้ “การเดินทางของประชาชนสะดวก ปลอดภัย และเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจของชาติ” โดยเฉพาะ ทช. ซึ่งถือเป็นหน่วยงานหลักในการพัฒนาโครงข่ายถนนสายรองที่เชื่อมโยงระหว่างเมืองกับชนบทให้ประชาชนทุกพื้นที่เข้าถึงโอกาสทางเศรษฐกิจ การค้า และการท่องเที่ยวได้อย่างเท่าเทียม

นายพิพัฒน์ กล่าวต่อว่า ตลอด 23 ปีที่ผ่านมา ทช. ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเจ้าหน้าที่ทุกระดับในการพัฒนาถนนให้ได้มาตรฐานและปลอดภัยสำหรับทุกชีวิตบนท้องถนน ซึ่งรัฐบาลชุดปัจจุบันภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล ได้กำหนดแนวทางชัดเจนว่า “ทุกโครงสร้างพื้นฐานต้องตอบโจทย์ประชาชนอย่างแท้จริง” และในช่วง 4 เดือนจากนี้ กระทรวงคมนาคมจะเร่งผลักดันให้เกิดผลงานเป็นรูปธรรม โดยเริ่มจากการเดินหน้าโครงการสำคัญในพื้นที่ภาคใต้ ได้แก่ โครงการสะพานข้ามทะเลสาบสงขลา (ตำบลเกาะใหญ่ – จองถนน จังหวัดสงขลา – พัทลุง) และโครงการสะพานเชื่อมเกาะลันตา (ตำบลเกาะกลาง – เกาะลันตาน้อย จังหวัดกระบี่) ซึ่งทั้งสองโครงการจะช่วยลดระยะเวลาเดินทาง เพิ่มความปลอดภัย และกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากของภาคใต้ให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด “สะพานทั้งสองแห่งนี้จะเชื่อมชีวิตผู้คนกับโอกาสใหม่ ๆ ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และคุณภาพชีวิต” นายพิพัฒน์ กล่าว พร้อมระบุว่า โครงการอยู่ระหว่างขั้นตอนการพิจารณารายงานด้านเทคนิคโดยธนาคารโลก (World Bank) ซึ่งคาดว่าจะสามารถดำเนินการในขั้นตอนต่อไปได้ในเร็ว ๆ นี้

นอกจากการขับเคลื่อนโครงการเชิงยุทธศาสตร์แล้ว นายพิพัฒน์ยังกล่าวถึงสถานการณ์อุทกภัยที่ส่งผลกระทบต่อเส้นทางหลวงชนบทใน 22 จังหวัดทั่วประเทศ โดยมีสายทางได้รับความเสียหาย 59 สายทาง ขณะนี้สามารถเปิดสัญจรได้แล้ว 40 สายทาง และอยู่ระหว่างซ่อมแซมอีก 19 สายทาง พร้อมสั่งการให้ ทช. เร่งติดตั้งสะพานเบลีย์ชั่วคราว เปิดทางสัญจรให้ประชาชนโดยเร็ว รวมถึงจัดเจ้าหน้าที่ประจำจุดเสี่ยง ติดตั้งป้ายเตือน และให้ข้อมูลเส้นทางเลี่ยงเพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้ถนน พร้อมย้ำว่า “ทุกถนนที่เสียหายต้องซ่อมกลับมาใช้งานได้เต็มรูปแบบโดยเร็วที่สุด” เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน

นายพิพัฒน์ กล่าวต่ออีกว่า รัฐบาลและกระทรวงคมนาคมตั้งเป้าเร่งยกระดับมาตรฐานถนนในพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ สนับสนุนเส้นทางเชื่อมต่อระบบรถไฟทางคู่ เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก และเส้นทางท่องเที่ยวหลักทั่วประเทศ เพื่อให้การลงทุนด้านคมนาคมตอบสนองชีวิตประจำวันของประชาชนอย่างแท้จริง ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การเดินทาง และความปลอดภัย

ด้านนายพิชิต หุ่นศิริ รักษาราชการแทนอธิบดี ทช. เปิดเผยว่า ปัจจุบัน ทช. ดูแลโครงข่ายถนนทั่วประเทศกว่า 51,000 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ 77 จังหวัด โดยในปีงบประมาณ 2569 ได้รับงบประมาณกว่า 53,000 ล้านบาท เพื่อใช้ดำเนินโครงการสำคัญทั้งการก่อสร้างถนน สะพาน และระบบอำนวยความปลอดภัยทางถนน เช่น ถนนเชื่อมเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ถนนเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและการค้าในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ และโครงการทางต่างระดับจุดตัดสำคัญทั่วประเทศ พร้อมย้ำว่า ทช. จะเดินหน้าปฏิบัติภารกิจภายใต้นโยบาย “ทางหลวงชนบทเพื่อประชาชน” อย่างเต็มกำลังเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยในทุกภูมิภาค

Advertisement

“รมช.นเรศ” หนุนศูนย์ข้าวชุมชนศรีดอนมูล จ.เชียงราย ผลิตข้าวคุณภาพดี ลดต้นทุน เพิ่มมูลค่า

5 ตุลาคม 2568 “รมช.นเรศ” หนุนศูนย์ข้าวชุมชนศรีดอนมูล จ.เชียงราย ผลิตข้าวคุณภาพดี ลดต้นทุน เพิ่มมูลค่า มุ่งสร้างเครือข่ายเกษตรกรเข้มแข็ง

นายนเรศ ธำรงค์ทิพยคุณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการดำเนินงานของศูนย์ข้าวชุมชนตำบลศรีดอนมูล อ.เชียงแสน จ.เชียงราย พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า จังหวัดเชียงรายมีพื้นที่เกษตรกรรม 3.7 ล้านไร่ โดยเป็นพื้นที่ปลูกข้าว 1.38 ล้านไร่ มีเกษตรกรผู้ปลูกข้าวขึ้นทะเบียน 116,944 ครัวเรือน ถือเป็นฐานการผลิตข้าวสำคัญของประเทศ อีกทั้งยังมีการส่งเสริมการรวมกลุ่มนาแปลงใหญ่และการผลิตเมล็ดพันธุ์คุณภาพ โดยในช่วงปี 2559–2568 มีการดำเนินโครงการนาแปลงใหญ่ข้าวแล้ว 111 แปลง เกษตรกร 7,192 ราย ครอบคลุมพื้นที่กว่า 86,100 ไร่ ใน 17 อำเภอ รวมทั้งมีศูนย์ข้าวชุมชนที่ขึ้นทะเบียนกับกรมการข้าวจำนวน 183 ศูนย์ สมาชิก 6,000 ราย ครอบคลุม 81 ตำบล

รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า กระทรวงเกษตรฯ ภายใต้การนำของร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีความมุ่งมั่นในการยกระดับการผลิตข้าวคุณภาพ พร้อมส่งเสริมการรวมกลุ่มเกษตรกร เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและความยั่งยืนในระบบการเกษตร โดยเน้นการลดรายจ่ายและเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรอย่างต่อเนื่อง ศูนย์ข้าวชุมชนแห่งนี้จึงถือเป็นต้นแบบที่ดีในการลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มรายได้ ด้วยการนำเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับพื้นที่มาใช้ ตลอดจนการประยุกต์เทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิตข้าว การลงพื้นที่ครั้งนี้ยังมุ่งเน้นการรับฟังปัญหาและความต้องการของเกษตรกร เพื่อนำไปสู่การแก้ไขและต่อยอดในเชิงนโยบาย พร้อมเร่งดำเนินมาตรการช่วยเหลือเร่งด่วน โดยยืนยันว่าประเด็นใดที่สามารถแก้ไขได้ทันที จะดำเนินการโดยไม่รอช้า

สำหรับศูนย์ข้าวชุมชนตำบลศรีดอนมูล จัดตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 2556 และจดทะเบียนวิสาหกิจชุมชนในปี 2557 มีสมาชิก 38 ราย ดำเนินกิจกรรมผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพ ลดต้นทุนการผลิต และขยายบริการด้านการเกษตรครบวงจร เช่น การดำนาด้วยเครื่องจักร การเก็บเกี่ยว การอบลดความชื้น และการคัดทำความสะอาดเมล็ดพันธุ์ ตลอดจนการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากข้าว โดยมีเป้าหมายปลูกข้าวเพื่อผลิตเมล็ดพันธุ์ 149 ไร่ พื้นที่ทำนาของสมาชิก 1,037 ไร่ ผลผลิตรวมเฉลี่ย 120 ตันต่อปี มีแหล่งจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ ได้แก่ ศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวพะเยา สหกรณ์การเกษตรเชียงแสน บริษัทเอกชนในพื้นที่ และเครือข่ายชุมชน ปัจจุบันสมาชิกแต่ละรายมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 150,000 บาทต่อปี

โอกาสนี้ รมช.นเรศ ยังได้เยี่ยมชมนิทรรศการด้านข้าว อาทิ อัตลักษณ์ข้าว GI ข้าวเหนียวเขี้ยวงู ข้าวหอมแม่จัน และข้าวพันธุ์ กข 26 รวมถึงนิทรรศการมาตรฐานการวิเคราะห์เมล็ดพันธุ์และผลงานจากศูนย์ข้าวชุมชน พร้อมทั้งมอบปัจจัยการผลิตเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่

Advertisement

ปลัดดีอี หารือคณะผู้แทน MIC ญี่ปุ่น เสริมความร่วมมือด้านดิจิทัล-เทคโนโลยีภัยพิบัติ

2 ตุลาคม 2568 ปลัดดีอี หารือคณะผู้แทน MIC ญี่ปุ่น เสริมความร่วมมือด้านดิจิทัล-เทคโนโลยีภัยพิบัติ

นายพชร อนันตศิลป์ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) หารือกับคณะผู้แทนจากกระทรวงกิจการภายในและการสื่อสาร (Ministry of International Affairs and Communications (MIC) ประเทศญี่ปุ่น นำโดย Mr. Kiriyama Nobuo ตำแหน่ง Director-General for International Affairs, Global Strategy Bureau, Ministry of Internal Affairs and Communications (MIC) โดยมี นางสาวกัลยา ชินาธิวร ที่ปรึกษาด้านต่างประเทศกระทรวงดีอี และผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ณ ห้องประชุม 201 ชั้น 2 กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม

โดยประเด็นหารือครอบคลุมเรื่องแนวทางความร่วมมือด้านเทคโนโลยีในการบริหารจัดการภัยพิบัติระหว่างประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่น โดยเฉพาะประเด็นที่กระทรวงฯ ให้ความสนใจและนำมาประยุกต์ใช้ คือ เหตุการณ์ภัยพิบัติหลุมยุบและถนนทรุดตัวในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และการคาดการณ์เหตุการณ์แผ่นดินไหวบริเวณใต้ทะเลอันดามัน

นอกจากนี้ ยังได้มีการหารือร่วมกันในประเด็นความร่วมมือทางด้านนโยบายดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ (AI Policy) และการสนับสนุนความร่วมมือระหว่างกันในเวทีระดับนานาชาติอื่นๆ ได้แก่ อาเซียน องค์การโทรคมนาคมแห่งเอเชียแปซิฟิก (APT) และสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU) ทั้งนี้ ฝ่ายญี่ปุ่นจะนำประเด็นความร่วมมือที่ฝ่ายไทยเสนอไปหารือร่วมกันกับหน่วยงานอื่นๆ ของญี่ปุ่นเพื่อหาแนวทางและรูปแบบความร่วมมือที่เหมาะสมระหว่างกันต่อไป

Advertisement

คต.ลุยจีน นำข้าวไทยจัดแสดง-เจรจาเร่งรัดสัญญาซื้อขาย G to G

27 กันยายน 2568 สาธารณรัฐประชาชนจีน – กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เดินหน้าขยายตลาดข้าวไทยในจีนเต็มรูปแบบ ทั้งการจัดแสดงข้าวในงาน “China – ASEAN Expo” ครั้งที่ 22 ที่นครหนานหนิง และการเจรจาระดับรัฐต่อรัฐกับรัฐวิสาหกิจจีน COFCO Corporation เพื่อเร่งรัดสัญญาข้าวคงค้าง 280,000 ตัน พร้อมเสนอขยายการนำเข้าเป็น 500,000 ตัน ในวาระ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน

นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า งาน China – ASEAN Expo ถือเป็นเวทีนานาชาติที่รัฐบาลจีนให้ความสำคัญ โดยปีนี้ นายหาน เจิ้ง รองประธานาธิบดีจีน เป็นประธานเปิดงาน มีผู้เข้าร่วมกว่า 1,200 คน กรมฯ ได้นำข้าวไทยหลากหลายชนิด เช่น ข้าวหอมมะลิ ข้าวเหนียว ข้าวขาว รวมทั้งข้าวคุณลักษณะพิเศษอย่างข้าวไรซ์เบอร์รี่ ข้าวหอมนิล และข้าวสังข์หยด ไปจัดแสดงในรูปแบบ interactive ผ่านจอ Touchscreen ให้ผู้เข้าชมเรียนรู้ทั้งคุณภาพและคุณค่าทางโภชนาการ พร้อมสาธิตการหุงข้าวและทำอาหารไทย โดยนายเอกฉัตร ศีตวรรัตน์ รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ ได้สาธิตเมนูพะแนงหมูคู่กับข้าวหอมมะลิไทย ซึ่งได้รับความสนใจและเสียงชื่นชมอย่างล้นหลาม ตลอดงานมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมในคูหากรมฯ กว่า 3,000 ราย

จีนถือเป็นตลาดส่งออกข้าวสำคัญของไทย โดยส่งออกเฉลี่ยปีละ 400,000-700,000 ตัน ครองส่วนแบ่งตลาดนำเข้าข้าวราวร้อยละ 24 เป็นอันดับ 3 รองจากเวียดนาม และเมียนมา สำหรับปี 2568 (ม.ค.-ก.ค.) ไทยส่งออกข้าวไปจีนแล้ว 406,720 ตัน มูลค่า 6,819 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึงร้อยละ 125.09 ในปริมาณ และร้อยละ 61.24 ในมูลค่า โดยข้าวขาวเป็นชนิดที่ส่งออกมากที่สุด รองลงมาคือ ข้าวเหนียว และข้าวหอมมะลิไทย

กรมการค้าต่างประเทศยังได้นำคณะผู้แทนการค้าไทยเยือนกรุงปักกิ่ง เพื่อเข้าพบผู้บริหาร COFCO Corporation เจรจาเร่งรัดการซื้อขายข้าวคงค้างจำนวน 280,000 ตัน ตามสัญญาแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) และเสนอขยายการนำเข้าข้าวจากไทยเป็น 500,000 ตัน เพื่อแสดงถึงมิตรภาพไทย-จีน ในวาระ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูต ทั้งสองฝ่ายยังเห็นพ้องร่วมมือด้านการตลาดและจัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์ข้าวไทยร่วมกัน เพื่อเสริมสร้างการรับรู้ในคุณภาพและภาพลักษณ์ของข้าวไทยในหมู่ผู้บริโภคจีน

นอกจากนี้ยังได้หารือกับสำนักงานกำกับดูแลตลาดแห่งรัฐของจีน (SAMR) เพื่อปกป้องการค้าข้าวไทย โดยชี้แจงมาตรฐานและการจดทะเบียนเครื่องหมายรับรองข้าวหอมมะลิไทย พร้อมรับข้อมูลจากฝ่ายจีนเกี่ยวกับขั้นตอนการดำเนินการหากพบการละเมิดหรือปลอมแปลงสินค้า ซึ่ง SAMR ยืนยันพร้อมร่วมมือกับไทยอย่างใกล้ชิด

สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยได้ยืนยันความพร้อมส่งมอบข้าวตามสัญญาที่คงค้าง และสนับสนุนการดำเนินงานของกรมฯ อย่างเต็มที่ เพื่อรักษาความเชื่อมั่นของคู่ค้าจีน รวมทั้งความสัมพันธ์อันดีระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้ประกอบการทั้งสองประเทศ

อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศย้ำว่า ความสำเร็จในการเจรจาและการขยายยอดนำเข้า 500,000 ตัน ครั้งนี้จะเป็นทั้ง “เครื่องมือหาตลาดรองรับผลผลิตข้าวไทย” และ “สัญลักษณ์แห่งความสัมพันธ์ไทย-จีนที่แน่นแฟ้น” ซึ่งจะต่อยอดสู่การขยายความร่วมมือด้านการค้าสินค้าเกษตรในระดับที่ลึกซึ้งและยั่งยืนยิ่งขึ้นในอนาคต

Advertisement

เปิดตัวโครงการ “Nihao Month” ต้อนรับเทศกาลไหว้พระจันทร์

26 กันยายน 2568 ททท. เปิดตัวโครงการ “Nihao Month” ต้อนรับเทศกาลไหว้พระจันทร์ อัดแคมเปญบุกตลาดนักท่องเที่ยวจีนเที่ยวไทย

นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และนายหยาง เสี่ยวหลง ที่ปรึกษาฝ่ายกิจการและวัฒนธรรมสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ร่วมงานแถลงข่าวเปิดโครงการ “Nihao Month” หวังดึงนักท่องเที่ยวคุณภาพจีน มาเที่ยวไทยในช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์และวันชาติจีน (Golden Week) ผ่านกิจกรรมต่างๆ มากมาย เพื่อพลิกฟื้นความเชื่อมั่น กระตุ้นการเดินทาง และสร้างภาพลักษณ์เชิงบวกของประเทศไทยในตลาดจีนอย่างต่อเนื่อง พร้อมเฉลิมฉลอง 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน

นางสาวฐาปนีย์ กล่าวว่า จากสถานการณ์ที่ตลาดนักท่องเที่ยวจีนชะลอตัวลง ททท.เดินหน้าเร่งฟื้นฟูเสริมสร้างความเชื่อมั่นในการเดินทางอย่างเต็มที่ โดยปัจจุบันได้ดำเนินโครงการ Trusted Thailand เพื่อเสริมภาพลักษณ์สร้างความมั่นใจในการเดินทาง ขณะเดียวกันยังมุ่งเน้นกระตุ้นการเดินทางของนักท่องเที่ยวตลาดจีน ทุกกลุ่มตลาดทั้งคนรุ่นใหม่ ผู้สูงอายุที่มีศักยภาพ กลุ่มคณะทัวร์ รวมถึงกลุ่มสายการบินเช่าเหมาลำ ให้มาท่องเที่ยวไทยโดยเฉพาะในช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์ และวันชาติของจีน (Golden Week) ซึ่งเป็นวันหยุดยาวและฤดูท่องเที่ยวสำคัญของตลาดจีนที่กำลังจะมาถึงในช่วงเดือนตุลาคมนี้ ผ่านกิจกรรมส่งเสริมภาพลักษณ์ และแคมเปญทางการตลาดอัดแน่นอย่างต่อเนื่อง เช่น พบปะนักร้องและศิลปินชื่อดังขวัญใจชาวจีน กิจกรรมแลกเปลี่ยนศิลปวัฒนธรรม ส่วนลด สิทธิพิเศษจากโรงแรม ร้านค้า ร้านอาหาร แหล่งท่องเที่ยวมากมาย ตั้งแต่กันยายน ไปจนถึงธันวาคม 68 เพื่อดึงนักท่องเที่ยวจีนคุณภาพให้เดินทางท่องเที่ยวในช่วงวันหยุดยาวต้นเดือนตุลาคมไปจนถึงช่วงปลายปีนี้

