วันที่ 20 เมษายน 2024

เหรียญสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชปี 2518 พระอาจารย์ฝั้น-หลวงปู่ทิมปลุกเสก

People Unity News : เหรียญสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชปี 2518 พระอาจารย์ฝั้น-หลวงปู่ทิมปลุกเสก จัดสร้างโดย ค่ายตากสินมหาราช จ.จันทบุรี

เหรียญรุ่นนี้จัดสร้างโดย ค่ายตากสินมหาราช จ.จันทบุรี มี 4 เนื้อ คือ 1.เนื้อทองคำ 49 เหรียญ ไม่ตอกโค้ดทั้งหน้าและหลัง 2.เนื้อนวโลหะ 1,000 เหรียญ ตอกโค้ด “ตส” ข้างบนด้านซ้ายของพระมาลา ด้านหน้าของเหรียญ 3.เนื้อทองแดงชุบนิเกิ้ล 310 เหรียญ (แจกกรรมการ) ตอกโค้ด “ตส” ด้านหลังของเหรียญ และ 4.เนื้อทองแดงรมดำ 30,000 เหรียญ ตอกโค้ด “ตส” ด้านหน้าของเหรียญ ใต้พระแสงดาบด้านขวาของพระองค์ท่าน

เหรียญสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ปี 2518 เนื้อนวโลหะ มีพิธีปลุกเสก 3 ครั้ง ครั้งแรกโดย พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร วัดป่าอุดมสมพร จ.สกลนคร ปลุกเสกเดี่ยว 1 ไตรมาส ปี 2518 ครั้งที่ 2 โดย หลวงปู่ทิม อิสริโก ปลุกเสกเดี่ยว 7 วัน ระหว่างวันที่ 1-7 กันยายน 2518

หลวงปู่ทิมบอกว่า “เหรียญนี้ดีทางคุ้มครองป้องกันโจรผู้ร้าย และป้องกันเสนียดจัญไร ไม่ให้เข้ามาทำร้ายได้ และรักษาบ้านเรือนให้อยู่เย็นเป็นสุข”

ครั้งที่ 3 พิธีใหญ่ เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2518 ณ ค่ายตากสิน จ.จันทบุรี ช่างแกะแม่พิมพ์ ช่างเกษม มงคลเจริญ ผู้จัดสร้าง น.อ.พิสัย ปานใจ

เมื่อแกะแม่พิมพ์เสร็จแล้ว ได้นำแม่พิมพ์ไปขอบารมีพระเกจิอาจารย์ชื่อดังปลุกเสก ตั้งแต่ภาคเหนือไล่ลงมาถึงภาคกลาง อาทิ หลวงปู่แหวน พระอาจารย์ฝั้นปลุกเสกที่วัด 3 เดือน หลวงพ่อคง วัดวังสรรพรส ปลุกเสกที่วัดอีกเป็นเดือน พิธีใหญ่ วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤศจิกายน 2518 ได้อัญเชิญ พระบรมรูปสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช แห่ทั่วเมืองจันทบุรี

หลวงพ่อคง วัดวังสรรพรส เดินนำหน้า ประพรมน้ำพระพุทธมนต์ ท่ามกลางผู้คนจำนวนมาก จนแน่นเต็มท้องถนน จากนั้นได้มีพิธีสมโภชเป็นพิเศษ ณ ค่ายตากสิน จ.จันทบุรี โดยมี หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี ร่วมด้วยพระคณาจารย์สายภาคตะวันออก และสายวิปัสสนากัมมัฏฐาน ร่วมพิธีกว่า 50 รูป นั่งปรกปลุกเสกตลอดทั้งคืน

สนนราคาเช่าหา เหรียญทองคำ ไม่มีข้อมูล เนื่องจากไม่เคยมีการซื้อขายมาก่อน เนื้อทองแดง ชุบนิกเกิ้ล (แจกกรรมการ) สนนราคาอยู่ที่ 1.5 แสนบาท แต่ไม่มีเหรียญหมุนเวียน จะมีก็แต่เหรียญทองแดงที่มีผู้เอาไปชุบใหม่ ออกมาซื้อขายกันทั่วไป

ท่านที่สนใจเหรียญเนื้อนี้จึงต้องตรวจสอบให้ดีๆ เสียก่อน ส่วนเหรียญเนื้อนวโลหะ ราคาหลักแสนต้น ขึ้นกับสภาพเหรียญ และเหรียญเนื้อทองแดง แยกออกเป็นหลายพิมพ์ แต่จะพูดถึงเหรียญสภาพสวย บล็อกทองคำ สนนราคาอยู่ที่ 4-5 หมื่นบาทขึ้นไป

บล็อกสระ “า” แตก ๓-๔ หมื่นบาทขึ้นไป, บล็อก “น” แตก ๒-๓ หมื่นบาทขึ้นไป และบล็อกแขนแตก ๒ หมื่นบาทบวกลบ

เนื่องจากทุกวันนี้ เหรียญสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ได้รับความนิยมสูง จึงมี เหรียญปลอม ทำออกมาหลายฝีมือด้วยกัน ผู้สนใจจึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ

ขอบคุณภาพจาก “ตั้มแปดริ้ว” เจ้ากรมพระหลวงปู่ทิมตัวจริง https://www.facebook.com/profile.php?id=100038282315603

เกษตรกรสมุทรสงครามบุก สธ. ให้กำลังใจ”อนุทิน”แบนสารพิษ

People Unity News : เกษตรกรสมุทรสงครามบุก สธ. ให้กำลังใจ”อนุทิน”แบนสารพิษ รมว.สธ.ลั่นพร้อมแบนสารทดแทน หากพบมีอันตรายต่อสุขภาพ นายกสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทยร้องผลกระทบ 2-3 เดือนโรงงานอาหารสัตว์ทุกแห่งต้องปิดตัว

เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2562 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข กลุ่มเกษตรกรจากจังหวัดสมุทรสงครามกว่า 100 ชีวิต ได้นำดอกไม้ และกระเช้าผลไม้มาให้กำลังใจนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กรณีแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนเรื่องแบน 3 สารพิษ คือ พาราควอต ไกรโฟเซต และคลอร์ไฟริฟอส โดยตัวแทนกลุ่มดังกล่าวได้ให้ข้อมูลว่าเป็นชาวจังหวัดสมุทรสงครามตัวจริง ขณะที่เครือข่ายอาสาคนรักษ์แม่กลอง ที่สนับสนุนการใช้สารพิษ และฟ้องศาลปกครองให้ทบทวนมติของคณะกรรมวัตถุอันตรายนั้น สมาชิกส่วนใหญ่เป็นคนดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี แต่กลับยืมชื่อแม่กลองมาใช้ ทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าคนแม่กลอง และคนจังหวัดสมุทรสงครามสนับสนุนสารพิษ

สมาชิกในกลุ่มยังเปิดเผยข้อมูลอีกว่า เกษตรกรในจังหวัดสมุทรสงคราม ส่วนมากจะปลูกมะพร้าว ส้มโอ ลิ้นจี่ ไม่ได้ใช้สารเคมีดังที่บางกลุ่มกล่าวอ้าง ดังนั้น ชาวเกษตรกรในพื้นที่จังหวัดสมุทรสงคราม จึงให้การสนับสนุนนโยบายแบนสารพิษ

ด้านนายอนุทิน หลังได้รับดอกไม้ และกระเช้าผลไม้ ได้กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขมีจุดยืนต่อต้านสารพิษ ซึ่งเป็นหน้าที่ที่ต้องทำ ตอนที่โรงพยายาลขึ้นป้ายแบนสารพิษ ก็เกิดขึ้นเพราะความสมัครใจของโรงพยาบาลแต่ละที่ ทั้งนี้ จากที่มีความเป็นห่วงว่าบางคน บางกลุ่ม จะพลิกมติของคณะกรรมการวัตถุอันตราย ถึงขั้นไปฟ้องศาลปกครอง แต่ตนก็เชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม จึงคิดว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง กระทรวงสาธารณสุข ไม่ต้องการรักษาโรคที่เกิดจากสารพิษอีกแล้ว เราต้องการนำงบไปส่งเสริมสุขภาพด้านอื่น ที่สำคัญการแบนสารพิษ จะทำให้คนไทยมีสุขภาพที่ดีขึ้น

