วันที่ 17 พฤษภาคม 2024

จับกุม “บุหรี่ไฟฟ้า” ใกล้สถานศึกษา กว่า 12,000 ชิ้น เผยทำแพ็คเกจเป็นขนม ปากกา กล่องนม ตบตา

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 10 เมษายน 2567 ทำเนียบรัฐบาล ”พวงเพ็ชร“ แถลงจับกุมผู้ลักลอบขาย “บุหรี่ไฟฟ้า” ใกล้สถานศึกษา โซน กทม. ยึดของกลางกว่า 12,000 ชิ้น มูลค่า 3.6 ล้านบาท หวั่นทำลายสมองเด็ก-เยาวชน

นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ นายธสรณ์อัฑฒ์ ธนิทธิพันธ์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค และ พ.ต.อ.เจษฎา ยางนอก ผู้กำกับ สน.วังทองหลาง แถลงข่าว ผลการจับกุมบุหรี่ไฟฟ้าใกล้สถานศึกษา หลังเมื่อช่วงค่ำของวันที่ 9 เม.ย. ที่ผ่านมา ได้สนธิกำลังลงพื้นที่ 3 จุด จำนวน 5 ร้านค้า ประกอบด้วยบริเวณซอยรัชดาภิเษก 36 (ซอยเสือใหญ่) เขตจตุจักร จำนวน 3 ร้าน, ซอยลาดพร้าว 122 (ซอยมหาดไทย) เขตวังทองกลาง จำนวน 1 ร้าน และซอยรามคำแหง 65 ถนนศรีวรา เขตวังทองหลาง จำนวน 1 ร้าน ยึดของกลางได้ 20 กระสอบ กว่า 12,000 ชิ้น เป็นเงินกว่า 3.6 ล้านบาท

สืบเนื่องจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันปราบปราม จับกุมผู้ลักลอบนำเข้าและจำหน่าย “บุหรี่ไฟฟ้า” อย่างจริงจังและเด็ดขาด โดยเฉพาะร้านที่อยู่ใกล้สถานศึกษา ให้มีการออกมาตรการป้องกันและรณรงค์โทษของบุหรี่ไฟฟ้า สร้างความตระหนักรู้ รวมถึงให้มีการตรวจตราอย่างเข้มงวด ทั้งที่สถานศึกษาและการจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มเด็กและเยาวชน

นางพวงเพ็ชร กล่าวว่า แพ็คเกจของบุหรี่ไฟฟ้าที่ขายใกล้สถานศึกษา เป็นแพ็คเกจที่ออกแบบมาล่อเด็กและเยาวชน เช่นออกแบบมาในรูปแบบที่เป็นเหมือนขนม ปากกา หรือกล่องนม ทำให้อาจารย์ในสถานศึกษา ไม่ทราบ อีกทั้งสารนิโคติน ในบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสารอันตรายทำลายสมอง ในการพัฒนาของวัยรุ่นไปจนถึงอายุ 25 ปี การรับนิโคตินในช่วงวัยรุ่นจะส่งผลต่อการเรียนรู้ อารมณ์ และจะเพิ่มความเสี่ยงในการติดยาชนิดอื่น

“เราต้องเร่งให้ความรู้เด็กและเยาวชน รวมถึงผู้ปกครอง ให้เฝ้าระวังการระบาดของบุหรี่ไฟฟ้า และรู้ถึงโทษที่ส่งผลต่อร่างกายและพัฒนาการของเด็ก ที่ผ่านมาได้พูดคุยกับคณะผู้บริหารสถานศึกษาในพื้นที่กรุงเทพมหานคร 437 แห่ง ให้เร่งสร้างความตระหนักรู้เรื่องบุหรี่ไฟฟ้า ขณะเดียวกัน ขอความร่วมมือผู้ปกครองและผู้ใกล้ชิดเด็กและเยาวชน คอยสังเกตุและตรวจสอบสิ่งที่คาดว่าจะเป็นบุหรี่ไฟฟ้า และคอยตักเตือนและให้ความรู้ ป้องกันไม่ให้เด็กตกเป็นเหยื่อของมหันตภัยร้ายที่จะทำลายอนาคตของชาติ” นางพวงเพ็ชร กล่าว

ด้าน นายธสรณ์อัฑฒ์ ระบุว่า การจับกุม สคบ.ใช้กฎหมายตามประกาศคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค และ พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.2522 หากฝ่าฝืนต้องโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 6 แสนบาท อีกทั้งยังผิดกฎหมาย พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2546 คือ ห้ามนำเข้า หากฝ่าฝืนจำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับอีก 4 เท่าของมูลค่า โดยหลังจากนี้ของกลางทั้งหมด จะส่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดี และหลังมีคำพิพากษาจากศาล ก็จะมีมาตรการในการทำลายสินค้าดังกล่าว เพื่อไม่ให้หมุนเวียนกลับเข้ามาอยู่ในระบบ และทำร้ายเด็กและเยาวชน โดยจะให้สื่อมวลชนเป็นสักขีพยานในการทำลายด้วย

