วันที่ 2 กรกฎาคม 2025

นายกฯ ปลื้ม รร.ทศพรวิทยา คว้ารางวัลระดับประเทศ-ระดับโลก

People Unity News : 17 กุมภาพันธ์ 2566 นายกฯ ชื่นชมนักเรียน รร.ทศพรวิทยา จ.บุรีรัมย์ รับรางวัลระดับประเทศ-ระดับโลก นำความภาคภูมิใจและชื่อเสียงสู่ประเทศชาติ ย้ำพัฒนาศักยภาพตนเอง สอดคล้องการพัฒนาประเทศ ทันต่อสถานการณ์โลก

นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นำคณะนักเรียน พร้อมผู้บริหารและครูฝึก โรงเรียนทศพรวิทยา อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชน ซึ่งได้รับรางวัลจากการเข้าร่วมกิจกรรมการแข่งขันระดับประเทศและระดับโลก นำชื่อเสียงมาสู่ประเทศไทย เข้าพบพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้แก่นักเรียนที่ได้รับรางวัล ตลอดจนคณะผู้บริหาร ครูฝึก โรงเรียนทศพรวิทยา รวมทั้งเพื่อเป็นแบบอย่าง สร้างแรงบันดาลใจให้กับเด็กและเยาวชนอื่น ๆ ในการพัฒนาศักยภาพอย่างสร้างสรรค์และเป็นประโยชน์ในการที่จะนำชื่อเสียงมาสู่ประเทศในอนาคตต่อไปด้วย

นายกรัฐมนตรี   ได้ชมการแสดงโชว์ของทีม Awesome Juniors เต้น Hip Hop Dance จำนวน 9 คน   พร้อมกล่าวชื่นชมและแสดงความยินดีกับนักเรียน ผู้บริหาร และครูฝึก โรงเรียนทศพรวิทยา กับความสำเร็จที่เกิดขึ้นซึ่งมาจากความเพียรพยายามของทุกคน ในการร่วมกันดำเนินการอย่างมุ่งมั่นเข้มแข็ง จนเกิดเป็นผลสำเร็จนำความภาคภูมิใจและชื่อเสียงมาสู่ประเทศไทยอย่างยอดเยี่ยม ซึ่งความสามารถและการแสดงดังกล่าวถือเป็นอีกหนึ่ง Soft Power ที่จะเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศอีกทางหนึ่ง โดยขอเป็นกำลังใจในการดำเนินกิจกรรมที่สร้างสรรคทั้งในระยะที่ผ่านมาและกิจกรรมต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และขอให้ก้าวไปสู่ความสำเร็จในระดับโลกยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ต่อไป

พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้สอบถามถึงการฝึกซ้อมและการออกแบบท่าเต้นต่างๆ ด้วยความสนใจ โดยแนะให้นำท่าเต้นต่างๆ ไปปรับใช้สำหรับเป็นท่าเต้นในการออกกำลังกายได้ด้วย รวมทั้งได้สอบถามถึงการศึกษาเล่าเรียนของเด็กนักเรียน โดยย้ำว่านอกจากการฝึกซ้อมและพัฒนาในกิจกรรมที่เป็นความสามารถเฉพาะตัวดังกล่าวแล้ว ต้องมีการศึกษาเล่าเรียนที่สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศและทันกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทั้งในปัจจุบันและอนาคต รวมถึงให้เรียนรู้ตลอดชีวิตและพัฒนาศักยภาพตนเองในด้านต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องให้ทันต่อสถานการณ์โลก เพื่อเติบโตไปจะได้มีอาชีพและอนาคตที่มั่นคง มีรายได้เลี้ยงดูตนเองและครอบครัว พ่อแม่ ตลอดจนเพื่อเป็นกำลังที่สำคัญในการร่วมกันพัฒนาและขับเคลื่อนประเทศไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน

ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรี กล่าวในนามรัฐบาลขอบคุณทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ที่ให้ความสำคัญในการร่วมกันพัฒนามาตรฐานด้านต่างๆ ของการศึกษาของโรงเรียนเอกชนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการสนับสนุนให้เด็กนักเรียนทำกิจกรรมที่เป็นการแสดงออกอย่างสร้างสรรค์ และดีงาม จนได้รับรางวัลนำชื่อเสียงมาสู่ประเทศไทยเป็นผลสำเร็จตามเป้าหมาย นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังได้มอบพระหลวงปู่ทวดให้กับคณะนักเรียน คณะผู้บริหาร และครูฝึก โรงเรียนทศพรวิทยา เพื่อความเป็นสิริมงคล พร้อมอวยพรให้ทุกคนเดินทางปลอดภัยและประสบความสำเร็จทุกประการ

สำหรับรางวัลของนักเรียนโรงเรียนทศพรวิทยาที่ได้รับจากการเข้าร่วมกิจกรรมการแข่งขันระดับประเทศและระดับโลก มีดังนี้ 1. เหรียญรางวัลชนะเลิศ (แชมป์โลก) การแข่งขัน World Hip Hop Dance Championship 2018 2019 และ 2022 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา (3 ปีช้อน) 2. ถ้วยรางวัลชนะเลิศ (แชมป์โลก) การแข่งขัน All Generation Championship WORLD FINAL in SEOUL SUPERKIDZ 2018 2021 – 2022 KOREA AEROBIC (3 ปีช้อน) 3.รับรางวัลพระราชทานจากทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ถ้วยรางวัลชนะเลิศ การแข่งขัน TO BE NUMBER ONE TEEN DANCERAISE THAILAND CHAMPIONSHIP 2019 – 2022 รุ่น Pre Teenage (อายุ 10-14 ปี) ทีม Thossaporn Thunder (4 ปีซ้อน) และ 4. ถ้วยรางวัลชนะเลิศ รายการ Doraemon Singing & Dancing Contest 2018 ได้รับรางวัลพระราชทานจากสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ มหาวชิโรตตมางกูร สิริวิบูลยราชกุมาร