นายอนุทิน กล่าวด้วยว่า ทุกคนเห็นแล้วว่าสารเคมีทางการเกษตร มีอันตรายต่อมนุษย์ ดังนั้น จะมาแบนตัวหนึ่ง แล้วปล่อยให้ใช้สารที่มีอันตรายตัวอื่น ย่อมเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง และกระทรวงสาธารณสุข มีจุดยืน เราไม่เห็นด้วยกับการใช้สารเคมีที่มีอันตรายต่อสุขภาพ

ผู้สื่อข่าวถามว่า หากมีการนำสารกลูโฟซิเนตมาใช้ทดแทนไกรโฟเซต ที่สุดแล้ว สารตัวนี้ จะถูกแบนด้วยหรือไม่ นายอนุทิน ตอบว่า ถ้าตรวจพบว่ามีอันตรายต่อสุขภาพ ก็จะไม่ให้ใช้

“ส่วนเรื่องการกำหนดค่าสารตกค้าง(MRL) เป็นความรับผิดชอบของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ซึ่งมีตัวชี้วัดอยู่แล้ว และงานดังกล่าวอยู่ในส่วนของงานประจำ ซึ่งฝ่ายการเมืองได้ให้นโยบายไปแล้วว่าไม่เอาสารพิษทุกประการ”

นายกสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทยร้องผลกระทบ 2-3 เดือนโรงงานอาหารสัตว์ทุกแห่งต้องปิดตัว

นายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล นายกสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทยกล่าวว่า ได้ทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงอุตสาหกรรมเพื่อนำเสนอผลกระทบเรื่องการเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์จากการแบน 3 สารเคมี โดยระบุว่า ตามมติคณะกรรมการวัตถุอันตรายที่กำหนดให้พาราควอต ไกลโฟเซต และคลอร์ไพริฟอสเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 ห้ามผลิต นำเข้า ส่งออก และครอบครอง จะทำให้การนำเข้าสินค้าเกษตรต้องกำหนดค่าตกค้างของสาร 3 ชนิดต้องเป็น 0% ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เลขที่ 387 พ.ศ. 2560 เรื่อง อาหารที่มีสารพิษตกค้าง

ทั้งนี้ปัจจุบันไทยนำเข้าถั่วเหลือง กากถั่วเหลือง และข้าวสาลีปีละกว่า 7 ล้านตัน โดยนำเข้าจากประเทศที่ใช้สารไกลโฟเซตทั้งสิ้น ดังนั้นการแบนสารเคมี 3 ชนิดจะส่งผลกระทบต่อการนำเข้าวัตถุดิบทันที จึงขอทราบความชัดเจนถึงแนวทางปฏิบัติในการนำเข้าและมาตรการรองรับเนื่องจากธุรกิจอาหารสัตว์ ปศุสัตว์ และอุตสาหกรรมอาหารทั้งระบบจะเสียหายอย่างมหาศาล คิดเป็นมูลค่ากว่า 800,000 ล้านบาท โดยเป็นมูลค่าการส่งออกกว่า 200,000 ล้านบาท อีกทั้งจะทำให้เกิดปัญหาการเลิกจ้างงานและปัญหาสังคมอื่นๆ ตามมา โดยส่งหนังสือไปตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน แต่ยังไม่ได้รับคำตอบใดๆ

นายพรศิลป์กล่าวว่า จากสต็อกวัตถุดิบผลิตอาหารสัตว์ที่มีอยู่ในประเทศจะรองรับการเลี้ยงไก่เนื้อ ไก่ไข่ สุกร และกุ้งได้เพียง 2-3 เดือนเท่านั้น หากรัฐบาลไม่มีแผนรับมือ ธุรกิจเหล่านี้จะล่มสลาย จากที่เป็นผู้ผลิตเนื้อสุกร ไก่เนื้อ ไข่ไก่ และกุ้ง ไทยต้องเปลี่ยนเป็นผู้นำเข้า​ อีกทั้งการนำเข้าต้องมีใบรับรองว่า เนื้อสัตว์เหล่านั้นไม่ได้เลี้ยงด้วยอาหารที่ผลิตจากวัตถุดิบที่ใช้ไกลโฟเซต อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ของไทยใช้กากถั่วเหลืองเป็นโปรตีน 24-25 % แต่ถั่วเหลืองที่นำเข้าใช้ผลิตน้ำมันถั่วเหลืองและบริโภคด้วย ส่วนข้าวสาลีส่วนหนึ่งเป็นอาหารสัตว์ แต่อีกส่วนหนึ่งใช้ในอุตสาหกรรมอาหารคนเช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ขนมปัง เบเกอรี่ต่างๆ เป็นต้น จึงกระทบต่อระบบห่วงโซ่อาหาร ตลอดจนเกิดปัญหาการเลิกจ้างงาน และปัญหาสังคมอื่นๆ ตามมาแน่นอน

นายพรศิลป์กล่าวต่อว่า การตัดสินใจของรัฐบาลที่แบนสารเคมี 3 ชนิดนี้ไม่ได้พิจารณาถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างถี่ถ้วนเนื่องจากไม่ได้เป็นเพียงเรื่องภายในประเทศ แต่เกี่ยวข้องกับการค้าระหว่างประเทศ ล่าสุดสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทยแจ้งให้ประเทศบราซิลขอใบรับรองค่ามาตรฐานสารตกค้างของไกลโฟเซตในถั่วเหลืองนำเข้าที่จะต้องเป็น 0% ตามกฎหมายไทย ซึ่งทูตเกษตรประจำสถานทูตบราซิลระบุว่า ไม่สามารถทำตามเงื่อนไขของสมาคมฯ ได้ เนื่องจากเมล็ดถั่วเหลืองของบราซิลมีปริมาณไกลโฟเซตตกค้างอยู่ที่ 10 ppb (ส่วนในพันล้านส่วน) ซึ่งต่ำกว่าค่าความปลอดภัยทางด้านอาหารตามคณะกรรมาธิการโครงการมาตรฐานอาหารระหว่างประเทศ (Codex) กำหนดไว้ที่ 20 ppb ดังนั้นบราซิลจะนำเรื่องนี้ไปหารือในองค์การการค้าโลก (WTO) ว่า เป็นประเด็นกีดกันทางการค้าหรือไม่ โดยคาดว่า สหรัฐอเมริกาและแคนาดาซึ่งส่งออกถั่วเหลืองและข้าวสาลีมายังไทยจะหยิบยกเรื่องนี้มาหารือด้วย นอกจากนี้ไทยยังนำเข้าข้าวสาลีจากออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และยูเครน ซึ่งต้องติดตามท่าทีของประเทศเหล่านี้ต่อไป สำหรับแนวทางการหารือใน WTO นั้น ประเทศคู่ค้าจะเสนอให้ไทยนำผลพิสูจน์ทางด้านวิทยาศาสตร์ที่ไทยวิเคราะห์เองมายืนยันว่าปริมาณสารตกค้างไกลโฟเซตในปริมาณ 10-20 ppb ตามที่ Codex กำหนดนั้นนั้นมีอันตรายต่อการบริโภคอย่างไร ซึ่งเป็นหน้าที่ขององค์การอาหารและยา (อย.) กระทรวงสาธารณสุขที่ต้องเร่งดำเนินการในเรื่องนี้อย่างเร่งด่วนและชัดเจน

“ทันทีที่การยกเลิกสารเคมี 3 ชนิดมีผลบังคับใช้ ต้องห้ามนำเข้าสินค้าเกษตรจากประเทศที่ใช้ 3 สารนี้อยู่แน่นอน ไม่เช่นนั้นจะไม่เป็นธรรมต่อเกษตรกรไทย อีกทั้งผู้บริโภคจะไม่ได้รับประโยชน์อะไร หากยังนำเข้าสินค้าที่ใช้สารเคมีที่ไทยยกเลิก เห็นชัดเจนว่า การตัดสินใจด้านนโยบายในการยกเลิกสารเคมี 3 ชนิดนี้ รัฐไม่ได้มองผลกระทบที่จะเกิดขึ้นตามมาให้รอบด้าน หากผู้บริหารประเทศรับข้อมูลที่ผิด ไม่มีทางที่จะตัดสินใจได้ถูกต้อง” นายพรศิลป์กล่าว

“พุทธะอิสระ”ออกโรง! จี้กมธ.ศาสนาฯสางปม พระสงฆ์ต้องคดีถูกจับสึกขังคุกขัดแย้งพระธรรมวินัย