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 22 กันยายน มีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าสู่ไทย 3,312,151 คน ททท. เชื่อมั่นว่า จากมาตรการกระตุ้นตลาดที่ ททท. ได้ร่วมกับพันธมิตรอย่างต่อเนื่อง และการปรับภาพลักษณ์ สร้างความเชื่อมั่นในการเดินทางมาเยือนประเทศไทย รวมถึงการจัดกิจกรรมภายใต้โครงการ Nihao Month จะเป็นแรงส่งสำคัญให้นักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าประเทศไทยบรรลุเป้าหมาย

Advertisement

นายกฯ หารือตลาดทุนไทย สร้างความเชื่อมั่นให้ประเทศ

25 กันยายน 2568 นายกฯ พบตลาดทุนไทยชื่นมื่น เหมือนได้พบกัลยาณมิตร เป็นแหล่งระดมทุน สร้างความเชื่อมั่นให้ประเทศ

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นางศุภจี สุธรรมพันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และนายวรภัค ธันยาวงษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง หารือร่วมกับสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) ในหัวข้อ “ข้อเสนอจากตลาดทุน เพื่อเสริมพลังภาครัฐ”

นายอนุทิน​ กล่าวก่อนเริ่มประชุมว่า​ วันนี้ตั้งใจมาพบทุกท่านถึงอาคารตลาดหลักทรัพย์​ ขอบคุณทุกท่านที่ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี ตื่นเต้นนอนไม่หลับ​ มาตั้งแต่ 09.00 น. เพราะทราบดี​ ​จะได้มาพบกับกัลยาณมิตร​ที่ดี​ เพื่อนที่หวังดีต่อกันตลอดเวลา​ และความสัมพันธ์ของเราก็พัฒนาไป แต่ละคนก็มีหน้าที่ทำประโยชน์ให้กับบ้านเมือง​ แม้จะอยู่ในภาคเอกชน​ ตลาดทุน​ แต่พวกเราในฐานะรัฐบาลก็มีหน้าที่ในการสนับสนุน และให้ความช่วยเหลือในทุกทาง ที่จะทำให้ท่านประสบความสำเร็จมากที่สุด​

“ท่านเป็นแหล่งระดมทุนให้กับประเทศ เป็นกลไกในการสร้างการเจริญเติบโตกับทางเศรษฐกิจ​ ว่าประเทศไทยมีความมั่นคงมั่งคั่งในระดับไหน เป็นตัวสะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุน ในต่างประเทศ” นายอนุทิน กล่าว

Advertisement

นายกฯปลื้มหารือสมาคมธนาคารไทย ขอผ่อนปรนช่วยลูกหนี้

23 กันยายน 2568 “อนุทิน” ปลื้มวงหารือสมาคมธนาคารไทยต้อนรับอบอุ่น ขอความร่วมมือผ่อนปรนช่วยลูกหนี้ที่มีศักยภาพเดินต่อได้ในตลาด ยันรัฐพร้อมหนุนระบบธนาคารไทยกลับมาเป็นผู้นำในอาเซียน แข่งกับตลาดโลก แบบมีประสิทธิภาพ

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการหารือ กับสมาคมธนาคารไทย ว่าวันนี้ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น เป็นการหารือในหลายประเด็น ที่รัฐบาลมีความห่วงใยและมาข้อรับการสนับสนุนจากสมาคมธนาคารไทย โดยเรื่องหลักเป็นเรื่องปัญหาหนี้สินของประชาชน หนี้สินเอสเอ็มอี หนี้ครัวเรือน โดยอยากขอความร่วมมือสมาคมธนาคารไทยในการผ่อนปรน หรือเร่งให้มีสภาพคล่องเข้าไปในตลาดสำหรับลูกค้าที่ยังมีศักยภาพที่สามารถผลิตสินค้าของตนเองให้เข้าไปในตลาดได้ รวมถึงมารับฟังความเห็นของสมาคมธนาคารไทย ว่ามีความกังวลด้านใด ขณะนี้ต้องสู้และแข่งขันกับภูมิภาคด้วยจะทำอย่างไรที่จะทำให้ระบบการธนาคารของประเทศไทยที่เคยเป็นผู้นำกลับคืนมาอีกครั้งในภูมิภาคอาเซียน และจะทำอย่างไรให้เกิดการแข่งขันกับตลาดโลกที่มีพื้นฐานการประกอบธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงและมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นในทุกวัน ย้ำว่าวันนี้ ได้เข้ามารับฟังแนวทางต่างๆ สิ่งใดที่รัฐบาลจะทำให้ได้ ก็จะเร่งดำเนินการ ส่วนตัวไม่กังวลตรงนี้ เนื่องจากทีมรัฐมนตรีของตนเองอยู่ในแวดวงด้านนี้มาก่อน ขณะนี้รับข้อเสนอไปหมดแล้ว ดังนั้นตนเองมีหน้าที่เห็นชอบ และนำไปผลักดันตามที่หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ คือ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจะได้นำเสนอเรื่องขึ้นมา ส่วนตัวมั่นใจว่า ทีมเศรษฐกิจและสมาคมจะนำการหารือในวันนี้ ไปสู่การปฏิบัติให้เร็วที่สุด และจะเร่งเรื่องศักยภาพของประเทศไทย การเพิ่มมูลค่าในภาคท่องเที่ยวที่สร้างรายได้ให้กับประเทศไทยมากที่สุด ทั้งภาคบริการ การแพทย์ การแพทย์เพื่อสุขภาพ เกษตรกรรม ทั้งผู้ผลิตและแปรรูป รวมถึงราคาพืชผลด้านการเกษตร และยังมีอุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมไฮเทคที่ประเทศไทยมีพื้นที่มากเพียงพอ ที่จะรองรับการขยายตัวอุตสาหกรรมด้านนี้ เพื่อเพิ่มศักยภาพและขยายขนาดทางเศรษฐกิจของประเทศไทยต่อไป

