วันที่ 5 พฤษภาคม 2024

ครอบคลุมคนไทยทุกสิทธิ “ผ้าอ้อมผู้ใหญ่-แผ่นรองซับ”

People Unity News : 13 สิงหาคม 2566 โครงการผ้าอ้อมผู้ใหญ่และแผ่นรองซับสำหรับผู้ป่วยติดเตียงหรือมีปัญหาการกลั้นขับถ่าย ครอบคลุมคนไทยทุกสิทธิแล้ว สามารถแจ้งรับสิทธิที่สายด่วน 1330 หรือลงทะเบียน รพ.สต. ศูนย์บริการสาธารณสุขใกล้บ้าน อบต.-เทศบาล

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตามที่คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) ได้บรรจุให้ผ้าอ้อมผู้ใหญ่และแผ่นรองซับเป็นสิทธิประโยชน์บริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ตั้งแต่วันที่ 2 พ.ค. 2565 โดยได้ดำเนินการภายใต้กองทุนหลักประกันสุขภาพท้องถิ่น (กปท.) ที่ สปสช.ร่วมดำเนินการกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ทั่วประเทศ

อย่างไรก็ตาม ด้วยข้อจำกัดด้านกฎหมาย ทำให้ที่ผ่านมาโครงการได้ดำเนินการเฉพาะกลุ่มผู้มีสิทธิบัตรทอง 30 บาท ซึ่งรัฐบาลโดยกระทรวงสาธารณสุขและ สปสช. ได้มีความพยายามแก้ไขข้อจำกัดดังกล่าว เพื่อให้โครงการนี้ครอบคลุมผู้ป่วยติดเตียงและผู้มีปัญหาการกลั้นขับถ่ายทุกสิทธิ กระทั่งได้มีมติคณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อวันที่ 18 ก.ค. 66 ที่ยืนยันว่า สปสช. สามารถดำเนินบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคให้กับคนไทยทุกคน จึงมีผลให้ปัจจุบันโครงการผ้าอ้อมผู้ใหญ่และแผ่นรองซับครอบคลุมคนไทยทุกสิทธิแล้ว

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ทางด้านหลักเกณฑ์ต่างๆ ก็ได้มีออกมารองรับเรียบร้อยแล้ว ได้แก่ ประกาศคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์การดำเนินงานและการบริหารจัดการกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 และหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการรับค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุขของหน่วยบริการ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2566

ทั้งนี้ ภายหลังมีความชัดเจนทางกฎหมาย จะทำให้เจ้าหน้าที่ของ อปท. ซึ่งดำเนินการกองทุน กปท. เกิดความมั่นใจว่าการจัดทำโครงการผ้าอ้อมและแผ่นรองซับสามารถให้การดูแลให้ผู้ป่วยทุกสิทธิไม่เฉพาะผู้มีสิทธิบัตรทองเท่านั้น ซึ่งขณะนี้ สปสช. อยู่ระหว่างการประชาสัมพันธ์เชิญชวนให้ อปท. ทั่วประเทศที่มีการจัดตั้งกองทุน กปท. ที่ปัจจุบันมีอยู่ 7,753 แห่ง ร่วมจัดทำโครงการนี้เพื่อให้ดูแลผู้ป่วยได้ครอบคลุมมากขึ้น จากปัจจุบันที่มี อปท. จัดทำโครงการแล้ว 1,876 แห่ง รวม 2,295 โครงการ ดูแลผู้ป่วยทั่วประเทศอยู่ 44,667 คน

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สำหรับคุณสมบัติผู้ที่จะได้สิทธิตามโครงการนั้นจะต้องเป็นผู้ป่วยติดเตียง หรือ ผู้มีปัญหากลั้นปัสสาวะหรืออุจจาระไม่ได้ ไม่จำกัดอายุ โดยจะได้รับไม่เกิน 3 ชิ้นต่อคนต่อวัน ซึ่งปัจจุบัน สปสช. มีฐานข้อมูลผู้ป่วยติดเตียงและผู้มีปัญหาการกลั้นการขับถ่ายอยู่ประมาณ 50,000 คน ซึ่งในบางพื้นที่จะมีเจ้าหน้าที่ติดต่อไปยังครอบครัวและว่าผู้ป่วยได้รับสิทธิผ้าอ้อมผู้ใหญ่

