วันที่ 17 พฤษภาคม 2024

“ไทย” ติดอันดับ 3 Top Countries in the World

People Unity News : 6 ตุลาคม 2565 นายกฯ ยินดี ไทยติดอันดับ 3 Top Countries in the World จาก Condé Nast Traveler Readers’ Choice Awards 2022 ขอบคุณคนไทยช่วยให้ประเทศเป็นจุดสนใจของโลก พร้อมเดินหน้าทำงาน สนับสนุนการท่องเที่ยวกระตุ้นเศรษฐกิจ

นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบและยินดี ที่ประเทศไทยได้อันดับ 3 “ประเทศระดับท็อปของโลก” (Top Countries in the world) และกรุงเทพฯ ได้อันดับ 4 “เมืองที่ดีที่สุดในโลก” ในขณะที่เกาะ โรงแรม และรีสอร์ทของไทยหลายแห่ง ยังติดอันดับสูงในรายการ ‘ดีที่สุด’ อื่นๆอีกด้วย

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากรายงานผลการประกาศรางวัล Condé Nast Traveler Readers’ Choice Awards 2022 ประเทศไทยได้รับเลือกให้เป็นอันดับที่ 3 ใน Top Countries in the World จากทั้งหมด 48 ประเทศ โดยได้รวม 90.46 คะแนน และอันดับ 1 คือ โปรตุเกส (91.22 คะแนน) และอันดับ 2 ญี่ปุ่น (91.17 คะแนน) ในขณะที่อันดับ 4 คือ สิงคโปร์ (90.09 คะแนน) โดยไทยและสิงคโปร์ เป็น 2 ประเทศในภูมิภาคอาเซียนที่ได้รับการจัดให้อยู่ใน 10 อันดับแรก

นอกจากนี้ กรุงเทพฯ เมืองหลวงของประเทศไทยก็ติดอันดับ 4 เมืองที่ดีที่สุดในโลก (Best Cities in the World) โดยกรุงเทพฯ ก็เป็นเพียง 1 ใน 2 เมืองในภูมิภาคอาเซียนที่ติดอันดับ 10 เมืองที่ดีที่สุดในโลกเช่นกัน ด้วยคะแนน 89.36 ซึ่ง เมืองซาน มิเกล เด อัลเลนเด (San Miguel de Allende) ประเทศเม็กซิโก ได้รับการจัดอันดับที่ 1 ด้วยคะแนน 92.94 สิงคโปร์ อันดับที่ 2 (89.49 คะแนน) และอันดับ 3 เมืองวิคทอเรีย ประเทศแคนาดา (89.46 คะแนน) ตามลำดับ

ในขณะที่การจัดอันดับ 10 ‘เกาะยอดนิยม’ ในเอเชีย เกาะสมุยได้อันดับที่ 3 ด้วยคะแนน 92.13 ภูเก็ตอยู่ที่ 5 ด้วย 90.88 คะแนน ส่วนเกาะพีพี อยู่ที่อันดับ 10 ด้วยคะแนน 76.41 นอกจากนี้ การประกาศรางวัลดังกล่าวได้มีการจัดอันดับ The Best ในส่วนของของรีสอร์ท โรงแรม สปา และอื่นๆ ซึ่งประเทศไทยก็ติดอันดับสูงในหลายรายการอีกด้วย

นายอนุชา กล่าวว่า รัฐบาลขอขอบคุณทุกภาคส่วน โดยเฉพาะประชาชนทุกคน ที่มีส่วนร่วมสร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทย จากเสน่ห์ และความมีเอกลักษณ์ของประเทศ จนได้รับการยอมรับจากการจัดอันดับด้านต่างๆหลายรายการจากทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ไทยมีชื่อเสียงในสายตานักท่องเที่ยวทั่วโลก เป็นที่สนใจชาวต่างชาติประสงค์เดินทางมาไทย ทั้งเพื่อเดินทางมาท่องเที่ยว ทำงาน และมาอยู่อาศัย ซึ่งรัฐบาลได้อำนวยความสะดวกให้เกิดการเดินทางกระตุ้นเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น ทั้งนี้ รัฐบาลพร้อมดำเนินนโยบายที่เหมาะสม สอดคล้องกับความต้องการของกระแสโลก เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวไทย

Advertisement

พม. ติดริบบิ้นสีขาวให้นายกฯ รณรงค์ยุติความรุนแรง

People Unity News : 21 พฤศจิกายน 2566 ทำเนียบ – “วราวุธ” นำทีมติดเข็มกลัดริบบิ้นสีขาวให้นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี รณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัว

นายวราวุธ  ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ติดเข็มกลัดริบบิ้นสีขาว (White Ribbon) ให้แก่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี เพื่อรณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้สังคมตระหนักถึงปัญหาความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัว รวมทั้งกระตุ้นให้ทุกภาคส่วนในสังคมเข้ามามีส่วนร่วมในการรณรงค์ยุติความรุนแรง โดยใช้ “ริบบิ้นสีขาว” (White Ribbon) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์สากล เพื่อแสดงถึงการไม่ยอมรับ ไม่นิ่งเฉย และไม่กระทำความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัวทุกรูปแบบ

นายวราวุธ กล่าวว่า ด้วยวันที่ 25 พฤศจิกายนของทุกปี เป็นวันยุติความรุนแรงต่อสตรีสากล กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว ได้จัดกิจกรรมรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัวต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี โดยปีนี้ กำหนดจัดขึ้นภายใต้แนวคิด “รวมพลังหยุดความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัว” (Unite for the Prevention of Violence against Women and Children) ในวันที่ 25 พ.ย. 66 ณ จังหวัดสุพรรณบุรี โดยร่วมกับภาคีเครือข่าย เดินขบวนรณรงค์เชิงสัญลักษณ์ เพื่อรวมพลังยุติความรุนแรงในสังคมทุกรูปแบบ และจัดพิธีมอบรางวัลเชิดชูเกียรติแก่บุคลากรและหน่วยงานที่สนับสนุนและส่งเสริมการยุติความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัว

อีกทั้ง สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดทั่วประเทศ (76 จังหวัด) พร้อมใจกันจัดกิจกรรมเดินรณรงค์ฯ เพื่อสร้างพลังกระแสสังคม และกระตุ้นให้สังคมตระหนักถึงปัญหาความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัว ตลอดจนเข้ามามีส่วนร่วมในการรณรงค์ สนับสนุน และจัดกิจกรรมด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรงฯ อันแสดงถึงการ “รวมพลังหยุดความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัว”

Advertisement

“พล.อ.ประวิตร” เร่งอินเทอร์เน็ตชุมชนขยายบริการ รร.-รพ.

People Unity News : 7 เมษายน 2566 “พล.อ.ประวิตร” ประชุม กก.กองทุนพัฒนาดิจิทัลฯ ดันอินเทอร์เน็ตชุมชน  24,654 แห่ง มุ่งขยายบริการหมู่บ้าน โรงเรียนและโรงพยาบาล ภายใน 3 ปี

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ผ่านระบบ VTC  ณ มูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อฯ โดยที่ประชุมรับทราบผลการดำเนินงานของกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการและคณะทำงานภายใต้คำสั่งแต่งตั้งของคณะกรรมการบริหารกองทุนฯ  ระบบบริหารความเสี่ยง  ระบบบริหารจัดการสารสนเทศ และระบบบริหารทรัพยากรบุคคล

ที่ประชุมร่วมพิจารณาและเห็นชอบหลักการ การใช้จ่ายเงินตามมาตรา 25 แห่ง พ.ร.บ.การพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ.2560 และพิจารณาอนุมัติโครงการ ตามมาตรา 26 ( 3 ) ของสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ  โดยอนุมัติโครงการบริการอินเทอร์เน็ตสาธารณะและบำรุงรักษา โครงข่ายเน็ตชุมชนและส่วนต่อขยายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต โดยจัดให้มีบริการอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงสาธารณะ ( WI-FI ) ประจำหมู่บ้านในพื้นที่ที่มีการใช้งานจริง จำนวน 24,654 แห่ง และขยายโครงข่ายต่อไปยังโรงเรียน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลและสุขศาลาพระราชทาน จำนวน 1,671 แห่ง มุ่งสนับสนุนชุมชนผู้มีรายได้น้อยและแออัดโดยไม่มีค่าใช้จ่าย และโครงการสนับสนุนอุปกรณ์สำหรับนักเรียนที่ขาดแคลนอุปกรณ์การเรียนออนไลน์ ระดับชั้นมัธยมศึกษาและอาชีวะ ภายในปี 69

ที่ประชุมเห็นชอบการขอยินยอมขยายผลโครงการพัฒนากลไกการสร้างฐานข้อมูลขนาดใหญ่ของระดับความพร้อมอุตสาหกรรมตามแนวคิด Industry 4.0 เพื่อสนับสนุนการปรับเปลี่ยนโรงงานอุตสาหกรรม ไปสู่อุตสาหกรรม 4.0 และการดำเนินงานเกี่ยวกับการบริหารทุนหมุนเวียน

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ขอให้ร่วมพิจารณา มุ่งเตรียมความพร้อมสู่แนวโน้มเทคโนโลยีหลักและร่วมกันขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงให้เร็วขึ้น โดยให้สามารถปรับเปลี่ยนทันเหตุการณ์และเปิดโอกาสให้มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันได้ตลอดเวลา ทั้งนี้ โครงการต่าง ๆ ขอให้พิจารณากลั่นกรองให้เป็นไปตามความต้องการของประชาชน ที่มุ่งเสริมสร้างโอกาสและลดความเหลื่อมล้ำการเข้าถึงเทคโนโลยีของชุมชนให้มากขึ้น เพื่อโอกาสและการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในยุคดิจิทัลให้เร็วขึ้น

Advertisement

ทบ.ปลื้มตรวจเลือกทหารปี 67 มีผู้สมัครใจ 38,160 คน มากกว่าปี 66 กว่า 2,500 คน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 13 เมษายน 2567 ทบ.ปลื้ม ตรวจเลือกทหารปี 67 มีผู้สมัครใจระบบออนไลน์ และร้องขอวันตรวจเลือกรวม 38,160 คน เผยมากกว่าปี 66 กว่า 2,500 คน