People Unity News : “พุทธะอิสระ”ออกโรง! จี้กมธ.ศาสนาฯสางปม พระสงฆ์ต้องคดีถูกจับสึกขังคุกขัดแย้งพระธรรมวินัย ลั่นคดีกบฏถึงที่สุดแล้วกลับมาขอบวชใหม่แน่

วันที่ ๕ พ.ย.๒๕๖๒ เพจหลวงปู่พุทธะอิสระ (Buddha Isara)ได้โพสต์ข้อความว่า ทนอ่านกันหน่อยนะจ๊ะ จักได้มีความรู้ความเข้าใจหลักธรรมวินัยกันมากขึ้น

๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๒

คงจักถึงเวลาได้แล้วกระมัง ที่คณะกรรมาธิการด้านศาสนาจักหันมาให้ความสำคัญต่อพระธรรมวินัย พิจารณาปรับแก้กฎหมายใด ที่ใช้บังคับแก่คณะสงฆ์ไทย ทั้งที่กฎหมายนั้นๆ ขัดแย้งต่อหลักพระธรรมวินัยและไม่เอื้อเฟื้อ ต่อสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติเอาไว้

ตัวอย่างกรณี มีภิกษุต้องคดีของฝ่ายอาณาจักรทั้งที่ยังไม่มีการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของภิกษุนั้น กลับถูกเจ้าหน้าที่รัฐบังคับให้เปลื้องจีวร โดยที่เจ้าตัวมิได้กล่าวคำลาสิกขา
ซึ่งถ้าว่าโดยหลักพระธรรมวินัยแล้ว กว่าจักได้เป็นภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ต้องผ่านกระบวนการคัดกรองจากหลักพระธรรมวินัยถึง ๓ ขั้นตอน คือ

ผู้ปวารณาจักบรรพชาอุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ จักต้องปฏิบัติดังนี้คือ

๑. นำตัวเองเข้ามาสมัคร แสดงตนต่อหน้าพระอุปัชฌาย์ผู้นำเข้าหมู่สงฆ์

พระอุปัชฌาย์ จักต้องพิจารณา กาย วาจา ใจ และพฤติกรรมของผู้ขอบรรพชาอุปสมบทนั้นว่า เป็นผู้มีความศรัทธา ปสาทะ ต่อหลักธรรมคำสั่งสอนขององค์พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างถูกต้องจริงหรือไม่ เป็นบุคคลต้องห้าม ตามหลักพระธรรมวินัย หรือไม่
เมื่อพระอุปัชฌาย์เล็งเห็นว่า ผู้สมัครตนขอเข้าหมู่สงฆ์ผู้นั้น เป็นผู้มีกาย วาจา ใจ เป็นสัมมาปฏิบัติ หรือพร้อมที่จักปรับตัวให้เข้ากับการอบรมสั่งสอนของคณะสงฆ์ได้ และมิได้มีลักษณะต้องห้าม
พระอุปัชฌาย์ จึงอนุญาตให้ลองเข้ามาฝึกอบรมปฎิบัติ กาย วาจา ใจ ด้วยการถือศีล ๘ นุ่งขาวห่มขาว แล้วปฎิบัติให้อ่อนน้อมถ่อมตน พร้อมแก่การรับการอบรมสั่งสอน
วิธีดังกล่าวมานี้ เรียกว่า บุพกิจเบื้องต้น ของการขอเข้าหมู่สงฆ์ โดยกระบวนการเหล่านี้ ต้องอยู่ในสายตาของคณะสงฆ์และพระอุปัชฌาย์

๒. เมื่อคณะสงฆ์ พระอุปัชฌาย์ เห็นว่าผู้ขอเข้าหมู่ผู้นั้นจักได้รับอนุญาตให้โกนผม โกนคิ้ว ขอบรรพชาเป็นสามเณร ด้วยการกล่าวคำขอบรรพชาที่เริ่มต้นจากการแสดงตนเป็นผู้ขอมีพระรัตนตรัย เป็นที่พึ่ง ที่สักการะแล้วจึงขอศีล ๑๐ จากพระอุปัชฌาย์ วิธีนี้เรียกว่า การขอบรรพชาหรือบวชเณร

๓. เมื่อผ่านกระบวนการเป็นสามเณรในพระธรรมวินัยนี้สมบูรณ์ดีแล้ว พระอุปัชฌาย์และคณะสงฆ์ในหมู่นั้นๆ จึงอนุญาตให้เธออุปสมบทขอบวชเป็นพระภิกษุด้วยการกล่าวคำขอบวช ด้วยวิธีญัตติจตุตถกรรมวาจา ต่อหน้าหมู่สงฆ์ไม่ต่ำกว่า ๒๕ รูป
เมื่อผู้ขอบวชได้รับการสวดญัตติจากพระคู่สวดและถูกสอบถาม ถึงสิ่งที่จักเป็นอันตรายต่อพระธรรมวินัยและพรหมจรรย์ผ่านพ้นแล้ว พระอุปัชฌาย์จึงสอนถึงสิ่งที่ควรทำ และไม่ควรทำพร้อมทั้งสอนพระกรรมฐานสืบไป

อธิบายถึงวิธีการว่ากว่าจะมาเป็นพระภิกษุได้นั้น ต้องผ่านกระบวนการอะไรมาบ้าง ให้ท่านทั้งหลายได้เห็นพอสังเขป เพื่อจักให้ท่านทั้งหลายได้รู้ว่า สมณภาวะ หรือภิกษุภาวะ มิใช้ได้มาจากความเห็นของใครคนใดคนหนึ่ง แต่ต้องเป็นความเห็นชอบของหมู่คณะพระภิกษุสงฆ์ซึ่งต้องมีไม่ต่ำกว่า ๒๕ รูป

อีกทั้งพระบรมศาสดาอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีพระบรมพุทธานุญาต เอาไว้ว่า

ภิกษุในธรรมวินัยนี้ จักพ้นจากความเป็นสมณภาวะหรือภิกษุภาวะได้นั้น จักมีมูลเหตุ ๓ กรณี คือ

๑. มรณภาพ (ตาย)
๒. ต้องอาบัติปาราชิก หรืออาบัติที่ต้องแล้วจักทำให้ภิกษุผู้ต้องผู้นั้น ขาดจากความเป็นภิกษุภาวะ ซึ่งมี ๔ มูลเหตุ คือ
– ๑. เสพเมถุน
– ๒. ฆ่ามนุษย์
– ๓. ลักทรัพย์เกินกว่า ๕ มาสก
– ๔. พูดอวดอุตริมนุสธรรม ที่ไม่มีในตนเอง
๓. กล่าวคำลาสิกขา ต่อหน้าพระภิกษุหรือหมู่สงฆ์

แต่กฎหมาย บางมาตรากลับขัดแย้งต่อหลักธรรมวินัยอย่างสิ้นเชิง เช่น มาตรา ๒๙ ความว่า พระภิกษุใดถูกจับโดยต้องหาว่า กระทำความผิดอาญา เมื่อพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการไม่เห็นสมควรให้ปล่อยชั่วคราว และเจ้าอาวาสแห่งวัดที่พระภิกษุรูปนั้นสังกัด ไม่รับมอบตัวไว้ถามคุม หรือพนักงานสอบสวนไม่เห็นสมควรให้เจ้าอาวาสรับตัวไปควบคุม หรือพระภิกษุรูปนั้นมิได้สังกัดในวัดใดวัดหนึ่ง ให้พนักงานสอบสวนมีอำนาจจักดำเนินการ ให้พระภิกษุรูปนั้นสละสมณเพศเสียได้

หากพิเคราะห์ดูอย่างละเอียดแล้ว ท่านทั้งหลายจักเห็นว่า มาตรา ๒๙ นี้ เมื่อภิกษุถูกกล่าวหา โดยยังมิได้ตรวจสอบ พิสูจน์ตนเองตามหลัก ป.วิ อาญาที่เชื่อไว้ก่อนว่า “ผู้ถูกกล่าวหา ยังเป็นผู้บริสุทธิ์” หากศาลยังมิได้พิพากษา

แม้ในหลักพระธรรมวินัย พระบรมศาสดาก็ทรงยังต้องให้ตรวจสอบ พิสูจน์ทราบเสียก่อนว่าภิกษุนั้นผิดจริง ดังที่ถูกกล่าวหาหรือไม่ จึงจักลงโทษ วิธีนี้เรียกว่า การระงับอธิกรณ์ด้วยวิธี ๗ ประการ

