วันที่ 19 พฤษภาคม 2024

กระทรวงการคลังจับมือพันธมิตร“ตะลอนทัวร์ ชิมช้อปใช้ ผ่านกระเป๋า 2”

People Unity News : กระทรวงการคลังจับมือพันธมิตร ธ.กรุงไทยและ ททท. “ตะลอนทัวร์ ชิมช้อปใช้ ผ่านกระเป๋า 2” ลงพื้นที่ตลาดสามชุก สุพรรณบุรี กระตุ้นใช้จ่ายและท่องเที่ยวตามโครงการ “ชิมช้อปใช้” มีลุ้นชิงรางวัลทองคำทั้งผู้ใช้จ่ายและร้านค้า

เมื่อวันที่ 16 พ.ย.2562 นายชาญกฤช เดชวิทักษ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี (ปฏิบัติงานกระทรวงการคลัง) พร้อมนายพลศักดิ์ จิตต์ประเสริฐ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารกลุ่มเครือข่ายภาคตะวันตก ธนาคารกรุงไทย และนายอภิชัย ฉัตรเฉลิมกิจ ผอ.ภูมิภาค ภาคกลาง การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ลงพื้นที่ตลาดสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี ประชาสัมพันธ์โครงการ “ชิมช้อปใช้” ภายใต้แคมเปญ “ตะลอนทัวร์ ชิมช้อปใช้ ผ่านกระเป๋า 2” และตรวจความเรียบร้อย เยี่ยมชมบรรดาร้านค้า ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ รณรงค์ส่งเสริมให้มีการจับจ่ายใช้สอยผ่านกระเป๋า 2 ให้มากขึ้น โดยมีนายภูสิค สมจิตต์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี ให้การต้อนรับ

นายชาญกฤช กล่าวว่า กระทรวงการคลังต้องการมอบโครงการ “ชิมช้อปใช้ เฟส 3” เป็นของขวัญปีใหม่แก่พี่น้องประชาชน โดยให้สิทธิ์ผู้สมัครใหม่เพิ่มอีก 2 ล้านคน เปิดให้ลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 14-15 พ.ย.62 วันละ 750,000 คน แบ่งเป็น 2 รอบ ในเวลา 06.00 น. และ 18.00 น. และส่วนที่ลงทะเบียนไม่ครบถ้วน จะเปิดให้ลงทะเบียนในวันที่ 16 พ.ย.62 พร้อมทั้งให้สิทธิ์ผู้มีอายุเกิน 60 ปี จำนวน 500,000 คน ให้ลงทะเบียนในวันที่ 17 พ.ย.62 ตั้งแต่เวลา 08.00 น. เป็นต้นไป จนกว่าจะครบตามสิทธิ์ ล่าสุดการลงทะเบียน 2 วัน ที่ผ่านมา มียอดลงทะเบียนครบ 1,500,000 คนแล้ว แสดงให้เห็นว่าประชาชนให้ความสนใจเข้าร่วมโครงการ “ชิมช้อปใช้ เฟส 3” อย่างต่อเนื่อง แม้ไม่มีการแจกเงิน 1,000 บาท เนื่องจากสิทธิ์ของกระเป๋า 2 ซึ่งได้เงินคืน (Cash Back) 15% สำหรับเงินใช้จ่ายไม่เกิน 30,000 บาท (เงินคืนไม่เกิน 4,500 บาท) และเงินคืน (Cash Back) อีก 20% สำหรับเงินใช้จ่ายมากกว่า 30,000 บาท แต่ไม่เกิน 50,000 บาท (ได้เงินคืนอีกไม่เกิน 4,000 บาท) รวมเงินคืนสูงสุด 8,500 บาท ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายที่ต้องจับจ่ายใช้สอยในเรื่องการท่องเที่ยวในช่วงปลายปีและต้นปีหน้า ซึ่งโครงการขยายเวลาจากเดิมจะสิ้นสุดในวันที่ 31 ธ.ค.62 ออกไปเป็น 31 ม.ค.63 เพื่อรองรับการใช้จ่ายในช่วงเทศกาลตรุษจีนด้วย

ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า การ “ตะลอนทัวร์ ชิมช้อปใช้ ผ่านกระเป๋า 2” ที่ตลาดสามชุกในวันนี้ คณะได้ใช้จ่ายเงินผ่านแอปพลิเคชั่นเป๋าตัง ในกระเป๋า 2 ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นร้านชิม ร้านช้อป และร้านใช้ เพื่อแสดงให้พี่น้องประชาชนเห็นว่าสามชุก ตลาดเก่าร้อยปี ซึ่งได้รับรางวัลจากการประกวดเกี่ยวกับการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก จากองค์การยูเนสโก ในปี 2552 และจังหวัดเมืองรองอย่างสุพรรณบุรี สามารถรองรับการจับจ่ายใช้สอยตามโครงการ “ชิมช้อปใช้” ได้ตลอดทั้งทริปการเดินทางอย่างแน่นอน ซึ่งเหมาะกับคนวัยทำงานที่มีวันหยุดไม่มากนัก สามารถพาคุณพ่อ คุณแม่ และสมาชิกในครอบครัวมาท่องเที่ยว เพราะเดินทางจากกรุงเทพฯ ใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมงเศษ ซึ่งเป็นไปตามนโยบายรัฐบาลที่ต้องการส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ ให้เกิดระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยขับเคลื่อนลงสู่เศรษฐกิจฐานราก อีกทั้งส่งเสริมสถาบันครอบครัวให้มีกิจกรรมร่วมกันมากขึ้น โดยในตลาดสามชุก มีร้านค้าเข้าร่วมโครงการถึง 161 ร้านค้า จากทั้งหมด 400 ร้าน หรือคิดเป็นร้อยละ 40

นอกจากนี้อยากประชาสัมพันธ์ว่าโครงการ “ชิมช้อปใช้ เฟส 3” ยังเพิ่มสิทธิพิเศษให้แก่พี่น้องประชาชนที่ใช้จ่ายเงินผ่าน “กระเป๋า 2” รวมถึงร้านค้าที่รับชำระเงินผ่านแอ๊ป “ถุงเงิน” โดยผู้ใช้จ่ายเงินผ่าน “กระเป๋า 2” ทุกๆ 1,000 บาทจะได้รับ 1 สิทธิ์ในการลุ้นรับรางวัลทองคำ ส่วนร้านค้าที่รับชำระเงินผ่านแอ๊ป “ถุงเงิน” ทุก 1 ใบเสร็จ ก็จะได้รับ 1 สิทธิ์ในการลุ้นรับทองคำเช่นเดียวกัน