ร.อ.หญิง จุฑาพัชร เปรมบัญญัติ ผู้ช่วยโฆษกกองทัพบกเปิดเผยว่า กองทัพบกดำเนินการตรวจเลือกทหารกองเกินเข้ารับราชการทหารกองประจำการ ประจำปี 2567 ตั้งแต่ 1-12 เม.ย. (เว้น 6 เม.ย.) ปัจจุบันการตรวจเลือกฯ ได้เสร็จสิ้นแล้ว

โดยมีผู้สมัครใจร้องขอเข้าเป็นทหารกองประจำการในวันตรวจเลือกฯ 24,025 คน มีพื้นที่ที่มีคนสมัครใจเต็มจำนวน 5 แห่ง ได้แก่ อ.เกาะสีชัง จ.ชลบุรี, อ.นาทวี จ.สงขลา, อ.บางเลน จ.นครปฐม, อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี และเขตบางแค กรุงเทพฯ เมื่อรวมกับยอดผู้สมัครโดยวิธีร้องขอ (กรณีพิเศษ) ด้วยระบบออนไลน์ 14,135 คน แล้วจะได้จำนวนยอดผู้ที่สมัครใจเป็นทหารในปี 2567 ทั้งสิ้น 38,160 คน

เมื่อเทียบกับยอดสมัครใจในปี 2566 ที่มีจำนวน 35,617 คน (โดยแบ่งเป็นผู้สมัครใจร้องขอฯ ในวันตรวจเลือกฯ 25,461 คน และผู้สมัครใจด้วยระบบออนไลน์ 10,156 คน) ทำให้ในปีนี้มีจำนวนยอดผู้สมัครใจเป็นทหารกองประจำการสูงขึ้นกว่าปีที่แล้วถึง 2,543 คน นับเป็นผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมของกองทัพที่มีผู้ให้ความสนใจสมัครใจเข้าเป็นทหารในปริมาณที่สูงขึ้น สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงกลาโหมในการผลักดันให้เกิดการสมัครใจเป็นทหารกองประจำการให้มากที่สุด หรือจนถึงขั้นเป็นระบบสมัครใจโดยสมบูรณ์ในอนาคต

การตรวจเลือกทหารกองเกินเข้ารับราชการทหารกองประจำการที่ผ่านมา กองทัพบกขอขอบคุณชายไทยที่มีความรับผิดชอบให้ความร่วมมือเข้ารับการตรวจเลือกฯ และชายไทยที่สมัครใจเป็นทหารในวันตรวจเลือกฯ รวมทั้งเจ้าหน้าที่และส่วนราชการที่ให้การสนับสนุนในทุกพื้นที่ ปฏิบัติตามขั้นตอนและวิธีการตาม กฎ ระเบียบที่เกี่ยวข้อง อย่างถูกต้อง โปร่งใส ทำให้การตรวจเลือกฯ เป็นไปด้วยความเรียบร้อย

ทั้งนี้ ผู้บัญชาการทหารบก ได้สั่งการให้กรมการทหารช่างปรับปรุงโรงนอนหน่วยฝึกทหารใหม่ 366 แห่งทั่วประเทศ เพื่อให้มีระบบระบายความร้อนและเพิ่มการหมุนเวียนของอากาศ ด้วยการซ่อมและติดตั้งมุ้งลวดใหม่ ติดตั้งพัดลมขนาด 24 นิ้ว และติดตั้งสปริงเกอร์หลังคาเพื่อรดน้ำไล่ความร้อนออกจากเพดาน ทำให้ห้องนอนเย็น ซึ่งจะเสร็จพร้อมรับทหารใหม่ที่จะเข้าประจำการใน 1 พ.ค.67 เพื่อจะได้มีโรงนอนที่สะดวกสบาย น่าอยู่ และปลอดภัยรอต้อนรับทหารกองประจำการทุกนาย

Advertisement

ครอบคลุมคนไทยทุกสิทธิ “ผ้าอ้อมผู้ใหญ่-แผ่นรองซับ”

People Unity News : 13 สิงหาคม 2566 โครงการผ้าอ้อมผู้ใหญ่และแผ่นรองซับสำหรับผู้ป่วยติดเตียงหรือมีปัญหาการกลั้นขับถ่าย ครอบคลุมคนไทยทุกสิทธิแล้ว สามารถแจ้งรับสิทธิที่สายด่วน 1330 หรือลงทะเบียน รพ.สต. ศูนย์บริการสาธารณสุขใกล้บ้าน อบต.-เทศบาล

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตามที่คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) ได้บรรจุให้ผ้าอ้อมผู้ใหญ่และแผ่นรองซับเป็นสิทธิประโยชน์บริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ตั้งแต่วันที่ 2 พ.ค. 2565 โดยได้ดำเนินการภายใต้กองทุนหลักประกันสุขภาพท้องถิ่น (กปท.) ที่ สปสช.ร่วมดำเนินการกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ทั่วประเทศ

อย่างไรก็ตาม ด้วยข้อจำกัดด้านกฎหมาย ทำให้ที่ผ่านมาโครงการได้ดำเนินการเฉพาะกลุ่มผู้มีสิทธิบัตรทอง 30 บาท ซึ่งรัฐบาลโดยกระทรวงสาธารณสุขและ สปสช. ได้มีความพยายามแก้ไขข้อจำกัดดังกล่าว เพื่อให้โครงการนี้ครอบคลุมผู้ป่วยติดเตียงและผู้มีปัญหาการกลั้นขับถ่ายทุกสิทธิ กระทั่งได้มีมติคณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อวันที่ 18 ก.ค. 66 ที่ยืนยันว่า สปสช. สามารถดำเนินบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคให้กับคนไทยทุกคน จึงมีผลให้ปัจจุบันโครงการผ้าอ้อมผู้ใหญ่และแผ่นรองซับครอบคลุมคนไทยทุกสิทธิแล้ว