แต่หากครอบครัวใดมีผู้ป่วยอยู่และยังไม่มีเจ้าหน้าที่ติดต่อไป ขอให้ดำเนินการแจ้งขอรับสิทธิโดยการโทรสายด่วน สปสช. 1330 เพื่อเจ้าหน้าที่รับเรื่องและส่งให้พื้นที่ดำเนินการตามขั้นตอน หรือติดต่อลงทะเบียนได้ ที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) หรือศูนย์บริการสารธารณสุขใกล้บ้าน (ไม่จำเป็นต้องเป็นที่อยู่ตามบัตรประชาชน) หรือที่องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) หรือเทศบาล

Advertisement

รัฐบาล เชิญชวนคนไทย ลด ละ เลิกเหล้าเข้าพรรษา

People Unity News : 31 กรกฎาคม 2566 รัฐบาล เชิญชวนคนไทย ลด ละ เลิกเหล้าเข้าพรรษา สร้างภูมิคุ้มกันร่างกาย ลดความเสี่ยงโรค และช่วยลดรายจ่ายของครอบครัว

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เนื่องด้วยวันเข้าพรรษาของทุกปี เป็นวันงดดื่มสุราแห่งชาติ ซึ่งปีนี้ตรงกับวันที่ 2 สิงหาคม 2566 กระทรวงสาธารณสุขได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ภาคประชาสังคม และเครือข่ายงดเหล้า จัดกิจกรรมเพื่อรณรงค์ให้คนไทย ลด ละ เลิกการดื่มแอลกอฮอล์ ภายใต้คำขวัญ “ไกลเหล้า ไกลโรค ไกลอุบัติเหตุ” ในโอกาสนี้ รัฐบาล จึงเชิญชวนคนไทยทุกคน ร่วมลด ละ เลิก เหล้า หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิดตลอดเทศกาลเข้าพรรษา ให้ช่วงเวลานี้เป็นจุดเริ่มต้นในการดูแลสุขภาพ ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคร้ายต่างๆ ซึ่งข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก ระบุว่า ทุกปีทั่วโลกมีผู้เสียชีวิตจากพิษของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ประมาณ 3 ล้านคน และเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคมากกว่า 230 ชนิด นอกจากนี้ ยังช่วยลดโอกาสที่เกิดความสูญเสียกับครอบครัวและสังคมโดยรวมจากอุบัติเหตุ นำมาซึ่งการบาดเจ็บ พิการ หรือเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ซึ่งไม่สามารถประเมินเป็นมูลค่าความเสียหายได้

ทั้งนี้ ที่ผ่านมารัฐบาลได้มีแนวนโยบายที่เกี่ยวข้องกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้มีความสมดุลระหว่างมิติทางเศรษฐกิจ และมิติของสังคม โดยมีกฎกระทรวงที่ลดข้อจำกัดทางกฎระเบียบการอนุญาตให้ผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เริ่มมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2565

เพื่อประโยชน์ในการรักษาภูมิปัญญาท้องถิ่น และลดการผูกขาดทางการตลาด ขณะเดียวกัน หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ขับเคลื่อนให้มีการบังคับใช้ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 เพื่อจำกัดไม่ให้กิจกรรมที่มาจากการแข่งขันทางธุรกิจกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมการดื่มที่มากขึ้น ตลอดจนขับเคลื่อนการรณรงค์เพื่อสร้างความรอบรู้ผลกระทบต่อสุขภาพที่มาจากการดื่มแอลกอฮอล์ ทั้งทางตรงและทางอ้อมให้ประชาชน โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนเน้นการป้องกันนักดื่มหน้าใหม่

Advertisement

รัฐบาล เพิ่มช่องทางแจ้งเหตุฉุกเฉิน ผ่านไลน์ “ESS Help Me”

People Unity News : 29 กรกฎาคม 2566 รัฐบาล เพิ่มช่องทางแจ้งเหตุฉุกเฉินทางสังคม ผ่านแอปพลิเคชันไลน์ “ESS Help Me”

