วันที่ 27 เมษายน 2024

“พิพัฒน์”ร่วมขบวนแห่ “เจ้าแม่ทับทิม” ย่านเยาวราช

People Unity News : รมว.ท่องเที่ยวและกีฬาร่วมขบวนแห่ “เจ้าแม่ทับทิม” ย่านเยาวราช พร้อมทัพใหญ่ “ทัวร์ตระกูลแซ่” เชื่อมั่นสัมพันธ์ไทย-จีน แน่นแฟ้น ส่งผลดีต่อภาพรวมด้านท่องเที่ยวทั้งสองประเทศ

เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2562 ที่ผ่านมา นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพร้อมด้วยผู้บริหารร่วมขบวนแห่ “เจ้าแม่ทับทิม” (หม่าโจ้ว) รอบย่านเยาวราช ตามที่สมาคมตระกูลลิ้มแห่งประเทศไทย ได้อัญเชิญเจ้าแม่ทับทิมจากสาธารณรัฐประชาชนจีนมาถึงประเทศไทยเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เพื่อให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวทั้งไทย-จีนได้เคารพสักการะ

ทั้งนี้ หลังจากเจ้าแม่ทับทิมได้รับการอัญเชิญมาถึงประเทศไทยเมื่อวันที่ 14 โดยมีพิธีต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ ณ สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิแล้ว ทางสมาคมฯ ได้อัญเชิญองค์เจ้าแม่ทับทิมไปประทับ ณ สมาคมฉวนโจว-จิ้นเจียง ประเทศไทย ถนนราชพฤกษ์-สำเพ็ง 2, สมาคมตระกูลลิ้มแห่งประเทศไทย และวันนี้ได้มีพิธีแห่องค์เจ้าแม่ไปยังถนนย่านเยาวราช เพื่อให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวไทย-จีนที่มีความเลื่อมใสศรัทธา ได้มีโอกาสกราบสักการะและขอพร ซึ่งเจ้าแม่ทับทิมหรือเจ้าแม่หม่าโจ้วมีความศักดิ์สิทธิ์เป็นที่เคารพสักการะของคนจีนที่ทำอาชีพประมงหรือออกเดินเรือไปหาปลาเป็นอย่างมาก ถ้าเปรียบกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของคนไทยก็จะหมายถึงแม่ย่านางที่เรามักจะกราบไหว้ขอพรก่อนการออกเดินทางทุกครั้งไม่ว่าจะเป็นทางรถหรือทางเรือ

รมว.พิพัฒน์ กล่าวว่า การเดินทางมาประเทศไทยขององค์เจ้าแม่ทับทิมครั้งนี้ ไม่เพียงแต่นักท่องเที่ยวไทยจีน รวมถึงผู้ที่เลื่อมใสศรัทธาในองค์เจ้าแม่ทับทิมได้มีโอกาสกราบสักการะ เพื่อความเป็นสิริมงคลแล้ว ยังมีคณะนักท่องเที่ยวตระกูลแซ่จำนวนมากกว่า 600 คน เดินทางมาด้วย ซึ่งเรื่องนี้เป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงานตามนโยบายที่ผมเคยให้ไว้แก่หน่วยงานของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เพราะในโลกนี้มีคนจีนเป็นจำนวนมาก มีสายสัมพันธ์อันดีกับชาวไทยเรามาช้านาน จึงเป็นกุศโลบายที่ดีที่จะเชื้อเชิญชาวจีนตระกูลแซ่ต่างๆ ได้มาท่องเที่ยวในเมืองไทย มาพบปะเยี่ยมเยียนบรรพบุรุษญาติมิตรเชื้อสายเดียวกันที่พักอาศัยอยู่ในประเทศไทย นอกจากจะเป็นการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมอันดีงามของทั้งสองเชื้อชาติแล้ว ความอบอุ่นประทับใจที่เกิดขึ้นย่อมได้รับการประชาสัมพันธ์บอกต่อให้ชาวจีนคนอื่นๆ ได้เดินทางมาท่องเที่ยวประเทศไทย เกิดการจับจ่ายใช้สอยอันจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจสร้างรายได้แก่ประเทศไทยโดยรวมต่อไป หน้าที่ของประชาชนคนไทยคือการต้อนรับผู้มาเยี่ยมเยือนเหล่านี้ด้วยการไม่เอารัดเอาเปรียบ ต้มตุ๋นหลอกลวง สร้างความอบอุ่นประทับใจให้เกิดขึ้น เพียงเท่านี้ก็ถือว่าทุกท่านได้ปฏิบัติหน้าที่เจ้าบ้านที่ดีแล้ว

กรมควบคุมโรครณรงค์วันอัมพาตโลกปี 2562 ลดเสี่ยงเป็นอัมพาต

People Unity : กรมควบคุมโรครณรงค์วันอัมพาตโลก ปี 2562 ให้ประชาชนรับรู้สัญญาณเตือนโรคหลอดเลือดสมอง ลดความเสี่ยงเป็นอัมพาต

กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ร่วมรณรงค์วันอัมพาตโลก ปี 2562 ซึ่งตรงกับวันที่ 29 ตุลาคม ของทุกปี และประเด็นในการรณรงค์ปีนี้ คือ “อย่าให้ อัมพฤกษ์ อัมพาต…เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตคุณ” เพื่อเน้นให้ประชาชนรู้ถึงสัญญาณเตือนของโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการอัมพฤกษ์ อัมพาต พร้อมเชิญชวนให้ดูแลสุขภาพของตนเอง เพราะโรคหลอดเลือดสมองสามารถป้องกันได้

วันที่ 25 ต.ค.2562 นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า อัมพาตหรือ โรคหลอดเลือดสมอง เป็นภาวะที่สมองขาดเลือดหล่อเลี้ยงทำให้มีอาการชาที่ใบหน้า ปากเบี้ยว พูดไม่ชัด แขน ขา ข้างใดข้างหนึ่งอ่อนแรง เคลื่อนไหวไม่ได้ ซึ่งแบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ หลอดเลือดสมองตีบหรือตันและหลอดเลือดสมองแตก จากรายงานขององค์การอัมพาตโลก (WSO) พบว่า โรคหลอดเลือดสมองเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 2 ของโลก พบผู้ป่วยจำนวน 80 ล้านคน ผู้เสียชีวิตประมาณ 5.5 ล้านคน และยังพบผู้ป่วยใหม่ถึง 13.7 ล้านคนต่อปี โดย 1 ใน 4 เป็นผู้ป่วยที่มีอายุ 25 ปีขึ้นไป และร้อยละ 60 เสียชีวิตก่อนวัยอันควร นอกจากนี้ ยังได้ประมาณการความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดสมองในประชากรโลกปี 2562 พบว่า ทุกๆ 4 คน จะป่วยด้วยโรคหลอดเลือดสมอง 1 คน โดยร้อยละ 80 ของประชากรโลกที่มีความเสี่ยงสามารถป้องกันได้

สำหรับประเทศไทย จากรายงานข้อมูลย้อนหลัง 5 ปี ของกองยุทธศาสตร์และแผนงาน กระทรวงสาธารณสุข พบว่า จำนวนผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง ตั้งแต่ปี 2556-2560 มีแนวโน้มสูงขึ้น โดยในปี 2559 พบผู้ป่วย 293,463 รายในปี 2560 พบผู้ป่วย 304,807 ราย และจำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมองปีละประมาณ 30,000 ราย จากสถานการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า โรคหลอดเลือดสมองเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ของประเทศไทย ซึ่งสามารถเกิดได้กับประชาชนทุกกลุ่มวัย และปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญในการเกิดโรคได้แก่ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน ภาวะโรคหัวใจ ไขมันในเลือดสูง สูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นต้น
กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมควบคุมโรค ได้เห็นถึงความสำคัญของปัญหาโรคหลอดเลือดสมอง จึงได้กำหนดคำขวัญการรณรงค์วันอัมพาตโลกในวันที่ 29 ตุลาคม 2562 คือ “อย่าให้ อัมพฤกษ์ อัมพาต…เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตคุณ” เพื่อให้เกิดความตระหนักในการป้องกันโรคดังกล่าว และรู้ถึงสัญญาณเตือนของโรค คือ “F.A.S.T” F (Face) เวลายิ้มแล้วพบว่ามุมปากข้างหนึ่งตก, A (Arms) ยกแขนข้างใดข้างหนึ่งไม่ขึ้น, S (Speech) มีปัญหาด้านการพูด แม้แต่ประโยคง่ายๆ, และ T (Time) เวลามีอาการเหล่านี้ ให้รีบไปโรงพยาบาลโดยด่วนภายใน 4 ชั่วโมงครึ่งรวมการรักษา เพื่อจะได้รับการรักษาให้ทันเวลาและสามารถฟื้นฟูให้กลับมาได้เป็นปกติมากที่สุด หรือโทรสายด่วน 1669 ให้บริการฟรีตลอด 24 ชั่วโมง

นายแพทย์สุวรรณชัย กล่าวต่อไปว่า อัมพาต หรือโรคหลอดเลือดสมองสามารถป้องกันได้ โดยประชาชนทุกคนต้องเรียนรู้สัญญาณเตือนของการเกิดโรค และปฏิบัติตามแนวทางเพื่อลดความเสี่ยง ดังนี้ 1.เลิกสูบบุหรี่ 2.งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 3.กลุ่มเสี่ยงที่มีโรคประจำตัว ควรดูแลรักษาสุขภาพตามที่แพทย์แนะนำ ควรรับประทานยาและไปพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอตามแผนการรักษา 4.ควบคุมน้ำหนักตัวเองให้อยู่ในเกณฑ์ 5.ออกกำลังกายวันละ 30 นาที อย่างน้อย 5 วันต่อสัปดาห์ 6.ทำจิตใจให้ผ่อนคลาย มีการจัดการความเครียดที่เหมาะสม 7.ลดอาหารหวาน มัน เค็ม และเพิ่มผัก ผลไม้ 8.ตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอทุกปี อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422