ทั้งนี้ผู้ต้องหาที่จับได้ ล้วนเป็นผู้รับจ้างขาย ซึ่งเป็นคนประเทศเพื่อนบ้าน โดยจะต้องมีการขยายผลสืบสวน และสอบสวนเพื่อจับกลุ่มผู้ว่าจ้างต่อไป ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างการตรวจสอบของกลางที่ยึดมาได้นั้น นางพวงเพ็ชร ได้หยิบบุหรี่ไฟฟ้าที่แพ็คเกจมีสีส้ม และมีโลโก้ลักษณะคล้ายโลโก้ของพรรคก้าวไกล จึงอยากให้เจ้าของพรรคได้ตรวจสอบและดำเนินการในการนำโลโก้ของพรรคมาใช้ ในบุหรี่ไฟฟ้าซึ่งเป็นสินค้าผิดกฏหมาย

Advertisement

ครม.เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติสมรสเท่าเทียม

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 19 ธันวาคม 2566 ครม.เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติสมรสเท่าเทียม เตรียมเสนอเข้าที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร 21 ธันวาคมนี้

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เพื่อรองรับเรื่องสมรสเท่าเทียม หรือ ร่าง พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม เสนอต่อที่ประชุมสภาในวันที่ 21 ธันวาคมนี้ โดยร่างกฎหมายฉบับนี้ผ่านขั้นตอนการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนและหน่วยงานต่างๆ ซึ่งคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจสอบความรอบคอบแล้ว

สำหรับกฎหมายฉบับนี้ จะทำให้บุคคลเพศเดียวกันสามารถสมรสกันได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มีสิทธิหน้าที่และสถานะทางครอบครัวเท่าเทียมกับคู่สมรสชายและหญิง สร้างความเข้มแข็งให้แก่สถาบันครอบครัว ที่มีความหลากหลายทางเพศ พร้อมขอแสดงความยินดีกับทุกฝ่าย

Advertisement

กดปุ่มโอนเงินอุดหนุนเด็กแล้ว 1,461 ล้านบาท

People Unity News : 11 มีนาคม 2566 “ทิพานัน” แจ้งข่าวดี “พล.อ.ประยุทธ์” กดปุ่มโอนเงินอุดหนุนเด็กแล้ว 1,461 ล้านบาท ให้ผู้ปกครอง 2.3 ล้านราย ย้ำมุ่งพัฒนาเด็กทุกช่วงวัยตั้งแต่แรกเกิด ส่งเงินตรงถึงมือกลุ่มเปราะบาง ทันที

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มุ่งลดเหลื่อมล้ำในทุกมิติ ควบคู่ไปกับการลงทุนเพื่อพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ รองรับเด็กทุกช่วงวัยตั้งแต่แรกเกิดจนถึงวัยทำงาน โดยได้จ่ายเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด จำนวน 600 บาท ให้แก่เด็กแรกเกิดในครัวเรือนยากจนหรือครัวเรือนที่เสี่ยงต่อความยากจน เพื่อให้เด็กได้รับการดูแลให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีพัฒนาการเหมาะสมตามวัยตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. 2558 เป็นต้นมา

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า ล่าสุดขอแจ้งข่าวดีพี่น้องประชาชน เงินอุดหนุนเด็กประจำเดือนมีนาคม 2566 เข้าบัญชีแล้วเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2566 สำหรับผู้ปกครองที่มีสิทธิรับเงินอุดหนุนรายเดิมและรายใหม่ที่ลงทะเบียนสมบูรณ์ในระบบก่อนวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2566 จำนวน 2,313,966 ราย เป็นจำนวนเงิน 1,461,718,200 บาท ทั้งนี้ผู้ปกครองที่ได้รับสิทธิสามารถตรวจสอบยอดเงินจากเลขที่บัญชีธนาคารหรือพร้อมเพย์ที่แจ้งรับเงินอุดหนุนไว้ ส่วนการตรวจสอบสถานะสิทธิเงินอุดหนุนบุตรนั้น สามารถตรวจสอบได้ 3 ช่องทาง คือ 1)เว็บไซต์กรมกิจการเด็กและเยาวชน https://csgcheck.dcy.go.th/public/eq/popSubsidy.do 2)แอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” และ 3)แอปพลิเคชัน “เงินเด็ก”

สำหรับผู้ปกครองที่ต้องการลงทะเบียนรับเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด ต้องมีคุณสมบัติดังนี้

1.เป็นบิดา มารดา หรือบุคคลอื่นที่เป็นผู้เลี้ยงดูเด็กแรกเกิด

2.เด็กแรกเกิดต้องอาศัยร่วมด้วย

3.เป็นครอบครัวที่มีรายได้น้อย เฉลี่ยไม่เกิน 100,000 บาท/ คน /ปี

ส่วนเด็กแรกเกิดต้องมีอายุไม่เกิน 6 ปี มีสัญชาติไทย อาศัยอยู่กับผู้ปกครองในครอบครัวที่มีรายได้น้อยและไม่อยู่ในสถานสงเคราะห์ของหน่วยงานรัฐ หรือเอกชนตามที่อธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชนประกาศกำหนด หากเข้าเกณฑ์คุณสมบัติรับเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด สามารถลงทะเบียนผ่านออนไลน์ได้ที่แอปพลิเคชั่นเงินเด็ก ตลอด 24 ชั่วโมง หรือติดต่อลงทะเบียนได้ในพื้นที่ที่เด็กแรกเกิดและผู้ปกครองอาศัยอยู่จริง โดยกรุงเทพมหานคร ลงทะเบียนที่สํานักงานเขต เมืองพัทยา ลงทะเบียนที่ศาลาว่าการเมืองพัทยา ส่วนภูมิภาค ลงทะเบียนที่องค์การบริหารส่วนตําบล หรือเทศบาล สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ช่วยเหลือสังคม โทร. 1300 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือ ศูนย์ปฏิบัติการโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด โทร.082-091-7245, 082-037-9767, 083-4313533, 065-731-3199(ในวันเวลาราชการ จันทร์ – ศุกร์ เวลา 08.30 – 17.00 น.)