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ช่วงหยุดยาวนี้ เชื่อว่าจะมีประชาชนจำนวนมากเดินทางกลับภูมิลำเนา หรือท่องเที่ยวกับสมาชิกในครอบครัว โดยสภาหอการค้าไทยประเมินว่าจะมีเม็ดเงินหมุนเวียนเพิ่มเติมในช่วงวันหยุดดังกล่าวประมาณ 5-7 พันล้านบาท ซึ่งนอกจากผลทางเศรษฐกิจแล้ว ยังเป็นโอกาสให้ครอบครัวได้อยู่ใกล้ชิดและมีเวลาคุณภาพร่วมกัน

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กำชับหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องเตรียมความพร้อมดูแลประชาชนเรื่องความปลอดภัย ทั้งการเดินทาง การท่องเที่ยว และความปลอดภัยในทรัพย์สิน หากเกิดเหตุฉุกเฉิน ประชาชนสามารถใช้บริการผ่านแอปพลิเคชันไลน์ “ESS Help Me” ซึ่งจะเข้าไปดูแลประชาชนที่ประสบปัญหาได้อย่างทันถ่วงที ลดการบาดเจ็บและการสูญเสียชีวิต ที่ผ่านมากระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รายงานว่า มีผู้เข้าใช้บริการกว่า 2 แสน 6 หมื่นครั้งต่อเดือน

นอกจากนี้ ยังย้ำเตือนประชาชนให้ใช้ระบบแจ้งเหตุตามความเป็นจริง อย่าเข้าใช้ระบบเพื่อก่อกวนเจ้าหน้าที่เพื่อความสนุกสนานหรือคึกคะนอง เพราะนอกจากจะกระทบต่อการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ จนส่งผลต่อการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่มีความเดือดร้อนจริงแล้ว การแจ้งเหตุอันเป็นเท็จโดยเจตนา จะถูกตั้งข้อหา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 384 มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

Advertisement

กทม.จับมือ สภาเภสัชกรรม เชื่อมโยงการทำงานร้านยาคุณภาพ กับศูนย์บริการสาธารณสุข กทม.

People Unity News : 25 กรกฎาคม 2566 กทม. ร่วมกับ สภาเภสัชกรรม เชื่อมโยงการทำงานร้านยาคุณภาพ กับศูนย์บริการสาธารณสุขกรุงเทพมหานคร เพิ่มทางเลือกให้ประชาชน ในการดูแลรักษาภาวะความเจ็บป่วยเบื้องต้น และเพิ่มประสิทธิภาพการส่งต่อผู้ป่วยไปยังศูนย์บริการสาธารณสุขของกรุงเทพมหานคร

รองศาสตราจารย์ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร หารือกับ เภสัชกรปรีชาพันธุ์ติเวช อุปนายกสภาเภสัชกรรม คนที่ 2 และคณะ เพื่อร่วมกันหาแนวทางลดความแออัดในโรงพยาบาลและพัฒนาระบบสาธารณสุขปฐมภูมิให้เข้มแข็ง ด้วยการนำร้านยาคุณภาพ ซึ่งผ่านการรับรองจากสภาเภสัชกรรม เข้ามาอยู่ในเครือข่ายเดียวกับกรุงเทพมหานคร ผ่านระบบBangkok Health Zoning เพื่อเชื่อมต่อการทำงานระหว่างร้านยาคุณภาพกับศูนย์บริการสาธารณสุขของกรุงเทพมหานคร ทำให้ระบบสาธารณสุขปฐมภูมิ หรือหน่วยการรักษาพยาบาลที่อยู่ใกล้บ้าน มีความเข้มแข็ง และทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการให้บริการได้ง่ายมากขึ้นและทางเลือกของประชาชนในการดูแลรักษาภาวะความเจ็บป่วยเบื้องต้นของตนเอง เพราะร้านยาคุณภาพ จะมีบทบาทสำคัญในการสร้างความรู้ความเข้าใจในการใช้ยาที่ถูกต้อง และการดูแลรักษาสุขภาพ ควบคู่กับการให้บริการด้านยาและส่งเสริมให้เกิดการใช้ยาที่เหมาะสมตลอดจนให้คำแนะนำ และช่วยดูแลประชาชนในเรื่องของสิทธิการรักษา รวมถึง ส่งต่อผู้ป่วยไปยังศูนย์บริการสาธารณสุขของกรุงเทพมหานครได้