ส่วนกรณีการเสริมสภาพคล่อง จำเป็นต้องออกมาตรการใดเป็นพิเศษหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ได้หารือในทุกเรื่อง ซึ่งสภาพคล่องทางธนาคารต้องประเมินศักยภาพของลูกหนี้และลูกค้า ซึ่งได้ขอความร่วมมือจากสมาคมว่า พยายามอัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบให้มากขึ้น เพราะเมื่อเงินเก่าติดอยู่ และเงินใหม่ไม่เข้าไป เงินเก่าก็จะหายไปด้วย ซึ่งตรงนี้ทางธนาคารต้องไปประเมินความเสี่ยง แต่ทั้งนี้ลูกหนี้จะต้องมีศักยภาพด้วยว่าจะสามารถสานต่อธุรกิจของตนเองต่อไปได้หรือไม่

ขณะที่ธนาคารต้องการปล่อยสินเชื่อแต่ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของผู้ประกอบการ นายอนุทิน กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นสิ่งที่จะอยู่เหมือนเดิมไม่ได้ เพราะต้องแข่งขันตลอดเวลา นี่คือสิ่งที่ผู้ประกอบการไทยหลายคนยังติดอยู่ คือยังอยากยึดติดกับรูปแบบเดิม ๆ แต่ลืมไปว่ารอบบ้านของไทยและคู่แข่งมีการพัฒนาเพิ่มขึ้นมา ดังนั้นไม่ต้องยึดติดในรูปแบบเดิม จำเป็นต้องพัฒนาเพิ่มมูลค่าเรื่องประสิทธิภาพการผลิตสินค้าต้องดีขึ้น ต้นทุนต้องต่ำลง เป็นสิ่งที่ผู้ประกอบธุรกิจจะทราบดีว่า จะหลีกเลี่ยงการแข่งขันไปไม่พ้น

ส่วนภาครัฐจะมีกลไกใดเพิ่มเติมเพื่อให้กลไกนี้เดินไปได้ เมื่อธนาคารปล่อยกู้เพิ่มมากขึ้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ต้องหาช่องทางในการจำหน่ายสินค้าให้มากที่สุด ซึ่งเรื่องนี้ได้พูดคุยกัน โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งเคยพูดว่าจะไปยึดติดไม่ได้ ซึ่งประเทศไทยก็เช่นเดียวกัน จะไปยึดกับประเทศคู่ค้าที่ใหญ่ที่สุด แล้วอยู่ตรงจุดนั้น ไม่คิดหาภูมิภาคใหม่ ๆ ที่จะสามารถกระจายสินค้าของไทยโดยใช้ศักยภาพการผลิตของไทย ไม่ไปหาภูมิภาคอื่นๆ ไม่ได้แล้ว ดังนั้นเมื่อสินค้าเราดี ไปขายที่ไหนในโลกนี้ ก็ต้องขายได้ ซึ่งเป็นหลักที่รัฐบาลต้องเร่งในการสนับสนุนผู้ประกอบการ สินค้าของไทย และสินค้าที่เมื่อรีแบรนด์ไทยไปแล้วให้การยอมรับและเชื่อถือ

Advertisement

ผู้ว่าแบงก์ชาติห่วงเสถียรภาพการคลังไทยไม่แข็งแรง หวั่นถูกลดเครดิตประเทศ

18 กันยายน 2568 ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวขอโทษระงับบัญชีม้ากระทบบัญชีสุจริต แต่ถ้าไม่ทำผลจะรุนแรงกว่านี้ ห่วงเสถียรภาพการคลังไทยไม่แข็งแรง หวั่นถูกลดเครดิตประเทศ ประสาน ปปง. ตรวจสอบส่งออกทองไปกัมพูชาพุ่ง หวั่นเอี่ยวทุนเทา ยอมรับหารือเก็บภาษีเทรดทองออนไลน์ แต่ยังไม่ได้ข้อสรุป หวังลดแรงกดดันบาทแข็งในรอบ 4 ปี ยืนยันหลังพ้นตำแหน่งไม่เล่นการเมือง

ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในงาน “ผู้ว่าการพบสื่อมวลชน” (Meet the Press) กล่าวถึงกระแสข่าวว่าจะมีการเก็บภาษีเทรดทองคำออนไลน์เพื่อลดการแข่งขันของเงินบาทนั้น ยอมรับว่ามีการหารือกับสมาคมค้าทองคำจริง แต่ยังไม่มีข้อสรุป เนื่องจากมีผลกระทบกับหลายภาคส่วน จึงจำเป็นต้องหารือแนวทางที่เหมาะสม ส่วนสาเหตุที่ทำไมต้องมีการเก็บภาษีเทรดทอง เนื่องจากที่ผ่านมาคนไทยนิยมซื้อทองคำและเทรดทองคำ และไทยมีการส่งออกทองคำเป็นจำนวนมาก โดยซื้อขายเป็นเงินสกุลดอลล่าร์แล้วแลกเปลี่ยนเป็นเงินบาท จึงทำให้เงินบาทแข็งค่า โดยได้มีการหารือว่าจะแก้ปัญหานี้อย่างไร ซึ่งทางสมาคมค้าทองคำเสนอว่าให้มีการเทรดทองเป็นเงินดอลลาร์ แม้ปัจจุบันคนไทยใช้ดอลลาร์เทรดทองสูงขึ้น แต่ส่วนใหญ่ยังคงชินกับเทรดทองเป็นเงินบาท ดังนั้นจึงยังไม่มีข้อสรุป คงต้องใช้ระยะเวลานานมาก เพราะมีผลกระทบกับหลายฝ่าย

ส่วนกรณีที่สมาคมค้าทองคำ เสนอให้ ธปท. เพิ่มเคลียร์ริ่งเฮาส์เงินตราต่างประเทศเพิ่มเติมจากที่มีเคลียริ่งเฮ้าส์เงินบาทนั้น ขณะนี้ยังไม่เห็นข้อเสนอดังกล่าว แต่อย่างไรก็ตาม จะมีการหารือแนวทางเพื่อให้การเทรดทองคำมีผลกระทบต่อค่าเงินบาทน้อยที่สุด