“พล.อ.ประยุทธ์ ไม่เพียงมุ่งพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ด้วยการให้เงินอุดหนุนเด็ก 600 บาท และยังช่วยเหลือค่าครองชีพกลุ่มเปราะบางทั้ง เบี้ยผู้สูงอายุ 600-1,000 บาท ตามเกณฑ์อายุ และ เบี้ยผู้พิการ 800-1,000 บาท ตามเกณฑ์อายุอีกด้วย ซึ่งเป็นการช่วยเหลือที่ส่งเงินตรงถึงมือประชาชน” น.ส.ทิพานัน กล่าว

Advertisement

สภากาชาดไทย ชวนบริจาคโลหิตรับเทศกาลตรุษจีน สร้างบุญ เสริมเฮง

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์  : 3 กุมภาพันธ์ 2567 ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย เชิญชวนประชาชนร่วมบริจาคโลหิตเป็นมงคลชีวิต ต้อนรับเทศกาลตรุษจีน ระหว่างวันที่ 9-11 ก.พ.67 ณ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย และหน่วยรับบริจาคโลหิตประจำที่ 7 แห่ง (Fixed Station) รับปฏิทินจีน เป็นของที่ระลึก

รองศาสตราจารย์ แพทย์หญิงดุจใจ ชัยวานิชศิริ ผู้อำนวยการศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย เปิดเผยว่า วันตรุษจีน ถือเป็นเทศกาลสำคัญของจีน เพราะถือว่าเป็นวันขึ้นปีใหม่ ซึ่งในปี 2567 วันตรุษจีนตรงกับวันเสาร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2567 ทั้งนี้เพื่อเป็นการเริ่มต้นทำสิ่งดีๆ ในเทศกาลตรุษจีน ซึ่งในปีนี้ตรงกับปีนักษัตรมะโรงหรือปีมังกรทอง นับเป็นปีมงคลที่เหมาะแก่การทำบุญเสริมมงคลชีวิตให้แก่ตนเองและครอบครัว ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ขอเชิญชวนชาวไทยเชื้อสายจีน และประชาชนทั่วไป ร่วมบริจาคโลหิตในโครงการ “ตรุษจีนนี้ มอบโลหิต เป็นมงคลชีวิต” ระหว่างวันที่ 9-11 กุมภาพันธ์ 2567 ณ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย และหน่วยรับบริจาคโลหิตประจำที่ 7 แห่ง (Fixed Station) ผู้บริจาคโลหิตจะได้รับปฏิทินจีน “Year of The Dragon Chinese New Year 2024” แทนคำขอบคุณ เพื่อมอบเป็นที่ระลึกให้กับผู้บริจาคโลหิต ในช่วงเทศกาลตรุษจีน และส่งต่อพลังดีๆ ต้อนรับปีมังกรทอง

การทำบุญด้วยการบริจาคโลหิต นับได้ว่าเป็นการให้ทานที่ยิ่งใหญ่และเป็นบุญกุศลแก่ผู้ให้ เพราะเป็นการสละโลหิตในร่างกายของตนเอง เพื่อช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ และผู้ที่ต้องการใช้โลหิตในการรักษา นอกจากจะได้บุญในการช่วยเหลือผู้ป่วยแล้ว การบริจาคโลหิตยังส่งผลให้ผู้บริจาคมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงอีกด้วย ทั้งนี้สามารถบริจาคโลหิตได้เป็นประจำทุก 3 เดือน เพื่อให้มีปริมาณโลหิตที่เพียงพอสำหรับผู้ป่วยอย่างยั่งยืน

บริจาคโลหิตได้ที่ : ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ถนนอังรีดูนังต์, หน่วยรับบริจาคโลหิตประจำที่ (Fixed Station) ได้แก่ สถานีกาชาด 11 วิเศษนิยม (บางแค) เดอะมอลล์ สาขาบางแค สาขาบางกะปิ สาขางามวงศ์วาน สาขาท่าพระ ศูนย์การค้าดิเอ็มโพเรียม และบ้านทรงไทย (ย่านวงศ์สว่าง)

ภาคบริการโลหิตแห่งชาติ 12 แห่งทั่วประเทศ ได้แก่ จังหวัดลพบุรี ชลบุรี ราชบุรี นครราชสีมา ขอนแก่น อุบลราชธานี นครสวรรค์ พิษณุโลก เชียงใหม่ นครศรีธรรมราช (ทุ่งสง) สงขลา และภูเก็ต