ทั้งนี้ ในอนาคต กรุงเทพมหานครและสภาเภสัชกรรม จะมีการทำ MOU ร่วมกันในเรื่องนี้ และจะมีการนำข้อมูล ตลอดจนพิกัดของร้านยาคุณภาพมาอยู่บนระบบ Bangkok Health Map เพื่อประโยชน์ในการบริหารจัดการระบบสาธารณสุขในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ให้มีประสิทธิภาพต่อไป

Advertisement

มวยไทยซอฟต์พาวเวอร์ที่คนไทยภูมิใจ

People Unity News : 4 กรกฎาคม 2566 วอชิงตัน ดี.ซี. – “บัวขาว” ซอฟต์เพาเวอร์มวยไทย ร่วมงานสวัสดี ดี.ซี. ไทยเฟสติวัล ที่สหรัฐ ย้ำเพราะมวยไทยทำให้คนรู้จัก ต่างชาติสนใจเรียนมวย เป็นความภูมิใจของคนไทย

“บัวขาว บัญชาเมฆ” นักมวยขวัญใจชาวไทยและแฟนมวยไทยทั่วโลก ร่วมงานสวัสดี ดี.ซี. ไทยเฟสติวัล บริเวณลานหน้าอาคารรัฐสภาสหรัฐ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. วันนี้ (3 ก.ค.) ตามเวลาสหรัฐอเมริกา ซึ่งช้ากว่าประเทศไทย 11 ชั่วโมง เปิดเผยว่า รู้สึกดีใจที่มาร่วมงาน ทั้งนี้ เตรียมศิลปะแม่ไม้มวยไทยมาโชว์ในงานนี้ เช่น การไหว้ครู โชว์เตะเป้า และเชิญแฟนคลับร่วมซ้อม ทั้งนี้ เห็นว่าเป็นเรื่องที่ดีที่ทุกหน่วยงานร่วมผลักดันมวยไทยศิลปะประจำชาติเป็น soft power ให้กระจายโด่งดังไปทั่วโลก และต่อยอดไปยังธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องได้

“ความจริงแล้วศิลปะแม่ไม้มวยไทยกระจายโด่งดังไปทั่วโลก ไปไหนก็มีค่ายมวยไทย มีชาวต่างชาติไปเรียนมวย พอขึ้นชื่อว่ามวยไทยเราก็มีความภาคภูมิใจ จะไปไหนก็มีแต่คนรู้จักมวยไทยไหม ยืดอกได้ เป็นความภาคภูมิใจของคนคนนั้นเลย” บัวขาว กล่าว

บัวขาว ยกตัวอย่างผลที่เกิดจาก soft powers แบบง่ายๆ ว่า ตัวของบัวขาวเองไม่มีคนรู้จัก แต่เพราะมวยไทยยกระดับทำให้มีชื่อเสียง หรือคนหันมาใส่กางเกงมวยในชีวิตประจำวันมากขึ้น พร้อมฝากถึงผู้ที่อยากเรียนมวยไทยว่าไม่จำกัดอายุ ขอเพียงกายพร้อมใจพร้อมเท่านั้น

“จริงๆ เขาไม่รู้จักตน แต่เพราะมวยไทย และการเป็นบัวขาวคือมวยไทย ศิลปะการต่อสู้ ยกระดับให้ตนมีชื่อเสียง คุณรู้จักตน” บัวขาว กล่าว

ด้านนายธนัท ยิ่งวิทยาคุณ เจ้าของค่ายมวยที่มาร่วมกิจกรรม กล่าวถึงความนิยมมวยไทยส่งผลให้คนหันมาสนใจเรียนมวยไทยจากทั่วโลก เพื่อซ้อมไว้ต่อสู้ ออกกำลังกาย และลดความอ้วน โดยเฉพาะคนทำงานไปจนถึงเด็ก