Advertisement

ครม. รับทราบรายงานการเข้าถึงโดยสะดวกถ้วนหน้าเพื่อคุณภาพชีวิตคนพิการ ส่งกระทรวง พม.ดำเนินการต่อ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 25 พฤษภาคม 2567 “รัดเกล้า” เผย ครม. รับทราบรายงานการเข้าถึงโดยสะดวกถ้วนหน้า (Accessibility for all in Action : AAA) เพื่อคุณภาพชีวิตคนพิการให้ได้รับสิทธิในการเข้าถึงโดยสะดวกถ้วนหน้า

นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคม และกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภา เสนอรายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การเข้าถึงโดยสะดวกถ้วนหน้า (Accessibility for all in Action : AAA) ในที่ประชุม ครม. (21 พฤษภาคม 2567) ซึ่งที่ประชุมได้มีมติรับทราบรายงานนั้นแล้ว

โดยรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รายงานดังกล่าวพิจารณาปัญหาด้านคุณภาพชีวิตคนพิการ เพื่อให้ได้รับสิทธิในการเข้าถึงโดยสะดวกถ้วนหน้า โดยมีข้อเสนอเชิงนโยบายต่อการขับเคลื่อนการเข้าถึงโดยสะดวกถ้วนหน้า โดยขอให้รัฐบาลดำเนินการ 6 ประการ ได้แก่

1.จัดตั้ง คกก. ส่งเสริมและกำกับการเข้าถึงสภาพแวดล้อมได้โดยสะดวก (Accessibility for All Super Board)

2.กำหนดนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐเพื่อการเข้าถึงโดยสะดวกถ้วนหน้า

3.ยึดถือหลักการ “การเข้าถึงโดยสะดวกแบบองค์รวม (Comprehensive and Holistic approach to Accessibility)”

4.กำหนดให้มี “การประเมินผลกระทบการเข้าถึงโดยสะดวก (Accessibility Impact Assessments: AIA)” ในโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ

5.ส่งเสริมและสนับสนุนการเข้าถึงดิจิทัลสำหรับคนพิการ (Digital Accessibility) และ

6.ให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการศึกษาวิจัย และขับเคลื่อนการเข้าถึงโดยสะดวกถ้วนหน้าอย่างต่อเนื่องต่อไป เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ทุกคน รวมถึงคนพิการให้สามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้ อันเป็นรากฐานสำคัญที่จะทำให้คนพิการสามารถดำรงชีวิตได้อย่างอิสระ มีศักดิ์ศรี เสมอภาคกับทุกคนในสังคม

ทั้งนี้ ครม. มอบหมายให้ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เป็นหน่วยงานหลักรับรายงานและข้อเสนอของ กมธ. ไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวมให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อนำเสนอ ครม. ต่อไป

Advertisment

เผยเส้นทางเลี่ยงรถติดครบทุกภาค สะดวก ปลอดภัย ต้อนรับปีใหม่ 2568

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 21 ธันวาคม 2567 “ศศิกานต์” ชวนประชาชนวางแผนเดินทางล่วงหน้า พร้อมเผยเส้นทางเลี่ยงรถติดครบทุกภาค สะดวก ปลอดภัย ต้อนรับปีใหม่ 2568

วันที่ 21 ธันวาคม 2567 เวลา  08.30  น. นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เชิญชวนประชาชนเช็คเส้นทางเพื่อเตรียมตัวกลับภูมิลำเนาในช่วงเทศกาล ปีใหม่ 2568 เนื่องจากช่วงเทศกาลจะมีผู้ใช้รถยนต์จำนวนมาก เพื่อให้เกิดความสะดวกรวดเร็วในการเดินทาง หลีกเลี่ยงปัญหาการจราจรติดขัดในช่วงดังกล่าว จึงขอให้วางแผนการเดินทางล่วงหน้า โดยตำรวจทางหลวงแนะนำเส้นทางเลี่ยง สำหรับผู้เดินทางสายกรุงเทพ – ภาคอีสานกรุงเทพ – ภาคเหนือ  กรุงเทพ – ภาคใต้ และ กรุงเทพ- ภาคตะวันออก ดังนี้

เส้นทางเลี่ยงรถติด ‘ปีใหม่ 2568’ กรุงเทพ – ภาคอีสาน

1.ถนนพหลโยธิน (ถนน ทล.1) เข้าทางแยกต่างระดับบางปะอิน และเข้าสู่จังหวัดสระบุรี

2.ถนน ทล.304 ผ่านจังหวัดฉะเชิงเทรา – นครราชสีมา – บุรีรัมย์

3.เส้นทางสาย ทล.21 และ ทล.205 มุ่งหน้าสู่จังหวัดชัยภูมิ – ขอนแก่น – อุดรธานี

เส้นทางเลี่ยงรถติด ‘ปีใหม่ 2568’ กรุงเทพ – ภาคเหนือ

  1. วงแหวนตะวันออก (ถนน ทล.9) เลี้ยวซ้ายเข้าทางระดับคลองหลวงใช้ทางหลวง 3214 เข้าสู่ทางหลวง 347 และ 32 (สายเอเชีย)
  2. วงแหวนตะวันตก (ถนน ทล.9) เชื่อมต่อทางหลวง 340 และ 32 ผ่านจังหวัดสุพรรณบุรี – ชัยนาท – อุทัยธานี

เส้นทางเลี่ยงรถติด ‘ปีใหม่ 2568’ กรุงเทพ – ภาคตะวันออก

1.ทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 (มอเตอร์เวย์)

2.ใช้ทางหลวงหมายเลข 304 ผ่านมีนบุรี – หนองจอก ออกสู่ภาคตะวันออก

3.ใช้ทางหลวงหมายเลข 34 (เทพรัตน) ผ่านบางนา – บางปะกง หรือใช้ทางพิเศษบูรพาวิถีออกสู่ภาคตะวันออก

4.ทางหลวงหมายเลข 3 (ถนนสุขุมวิท)

เส้นทางเลี่ยงรถติด ‘ปีใหม่ 2568’ กรุงเทพ – ภาคใต้

1.ทางหลวงหมายเลข 35 (ถนนพระราม 2) เส้นทางผ่านจังหวัดสมุทรสาคร – สมุทรสงคราม – เพชรบุรี

2.ทางหลวงหมายเลข 4 (ถนนเพชรเกษม) เส้นทางผ่านจังหวัดราชบุรี – เพชรบุรี – ประจวบคีรีขันธ์