โรงพยาบาลสาขาบริการโลหิตทั่วประเทศ

Advertisement

กต.-มูลนิธิไทย มอบรางวัลทูตสาธารณะครั้งแรกของไทย 

People Unity News : 20 ตุลาคม 2565 กต. จับมือมูลนิธิไทย มอบรางวัลการทูตสาธารณะเชิดชูเกียรติบุคคลทำงานสาธารณประโยชน์ ด้าน “นพ.สุนทร อันตรเสน” ผู้รับมอบรางวัลคนแรก ชี้เป็นกำลังใจให้เดินหน้าทำงานต่อ และหวังสร้างแรงบันดาลใจให้คนไทยคนอื่นด้วย

กระทรวงการต่างประเทศ โดยนายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ร่วมกับมูลนิธิไทย โดยนายจิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา ประธานกรรมการมูลนิธิไทย และนายธฤต จรุงวัฒน์ เลขาธิการมูลนิธิไทย จัดทำโครงการรางวัลการทูตสาธารณะเพื่อเชิดชูเกียรติบุคคล กลุ่มบุคคล หรือองค์กรที่ดำเนินงานสาธารณประโยชน์ มนุษยธรรม วัฒนธรรม กีฬา นวัตกรรม จนสามารถสร้างชื่อเสียงแก่ประเทศไทยและได้รับการยอมรับในต่างประเทศ

นายธฤต กล่าวว่า ปีนี้เป็นครั้งแรกที่มีการมอบรางวัลนี้ เพื่อจารึกเป็นเกียรติสำหรับผู้ที่ทำคุณประโยชน์ โดยนายแพทย์สุนทร อันตรเสน เป็นผู้ได้รับมอบรางวัล จากที่มีการเสนอรายชื่อมา 8 คน โดยถือว่ามีผลงานโดดเด่นในการนำหน่วยแพทย์เคลื่อนที่โรคหูมากว่า 30 ปี ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ และในฐานะที่เป็นคนไทยช่วยให้คนหายป่วยได้ ทำให้ได้รับความประทับใจ และทำให้ประเทศไทยเป็นที่รู้จักนิยม ได้รับการยอมรับ จึงถือเป็นการส่งเสริมให้ผู้รับรางวัลสามารถดำเนินงานตามเจตนารมณ์ต่อไป และสร้างแรงบันดาลใจให้แก่บุคคล กลุ่มบุคคล หรือองค์กรอื่น อีกทั้งสร้างความตระหนักรู้ว่าประชาชนทั่วไปก็สามารถมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนงานการทูตสาธารณะได้

ด้านนายแพทย์สุนทร อันตรเสน กล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติอย่างสูงที่ได้รับรางวัลในครั้งนี้ และเป็นกำลังใจให้ตนและทีมงานได้เดินหน้าทำงานต่อไป ซึ่งได้ทำงานหน่วยแพทย์เคลื่อนที่โรคหูมาตั้งแต่ปี 2518 ทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงบริเวณชายแดน เมื่อเห็นคนไข้มาหาก็อยากจะช่วย การออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ดีกว่าตั้งรับอยู่เฉยๆ ทั้งนี้ ที่ผ่านมามีคนไข้หลากหลาย รวมถึงรัฐมนตรีของเมียนมาด้วย และหลายเคสหากไม่ช่วยอาจจะเสียชีวิตจากฝีในสมองอักเสบได้ พร้อมทั้งหวังว่าการที่มีการมอบรางวัลเช่นนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้คนทำงาน เพื่อสาธารณะมากขึ้น ซึ่งในส่วนของตนก็อยากได้คนมาสานต่อ เพราะตอนนี้อายุ 82 ปีแล้ว

สำหรับผู้ได้รับรางวัลในปีนี้คือ นายแพทย์สุนทร อันตรเสน ซึ่งมีผลงานเด่นในการนำหน่วยแพทย์เคลื่อนที่โรคหู (Ear Surgery Mobile Unit) ไปให้บริการตรวจรักษาและผ่าตัดโรคหูให้แก่ประชาชนในท้องถิ่นพื้นที่ห่างไกลในประเทศต่างๆ เช่น จีน อินเดีย บังกลาเทศ เคนยา เมียนมา สปป ลาว เวียดนาม และกัมพูชา ต่อเนื่องยาวนานกว่า 30 ปี โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย

Advertisement

ค่า PM 2.5 พุ่งจากเพื่อนบ้าน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 21 มีนาคม 2567 “พล.ต.อ.พัชรวาท” เผยค่าฝุ่น PM 2.5 พุ่งคืนวานนี้ เหตุจากประเทศเพื่อนบ้าน กางแผนที่ให้สื่อดูจุดความร้อนจำนวนมาก

พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานประชุมคณะอำนวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติ​พระ​บาท​สมเด็จ​พระเจ้าอยู่หัว​ เรื่องในโอกาสมหามงคล เฉลิมพระชนม์พรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ที่ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล โดยให้สัมภาษณ์กรณีปริมาณฝุ่น PM 2.5 ที่หนาแน่น คืนวานนี้ (20 มี.ค.) จนหลายพื้นที่รู้สึกได้ถึงกลิ่นเหม็นไหม้ ว่า มันเกิดขึ้นนอกประเทศเรา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทีมงานของรัฐมนตรีได้เปิดแผนที่ให้สื่อดูจุดความร้อน ซึ่งเกิดขึ้นในประเทศเพื่อนบ้านจำนวนมากและพัดเข้ามาปกคลุมในประเทศ