ที่เขียนอธิบายมาเสียยืดยาวเช่นนี้ หาได้ต้องการเรียกร้องเพื่อประโยชน์ของพุทธะอิสระผู้ซึ่งกำลังต้องคดีไม่ เพราะยังไงๆ พุทธะอิสระ ก็ต้องรอให้คดีกบฏถึงที่สุดแล้วจึงกลับมาขอบวชใหม่อยู่แล้ว

แต่ต้องการเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายหรือกฎระเบียบใดที่ขัดแย้งต่อหลักธรรมวินัย เพื่อการแก้ไขปรับปรุง ให้ตรงต่อหลักธรรมวินัยเพื่อประโยชน์สูงสุดแก่พระพุทธศาสนาและพุทธบริษัททั้ง ๔

พุทธะอิสระ

องคมนตรีเปิดศูนย์ส่งเสริมสุขภาพอัจฉริยะ”สถานีใส่ใจ”ในปั๊ม ปตท.สระแก้ว

People Unity News : องคมนตรี เปิดศูนย์ส่งเสริมสุขภาพอัจฉริยะ “สถานีใส่ใจ” ในปั๊มน้ำมัน ปตท. จ.สระแก้ว ดูแลสุขภาพประชาชนเบื้องต้น ลดความแออัดผู้รับบริการในโรงพยาบาล

เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2562 ที่ จ.สระแก้ว ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์เกษม วัฒนชัย องคมนตรี ในฐานะประธานกรรมการมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช พร้อมด้วยนายแพทย์ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ กรรมการมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์พิศิษฐ์ ศรีประเสริฐ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข หัวหน้ากลุ่มงานภารกิจด้านสนับสนุนงานบริการสุขภาพ นายแพทย์วันชัย สัตยาวุฒิพงศ์ กรรมการและผู้ช่วยเลขาธิการมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช นายแพทย์ภูวดล กิตติวัฒนาสาร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว นางสาว อรนุช ไวนุสิทธิ์ ประธานกรรมการมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช สาขาสระแก้ว นายวิทวัส สวัสดิ์-ชูโต ประธานเจ้าหน้าที่เทคโนโลยีและวิศวกรรม บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และนายพัฒนเศรษฐ์ จังคศิริ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) เปิดศูนย์ดูแลสุขภาพ “สถานีใส่ใจ” ( Smart Preventive Healthcare )ให้บริการส่งเสริม ป้องกันสุขภาพอัจฉริยะ เพิ่มช่องทางการนัดหมายแพทย์และรับยา ลดแออัดโรงพยาบาล ในปั๊มน้ำมัน ปตท. อ.เมือง จ.สระแก้ว

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์เกษม กล่าวว่า โครงการศูนย์ส่งเสริมสุขภาพอัจฉริยะในปั๊มน้ำมัน ปตท. ภายใต้ชื่อ “สถานีใส่ใจ” เป็นความร่วมมือระหว่างบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) มูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช และรพร.สระแก้ว เพื่อเฉลิมพระเกียรติในหลวงรัชกาลที่ 10 ตลอดจนสนองพระราชปณิธานในการดูแลประชาชน ให้ได้รับความรู้และการรักษาพยาบาลโดยนำเอาเทคโนโลยีใหม่ มาใช้ประโยชน์ในการส่งเสริมดูแลสุขภาพเบื้องต้น และให้ความรู้กับประชาชน รวมถึงเป็นช่องทางพบแพทย์ และรับยา เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการตรวจสุขภาพเบื้องต้นได้ทั่วถึง ลดความแออัดโรงพยาบาล ปัจจุบันนำร่อง 2 แห่ง คือ รพร.สระแก้ว และรพร.บ้านดุง เน้นการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค

สำหรับศูนย์ดูแลสุขภาพ “สถานีใส่ใจ” แห่งนี้ เปิดให้บริการจันทร์-ศุกร์ เวลา08.00-17.00 น. มีพยาบาลจาก รพร.สระแก้วมาประจำ มีบริการ 5 ด้าน ได้แก่ 1.บริการตรวจสุขภาพ วัดความดัน ชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง ใช้ระบบคอมพิวเตอร์ช่วยวิเคราะห์ภาวะสุขภาพ 2.บริการระบบปรึกษาแพทย์ทางไกลระหว่างศูนย์ดูแลสุขภาพฯกับแพทย์ที่ รพร.สระแก้ว ( Tele medicine ) เพื่อให้ผู้ป่วยปรึกษากับแพทย์ที่โรงพยาบาลได้ด้วยตัวเอง 3.บริการตู้จำหน่ายยาสามัญประจำบ้าน 4.บริการล็อกเกอร์เก็บยา สามารถแจ้งให้รพร.สระแก้วส่งยามาไว้ที่ล็อกเกอร์สถานีใส่ใจได้ และ 5.บริการแอปพลิเคชัน “ใส่ใจ” สำหรับใช้นัดหมายแพทย์

ขอเชิญชวนประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งประชาชนที่มาใช้บริการที่ปั๊มน้ำมัน สามารถเข้ารับบริการได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย

สร้างเสร็จแล้ว!อาคารรังสีรักษารพ.เมืองคอน “จิมมี่ ชวาลา”พร้อมเอกชนร่วมบริจาค 65 ล้าน

People Unity News : กระทรวงสาธารณสุขรับมอบอาคาร สหไทย รังสีรักษา โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช มูลค่า 40 ล้านบาท และเครื่องสวนหัวใจและหลอดเลือดมูลค่า 25 ล้านบาท ที่ได้รับบริจาคจากห้างสหไทยสรรพสินค้านครศรีธรรมราช และ “จิมมี่ ชวาลา” ช่วยให้ผู้ป่วยมะเร็ง ผู้ป่วยโรคหัวใจ ได้รับการดูแลรักษาใกล้บ้าน ลดการส่งต่อ ลดเวลารอคอย “อนุทิน”โพสต์ฺขอบคุณ”จิมมี ชวาลา”หัวใจคุณน่ากราบ

วันที่ 4 พฤศจิกายน 2562 ที่โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช จ.นครศรีธรรมราช นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวภายหลังเป็นประธานรับมอบอาคาร สหไทย รังสีรักษา โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช ว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้จัดระบบบริการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็ง กระจายความเชี่ยวชาญไปยังทุกเขตสุขภาพ เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับบริการใกล้บ้าน ลดรอคอย ลดแออัด โดยโรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราชได้รับการสนับสนุนเครื่องฉายแสงและเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์เมื่อปีงบประมาณ 2561 และได้รับการสนับสนุนเงินบริจาคในการก่อสร้างอาคารรังสีรักษาวงเงิน 40 ล้านบาท จากเจ้าของห้างสหไทยสรรพสินค้านครศรีธรรมราช จำนวน 30 ล้านบาท และนายจิมมี่ ชวาลา 10 ล้านบาท ซึ่งช่วยให้ลดการส่งตัวผู้ป่วยมะเร็งไปรักษาที่โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ จ.สงขลา ซึ่งอยู่นอกเขตสุขภาพและต้องรอคิวนาน โดยที่ผ่านมาจังหวัดนครศรีธรรมราชส่งตัวผู้ป่วยมะเร็งไปรักษานอกเขตปีละประมาณ 600-800 คน มากที่สุดในเขตสุขภาพที่ 11 นอกจากนี้ คุณจิมมี่ ชวาลา ยังได้บริจาคเครื่องสวนหัวใจและหลอดเลือดเครื่องที่ 2 ให้กับโรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช มูลค่า 25 ล้านบาท สามารถให้บริการได้ทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง และให้บริการผู้ป่วยได้ปีละประมาณ 2,000-2,500 คนต่อปี

“ขอขอบคุณผู้มีจิตศรัทธาบริจาคเงินสร้างอาคารรังสีรักษา มอบเครื่องสวนหัวใจและหลอดเลือด ถือเป็นกุศลอันยิ่งใหญ่ ในการช่วยผู้ป่วยมะเร็งและผู้ป่วยโรคหัวใจได้รับการรักษาเร็วขึ้น ลดการเสียชีวิต มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และขอเชิญชวนประชาชนร่วมสนับสนุนโรงพยาบาลในพื้นที่ให้มีเครื่องมือแพทย์ครบครัน เมื่อเจ็บป่วยไม่ต้องเดินทางไปรักษาในจังหวัดอื่น ดังเช่นชาวนครศรีธรรมราช” นายแพทย์สุขุมกล่าว