ระวังตกเป็นเหยื่อหลอกรักออนไลน์

People Unity News : 13 กุมภาพันธ์ 2566 รัฐบาลส่งความห่วงใย วาเลนไทน์นี้มีความรักที่ปลอดภัยไม่ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพทางออนไลน์ คู่รักใช้ถุงยางอนามัยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ของทุกปีเป็นวันวาเลนไทน์ หรือวันแห่งความรัก เป็นวาระสำคัญที่ประชาชนทุกกลุ่มทุกวัยจะส่งมอบความรักและความปรารถดีแก่กัน แต่เนื่องจากปัจจุบันได้มีภัยในรูปแบบต่างๆ โดยเฉพาะมิจฉาชีพที่แอบแฝงในโลกออนไลน์ ซึ่งจำนวนมากใช้ความรักหรือความอ่อนไหวของเป้าหมาย หลอกลวงทั้งประสงค์ต่อทรัพย์และอาจนำไปสู่การทำร้ายร่างกาย รัฐบาลจึงขอเตือนให้ประชาชนระมัดระวังภัยต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นในช่วงวันแห่งความรักนี้

ทั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้เปิดเผยถึงสถิติอาชญากรรมออนไลน์ประจำเดือน มกราคม 2566 จากศูนย์รับแจ้งความออนไลน์ พบว่ามีคดีเกี่ยวกับการหลอกให้รักยังสูงถึง 403 คดี โดยแบ่งเป็นคดีประเภทหลอกลวงให้รักแล้วโอนเงิน จำนวน 168 เรื่อง และคดีหลอกลวงให้รักแล้วลงทุน จำนวน 235 เรื่อง รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 190 ล้านบาท

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ภัยออนไลน์เกี่ยวกับความรักหรือ Romance Scams จะเป็นการใช้เทคนิคทางจิตวิทยาพัฒนาความสัมพันธ์กับเป้าหมายสร้างความเชื่อใจระหว่างบุคคล แล้วทำการหลอกลวงด้วยวิธีการต่างๆ เช่น  หลอกให้รักแล้วโอนเงิน หลอกให้รักแล้วชวนลงทุน หลอกให้รักแล้วกดลิงก์/ดาวน์โหลดแอปรีโมท ควบคุมสมาร์ทโฟนและทำการดูดเงินในบัญชี หรือหลอกให้รักแล้วแบล็คเมล์ ด้วยการชวนทำกิจกรรมทางเพศผ่านทางออนไลน์ แล้วนำภาพหรือวิดีโอมาขู่เรียกค่าไถ่ หรือบีบบังคับให้กระทำการอื่นๆ

ทั้งนี้ หากประชาชนมีความสงสัยหรือกำลังเกรงว่าตนเองอาจตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ สามารถปรึกษาได้ที่ สายด่วน บช.สอท. 1441 หรือ ศูนย์ PCT 081-8663000 หากเป็นผู้เสียหายประสงค์จะแจ้งความ สามารถแจ้งความผ่านระบบออนไลน์ได้ที่เว็บไซต์ www.thaipoliceonline.com และสามารถติดตามรูปแบบการประชาสัมพันธ์กลโกงต่างๆที่ pctpr.police.go.th

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ในเทศกาลวันแห่งความรักยังเป็นโอกาสที่คู่รักใช้เป็นช่วงเวลาในการแสดงออกถึงความรักในรูปแบบต่างๆ ซึ่งรวมถึงการมีเพศสัมพันธ์ ในส่วนนี้ กระทรวงสาธารณสุข ได้มีข้อแนะนำให้ประชาชนเห็นความสำคัญของการป้องกันโรคที่มาจากเพศสัมพันธ์ไม่ว่าจะเป็นเชื้อเอชไอวี หรือโรคอื่นๆ เช่น ซิฟิลิส โรคหนองใน โรคหนองในเทียม โรคแผลริมอ่อน โรคกามโรคของต่อมและท่อน้ำเหลือง และโรคเริม เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม โรคต่างๆ ดังกล่าวสามารถป้องกันได้โดยการใช้ถุงยางอนามัย ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้มีข้อแนะนำว่าถุงยางอนามัยจัดเป็นเครื่องมือแพทย์ที่ต้องมีใบอนุญาตหรือใบรับแจ้งรายการละเอียดในการผลิตหรือนำเข้า ดังนั้น ขณะเลือกซื้อประชาชนควรเลือกซื้อถุงยางอนามัยที่มีเลขใบอนุญาตเครื่องมือแพทย์หรือใบรับแจ้งรายการละเอียด ซึ่งรับรองจาก อย. สังเกตดูวันที่ผลิต วันหมดอายุก่อนซื้อ และมีการใช้ตามคู่มือแนะนำของผลิตภัณฑ์ เพื่อป้องกันการเสื่อมสภาพและให้ถุงยางอนามัยคงประสิทธิภาพสูงสุด

Advertisement

รัฐบาลเดินหน้าพัฒนาบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้เชื่อมโยงกับบัตรโดยสารสาธารณะ

People unity news online : “ประยุทธ์” สั่งการเดินหน้าปรับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้เชื่อมโยงกับบัตรโดยสารสาธารณะ พร้อมสั่งให้กระทรวงดิจิทัลฯเร่งให้ทุกหน่วยงานบูรณาการเชื่อมโยงข้อมูลกันเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชน

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงเรื่องความก้าวหน้าด้านดิจิทัลบัตรสวัสดิการแห่งรัฐว่า การดำเนินการดังกล่าวมีความคืบหน้าในหลายเรื่อง เช่น ที่ผ่านมาได้มีการใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐซื้อของผ่านร้านค้าธงฟ้า แต่ปัจจุบันได้มีการปรับให้สามารถซื้อสินค้าที่อื่นได้ด้วย ทำให้เกิดการหมุนเวียนทางการเงินในเศรษฐกิจโดยรวม รวมทั้งปัจจุบันได้นำไปเชื่อมโยงกับบัตรโดยสารสาธารณะซึ่งรัฐบาลกำลังเร่งพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทุกอย่างที่รัฐบาลเร่งดำเนินการเพื่ออนาคตข้างหน้าของประเทศ

รวมถึงการพัฒนาการใช้ดิจิทัลทดแทนเอกสารในการติดต่อระบบราชการ โดยใช้เลขบัตรประชาชน 13 หลัก ในการทำธุรกรรมด้านต่างๆ ซึ่งกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมกำลังเร่งดำเนินการอยู่ในขณะนี้ พร้อมทั้งได้ให้ทุกหน่วยงานบูรณาการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างกันให้ได้ ซึ่งขณะนี้ พ.ร.บ.การอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ และพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ ได้ประกาศและมีผลบังคับใช้แล้ว ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนในการขอใบอนุญาตต่างๆได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

People unity news online : post 8 ตุลาคม 2561 เวลา 11.30 น.

กสม. ชี้แรงงานทุกกลุ่มต้องเข้าถึงระบบประกันสังคม

People Unity News : 1 พฤษภาคม 2566 กสม. ชี้แรงงานทุกกลุ่มต้องเข้าถึงระบบประกันสังคม และมีมาตรฐานการครองชีพที่เพียงพอและเหมาะสม

คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติส่งสาร เนื่องในวันแรงงานสากล ว่าสิทธิแรงงานเป็นหนึ่งในสิทธิมนุษยชนที่สำคัญ การส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิแรงงาน เพื่อให้ได้รับสิทธิการเข้าถึงการจ้างงานโดยไม่ถูกเลือกปฏิบัติ สิทธิในการได้รับค่าจ้างที่เป็นธรรม เพียงพอต่อการดำรงชีพ มีคุณภาพชีวิตที่ดี สิทธิที่จะมีหลักประกันสังคมอย่างทั่วถึง ครอบคลุมแรงงานทุกคน ทุกประเภท ทั้งแรงงานในระบบ แรงงานนอกระบบ แรงงานข้ามชาติ แรงงานภาคบริการ รวมทั้งได้รับการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิในการรวมตัว ก่อตั้งสหภาพแรงงานหรือองค์กรของแรงงาน เพื่อให้สามารถเจรจาต่อรองกับนายจ้างและรัฐ จึงเป็นเรื่องที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ให้ความสำคัญอย่างยิ่ง

สังคมปัจจุบันได้พัฒนาและเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบบเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อมีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 นำไปสู่การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตของคนในสังคม โดยมีการจ้างงานในรูปแบบใหม่ ๆ เช่น อาชีพรับส่งสินค้าหรืออาหาร (ไรเดอร์) ซึ่งเป็นอาชีพอิสระ และมีข้อถกเถียงกันว่ารูปแบบการจ้างงานเช่นนี้ถือว่าเป็นนิติสัมพันธ์ที่เข้าข่ายเป็นลูกจ้าง-นายจ้างหรือไม่ และแรงงานเหล่านี้ควรได้รับการส่งเสริมคุ้มครองสิทธิแค่ไหน อย่างไร ซึ่งกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม เห็นว่ารัฐต้องดำเนินการเพื่อให้แน่ใจว่าระบบประกันสังคมจะครอบคลุมแรงงานที่ไม่ได้รับการคุ้มครองอย่างเพียงพอโดยเฉพาะในกลุ่มแรงงานอิสระ

เนื่องในวันแรงงานสากล 1 พฤษภาคม ประจำปี 2566 กสม. ขอเน้นย้ำความสำคัญของสิทธิแรงงาน โดยจะร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ภาคีเครือข่ายด้านแรงงาน ภาคประชาสังคม และนักวิชาการ ในการขับเคลื่อนให้เกิดการยกระดับการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิแรงงานให้เป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชน และมาตรฐานสากล ส่งเสริมการมีงานทำของแรงงานที่ว่างงาน รวมทั้งผลักดันให้รัฐบาลให้การรับรองอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 87 และฉบับที่ 98 เพื่อให้แรงงานทุกกลุ่มเข้าถึงระบบประกันสังคมและมีมาตรฐานการครองชีพที่เพียงพอและเหมาะสมต่อไป

Advertisement

 

รัฐบาลจัดให้! ลูกจ้างราชการ 1 ล้านคน เฮ! สิทธิกองทุนเงินทดแทนคุ้มครอง มีผล 9 ธ.ค.นี้