Advertisement

กทม.พร้อมขานรับนโยบายรัฐบาลเปิดสถานบันเทิงถึงตี 4

People Unity News : 16 ตุลาคม 2566 กทม.พร้อมขานรับนโยบายรัฐบาล ขยายเวลาเปิด-ปิดสถานบันเทิง ในพื้นที่กรุงเทพฯ ถึงเวลา 04.00 น. เพื่อส่งเสริมและกระตุ้นเศรษฐกิจ

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยถึงความพร้อมในการขยายเวลาเปิด-ปิดสถานบันเทิง ถึงเวลา 04.00 น. ในพื้นที่กรุงเทพฯ ตามนโยบายของรัฐบาล ว่า กทม.ไม่ขัดข้องในนโยบายดังกล่าว โดยก่อนหน้านี้ได้หารือกับทางคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟพาวเวอร์แห่งชาติ เรื่อง Soft Power ที่เสนอความคิดร่วมกันที่จะทำให้เรื่องดังกล่าวชัดเจนและก็มีมาตรการรองรับในการป้องกันไม่ให้เยาวชนเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งในปัจจุบันยังเห็นผับที่เปิดเกินเวลาอยู่บ้างถ้าทุกคนออกมาร่วมกันทำให้ถูกกฎหมายและทำให้มีระเบียบในการเข้า-ออกให้ชัดเจน ทางส่วนของกทม. ก็ไม่น่าจะมีข้อขัดข้องอันใดและคิดว่าเป็นเรื่องที่ดี

ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวด้วยว่า ในการปฏิบัติอาจจะต้องปรับปรุงการแบ่งโซน ให้เหมาะสมกับปัจจุบัน เนื่องจากไม่ค่อยทันสมัยตามการขับเคลื่อนของเมืองที่เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ โดยต้องหารือกับทางตำรวจอีกทางหนึ่ง เพื่อไม่ให้เกิดเสียงดังสร้างความรำคาญให้ผู้อยู่อาศัยบริเวณใกล้เคียง โดยต้องมีกรอบในการปฏิบัติให้ชัดเจน รวมถึงในแง่ของการกำกับดูแลไม่ให้เยาวชนเข้าสถานบันเทิงและการทำผิดกฎหมายในเรื่องยาเสพติดในพื้นที่ ซึ่งเชื่อว่าหากทำให้โปร่งใสและมีระเบียบปฏิบัติชัดเจนย่อมดีกว่าการลักลอบเปิดแบบผิดกฎหมายแน่นอน นอกจากนี้ยังมีผู้ที่เกี่ยวข้องในแง่เศรษฐกิจตรงนี้มากมาย เช่น พ่อค้า แม่ค้าในตลาดที่ขายของและทำอาหาร คนขับรถสาธารณะ เป็นต้น ซึ่งส่วนหนึ่งก็เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกทางด้วย จึงเป็นสิ่งที่ต้องวิเคราะห์ให้รอบด้านหลายมิติ โดยคาดว่าเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการทดลองเปิดสถานบันเทิงจนถึง 04.00 น. คือช่วงเทศกาลปีใหม่ประมาณเดือนธันวาคมนี้

Advertisement

รัฐบาลเตือนเที่ยวคืนฮาโลวีนอย่างระมัดระวัง

People Unity News : 30 ตุลาคม 2566 ทำเนียบรัฐบาล – โฆษกรัฐบาล เผย นายกฯ ห่วงใย ปชช.ทั้งใน ปท.และ ตปท. เที่ยวคืนฮาโลวีนอย่างระมัดระวัง มีสติ เลี่ยงสถานที่แออัด พลุกพล่าน

นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นห่วงคนไทยทุกพื้นที่ ในช่วงการเฉลิมฉลองเทศกาลฮาโลวีน และขอให้หลีกเลี่ยงการเฉลิมฉลองในสถานที่แออัด ซึ่งคืนพรุ่งนี้ (31 ต.ค.) เป็นวันฮาโลวีน สถานบันเทิงจะจัดงานเฉลิมฉลอง หน่วยงานต่าง ๆ จึงมีมาตรการคำแนะนำป้องกัน ดูแลความปลอดภัยคนไทย  เช่น ตำรวจท่องเที่ยว ได้ออกคำแนะนำทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ให้กับนักท่องเที่ยว ดังนี้ 1. วางแผนการเดินทางล่วงหน้า เพื่อให้รู้ว่าจะเดินทางไปอยู่ตรงไหน จะได้รู้จักเส้นทางก่อน และควรดูพยากรณ์อากาศด้วย 2. หากเป็นสถานที่ปิด ควรดูทางออกฉุกเฉิน และควรมีเพื่อนไปด้วยอย่างน้อย 1 คน 3. หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด เพื่อป้องกันเรื่องการถูกล้วงกระเป๋าจากมิจฉาชีพ และการไปเบียดเสียดกับคนอื่น 4. ดื่มอย่างมีสติ อย่าทิ้งตัว และดื่มไม่ขับ 5. อย่าลืมปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ หรือมาตรการรักษาความปลอดภัยของสถานที่นั้น ๆ หากมีเหตุฉุกเฉิน สามารถแจ้งได้ที่สายด่วน หมายเลข 1155 ตำรวจท่องเที่ยว