ส่วนสรุปยอดการใช้จ่ายจนถึง ณ วันที่ 15 พ.ย.62 มียอดการใช้จ่ายรวมทั้งสิ้น 12,825.30 ล้านบาท แบ่งออกเป็นร้านชิม จำนวน 1,689.00 ล้านบาท ร้านช้อป จำนวน 7,723.70 ล้านบาท ร้านใช้ จำนวน 166.85 ล้านบาท และร้านค้าทั่วไป จำนวน 3,245.72 ล้านบาท

“จุรินทร์”เปิดถกนักธุรกิจไทย-จีนแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม-การค้า

People Unity News : “จุรินทร์”เป็นประธานประชุม “แลกเปลี่ยนวัฒนธรรม -การค้า” หาญตระกูลมูลนิธิโลก ครั้งที่ 8 ชม สร้างความสัมพันธ์ที่ดี -เพิ่มโอกาเจรจาการค้า สอดคล้องนโยบาย ปชป. และภารกิจ ก.พาณิชย์

วันที่ 23 พฤศจิกายน 2562 เวลา 11.00 น. ที่หาญตระกูลมูลนิธิประเทศไทย นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานการประชุม”แลกเปลี่ยนวัฒนธรรม -การค้า” หาญตระกูลมูลนิธิโลก ครั้งที่ 8 โดยมีนักธุรกิจไทย-จีน เข้าร่วมกิจกรรมกว่า 500 คน

พร้อมกันนี้ นายจุรินทร์ ในฐานะประธานในงานฯ กล่าวว่านับเป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่งที่หาญตระกูลมูลนิธิประเทศไทยได้เป็นเจ้าภาพจัดงานการประชุมแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม – การค้า หาญตระกูลทั่วโลกในปีนี้ ในนามของ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ ตนขอชื่นชมการจัดงานในครั้งนี้ที่ได้เชื่อมโยงผู้ที่มีสายสัมพันธ์กับตระกูลหาญทั่วโลก ที่จะนำไปสู่เวทีการเจรจาแลกเปลี่ยนทางธุรกิจระหว่างกัน ซึ่งถือเป็นโอกาสทางธุรกิจที่จะสามารถเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างประเทศให้เติบโตขึ้น

รมว.พาณิชย์ กล่าวต่อว่า กระทรวงพาณิชย์มีภารกิจหลักสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจการค้าทั้งในและต่างประเทศ สำหรับด้านการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงฯมุ่งเน้นในการผลักดันการส่งออกของไทยทั้งในตลาดเดิม การเปิดตลาดใหม่ และฟื้นฟูตลาดเก่า โดยสร้างความเชื่อมั่นและความน่าเชื่อถือในมาตรฐานสินค้าและบริการ ตลอดจนส่งเสริมการตลาดและการส่งออกสินค้าของไทยผ่านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อขับเคลื่อนการส่งเสริมและอํานวยความสะดวกในการทําธุรกิจและเพิ่มรายได้ให้กับประเทศไทย

โดยเฉพาะ 2 เดือนที่ผ่านมาตน และคณะได้นำภาคเอกชนไทย เดินทางไปหลายประเทศเพื่อเปิดตลาดใหม่ ทั้งอินเดีย จีน สหรัฐอเมริกา ตุรกี เยอรมัน สามารถทำ MOU ขายสินค้าไทย ได้มูลค่า กว่า 65,000 ล้านบาท

“การจัดงานในวันนี้ ถือเป็นนิมิตหมายที่ดีของตระกูลหาญทั่วโลกที่ได้มีโอกาสมาพบปะแลกเปลี่ยนเรียนรู้วัฒนธรรมสร้างความสัมพันธ์ที่ดี ตลอดจนการเพิ่มโอกาสในการเจรจาทางธุรกิจระหว่างกัน ซึ่งถือว่าสอดคล้องกับการขับเคลื่อนนโยบายและภารกิจของ พรรคประชาธิปัตย์ และกระทรวงพาณิชย์ด้วย ในโอกาสนี้ จึงขออวยพรให้การจัดงานในครั้งนี้ประสบผลสำเร็จตามเจตนารมณ์ของคณะผู้จัดงานทุกประการ” นายจุรินทร์ กล่าว

“วีรศักดิ์”สั่งการกรมพัฒน์ฯ ใช้ธรรมาภิบาลสร้างความเป็นมืออาชีพแก่ผู้ประกอบวิชาชีพบัญชี

People Unity News : รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์สั่งเร่งพัฒนาผู้ประกอบวิชาชีพบัญชี พร้อมเสริมสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมายแก่ผู้ประกอบวิชาชีพบัญชี ให้มีความเป็นมืออาชีพและมีธรรมาภิบาล หวังผลักดันให้เกิดธุรกิจสีขาวทั้งระบบ สร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนทั้งชาวไทยและต่างประเทศ

วันที่ 29 พฤศจิกายน 2562 นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้สั่งการกรมพัฒนาธุรกิจการค้า นำหลักธรรมาภิบาลมาช่วยสร้างความโปร่งใสและความเป็นมืออาชีพให้นักบัญชี เพราะนักบัญชีถือเป็นบุคลากรที่มีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนธุรกิจ รวมถึงการดำเนินงานต่างๆ ของภาคธุรกิจ โดยเฉพาะการจัดทำงบการเงินของกิจการ เพราะเป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นถึงมูลค่าของสินทรัพย์ และเป็นส่วนช่วยนักลงทุนในการตัดสินใจลงทุนในแต่ละประเภทธุรกิจ โดยใช้งบการเงินเป็นเครื่องมือช่วยวิเคราะห์ความมั่นคงของกิจการ ส่งผลให้ภาคธุรกิจเดินได้ต่อไปอย่างมีทิศทางและยั่งยืน

สำหรับงานบัญชี คือ การเก็บรวบรวมและบันทึกข้อมูลเหตุการณ์หรือรายการดำเนินการต่างๆ ทางด้านการเงิน โดยจำแนกหมวดหมู่รายการออกให้เป็นระเบียบและสรุปข้อมูลเกี่ยวกับการเงินด้านต่างๆ ที่เกิดขึ้น และนำเสนอออกมาเป็นรายงาน เพื่อให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้นำไปใช้งานต่อไป ซึ่งในการดำเนินงานทางธุรกิจมีเหตุการณ์ทางการเงินต่างๆเกิดขึ้นมากมาย และมีข้อมูลที่ซับซ้อน ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องมีขั้นตอนการจัดทำบัญชีที่เป็นระเบียบและดำเนินงานโดยนักบัญชีที่มีความรู้ความสามารถและมีจริยธรรมที่ดี มีความโปร่งใสและซื่อสัตย์สุจริตเพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือในการปฏิบัติงาน

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ในฐานะหน่วยงานส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบวิชาชีพบัญชีให้มีความเป็นมืออาชีพและมีธรรมาภิบาล โดยเฉพาะการปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย ได้จัดโครงการอบรมหลักสูตร “ผู้ประกอบวิชาชีพบัญชีปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย เรื่อง การบัญชีเกี่ยวกับเงินลงทุน” ขึ้น เพื่อพัฒนาสำนักงานบัญชีและผู้ประกอบวิชาชีพบัญชีให้มีความรู้ความเข้าใจตามหลักธรรมาภิบาลและจรรยาบรรณของผู้ประกอบวิชาชีพบัญชี ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการนำธุรกิจไปสู่ธุรกิจสีขาวทั้งระบบ โดยโครงการดังกล่าวนับชั่วโมงพัฒนาความรู้ต่อเนื่องทางวิชาชีพบัญชีของผู้ทำบัญชีและผู้สอบบัญชีได้

อาชีพนักบัญชีเป็นอาชีพที่มีเกียรติ ผู้ประกอบวิชาชีพบัญชีจำเป็นต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างถูกต้อง ตรงไปตรงมา ซื่อสัตย์ ยุติธรรม โปร่งใส มีธรรมาภิบาล และธำรงไว้ซึ่งจรรยาบรรณ เพื่อให้ได้รับการยอมรับจากลูกค้าและคนทั่วไป เพราะวิชาชีพบัญชีนับเป็นกลไกหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ รมช. กล่าวสรุป

ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2562) มีผู้ทำบัญชีจำนวนทั้งสิ้น 68,805 ราย และมีสำนักงานบัญชี จำนวนทั้งสิ้น 8,391 ราย

“จุรินทร์”เปิดห้องไทยใน”อาลีบาบา” ดันยอดส่งออกไทยไปจีน

People Unity News : “จุรินทร์”เปิดห้องไทยใน”อาลีบาบา” ดันยอดส่งออกไทยไปจีน แพลตฟอร์มออนไลน์ นับ 1 ได้จริงทันทีในเดือนนี้

เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2562 ภายหลังการเปิดงานจัดแสดงสินค้าที่เซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า สำหรับประเทศไทยได้มีโอกาสมาร่วมงานมหกรรมการนำเข้าสินค้าทั่วโลกของจีน คืองาน Expo ที่ประเทศจีน ที่เปิดโอกาสให้ประเทศในโลกที่สนใจ จัดแสดงสินค้าเพื่อผู้ประกอบการจากจีนนำเข้ามาบริการผู้บริโภคในประเทศจีนได้ ซึ่งปีนี้จัดขึ้นเป็นปีที่ 2

“สำหรับปีนี้พิเศษเพราะปีที่แล้วเรายังไม่ได้รับเกียรติมากเท่านี้ปี เพราะปีก่อนนั้นเราต้องหาพื้นที่กระจัดกระจาย แต่ปีนี้เราเป็นแขกพิเศษของจีน มีพื้นที่การจัดแสดงสินค้าของไทยโดยเฉพาะหรือที่เรียกว่า Thai Pavilion โดยเฉพาะทำให้บูทต่างๆที่มาจัดแสดงที่นี่มีความโดดเด่น สินค้าที่เรานำมาเป็นสินค้าที่ได้คุณภาพผ่านกระบวนการในการคัดสรรของกระทรวงพาณิชย์มาแล้ว” นายจุรินทร์ กล่าวและว่า

งานจัดแสดงปีที่แล้วเราสามารถทำเงินเข้าประเทศได้ประมาณ 2,000 ล้านบาท สำหรับปีนี้ตนคิดว่าไม่น่าจะน้อยกว่าปีที่แล้วแม้ว่าสภาวะเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวในหลายประเทศของโลก รวมทั้งจีนด้วย จึงเป็นโอกาสดีสำหรับการที่จะโฆษณาสินค้าคุณภาพมาตรฐานของไทยไปสู่ผู้บริโภคชาวจีนซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่มากและเป็นที่ต้องการสินค้าที่เรานำมาแสดงส่วนใหญ่เป็นสินค้าสำคัญ เช่น สินค้าทางการเกษตรจากข้าวผลิตภัณฑ์จากข้าว ยางพารา ผลิตภัณฑ์จากยางพารา อุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆและในเรื่องของมันสำปะหลังจากแป้งมัน และอื่นๆที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งผลไม้ไทยและสินค้าเกษตรแปรรูป ซึ่งมีความหลากหลายมาก รวมทั้งหมวดอาหารแปรรูป และหมวดสำคัญที่สุดอีกหมวดหนึ่ง คือ หมวดที่มีการใช้นวัตกรรมในการแปรรูปสินค้าพื้นฐานของเราไปเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าให้มีความหลากหลายมากขึ้น เอามาแสดง เช่น เครื่องสำอาง น้ำมันใส่ผม รวมทั้งเครื่องหอมสำหรับสปา และหมวดอื่นๆ อันนี้คือจุดเด่นของเราที่นำมาแสดงรอบนี้

“หัวใจสำคัญคือมาครั้งนี้เรามีการเพิ่มความเข้มข้นในเรื่องความร่วมมือกับอาลีบาบาที่จะเปิดโอกาสให้สินค้าของไทยสามารถเข้าไปขายออนไลน์ในแพลตฟอร์มของอาลีบาบาได้ซึ่งเที่ยวนี้เปิดโอกาสให้เรามีห้องไทยโดยเฉพาะซึ่งเราสามารถนำสินค้าที่มีคุณภาพมาตรฐานมาไว้ในห้องไทย และเมื่อใครเข้าไปในแพลตฟอร์มของอาลีบาบาก็สามารถค้นหารายการสินค้าไทยได้ ซึ่งคนจีนนิยมมากเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ช่วยให้สินค้าไทยสามารถมาเพิ่มตลาดออนไลน์โดยไม่จำเป็นต้องมีแพลตฟอร์มของเราเองแต่ใช้อาลีบาบาเป็นกลไกในการเพิ่มตัวเลขการส่งออก ” นายจุรินทร์ กล่าวและว่า