“แต่วัยทำงานเยอะมาก หลังเลิกงาน เขาจะเอาใจใส่สุขภาพ เพื่อออกกำลังกายด้วยมวยไทย เป็นแนวทางที่ดีที่จะผลักดันมวยไทยเป็น soft power จะทำให้คนจะมีงานเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะนักมวยเก่าๆ และส่งเสริมศิลปะแม่ไม้มวยไทย” นายธนัท กล่าว

Advertisement

“พล.อ.ประยุทธ์” ปลื้ม “ข้าวหมกไก่-ไก่ย่าง” ติดอันดับเมนูไก่ดีที่สุดในโลก

People Unity News : 1 กรกฎาคม 2566 โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ปลื้ม TasteAtlas จัดอันดับอาหารไทย เมนู “ข้าวหมกไก่” และ “ไก่ย่าง” ติดอันดับ 1 ใน 50 อาหารเมนูไก่ที่ดีที่สุดในโลก 50 Best Rated CHICKEN DISHES in the World

นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีกับผลการจัดอันดับอาหารเมนูไก่ จากเว็บไซต์ TasteAtlas เว็บไซต์อาหารชื่อดัง ที่จัดอันดับความอร่อยของอาหารหลากหลายจากทั่วโลก ในการจัดอันดับ 50 Best Rated CHICKEN DISHES in the World หรือ เมนูอาหารประเภทไก่ที่ดีที่สุดในโลก ซึ่งผลการจัดอันดับเมนูไก่จากประเทศไทย ติด 1 ใน 50 อาหารเมนูไก่ที่ดีที่สุดในโลกถึง 2 รายการ ได้แก่ ข้าวหมกไก่ (อันดับที่ 38) และไก่ย่าง (อันดับที่ 46) (https://www.tasteatlas.com/50-best-rated-chicken-dishes-in-the-world)

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เมนูข้าวหมกไก่ ได้รับการจัดอันดับอยู่ที่ 38 ด้วยคะแนน 4.3 คะแนน โดยเว็บไซต์ TasteAtlas ระบุว่า เมนูนี้ได้รับความนิยมในหมู่คนไทยมุสลิม เป็นเมนูฮาลาล ที่พ่อค้าเปอร์เซียได้แนะนำสู่คนไทยเมื่อศตวรรษที่ผ่านมา โดยเมนูนี้เป็นข้าวหมกไก่เวอร์ชั่นไทย และถูกกล่าวถึงครั้งแรกในบทประพันธ์ของไทย ตั้งแต่ศตวรรษที่ 18

สำหรับ เมนูไก่ย่าง ได้รับการจัดอันดับอยู่ที่ 46 ด้วยคะแนน 4.2 คะแนน ทางเว็บไซต์ระบุว่า ไก่ย่างได้รับความนิยมรับประทานจากคนไทยทั่วประเทศ แม้ว่าจะมีต้นกำเนิดมาจากชาวลาวในภาคอีสานของไทยก็ตาม ปกติจะทานคู่กับข้าวเหนียว น้ำจิ้ม รวมถึงส้มตำ ที่หาทานได้ง่าย โดยไก่ย่างจะมีความแตกต่างจากไก่อื่น คือ กรรมวิธีการหมักไก่นั่นเอง ทั้งนี้ ในประเทศไทยจะหาเมนูไก่ย่างได้ตามร้านอาหารข้างทางทั่วประเทศไทย

“นายกรัฐมนตรีชื่นชมและเชื่อมั่นในอาหารไทยซึ่งได้รับการจัดอันดับอย่างต่อเนื่อง แสดงถึงเอกลักษณ์ ความโดดเด่นทางวัฒนธรรมอาหารที่หลากหลาย และมีรสชาติที่กลมกล่อม พิถีถันในการเลือกวัตถุดิบ ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่ทรงคุณค่ามีโภชนาการ เป็นที่นิยมในกลุ่มนักท่องเที่ยว สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศอย่างต่อเนื่อง” นายอนุชา กล่าว