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  กล่าวว่า สถานที่หลัก ๆ ที่มีคนจำนวนมากและมีความเป็นห่วงมากก็คือ ถนนข้าวสาร เพราะมีลักษณะของพื้นที่คล้ายกับอิแทวอน สาธารณรัฐเกาหลี ซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุโศกนาฎกรรมเมื่อปีที่แล้ว  ขณะที่สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโซล ได้ออกประกาศ เรื่องมาตรการรักษาความปลอดภัยสำหรับคนไทยในสาธารณรัฐเกาหลี โดยขอให้คนไทยในสาธารณรัฐเกาหลีระมัดระวังการเข้าไปในสถานที่ที่คนพลุกพล่าน พยายามหลีกเลี่ยงการเข้าร่วมเฉลิมฉลองในเทศกาล ฮาโลวีน ที่อาจจัดขึ้นในสถานที่ต่าง ๆของสาธารณรัฐเกาหลีในปีนี้

นายชัย กล่าวว่า หากจะเข้าร่วมงาน ก็ขอให้ระมัดระวังในการไปรวมตัวยังสถานที่ที่มีผู้คนแออัด หรือมีฝูงชนเข้าร่วมงานเป็นจำนวนมากที่อาจเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นได้ เช่น การล้มทับกันของฝูงชนที่เบียดเสียดกัน ทั้งนี้ หากรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัย ก็ขอให้รีบหาทางหลบออกมาจากสถานที่ดังกล่าวโดยเร็ว หากคนไทยต้องการความช่วยเหลือในกรณีฉุกเฉิน สามารถติดต่อได้ที่ฝ่ายกงสุลของสถานเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงโซล เบอร์โทรศัพท์ +82 10-6747-0095 หรือ +82 10-3099-2955

“นายกรัฐมนตรี ห่วงใยคนไทยที่ต้องการเข้าร่วมช่วงการเฉลิมฉลอง ขอให้เที่ยวอย่างมีสติ เตรียมการเดินทาง เข้าร่วมกิจกรรม อย่างระมัดระวัง หลีกเลี่ยงบริเวณแออัด พื้นที่คนพลุกพล่าน เพื่อป้องกันอุบัติเหตุไม่คาดฝัน” นายชัย กล่าว

Advertisement

นายกฯ ชม “ผู้ว่า กทม.” ทำงานดีแต่ต้องพีอาร์มากขึ้น

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 23 กุมภาพันธ์ 2567 ศาลาว่าการ กทม. – นายกฯ เยือนศาลาว่าการ กทม. นั่งหัวโต๊ะประชุมพัฒนา กทม. ชม “ชัชชาติ” ทำงานดี แต่ต้องประชาสัมพันธ์เพิ่ม นอกจากสร้างความเข้าใจ ปชช.แล้ว ยังจูงใจ นทท.ด้วย

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานการประชุมติดตามความก้าวหน้าในการเร่งรัดการพัฒนากรุงเทพมหานคร ณ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ร่วมกับนางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. โดยนายกรัฐมนตรีรับฟังการบรรยายสรุปการประชุมติดตามการเร่งพัฒนากรุงเทพมหานคร จาก นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร

ผู้ว่าฯกทม. กล่าวว่า ขณะนี้ได้เร่งให้เป็นไปตามนโยบายสำคัญของรัฐบาล เช่น การขับเคลื่อนพัฒนากรุงเทพฯ การจัดการสาธารณูปโภคพื้นฐานและการจัดการด้านสังคม กับเรื่องเศรษฐกิจ ได้แก่  การแก้ปัญหาการจราจร โดยนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วย  การพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะที่ยังไม่ครอบคลุม ซึ่งด้านจราจร ถือว่าเป็นปัญหาที่มีมาอย่างยาวนาน เบื้องต้นจะกวดขันวินัยจราจร ติดตั้งกล้อง CCTV การปรับปรุงจุดที่เป็นคอขวดและงานก่อสร้าง ซึ่งมีหลายจุดในกรุงเทพฯ

นายกรัฐมนตรี กล่าวขอบคุณที่นำเสนอข้อมูลอย่างชัดเจน กรุงเทพฯ ถือเป็นแหล่งความเจริญสำคัญ แต่ยอมรับว่าการดำเนินการทุกอย่างขณะนี้ ยังขาดการสนับสนุนจากหลายหน่วยงาน จึงอาจจะยังไม่รวดเร็วทันใจ แต่หลายคนมีฝีมือและทำงานได้ดีในการเร่งพัฒนาหลายด้าน ต่อจากนี้อยากเห็นในหลาย ๆ หน่วยงานมาร่วมกันผลักดัน ซึ่งหากมีอะไรติดขัดนั้นสามารถให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีรับทราบและเร่งประสานกันสนับสนุนต่อไปได้

