วันที่ 19 พฤษภาคม 2024

กรมควบคุมโรคเผยพบการเสียชีวิตจากจราจรทางถนนกทม.ต่ำลงกว่า 47%

People Unity News : กรมควบคุมโรค โดยสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมืองร่วมกับสถาบันนิติเวชศาสตร์ พัฒนาฐานข้อมูล “3 ฐาน พลัส นิติเวช”ถือเป็นครั้งแรกของประเทศ ที่พบข้อมูลการเสียชีวิตจากการจราจรทางถนนในเขตกรุงเทพมหานคร ที่รายงานต่ำกว่าความเป็นจริงมากถึงร้อยละ 47 ผลจากโครงการ นับเป็นตัวแบบของการจัดการ “ระบบข้อมูลการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุการจราจรในเขตเมืองใหญ่บนฐานข้อมูลนิติเวช”(Urban forensic based data quality) ที่ครบถ้วน ทันต่อเวลา ลดภาระงาน จัดการได้และยั่งยืน รวมทั้งสามารถนำไปใช้วิเคราะห์ทางระบาดวิทยา และใช้ประกอบการตัดสินใจเชิงนโยบายด้านการป้องกัน ควบคุมโรคในระดับชาติได้อีกด้วย

วันที่ 24 พฤศจิกายน 2562 นายแพทย์ปรีชา เปรมปรี รองอธิบดีกรมควบคุมโรค ให้สัมภาษณ์ ว่า กรุงเทพมหานคร เมืองหลวงของประเทศ เป็นเขตเมืองใหญ่ ทุกๆวัน จะเกิดอุบัติเหตุและมีผู้เสียชีวิตหรือการบาดเจ็บจากการจราจรทางถนนประมาณ 10 รายต่อวัน และเป็นพื้นที่ที่มีโรงพยาบาลจำนวนมากและหลากหลายสังกัด ยังไม่มีหน่วยงานที่รวบรวมข้อมูลอย่างเป็นทางการและครอบคลุมทุกสังกัด ส่งผลให้ข้อมูลสถิติอุบัติเหตุทางถนนที่นำมาใช้อ้างอิงในขณะนี้ ยังต่ำกว่าข้อมูลที่องค์การอนามัยโลกคาดการณ์ไว้

กรมควบคุมโรค โดยสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง(สปคม.) ร่วมกับมูลนิธิสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง และมูลนิธิบลูมเบิร์ก เพื่อสาธารณประโยชน์ (BIGRS) ได้ขับเคลื่อน การพัฒนาฐานข้อมูล กลไก รูปแบบการเก็บและระบบรายงานข้อมูลผู้เสียชีวิตจากการจราจรทางถนนในกรุงเทพมหานคร ซึ่งผลของแนวคิดและระบบการจัดการข้อมูลชุดใหม่นี้ (ข้อมูล 3 ฐาน พลัส : ข้อมูลบูรณาการร่วม ตำรวจ มรณบัตร บริษัทกลาง และกลุ่มสถาบันนิติเวชศาสตร์ 7 แห่ง) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2559 – 2561 ที่เรียกว่า 3 ฐาน พลัส พบว่า ผู้เสียชีวิตจากการจราจรทางถนนในพื้นที่กทม. จำนวน 4,678 ราย ซึ่งมีมากถึงร้อยละ 47 จากที่ ขาดหายไป หรือค้นพบเพิ่มเติมจำนวนมากถึง 2,202 ราย ที่มาจากสถาบันนิติเวชทั้ง 7 แห่ง ถือเป็นครั้งแรกของประเทศ ที่พบข้อมูลการเสียชีวิตจากการจราจรทางถนนในเขตกรุงเทพมหานคร ที่รายงานต่ำกว่าความเป็นจริงมากถึงร้อยละ 47 และได้มีการทวนสอบข้อมูลกับกองยุทธศาสตร์และแผนงาน กระทรวงสาธารณสุข พบว่า ในทะเบียนมรณะบัตร ส่วนใหญ่ไม่ได้ลงสาเหตุการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน

นพ.ปรีชา กล่าวเพิ่มเติมว่า ข้อค้นพบที่สำคัญจากโครงการนี้ นับเป็นตัวแบบของการจัดการ “ระบบข้อมูลการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุการจราจรในเขตเมืองใหญ่บนฐานข้อมูลนิติเวช “(Urban forensic based data quality)ที่ครบถ้วน ทันต่อเวลา ลดภาระงาน จัดการได้และยั่งยืน รวมทั้งสามารถนำไปใช้วิเคราะห์ทางระบาดวิทยา และนำไปใช้ประกอบการตัดสินใจเชิงนโยบายด้านการป้องกันควบคุมโรคในระดับชาติได้อีกด้วย

ทั้งนี้ได้สร้างเครื่องมือในการทำงานร่วมกัน ประกอบด้วย แบบฟอร์มการยืนยันการให้ข้อมูลกับหน่วยงานราชการ digital platformกลาง ระบบการเชื่อมโยงข้อมูล เชื่อมการวิเคราะห์และใช้ข้อมูล ก่อให้เกิดระบบเฝ้าระวัง 3 ฐาน พลัส ที่มีการเชื่อมใช้ข้อมูล การได้มาซึ่งข้อมูลและระบบการทำงานใหม่นี้ ต้องใช้ความพยายามร่วมของสปคม.และ7 สถาบันนิติเวชเป็นอย่างมาก ทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการตลอดระยะเวลา 4 เดือน ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เกิดความเชื่อมโยงระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสู่การนำข้อมูลไปใช้ในการวางแผน ประเมินนโยบาย ยุทธศาสตร์ มาตรการ แนวทาง การบังคับใช้กฎหมาย และการสร้างความร่วมมือในการบูรณาการ การดำเนินงานป้องกันการบาดเจ็บและ ลดอัตราการเสียชีวิตจากการจราจรทางถนนในพื้นที่เขตเมือง ต่อไป