Advertisement

รฟท.ห่วงความปลอดภัยผู้โดยสาร หลังยุบตำรวจรถไฟ

People Unity News : 30 มิถุนายน 2566 รฟท. ห่วงความปลอดภัยผู้โดยสาร หลังยุบตำรวจรถไฟ เร่งหาแนวทางเพิ่มมาตรการดูแล

นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยว่า จากที่กองบังคับการตำรวจรถไฟ (บก.รฟ.) ซึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่งของกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง จะถูกยุบเลิก ตั้งแต่เดือน ต.ค. 66 นี้ ซึ่งจะมีผลกระทบต่อ รฟท. ที่เดิมมีกำลังของเจ้าหน้าที่ตำรวจรถไฟ ดูแลรักษาความปลอดภัยในพื้นที่ ทั้งสถานีและบนขบวนรถไฟ แม้ว่า รฟท. จะมีเจ้าหน้าที่ดูแลรักษาความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยในการให้บริการผู้โดยสารอยู่แล้ว แต่ก็มีข้อจำกัดในกรณีเกิดเหตุการณ์ร้ายแรง

“การที่ไม่มีตำรวจรถไฟกระทบแน่นอน แต่ไม่ได้ทั้ง 100% เพราะมีเจ้าหน้าที่ รฟท. ดูแลอยู่แล้วส่วนหนึ่ง แต่ต้องเข้าใจว่ากรณีมีคนร้ายหรือเกิดเหตุรุนแรง การมี รปภ. กับมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็ไม่เหมือนกัน ซึ่งที่ผ่านมาตำรวจช่วยเราได้มาก ดังนั้น จะประสานกับตำรวจในการขอให้จัดกำลังมาดูแลในพื้นที่จำเป็น เพราะปัญหาจะอยู่ที่บนขบวนรถไฟ ซึ่งเดิมมีตำรวจรถไฟ ประจำบนขบวนรถไฟไปตลอดทาง โดยจะมีการจัดกำลังรับช่วงต่อกันในแต่ละพื้นที่ แต่เมื่อตำรวจรถไฟถูกยุบ กำลังตำรวจบนรถไฟก็จะหายไป” นายนิรุฒ กล่าว

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา รฟท. ได้หารือกับทางตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) ซึ่งจะจัดกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ช่วยดูแลความปลอดภัยต่อไปก่อน เพื่อสร้างความมั่นใจให้ประชาชน แต่อาจจะมีประเด็นในเรื่องของเขตอำนาจในการสืบสวนสอบสวนของตำรวจ อาจจะเป็นอุปสรรคอยู่บ้าง

ในส่วนของ รฟท. ได้เตรียมแผนรองรับ เช่น แนวทางจัดจ้างเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเพิ่ม หรืออาจจะทำเอ็มโอยูร่วมกับตำรวจให้จัดกำลังมาดูแล โดย รฟท. อาจจะจัดงบประมาณรองรับในส่วนนี้ ซึ่งต้องหารือกันว่าโครงสร้างตำรวจจะดำเนินการในรูปแบบดังกล่าวได้หรือไม่

ผู้ว่าการ รฟท. กล่าวว่า จะเร่งหารือร่วมกับทางตำรวจเพิ่มเติม ซึ่งล่าสุดมีการเสนอการจัดพื้นที่สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ให้ทางตำรวจ ขณะนี้กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ประสานขอใช้พื้นที่ ซึ่งคาดว่าจะมีตำรวจอีกหลายหน่วยที่จะเข้ามาใช้พื้นที่ เพราะในอนาคตสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ จะเป็นศูนย์กลางการคมนาคม ซึ่งจะมีประชาชนเข้ามาใช้บริการจำนวนมาก

Advertisement

WEF ระบุ โลกต้องใช้เวลาอีก 131 ปีถึงจะไม่มีช่องว่างชาย-หญิง

People Unity News : 21 มิถุนายน 2566 รายงานของเวทีเศรษฐกิจโลกหรือเวิลด์อีโคโนมิกฟอรัมหรือดับเบิลยูอีเอฟ (WEF) ประเมินว่า โลกต้องใช้เวลาอีก 131 ปี ซึ่งหมายถึงปี พ.ศ.2697 จึงจะไม่มีช่องว่างระหว่างเพศชายและเพศหญิง