สำหรับอาคาร สหไทย รังสีรักษา โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กชั้นเดียว ประกอบด้วยห้องฉายแสง 2 ห้อง ห้องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์เพื่อวางแผนรักษา 1 ห้อง ห้องตรวจ 3 ห้อง ห้องให้คำปรึกษาวางแผนรักษา 1 ห้อง ห้องทำงานแพทย์ และห้องประชุม เปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 29 มกราคม 2562 มีผู้ป่วยมารับการรักษาฉายแสงวันละ 50-60 ราย ตั้งแต่เปิดให้บริการถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2562 ให้การฉายแสงรักษาครบคอร์สแล้วจำนวน 296 ราย ทำให้ผู้ป่วยและญาติไม่ต้องเดินทางไปรักษาที่โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ หรือศูนย์มะเร็งที่สุราษฏร์ธานี สามารถลดระยะในการรอคอย ลดค่าใช้จ่ายผู้ป่วยและญาติ

“อนุทิน”โพสต์ฺขอบคุณ”จิมมี ชวาลา”หัวใจคุณน่ากราบ

ทั้งนี้นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข โพสต์เฟซบุ๊ก “อนุทิน ชาญวีรกูล” เพื่อขอบคุณห้างสหไทยสรรพสินค้า นครศรีธรรมราช และนายจิมมี่ ชวาลา นักธุรกิจ ที่บริจาคเงินสมทบทุนสร้างอาคาร สหไทย รังสีรักษา โรงพยาบาลมหาราช นครศรีธรรมราช ระบุว่า
หัวใจคุณน่ากราบ
…..
กราบขอบพระคุณ
ห้างสหไทยสรรพสินค้า นครศรีธรรมราช
กราบขอบพระคุณ
คุณจิมมี่ ชวาลา
ร่วมกันบริจาคอาคารสหไทย ศูนย์รังสีรักษา เพื่อเป็นประโยชน์แก่ประชาชนทั่วไป
เพราะงบประมาณมีจำกัด
เพราะผู้ป่วยเพิ่มขึ้นจนงบประมาณเพิ่มตามไม่ทัน
การสนับสนุน และความร่วมมือของประชาชน และ ภาคเอกชน คือ กำลังสำคัญที่ทำให้กระทรวงสาธารณสุข ส่มารถให้บริการ และ ดูแล ประชาชน ได้มากขึ้น กว่าความสามารถของกระทรวงสาธารณสุข เพียงลำพัง
จังหวัดไหน ท่านใดจะทำตาม จังหวัดนครศรีธรรมราช ประสานมาที่ท่านปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้ครับ
ขอกราบพระคุณทุกๆ ท่าน ที่ร่วมมือกัน ดูแลประชาชน
ผมจะกำชับให้เจ้าหน้าที่ของกระทรวงสาธารณสุข ใช้อาคาร และ เครื่องมือทางการแพทย์ที่ได้รับบริจาค ให้เป็นประโยชน์แก่ประชาชน อย่างคุ้มค่ามากที่สุด
พึงระลึก และ สำนึกไว้ตลอดเวลาว่า ประชาชน คือ เจ้าของโรงพยาบาล อาคาร และ เครื่องมือแพทย์ ทุกชิ้น จึงต้องใช้ เพื่อการดูแล รักษา และบริการประชาชน ให้ดีที่สุด

 

กรมควบคุมโรคเตือนถูกแมลงยุงกัดเสี่ยงป่วยโรคเนื้อเน่าได้

People Unity News : กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เตือนประชาชนหากถูกแมลง ยุงกัดหรือมีบาดแผล แม้เพียงเล็กน้อย ขอให้ดูแลแผลให้สะอาด เพราะอาจเสี่ยงต่อการป่วยด้วยโรคเนื้อเน่าได้ หากแผลเกิดการอักเสบ เช่น บริเวณบาดแผลมีลักษณะปวด บวม ร้อน แดงมากขึ้น หรือมีไข้ แล้วลุกลามให้รีบไปพบแพทย์โดยเร็ว เพื่อรับการวินิจฉัย ซึ่งโรคนี้สามารถรักษาได้

วันที่ 4 พฤศจิกายน 2562 นายแพทย์อัษฎางค์ รวยอาจิณ รองอธิบดีและโฆษกกรมควบคุมโรค กล่าวว่า จากกรณีที่มีข่าวดาราชื่อดัง ถูกแมลงกัดขณะไปเที่ยวบ่อน้ำร้อนในต่างประเทศ ต้องเข้ารักษาตัวด่วน นั้น กรมควบคุมโรค ขอให้ข้อมูลว่า โรคเนื้อเน่า หรือเรียกว่า เนคโครไทซิ่ง แฟสเชียไอติส (Necrotizing fasciitis) เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนในแผล ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่พบบ่อย 2 ชนิด คือ Streptococcus pyogenes และStaphylococcus aureus โดยมีการติดเชื้อบริเวณผิวหนังและชั้นไขมันใต้ผิวหนังอย่างรุนแรง โรคนี้พบบ่อยในช่วงฤดูฝน มักพบในผู้ที่มีบาดแผลเล็กๆน้อยๆ หรือแผลจากการถูกแมลงหรือยุงกัด แล้วสัมผัสกับแบคทีเรียที่อยู่ในดินหรือในน้ำ และอาจดูแลแผลไม่ดี จนแผลลาม ทำให้แผลติดเชื้อซ้ำซ้อน

สำหรับประเทศไทย แต่ละปีจะพบผู้ป่วยโรคเนื้อเน่าประมาณ 100-200 ราย พบผู้ป่วยมากในช่วงฤดูฝน และพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ตำแหน่งที่เกิดมากสุดคือที่บริเวณขา รองลงมาเป็นบริเวณเท้า เมื่อเชื้อโรคที่พบในดินในน้ำทั่วๆไปเข้าไปในแผล จะทำให้เกิดการอักเสบ ลุกลามได้ง่าย รายที่รุนแรงอาจเกิดการติดเชื้อในกระแสเลือด ภาวะไตวาย ช็อค และอาจเสียชีวิตได้ ที่สำคัญหากมาพบแพทย์ช้า เมื่อมีอาการรุนแรงถึงขั้นช็อกแล้ว จะทำให้อัตราการเสียชีวิตเพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับระยะเวลาและความรุนแรงด้วย

นายแพทย์อัษฎางค์ กล่าวต่อไปว่า ประชาชนที่มีความเสี่ยงเกิดโรคเนื้อเน่า ได้แก่ ผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ำหรือเป็นโรคเกี่ยวกับเส้นเลือด เช่น เบาหวาน ไตวาย มะเร็งที่อยู่ระหว่างการรักษาด้วยเคมีบำบัด ผู้สูงอายุ คนอ้วน ผู้ที่กินยาสเตียรอยด์หรือยาชุด ผู้ที่ดื่มเหล้าเป็นประจำ เป็นต้น

สำหรับการป้องกันโรค ขอให้ประชาชนระมัดระวังอย่าให้เกิดบาดแผลขึ้น โดยเฉพาะบริเวณขาหรือเท้า แต่หากมีบาดแผลขอให้หลีกเลี่ยงการลุยน้ำ และทำความสะอาดแผลด้วยน้ำสะอาด ฟอกสบู่ และใส่ยาฆ่าเชื้อ ระวังอย่าให้มีสิ่งสกปรกเข้าไปในบาดแผล โดยเฉพาะบาดแผลที่เกิดจากวัสดุที่สกปรก เช่น ตะปู หนาม ไม้ที่อยู่ในน้ำ ทิ่มแทง ควรไปพบแพทย์หรือสถานพยาบาลใกล้บ้าน ทั้งนี้ ถ้าปวดบริเวณแผล บวม ร้อน แดงมากขึ้น หรือมีไข้ร่วมด้วย อาจเกิดการติดเชื้อได้ ให้รีบไปพบแพทย์โดยเร็ว เพื่อรับการวินิจฉัย ซึ่งโรคนี้สามารถรักษาได้ ประชาชนสามารถสอบถามข้อมูลได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422

เครือข่าย”สุขภาพหนึ่งเดียว” ร่วมมือด้านสุขภาพ”คน สัตว์ สิ่งแวดล้อม”