“ไม่ว่าจะเดินทางด้วยเส้นทางไหนในช่วงเทศกาลปีใหม่ อาจจะต้องเจอปัญหาการจราจรหนาแน่น ขอให้ผู้ขับขี่เตรียมใจให้พร้อม และที่สำคัญขับขี่รถด้วยความระมัดระวังเพื่อความปลอดภัยในการเดินทาง

หากต้องการสอบถามข้อมูลการเดินทางเพิ่มเติม หรือแจ้งเหตุร้ายระหว่างเดินทาง สามารถติดต่อได้ที่ สายด่วนกรมทางหลวง 1586 (โทร. ฟรีทุกเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง) สายด่วนมอเตอร์เวย์ 1586 กด 7 และตำรวจทางหลวง 1193” นางสาวศศิกานต์ ระบุ

Advertisement

พม. ดันนิคมสร้างตนเอง สร้างมูลค่าเศรษฐกิจชุมชน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 17 กุมภาพันธ์ 2568 พัทลุง – “วราวุธ” เผย พม. ดันนิคมสร้างตนเอง สร้างมูลค่าเศรษฐกิจชุมชน ขยายผล ช่วยกลุ่มเปราะบางทั่วประเทศ

นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พร้อมคณะผู้บริหารกระทรวง พม. ลงพื้นที่นิคมสร้างตนเองควนขนุน ตำบลลานข่อย อำเภอป่าพะยอม จังหวัดพัทลุง เพื่อติดตามการขับเคลื่อนการดำเนินงานในการพัฒนาทุนมนุษย์ สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจสังคม ส่งเสริมอัตลักษณ์ในนิคมสร้างตนเอง (นิคม NEXT) เยี่ยมชมกิจกรรมแปรรูปผลิตภัณฑ์จากมะพร้าว เป็นการส่งเสริมอาชีพด้านเกษตรกรรม มอบวัวให้กับครอบครัวเปราะบางจำนวน 2 ตัว เป็นการส่งเสริมด้านการปศุสัตว์ และร่วมกิจกรรมทักทอผ้าลายโบราณ เป็นการส่งเสริมด้านหัตถกรรม การสาธิตการทอ “ผ้าลานข่อย”

นายวราวุธ กล่าวว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นหน่วยงานที่มีภารกิจสำคัญในการพัฒนาสังคม สร้างความเป็นธรรม และความเสมอภาคในสังคม อีกทั้งส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพและความมั่นคงในชีวิต สถาบันครอบครัว และชุมชน ซึ่งในปีที่ผ่านมาได้มีการขับเคลื่อนนโยบาย 5×5 ฝ่าวิกฤตประชากร เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนกลุ่มเป้าหมายคนทุกช่วงวัย และในปีนี้ได้มีการกำหนดพันธกิจสำคัญ (Flagship Project ) 9 ด้าน เพื่อเป็นแนวทางการขับเคลื่อนงานของหน่วยงานในสังกัดกระทรวง พม. ส่งเสริมพันธกิจสำคัญที่ 3 คือการสร้างงาน สร้างรายได้ พัฒนาคุณภาพชีวิตคนเปราะบาง โดยมีการขับเคลื่อน โครงการนิคม Next เริ่มต้นที่นิคมสร้างตนเองกระเสียว จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นแห่งแรก จากนั้นขยายผลไปยังพื้นที่นิคมสร้างตนเองทั้งสิ้น 25 แห่ง โดยในปีหน้าจะขยายผลให้ครอบคลุมครบทุกแห่งทั้งสิ้น 43 นิคม

นายวราวุธ กล่าวว่า ครั้งนี้มาลงพื้นที่ติดตามการขับเคลื่อนโครงการนิคม Next ที่นิคมสร้างตนเองควนขนุน จังหวัดพัทลุง มุ่งเน้นให้ความสำคัญกับการพัฒนาทุนมนุษย์ ทุนทางสังคม พร้อมมอบโอกาสและสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อคนทุกช่วงวัย ผนวกกับการนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และ BCG โมเดล การพัฒนาเศรษฐกิจแบบองค์รวม ซึ่งเป็นหลักสำคัญในการขับเคลื่อนเชิงพื้นที่ โดยใช้พื้นที่นิคมสร้างตนเองที่มีกฎหมายเฉพาะด้านการบริหารจัดการที่ดิน และการดูแลราษฎรในพื้นที่ภายใต้การกำกับดูแลของกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) กระทรวง พม. เป็นการยกระดับพัฒนาคุณภาพชีวิตทั้งด้านอาชีพและรายได้ของประชาชนที่ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย ผ่านการบูรณาการระหว่างหน่วยงานของกระทรวง พม. กับภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม

Advertisement

รู้ยัง ส่งเงินสมทบ ประกันสังคมปี 64 ใช้ยื่นลดหย่อนภาษีปี 65 ได้

People Unity News : ส่งเงินสมทบต้องรู้ ประกันสังคม ปี 64 ใช้ยื่นลดหย่อนภาษีได้

26 ธ.ค.64 สำนักงานประกันสังคม แจ้งผู้ประกันตนตามมาตรา 33, 39 และ 40 ที่มีเงินได้หรือรายได้ตามเกณฑ์กำหนด ยื่นภาษี ปี 2565 สามารถใช้เงินประกันสังคมที่ส่งมาคำนวณเป็นค่าลดหย่อนภาษีได้ ซึ่งผู้ประกันตนแต่ละมาตรา จะมีสิทธิการลดหย่อนที่แตกต่างกัน ดังนี้

ผู้ประกันตน ม.33 ขอหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย 50 ทวิ จากหน่วยงานที่ทำงานอยู่ สามารถนำไปลดหย่อนตามจำนวนเงินสมทบที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 5,100 บาท

ผู้ประกันตน ม.39 ลดหย่อนตามจำนวนเงินสมทบที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 3,003 บาท

ผู้ประกันตน ม.40 ลดหย่อนตามจำนวนเงินสมทบที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 3,000 บาท