“ยุทธพล”แถลงจับลักลอบ”นาก-ชะนีมือขาว”พรากจากศพแม่

People Unity News : “ยุทธพล”แถลงข่าว”หน่วยพญาเสือ”จับกุมดำเนินคดีเครือข่ายลักลอบค้าสัตว์ป่าคุ้มครองรายใหญ่ พบ “นาก-ชะนีมือขาว” ถูกพรากจากศพแม่

วันที่ 31 ตุลาคม​ 2562​ นายยุทธพล อังกินันทน์ รองหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แถลงข่าวการจับกุม-ดำเนินคดี ผู้ลักลอบค้าสัตว์ป่าคุ้มครองในภาคใต้ โดยหน่วยเฉพาะกิจปฏิบัติการพิเศษผู้พิทักษ์อุทยานแห่งชาติและสัตว์ป่า “หน่วยพญาเสือ” ปฏิบัติการร่วมกับสำนักงานสนับสนุนการป้องกันและปราบปราบที่ 4 (ภาคใต้) และอีกหลายหน่วยงาน ได้ของกลางเป็นนากเล็กเล็บสั้นจำนวน 17 ตัว ซากนากเล็กเล็บสั้น 1 ตัว นาอาย 1 ตัว และชะนีมือขาว 1 ตัว

จากกรณีที่มีการโพสต์ภาพและข้อความ เสนอขายนากเล็กเล็บสั้น และ ชะนีมือขาว บนเฟซบุ๊กหน่วยพญาเสือ จึงได้ลงพื้นที่จ.สงขลาและพัทลุง เพื่อสืบหาข้อมูล ติดต่อขอซื้อสัตว์ป่าจนทราบที่อยู่อาศัยของ นายวุฒินันต์ แสงแก้ว อายุ 27 ปี ผู้ต้องสงสัย จึงได้สนธิกำลังเข้าจับกุม โดนระหว่างการจับกุม นายวุฒินันต์ได้รับโทรศัพท์จากนาย เอกรัฐ วงษ์สวัสดิ์ อายุ 62 ปี ตัวแทนจำหน่ายรายใหญ่ สั่งให้นำนากไปส่งจำนวน 10 ตัว จึงขยายผลจับกุมเพิ่ม และนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.พัทลุง ดำเนินคดีต่อไป

นายยุทธพล กล่าวว่า ตนขอวิงวอนทั้งผู้ค้าและผู้ซื้อให้หยุดพฤติกรรมดังกล่าว เพราะเป็นการกระทำที่ผิดกฏหมาย โดยเฉพาะผู้ซื้อ ขอให้ใช้วิจารณญานและศึกษาข้อมูลและกฏหมายให้ถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจซื้อ เพราะมีโทษปรับหลักล้านบาท อย่าเพียงแค่เสพสื่อทางโซเชียลมีเดีย แล้วเห็นความน่ารักของสัตว์ป่าจนอยากครอบครองโดยไม่สนใจข้อกฏหมาย เพราะส่วนใหญ่สัตว์ป่าที่ถูกนำมาเข้าสู่กระบวนการค้าสัตว์ป่า ล้วนถูกพรากมาโดยการยิงแม่ให้ตาย แล้วได้ลูกมาขายต่อ ส่วนด้านผู้ค้าที่ทำผิดกฏหมายมาหลายครั้งหลายคราว ต่อไปจะไม่มีการผ่อนผันและจะดำเนินคดีอย่างถึงที่สุด โดยระหว่างนี้ สัตว์ของกลาง จะถูกนำไปอนุบาลรักษาสุขภาพ อย่างดีที่สุด เพื่อฟื้นฟูความแข็งแรง รอวันปล่อยคืนสู่ป่าที่เป็นบ้านที่แท้จริง ตามนโยบายของ รมว.ทส.ต่อไป

ครม. ไฟเขียวแผนพัฒนาประชากรเพื่อการพัฒนาประเทศระยะยาว ปี 65 – 80

People Unity News : 19 พฤษภาคม 65 ที่ประชุม ครม. เมื่อ 17 พ.ค. 65 เห็นชอบร่างแผนพัฒนาประชากรเพื่อการพัฒนาประเทศระยะยาว ปี 2565 – 2580 ด้วยกรอบแนวทางการพัฒนา 3 ด้าน คือ

การเกิดอย่างมีคุณภาพ

การอยู่อย่างมีคุณภาพและมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ

การแก่และตายอย่างมีคุณภาพ

โดยคำนึงถึงอิทธิพลของเทคโนโลยี สื่อสังคมออนไลน์ และเจเนอเรชั่น ที่ส่งผลให้การดำรงชีวิตของประชาชนเปลี่ยนไปจากอดีต

6 ยุทธศาสตร์ของ (ร่าง) แผนพัฒนาประชากรเพื่อการพัฒนาประเทศระยะยาว ประกอบด้วย

1.การสร้างครอบครัวที่มีคุณภาพ และพัฒนาระบบที่เอื้อต่อการมีและการเลี้ยงดูบุตร

2.การพัฒนายกระดับผลิตภาพประชากร

3.การยกระดับความมั่นคงทางการเงิน

4.การสร้างเสริมสุขภาวะเพื่อลดการตายก่อนวัยอันควร และมีระบบดูแลระยะยาวและช่วงท้ายของชีวิต

5.การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการดำรงชีวิตอย่างมีคุณภาพกับทุกกลุ่มวัย

6.การบริหารจัดการด้านการย้ายถิ่น

การดำเนินการแบ่งเป็น 2 ระยะ คือ ระยะเร่งด่วน ที่เน้นการจัดการกับปัญหาที่เป็นผลพวงจากสถานการณ์กโรคโควิด-19 และระยะยาว เน้นการสร้างครอบครัวคุณภาพ พัฒนาระบบการศึกษาและการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อสร้างรายได้อย่างมั่นคงตามแนวคิด “ชุมชนน่าอยู่ สุขภาวะดี มีงานทำ”