People Unity News : กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับภาคีเครือข่าย เดินหน้าประสานความร่วมมือด้านสุขภาพคน สัตว์ สัตว์ป่า และสิ่งแวดล้อม เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้และต่อยอดความร่วมมือกับทุกภาคส่วน ให้ประเทศไทยมีศักยภาพในการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคแบบบูรณาการอย่างมีประสิทธิภาพ ต่อเนื่อง และยั่งยืน

วันที่ 3 พฤศจิกายน 2562 ที่ ICONSIAM กรุงเทพฯ นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค พร้อมด้วยนายสัตวแพทย์สาโรช งามขำ ผู้ทรงคุณวุฒิกรมปศุสัตว์ นายสัตวแพทย์ภัทรพล มณีอ่อน ผู้แทนกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช และ Dr. John MacArthur ผู้อำนวยการศูนย์ความร่วมมือไทย–สหรัฐ ด้านสาธารณสุข ร่วมเปิดกิจกรรม “วันสุขภาพหนึ่งเดียวโลก” (Global One Health Day 2019: For Better Health of All) โดยได้รับความร่วมมือจากเครือข่ายสุขภาพหนึ่งเดียวทุกภาคส่วนในประเทศไทย

นายแพทย์สุวรรณชัย กล่าวว่า สุขภาพหนึ่งเดียว หรือ One Health เป็นประเด็นสำคัญที่ทั่วโลกให้ความสนใจ ทั้งนี้ กลุ่มความร่วมมือด้าน One Health ระดับนานาชาติ ได้กำหนดวันที่ 3 พฤศจิกายนของทุกปี เป็น “วันสุขภาพหนึ่งเดียวโลก” (Global One Health Day) ขึ้น ซึ่งปีนี้ได้จัดขึ้นเป็นปีที่ 4 โดยมีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อกระตุ้นและประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในด้านการป้องกันควบคุมโรคติดต่อระหว่างสัตว์และคน 2) เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูล ประสบการณ์ และความก้าวหน้าในการดำเนินงานตามแนวคิดสุขภาพหนึ่งเดียวของหน่วยงานพันธมิตรในเครือข่าย ตลอดจนการแลกเปลี่ยนมุมมอง การดำเนินงานด้านสุขภาพหนึ่งเดียว ที่สอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาประเทศ ของรัฐบาล และ 3) เพื่อสุขภาพที่ดีของประชาชน แบบองค์รวม โดยประเทศไทยมีการดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ในการเตรียมความพร้อมและการรับมือโรคติดต่อระหว่างคนและสัตว์ และโรคติดต่ออุบัติใหม่และอุบัติซ้ำ ในระดับประเทศ รวมถึงการพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ความสามารถสหสาขา เพื่อรองรับการทำงานแบบบูรณาการร่วมกับหลายภาคส่วน จนทำให้ประเทศไทยมีผลการดำเนินงานด้านสุขภาพหนึ่งเดียวเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาประชาคมโลก

นายแพทย์สุวรรณชัย กล่าวต่อไปว่า กิจกรรมครั้งนี้ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากหน่วยงานเครือข่ายสุขภาพหนึ่งเดียว โดยมีผู้เข้าร่วมการประชุมประมาณ 300 คน และคาดหวังว่าหลักการสุขภาพหนึ่งเดียว จะนำพาให้การทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อน มีความเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน เช่น ปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น ปัญหาเชื้อดื้อยา หรือ Antimicrobial Resistance ปัญหาสิ่งแวดล้อมและสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ให้ประสบความสำเร็จและส่งผลดีต่อสุขภาพของคน สัตว์ สัตว์ป่า และสิ่งแวดล้อม สอบถามเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422

ดร.วันดีร่วมทอดกฐินสามัคคี หล่อพระนำไปประดิษฐานวัดวังชิลโลภูฏาน

People Unity News : ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ประธานสภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์ และประธานชมรมแม่บ้านพัฒนาชุมชน ร่วมงานทอดกฐินสามัคคีและเป็นประธานหล่อพระพุทธรูปปรางค์สะดุ้งมาร หน้าตัก 40 นิ้ว นำไปประดิษฐานวัดวังชิลโล ประเทศภูฏาน

เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2562 ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ประธานสภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์ และประธานชมรมแม่บ้านพัฒนาชุมชน ร่วมงานทอดกฐินสามัคคี และเป็นประธานหล่อพระพุทธรูป ณ วัดพระศรีอารย์ ต.บ้านเลือก อ.โพธาราม จ.ราชบุรี ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปรางค์สะดุ้งมาร ขนาดหน้าตัก 40 นิ้ว เพื่อนำไปประดิษฐาน ณ วัดวังชิลโล ประเทศภูฏาน ด้วยตระหนักว่าสตรีมีบทบาทหลายประการ เป็นแม่ของลูก มีบทบาทในการพัฒนาประเทศ และผู้หญิงมีความสวยงาม ซึ่งตรงกับประเทศภูฏานซึ่งเป็นประเทศที่มีความสวยงาม

ดังนั้นการหล่อพระพุทธรูปในวันนี้และวัดพระศรีอารย์นี้ เพื่อต้องการยกย่องสตรีไทยที่มีความสวยงามทั้งกิริยา มารยาท วาจาไพเราะอ่อนหวาน มีคุณธรรม จริยธรรม และมีความเป็นผู้นำ ซึ่งเข้ากับยุคพระศรีอารย์ แต่ทางวัดไม่สามารถเชิญสตรีทั้งประเทศมาร่วมงานพิธีหล่อพระพุทธรูปได้ ทางวัดจึงได้กำหนดเชิญ ดร.วันดี ซึ่งเปรียบเสมือนตัวแทนของสตรีทั้งประเทศ เพื่อนำพลังแห่งความงดงามของสตรีไทยร่วมในพิธีดังกล่าว

วัดพระศรีอารย์ ก่อสร้างเมื่อปีพ.ศ. 2275 ช่วงปลายกรุงศรีอยุธยา มีอายุกว่า 280 ปีมีโบสถ์ทองคำที่ผู้มีจิตศรัทธาร่วมกันก่อสร้างใช้เวลากว่า 37 ปี โดยท่านพระครูวิทิตพัฒนโสภณ เจ้าอาวาสวัดพระศรีอารย์ เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนให้เยาวชนสามารถแสดงปาฐกถา บรรยายธรรม จัดค่ายพุทธบุตร เพื่อให้เยาวชนห่างไกลยาเสพติด ได้รับพระราชทานรางวัลโล่ห์ ด้านบรรยายธรรม จากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ นอกจากนี้ยังเป็นผู้อนุรักษ์ว่าวปั๊กเป้า ว่าวจุฬา เพื่ออนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมให้ยั่งยืนสืบไป

“กนกวรรณ”หนุนจัดงบฯอนุรักษ์คุรุสัมมนาคารเลยอายุกว่า 102 ปี ลุยดัน กศน.สู่ 6G

People Unity News : “กนกวรรณ”รมช.ศธ. หนุนจัดงบฯอนุรักษ์คุรุสัมมนาคาร กศน.เมียงเลย อายุกว่า 102 ปี เก่ามีสภาพทรุดโทรม ลุยต่อไม่รอแล้ว ยึดหลักการทำงาน “ทุกข์ก็เห็นหน้า สุขก็เห็นหน้า” ขับเคลื่อน กศน. สู่ กศน.6G

วันที่ 2 พฤศจิกายน 2562 ที่ผ่านมา ดร.กนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วย ดร.พะโยม ชิณวงศ์ ประธานคณะทำงาน รมช.ศธ. และคณะลงพื้นที่ตรวจราชการ ณ อาคารครุสัมนาคาร ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอเมืองเลย (กศน.อำเภอเมืองเลย) สังกัด สำนักงาน กศน. จังหวัดเลย โดยอาคารคุรุสัมมนาคารแห่งนี้ เป็นอาคารเก่าสภาพทรุดโทรม มีอายุการใช้งานมากว่า 102 ปี (พ.ศ.2460) และปัจจุบันใช้เป็นที่ทำการของ กศน.อำเภอเมืองเลย เพื่อให้บริการจัดการศึกษาสำหรับนักศึกษาและประชาชนในพื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดเลย มาตั้งแต่ ปีพ.ศ. 2536