ทั้งนี้ ผู้ประกันตนสามารถนำบัตรประชาชนตัวจริงไปติดต่อขอคัดสำเนาการนำส่งเงินสมทบ เพื่อนำไปลดหย่อนภาษีได้ที่สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่/จังหวัด/สาขา ทุกแห่ง

Advertising

รัฐบาลเพิ่มสิทธิ “หลักประกันสุขภาพ” ให้เหมาะกับแต่ละช่วงวัย ตั้งแต่เด็กแรกเกิดถึง 60 ปีขึ้น

People Unity News : รัฐบาลเพิ่มสิทธิ “หลักประกันสุขภาพ” ให้เหมาะสมกับความจำเป็นของแต่ละช่วงวัย ตรงตามความต้องการที่แตกต่างกันของชายหญิง

5 ก.พ. 65 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า ปี 2565 รัฐบาลจัดสรรงบประมาณให้แก่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เพื่อบริหารจัดการสิทธิประโยชน์ให้กับประชาชนคนไทยทุกสิทธิหลักประกันสุขภาพ โดยเพิ่มเติมสิทธิประโยชน์ให้เหมาะกับความจำเป็นของแต่ละช่วงวัย ดังนี้

✅กลุ่มหญิงตั้งครรภ์และหลังคลอด สามารถขอรับคำปรึกษาการเตรียมความพร้อมที่จะมีบุตรได้ที่หน่วยบริการประจำที่ลงทะเบียนไว้ จากเดิมการดูแลการตั้งครรภ์ในสิทธิบัตรทองกำหนดไว้อย่างน้อย 5 ครั้ง ปรับขยายเป็น 8 ครั้ง และหากมีความจำเป็นสามารถดูแลได้มากกว่านั้น

✅กลุ่มเด็กเล็กอายุ 0 – 5 ปี เมื่อทารกคลอดออกมาจะได้รับการเจาะเลือดที่ส้นเท้า เพื่อตรวจภาวะพร่องไทรอยด์ฮอร์โมนและโรคฟินิลคีโตนูเรีย โดยจะเพิ่มการตรวจคัดกรองโรคทางพันธุกรรมเมตาบอลิก 40 โรค ด้วยเครื่อง Tandem mass spectrometry

✅กลุ่มเด็กโต – วัยรุ่น อายุ 6 – 24 ปี สำหรับผู้หญิงเมื่อเริ่มมีประจำเดือน มีสิทธิประโยชน์ในการตรวจเลือด เพื่อคัดกรองภาวะโลหิตจางที่อาจจะเกิดขึ้นได้ พร้อมสิทธิรับยาเสริมธาตุเหล็กและกรดโฟลิก และกลุ่มผู้ตั้งครรภ์ไม่พร้อม สามารถขอรับคำปรึกษาได้

✅กลุ่มผู้ใหญ่อายุ 25 – 59 ปี มีสิทธิประโยชน์เพิ่มเติม คือ

> ตรวจคัดกรองการกลายพันธุ์ของยีนโรคมะเร็งเต้านม คือ ยีน BRCA1 BRCA2 ในคนที่เป็นมะเร็งเต้านม และติดตามญาติสายตรง ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงมารับการตรวจคัดกรอง ซึ่งจะได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่อง

> ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วยวิธี HPV DNA Test หรือแป็บสเมียร์ (Pap smear)

> ตรวจคัดกรองโรคเสี่ยงมะเร็งและมะเร็งช่องปากในคนอายุ 40 ปีขึ้นไป และการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีหลังการสัมผัสเชื้อ (HIV PEP) กรณีหลังนี้ให้สิทธิในทุกกลุ่มวัย

✅กลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป สิทธิประโยชน์จะมีความคล้ายคลึงกับกลุ่มวัยผู้ใหญ่ ซึ่งจะตรวจคัดกรองความดัน  เบาหวาน มะเร็งลำไส้ใหญ่ เป็นต้น

Advertising

เด็กไทย 1 ใน 4 พัฒนาการช้า กระทบสมอง เสี่ยงซึมเศร้า

People Unity News : 25 สิงหาคม 2566 เด็กไทย 1 ใน 4 พัฒนาการล่าช้า กระทบสมอง เสี่ยงซึมเศร้า ซ้ำ น้ำหนัก/ส่วนสูงไม่ถึงเกณฑ์ สสส. สานพลังภาคี ผุดนวัตกรรมคู่มือ “สามเหลี่ยมสมดุล : วิ่งเล่น กินดี นอนพอ” สร้างสุขภาพที่ดีแก่เยาวชน ขยายผลใช้ 43 โรงเรียนในสังกัด กทม. สช. กระทรวงมหาดไทย

เมื่อวันที่ 25 ส.ค. 2566 ที่โรงเรียนอัสสัมชัญแผนกประถม กรุงเทพฯ นางเบญจมาภรณ์ ลิมปิษเฐียร ผู้ช่วยผู้จัดการอาวุโส สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า จากข้อมูลพัฒนาการเด็กปฐมวัยของไทย ปี 2565 โดยกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข พบว่า เด็กไทย 25% หรือ 1 ใน 4 มีพัฒนาการไม่สมวัย มีผลกระทบต่อสมอง ร่างกายผอม-อ้วนเกิน และจิตใจ การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังส่งผลให้เด็กมีกิจกรรมทางกายเพียงพอลดลง จากเดิม 24.4% ในปี 2562 เหลือ 17.7% ในปี 2565 หรือเทียบเท่าเด็กไทย 3 ใน 4 คนมีกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอ สสส. สานพลังภาคีเครือข่าย เร่งขับเคลื่อนกระบวนการสร้างเสริมสุขภาพเด็กและเยาวชน พัฒนานวัตกรรม “สามเหลี่ยมสมดุล” คู่มือสำหรับดูแลเด็ก 6-12 ปี ทั้งในบ้านและโรงเรียน มีองค์ประกอบสำคัญ 3 ด้าน 1.การนอนหลับ 2.การกิน 3.การเล่นหรือการขยับร่างกายที่เหมาะสม 3 สิ่งนี้มีความสำคัญต่อการเจริญเติบโต พัฒนาการ และสุขภาพกายใจของเด็ก