Advertisement

 

เห็นชอบ EIA รถไฟฟ้าสายสีชมพูส่วนต่อขยายและรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-โคราช

People Unity News : คกก.สิ่งแวดล้อมฯเห็นชอบ EIA โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูส่วนต่อขยายสถานีศรีรัช-เมืองทอง และโครงการรถไฟความเร็วสูง สายกรุงเทพฯ-นครราชสีมา (ช่วงชุมทางบ้านภาชี-นครราชสีมา)

22 ต.ค.63 เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 6/2563 โดยมี นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เข้าร่วมด้วย

ทั้งนี้ที่ประชุมได้มีการพิจารณารายงาน EIA จำนวน 3 โครงการ โดยมีมติ ดังนี้ 1) เห็นชอบต่อรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูส่วนต่อขยาย ช่วงสถานีศรีรัช-เมืองทอง ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย โดยเพิ่ม 2 สถานีเพื่อเข้าสู่เมืองทองธานี ( สถานี MT-01 อยู่บริเวณหน้าอาคารอิมแพ็คชาเลนเจอร์ และสถานี MT-02 อยู่บริเวณด้านหน้าของทะเลสาบเมืองทองธานี ใกล้กับเอส ซี จี สเตเดี้ยม มีระยะทางรวมประมาณ 3 กิโลเมตร) 2) เห็นชอบรายงาน EIA โครงการรถไฟความเร็วสูง สายกรุงเทพฯ-นครราชสีมา (ช่วงชุมทางบ้านภาชี-นครราชสีมา) ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการส่วนที่เป็นอุโมงค์ การปรับโครงสร้างโครงการบางช่วง การปรับตำแหน่งศูนย์ซ่อมบำรุง และการปรับรูปแบบสถานีนครราชสีมา ให้สอดคล้องกับโครงการรถไฟทางคู่ ทั้งนี้มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมและการรถไฟแห่งประเทศไทยรับข้อสังเกตของที่ประชุมไปประกอบการพิจารณาเพื่อดำเนินการก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป และ 3) เห็นชอบโครงการอาคารเช่าสำหรับผู้มีรายได้น้อย จังหวัดเพชรบุรี (โพไร่หวาน) ของการเคหะแห่งชาติ ซึ่งเป็นโครงการอาคารอยู่อาศัยรวมสำหรับเช่า จำนวน 246 ห้อง

นอกจากนี้ ที่ประชุมได้มีการพิจารณาเกี่ยวกับการจัดการขยะ ได้แก่ เห็นชอบการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อแก้ไขปัญหาการบริหารจัดการขยะมูลฝอยบนเกาะ เพื่อให้การจัดการขยะมูลฝอยบนเกาะ โดยเฉพาะเกาะที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว มีการจัดการอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ บริหารจัดการขยะมูลฝอยบนเกาะตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง ลดปัญหาการขนส่งขยะข้ามไปกำจัดบนแผ่นดินใหญ่ รวมทั้งที่ประชุมเห็นชอบมาตรการการแก้ไขปัญหาการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งที่เกิดขึ้นในประเทศและที่นำเข้าจากต่างประเทศ โดยการจัดการสถานที่รับคืนขยะอิเล็กทรอนิกส์และนำไปจัดการอย่างถูกต้อง และการยกเลิกนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์ 428 รายการ เป็นต้น

Advertising 

ขอสังคมช่วยป้องกันความรุนแรงในครอบครัว

People Unity News : 9 มีนาคม 2566 กสม.ชี้หญิงถูกสามีทำร้ายร่างกาย จุดไฟเผา และแทงจนเสียชีวิต สะท้อนปัญหาความรุนแรงในครอบครัว เรียกร้องสังคมร่วมดูแล ช่วยเหลือเมื่อพบเหตุ อย่าคิดว่าไม่ใช่เรื่องตัวเอง

นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) แถลงกรณีหญิงถูกสามีทำร้ายร่างกาย จุดไฟเผา และแทงจนเสียชีวิต ในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ โดยพลเมืองดีที่เข้าช่วยเหลือได้รับบาดเจ็บ ว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของผู้ที่สูญเสีย และขอชื่นชมพลเมืองดีที่เข้าให้การช่วยเหลือเมื่อพบเห็นการกระทำความรุนแรง เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาความรุนแรงในครอบครัว ซึ่งเป็นประเด็นหนึ่งที่ กสม.ให้ความสำคัญและกำหนดเป็นประเด็นยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนในปีนี้

“กรณีนี้นอกจากจะนำมาซึ่งความสูญเสียจากการกระทำที่โหดร้ายทารุณ อีกด้านยังสะท้อนให้เห็นถึงแบบอย่างที่น่าชื่นชมของพลเมืองดีที่เข้าให้ความช่วยเหลือ เมื่อพบเห็นการกระทำความรุนแรง ซึ่งเป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายคุ้มครองผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. 2550 มาตรา 5 ที่กำหนดให้เป็นหน้าที่ของทุกคนที่พบเห็นการกระทำความรุนแรงในครอบครัว ต้องแจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อให้การช่วยเหลือ โดยไม่ต้องให้ผู้ถูกกระทำความรุนแรงหรือคนในครอบครัวเท่านั้นที่ต้องแจ้งเหตุ ทั้งนี้ ผู้แจ้งโดยสุจริต มีสิทธิได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย และไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่ง อาญา และปกครองด้วย” นายวสันต์ กล่าว