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ทางด้านหลักเกณฑ์ต่างๆ ก็ได้มีออกมารองรับเรียบร้อยแล้ว ได้แก่ ประกาศคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์การดำเนินงานและการบริหารจัดการกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 และหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการรับค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุขของหน่วยบริการ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2566

ทั้งนี้ ภายหลังมีความชัดเจนทางกฎหมาย จะทำให้เจ้าหน้าที่ของ อปท. ซึ่งดำเนินการกองทุน กปท. เกิดความมั่นใจว่าการจัดทำโครงการผ้าอ้อมและแผ่นรองซับสามารถให้การดูแลให้ผู้ป่วยทุกสิทธิไม่เฉพาะผู้มีสิทธิบัตรทองเท่านั้น ซึ่งขณะนี้ สปสช. อยู่ระหว่างการประชาสัมพันธ์เชิญชวนให้ อปท. ทั่วประเทศที่มีการจัดตั้งกองทุน กปท. ที่ปัจจุบันมีอยู่ 7,753 แห่ง ร่วมจัดทำโครงการนี้เพื่อให้ดูแลผู้ป่วยได้ครอบคลุมมากขึ้น จากปัจจุบันที่มี อปท. จัดทำโครงการแล้ว 1,876 แห่ง รวม 2,295 โครงการ ดูแลผู้ป่วยทั่วประเทศอยู่ 44,667 คน

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สำหรับคุณสมบัติผู้ที่จะได้สิทธิตามโครงการนั้นจะต้องเป็นผู้ป่วยติดเตียง หรือ ผู้มีปัญหากลั้นปัสสาวะหรืออุจจาระไม่ได้ ไม่จำกัดอายุ โดยจะได้รับไม่เกิน 3 ชิ้นต่อคนต่อวัน ซึ่งปัจจุบัน สปสช. มีฐานข้อมูลผู้ป่วยติดเตียงและผู้มีปัญหาการกลั้นการขับถ่ายอยู่ประมาณ 50,000 คน ซึ่งในบางพื้นที่จะมีเจ้าหน้าที่ติดต่อไปยังครอบครัวและว่าผู้ป่วยได้รับสิทธิผ้าอ้อมผู้ใหญ่

แต่หากครอบครัวใดมีผู้ป่วยอยู่และยังไม่มีเจ้าหน้าที่ติดต่อไป ขอให้ดำเนินการแจ้งขอรับสิทธิโดยการโทรสายด่วน สปสช. 1330 เพื่อเจ้าหน้าที่รับเรื่องและส่งให้พื้นที่ดำเนินการตามขั้นตอน หรือติดต่อลงทะเบียนได้ ที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) หรือศูนย์บริการสารธารณสุขใกล้บ้าน (ไม่จำเป็นต้องเป็นที่อยู่ตามบัตรประชาชน) หรือที่องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) หรือเทศบาล

Advertisement

สถานบันเทิงเตรียมยิ้ม มท.1 ชง ครม.เปิดตี 4 15 ธ.ค.นี้

People Unity News : 30 ตุลาคม 2566 มท.1 มอบนโยบายกรมการปกครอง ย้ำบำบัดทุกข์บำรุงสุขประชาชน จ่อออกกฎหมายคุมปืนระบุตัวตนเจ้าของทุกกระบอก ไม่เว้น จนท.รัฐ เตรียมชง ครม. เห็นชอบเปิดสถานบันเทิงถึงตี 4 ภายใน 15 ธ.ค.นี้

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และนายเกรียง กัลป์ตินันท์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมคณะตรวจเยี่ยมกรมการปกครองและหน่วยงานในสังกัด พร้อมมอบนโยบายให้หน่วยงานในสังกัดกรมการปกครอง สังกัดกระทรวงมหาดไทย โดยมีผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่กรมการปกครอง ให้การต้อนรับ

ภายหลังเสร็จสิ้นการมอบนโยบาย นายอนุทิน ให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้ได้มามอบนโยบายให้กรมการปกครอง และรับฟังสรุปนโยบายของกรมการปกครอง โดยเน้นเรื่องการบำบัดทุกข์ บำรุงสุข พี่น้องประชาชนให้คุณภาพชีวิตของประชาชนทุกคนดีขึ้น เช่น การจัดระเบียบสังคม การปราบปรามผู้มีอิทธิพล การควบคุมอาวุธปืน การให้ความช่วยเหลือผู้ใช้แรงงานในอิสราเอล ฯลฯ ตามนโยบาย 10 ข้อหลักของกระทรวงมหาดไทยที่เคยประกาศไปก่อนหน้านี้ และนโยบายของรัฐบาล