ส่วนที่ กกร. มีความเป็นห่วงว่ามีการส่งออกทองคำไปกัมพูชาจำนวนมาก ว่าจะเกี่ยวโยงกับเงินสีเทาหรือไม่นั้น ผู้ว่าการ ธปท. บอกว่าไม่สามารถตอบได้ แต่ก็มีความเป็นห่วง ซึ่งได้มีการประสานไปยัง ปปง.ให้ร่วมตรวจสอบแล้ว

ส่วนเงินบาทที่ตั้งแต่ต้นปีแข็งค่า 7% ธปท.ไม่ได้อยากเห็น เพราะไม่สอดคล้องกับพื้นฐาน ปัจจัยหลักมาจากดอลลาร์อ่อนค่า สวนทางกับพื้นฐาน เพราะโดยปกติแล้วประเทศที่ขึ้นภาษี ค่าเงินจะแข็ง แต่กลับกลายเป็นว่าดอลลาร์อ่อน และยังมาซ้ำเติมด้วยทองคำที่มีการซื้อขายกันเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ การที่ประเทศไทยมีดุลบัญชีเดินสะพัดที่เกินดุลสูงกว่าที่คาด ก็จะเป็นตัวสนับสนุนไม่ให้เงินบาทอ่อนค่า

ผู้ว่าการ ธปท. ยังกล่าวขออภัยที่การระงับธุรกรรมจากบัญชีม้า ผู้สุจริตไปสร้างความเดือดร้อนลำบากให้กับผู้สุจริตถูกผลกระทบไปด้วย

“เราเข้าใจคนทำมาหากิน คนเราทำมาค้าขายหาเงินมาก็ไม่ง่าย แต่บัญชีถูกระงับซึ่งก็เดือดร้อนอย่างหนัก” ผู้ว่าการ ธปท. กล่าว

อย่างไรก็ตาม ผู้ว่าการ ธปท.ขอฝากให้นึกถึงความเดือดร้อนของคนที่ถูกมิจฉาชีพหลอกด้วย เพราะเงินออมและเงินที่หามาได้ไม่เหลือเลย ถ้าเทียบความลำบากที่โดนจากมิจฉาชีพ ซึ่งแบงค์ชาติพยายามปรับ ปลด ระงับบัญชีให้เร็วขึ้นภายใน 4 ชั่วโมงถึง 1 วัน พร้อมเปรียบมิจฉาชีพเป็นเหมือนมะเร็งร้ายที่ลุกลาม การรักษาด้วยการฉายแสงจึงหนีไม่พ้นที่จะโดนผลกระทบต่อคนสุจริต แต่ถ้าไม่ทำ ผลที่เกิดขึ้นจะรุนแรงกว่านี้ ดังนั้นจึงต้องเดินหน้าไม่หยุด เพราะหลังจากที่มีการเข้มงวดพบว่าบัญชีม้าลดลง ขณะที่ต่างชาติจะมองว่าประเทศไทยเป็นประเทศสีเทาเป็นประเทศที่สะดวกต่อมิจฉาชีพ ผลกระทบจะมหาศาล เช่น กรณีที่นักท่องเที่ยวจีนไม่มาท่องเที่ยวไทยเพราะไม่มั่นใจในความปลอดภัย

ส่วนกรณีที่ประชาชนแห่ถอนเงิน เพราะขาดความเชื่อมั่นจนกังวลว่าธนาคารจะเกิดปัญหาขาดสภาพคล่องนั้น ผู้ว่าการ ธปท.ย้ำว่า ภาพรวมสภาพคล่องของธนาคารพาณิชย์ ยังเป็นปกติ การถอนเงินเกิดขึ้นเพียงบางสาขาเท่านั้น เป็นเฉพาะจุด ไม่ใช่เป็นปัญหาทั้งระบบ ทั้งนี้ การดำเนินการต่าง ๆ ในการคัดกรองบัญชีม้า ยังคงต้องดำเนินการต่อไป โดยจะต้องมีการติดตามเส้นทางการเงิน ส่วนบัญชีที่ถูกระงับ จะเร่งดำเนินการปลดระงับให้เร็ว

ผู้ว่าการ ธปท.ยืนยันว่าหลังพ้นตำแหน่ง จะไม่ลงเล่นการเมือง และหากย้อนเวลากลับไปได้ ก็จะยังเลือกที่จะดำรงตำแหน่ง ผู้ว่าการ ธปท. ซึ่งตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ผ่านวิกฤติมาหลายครั้งและถูกวิพากษ์วิจารณ์มาหลายหน แต่ยืนยันว่าตลอดระยะเวลา 5 ปี การดำเนินนโยบายการเงินเป็นไปในทิศทางที่ถูกต้อง ส่วนการฝากงานต่อให้กับนายวิชัย รัตนากร ผู้ว่าการ ธปท. คนใหม่นั้น ได้มีการพูดคุยและหารือเป็นการส่วนตัว มาเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง

ผู้ว่าการ ธปท. ยังกล่าวว่า เป็นห่วงเรื่องการจัดทำงบประมาณของรัฐบาลชุดใหม่ เนื่องจากรัฐบาลมีอายุ 4 เดือน หลังจากนั้นจะเข้าสู่กระบวนการยุบสภาฯ และเลือกตั้งใหม่ ซึ่งจะเป็นช่วงเวลาใกล้กับการจัดทำงบประมาณ ซึ่งหากไม่ทัน จะกระทบการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ยังฝากถึงรัฐบาลใหม่ถึงการจัดทำโครงการคนละครึ่ง หรือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น ให้คำนึงถึงเสถียรภาพทางการคลังในระยะกลาง เพราะรัฐบาลมีกระสุนจำกัด และต้องชี้แจงที่มาของการหารายได้ให้กับสาธารณชนและต่างประเทศเข้าใจ เพื่อไม่ให้กระทบต่อเครดิตเรตติ้งของประเทศ เพราะหากต่างชาติไม่เข้าใจ ไทยมีโอกาสที่จะถูกปรับลดเครดิตได้

ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวอีกว่า ให้ระวังความเสี่ยงเรื่องการที่ คนจะเสพติดกับมาตรการกระตุ้น เหมือนในสมัยวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ที่มีการลดภาษีมูลค่าเพิ่มจาก 10% เหลือ 7% โดยกำหนดจะลดเพียง 2 ปี แต่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันภาษีมูลค่าเพิ่มยังคงอยู่ที่ 7% อย่างต่อเนื่อง ถือเป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัด

นอกจากนี้ ยังฝากถึงรัฐบาลใหม่ ว่าการใช้มาตรการกระตุ้นในระยะสั้นทำได้ แต่ต้องไม่ลืมการปรับโครงสร้างในระยะยาว ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญเพราะไม่เช่นนั้น ภาพรวมเศรษฐกิจไทยจะขาดเสถียรภาพ หากรัฐบาลทำได้ดี ก็มีโอกาสที่จะกลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง รวมถึงการดูแลเรื่องความเหลื่อมล้ำ เพราะประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำสูงมาก เป็นโรคเรื้อรังที่ต้องเร่งรักษา ซึ่งครัวเรือนที่จนมีทรัพย์สินสุทธิติดลบ มีหนี้สินมากกว่าสินทรัพย์ กลุ่มคนรวยที่สุดมีเพียง 1% คิดเป็นจำนวน 2.4 แสนครัวเรือน มีสินทรัพย์ 13 ล้านครัวเรือน ที่จนที่สุดหรือเกือบครึ่งประเทศ 24 ล้านครัวเรือน

ส่วนกรณีที่มีข้อกังวลว่าการเมืองจะเข้ามาแทรกแซงการทำงานและอิสระของธนาคารกลาง เหมือนที่เกิดขึ้นในสหรัฐนั้น นายเศรษฐพุฒิ กล่าวว่า มีตัวอย่างในต่างประเทศให้เห็นแล้วว่าความเป็นอิสระของธนาคารกลางเป็นสิ่งที่สำคัญ ประวัติศาสตร์มีให้เห็นอยู่แล้ว เพราะถ้าไปแทรกแซงอาจเกิดเหตุการณ์คล้ายกับที่ตุรกี และศรีลังกา เราควรนำบทเรียนจากนานาประเทศมาศึกษา

Advertisement

แบงก์ชาติเร่งปลดล็อกบัญชีไม่มีเอี่ยวบัญชีม้า

17 กันยายน 2568 ธปท. ย้ำทุกหน่วยงานร่วมกำหนดเงื่อนไขปลดล็อกบัญชีไม่มีเอี่ยวบัญชีม้า สิ้นเดือน ก.ย. 68 ย้ำร้านค้ามั่นใจรับโอนเงินซื้อสินค้า

นางสาวดารณี แซ่จู ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับระบบชำระเงินฯ ธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า จากปัญหาชาวบ้านถูกระงับธุรกรรมและระงับวงเงิน แต่ไม่ได้ระงับเงินในบัญชีในช่วงเดือนกันยายน 68 ตรวจพบบัญชีต้องสงสัยเฉลี่ย 10,000 บัญชี/สัปดาห์ ยอมรับว่าการคุมเข้มในช่วงที่ผ่านมา เพื่อต้องการกวาดเอาเส้นทางบัญชีที่เกี่ยวข้องเข้ามาตรวจสอบ ทั้งโอนเงินผ่าน e-money และคริบโตฯ ทำให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ได้รับผลกระทบในบางส่วน ในการทำธุรกรรมทางการเงิน ธปท. จึงเร่งหารือกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกำหนดเงื่อนไขร่วมกันให้เสร็จภายในสิ้นเดือน ก.ย.นี้

“ธปท. ธนาคาร ตำรวจ ศปอท. พร้อมปลดล็อกให้กับผู้บริสุทธิ์ มุ่งเน้นบัญชีจำนวนไม่มาก เช่น วงเงิน 100-500 บาท หรือร้านค้าที่มีการซื้อของมาประกอบอาหารหรือสินค้าในร้านเป็นประจำในยอดที่ไม่สูงมากนัก กลุ่มเหล่านี้จะเร่งตรวจสอบเพื่อแจ้งข้อมูลให้ลูกค้าบัญชีรับทราบ พร้อมทำอย่างรวดเร็ว และมุ่งทำความเข้าใจกับร้านค้าให้เกิดความเชื่อมั่น และรับเงินโอนจากลูกค้า เพราะที่ผ่านมายอดปฏิเสธรับโอนเงินไม่สูงมากนัก หากตรวจสอบเสร็จแล้วคาดว่าใช้เวลา 2-3 ชั่วโมง ถึง 1 วัน”

ธปท. มุ่งเน้นมาตรการจัดการบัญชีม้า โดยได้หารือกับหน่วยงานต่างๆ และเร่งแก้ไขในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อลดผลกระทบต่อผู้บริสุทธิ์แนวคิดของมาตรการแก้ปัญหาบัญชีม้าที่ต้องมีการตามอายัดหรือระงับธุรกรรมทุจริต ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในกระบวนการทั้งหมดต้องรักษาสมดุลระหว่างการช่วยเหลือเหยื่อให้สูญเสียให้น้อยที่สุด กับความสะดวกในการใช้บริการ Mobile banking ของประชาชนทั่วไป หากรู้ตัวเองว่าสุจริตให้โทรแจ้ง 1441 ให้แจ้งเลขบัญชีธนาคารเจ้าของบัญชี และบัตรประชาชน เพื่อให้พิจารณาปลดออกจากการระงับ ยอมรับที่ผ่านมา แจ้งเข้ามา 100 สาย พิจารณาปลดให้ได้เพียง 11 รายเท่านั้น

ที่ผ่านมามาตรการแก้ไขบัญชีม้ามีออกมาต่อเนื่อง แต่ยังมีผู้เสียหายจำนวนมาก ดังนั้น ศูนย์ปฏิบัติการเพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ศปอท.) และ ธพ. ได้เพิ่มประสิทธิภาพแก้ปัญหาบัญชีม้าด้วยการขยายขอบเขตการติดตามเส้นเงินในการทำทุจริต เพื่อกักเงินมาคืนเหยื่อ/ผู้เสียหายให้ได้มากที่สุด ทำให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ในเส้นเงินมากขึ้น ยอมรับมีบัญชีม้าโทรเข้ามาแจ้งไปยังหลายแบงก์พร้อมกัน เพื่อขอให้ปลดด้วยเช่นกัน แต่ทางการมีข้อมูล จึงปลดให้ไม่ได้