People unity news online : รมว.แรงงาน แถลง พ.ร.บ.กองทุนเงินทดแทน ฉบับที่ 2 พ.ศ.2561 ลูกจ้างส่วนราชการ 1 ล้านคนรับอานิสงส์ได้รับความคุ้มครอง เพิ่มค่าทดแทนเป็นร้อยละ 70 จากเดิมร้อยละ 60 ของค่าจ้างรายเดือน หยุดงาน 1 วันได้รับค่าทดแทน ทุพพลภาพได้รับค่าทดแทนไม่น้อยกว่า 15 ปี เสียชีวิตได้รับค่าทำศพ 40,000 บาทเท่ากองทุนประกันสังคม และทายาทได้รับค่าทดแทนนาน 10 ปี พร้อมอำนวยความสะดวกนายจ้าง ลดเงินเพิ่มเหลือร้อยละ 2 และลดการจ่ายเงินเพิ่ม กรณีภัยพิบัติ มีผลบังคับใช้ 9 ธันวาคมนี้

วันนี้ (15 พฤศจิกายน 2561) พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการแถลงข่าว เรื่อง พระราชบัญญัติกองทุนเงินทดแทน ฉบับที่ 2 พ.ศ.2561 ณ ห้องประชุม ชั้น 7 อาคารสำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานคร พื้นที่ 3 โดยกล่าวว่า กระทรวงแรงงานเป็นหน่วยงานหลักในการเสริมสร้างความมั่นคง ให้ประชาชนของประเทศมีหลักประกันในชีวิต เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม มีสำนักงานประกันสังคมเป็นหน่วยงานที่ขับเคลื่อนดูแลสิทธิประโยชน์แรงงานในระบบจำนวนประมาณ 12 ล้านคน และแรงงานนอกระบบประมาณ 22 ล้านคน ซึ่งปัจจุบันสำนักงานประกันสังคมมีกองทุนประกันสังคมและกองทุนเงินทดแทน โดยกองทุนประกันสังคม ประกอบด้วย เงินสมทบที่มาจากลูกจ้าง นายจ้าง และรัฐบาล เพื่อให้ความคุ้มครองกรณีประสบอันตราย เจ็บป่วย ทุพพลภาพ หรือตาย อันมิใช่เนื่องจากการทำงาน รวมทั้งกรณีคลอดบุตร สงเคราะห์บุตร ชราภาพ และว่างงาน ส่วนกองทุนเงินทดแทน เป็นเงินที่จ่ายในกรณีที่ประสบอันตรายในการทำงานให้กับนายจ้าง โดยนายจ้างเป็นผู้จ่ายเข้ากองทุนฯ 480 บาท/คน/ปี ให้ความคุ้มครองการจ่ายค่ารักษาพยาบาล ค่าฟื้นฟูสมรรถภาพในการทำงาน ค่าทำศพ จ่ายเงินทดแทนให้แก่ลูกจ้างแทนนายจ้าง เมื่อลูกจ้างประสบอันตราย หรือเจ็บป่วย ตาย หรือสูญหาย

พล.ต.อ.อดุลย์ กล่าวต่อว่า ในปีนี้กระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคม ได้กำหนดให้มีการแก้ไข พ.ร.บ.เงินทดแทน เหตุเพราะบทบัญญัติบางประการไม่เหมาะสม ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของลูกจ้าง กระทรวงแรงงานจึงได้เสนอแก้ไข พ.ร.บ.เงินทดแทนฯ ปี พ.ศ.2561 ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 9 ธันวาคม 2561 นี้ สาระสำคัญของ พ.ร.บ.ดังกล่าวจะขยายความคุ้มครองแก่ลูกจ้าง อาทิ คุ้มครองลูกจ้างของส่วนราชการหรือองค์กรที่ไม่แสวงหากำไนทางเศรษฐกิจจำนวน 1 ล้านคน เพิ่มค่ารักษาพยาบาลจากเดิม 2 ล้านบาท จนถึงสิ้นสุดการรักษา เพิ่มค่าฟื้นฟูจากเดิม 24,000 บาท เป็น 40,000 บาท เพิ่มค่าทำศพ 33,000 บาทเป็น 40,000 บาท เพิ่มค่าทดแทนจากเดิม 60 % ของค่าจ้าง เป็น 70 % ของค่าจ้าง โดยจ่ายตั้งแต่จากเดิมหยุดงาน 3 วันเป็นตั้งแต่วันแรกที่เจ็บป่วย กรณีทุพพลภาพจากเดิม 15 ปีเป็นตลอดชีวิต และกรณีตาย จะจ่ายค่าทดแทนแก่ทายาทจากเดิม 8 ปีเป็น 10 ปี ส่วนประโยชน์ของนายจ้าง ปรับลดเงินเพิ่มร้อยละ 2 ต่อเดือน จากเดิมร้อยละ 3 และเงินเพิ่มต้องไม่เกินจำนวนเงินสมทบที่นายจ้างต้องจ่าย ในกรณีที่ประสบภัยพิบัติ รัฐมนตรีมีอำนาจลดการจ่ายเงินเพิ่ม ตลอดจนเป็นการเพิ่มช่องทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่ออำนวยความสะดวกในการยื่น – แจ้งเงินสมทบช่องทางอิเล็กทรอนิกส์อีกด้วย

People unity news online : post 15 พฤศจิกายน 2561 เวลา 13.04 น.