นายวสันต์ กล่าวว่า ขอเรียกร้องให้ทุกคนในสังคมตระหนักว่า ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวที่ผู้หญิงมักจะเผชิญนั้น ไม่ใช่เรื่องไกลตัวและไม่ใช่เรื่องส่วนตัว เป็นเรื่องที่สังคมต้องช่วยกันสอดส่องดูแล การบังคับหรือใช้อำนาจครอบงำให้กระทำ ไม่กระทำ หรือยอมรับการกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดต่อคนในครอบครัวโดยมิชอบนั้น มีความผิดทางอาญา ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในครอบครัวของผู้อื่น รวมทั้งครอบครัวของตนเอง เป็นเรื่องที่ทุกคนที่พบเห็นหรือถูกกระทำต้องไม่เพิกเฉย ไม่ยอมจำนน ไม่คิดว่าไม่ใช่เรื่องของตัวเอง และไม่ปล่อยให้เป็นเรื่องปกติที่คุ้นชินในสังคม โดยต้องแจ้งพนักงานเจ้าหน้าที่ เช่น เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจ เข้าให้ความช่วยเหลือทันทีที่เกิดเหตุ เพราะทุกความรุนแรงที่เหยื่อถูกกระทำ ไม่ว่าจะเป็นการทำร้ายกันด้วยคำพูด หรือการทำร้ายร่างกาย อาจส่งผลกระทบต่อร่างกาย จิตใจ การใช้ชีวิต ไปจนถึงความสูญเสียต่อชีวิต อันเป็นการละเมิดสิทธิที่ร้ายแรง และเป็นความผิดทางอาญาด้วย

Advertisement

สธ.-WHO ถอดบทเรียนไทยรับมือโควิดสำเร็จจาก 5 ปัจจัย เตรียมแถลงในเวทีโลกปลาย พ.ค.นี้

People Unity News : วันนี้ (5 พฤษภาคม 2565) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และ นพ.จอส ฟอนเดลาร์ ผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย แถลงผลสรุปการจัดกิจกรรมการทบทวนการเตรียมความพร้อมกรณีภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขและสุขภาพถ้วนหน้า หรือ Universal Health and Preparedness Review (UHPR) ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 21-29 เมษายน 2565

นายอนุทินกล่าวว่า องค์การอนามัยโลก (WHO) เลือกประเทศไทยให้เป็นประเทศต้นแบบลำดับที่ 3 ในการนำร่องจัดกิจกรรมการทบทวนการเตรียมความพร้อมกรณีภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขและสุขภาพถ้วนหน้า จากการรับมือการระบาดใหญ่ของโรคโควิด 19 เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนประสบการณ์ แนวปฏิบัติที่ดี และข้อเสนอแนะระหว่างประเทศสมาชิกองค์การอนามัยโลก ซึ่งข้อสรุปเบื้องต้นจากการจัดกิจกรรมฯ โดยคณะผู้เชี่ยวชาญองค์การอนามัยโลกและทีมประเทศไทย พบว่า ประเทศไทยมีการบริหารจัดการตอบโต้ภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขกรณีโควิด 19 เป็นอย่างดี มีความยืดหยุ่น ปรับตัวไปตามสถานการณ์ และเน้นการปฏิบัติได้จริง โดยพบปัจจัยสำคัญ คือ 1.มีการสนับสนุนโดยผู้บริหารระดับสูงที่กำหนดนโยบายประเทศ 2.ระบบสาธารณสุขไทยมีความเข้มแข็งจากการลงทุนในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าและระบบปฐมภูมิมาอย่างต่อเนื่องกว่า 4 ทศวรรษ 3.มีความร่วมมือเชื่อมต่อทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน ประชาสังคม และภาคการศึกษา รวมถึง อสม. 4.มีกระบวนการสร้างการมีส่วนร่วมกับประชาชนและชุมชน และ 5.มีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล นวัตกรรมและการวิจัยเพื่อการตัดสินใจบนพื้นฐานข้อมูล

ส่วนอุปสรรคและความท้าทายที่ยังสามารถพัฒนาได้ คือ การบูรณาการข้อมูลจากหลายแหล่ง, การดูแลกลุ่มเปราะบาง เช่น แรงงาน ผู้อาศัยในชุมชนแออัด ให้เข้าถึงบริการสุขภาพมากขึ้น, การเตรียมความพร้อมรับภาวะฉุกเฉินในเขตเมืองและระบบปฐมภูมิ, การต่อยอดหรือสร้างความยั่งยืนในการใช้นวัตกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้น และการจัดการกับขยะทางการแพทย์หรือขยะติดเชื้อ โดยมีข้อเสนอให้เพิ่มการลงทุนเรื่องนวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อให้สามารถใช้งานต่อเนื่อง พัฒนากำลังคนแบบสหสาขาและนำกลยุทธ์ที่ใช้ได้ดีไปเตรียมพร้อมรับมือการระบาดครั้งต่อไป ให้ความสำคัญกับการพัฒนาสุขภาพ สุขภาวะของประชาชนที่ครอบคลุมถึงกลุ่มเปราะบาง ยกระดับขีดความสามารถการพึ่งพาตนเองด้านวัคซีน ยา ชุดตรวจ และเวชภัณฑ์ พัฒนากลยุทธ์ในการบูรณาการข้อมูล รวมถึงค้นหาและบันทึกตัวอย่างที่ดี บทเรียนที่สำคัญในการจัดการกับการระบาดใหญ่เพื่อเผยแพร่ต่อไป

“ประเทศไทยได้รับคำชมจากผู้เชี่ยวชาญองค์การอนามัยโลก ถึงนโยบายและมาตรการแนวทางการดำเนินงานดูแลประชาชน ทั้งการรักษาพยาบาลผู้ป่วยและการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด 19 ทางองค์การอนามัยโลก ระบุว่ายินดีสนับสนุนและร่วมทำงานกับประเทศไทย โดยขอให้ประเทศไทยจัดทำรายงาน UHPR และเสนอต่อคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ เพื่อขอความเห็นชอบรายงาน นอกจากนี้ ให้เตรียมการแถลงประสบการณ์ UHPR ในที่ประชุม World Health Assembly (WHA) ปลายเดือนพฤษภาคม 2565 และร่วมกับอีก 3 ประเทศนำร่องในการทบทวนปรับปรุงกระบวนการ UHPR ให้ดียิ่งขึ้นก่อนนำไปใช้ในประเทศอื่นๆ” นายอนุทินกล่าว