“แคมเปญ “สามเหลี่ยมสมดุล” ได้นำไปใช้ขยายผล ผ่านการจัดกิจกรรมห้องเรียนสร้างเด็กสมดุลใน 4 ภูมิภาค พร้อมขยายผลใน 43 โรงเรียนทั่วประเทศ มีผู้ปกครอง คุณครูเข้าร่วมกิจกรรม 282 คน สำหรับในปี 2567 มุ่งส่งต่อแคมเปญสามเหลี่ยมสมดุลผ่านการจัดค่ายปิดเทอมเด็ก ห้องเรียนพ่อแม่ คาราวานสัญจรร่วมกับองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) รวมถึงโปรแกรมช่วยบันทึกพัฒนาการคุณหนู ผ่านแอปพลิเคชัน Persona Health ทั้งนี้ ติดตามสื่อการเรียนรู้และข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่https://resourcecenter.thaihealth.or.th เฟซบุ๊กแฟนเพจ ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ (สสส.) Line@เครือข่ายพันธมิตร และ www.childimpact.co” นางเบญจมาภรณ์ กล่าว

ดร.สง่า ดามาพงษ์ ที่ปรึกษากรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข และผู้ทรงคุณวุฒิ สสส. กล่าวว่า เด็กไทยอายุ 6-14 ปี มีภาวะน้ำหนักเกินและอ้วนสูงถึง 15.5% ในขณะที่ผอม 5.5% และเตี้ย 3.2% สาเหตุหลักเกิดจากพฤติกรรมด้านอาหารและโภชนาการที่ไม่พึงประสงค์ อาทิ กินผัก ผลไม้ไม่เพียงพอถึง 72% กินขนมกรุบกรอบมากกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ กว่า 50% และดื่มเครื่องดื่มที่มีรสหวาน 71.3% ซึ่งเกิดจากผู้ใหญ่ขาดเครื่องมือในการสร้างเด็กให้มีความฉลาดรอบรู้ด้านโภชนาการ และไม่ได้สร้างสิ่งแวดล้อมให้เอื้อต่อการเข้าถึงอาหารที่เป็นมิตรต่อสุขภาพ นวัตกรรม “สามเหลี่ยมสมดุล” เป็นการสร้างระบบและกลไกให้เกิดความเชื่อมโยงระหว่างโรงเรียน สู่บ้าน และชุมชน ช่วยให้เด็กเข้าถึงอาหารที่ดีต่อสุขภาพ

รศ.ดร.ปิยวัฒน์ เกตุวงศา ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาองค์ความรู้ด้านกิจกรรมทางกายประเทศไทย (ทีแพค) สนับสนุนโดย สสส. กล่าวว่า มิติด้านการเล่น จากการติดตามเฝ้าระวังพฤติกรรมพบว่า เด็กและเยาวชนไทยกำลังเผชิญกับภาวะการขาดการเคลื่อนไหวร่างกายที่เพียงพอ แต่กลับมีพฤติกรรมการใช้หน้าจอและพฤติกรรมเนือยนิ่งที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 มาจนถึงปัจจุบัน โดยร้อยละของเด็กและเยาวชนไทยที่มีกิจกรรมทางกาย วิ่งเล่น ออกแรงเคลื่อนไหวที่เพียงพอ ปี 2565 ลดเหลือเพียง 16% น้อยกว่าในปี 2564 ที่อยู่ที่ 24% และใกล้เคียงกับในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปี 2563 ที่อยู่ที่ร้อยละ 17% ขณะที่ร้อยละของเด็กและเยาวชนที่ใช้หน้าจออิเล็กทรอนิกส์ในวัตถุประสงค์เพื่อความบันเทิงไม่เกิน 2 ชั่วโมงต่อวัน ก็ลดลงจาก 26% มาอยู่ที่ 15% เท่านั้น สะท้อนว่าวิถีชีวิตเด็กและเยาวชนมีความไม่สมดุล และต้องการการสนับสนุนจากครอบครัว โรงเรียน และชุมชนอย่างใกล้ชิด

ดร.เจษฎา อานิล ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายสื่อสารองค์กร คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า เด็กที่นอนน้อยกว่า 9 ชั่วโมงต่อวัน สมองจะมีพัฒนาการที่แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในบริเวณสมองที่เกี่ยวข้องกับความจำ สติปัญญา และสุขภาพจิต เมื่อเทียบกับเด็กในวัยเดียวกันที่นอน 9 ชั่วโมงหรือมากกว่าต่อวัน นอกจากนี้ภาวะนอนน้อยในเด็กยังสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของภาวะซึมเศร้า ความวิตกกังวล และพฤติกรรมหุนหันพลันแล่น พัฒนาการของเด็กนอกจากต้องกินดี มีประโยชน์ วิ่งเล่นอย่างเหมาะสมอย่างน้อย 60 นาทีต่อวัน การนอนให้พอ เป็นกุญแจสู่พัฒนาการที่ดี สร้างเด็กสมดุล

Advertisement

“อนุชา” ชี้ขายสลากบนแพลตฟอร์ม ต้องมีปริมาณมากพอ ปัญหาสลากเกินราคาจะลดลง คาดเริ่มงวด 16 มิ.ย.ได้