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงความคืบหน้าการจัดทำบัญชีรายชื่อปราบปรามผู้มีอิทธิพลว่า ขณะนี้กรมการปกครองมีการติดตามอย่างใกล้ชิด บุคคลแต่ละคนมีความเคลื่อนไหวที่เป็นภัยต่อสังคมหรือทำผิดกฎหมายอย่างไร ทางกระทรวงมหาดไทยทำงานเรื่องนี้มาโดยตลอด แต่ไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลต่างๆ แก่สาธารณะได้ โดยติดตามและใช้กฎหมายควบคุมคนเหล่านี้ ไม่ให้สร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชน คนเหล่านี้มีจำนวนมาก เราต้องทำงานกับภาคส่วนต่างๆ เช่น ตำรวจ ทหาร ช่วยกันปราบปรามเพื่อให้สังคมเกิดความสงบ

ส่วนของความคืบหน้าเรื่องการควบคุมอาวุธปืนและสิ่งเทียมปืน นายอนุทิน กล่าวว่า ขณะนี้มีการขอให้ออกระเบียบ เก็บอาวุธปืนไว้ในที่ปลอดภัย เช่น สนามยิงปืนให้เก็บเอาไว้ในล็อกเกอร์ ผู้ที่อยากทดลองหรือซ้อมยิงปืนก็ให้ไปใช้ในสนามยิงปืน เอาออกมาไม่ได้ จะทำให้เกิดความปลอดภัยมากขึ้น และในส่วนของการระบุตัวเจ้าของอาวุธปืนนั้น จะมีการบันทึกรอยหัวกระสุนปืนเพื่อยืนยันตัวตนเจ้าของอาวุธปืน ทั้งบุคคลทั่วไปและเจ้าหน้าที่รัฐทุกกระบอก ขณะนี้กำลังจะมีการร่าง พ.ร.บ.เสนอให้คณะรัฐมนตรีและบรรจุเข้าสภาผู้แทนราษฎรต่อไป

เมื่อถามถึงความคืบหน้านโยบายการอนุญาตให้เปิดสถานบันเทิงถึงตี 4 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า จะกำหนดโซนนิ่ง โดยจะเน้นในจังหวัดท่องเที่ยว เช่น เชียงใหม่ ภูเก็ต กรุงเทพฯ เป็นต้น ขั้นตอนต่อมาจะเปิดรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนในโซนที่กำหนดไว้ เรากำหนดเดดไลน์ไว้ หากทุกอย่างเรียบร้อย จะออกประกาศเป็นกฎกระทรวง และจะนำเสนอเข้าสู่คณะรัฐมนตรีภายในวันที่ 15 ธันวาคมนี้เพื่อให้สอดคล้องกับช่วงเทศกาลท่องเที่ยว

“ยืนยันว่ามาตรการทั้งหลาย ทำเพื่อผู้มีเจตนาไม่ทำผิดกฎหมาย ไม่ว่าจะอนุญาตให้เปิดถึงกี่โมงก็แล้วแต่ ขอให้ความร่วมมือกับภาครัฐ ไม่ทำผิดกฎหมาย จะเปิดถึงกี่โมงก็ไม่มีปัญหา สามารถเปลี่ยนปัญหาเป็นโอกาสในการพัฒนาเศรษฐกิจ มีรายได้เพิ่มมากขึ้น หากมองในมิตินี้ก็ถือว่าเป็นประโยชน์” นายอนุทิน กล่าว

Advertisement

“หมอชลน่าน” แจงหลักการ ‘เปลี่ยนผู้เสพ เป็นผู้ป่วย’

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 11 กุมภาพันธ์ 2567 “หมอชลน่าน” ยัน “คนค้ายา” เม็ดเดียวก็ติดคุก ส่วนคนเสพไม่เกิน 5 เม็ด ต้องรักษา ยันหลักการ “เปลี่ยนผู้เสพ เป็นผู้ป่วย”

นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กฎกระทรวงกำหนดปริมาณยาเสพติดให้โทษและวัตถุออกฤทธิ์ ให้สันนิษฐานว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อเสพ ที่ประกาศใช้เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี

เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกัน จึงขอชี้แจงดังนี้

เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน ปี 2566 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้ประชุมกัน เพื่อวางหลักเกณฑ์ในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ประเภทยาบ้า หลังจากนำเสนอข้อมูลของแต่ละฝ่ายอย่างรอบคอบและรอบด้าน มีความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่า ผู้ที่มียาบ้าไม่เกิน 5 เม็ด เมื่อถูกตำรวจจับได้ ให้สันนิษฐานว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อเสพ และให้เป็นผู้ป่วยจิตเวชที่ควรนำไปบำบัดรักษาให้หายเป็นปกติ ซึ่งปกติจะต้องรับโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นกับความสมัครใจของผู้นั้นว่าจะยอมไปบำบัดรักษาไหม ถ้าไม่ยอมรับการบำบัดก็จะถูกดำเนินคดีข้อหาครอบครองยาเสพติดเพื่อเสพ มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หากพิสูจน์ได้ว่ามีพฤติการณ์ขายต้องถูกลงโทษตามกฎหมาย

ส่วนผู้ที่มียาบ้าเกินกว่า 5 เม็ด เช่น มี 6 เม็ดหรือมากกว่านี้ ถูกตำรวจจับ ให้ถือเป็นผู้มียาบ้าไว้ในครอบครองยาเสพติดให้โทษ ซึ่งมีโทษเท่ากับ การจำหน่าย ผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่ายยาเสพติดให้โทษ นั่นคือ จำคุกตั้งแต่ 1 ปีถึง 10 ปี