รายงานเรื่องช่องว่างระหว่างเพศระดับโลกประจำปี 2566 ของดับเบิลยูอีเอฟระบุว่า ช่องว่างระหว่างเพศชายและเพศหญิงโดยรวมลดลงเพียงร้อยละ 0.3 เมื่อเทียบกับปี 2565 ความคืบหน้าที่น้อยนิดนี้ทำให้ต้องเร่งดำเนินการครั้งใหม่ร่วมกันในการลดช่องว่างระหว่างเพศ แม้ว่าดีขึ้นร้อยละ 4.1 เมื่อเทียบกับที่เริ่มจัดทำดัชนีช่องว่างระหว่างเพศในปี 2549 ก็ตาม

ดัชนีช่องว่างระหว่างเพศของดับเบิลยูอีเอฟวัดความเท่าเทียมระหว่างเพศใน 146 ประเทศ ครอบคลุม 4 ประเด็นประกอบด้วย การมีส่วนร่วมและมีโอกาสทางเศรษฐกิจ การได้รับการศึกษา สุขภาพและการอยู่รอด และอำนาจทางการเมือง รายงานประจำปี 2566 ระบุว่า โลกต้องใช้เวลา 169 ปี จึงจะไม่มีช่องว่างระหว่างเพศทางด้านเศรษฐกิจ และต้องใช้เวลา 162 ปี จึงจะไม่มีช่องว่างระหว่างเพศทางด้านการเมือง โดยพบว่าทั่วโลกมีเพียง 9 ประเทศที่สามารถลดช่องว่างลงได้อย่างน้อยร้อยละ 80 ประกอบด้วย ไอซ์แลนด์ นอร์เวย์ ฟินแลนด์ นิวซีแลนด์ สวีเดน เยอรมนี นิการากัว นามิเบีย และลิทัวเนีย นอกจากนี้ยังพบว่าไอซ์แลนด์ซึ่งครองอันดับ 1 มาเป็นปีที่ 14 ติดต่อกันยังคงเป็นประเทศเดียวที่ลดช่องว่างระหว่างเพศได้เกินร้อยละ 90 โดยลดได้ร้อยละ 91.2 ในปีนี้

Advertisement

รัฐบาลเชิญชวนประชาชนอายุ 35 ปีขึ้นไป ตรวจเบาหวานฟรี

People Unity News : 18 มิถุนายน 2566 รัฐบาลเชิญชวนประชาชนอายุ 35 ปีขึ้นไป ตรวจเบาหวานฟรี ตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย.66 ถึงวันที่ 31 ธ.ค.67 ฟรีไม่เสียค่าใช้จ่าย

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลมีความห่วงใยปัญหาสุขภาพของประชาชน ต้องการให้ประชาชนเข้าถึงระบบบริการสาธารณสุขอย่างทั่วถึง เพื่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี ห่างไกลจากโรค ป้องกันการเจ็บป่วยเรื้อรัง ซึ่งจากข้อมูลกระทรวงสาธารณสุข พบว่า ปัจจุบันคนไทยมีแนวโน้มป่วยเป็น “โรคเบาหวาน” มากขึ้น ทั้งนี้ จากฐานข้อมูลสุขภาพ ระบุว่า ในปี 2565 ประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคเบาหวาน จำนวน 3.3 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปี 2564 จำนวน 1.5 แสนคน ในส่วนของการคัดกรองผู้ป่วยรายใหม่ พบว่า การคัดกรองผู้ป่วยโรคเบาหวานในประชาชนอายุ 35 ปีขึ้นไปนั้น มีผู้ได้รับการคัดกรองเพียง 14 ล้านคนและยังไม่ได้รับการคัดกรองโรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูงมากถึง 8 ล้านคน จากเป้าหมายทั่วประเทศ 22 ล้านคน