อาลีบาบามีซุปเปอร์มาร์เก็ตชื่อร้าน เหอหม่า ซึ่งปัจจุบันมี 180 แห่งและกำลังขยายเพิ่มเป็น 400 แห่งในปีถัดไป ก็จะเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่เรามาจับมือกันระหว่างกระทรวงพาณิชย์กับเหอหม่า ที่จะช่วยให้นำเข้าสินค้าจากประเทศไทยไปสู่ชั้นวางของร้านซุปเปอร์มาร์เก็ตของเหอหม่าได้ ณ ตอนนี้มียอดขายประมาณ 2,500 ล้านบาทในอนาคตอันใกล้มั่นใจว่าเมื่อเขาขยายเพิ่มเติมเราจะมียอดเพิ่มขึ้นเป็น 5,000 ล้านบาท ได้ในไม่ช้า และตนเพิ่งไปดูมาแล้วเมื่อวาน(5พย.2562) สินค้าไทยเป็นที่นิยมทั้งผลไม้อาหารแปรรูป เครื่องแกง เครื่องปรุงรส และสินค้าอื่นๆจากคนไทย ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะช่วยให้นำไปใช้บนชั้นวางของเหอหม่าได้ โดยจะเริ่มได้ภายในเดือนนี้ก็จะเปิดห้องไทยในแพลตฟอร์มของอาลีบาบาโดยช่วงเริ่มต้นจะมี 45 บริษัทที่จะไปเปิดห้องไทยในอาลีบาบา

“จุรินทร์”เปิดยิ่งใหญ่! มหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 36 หนุนธุรกิจยานยนต์ให้เข้มแข็ง

People Unity News : “จุรินทร์”เปิดยิ่งใหญ่! มหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 36 ที่ห้องรอยัล จูบิลี ชาเรนเจอร์ อิมแพ็คเมืองทองธานี หนุนธุรกิจยานยนต์ให้เข้มแข็ง

วันที่ 29 พฤศจิกายน 2562 เวลา 8.30 น. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานพิธีเปิดงาน”มหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 36″ ณ ห้องรอยัล จูบิลี ชาเรนเจอร์ อิมแพ็คเมืองทองธานี โดยนายจุรินทร์ กล่าวว่า ผมรู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่มีโอกาสได้มาเป็นมาเป็นประธานพิธีเปิด งาน “มหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 36” ซึ่งจัดโดย บริษัท สื่อสากล จำกัด ในวันนี้ ตามที่ปัจจุบัน “ยานยนต์” ไม่ได้หมายถึงเพียงแค่รถยนต์ แต่ยังรวมถึงยานพาหนะทุกชนิด ทุกประเภทที่สามารถรองรับวิถีชีวิต รสนิยม และตอบสนองความต้องการใช้งานที่แตกต่างกันของผู้บริโภคได้อย่างครอบคลุมและทั่วถึงนั้น ดังนั้นตลาดยานยนต์จึงเป็นตลาดที่กว้างขวาง และขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือในปีที่ผ่านมา ไทยมียอดผลิตรถยนต์และจักรยานยนต์ ทั้งเพื่อจำหน่ายภายในประเทศ และส่งออกยังตลาดต่างประเทศรวมกันกว่า 5 ล้านคัน โดยเฉพาะรถยนต์ ที่มียอดผลิตกว่า 2 ล้านคัน ซึ่งนับเป็น สถิติสูงสุดในรอบ 5 ปี

รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ กล่าวว่า การเจริญเติบโตของตลาดยานยนต์ในเขตอาเซียน ซึ่งมีไทยเป็นศูนย์กลางเป็นสิ่งที่รัฐบาลเล็งเห็น และให้การส่งเสริมมาโดยตลอดเมื่อผนวกกับการจัดงาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 36” ภายใต้แนวคิด “โลดแล่นทันใด ทะยานไปด้วยกัน”รวมถึงมีโครงการแสดงสินค้าแบบ B to B(บีทูบี) จึงเป็น เสมือนแรงสนับสนุนให้ธุรกิจยานยนต์ไทยมีความเข้มแข็งยิ่งขึ้น รวมถึงกระตุ้นให้ เกิดการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศ และเชื่อมต่อธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ
นอกจากนี้

“ผมได้รับทราบว่าบริษัท สื่อสากล จำกัด ได้ก่อตั้ง “มูลนิธิลม หายใจไร้มลทิน” มาตั้งแต่ปี 2550 เพื่อรณรงค์แก้ปัญหามลพิษในอากาศที่เกิดจากยานยนต์ และปลูกฝังจิตสำนึกเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตให้แก่เยาวชน ซึ่งกิจกรรมทั้งสองด้านล้วนมีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศเป็นอย่างยิ่ง จึงขอแสดงความชื่นชมบริษัท สื่อสากล จำกัด (นิตยสารฟอร์มูลา) ที่ได้ผลิตสื่อพร้อมดำเนิน กิจกรรมอันเป็นประโยชน์ต่อวงการยานยนต์ และสังคมส่วนรวม โดยเฉพาะการ จัดงาน “มหกรรมยานยนต์” ที่ช่วยพัฒนาศักยภาพของอุตสาหกรรม และ พาณิชยกรรมของยานยนต์ไทย มาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 3 ทศวรรษ” นายจุรินทร์ กล่าว

รายงานแจ้งว่า การจัดงานในครั้งนี้ประสบผลสำเร็จมา 35 ครั้งวันนี้เป็นครั้งที่ 36 และเป็นมหกรรมยานยนต์ที่ยิ่งใหญ่ส่งท้ายปี โดยจัดแสดงนับจากวันนี้ที่อิมแพค เมืองทองธานีไป 12 วัน มีบริษัทรถยนต์และที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมกว่า 300 รายจากทั่วโลก และในงานนี้เป็นการสนับสนุนเพื่อให้เกิดการใช้ยางพาราในการผลิตยางรถยนต์สนโอกาสต่อไปตามนโยบายด้วย

“สมคิด” มอบนโยบาย “พลังงานสร้างไทย” กระตุ้นเศรษฐกิจหลังโควิด-19

People Unity News : รองนายกฯ สมคิด มอบนโยบาย พลังงานสร้างไทยจับมือกระทรวงพลังงานกระตุ้นเศรษฐกิจหลังโควิด-19 คลี่คลายคืนความสุขคนไทยลดรายจ่ายสร้างรายได้