ข้อสรุปนี้เป็นผลจากการประชุมร่วมกันของเจ้าหน้าที่หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2566 ได้แก่ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงยุติธรรม สำนักงาน ป.ป.ส. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ อัยการ ศาลยุติธรรม เป็นต้น

กระทรวงสาธารณสุข ได้มีนโยบายและแนวทางที่ชัดเจนซึ่งได้กล่าวย้ำกับบุคลากรของกระทรวงมาตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง ก็คือ เมทแอมเฟตามีน หรือยาบ้า เป็นยาเสพติดให้โทษที่ห้ามเสพ ห้ามมีไว้ในครอบครอง ห้ามผลิต ห้ามนำเข้า หรือส่งออกหรือห้ามจำหน่ายไม่ว่าจะกี่เม็ดก็ตาม ถือว่าเป็นความผิด ต้องได้รับโทษ แต่มีเงื่อนไขเรื่องจำนวนเม็ดที่กำลังพิจารณาดำเนินการอยู่เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง เช่น มีไว้เสพก็ต้องรีบนำไปบำบัดรักษาให้หาย ก่อนที่จะเกิดอันตรายต่อตัวผู้เสพเอง หรือเมื่อเกิดอาการจิตหลอนก็ใช้อาวุธไปทำร้ายคนรอบข้าง ได้แก่ ลูก เมีย พ่อแม่ ญาติพี่น้องและคนทั่วไปจนถึงแก่ชีวิตดังที่ปรากฏเป็นข่าวในสื่อมวลชน ถ้าพบพฤติการณ์มียาไว้จำหน่ายก็จะต้องได้รับโทษหนัก

ยาบ้า 5 เม็ด ยืนยันว่าไม่ได้นั่งคิดขึ้นมาเองตามใจชอบ แต่เป็นไปตามหลักวิทยาศาสตร์การแพทย์ และแพทย์ทางด้านสุขภาพจิตของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งได้นำเสนอในที่ประชุมคณะกรรมการที่พิจารณาเรื่องนี้

ตามขั้นตอน ตนในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จะส่งเรื่องนี้ไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมตรี เพื่อจัดให้มีกระบวนการรับฟังความเห็นต่อการกำหนดจำนวนเม็ดยาบ้าดังกล่าว หลังได้แนวทางซึ่งเป็นไปตามที่กระทรวงเสนอ และได้ผ่านการเห็นชอบคณะรัฐมนตรี นำมาประกาศเป็นกฎกระทรวง

นายแพทย์ชลน่าน กล่าวย้ำว่า ทั้งหมดผ่านการลงความเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายว่า ผู้ค้าผู้เสพ ทุกฝ่ายในสังคมต้องร่วมมือกัน ใครมีหน้าที่ปราบปรามจับกุมก็ทำอย่างเข้มแข็ง กระทรวงสาธารณสุขมีหน้าที่บำบัดรักษา ส่งคืนสู่สังคมพยายามให้ไม่ย้อนกลับไปเสพใหม่ การดำเนินการผ่านกระบวนการคิดจากหลายๆ ฝ่ายมาร่วมมือกัน ใครถือเป็นผู้ป่วยต้องเข้ารับการบำบัด

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะเป็นผู้เสพแต่ถ้ามีพฤติกรรม และพยานแวดล้อมว่าเป็นผู้ค้า ไม่ว่าจะกี่เม็ดก็ต้องติดคุก รัฐบาลจะดำเนินการปราบปรามผู้มีอิทธิพลและยาเสพติดให้หมดไปจากสังคมไทย โดยยึดหลักการ “เปลี่ยนผู้เสพเป็นผู้ป่วย” สนับสนุนให้ผู้เสพเข้ารับการรักษาบำบัดอย่างมีประสิทธิภาพและทั่วถึง ผู้เสพต้องเข้ารับการบำบัด เมื่อบำบัดครบได้รับการรับรองจึงถือว่าไม่ต้องรับโทษ และเมื่อผ่านการบำบัดทางการแพทย์แล้ว จะเข้าสู่กระบวนการบำบัดทางสังคม โดยหลักการชุมชนบำบัด จนสามารถเชื่อได้ว่า ไม่กลับไปเสพซ้ำ มีพฤติกรรมที่ดี สามารถที่จะกลับสู่สังคมได้

“ผมมีความมุ่งมั่นที่จะคืนลูกหลานสู่อ้อมกอดของชุมชน ขณะเดียวกัน ก็เร่งบำบัดช่วยเหลือโรคสมองติดยาของผู้เสพให้ดีขึ้น ลดปัญหาการกลับไปเสพใหม่ไม่กลับไปเสพซ้ำ ให้เป็นพลเมืองดี เพื่อสังคมที่เป็นสุขและประเทศชาติปลอดภัยจากยาเสพติด ย้ำ ผู้ค้าเม็ดเดียวก็ติดคุก” นายแพทย์ชลน่านกล่าว

Advertisement

เชิญชวนบริจาคโลหิตสภาชาดไทย ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่