ดร.กนกวรรณ เปิดเผยว่า “วันนี้ตนลงพื้นที่เพื่อตรวจราชการและติดตามงานตามนโยบายการศึกษาของหน่วยงานในการกำกับดูแล ในเขตจังหวัดเลย ซึ่งเป็นโอกาสอันดีที่ได้มาตรวจเยี่ยมและได้เห็นสภาพปัญหาในการดำเนินงานของพื้นที่อย่างแท้จริง โดยอาคารคุรุสัมนาคารแห่งนี้อยู่ในความรับผิดชอบของสำนักงาน กศน.จังหวัดเลย เป็นอาคารไม้ 2 ชั้น ยาว 44 เมตร กว้าง 8เมตร มีประวัติอายุการใช้งานที่ยาวนาน กว่า 102 ปี เป็นอาคารไม้เก่าแก่ที่มีสถาปัตยกรรมดั้งเดิมของท้องถิ่นที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ให้คงไว้เป็นสมบัติของชุมชน ซึ่งสำนักงาน กศน.จังหวัดได้เคยจัดสรรงบประมาณของจังหวัดในการปรับปรุงครั้งล่าสุดเมื่อปี พ.ศ.2554 โดยการทาสีอาคาร แต่เนื่องจากอายุการใช้งานที่ยาวนานจึงมีความจำเป็นต้องปรับปรุงหลายด้าน เพราะจากการรับฟังรายงานและตรวจเยี่ยม พบว่าสภาพอาคารโดยรอบมีความทรุดโทรมควรต้องได้รับการบูรณะซ่อมแซม พัฒนา ปรับปรุงให้เกิดความปลอดภัย พร้อมใช้งานโดยเร็ว โดยเฉพาะระบบสายไฟฟ้าภายในที่ไม่ได้รับการเปลี่ยนปรับปรุงมานานหลายปี เพื่อป้องกันอัคคีภัยที่อาจจะเกิดขึ้นได้ รวมทั้งการปรับปรุงโครงสร้างอาคาร ฝ้าเพดาน รางน้ำและการทาสีอาคารโดยรอบ ทั้งนี้ได้มอบหมายให้ สำนักงาน กศน.จังหวัดเลยจัดทำข้อมูลรายละเอียดการซ่อมแซม ปรับปรุงอาคารสถานที่และระบบสาธารณูปโภคเสนอมายังต้นสังกัด เพื่อพิจารณาจัดสรรงบประมาณในการซ่อมบำรุงต่อไป”

“อาคารคุรุสัมมนาคารเลย” ปัจจุบันเป็นอาคารที่ตั้งของ ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอเมืองเลย สถานภาพเป็นสถานศึกษา ในราชการบริหารส่วนกลาง สังกัดสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัดเลย สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวง ศึกษาธิการ ประกาศจัดตั้ง โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 25 แห่งพระราชบัญญัติ ปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ.2531 ข้อ 6 ประกาศ ณ วันที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2536 ตามประกาศกระทรวง ศึกษาธิการ

เรื่อง จัดตั้งศูนย์บริการการศึกษานอกโรงเรียนอำเภอ/กิ่งอำเภอ นายปราโมท สุขุม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้ลงนาม โดยได้ใช้อาคารไม้ 2 ชั้น ยาว 44 เมตร กว้าง 8 เมตร ตั้งหันหน้าไปทางทิศตะวันตก มีอายุกว่า 102 ปี ซึ่งเดิมเป็นโรงเรียนสตรีเลยและเป็นที่ทำการหน่วยศึกษานิเทศก์และจัดประชุมสัมมนา เรียกชื่ออาคารนี้ว่า “คุรุสัมมนาคารเลย” และเป็นที่ทำการของศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนจังหวัดเลย ตามลำดับ และปัจจุบันศูนย์บริการการศึกษานอกโรงเรียนอำเภอเมืองเลย ได้เปลี่ยนชื่อเป็น ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอเมืองเลย ตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่องบัญชีรายชื่อสถานศึกษาในสังกัดสำนักบริหารงานการศึกษานอกโรงเรียนสำนักปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ที่มีความพร้อมในการปฏิบัติภารกิจของสถานศึกษาตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยพ.ศ. 2551 ลงวันที่ 10 มีนาคม 2551

ลุยต่อไม่รอแล้วจร้า ยึดหลักการทำงาน “ทุกข์ก็เห็นหน้า สุขก็เห็นหน้า”

พร้อมกันนี้ ดร.กนกวรรณ และ ดร.พะโยม และคณะลงพื้นที่ตรวจราชการและมอบนโยบายด้านการศึกษาแก่ผู้บริหาร ข้าราชการ ครู และบุคลากรทางการศึกษาในจังหวัดเลย พร้อมทั้งเยี่ยมชมนิทรรศการผลงานและผลิตภัณฑ์ชุมชนของ กศน. ณ สำนักงาน กศน. จังหวัดเลย โดยมี นายชนาส ชัชวาลวงศ์ รองผู้ว่าราชการเลย ดร.ใยอนงค์ ทิมสุวรรณ ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี นายธนยศ ทิมสุวรรณ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดเลย เขต 3 ผู้บริหาร คณะครู นักเรียน นักศึกษา และประชาชนในพื้นที่จังหวัดเลย ร่วมให้การต้อนรับ

ดร.กนกวรรณ กล่าวตอนหนึ่งว่า “ตนได้รับมอบหมายจาก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ให้กำกับดูแล กศน. การศึกษาเอกชน และสำนักงานลูกเสือแห่งชาติ ซึ่งนับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งก็เดินหน้าทำงานเพื่อพัฒนาการศึกษาให้เดินหน้าในทุกมิติ การลงพื้นที่ตรวจราชการทุกแห่งก็พร้อมรับฟังปัญหาและยินดีเป็นผู้นำสารจากทุกหน่วยงานแม้มิได้กำกับดูแล ก็ส่งต่อถึงท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการและต้นสังกัดของกระทรวงศึกษาธิการด้วยความเต็มใจ โดยยึดหลักการทำงาน “ทุกข์ก็เห็นหน้า สุขก็เห็นหน้า” ในการดูแลประชาชนคนไทยทุกคน เพื่อทลายทุกข้อจำกัดที่เป็นข้อขัดข้องในการทำงาน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง หรือจะลงชื่อ สะท้อนปัญหาผ่านจดหมาย ส่งมาที่ ตนเองที่กระทรวงศึกษาธิการก็ยินดี เพราะถือว่าคำแนะนำ ข้อเสนอแนะของทุกท่านล้วนมีความสำคัญ และเป็นประโยชน์ในการเติมเต็มการทำงานเพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ เพื่อพัฒนาการศึกษาไทยให้มีคุณภาพต่อไป

สำหรับการดำเนินงานตามนโยบายของ กศน. ในปีงบประมาณ 2563 นี้ กศน.จะเดินหน้าขับเคลื่อน กศน. สู่ กศน. WOW (6G) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการเรียนรู้ที่ดีแก่คนทุกช่วงวัยในทุกพื้นที่ ในการพลิกโฉมการเรียนรู้ให้มีความทันสมัยสู่ยุคดิจิทัลในทุกมิติ ซึ่งถือว่าเป็นนโยบายสำคัญที่ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ตามเป้าหมายที่วางไว้ และอีกเรื่องที่สำคัญ คือ เรื่อง ขวัญกำลังใจของการพัฒนาบุคลากร ซึ่งเมื่อลงพื้นที่ทุกๆแห่ง ก็ได้รับทราบถึงปัญหาบุคลากรอัตราจ้างและพนักงานราชการที่ไม่สามารถบรรจุเป็นข้าราชการครูได้ รวมทั้งเรื่องขาดแคลนข้าราชการในพื้นที่ ซึ่งเราได้มีการประชุมหารือและสามารถเกลี่ยอัตราสำหรับการสอบบรรจุข้าราชการครู กศน.ได้จำนวน 891 อัตราตามที่เคยมอบนโยบายไปแล้ว ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการกำหนดหลักเกณฑ์ เพราะยังมีข้อจำกัดบางเรื่องเกี่ยวกับใบประกอบวิชาชีพครู วุฒิครู แต่ยืนยันว่าจะดำเนินการให้เร็วที่สุด เพราะตั้งใจมาแก้ปัญหาด้วยความจริงใจ