25 มิ.ย.2563 นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เดินทางมาประชุมมอบนโยบาย “พลังงานสร้างไทย” ณ ห้องประชุม 9 ชั้น15 อาคารเอนเนอร์ยี่คอมเพล็กซ์ กระทรวงพลังงาน โดยมี นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ผู้บริหารและข้าราชการระดับสูงให้การต้อนรับ ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานชี้แจงว่า “การประชุมดังกล่าวเป็นการเตรียมแผนงานด้านพลังงานเพื่อลดค่าครองชีพและสร้างรายได้ให้กับประชาชนหลังสถานการณ์เชื้อโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย โดยมีสาระสำคัญที่จะดำเนินการ 3 ด้านในช่วงปี 2563-2565 คือ

1.ลดรายจ่ายแก่ประชาชนช่วงโควิด-19 รวมกว่า 40,500 ล้านบาท ซึ่งกระทรวงพลังงานได้ดำเนินการในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมาและดำเนินการต่อเนื่องจนถึงสิ้นปี ผ่านมาตรการช่วยเหลือสำคัญ เช่น ลดค่าไฟฟ้าครัวเรือนและภาคธุรกิจด้วยการบริหารจัดการเพื่อลดต้นทุนค่าไฟฟ้าจากการนำเข้า Spot LNG การยกเว้นเก็บอัตราค่าไฟฟ้าขั้นต่ำ (Minimum charge) ถึง กันยายน 2563 การตรึงราคาแก๊สหุงต้มถึง กันยายน 2563 และจะพิจารณาขยายไปถึงธันวาคม 2563 การช่วยเหลือส่วนต่างราคา NGV สำหรับรถสาธารณะ โดย ปตท. ช่วยเหลือส่วนต่างราคาจนถึง กรกฎาคม 2563 การจัดโครงการพลังงานร่วมใจสู้ภัยโควิด-19 แจกแอลกอฮอล์โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลทั่วประเทศกว่า 2 ล้านลิตร การลดเงินเก็บเข้ากองทุนน้ำมันลง 50 สต.ต่อลิตร และลดราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นลง 50 สต.ต่อลิตร

2.เร่งรัดการลงทุนด้านพลังงาน รวมกว่า 200,000 ล้านบาท ในปี 2563 สร้างการจ้างงานกว่า 10,000 คน โดยในปี 2563 จะมีการเปิดสำรวจและผลิตปิโตรเลียมรอบใหม่ เริ่มดำเนินการ LNG Hub เริ่มการลงทุนพัฒนา Grid Modernization และศึกษาความเป็นไปได้ของ Grid Connectivity กับประเทศเพื่อนบ้าน การรื้อถอนแท่นปิโตรเลียม และเร่ง LNG receiving Terminal

3.กระตุ้นเศรษฐกิจ ฟื้นฟูหลังโควิด-19 รวมกว่า 30,000 ล้านบาท สร้างรายได้ให้ชุมชน เกิดการจ้างงานกว่า 8,000 คน ซึ่งต่อจากนี้ กฟผ. จะกระตุ้นให้เกิดการค้าผ่านตลาดนัดออนไลน์ชุมชนโรงไฟฟ้าและท่องเที่ยวเขื่อนทั่วไทย และ ปตท. จะจัด Living Community Market Place และเที่ยวทั่วทิศกระตุ้นเศรษฐกิจกับ Blue card พร้อมทั้งกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากผ่านกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน มีแผนที่จะขยายสายส่งไฟฟ้าเพื่อผันแม่น้ำยวมสู่อ่างเก็บน้ำภูมิพลเพื่อชลประทาน และยังช่วยลดปัญหาภัยแล้งที่เกิดขึ้นได้ด้วย รวมไปถึงการพิจารณาหาแนวทางการนำไฟฟ้าส่วนเกินมาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างมีประสิทธิภาพ

“ส่วนโรงไฟฟ้าชุมชนจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน เกิดการลงทุนและสร้างรายได้กว่า 2,000 ล้านบาท เกิดการจ้างงานกว่า 10,000 คน เมื่อครบเป้าหมาย 700 เมกะวัตต์ นอกจากนี้ การใช้ระบบ Blockchain เข้ามาช่วยในการซื้อขายปาล์มภาคพลังงานทั้งระบบ จะเกิดการหมุนเวียนรายได้กว่า 14,000 ล้านบาท และการลงทุนเพื่อช่วยประกอบการ Start up โดย ปตท. สนับสนุนทุนไปแล้วกว่า 17 ราย และ กฟผ. จะมี Innovation Holding Company เข้ามาช่วยสนับสนุนการพัฒนาไฟฟ้าในยุค Disruptive technology นอกจากนี้ ยังมีแนวทางที่จะบูรณาการทำงานกับหน่วยงานอื่น เพื่อผลักดันการพัฒนา E-Transportation ให้ครบวงจร ซึ่งกระทรวงพลังงานและหน่วยงานในสังกัดทุกหน่วยจะเร่งเดินหน้าตามแผนงานดังกล่าวเพื่อให้ประชาชนมีรายได้และขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศไทยให้เดินหน้าอย่างเข้มแข็งต่อไป” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานกล่าว

Advertising

“วีรศักดิ์”ปลุกร้านเสริมสวยรายย่อยคึกคักปลายปี

People Unity News : “วีรศักดิ์”ปลุกร้านเสริมสวยรายย่อยคึกคักปลายปี เปิดตัวโครงการเพิ่มศักยภาพการบริหารธุรกิจเสริมสวยอย่างมืออาชีพ หวังเพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบธุรกิจร้าน เสริมสวยรายย่อย สามารถยืนหยัดในธุรกิจบริการไทยได้อย่างเข้มแข็ง

วันพุธที่ 13 พฤศจิกายน 2562 กระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) และสมาคมวิชาชีพช่างผมไทย เปิดอบรมธุรกิจและบุคคลในวิชาชีพเสริมความงาม ดึงกูรูช่างผมชื่อดังของเมืองไทยร่วมถ่ายทอดประสบการณ์ตรงในการสร้างธุรกิจให้เป็นมืออาชีพ พร้อมการันตีเรียนจบกลับไปพัฒนาธุรกิจบิวตี้ในชุมชน ให้แข่งขันกันเติบโตได้แน่ คาดกิจกรรมดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นธุรกิจบริการเสริมสวยให้กลับมาคึกคักสร้างเม็ดเงินสะพัดได้ในช่วงปลายปี

นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยหลังเป็นประธานเปิดการอบรมหลักสูตรพิเศษ “การบริหารธุรกิจเสริมสวยอย่างมืออาชีพ” ณ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ว่ากิจกรรมครั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อตอบสนองนโยบายการเร่งรัดพัฒนาธุรกิจบริการไทยให้เข้มแข็งเพื่อเป็นกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก โดยในวันนี้ได้จัดการอบรมร่วมกับสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) และสมาคมวิชาชีพช่างผมไทย สำหรับหลักสูตรนี้ได้แบ่งการอบรมเป็น 2 รุ่น รุ่นที่ 1 เป็นเจ้าของธุรกิจเสริมสวยมาที่เปิดกิจการแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปี หรือต้องการขยายสาขา อบรมระหว่างวันที่ 13, 20-21 พฤศจิกายน 2562 และรุ่นที่ 2 สำหรับช่างและนักศึกษาที่กำลังศึกษาหลักสูตรช่างทำผม แต่งหน้า ทำเล็บ และเสริมความงาม อบรมระหว่างวันที่ 13, 27-28 พฤศจิกายน 2562

รมช.พณ. กล่าวเพิ่มเติมว่า กิจกรรมในวันนี้ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญด้านความงาม การบริหารธุรกิจร้านเสริมสวย และช่างทำผมมืออาชีพชื่อดังของเมืองไทย อาทิ ดร.สมศักดิ์ ชลาชล นายกสมาคมวิชาชีพช่างทำผมไทย, คุณไกรวิทย์ พุ่มสุโข ผู้บริหาร Sukho Salon, คุณสมเพชร ศรีชัยโย ผู้อำนวยการสถาบัน Anthony Hair, คุณวรชนาธิป จันทนู รองผู้อำนวยการสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ มาร่วมแบ่งปันประสบการณ์ด้วย นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมเสวนาเรื่องเสริมสวยมืออาชีพ บทเรียนสำหรับประกอบการยุคใหม่, เทรนด์ผมสมัยใหม่ มืออาชีพต้องตามทัน, และเทคนิคการบริหารงานให้ประสบความสำเร็จเคล็ด (ไม่) ลับ สำหรับช่างเสริมสวยมืออาชีพ อีกทั้ง กระทรวงฯยังได้ขอความร่วมมือจากผู้ผลิตสินค้าเกี่ยวกับธุรกิจทำผมชั้นนำเพื่อมาจำหน่ายในราคาพิเศษ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนด้านวัตถุดิบหลักที่ใช้ให้บริการและสร้างรายได้เสริมแก่ธุรกิจที่เข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้

“มากไปกว่านั้น ธุรกิจที่ผ่านการอบรมจะสามารถนำความรู้กลับไปปิดจุดอ่อน (Pain Point) ร้านเสริมสวยของตนเอง ด้วยการใช้เทคนิคด้านการตลาดมาช่วยดึงดูดลูกค้าให้เข้าร้าน การเลือกทำเลทอง ในการลงทุน การครองใจลูกค้าให้กลับมาใช้บริการซ้ำและการซื้อใจพนักงานให้เต็มใจในงานบริการ การปักหมุดร้านให้เป็นที่รู้จักในโลกออนไลน์ การบริหารเงินและการเข้าถึงแหล่งเงินทุน และการปรับภาพลักษณ์ร้านเสริมสวยให้น่ามอง”

“ร้านเสริมสวยเป็นธุรกิจที่อยู่คู่กับสังคมไทยมาอย่างยาวนาน มีเสน่ห์ในการเข้าถึงคนในชุมชนได้ทุกเพศทุกวัย หากพิจารณาให้ดีจะถือว่าเป็นธุรกิจสำคัญที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในท้องถิ่น แม้ธุรกิจนี้จะมีจำนวนมากเพราะเป็นธุรกิจที่ไม่ซับซ้อน งบลงทุนไม่มากส่งผลให้เกิดการแข่งขันสูง แต่ถ้าสามารถพัฒนาตนเองเข้าสู่มาตรฐานวิชาชีพได้ก็จะเป็นสิ่งที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถแยกความแตกต่างระหว่างร้านเสริมสวยทั่วไปกับร้านที่มีความเป็นมืออาชีพได้ ซึ่งแน่นอนลูกค้าจะต้องเลือกเข้าร้านที่มีความน่าเชื่อถือมากกว่า อีกทั้งถ้าธุรกิจสามารถรวมกลุ่มกันภายใต้วิชาชีพเดียวกันได้ ก็จะเพิ่มความสามารถในการพัฒนาวิชาชีพและเพิ่มอำนาจการต่อรองทางธุรกิจได้ ช่วยประหยัดต้นทุนในการบริหารธุรกิจได้อีกทาง” รมช.พณ. กล่าวในท้ายที่สุด

จากข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติในปี 2559 พบว่า มีธุรกิจเสริมสวยที่จัดตั้งในอยู่ในประเทศไทย จำนวน 121,296 ราย และมีมูลค่าทางการตลาดรวมกันทั้งประเทศกว่า 6 หมื่นล้านบาทต่อปี นอกจากนี้ ข้อมูลจากของกรมการจัดหางาน ยังพบว่า อัตราการเติบโตของธุรกิจเสริมสวยในประเทศไทยระหว่างปี 2558-2562 อยู่ที่ร้อยละ 3.4

“จุรินทร์”เร่งช่วยประกันรายได้มันสำปะหลังรุดจ่ายเงินส่วนต่าง 1 ธ.ค.2562

People Unity : ได้เวลาเกษตรกรมันสำปะหลังเฮ! “จุรินทร์” เร่งช่วยประกันรายได้ รุดจ่ายเงินส่วนต่าง 1 ธันวาคม 2562

วันที่ 27 ต.ค.2562 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นำประชุม 3 ฝ่ายเคาะประกันรายได้มันสำปะหลัง เดินหน้าช่วยเกษตรกรทั้งมาตรการหลักและเสริม โดยตั้งแต่เวลา 14.30-16.00 การประชุมหารือแนวทางการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกมันสําปะหลัง ปี 2562/63 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ เป็นประธาน ณ ห้องประชุมเวสสุวรรณ ชั้น 3 อาคารเฉลิมพระเกียรติพัชรกิติยาภา สํานักงานเทศบาลนครอุดรธานี อําเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี

ภายหลังการประชุมนายจุรินทร์ กล่าวว่า วันนี้ได้ร่วมกันกำหนดรายละเอียดของนโยบายประกันรายได้เกษตรกรมันสำปะหลัง มีมติให้ความเห็นชอบร่วมกันสำหรับการนับหนึ่งนโยบายประกันรายได้ดังนี้

ประการที่หนึ่ง จะมีการประกันรายได้ที่กิโลกรัมละ 2.50 บาท ที่เชื้อแป้งที่ 15% ประการที่สอง ประกันรายได้ครัวละไม่เกิน 100 ตัน ประการที่สาม ก็คือจะใช้เกณฑ์ราคาอ้างอิงเรื่องไปเป็นตัวกำหนดรายได้ที่ปรับเรื่องกำหนดตัวเลขส่วนต่างโดยจะใช้ราคาตลาดของราคาหัวมันสดที่ลานมันแป้งเฉลี่ยย้อนหลัง 30 วันเป็นตัวเลขราคาอ้างอิง

ประการที่สี่ เกษตรกรทุกรายสามารถเข้าร่วมโครงการได้โดยไปขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยขึ้นทะเบียนตามความเป็นจริงต้องแจ้งชัดเจนว่าปลูกมันกี่ไร่ จะเก็บเกี่ยวช่วงไหนอย่างไรตามความเป็นจริง ประการที่ห้า กำหนดจ่ายเงินส่วนต่างงวดแรกในวันที่ 1 ธันวาคม 2562 โดยจ่ายหกงวดในฤดูกาลผลิตปีนี้ ทุกเดือนจนหมดจำนวนเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียน และประการสุดท้าย วงเงินที่ใช้ร่วมกันประมาณ 9,400 ล้านบาท

“ตั้งใจจะเอาเรื่องมาหารือวันที่ 11 พย.ก่อนเข้าประชุมคณะรัฐมนตรีในวันที่ 12 พฤศจิกายน 2562 ตอนที่คณะรัฐมนตรีไปประชุมสัญจรที่จังหวัดกาญจนบุรี เมื่อคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบก็จะสามารถจ่ายเงินส่วนต่างแรกในวันที่ 1 ธันวาคม 2562 ” นายจุรินทร์ กล่าว

นอกจากนั้นนายจุรินทร์ กล่าวว่า ยังมีมาตรการเสริมสำคัญอีกหลายประเด็นก็คือส่งเสริมให้มีการใช้มันสำปะหลังในประเทศมากขึ้นทั้งทำพลาสติกชีวภาพ ซึ่งประเทศของเราจะเดินไปในแนวทางนี้มากขึ้นเพื่อรักษาสภาพสิ่งแวดล้อมรวมทั้งนำไปใช้ทำพลังงานในรูปแบบต่างๆ เช่น เอทานอล เป็นต้น จะมีการเร่งรัดส่งผลิตภัณฑ์เอกชนเพื่อเร่งรัดส่งเสริมการส่งออกมันสำปะหลังของไทยไปในตลาดต่างประเทศ เช่น ที่ตนได้นำคณะเอกชนไปขายมันสำปะหลังที่จีน เมื่อไม่นานมานี้แล้วประสบความสำเร็จพอสมควรเพราะปีที่แล้วจีนนำเข้ามันจากประเทศไทย 3,000,000 ตัน แต่ที่ไปสามารถขายได้ 2,600,000 ตัน มูลค่าประมาณ 18,000 ล้านบาท

นอกจากตลาดจีนแล้วไปตลาดอินเดียเนื่องจากอินเดียเริ่มที่จะไม่ใช้พลาสติกจริง เพื่อแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมโดยต่อไปนี้จะต้องใช้วัตถุดิบทางชีวภาพโดยเฉพาะมันสำปะหลังมาทำถุงพลาสติก และทำหีบห่อ โดยอินเดียมีประชากร 1,300 ล้านคน โดยต้องใช้สิ่งเหล่านี้ทดแทนพลาสติกมหาศาลถือเป็นโอกาสที่ดีอย่างยิ่งสำหรับผู้ส่งออกมันสำปะหลังไทยแล้วจะไปบุกตลาดตุรกีและนิวซีแลนด์ เนื่องจากสองประเทศนี้มีความต้องการใช้อาหารสัตว์จำนวนมากแต่ยังไม่รู้ที่ใช้มันสำปะหลังไปทำเป็นอาหารสัตว์ โดยจะเชิญผู้ผลิตอาหารสัตว์ของตุรกีและนิวซีแลนด์มาดูงานการทำด้วยมันสำปะหลังของไทย รวมทั้งตลาดเกาหลีและตลาดอื่นๆเป็นต้น

และจะเร่งรัดเรื่องการนำเข้ามันสำปะหลังจากประเทศเพื่อนบ้านเพื่อให้มันสำปะหลังราคาตกโดยไม่จำเป็น ต้องมีมาตรการภายในดำเนินการต่อไปให้มีผลอย่างเป็นรูปธรรม กับรอติดตามภาวะมันสำปะหลังในประเทศที่จะออกมาตรการเสริม เช่น ชะลอการขุด หรือชดเชยการขุด มาตรการอื่นๆที่จะช่วยส่งเสริมการผลิตต่อไปเป็นต้น ต่อมาคือสถานการณ์มันสำปะหลังทั้งตลาดในประเทศ และต่างประเทศจำเป็นที่จะต้องติดตามอย่างใกล้ชิด จึงเป็นที่มาถึงได้ทำตามความเห็นของภาคเอกชนที่จะจัดตั้งวอร์รูมมันสำปะหลังเพื่อติดตามอย่างใกล้ชิดและเสนอทางออกเพื่อประโยชน์ของเกษตรกรมันสำปะหลังไทยต่อไปด้วย

วันนี้ตนได้มอบให้กรมการค้าภายใน เป็นเจ้าภาพเชิญภาคเอกชน เกษตรกร กระทรวงเกษตร ผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดมาร่วมกันหามาตรการในการหาเครื่องมือเพื่อทำให้การขายหัวมันสดของเกษตรกรและการรับซื้อหัวมันสดของภาคเอกชนมีการกำหนดราคาที่เป็นธรรมของทั้งสองฝ่ายโดยลดการใช้ดุลยพินิจเพื่อกำหนดราคาตามความประสงค์ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งให้น้อยที่สุดโดยให้กรมการค้าภายในไปหารือร่วมกันและสรุปมาว่าจะมีกลไกอะไรที่ทำให้เป็นธรรม