People Unity News : วันนี้ (27 เมษายน 2565) เวลา 15.00 น. ณ ห้องประชุมอเนกประสงค์ชั้น 3 สานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ประธานคณะกรรมการแก้ไขปัญหาผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากการเสนอขายหรือขายสลากกินแบ่งรัฐบาลในราคาเกินกว่าที่กำหนดในสลากกินแบ่งรัฐบาล เปิดเผยว่า การประชุมในวันนี้ เป็นการประชุมเพื่อรับทราบความคืบหน้าการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการทั้ง 3 คณะ โดยในเบื้องต้น ที่ประชุมได้เห็นชอบ มาตรการที่จะเพิ่มความเข้มข้นในการแก้ไขปัญหาการขายสลากเกินราคา ได้แก่ มาตรการทางแพ่ง มาตรการทางอาญา และมาตรการทางกฎหมายอื่นๆ โดยมาตรการทางแพ่ง ต้องมีการแก้ไขสัญญาการรับสลากไปจำหน่าย ระหว่างสำนักงานสลากฯ กับตัวแทน รายย่อย และสมาคม องค์กร โดยเพิ่ม “หน้าที่และความรับผิดชอบ” ในการควบคุมกำกับดูแลตัวแทนจำหน่าย เพื่อแก้ไขและลดปัญหาการเปลี่ยนมือของสลาก มีวางเงิน “มัดจำ” เพื่อเป็นประกันการปฏิบัติตามสัญญา รวมถึง การกำหนด “เบี้ยปรับ” กรณีมีการกระทำผิดสัญญา ซึ่งคณะอนุกรรมการจะศึกษาในรายละเอียดต่อไป และเห็นว่า การปรับแก้ไขรูปแบบของสัญญาสามารถดำเนินการได้ทันที นอกจากนี้ ต้องมีการเพิ่มมาตรการทางอาญา โดยเห็นควรออกใบอนุญาตให้ผู้ขายสลาก รวมถึงการใช้มาตรการทางกฎหมายอื่นๆ เช่น การกำหนดฐานความผิดเพิ่ม กรณีมีทำให้ราคาสลากมีความปั่นป่วน การขายสลากเกินราคาที่กระทำโดยเปิดเผย กฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน การตรวจสอบการชำระภาษีอากร เป็นต้น

นอกจากนี้ ที่ประชุมได้รับทราบรายงานความคืบหน้าของมาตรการต่างๆ ที่สำนักงานฯกำลังดำเนินการ ประกอบด้วย โครงการสลาก 80 ขณะนี้ ให้บริการแล้ว จำนวน 209 จุดใน กทม. และภาคกลาง ในส่วนของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 151 ราย ภาคตะวันออก 48 ราย อยู่ระหว่างการจัดทำสัญญา และจะเดินทางไปคัดเลือกที่ภาคเหนือ และภาคใต้ อีกเกือบ 1,500 ราย ภายในเดือนพฤษภาคม 2565 เพื่อให้โครงการ สลาก 80 ทั่วทุกภูมิภาคทั่วประเทศ เป็นไปอย่างต่อเนื่อง

ในส่วนของการจำหน่ายสลากบนแพลตฟอร์ม โดยร่วมมือกับธนาคารกรุงไทย พัฒนาแพลตฟอร์มจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาล โดยใช้แอปถุงเงินและแอปเป๋าตัง เป็นหลัก  คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในงวด 16 มิถุนายน 2565 โดยสำนักงานฯ จะนำเสนอคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล เพื่อให้ความเห็นชอบในวันพรุ่งนี้ (28 เมษายน 2565) สำหรับการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ สำนักงานฯ เตรียมนำเสนอคณะกรรมการสลากฯ เพื่อดำเนินการรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสียและศึกษาผลกระทบทางสังคม ประจาปี 2565 โดยระยะแรก จะรับฟังความคิดเห็น 2 รูปแบบ ได้แก่ สลากตัวเลข 3 หลัก และสลากกินแบ่งรัฐบาล 6 หลัก หรือแบบที่จำหน่ายอยู่ในปัจจุบัน คาดว่าจะลงพื้นที่เพื่อรับฟังความคิดเห็นได้กลางปีนี้

รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวในตอนท้ายว่า กรณีแพลตฟอร์มออนไลน์ ที่สำนักงานฯ กำลังทดสอบระบบและเริ่มดำเนินการเร็วๆนี้ ปริมาณสลากที่จะนำเข้าจำหน่ายบนแพลตฟอร์มออนไลน์นั้น ควรจะมีปริมาณมากพอที่จะสร้างแรงกระเพื่อม ทำให้ความรุนแรงของปัญหาสลากเกินราคาลดลงได้อย่างเป็นรูปธรรม นอกจากนี้ ได้ขอให้สำนักงานฯ ศึกษาวิเคราะห์ ส่วนลดจากการจำหน่าย มีความเหมาะสมหรือเพียงพอหรือไม่อย่างไร และในส่วนของมาตรการต่างๆของสำนักงานฯ ที่จะดำเนินการต่อจากนี้ไป ขอให้คณะอนุกรรมการที่เกี่ยวข้อง เร่งสร้างการรับรู้และสื่อสารให้ประชาชนอย่างแพร่หลายต่อไป สำหรับการลงพื้นที่ตรวจสอบการค้าสลากออนไลน์เกินราคา ขอให้ประสานกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมดำเนินการพิจารณาความเหมาะสมในการปิดให้บริการแพลตฟอร์มออนไลน์ดังกล่าว เพื่อไม่ให้เกิดการค้าสลากเกินราคาในรูปแบบออนไลน์อีกต่อไป

Advertisement

“กนกวรรณ”หนุนจัดงบฯอนุรักษ์คุรุสัมมนาคารเลยอายุกว่า 102 ปี ลุยดัน กศน.สู่ 6G

People Unity News : “กนกวรรณ”รมช.ศธ. หนุนจัดงบฯอนุรักษ์คุรุสัมมนาคาร กศน.เมียงเลย อายุกว่า 102 ปี เก่ามีสภาพทรุดโทรม ลุยต่อไม่รอแล้ว ยึดหลักการทำงาน “ทุกข์ก็เห็นหน้า สุขก็เห็นหน้า” ขับเคลื่อน กศน. สู่ กศน.6G

วันที่ 2 พฤศจิกายน 2562 ที่ผ่านมา ดร.กนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วย ดร.พะโยม ชิณวงศ์ ประธานคณะทำงาน รมช.ศธ. และคณะลงพื้นที่ตรวจราชการ ณ อาคารครุสัมนาคาร ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอเมืองเลย (กศน.อำเภอเมืองเลย) สังกัด สำนักงาน กศน. จังหวัดเลย โดยอาคารคุรุสัมมนาคารแห่งนี้ เป็นอาคารเก่าสภาพทรุดโทรม มีอายุการใช้งานมากว่า 102 ปี (พ.ศ.2460) และปัจจุบันใช้เป็นที่ทำการของ กศน.อำเภอเมืองเลย เพื่อให้บริการจัดการศึกษาสำหรับนักศึกษาและประชาชนในพื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดเลย มาตั้งแต่ ปีพ.ศ. 2536