ธปท. จึงได้หารือกับ ศปอท. สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) และ ธพ. เห็นชอบร่วมกัน เพื่อปรับแนวทางการระงับธุรกรรมและกระบวนการปลดการระงับ เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ โดยลดระยะเวลาการปลดการระงับให้เร็วขึ้น โดยไม่ต้องรอให้ถึง 72 ชั่วโมง หรือ 7 วันแล้วแต่กรณี ตามที่กำหนดใน พ.ร.ก. โดย ธพ. จะตรวจสอบข้อมูลของผู้ได้รับผลกระทบที่ได้รับจาก ศปอท. โดยเร็วที่สุด ไม่เกินกว่า 2 ชั่วโมง (วันละ 3 รอบ) เพื่อส่งกลับให้ ศปอท. ประมวลผล (ไม่เกิน 2 ชั่วโมง) และส่งกลับมาแจ้ง ธพ. เพื่อปลดกธุรกรรมเร่งปรับการแจ้งผู้ถูกระงับธุรกรรมให้มีความชัดเจน ถึงลักษณะการถูกระงับและสิ่งที่ผู้ได้รับผลกระทบนั้นต้องทำต่อ และให้เป็นมาตรฐานยิ่งขึ้น

การถูกอายัดบัญชีในกรณีการกระทำทุจริตทางการเงิน จะต้องเป็นผู้ที่มีหมายอายัดจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ และ ปปง. ได้พิสูจน์ความผิดแล้ว โดยการปลดอายัดในกรณีนี้จะมีกระบวนการที่ต่างออกไปจากการถูกระงับธุรกรรมข้างต้นสำหรับการพิจารณาระงับธุรกรรมในเส้นเงิน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังเร่งปรับกระบวนการ ลดผลกระทบต่อผู้บริสุทธิ์โดยเร็ว ขณะที่ยังต้องดูแลเหยื่อให้ยังได้รับความช่วยเหลือที่เหมาะสม

Advertisement

ซีอีโอ SCB ชี้ 3 โจทย์สำคัญที่รัฐบาลใหม่ต้องชัดเจน

16 กันยายน 2568 ซีอีโอ SCB ระบุรัฐบาลใหม่ต้องติดกระดุมเม็ดแรกด้วยการสร้างความเชื่อมั่น ฟื้นเศรษฐกิจไทย ซีอีโอ SCB ชี้ 3 โจทย์สำคัญที่รัฐบาลใหม่ต้องชัดเจน เร่งสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชน-เร่งคลอดนโยบายการเงินการคลัง-สร้างความเข้มแข็งเอสเอ็มอี เชื่อหากบูรณาการได้ จะฟื้นเศรษฐกิจได้ จีดีพีปีหน้าอาจขยับขึัน

นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวถึงแนวโน้มเศรษฐกิจของไทยในช่วง 4 เดือนที่เหลือของปีนี้ว่า ภาพรวมเศรษฐกิจยังคงมีความท้าทายอย่างมาก จากความไม่แน่นอนนโยบายการค้าโลก ส่งผลการส่งออกจะขยายตัวต่ำลงมากในช่วงครึ่งปีหลัง สินค้าจีนตีตลาดไทยมากขึ้น ขณะที่การเข้าถึงสินเชื่อรายย่อยยังมีข้อจำกัด จากสถานการณ์หนี้ครัวเรือนที่ยังสูง ส่งผลการบริโภคที่อาจจะขยายตัวชะลอลง เงินบาทที่แข็งค่ากดดันการส่งออก และภาคการท่องเที่ยวชะลอตัวจากนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลง

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่ารัฐบาลชุดใหม่ที่เข้ามาทราบโจทย์ดี และเชื่อว่าแผนงานทางเศรษฐกิจที่เตรียมออกมาน่าจะช่วยบรรเทาความท้าทายลงได้บ้าง ขณะที่ภาคธนาคารต้องช่วยภาครัฐด้วยเช่นกัน ด้วยการช่วยให้ลูกค้าที่ยังพอไปต่อได้เพื่อให้เดินหน้าต่อ ด้วยการให้คำปรึกษาทางการเงินอย่างรอบคอบ ทันสถานการณ์ แนะนำผลิตภัณฑ์การเงิน ที่เหมาะสม ยั่งยืน อย่างไรก็ตามยอมรับว่าภาคธนาคารเพิ่มความระมัดระวังในการอนุมัติสินเชื่อ และเฝ้าระวังความเสี่ยงธุรกิจที่พึ่งพาการท่องเที่ยว

ทั้งนี้มองว่าสิ่งที่รัฐบาลจำเป็นต้องเร่งแก้ปัญหาเพื่อประคองเศรษฐกิจให้ผ่านพ้นวิกฤติในช่วงนี้ไปให้ได้นั้น มีอยู่ 3 ประเด็นหลัก อันดับแรกการสร้างความเชื่อมั่นสำคัญที่สุด การติดกระดุมเม็ดแรกที่สร้างความไว้ใจ ความวางใจ และสบายใจ สร้างความเชื่อมั่นใน ครม.ชุดใหม่ แม้จะเจอโจทย์ที่ท้าทายเพียงใด รัฐบาลก็จะสามารถพาประชาชนไปตลอดรอดฝั่ง ประการที่สอง คือนโยบายการเงินการคลังที่สอดคล้องและต้องออกมาอย่างรวดเร็ว เพื่อเร่งกระตุกเศรษฐกิจให้ฟื้นตัว และประการที่สาม การกลับมาดูโครงสร้างทางเศรษฐกิจผ่านการสร้างความเข้มแข็งของเอสเอ็มอี

“ผมเชื่อว่าทั้งสามเรื่องนี้ ถ้าทำได้ในระยะเวลาอันสั้น ไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลชุดนี้ต้องทำให้สำเร็จ แต่หมายความว่าทำให้สามข้อนี้ชัดเจนได้ และมีนโยบายที่บูรณาการกันใน 3 เรื่องนี้ เชื่อว่าประเทศไทยมีโอกาสฟื้นตัวได้“ นายกฤษณ์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม สำหรับการขยายตัวของเศรษฐกิจปี 2568 หลายสำนักยังคงประมาณการเดิม รวมถึง SCB EIC ที่ยังคงไว้ที่ 1.8% และปีหน้าที่ 1.4% แต่หากรัฐบาลมีสัญญาณที่เป็นเชิงบวกในช่วงระยะเวลาอันสั้น ตอบโจทย์สร้างความเชื่อมั่นกระตุ้นเศรษฐกิจ และดูแลเอสเอ็มอี เป็นไปได้ว่าจีดีพีปีหน้าแนวโน้มจะปรับเพิ่มขึ้น

Advertisement

Verified by ExactMetrics