ด้าน นพ.จอส กล่าวว่า หลักพื้นฐานสำคัญที่จะทำให้ประเทศใดๆ เตรียมพร้อมและตอบโต้ภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขได้ดี จะต้องมี 1.ผู้นำทางการเมืองระดับสูงรับเรื่องเป็นพันธสัญญา 2.การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน และ 3.กรอบความรับผิดชอบ 3 ด้าน ได้แก่ สุขภาพถ้วนหน้า การเตรียมพร้อมตอบโต้ภาวะฉุกเฉิน และสุขภาวะที่ดีขึ้นของประชากร นอกจากนี้ ความสำเร็จจะเกิดได้ขึ้นกับการนำไปสู่การลงมือปฏิบัติโดยถือเป็นเรื่องสำคัญเร่งด่วน ซึ่ง ดร.สมิลา อัสมา ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก แสดงความชื่นชมที่รัฐบาลไทยได้ให้ความสำคัญอย่างยิ่งในเรื่องนี้

สำหรับกิจกรรมการทบทวน UHPR ตลอดช่วงวันที่ 21-29 เมษายน 2565 มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่องของการป้องกันควบคุมโรคโควิด 19 ในสถานประกอบการและผู้ประกันตน การดูแลแรงงานทุกเชื้อชาติ ติดตามการดำเนินงานในพื้นที่ชลบุรี และสมุทรสาคร กิจกรรมหน่วยงานเครือข่ายและชุมชนในกรุงเทพมหานคร มีการฝึกซ้อมแผนด้วยสถานการณ์สมมติ โดยหน่วยงานจากกระทรวงต่างๆ ที่ร่วมดำเนินมาตรการรับมือภาวะฉุกเฉินกรณีโรคโควิด 19 และสัมภาษณ์ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในประเด็นที่ส่งผลกระทบต่อการป้องกันควบคุมโรค ทำให้เห็นการประสานงานหลายภาคส่วนจนถึงในระดับชุมชน

Advertisement

ก.ดีอีเอส ลั่น ลุยปิดเว็บพนันออนไลน์

People Unity News : 26 กันยายน 2566 ทำเนียบ – รมว.ดีอีเอส ย้ำ เดินหน้าปิดเว็บพนันออนไลน์ เตรียมประสาน ธนาคาร-ตำรวจ-ศาล คุยแก้ปัญหาบัญชีม้า

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวถึงกรณีพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ถูกค้นบ้านพัก และมีการขยายผลลูกน้องเกี่ยวข้องกับเครือข่ายพนันออนไลน์ว่า ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมากระทรวงดีอีเอส ได้ปิดเว็บไซต์เกี่ยวกับพนันออนไลน์ ไปแล้ว กว่า 4,400 เว็บไซต์ ตำรวจดำเนินคดีไปแล้ว 6,000 กว่าคดี  ส่วนเรื่องของการใช้บัญชีม้า จะต้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบไปถึงเส้นทางการเงินของผู้กระทำความผิดเพื่อให้รู้ที่มาที่ไปของเงิน

ส่วนที่นายกรัฐมนตรีมีแนวคิดดึงภาคเอกชนเข้ามาเป็นคณะกรรมการร่วม ในการปราบเรื่องพนันออนไลน์นั้น นายประเสริฐ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่สามารถช่วยได้ และตนขอเตือนทั้งเจ้าของเว็บ และผู้เล่น ว่าการกระทำดังกล่าวถือว่ามีความผิด มีโทษทั้งจำทั้งปรับ ผู้เล่นอาจจะถูกแฮกค์ข้อมูลส่วนตัว และอาจถูกติดตั้งแอบพลิเคชั่น

ทั้งนี้จะดำเนินการอย่างไรกับบัญชีม้าที่เป็นต้นเหตุให้สามารถเปิดพนันออนไลน์ได้โดยไม่สามารถสาวถึงตัวเจ้าของนั้น นายประเสริฐ กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องพูดคุยกับธนาคาร ตำรวจ และศาล เพื่อระงับยับยั้งบัญชี  ซึ่งตนมองว่าเป็นเรื่องจำเป็น ขยายผลไปทั้งคนเปิด คนรวบรวม และปลายทาง

Advertisement

ข่าวดี ..เปิดแล้วศูนย์ Job Ready Center 11 แห่งทั่วประเทศ ช่วยผู้จบ ป.ตรีมีงานทำครบวงจร

People unity news online : รองนายกรัฐมนตรีเปิดศูนย์ ที่นี่มีงานทำ Job Ready Center  ช่วยเหลือผู้จบปริญญาตรีให้มีงานทำ บริการให้คำปรึกษา พัฒนาทักษะฝีมือ แนะแนวอาชีพ จับคู่ตำแหน่งงาน เริ่มเปิดดำเนินการ 11 แห่ง พร้อมกันทั่วประเทศ ตามแนวทาง “ประชารัฐ ร่วมใจ เพื่อคนไทยมีงานทำ”

เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2561 เวลา 09.00 น. พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิดศูนย์ที่นี่มีงานทำ (Job Ready Center) ณ อาคารศูนย์บริการจัดหางานเพื่อคนไทยกระทรวงแรงงาน  โดยมี พลตำรวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นผู้กล่าวรายงาน โดย พลตำรวจเอก อดุลย์ กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาประเทศไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน โดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง ด้วยการยกระดับและปฏิรูประบบราชการ ให้เป็นที่พึ่งของประชาชน กระทรวงแรงงาน ภายใต้การกำกับดูแลของ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จึงได้จัดตั้งศูนย์ที่นี่มีงานทำ (Job Ready Center) ขึ้น ภายใต้แนวคิด “ประชารัฐ ร่วมใจ เพื่อคนไทยมีงานทำ” โดยมีกลุ่มผู้สำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรีที่ยังไม่มีงานทำ เป็นกลุ่มเป้าหมายหลักในเบื้องต้น เพื่อส่งเสริมให้มีงานทำ มีรายได้ ตรงกับความต้องการและความสามารถของตนเอง สอดคล้องกับภารกิจหลักของกระทรวงแรงงาน ที่มุ่งเน้นให้คนไทยมีงานทำอย่างมีศักดิ์ศรี ด้วยการสร้างโอกาสในการเข้าถึงตำแหน่งงานว่าง โอกาสในการพัฒนาทักษะอย่างเท่าเทียม ได้รับการคุ้มครอง และมีหลักประกันเพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งทรัพยากรบุคคลเหล่านี้ คือรากฐานสำคัญในการนำพาประเทศไปสู่ความเจริญก้าวหน้า

พล.ต.อ. อดุลย์ กล่าวต่อว่า ศูนย์ที่นี่มีงานทำ จะให้บริการพร้อมกันทั่วประเทศ ตั้งแต่วันนี้ (19 ก.ค.61) เป็นต้นไป โดยศูนย์ดังกล่าว มีภารกิจหลัก 4 ประการ ประกอบด้วย 1. การแนะแนวงานที่เหมาะสมกับความสามารถ และความสนใจของผู้เข้ารับบริการ โดยจัดให้มีการทดสอบความพร้อม และความถนัดทางอาชีพเบื้องต้น 2. การจับคู่งาน (Matching) ระหว่างผู้ที่กำลังหางานกับนายจ้าง สถานประกอบการ โดยใช้ฐานข้อมูลของ ก.แรงงานและหน่วยงานภาคีเครือข่าย ทั้งงานในประเทศ ต่างประเทศ ผ่าน Job fair, Mobile App, Line Jobs, Job Box เป็นต้น รวมทั้งการรับงานไปทำที่บ้าน 3. การพัฒนาทักษะ ในกรณีที่ต้องการยกระดับความสามารถของตนเอง (Up skill/Re-skill) โดยได้จัดให้มีการฝึกอบรมในหลักสูตรต่างๆ ทั้งในระยะสั้น 18 – 60 ชั่วโมง และระยะยาว 60 วันขึ้นไป และ 4. การให้การคุ้มครองการจ้างงาน สภาพการทำงาน สวัสดิการที่ลูกจ้างพึงได้รับ และการนำเข้าสู่ระบบประกันสังคมเพื่อสร้างหลักประกันที่มั่นคงให้กับชีวิต ซึ่งการดำเนินงานของศูนย์ที่นี่มีงานทำ ได้แบ่งการดำเนินการเป็น 2 ระยะ โดยระยะแรก คือระยะนำร่องมีการดำเนินการทั้งสิ้น จำนวน 11 แห่ง ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ พิษณุโลก พระนครศรีอยุธยา ปราจีนบุรี นครราชสีมา ขอนแก่น ชลบุรี ระยอง สุราษฎร์ธานี สงขลา และกรุงเทพมหานคร และในระยะต่อไป จะขยายการดำเนินการให้ครอบคลุมทั่วประเทศ

ทั้งนี้ ภายในงานเปิดศูนย์ ได้มีกิจกรรม “นัดพบแรงงาน (JOBS FAIR)” เพื่อให้บริการจับคู่งาน (Matching) ระหว่างผู้ที่กำลังหางานกับนายจ้าง สถานประกอบการ โดยมีบริษัทชั้นนำกว่า 30 บริษัท มารับสมัครงานและสัมภาษณ์งาน อาทิ บมจ.ไทยเบฟเวอเรจ, บมจ.ซีพี ออลล์, บมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ, บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น, บมจ.อิตาเลี่ยนไทย ดีเวล็อปเม้นต์, บจก.โตโยต้าบัสส์, บจก.อยุธยาแคปปิตอล เซอร์วิสเซส และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย เป็นต้น โดยมีตำแหน่งงานว่างพร้อมบรรจุกว่า 3,000 อัตรา นอกจากนี้ ยังได้จัดบริการให้คำแนะนำ/แนะแนวอาชีพ/ทดสอบความพร้อมทางอาชีพ/ให้คำปรึกษาด้านอาชีพ/การรับงานไปทำที่บ้าน/หลักสูตรฝึกอบรม/สิทธิประโยชน์ประกันสังคม และให้ความรู้ด้านกฎหมายแรงงาน ฯลฯ

พล.ต.อ.อดุลย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “ศูนย์ที่นี่มีงานทำ จะเป็นการบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามแนวทางประชารัฐ ทั้งภาครัฐ เอกชน และสถานศึกษา เพื่อผนึกกำลังประสานข้อมูล และบูรณาการการทำงานให้คนไทยมีงานทำ มีคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งจะเป็นการพัฒนากำลังคนให้พร้อมที่จะการนำพาประเทศไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ตามนโยบายของรัฐบาล”

ในท้ายนี้ พล.อ.ประวิตร ได้เชิญชวนผู้ที่จบการศึกษาในระดับชั้นปริญญาตรี ที่กำลังหางานทำ มาใช้บริการศูนย์ที่นี่มีงานทำ ทั้ง 11 แห่ง ทั่วประเทศ ซึ่งมีบริการที่ครบวงจร พร้อมเน้นย้ำ รัฐบาลได้วางแนวทางการสร้างคน ให้มีคุณภาพ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ศูนย์ที่นี่มีงานทำของกระทรวงแรงงาน จะนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว อันนำไปสู่การยกระดับสภาพความเป็นอยู่ของแรงงานให้ดียิ่งขึ้นต่อไป

People unity news online : post 20 กรกฎาคม 2561 เวลา 11.10 น.