ในส่วนของการศึกษาเอกชน ได้ดำเนินการผลักดันเรื่องของสวัสดิการค่ารักษาพยาบาล เพื่อสร้างขวัญกำลังใจในการทำงานและสามารถบรรเทาความเดือดร้อนให้กับครูเอกชน โดยได้ดำเนินการปรับค่ารักษาพยาบาลจาก 100,000 บาท เป็น 150,000 บาทต่อคนต่อปี ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ 1 มกราคม 2563 นี้ ในเรื่องค่ารักษาพยาบาลของครูเอกชน ที่ต้องการให้สวัสดิการรักษาพยาบาลครอบคลุมถึงบุคคลในครอบครัวของครูเอกชนด้วยนั้น เรื่องนี้ต้องผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ การจัดสวัสดิการเนื่องจากต้องใช้ดอกผลจากกองทุนฯ หากกองทุนฯ สามารถบริหารจัดการ สร้างรายได้ ได้เพียงพอ ก็จะเร่งดำเนินการให้ทันที เพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่ครูเอกชน พร้อมทั้งจะเร่งหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้สามารถเบิกจ่ายตรงตรงได้ต่อไป สำหรับเงินอุดหนุนรายหัวซึ่งปัจจุบันได้รับ 70% ขอปรับเพิ่มเป็น 75% สช.ได้บรรจุเรื่องนี้ไว้ในแผนปฏิบัติราชการประจำปี 2564 แล้ว

จากนั้น รมช.ศธ.และคณะได้เดินทางไปมอบนโยบายและพบปะข้าราชการ เจ้าหน้าที่และนักศึกษา กศน. ณ หอประชุมอำเภอภูเรือ และเยี่ยมชมห้องสมุดประชาชนอำเภอภูเรือ ทั้งนี้ได้เน้นย้ำให้ กศน.จังหวัดเลยเร่งจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาและส่งเสริมอาชีพให้แก่ประชาชนในพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม รวมถึงการวางแผน บริหารจัดการ พัฒนา และออกแบบผลิตภัณฑ์ให้มีความทันสมัยและตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภค เพื่อยกระดับแรงงานให้มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน ขจัดปัญหาการจ้างแรงงานที่ไม่ถูกกฏหมายและลดการอพยพถิ่นฐานไปทำงานนอกพื้นที่อย่างยั่งยืน

กรมควบคุมโรค เตือนประชาชนหลีกเลี่ยงการรับประทานหมูสุกๆดิบๆ เสี่ยงโรคไข้หูดับ อาจทำให้เสียชีวิตได้

People Unity News : กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เตือนประชาชนหลีกเลี่ยงการรับประทานหมูดิบ หรือสุกๆดิบๆ เสี่ยงป่วยโรคไข้หูดับ และอาจทำให้หูหนวกถาวรหรือเสียชีวิตได้ เผยปีนี้พบผู้ป่วยโรคไข้หูดับแล้ว 337 ราย โดยร้อยละ 68 เป็นผู้ป่วยในภาคเหนือ

วันที่ 3 พฤศจิกายน 2562 นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมามีรายงานพบผู้ป่วยโรคไข้หูดับประปรายบางพื้นที่ และช่วงนี้มีกิจกรรมที่ประชาชนทำร่วมกันและอาจจะปรุงอาหารรับประทานกันเอง เช่น จัดงานบุญกฐิน งานประเพณี งานรื่นเริงต่างๆ เป็นต้น กรมควบคุมโรค จึงขอเตือนประชาชนให้ระมัดระวังเรื่องการประกอบอาหารและรับประทานอาหาร โดยขอให้เน้นการรับประทานอาหารที่ปรุงสุก ใหม่ และสะอาด โดยเฉพาะเนื้อหมูที่ชำแหละกันเองในหมู่บ้าน และนำมารับประทานดิบ หรือสุกๆ ดิบๆ เช่น ลาบ ก้อย หลู้หมูดิบ เป็นต้น ซึ่งมีโอกาสเสี่ยงติดเชื้อโรคไข้หูดับได้

ข้อมูลจากกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 23 ตุลาคม 2562 พบผู้ป่วยโรคไข้หูดับ จำนวน 337 ราย เสียชีวิต 28 ราย กลุ่มอายุที่พบมากที่สุด คือ อายุมากกว่า 65 ปี รองลงมา 55-64 ปี และ 45-54 ปี ตามลำดับ ส่วนภาคที่มีผู้ป่วยมากที่สุดคือ ภาคเหนือ พบผู้ป่วย 230 ราย คิดเป็นร้อยละ 68 ของผู้ป่วยทั้งหมด และเสียชีวิต 19 ราย จังหวัดที่มีอัตราป่วยสูงสุด 5 อันดับแรก คือ อุตรดิตถ์ นครสวรรค์ แพร่ กำแพงเพชร และน่าน ตามลำดับ

นายแพทย์สุวรรณชัย กล่าวต่อไปว่า โรคไข้หูดับ เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย สเตร็ปโตค็อกคัส ซูอิส (Streptococcus suis) โดยเชื้อนี้จะอยู่ในทางเดินหายใจของหมู และอยู่ในเลือดของหมูที่กำลังป่วย ซึ่งโรคนี้ติดต่อได้ 2 ทาง คือ 1.การสัมผัสกับหมูที่ติดเชื้อนี้ รวมทั้งเนื้อหมู เครื่องใน และเลือดหมูที่เป็นโรค โดยติดต่อสู่คนผ่านทางบาดแผล รอยขีดข่วนตามร่างกายหรือทางเยื่อบุตา 2.การบริโภคเนื้อหมู หรือเลือดหมูที่ปรุงดิบ หรือสุกๆ ดิบๆ ที่มีเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้อยู่ หลังรับประทาน 3-5 วัน ผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูง ปวดศีรษะอย่างรุนแรง เวียนศีรษะ จนทรงตัวไม่ได้ อาเจียน คอแข็ง หูหนวก ท้องเสีย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ขอให้รีบพบแพทย์ทันที และแจ้งประวัติการกินหมูดิบให้ทราบ เพราะหากมาพบแพทย์และวินิจฉัยได้เร็ว จะช่วยลดอัตราการเกิดหูหนวกและการเสียชีวิตได้

สำหรับวิธีการป้องกันโรค คือ 1.รับประทานหมูสุกเท่านั้น โดยปรุงเนื้อหมูให้สุกทั่วถึงจนเนื้อไม่มีสีแดง ไม่เติมหรือใส่เลือดดิบในอาหาร และควรเลือกซื้อเนื้อหมูที่ไม่มีกลิ่นคาว สีคล้ำ ผ่านการตรวจสอบมาตรฐานจากโรงฆ่าสัตว์ 2.ผู้ที่สัมผัสกับหมูที่ติดโรค โดยเฉพาะผู้เลี้ยงหมู ผู้ที่ทำงานในโรงฆ่าสัตว์ ผู้ที่ชำแหละเนื้อหมู สัตวบาล สัตวแพทย์ ควรสวมรองเท้าบู๊ทยาง สวมถุงมือ รวมถึงสวมเสื้อที่รัดกุมระหว่างทำงาน หากมีบาดแผลต้องปิดแผลให้มิดชิด และล้างมือหลังสัมผัสกับหมูทุกครั้ง

ทั้งนี้ ผู้ที่เสี่ยงต่อกาเกิดโรคไข้หูดับ คือ ผู้รับประทานหมูดิบหรือมีเลือดหมูดิบในอาหาร ผู้ที่สัมผัสกับสุกรที่ ติดโรคโดยตรง เช่น ผู้เลี้ยงสุกร ผู้ที่ทำงานในโรงฆ่าสัตว์ ผู้ที่ชำแหละเนื้อสุกร เป็นต้น กลุ่มที่เสี่ยงมีอาการป่วยรุนแรงถ้าติดเชื้อ ได้แก่ ผู้ที่ติดสุราเรื้อรัง ผู้มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน ไตวาย มะเร็ง หัวใจ ผู้ที่เคยตัดม้ามออก เป็นต้น เนื่องจากร่างกายมีภูมิต้านทานโรคลดลง โรคนี้รักษาหายขาดได้ ดังนั้น หากมีอาการข้างต้นภายหลังจากรับประทานอาหารที่ปรุงมาจากเนื้อหมู เลือดดิบๆ หรือปรุงสุกๆ ดิบๆ ขอให้รีบพบแพทย์ทันที ประชาชนสามารถสอบถามข้อมูลได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422

Verified by ExactMetrics