“สำหรับปัญหาการจราจร ยอมรับว่าประสบปัญหามานาน ที่ผ่านมาการทำงานของกรุงเทพฯ ถือว่าดี แต่ภาพรวมนั้นยังขาดการสื่อสาร หลายประเทศที่ผมเดินทางไป การจราจรอาจจะมีปัญหามากกว่าประเทศไทยด้วยซ้ำ สิ่งที่กรุงเทพฯ ต้องเร่งประชาสัมพันธ์การทำงานอย่างต่อเนื่องให้ประชาชนรับทราบมากกว่าเดิม เพราะถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวประเทศไทย รวมถึงกรุงเทพฯ มากขึ้นด้วยหากประชาสัมพันธ์ที่ดี” นายกรัฐมนตรี กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ด้านการเดินทางท่องเที่ยวที่กำลังเป็นปัญหาคือขนส่งมวลชน แท็กซี่โกงมิเตอร์ ในส่วนนี้ตนเข้าใจดีกว่าหากแท็กซี่รับผู้โดยสาร กดมิเตอร์เลย แล้วไปเจอรถติดเขาก็ไม่ได้เงิน ตรงนี้ก็ต้องเห็นใจทุกฝ่าย พร้อมฝากไปยังกระทรวงคมนาคมในการใช้เทคโนโนยีที่ทันสมัย เข้ามาแก้ไขปัญหาและพัฒนาให้ระบบทัดเทียมต่างประเทศ ส่วนเรื่องของแท็กซี่ผี ตุ๊กตุ๊กผี ขอฝาก พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. ดูแล เพราะอยากให้การเดินทางของนักท่องเที่ยวเกิดความประทับใจมากที่สุด

“ด้านการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 มั่นใจรัฐบาลบริหารจัดการฝุ่นได้ดี  แต่ปัญหาหลักตอนนี้คือด้านเศรษฐกิจ ที่การแก้ไขปัญหาของประชาชนต้องใช้เงิน  ทำให้ในด้านการเกษตรที่ต้องใช้งบประมาณเพิ่มในการกำจัดวัชพืชโดยไม่เผา ซึ่งได้ขอบคุณทางกรุงเทพมหานครที่แจกเครื่องอัดฟางให้กับเกษตรกรในเขตหนองจอก ทำให้ลดปริมาณการเผาลงได้มาก รวมทั้งปัญหาของเพื่อนบ้าน ซึ่งข้อจำกัดการจัดการหลายอย่าง แต่รัฐบาลได้ต่อสายตรงหลายประเทศเพื่อนบ้านเพื่อรับฟังและแก้ไขปัญหาไปพร้อมกัน ขณะนี้ปัญหาฝุ่นลดลงมาก หากผลักดันได้ให้ใช้ขนส่งมวลชน รถยนต์ส่วนบุคคลแบบไฟฟ้าคงจะดีมากขึ้น รัฐบาลจริงจังจริงใจแก้ปัญหา” นายกรัฐมนตรี กล่าว

ผู้สื่อข่าวได้เปรียบเทียบการแก้ไขปัญหาจราจรสมัยนายทักษิณ ชินวัตรเป็นนายกรัฐมนตรีและนายชัชชาติ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมว่ามีประสิทธิภาพปัญหาลดลงมากกว่าตอนนี้  นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่แน่ใจว่ากลับไปเหมือนเดิมหรือไม่ แต่เชื่อว่าการแก้ไขปัญหาสามารถทำได้ดีกว่านี้ ตอนนี้ยังแก้ไขปัญหาและบริหารงานอย่างจริงจัง ทั้งเรื่องการเดินทางขนส่งมวลชน การลดราคาค่าโดยสาร

ด้านนายชัชชาติ กล่าวเสริมว่า การแก้ไขปัญหา ไม่ใช่การสร้างถนน แต่เป็นการสร้างขนส่งมวลชนที่ดี ซึ่งขณะนี้กรุงเทพมหานครกำลังดำเนินการอยู่เช่นกัน

ส่วนแนวคิดที่กรุงเทพมหานครพิจารณาย้ายท่าเรือคลองเตย นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ต้องตรวจสอบให้รอบด้าน ต้องดูการสร้างท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบัง เฟส 1-2 หากเสร็จสมบูรณ์ก็ต้องดำเนินการควบคู่กันไป แต่ต้องไม่กระทบการขนส่ง ซึ่งนายชัชชาติ กล่าวต่อว่า เรื่องท่าเรือคลองเตยอยู่ในวาระฝุ่นแห่งชาติ ปี 2562 แล้ว จะบอกว่าต้องกลับมาทบทวนว่าแนวทางดังกล่าวจะเหมาะสมหรือไม่ แต่ตัวอย่างจากหลายประเทศก็ไม่มีท่าเรือขนาดใหญ่ในเมืองหลวง

นายกรัฐมนตรี ย้ำว่า การทำงานระหว่างรัฐบาลกับกรุงเทพมหานครไม่มีปัญหา ที่ผ่านมาเห็นชัดกันอยู่แล้วว่าสามารถโทรติดต่อเพื่อขอประสานงาน ยกหูสายตรงได้ตลอดเวลา ทั้งนี้ หลังการประชุม นายกรัฐมนตรีได้ร่วมกับส่วนราชการกรุงเทพมหานคร ปล่อยขบวนเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานพัฒนากรุงเทพมหานคร ที่บริเวณลานคนเมือง