การไฟฟ้านครหลวง เดินหน้าตามแผน สายไฟฟ้าใต้ดิน

People Unity News : 12 ตุลาคม 2566 ผู้ว่าการ MEA ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมภารกิจอุโมงค์สายส่งไฟฟ้าใต้ดิน Outgoing ชิดลม ย้ำลงทุนตามแผนให้มีระยะทางสายใต้ดินสะสมรวม 91.2 กิโลเมตร

นายวิลาศ เฉลยสัตย์ ผู้ว่าการ MEA หรือการไฟฟ้านครหลวง ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมภารกิจการบำรุงรักษาอุโมงค์สายส่งไฟฟ้าใต้ดิน Outgoing ชิดลม ซึ่งเป็นอุโมงค์สายส่งไฟฟ้าใต้ดินขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ก่อสร้างแล้วเสร็จเมื่อปี 2564 มีระบบไฟฟ้าแรงดัน 115/69 และ 24 กิโลโวลต์ (kV) อยู่ใต้ถนนชิดลม ถึงถนนสารสิน และถนนเพลินจิต (จากสี่แยกชิดลม ถึงสี่แยกเพลินจิต) เส้นผ่านศูนย์กลาง 3.6 เมตร ยาว 1.3 กิโลเมตร อยู่ลึกกว่า 35 เมตร มีการเชื่อมโยงกับอุโมงค์สายส่งไฟฟ้าใต้ดินเดิมที่มีขนาดแรงดัน 230 kV เชื่อมต่อระหว่างสถานีต้นทางบางกะปิ ถึงสถานีต้นทางชิดลม ยาว 7 กิโลเมตร อยู่ลึกกว่า 30 เมตร ลอดใต้แนวคลองแสนแสบ อุโมงค์รถไฟฟ้าใต้ดิน และอุโมงค์ระบายน้ำของกรุงเทพมหานคร สร้างขึ้นเพื่อรองรับความต้องการการใช้ไฟฟ้าในย่านธุรกิจสำคัญใจกลางเมืองที่มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ช่วยสร้างความมั่นคงของระบบไฟฟ้า ลดปัญหาไฟฟ้าดับ ลดความเสี่ยงทางกายภาพที่อาจเกิดขึ้นกับสายไฟฟ้าแรงสูงบนพื้นดิน พร้อมทั้งสร้างภูมิทัศน์ที่สวยงามให้กับเมืองมหานครของประเทศไทย

ทั้งนี้ นอกจากการดำเนินโครงการนำสายไฟฟ้าแรงดันสูง 230 กิโลโวลต์ (kV) ลงใต้ดินแล้ว MEA ยังได้นำสายไฟฟ้าแรงดันสูงขนาด 12/24 กิโลโวลต์ (kV) รวมถึงแรงดันต่ำขนาด 220/380 โวลต์ (V) ลงใต้ดิน ภายใต้ชื่อโครงการเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดิน มีระยะทางดำเนินโครงการทั้งสิ้น 236.1 กิโลเมตร มีเป้าหมายก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายในปี 2570 โดยขณะนี้สามารถดำเนินการได้แล้วเสร็จรวม 62 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่สำคัญในถนนต่างๆ เช่น ถนนสีลม ถนนสุขุมวิท ถนนพหลโยธิน ถนนพญาไท ถนนพระราม 1 ถนนราชดำริ ถนนราชวิถี ถนนราชปรารภ ถนนศรีอยุธยา ถนนสวรรคโลก ถนนสาธุประดิษฐ์ และถนนสว่างอารมณ์ เป็นต้น ขณะเดียวกันมีโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการ 174.1 กิโลเมตร เช่น โครงการพระราม 3 โครงการรัชดาภิเษก และโครงการก่อสร้างตามแนวรถไฟฟ้าสายสีต่างๆ โดย MEA คาดว่าภายในสิ้นปี 2566 จะมีระยะทางที่ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จเพิ่มขึ้นอีก 29.2 กิโลเมตร ทำให้มีระยะทางสายใต้ดินสะสมรวมทั้งสิ้น 91.2 กิโลเมตร

Advertisement

ผบ.ตร. รับนโยบายนายกฯ ลุยเข้มยกระดับการปฏิบัติระดมกวาดล้างอาวุธปืน

People Unity News : 5 ตุลาคม 2566 สตช. – ผบ.ตร.ขานรับนโยบายนายกรัฐมนตรี ยกระดับการปฏิบัติ สั่งเข้มทุกหน่วยระดมกวาดล้างอาวุธปืนเด็ดขาดและต่อเนื่อง จับมือมหาดไทย ศุลกากร บูรณาการแก้ไขปัญหาการถือครองอาวุธปืน การนำเข้า Blank Gun และเสนอปรับแก้กฎหมายให้รัดกุม พร้อมย้ำลุยต่อยอดฝึกอบรม ประชาสัมพันธ์ ป้องกันเหตุ ตามกลยุทธ์ หนี-ซ่อน-สู้ ฝากขอความร่วมมือผู้ปกครองสอดส่องพฤติกรรมบุตรหลาน

พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษก ตร. เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้สั่งการให้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. กำหนดมาตรการในการป้องกันเหตุกราดยิง หลังเกิดเหตุคนร้ายกราดยิงที่ห้างพารากอน ผบ.ตร.ได้ขานรับนโยบายจากนายกรัฐมนตรี และสั่งการทันที กำชับทุกหน่วยที่เกี่ยวข้อง ในมาตรการป้องกันการก่อเหตุในทุกพื้นที่ โดยให้ดำเนินการ ดังนี้

1.ให้ทุกหน่วยระดมกวาดล้างความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืน สิ่งเทียมอาวุธปืน อาวุธสงคราม และเครื่องกระสุนอย่างจริงจัง เด็ดขาด และต่อเนื่อง โดยให้รายงานผลการปฏิบัติทุกๆ 15 วัน ในกรณีที่มีการจับกุมให้สืบสวนขยายผล ดำเนินการผู้เกี่ยวข้อง

2.ประสานความร่วมมือ บูรณาการกับกระทรวงมหาดไทย กรมศุลกากร และหน่วยที่เกี่ยวข้อง ในการตรวจสอบและควบคุมการนำเข้า จำหน่าย รวมทั้งการออกใบอนุญาตอาวุธปืน ที่ยังพบว่ามีสถิติการถือครองอาวุธปืนและใบอนุญาตโดยง่าย โดยเฉพาะประเด็นแบลงค์กัน (Blank Gun) ซึ่งสามารถนำเข้าได้ พบสถิตินำเข้ากว่าหมื่นกระบอก จะได้ร่วมกับกรมศุลกากรชะลอ หรืองดการนำเข้า เพื่อไม่ให้คนร้าย หรือกลุ่มมิจฉาชีพนำมาดัดแปลงเป็นอาวุธปืนผิดกฎหมาย นอกจากนี้ หากพบว่ากฎหมาย ระเบียบ คำสั่ง เกี่ยวกับอาวุธปืน ที่ยังล้าสมัย ไม่ทันต่อสถานการณ์ ให้ร่วมกันพิจารณาปรับปรุง แก้ไข เพื่อควบคุมการใช้อาวุธปืนในการกระทำผิดทุกรูปแบบ ให้มีความเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน

3.ให้ฝ่ายสืบสวนทุกหน่วยทั่วประเทศ จัดทำและตรวจสอบข้อมูลการจำหน่ายอาวุธปืนในพื้นที่ และให้ บช.สอท. เป็นหน่วยรับผิดชอบในการตัดวงจรการจำหน่ายและการสืบสวนขยายผล การนำซื้อขายอาวุธออนไลน์ การนำแบลงค์กัน (Blank Gun) ไปดัดแปลงเป็นอาวุธ โดยเฉพาะช่องทางออนไลน์ เพื่อตัดองค์ประกอบในการกระทำความผิด

4.จัดชุดวิทยากรฯ ต่อยอดการฝึกอบรมการสร้างความตระหนักรู้ ความเข้าใจ ฝึกปฏิบัติในการรับมือกับสถานการณ์ฯ ในพื้นที่โรงเรียน ห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาลและพื้นที่ต่างๆ (Soft Target)

5.ขอความร่วมมือผู้ปกครองช่วยสอดส่องดูแลพฤติกรรมเด็ก เยาวชน บุตรหลาน เกี่ยวกับการใช้อาวุธปืนหรือความรุนแรงต่าง ๆ เพื่อไม่ให้เกิดพฤติกรรมลอกเลียนแบบ หรือเหตุความรุนแรงต่าง ๆ ในสังคม

โฆษก ตร.กล่าวอีกว่า ผบ.ตร. ได้ขอแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าว มีความห่วงใยต่อสถานการณ์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขณะอยู่นี้อยู่ระหว่างดำเนินการตามข้อห่วงใยของนายกรัฐมนตรี ทุกประเด็น ทุกมิติ ทั้งนี้ ตร. ขอความร่วมมือในการงดแชร์ งดเผยแพร่ภาพ คลิป หรือข้อมูล ในกรณีดังกล่าว เพื่อป้องกันพฤติกรรมลอกเลียนแบบ อีกทั้งกระทบต่อจิตใจครอบครัวผู้สูญเสีย และสังคมวงกว้าง พร้อมประชาสัมพันธ์คลิปการรับมือเหตุกราดยิง หนี-ซ่อน-สู้ 3 กลยุทธ์สากล การเอาชีวิตรอดจากกรณีมือปืนกราดยิง ที่ได้จัดทำขึ้น เพื่อให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจ มีพื้นฐานแนวทางในการเอาชีวิตรอดจากเหตุการณ์ สามารถลดจำนวนทั้งผู้ที่เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ

Advertisement

เคาะแล้ว ระเบียบ คกก.ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ

People Unity News : 21 กันยายน 2566 รมว.ยุติธรรม เคาะแล้ว ระเบียบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ ลั่นขอให้หน่วยงานถือปฏิบัติเป็นมาตรฐานเดียวกัน

วันที่ 21 ก.ย. 2566 พ.ต.อ. ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ได้ลงนามประกาศใช้ระเบียบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายว่าด้วยการบันทึกภาพและเสียงในขณะจับและควบคุม การแจ้งการควบคุมตัว และการบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับผู้ถูกควบคุมตัว พ.ศ. 2566 พร้อมทั้งแบบบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับผู้ถูกควบคุมตัวตามมาตรา 23 แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 (ปท.1) เพื่อเป็นแนวทางให้ทุกหน่วยงานยึดถือปฏิบัติตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ

โดยระเบียบฯ ดังกล่าว เป็นการกำหนดรายละเอียดแนวทางการปฏิบัติตามมาตรา 22 และมาตรา 23 เพื่อให้หน่วยงานปฏิบัติไปในทิศทางเดียวกัน อาทิ หลักในการบันทึกภาพและเสียงในขณะจับและควบคุม หน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้รับผิดชอบในการบันทึกภาพและเสียง การเก็บรักษา ระยะเวลาในการเก็บรักษา และการห้ามแก้ไขเปลี่ยนแปลงสิ่งบันทึกภาพและเสียง การแจ้งการควบคุมตัวแก่พนักงานอัยการและพนักงานฝ่ายปกครอง การจัดทำบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับผู้ถูกควบคุมตัว (แบบ ปท.1) การตรวจสอบการแจ้งการควบคุมตัว เป็นต้น

ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ระเบียบฯ ฉบับนี้ จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะทำให้การปฏิบัติตามพระราชบัญญัติฯ ของเจ้าหน้าที่เกิดความชัดเจน ถูกต้อง และสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติฯ โดยจะนำมาซึ่งความยุติธรรม และสร้างความแข็งแกร่งให้กับหลักนิติธรรมต่อไป

Advertisement

เร่งสกัดกั้นขบวนการค้าบุหรี่เถื่อน ร้านค้าปลีกได้รับผลกระทบ

People Unity News : เร่งสกัดกั้นขบวนการค้าบุหรี่เถื่อน ร้านค้าปลีกได้รับผลกระทบ

8 กันยายน 2564 นายชัยยุทธ คำคุณ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางศุลกากร และโฆษกกรมศุลกากร เปิดเผยว่า จากกรณีที่สมาคมการค้ายาสูบไทย ได้รับร้องเรียนจากร้านค้าเกี่ยวกับปัญหาบุหรี่หนีภาษี ทำให้ร้านค้าที่ถูกกฎหมายได้รับผลกระทบไม่สามารถขายบุหรี่ที่ถูกกฎหมายได้ จึงอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดการกับผู้กระทำความผิดลักลอบนำเข้าและผู้ขายบุหรี่ที่ไม่เสียภาษี เพื่อคุ้มครองผลประโยชน์เงินภาษีของรัฐ เงินภาษีของท้องถิ่นและรายได้ของร้านค้าที่ถูกกฎหมายในพื้นที่ กรมศุลกากร ขอชี้แจงว่า ภายหลังจากที่มีการปรับราคาบุหรี่ในท้องตลาดให้มีราคาสูงขึ้น ผู้บริโภคส่วนหนึ่งจึงหันไปหาบุหรี่ที่มีราคาถูกหรือยาเส้นมวนเอง แต่ในพื้นที่ภาคใต้ผู้สูบบุหรี่กลุ่มดังกล่าวส่วนใหญ่หันไปหาบุหรี่หนีภาษี ที่มีราคาถูกกว่าบุหรี่ที่ถูกต้องตามกฎหมายมาก ส่งผลให้เกิดการลักลอบค้าบุหรี่ผิดกฎหมายเพิ่มมากขึ้น ร้านค้าที่ขายบุหรี่ถูกต้องตามกฎหมายจึงไม่สามารถแข่งขันทางด้านราคากับบุหรี่หนีภาษีได้ อธิบดีกรมศุลกากร จึงสั่งการให้ กองสืบสวนและปราบปราม ร่วมกับ สำนักงานศุลกากรภาคที่ 4 ให้เจ้าหน้าที่ในสังกัดด่านศุลกากรวังประจัน ด่านศุลกากรสะเดา ด่านศุลกากร ปาดังเบซาร์ ด่านศุลกากรตากใบและด่านศุลกากรสุไหงโก-ลก สืบสวนหาข่าวและสกัดกั้นขบวนการค้าบุหรี่เถื่อนในพื้นที่ ทำให้สามารถจับกุมบุหรี่ที่ลักลอบนำเข้ามาได้อย่างต่อเนื่อง โดยในปีงบประมาณ 2564 นี้ (เดือนตุลาคม 2563 – สิงหาคม 2564) ได้จับกุมบุหรี่ได้ทั้งหมด 647 คดี คิดเป็นมูลค่า 103 ล้านบาท

Advertising

Verified by ExactMetrics