เผยรายละเอียดมติ ครม. โครงการบ้านฅนไทย เพื่อผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ

People unity news online : ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบโครงการบ้านฅนไทย เพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองบนที่ดินราชพัสดุ

เมื่อวันที่ 2 มกราคม 2561 เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งที่ประชุม ครม. ได้มีการพิจารณา “โครงการบ้านฅนไทย” โดยมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ ดังนี้

  1. กรอบการดำเนินโครงการบ้านฅนไทย
  2. ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และธนาคารออมสิน แยกบัญชีโครงการบ้านฅนไทย เป็นบัญชีธุรกรรมนโยบายรัฐ (Public Service Account : PSA) โดยไม่ขอรับการชดเชยจากรัฐบาลและขอนำผลกระทบรายได้และค่าใช้จ่ายในการจัดทำโครงการบ้านฅนไทยมาปรับตัวชี้วัดทางการเงินที่เกี่ยวข้องตามบันทึกข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ และขอไม่นับรวมหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Loans : NPLs) ที่เกิดจากการดำเนินโครงการฯ เป็นตัวชี้วัดผลการดำเนินงานของธนาคารอาคารสงเคราะห์ และธนาคารออมสิน (กรณี % NPLs ที่เกิดขึ้นสูงกว่าค่าเฉลี่ย NPLs  ของธนาคารในภาพรวม) และขอนำผลกระทบต่อรายได้และค่าใช้จ่ายในการจัดทำโครงการบวกกลับกำไรสุทธิเพื่อการคำนวณโบนัสพนักงาน (การคำนวณต้นทุนค่าใช้จ่ายของธนาคาร คือ ต้นทุนเงินฝากบวก 0.25% (เงินนำส่งกองทุนฯ) บวกต้นทุนดำเนินงาน)

สาระสำคัญของเรื่อง

โครงการบ้านประชารัฐบนที่ดินราชพัสดุระยะที่ 2 (บ้านฅนไทย)

กระทรวงการคลังได้สำรวจที่ดินราชพัสดุทั่วประเทศเพื่อนำมารองรับการดำเนินโครงการ “บ้านฅนไทย” โดยในเบื้องต้น กระทรวงการคลังได้คัดเลือกที่ดินราชพัสดุที่มีความเหมาะสม และไม่เป็นที่ดินที่ได้มาจากการเวนคืน จำนวน 8 แปลง ครอบคลุม 4 ภาค เพื่อนำมาดำเนินโครงการฯ  โดยมีวัตถุประสงค์  เพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองบนที่ดินราชพัสดุ

ประเภทที่อยู่อาศัย : กระทรวงการคลังได้กำหนดรูปแบบการก่อสร้างโครงการบ้านฅนไทยเป็นประเภทที่อยู่อาศัย 3 รูปแบบ ประกอบด้วย (1) บ้านแฝด พื้นที่ใช้สอยไม่น้อยกว่า 28 ตารางเมตร (2) บ้านแถว พื้นที่ใช้สอยไม่น้อยกว่า 28 ตารางเมตร  และ (3) อาคารชุดพักอาศัย พื้นที่ใช้สอยไม่น้อยกว่า 28 ตารางเมตร ในระดับราคา 350,000 – 700,000 บาทต่อหน่วย

กลุ่มเป้าหมาย : 1) ประชาชนที่อยู่ในทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐกับกระทรวงการคลัง 2) ประชาชนที่มีรายได้ไม่เกิน 35,000 บาทต่อคนต่อเดือน 3) ประชาชนทั่วไป (ธนาคารไม่ต้องสนับสนุนดอกเบี้ย) โดยพิจารณากลุ่มเป้าหมายลำดับที่ 1 ก่อน เมื่อ Supply เหลือจึงพิจารณากลุ่มเป้าหมายที่ 2 และ 3 ตามลำดับต่อไป

คุณสมบัติผู้มีสิทธิเข้าร่วมโครงการ : ผู้มีสัญชาติไทย

มาตรการสินเชื่อ : กรอบวงเงินโครงการประมาณ 4,000 ล้านบาท

(1) สินเชื่อเพื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย  (Pre Finance) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และธนาคารออมสิน โดยกำหนดอัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนปีที่ 1 ถึงปีที่ 3 ร้อยละ 3 ต่อไป หลังจากนั้น MLR – ไม่เกินร้อยละ 1 ต่อปี ระยะเวลาการกู้ไม่เกิน 5 ปี  เพื่อสนับสนุนสินเชื่อให้ผู้ประกอบการและหรือบริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด  ที่เข้าร่วมพัฒนาโครงการ

(2) สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Post Finance) โดยกำหนดอัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนปีที่ 1 ถึงปีที่ 4      ร้อยละ 2.75 ต่อปี หลังจากนั้น กรณีรายย่อย MRR – ร้อยละ 0.75 ต่อปี หรือกรณีสวัสดิการหักเงินเดือน MRR – ร้อยละ1.00 ต่อปี ระยะเวลาการกู้ไม่เกิน 30 ปี และผ่อนปรนการกำหนดอัตราส่วนรายจ่ายในการชำระหนี้ต่อรายได้ต่อเดือน (Debt Service Ratio : DSR) หรืออัตราส่วนภาระผ่อนชำระหนี้รวมต่อรายได้สุทธิรวม (Debt to Income Ratio : DTI) ตามที่ธนาคารกำหนด โดยมีวงเงินสินเชื่อที่อยู่อาศัยบนที่ดินราชพัสดุในระดับราคา 350,000-700,000 บาทต่อหน่วย

ทั้งนี้  ให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และธนาคารออมสินพิจารณาขยายวงเงินสินเชื่อเพิ่มเติมได้ตามความเหมาะสม