สุดท้ายคือเรื่องโรคใบด่างในมันสำปะหลังซึ่งทุกฝ่ายกังวลจะมีผลกระทบต่อปริมาณการผลิตมันสำปะหลัง โดย ครม.มีมติอนุมัติเงิน 248 ล้านบาทให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปเร่งรัดทำเรื่องการกำจัดโรคใบด่าง วันนี้ได้ไปเร่งรัดให้เกิดผลเป็นรูปธรรมและให้มารายงานให้คณะกรรมการทราบในวันที่ 11 พฤศจิกายน เช่นเดียวกัน เพื่อให้ผลผลิตเพียงพอสำหรับการใช้ในปีนี้และปีหน้า

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับคณะของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ในวันนี้ ร่วมกับ นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมกับคณะจากกระทรวงเกษตร กระทรวงพาณิชย์ นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี ตัวแทนเกษตรกร และภาคเอกชน

นายกฯหารือผู้บริหารสภาอุตสาหกรรมทำงานแบบ New Normal ร่วมรัฐ-เอกชน-ประชาชน

People Unity News : นายกฯพบหารือผู้บริหารสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เน้นการทำงานในรูปแบบ New Normal ร่วมรัฐ-เอกชน-ประชาชน

19  มิถุนายน 2563 เวลา 11.00 น. ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ให้ นายสุพันธุ์ มงคลสุธี  ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นำคณะผู้บริหารสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เข้าพบเพื่อหารือและรับฟังข้อเสนอแนะแนวทางการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทยภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ด้วยการประสานเพื่อขับเคลื่อนการทำงานในรูปแบบ New Normal โอกาสนี้ นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายประสงค์ พูนธเนศ ปลัดกระทรวงการคลัง นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมและนายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม และนางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมหารือด้วย

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศด้วยการแก้ปัญหาระยะยาว ลดผลกระทบจากปัญหาไวรัสโควิด-19 โดยดำเนินมาตรการต่างๆครอบคลุมทั้ง “เยียวยา” และ “ฟื้นฟู” เช่น การลดภาระค่าใช้จ่าย ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบแล้วให้มีการขยายการปรับลดค่าไฟฟ้าจากร้อยละ 3 เป็นร้อยละ 5  การลดค่าจดจำนองและค่าโอนที่ดินเหลือร้อยละ 0.01 ในปี 2563  การลดเงินสมทบประกันสังคมของนายจ้างจากร้อยละ 4 ให้เหลือเพียงร้อยละ 1 และขยายระยะเวลาลดเงินสมทบประกันสังคมของลูกจ้าง ถึงวันที่ 31 ธ.ค. 63  เพื่อส่งเสริมการจ้างงานและรักษาตำแหน่งงานในระบบ รวมทั้งการสนับสนุนผู้ประกอบการให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนจากธนาคารและสถานบันการเงินของรัฐต่างๆ รวมทั้ง พ.ร.ก.เงินกู้ 5 แสนล้านบาทของธนาคารแห่งประเทศไทยด้วย มาตรการที่ออกมาเพราะรัฐบาลตั้งใจดูแลประชาชนทุกกลุ่มทั้งผู้ประกอบการ SMEs  แรงงานและเกษตรกร ล้วนเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยทั้งสิ้น

โอกาสนี้  ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยกล่าวประทับใจต่อคำแถลงการณ์ของนายกรัฐมนตรีถึงรูปแบบการทำงานของ “วิธีการทำงานแบบ New Normal ของนายกรัฐมนตรี” ซึ่งแสดงให้เห็นอย่างชัดเจน โดยวันนี้นายกรัฐมนตรีสร้างโอกาสและเวทีให้สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศและหน่วยงานภาครัฐ ร่วมพูดคุยหารือถึงข้อเสนอแนะจากภาคเอกชนอย่างตรงไปตรง รวมทั้งการที่รัฐบาลได้มีมาตรการช่วยเหลือ เยียวยา ผู้ได้รับผลกระทบทุกกลุ่ม ต่อเนื่องจนถึงการฟื้นฟูเศรษฐกิจจากมาตรการต่างๆ ประเทศไทยสามารถเปลี่ยนวิกฤต “โควิด-19” ให้กลายเป็น “โอกาส” หลังจากไทยประสบความสำเร็จในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้อย่างดี จนได้รับการยอมรับและชื่นชมจากนานาประเทศ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยยังแสดงความความมั่นใจด้วยว่า ประเทศไทยจะกลายเป็นเป้าหมายปลายทางที่น่าสนใจทั้งสำหรับนักลงทุนและนักท่องเที่ยวสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลง

นายกรัฐมนตรียังย้ำว่าวันนี้คือการทำงานแนวใหม่ “New Normal” ด้วยความร่วมมือระหว่างรัฐ เอกชน ประชาชน ลดปัญหา อุปสรรคและเน้นให้เกิดความโปร่งใสในการดำเนินงานให้เป็นมิติใหม่ของการทำงานเพื่อประเทศไทยอย่างแท้จริง

Advertising

“มนัญญา” เยี่ยมชมศูนย์เทคโนโลยีผลิตบรรจุภัณฑ์ในจีน

People Unity News :  “มนัญญา”รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมคณะเยี่ยมชมศูนย์เทคโนโลยีผลิตบรรจุภัณฑ์ในจีน

เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2562 น.ส.มนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วย คณะผู้บริหาร เดินทางเยี่ยมชมศูนย์เทคโนโลยีผลิตบรรจุภัณฑ์เครื่องดื่มของบริษัท SIG (SIG AP Tech Center) ณ เมือง Suzhou สาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นศูนย์พัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมอุตสาหกรรมเครื่องดื่มในระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค มีการนำเสนอและสาธิตถึงศักยภาพของเทคโนโลยีเครื่องจักรบรรจุนมระบบ UHT แบบ High speed ทันสมัย และมีความหลากหลายคุณลักษณะในการผลิตผลิตภัณฑ์ให้ตรงตามความต้องการของตลาด รวมถึงมีห้องปฏิบัติการที่ให้บริการตรวจสอบคุณภาพของกล่องกระดาษและผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มที่ทันสมัยตลอดกระบวนการผลิต เพื่อให้มั่นใจได้ว่าจะได้บรรจุภัณฑ์เครื่องดื่มที่มีรูปลักษณ์ที่ได้รับการออกแบบให้น่าสนใจต่อผู้บริโภค และผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มมีคุณภาพที่ดี

โฆษณา

Verified by ExactMetrics