นางสาวรัชดา กล่าวว่า รัฐบาล โดยกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ขอเชิญชวนประชาชนที่มีหลักเกณฑ์ตรงตามเงื่อนไขเข้ารับการตรวจเบาหวานฟรี ภายใต้โครงการคัดกรองความเสี่ยงโรคเบาหวานในประเทศไทยแบบบูรณาการ ประจำปี พ.ศ. 2566-2567 ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2566 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2567 ซึ่งหลักเกณฑ์ เงื่อนไขการเข้ารับบริการตรวจเบาหวานฟรี ดังนี้ 1.ประชาชนทั่วไปอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป 2.ไม่เคยตรวจเบาหวาน ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจแนะนำให้ประเมินความเสี่ยงโรคเบาหวาน กรณีได้คะแนนน้อยกว่า 6 คะแนน คือไม่เสี่ยง ไม่ต้องตรวจน้ำตาล กรณีได้คะแนนมากกว่าหรือเท่ากับ 6 คะแนน คือเสี่ยง ต้องเจาะน้ำตาลที่ปลายนิ้ว

“ปัจจุบันมาตรการคัดกรองโรคเบาหวานในประชากรวัยผู้ใหญ่เป็นมาตรการด้านสาธารณสุขที่ทั่วโลกยอมรับว่าเป็นมาตรการที่มีความคุ้มค่าโดยถูกบรรจุในแผนป้องกันและควบคุมโรคของประเทศไทยและอยู่ในสิทธิประโยชน์การส่งเสริมและป้องกันโรคของหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประชาชนสามารถเข้ารับการคัดกรองโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ประชาชนที่มีอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป ต้องได้รับบริการตรวจคัดกรองโรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตปีละ 1 ครั้ง ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อรับบริการตรวจคัดกรองได้โดยยื่นบัตรประชาชนเข้ารับบริการตามสิทธิการรักษาได้กับอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ใกล้บ้านโดยไม่มีค่าใช้จ่าย” นางสาวรัชดา ย้ำ

Advertisement

แนะแก้ปัญหา “หยก” ด้วยเมตตาธรรม

People Unity News : 16 มิถุนายน 2566 “สมชัย” แนะ รร.แก้ปัญหา “หยก” ด้วยเมตตาธรรม จัดให้เข้าเรียนปกติ ใช้ระบบการเรียนวัดผลตามขั้นตอน ขณะที่คนเป็นผู้ปกครองต้องชอบด้วยกฎหมาย

นายสมชัย ศรีสุทธิยากร ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยการเมืองและการพัฒนา มหาวิทยาลัยรังสิต  โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กกรณีน้องหยก เยาวชนนักเคลื่อนไหววัย 15 ปี ว่า หากเป็นผู้อำนวยโรงเรียน จะแก้ปัญหาแบบมีเมตตาธรรม ด้วยการเปิดประตูไว้ทั้งวัน อยากมาเรียนตอนไหนก็เดินเข้าได้ ไม่ต้องปีนรั้ว พอไม่ปีนรั้วก็ไม่เป็นข่าว นักข่าวก็คงไม่อยากมาทำข่าวเด็กเดินเข้าโรงเรียนทุกวัน

“โรงเรียนก็จัดโต๊ะเก้าอี้ให้นั่งเรียน ให้เด็กได้เรียนวิชาการ ดีกว่าไปอยู่นอกห้องเรียน จัดการเรียน การสอน การวัดผลเป็นปกติ และแจ้งให้เด็กทราบเรื่องความจำเป็นต้องมีผู้ปกครองที่ได้รับมอบอำนาจมาลงทะเบียนให้ถูกต้อง เพื่อให้ได้ใบรับรองผลการศึกษาเพื่อไปเรียนต่อหรือประกอบอาชีพ ถ้าหากให้เรียนแล้ว เด็กขาดเรียน วัดผลแล้วสอบตกก็ให้เป็นไปตามระบบ หรือเรียนครบปียังไม่มีผู้ปกครองมาลงทะเบียน ก็ออกใบรับรองให้ไม่ได้ ดังนั้น คนเป็นผู้ปกครองปัจจุบันให้ไปหาทางทางกฎหมายให้เป็นผู้ปกครองโดยชอบด้วยกฎหมายด้วย” นายสมชัย กล่าว

Advertisement

Verified by ExactMetrics