รูปแบบ : โครงการการผ่อนชำระสู่การเช่าระยะยาว (Rent to Lease) กรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยเป็นของผู้ได้รับสิทธิอยู่อาศัย และผู้ได้รับสิทธิพัฒนาโครงการ โดยมีรายละเอียดดังนี้

1) พื้นที่โครงการ ที่ราชพัสดุครอบคลุมทุกภาคทั่วประเทศ

2) ราคาที่อยู่อาศัยในระดับราคา 350,000 – 700,000 บาท ต่อหน่วย

3) บ้านแฝด/บ้านแถว/อาคารชุดพักอาศัยมีพื้นที่ใช้สอยไม่น้อยกว่า 28 ตารางเมตรต่อหน่วย

4) กำหนดให้มีการจัดสรรพื้นที่ส่วนกลางไม่เกินร้อยละ 30 ของพื้นที่โครงการฯ เพื่อรองรับกิจกรรมต่างๆที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมของท้องถิ่น  และ/หรือเป็นประโยชน์ต่อโครงการฯ

5) การคัดเลือกผู้ได้รับสิทธิพัฒนาโครงการจะพิจารณาผู้ที่เสนอเงื่อนไขที่เหมาะสมและเป็นประโยชน์ต่อทางราชการมากที่สุด

ทั้งนี้  การดำเนินโครงการในแต่ละพื้นที่จะมีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนก่อนการคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมพัฒนาโครงการฯ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี และจัดทำแผนบริหารโครงการฯตลอดอายุโครงการ  ส่วนกระทรวงการคลังจะพิจารณาผ่อนปรนอัตราค่าเช่า ค่าธรรมเนียมและเงื่อนไขต่างๆในการดำเนินโครงการ “บ้านฅนไทย” โดยพิจารณาความเป็นไปได้ภายใต้หลักกฎหมายและระเบียบกระทรวงการคลังที่กำหนด

People unity news online : post 5 มกราคม 2561 เวลา 10.40 น.

 

พบตำรับยาวัดโพธิ์ที่มีกัญชาผสมด้วย! โชว์สัปดาห์ “วันภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยแห่งชาติ”

People Unity News : 1 ปีมีครั้งเดียวเปิดแล้ววันนี้ งานสัปดาห์วันภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยแห่งชาติปีที่ 4 สานต่อภูมิปัญญาของชาติ โชว์ตำรับยาวัดโพธิ์ผสมกัญชา ตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม – 3 พฤศจิกายน 2562 เวลา 09.00 น.- 17.00 น.

วันที่ 29 ต.ค.2562 ที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร (วัดโพธิ์) กรุงเทพมหานคร นายแพทย์หม่อมหลวงสมชาย จักรพันธุ์ ประธานคณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานพิธีวางพานพุ่มถวายราชสักการะพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า รัชกาลที่ 3 “พระบิดาแห่งการแพทย์แผนไทย” และเปิดงาน “สัปดาห์วันภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยแห่งชาติ” ประจำปีพุทธศักราช 2562

โดยมีนายแพทย์มรุต จิรเศรษฐสิริ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวรายงานความเป็นมาของการจัดงานว่า ตามที่รัฐบาล ได้กำหนดให้ วันที่ 29 ตุลาคมของทุกปี เป็น “วันภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยแห่งชาติ” เพื่อสดุดี พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ในฐานะ “พระบิดาแห่งการแพทย์แผนไทย” ที่ทรงมีคุณูปการต่อการแพทย์แผนไทยในทุกด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ด้านเภสัชกรรมไทย การนวดไทย ดังปรากฏอยู่ตามศาลารายและแผ่นจารึกตำรายาในวัดโพธิ์

ปีนี้ มีกิจกรรมที่น่าสนใจ ตลอดทั้ง 6 วัน ได้แก่ นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ “พระบิดาแห่งการแพทย์แผนไทย” นิทรรศการประวัติศาสตร์การแพทย์แผนไทยจากอดีตถึงปัจจุบัน ภูมิปัญญาชาติกว่า 2 ศตวรรษ…ก้าวสู่ตำรับยาแห่งชาติ กว่า 200 ตำรับ พร้อมเปิดตัวตำรับยาของชาติจากจารึกวัดโพธิ์ ที่มีกัญชาเป็นส่วนผสม นิทรรศการกัญชา ทางการแพทย์ โดยโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร จัดแสดงโมเดล จำลองการปลูกกัญชา นิทรรศการให้ความรู้กัญชาตามศาสตร์การแพทย์แผนไทย การให้บริการตรวจ รักษาด้วยศาสตร์การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้านไทย และการแพทย์ทางเลือก มีเวทีสอน สาธิตองค์ความรู้ทางวิชาการตำรับ ตำรา ยาไทย และฝึกปฏิบัติการดูแลสุขภาพด้วยแพทย์แผนไทย และสมุนไพร แจกกล้าพันธุ์ไม้สมุนไพร พบการออกร้านจำหน่ายสินค้า และผลิตภัณฑ์ภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย สมุนไพรต่าง ๆ รวมทั้งอาหารพื้นเมืองที่ได้มาตรฐานจากทุกภาคทั่วประเทศ

สำหรับปีนี้ทางกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก จะมีพิธีส่งมอบต้นฉบับตำรับยา ตำราการแพทย์แผนไทย ซึ่งได้รับการส่งมอบจากพสกนิกรชาวไทยส่งต่อให้กับกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ได้จัดเก็บรวบรวมให้เป็นสมบัติของแผ่นดินต่อไป

จึงขอเชิญชวนประชาชนที่สนใจมาร่วมงาน “วันภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยแห่งชาติ” ระหว่างวันที่ 29 ตุลาคม – 3 พฤศจิกายน 2562 ณ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร เวลา 09.00 น. – 17.00 น.

Verified by ExactMetrics