Advertisement

ชาวบ้านเรียกร้องต่ออายุราชการ “ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร” แต่เจ้าตัวขอเดินหน้าทำงานภาคประชาชน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 2 มีนาคม 2567 นครราชสีมา – ชาวบ้านเสียดาย “ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร” ผอ.สำนักอุทยานแห่งชาติ จะเกษียณในอีก 7 เดือน อยากให้ต่ออายุราชการอีก 1 ปี ด้านเจ้าตัวฝากขอบคุณ แต่ขอเดินหน้าทำงานในบทบาทภาคประชาชน

กลุ่มเพื่อนชาวจังหวัดมหาสารคาม และขอนแก่น ที่นำรถจักรยานมาปั่นออกกำลังกายบนอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ และพื้นที่โดยรอบ เกาะติดข่าวสารเกี่ยวกับพื้นที่พิพาทระหว่างอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ และ ส.ป.ก. จนมีอารมณ์ร่วม ได้แสดงความคิดเห็นหลังทราบข่าว นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผู้อำนวยการสำนักอุทยานแห่งชาติ จะเกษียณอายุราชการในอีก 7 เดือนว่า รู้สึกเสียดายข้าราชการที่มีความกล้าหาญ ปกป้องผืนป่า โดยไม่หวั่นเกรงอิทธิพลใดๆ จึงอยากให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ต่ออายุราชการให้อีกสัก 1 ปี เหมือนที่กรมอุทยานฯ ทำให้กับนายสุทธิพร สินค้า ผู้พิทักษ์ช้างป่าเขาใหญ่ ในปีที่ผ่านมา ซึ่ง ผอ.ชัยวัฒน์ ก็มีคุณสมบัติพิเศษของข้าราชการที่หาได้ยากเช่นกัน

ด้าน ผอ.ชัยวัฒน์ เปิดใจทางโทรศัพท์กับผู้สื่อข่าวว่า ฝากขอบคุณกำลังใจจากพี่น้องประชาชน ทั้งที่มีให้ตนและเจ้าหน้าที่ทุกคนของกรมอุทยานฯ ตั้งแต่ตนได้รับการบรรจุเป็นข้าราชการตั้งแต่ปี 2533 ก็ทำงานอนุรักษ์ป่ามาอย่างเต็มที่ ไม่เฉพาะความต้องการของประชาชน แต่อธิบดีกรมอุทยานฯเอง ก็เห็นความตั้งใจของตน บอกว่า จะตั้งเป็นที่ปรึกษาหลังเกษียณอายุราชการ แต่ตนปฏิเสธ เพราะถือว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ได้ทุ่มเททำงานอย่างเต็มที่แล้ว บทบาทในภาคประชาชนน่าจะทำงานคล่องตัวกว่า

นายสาโรจน์ ประพันธ์ อดีตผู้ช่วยหัวหน้าอุทยานแห่งชาติ ซึ่งทำงานปกป้องป่า ในช่วงปี 2535 – 2551 รวม 16 ปีเต็ม กำลังร่างจดหมายเปิดผนึกถึงประชาชน ในชื่อ “ส.ป.ก.รุกป่าเขาใหญ่ อะไรเท็จ อะไรจริง ความเป็นไป อนาคตที่สุ่มเสี่ยงของป่าผืนนี้ โดยราคาที่ดินเขาใหญ่ จากไร่ละไม่ถึงหมื่น มาเป็นไร่ละไม่ต่ำกว่า 5 ล้านบาท จึงเป็นต้นตอให้กลุ่มทุนการเมืองอยู่เบื้องหลังการรุกป่าเขาใหญ่

โดยบริเวณเขาใหญ่ เกิดความทับซ้อนกันของหน่วยงานราชการถึง 5 พื้นที่ ได้แก่

เป็นพื้นที่ของป่าเขาใหญ่ ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองและสงวนป่า พ.ศ.2481

เป็นพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ตาม พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2505

เป็นพื้นที่สวนป่าของหน่วยจัดการต้นน้ำลำตะคอง

เป็นพื้นที่นิคมสร้างตนเองลำตะคอง พ.ศ.2515

เป็นพื้นที่ ส.ป.ก. พ.ศ.2530

สำหรับข้อเสนอบางส่วน ระบุว่า ต้องผลักดันให้มีการออกพระราชกฤษฎีกาผนวกพื้นที่สวนป่า และพื้นที่อื่นๆ ที่เหมาะสมเข้าเป็นอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่โดยเร็ว ส่วนความเห็นที่เสนอให้ทำเป็นพื้นที่กันชน กำหนดให้เป็นป่าชุมชนนั้น นายสาโรจน์ มองว่า ยังมีความสุ่มเสี่ยงสูงที่จะถูกบุกรุกทำลาย แล้วถ่ายโอนไปสู่กลุ่มทุนการเมืองได้ในที่สุด เนื่องจากการจัดการป่าชุมชนส่วนใหญ่ มักจะล้มเหลว มีน้อยมากที่ประสบความสำเร็จ โดยพื้นที่สำเร็จมักเป็นชุมชนดั้งเดิมที่มีวิถีชีวิตผูกพัน พึ่งพิงป่าอย่างใกล้ชิด ทำให้เกิดความรัก ความหวงแหน ช่วยกันดูแลรักษาป่าโดยชุมชน ผิดกับป่าชุมชนที่เกิดจากการจัดตั้งโดยหน่วยงานราชการ

Advertisement

Verified by ExactMetrics