People Unity News : 25 ธันวาคม 2565 รัฐบาลเชิญชวนประชาชนบริจาคโลหิตสภาชาดไทย ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ พร้อมรับของที่ระลึก

วันที่ 25 ธันวาคม 2565 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เนื่องในวาระขึ้นปีใหม่ รัฐบาลเชิญชวนประชาชนผู้มีสุขภาพดีส่งต่อโลหิตเป็นของขวัญให้กับผู้ป่วย ผ่านสภากาชาดไทย ซึ่งหากบริจาคระหว่างวันที่ 26 – 31 ธันวาคม 2565 ผู้บริจาคจะได้รับของขวัญที่ระลึก ปีใหม่ 2566 เป็นปฏิทินหนูแดง ปี 2566 ชุด คำถามยอดฮิตบริจาคโลหิต และเสื้อยืดลาย “Make a Wish New Year New Life”

ผู้สนใจสามารถ บริจาคโลหิตได้ที่ ศูนย์บริการโลหิตห่งชาติ สภากาชาดไทย ภาคบริการโลหิตแห่งชาติ 12 แห่ง หน่วยรับบริจาคโลหิตประจำที่ (Fixed Station) 7 แห่ง สถานีกาชาด 11 วิเศษนิยม (บางแค) เดอะมอลล์ (บางแค) ชั้น P เดอะมอลล์ (บางกะปิ) ชั้น 3 เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ (งามวงศ์วาน) ชั้น 5 เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ สาขาท่าพระ ชั้น 1 ศูนย์การค้า ดิ เอ็มโพเรียม สุขุมวิท ชั้น M บ้านทรงไทย (ย่านวงศ์สว่าง)

ทั้งนี้ สามารถเช็กสถานที่บริจาคโลหิตที่ร่วมโครงการได้ที่ https://shorturl.asia/heHyn

Advertisement

กดปุ่มโอนเงินอุดหนุนเด็กแล้ว 1,461 ล้านบาท

People Unity News : 11 มีนาคม 2566 “ทิพานัน” แจ้งข่าวดี “พล.อ.ประยุทธ์” กดปุ่มโอนเงินอุดหนุนเด็กแล้ว 1,461 ล้านบาท ให้ผู้ปกครอง 2.3 ล้านราย ย้ำมุ่งพัฒนาเด็กทุกช่วงวัยตั้งแต่แรกเกิด ส่งเงินตรงถึงมือกลุ่มเปราะบาง ทันที

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มุ่งลดเหลื่อมล้ำในทุกมิติ ควบคู่ไปกับการลงทุนเพื่อพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ รองรับเด็กทุกช่วงวัยตั้งแต่แรกเกิดจนถึงวัยทำงาน โดยได้จ่ายเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด จำนวน 600 บาท ให้แก่เด็กแรกเกิดในครัวเรือนยากจนหรือครัวเรือนที่เสี่ยงต่อความยากจน เพื่อให้เด็กได้รับการดูแลให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีพัฒนาการเหมาะสมตามวัยตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. 2558 เป็นต้นมา

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า ล่าสุดขอแจ้งข่าวดีพี่น้องประชาชน เงินอุดหนุนเด็กประจำเดือนมีนาคม 2566 เข้าบัญชีแล้วเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2566 สำหรับผู้ปกครองที่มีสิทธิรับเงินอุดหนุนรายเดิมและรายใหม่ที่ลงทะเบียนสมบูรณ์ในระบบก่อนวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2566 จำนวน 2,313,966 ราย เป็นจำนวนเงิน 1,461,718,200 บาท ทั้งนี้ผู้ปกครองที่ได้รับสิทธิสามารถตรวจสอบยอดเงินจากเลขที่บัญชีธนาคารหรือพร้อมเพย์ที่แจ้งรับเงินอุดหนุนไว้ ส่วนการตรวจสอบสถานะสิทธิเงินอุดหนุนบุตรนั้น สามารถตรวจสอบได้ 3 ช่องทาง คือ 1)เว็บไซต์กรมกิจการเด็กและเยาวชน https://csgcheck.dcy.go.th/public/eq/popSubsidy.do 2)แอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” และ 3)แอปพลิเคชัน “เงินเด็ก”

สำหรับผู้ปกครองที่ต้องการลงทะเบียนรับเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด ต้องมีคุณสมบัติดังนี้

1.เป็นบิดา มารดา หรือบุคคลอื่นที่เป็นผู้เลี้ยงดูเด็กแรกเกิด

2.เด็กแรกเกิดต้องอาศัยร่วมด้วย

3.เป็นครอบครัวที่มีรายได้น้อย เฉลี่ยไม่เกิน 100,000 บาท/ คน /ปี

ส่วนเด็กแรกเกิดต้องมีอายุไม่เกิน 6 ปี มีสัญชาติไทย อาศัยอยู่กับผู้ปกครองในครอบครัวที่มีรายได้น้อยและไม่อยู่ในสถานสงเคราะห์ของหน่วยงานรัฐ หรือเอกชนตามที่อธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชนประกาศกำหนด หากเข้าเกณฑ์คุณสมบัติรับเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด สามารถลงทะเบียนผ่านออนไลน์ได้ที่แอปพลิเคชั่นเงินเด็ก ตลอด 24 ชั่วโมง หรือติดต่อลงทะเบียนได้ในพื้นที่ที่เด็กแรกเกิดและผู้ปกครองอาศัยอยู่จริง โดยกรุงเทพมหานคร ลงทะเบียนที่สํานักงานเขต เมืองพัทยา ลงทะเบียนที่ศาลาว่าการเมืองพัทยา ส่วนภูมิภาค ลงทะเบียนที่องค์การบริหารส่วนตําบล หรือเทศบาล สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ช่วยเหลือสังคม โทร. 1300 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือ ศูนย์ปฏิบัติการโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด โทร.082-091-7245, 082-037-9767, 083-4313533, 065-731-3199(ในวันเวลาราชการ จันทร์ – ศุกร์ เวลา 08.30 – 17.00 น.)