ดร.กนกวรรณ เปิดเผยว่า “วันนี้ตนลงพื้นที่เพื่อตรวจราชการและติดตามงานตามนโยบายการศึกษาของหน่วยงานในการกำกับดูแล ในเขตจังหวัดเลย ซึ่งเป็นโอกาสอันดีที่ได้มาตรวจเยี่ยมและได้เห็นสภาพปัญหาในการดำเนินงานของพื้นที่อย่างแท้จริง โดยอาคารคุรุสัมนาคารแห่งนี้อยู่ในความรับผิดชอบของสำนักงาน กศน.จังหวัดเลย เป็นอาคารไม้ 2 ชั้น ยาว 44 เมตร กว้าง 8เมตร มีประวัติอายุการใช้งานที่ยาวนาน กว่า 102 ปี เป็นอาคารไม้เก่าแก่ที่มีสถาปัตยกรรมดั้งเดิมของท้องถิ่นที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ให้คงไว้เป็นสมบัติของชุมชน ซึ่งสำนักงาน กศน.จังหวัดได้เคยจัดสรรงบประมาณของจังหวัดในการปรับปรุงครั้งล่าสุดเมื่อปี พ.ศ.2554 โดยการทาสีอาคาร แต่เนื่องจากอายุการใช้งานที่ยาวนานจึงมีความจำเป็นต้องปรับปรุงหลายด้าน เพราะจากการรับฟังรายงานและตรวจเยี่ยม พบว่าสภาพอาคารโดยรอบมีความทรุดโทรมควรต้องได้รับการบูรณะซ่อมแซม พัฒนา ปรับปรุงให้เกิดความปลอดภัย พร้อมใช้งานโดยเร็ว โดยเฉพาะระบบสายไฟฟ้าภายในที่ไม่ได้รับการเปลี่ยนปรับปรุงมานานหลายปี เพื่อป้องกันอัคคีภัยที่อาจจะเกิดขึ้นได้ รวมทั้งการปรับปรุงโครงสร้างอาคาร ฝ้าเพดาน รางน้ำและการทาสีอาคารโดยรอบ ทั้งนี้ได้มอบหมายให้ สำนักงาน กศน.จังหวัดเลยจัดทำข้อมูลรายละเอียดการซ่อมแซม ปรับปรุงอาคารสถานที่และระบบสาธารณูปโภคเสนอมายังต้นสังกัด เพื่อพิจารณาจัดสรรงบประมาณในการซ่อมบำรุงต่อไป”

“อาคารคุรุสัมมนาคารเลย” ปัจจุบันเป็นอาคารที่ตั้งของ ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอเมืองเลย สถานภาพเป็นสถานศึกษา ในราชการบริหารส่วนกลาง สังกัดสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัดเลย สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวง ศึกษาธิการ ประกาศจัดตั้ง โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 25 แห่งพระราชบัญญัติ ปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ.2531 ข้อ 6 ประกาศ ณ วันที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2536 ตามประกาศกระทรวง ศึกษาธิการ

เรื่อง จัดตั้งศูนย์บริการการศึกษานอกโรงเรียนอำเภอ/กิ่งอำเภอ นายปราโมท สุขุม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้ลงนาม โดยได้ใช้อาคารไม้ 2 ชั้น ยาว 44 เมตร กว้าง 8 เมตร ตั้งหันหน้าไปทางทิศตะวันตก มีอายุกว่า 102 ปี ซึ่งเดิมเป็นโรงเรียนสตรีเลยและเป็นที่ทำการหน่วยศึกษานิเทศก์และจัดประชุมสัมมนา เรียกชื่ออาคารนี้ว่า “คุรุสัมมนาคารเลย” และเป็นที่ทำการของศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนจังหวัดเลย ตามลำดับ และปัจจุบันศูนย์บริการการศึกษานอกโรงเรียนอำเภอเมืองเลย ได้เปลี่ยนชื่อเป็น ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอเมืองเลย ตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่องบัญชีรายชื่อสถานศึกษาในสังกัดสำนักบริหารงานการศึกษานอกโรงเรียนสำนักปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ที่มีความพร้อมในการปฏิบัติภารกิจของสถานศึกษาตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยพ.ศ. 2551 ลงวันที่ 10 มีนาคม 2551

ลุยต่อไม่รอแล้วจร้า ยึดหลักการทำงาน “ทุกข์ก็เห็นหน้า สุขก็เห็นหน้า”

พร้อมกันนี้ ดร.กนกวรรณ และ ดร.พะโยม และคณะลงพื้นที่ตรวจราชการและมอบนโยบายด้านการศึกษาแก่ผู้บริหาร ข้าราชการ ครู และบุคลากรทางการศึกษาในจังหวัดเลย พร้อมทั้งเยี่ยมชมนิทรรศการผลงานและผลิตภัณฑ์ชุมชนของ กศน. ณ สำนักงาน กศน. จังหวัดเลย โดยมี นายชนาส ชัชวาลวงศ์ รองผู้ว่าราชการเลย ดร.ใยอนงค์ ทิมสุวรรณ ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี นายธนยศ ทิมสุวรรณ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดเลย เขต 3 ผู้บริหาร คณะครู นักเรียน นักศึกษา และประชาชนในพื้นที่จังหวัดเลย ร่วมให้การต้อนรับ

ดร.กนกวรรณ กล่าวตอนหนึ่งว่า “ตนได้รับมอบหมายจาก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ให้กำกับดูแล กศน. การศึกษาเอกชน และสำนักงานลูกเสือแห่งชาติ ซึ่งนับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งก็เดินหน้าทำงานเพื่อพัฒนาการศึกษาให้เดินหน้าในทุกมิติ การลงพื้นที่ตรวจราชการทุกแห่งก็พร้อมรับฟังปัญหาและยินดีเป็นผู้นำสารจากทุกหน่วยงานแม้มิได้กำกับดูแล ก็ส่งต่อถึงท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการและต้นสังกัดของกระทรวงศึกษาธิการด้วยความเต็มใจ โดยยึดหลักการทำงาน “ทุกข์ก็เห็นหน้า สุขก็เห็นหน้า” ในการดูแลประชาชนคนไทยทุกคน เพื่อทลายทุกข้อจำกัดที่เป็นข้อขัดข้องในการทำงาน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง หรือจะลงชื่อ สะท้อนปัญหาผ่านจดหมาย ส่งมาที่ ตนเองที่กระทรวงศึกษาธิการก็ยินดี เพราะถือว่าคำแนะนำ ข้อเสนอแนะของทุกท่านล้วนมีความสำคัญ และเป็นประโยชน์ในการเติมเต็มการทำงานเพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ เพื่อพัฒนาการศึกษาไทยให้มีคุณภาพต่อไป