“พล.อ.ประยุทธ์ ไม่เพียงมุ่งพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ด้วยการให้เงินอุดหนุนเด็ก 600 บาท และยังช่วยเหลือค่าครองชีพกลุ่มเปราะบางทั้ง เบี้ยผู้สูงอายุ 600-1,000 บาท ตามเกณฑ์อายุ และ เบี้ยผู้พิการ 800-1,000 บาท ตามเกณฑ์อายุอีกด้วย ซึ่งเป็นการช่วยเหลือที่ส่งเงินตรงถึงมือประชาชน” น.ส.ทิพานัน กล่าว

Advertisement

สภากาชาดไทย ชวนบริจาคโลหิตรับเทศกาลตรุษจีน สร้างบุญ เสริมเฮง

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์  : 3 กุมภาพันธ์ 2567 ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย เชิญชวนประชาชนร่วมบริจาคโลหิตเป็นมงคลชีวิต ต้อนรับเทศกาลตรุษจีน ระหว่างวันที่ 9-11 ก.พ.67 ณ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย และหน่วยรับบริจาคโลหิตประจำที่ 7 แห่ง (Fixed Station) รับปฏิทินจีน เป็นของที่ระลึก

รองศาสตราจารย์ แพทย์หญิงดุจใจ ชัยวานิชศิริ ผู้อำนวยการศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย เปิดเผยว่า วันตรุษจีน ถือเป็นเทศกาลสำคัญของจีน เพราะถือว่าเป็นวันขึ้นปีใหม่ ซึ่งในปี 2567 วันตรุษจีนตรงกับวันเสาร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2567 ทั้งนี้เพื่อเป็นการเริ่มต้นทำสิ่งดีๆ ในเทศกาลตรุษจีน ซึ่งในปีนี้ตรงกับปีนักษัตรมะโรงหรือปีมังกรทอง นับเป็นปีมงคลที่เหมาะแก่การทำบุญเสริมมงคลชีวิตให้แก่ตนเองและครอบครัว ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ขอเชิญชวนชาวไทยเชื้อสายจีน และประชาชนทั่วไป ร่วมบริจาคโลหิตในโครงการ “ตรุษจีนนี้ มอบโลหิต เป็นมงคลชีวิต” ระหว่างวันที่ 9-11 กุมภาพันธ์ 2567 ณ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย และหน่วยรับบริจาคโลหิตประจำที่ 7 แห่ง (Fixed Station) ผู้บริจาคโลหิตจะได้รับปฏิทินจีน “Year of The Dragon Chinese New Year 2024” แทนคำขอบคุณ เพื่อมอบเป็นที่ระลึกให้กับผู้บริจาคโลหิต ในช่วงเทศกาลตรุษจีน และส่งต่อพลังดีๆ ต้อนรับปีมังกรทอง

การทำบุญด้วยการบริจาคโลหิต นับได้ว่าเป็นการให้ทานที่ยิ่งใหญ่และเป็นบุญกุศลแก่ผู้ให้ เพราะเป็นการสละโลหิตในร่างกายของตนเอง เพื่อช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ และผู้ที่ต้องการใช้โลหิตในการรักษา นอกจากจะได้บุญในการช่วยเหลือผู้ป่วยแล้ว การบริจาคโลหิตยังส่งผลให้ผู้บริจาคมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงอีกด้วย ทั้งนี้สามารถบริจาคโลหิตได้เป็นประจำทุก 3 เดือน เพื่อให้มีปริมาณโลหิตที่เพียงพอสำหรับผู้ป่วยอย่างยั่งยืน

บริจาคโลหิตได้ที่ : ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ถนนอังรีดูนังต์, หน่วยรับบริจาคโลหิตประจำที่ (Fixed Station) ได้แก่ สถานีกาชาด 11 วิเศษนิยม (บางแค) เดอะมอลล์ สาขาบางแค สาขาบางกะปิ สาขางามวงศ์วาน สาขาท่าพระ ศูนย์การค้าดิเอ็มโพเรียม และบ้านทรงไทย (ย่านวงศ์สว่าง)

ภาคบริการโลหิตแห่งชาติ 12 แห่งทั่วประเทศ ได้แก่ จังหวัดลพบุรี ชลบุรี ราชบุรี นครราชสีมา ขอนแก่น อุบลราชธานี นครสวรรค์ พิษณุโลก เชียงใหม่ นครศรีธรรมราช (ทุ่งสง) สงขลา และภูเก็ต

โรงพยาบาลสาขาบริการโลหิตทั่วประเทศ

Advertisement

Verified by ExactMetrics