สำหรับการดำเนินงานตามนโยบายของ กศน. ในปีงบประมาณ 2563 นี้ กศน.จะเดินหน้าขับเคลื่อน กศน. สู่ กศน. WOW (6G) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการเรียนรู้ที่ดีแก่คนทุกช่วงวัยในทุกพื้นที่ ในการพลิกโฉมการเรียนรู้ให้มีความทันสมัยสู่ยุคดิจิทัลในทุกมิติ ซึ่งถือว่าเป็นนโยบายสำคัญที่ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ตามเป้าหมายที่วางไว้ และอีกเรื่องที่สำคัญ คือ เรื่อง ขวัญกำลังใจของการพัฒนาบุคลากร ซึ่งเมื่อลงพื้นที่ทุกๆแห่ง ก็ได้รับทราบถึงปัญหาบุคลากรอัตราจ้างและพนักงานราชการที่ไม่สามารถบรรจุเป็นข้าราชการครูได้ รวมทั้งเรื่องขาดแคลนข้าราชการในพื้นที่ ซึ่งเราได้มีการประชุมหารือและสามารถเกลี่ยอัตราสำหรับการสอบบรรจุข้าราชการครู กศน.ได้จำนวน 891 อัตราตามที่เคยมอบนโยบายไปแล้ว ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการกำหนดหลักเกณฑ์ เพราะยังมีข้อจำกัดบางเรื่องเกี่ยวกับใบประกอบวิชาชีพครู วุฒิครู แต่ยืนยันว่าจะดำเนินการให้เร็วที่สุด เพราะตั้งใจมาแก้ปัญหาด้วยความจริงใจ

ในส่วนของการศึกษาเอกชน ได้ดำเนินการผลักดันเรื่องของสวัสดิการค่ารักษาพยาบาล เพื่อสร้างขวัญกำลังใจในการทำงานและสามารถบรรเทาความเดือดร้อนให้กับครูเอกชน โดยได้ดำเนินการปรับค่ารักษาพยาบาลจาก 100,000 บาท เป็น 150,000 บาทต่อคนต่อปี ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ 1 มกราคม 2563 นี้ ในเรื่องค่ารักษาพยาบาลของครูเอกชน ที่ต้องการให้สวัสดิการรักษาพยาบาลครอบคลุมถึงบุคคลในครอบครัวของครูเอกชนด้วยนั้น เรื่องนี้ต้องผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ การจัดสวัสดิการเนื่องจากต้องใช้ดอกผลจากกองทุนฯ หากกองทุนฯ สามารถบริหารจัดการ สร้างรายได้ ได้เพียงพอ ก็จะเร่งดำเนินการให้ทันที เพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่ครูเอกชน พร้อมทั้งจะเร่งหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้สามารถเบิกจ่ายตรงตรงได้ต่อไป สำหรับเงินอุดหนุนรายหัวซึ่งปัจจุบันได้รับ 70% ขอปรับเพิ่มเป็น 75% สช.ได้บรรจุเรื่องนี้ไว้ในแผนปฏิบัติราชการประจำปี 2564 แล้ว

จากนั้น รมช.ศธ.และคณะได้เดินทางไปมอบนโยบายและพบปะข้าราชการ เจ้าหน้าที่และนักศึกษา กศน. ณ หอประชุมอำเภอภูเรือ และเยี่ยมชมห้องสมุดประชาชนอำเภอภูเรือ ทั้งนี้ได้เน้นย้ำให้ กศน.จังหวัดเลยเร่งจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาและส่งเสริมอาชีพให้แก่ประชาชนในพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม รวมถึงการวางแผน บริหารจัดการ พัฒนา และออกแบบผลิตภัณฑ์ให้มีความทันสมัยและตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภค เพื่อยกระดับแรงงานให้มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน ขจัดปัญหาการจ้างแรงงานที่ไม่ถูกกฏหมายและลดการอพยพถิ่นฐานไปทำงานนอกพื้นที่อย่างยั่งยืน

“ประวิตร” สั่งเหล่าทัพให้พร้อมช่วยเหลือประชาชนน้ำท่วมภาคใต้-อีสานได้ทันที

People unity news online : 18 สิงหาคม 2560 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. และ รมว.กห. ได้กำชับทุกเหล่าทัพ ให้ติดตามรายงานสภาพอากาศและสถานการณ์น้ำในพื้นที่ภาคใต้อย่างใกล้ชิด และเตรียมการช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่เสี่ยงที่มีฝนตกต่อเนื่องและเพิ่มมากขึ้น จนอาจทำให้เกิดภาวะน้ำล้นตลิ่ง น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และดินโคลนถล่ม โดยเฉพาะพื้นที่ 6 จังหวัดภาคใต้ฝั่งตะวันตก ได้แก่ ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล ทั้งนี้ให้ประสานการทำงานร่วมกับส่วนราชการในพื้นที่อย่างใกล้ชิด เพื่อให้สามารถเข้าถึงประชาชนที่ได้รับผลกระทบในทุกพื้นที่ทันที

ขณะเดียวกัน พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือใน 4 จังหวัดที่ยังคงมีระดับน้ำเพิ่มสูง ได้แก่ ยโสธร สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี พล.อ.ประวิตร ได้เน้นย้ำให้คงความต่อเนื่องในการสนับสนุนส่วนราชการในพื้นที่ ให้การช่วยเหลือประชาชนต่อไป จนกว่าสถานการณ์น้ำในแต่ละพื้นที่จะคลี่คลาย

People unity news online : post 22 สิงหาคม 2560 เวลา 13.20 น.

Verified by ExactMetrics