วันที่ 26 เมษายน 2024

“วราวุธ”  ชี้ กระทรวง พม.จะทำงานเชิงรุกมากขึ้น ขอเป็นที่พึ่งพิงของ ปชช.

People Unity News : 12 กันยายน 2566 ที่รัฐสภา – “วราวุธ”  ชี้ กระทรวง พม.จะทำงานเชิงรุกมากขึ้น ยันจะเป็นกำแพงให้ ปชช.ได้พิงหลังยามเกิดปัญหา เตรียมมอบนโยบาย 19 ก.ย.นี้ ขอโทษประชาชนปมเบี้ยสนับสนุนเด็กแรกเกิดเข้าบัญชีช้า เหตุรอยต่อ ครม.

นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนก่อนร่วมการประชุมร่วมรัฐสภา ว่า การแถลงนโยบายรัฐบาลเมื่อวานนี้ (11 ก.ย.) มีสมาชิกพูดถึงเรื่องเบี้ยผู้สูงอายุ คาดว่าในวันนี้จะมีประเด็นเพิ่มเติม ซึ่งจะประมวลข้อสังเกตของสมาชิกอื่น ๆ และขอขอบคุณหลายฝ่ายที่ตั้งแต่แถลงนโยบายได้ติดต่อเข้ามา การทำงานของ พม. ต่อจากนี้จะทำงานเชิงรุกมากยิ่งขึ้น สร้างความตระหนักรู้อีกหลายฝ่ายในสังคม

“ส่วนเรื่องเบี้ยของเด็กแรกเกิดที่เป็นปัญหา ต้องขอกราบอภัยประชาชนกว่า 2 ล้านราย ที่รอรับเบี้ยสนับสนุน 600 บาทต่อเดือน แต่ยังไม่ได้ เพราะเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านคณะรัฐมนตรี ทำให้ไม่สามารถอนุมัติงบประมาณดังกล่าวได้ และคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ไม่มีอำนาจนำวาระมาอนุมัติงบประมาณ พรุ่งนี้จะมีการประชุม ครม. ผมได้ประสานกับสำนักเลขาธิการ ครม. สำนักงบประมาณ กรมบัญชีกลาง เพื่อที่จะทำให้เงินอยู่ในบัญชีของประชาชนภายในวันที่ 18 ก.ย.นี้” นายวราวุธ กล่าว

นายวราวุธ กล่าวว่า ทุก ๆ เดือนสุดท้ายของปีงบประมาณ จะมีงบประมาณไม่เพียงพอ ซึ่งไม่ได้ให้ไม่ครบ แต่จำนวนของเด็กที่ได้รับการสนับสนุนในแต่ละเดือนเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ดังนั้น สำนักงบประมาณจะให้เงินเป็นเลขกลม ๆ หากขาดเหลือเท่าไหร่ จะของบประมาณอีกครั้ง ซึ่งปีนี้ตรงกับช่วงการเปลี่ยนผ่านรัฐบาล ทำให้เกิดความล่าช้า และจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก

ส่วนการมอบนโยบายให้กระทรวง พม.ในสัปดาห์หน้า นายวราวุธ กล่าวว่า มีแนวทางมอบนโยบายให้ข้าราชการในกระทรวงวันอังคารที่ 19 ก.ย.นี้ ทั้งนี้ ที่ผ่านมา พม.มีภารกิจเยอะมาก ทั้งเรื่องเด็กและเยาวชน ทุกเพศ ทุกวัย และทุกสถานะ รวมถึงเคหะที่ดูแลเรื่องที่พักอาศัย ดังนั้น งานที่ผ่านมาเป็นงานที่เข้าถึงประชาชนทุกระดับ แต่บางครั้งต้องตระหนักถึงหน้าที่ของข้าราชการ เพราะประชาชนยังไม่รับรู้เท่าที่ควร

“เราจึงจะทำงานรุกให้มากขึ้น ทั้งการดูแลสวัสดิการประชาชน ให้ได้รับการรับรองในมิติต่าง ๆ การทำงานของ พม.จะเป็นกำแพงให้พี่น้องประชาชน ได้พิงเวลาเจอปัญหา จะเป็นเกราะป้องกันให้ประชาชนในยามเจออันตราย ดังนั้น มิติของ พม.ทั้งในไทยและทั่วโลกจะถูกทำให้มีความหลากหลายมากขึ้น” นายวราวุธ กล่าว

ส่วนกรณีของหยก นายวราวุธ กล่าวว่า จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ทั้งเรื่องการศึกษา และส่วนที่เกิดขึ้นภายในครอบครัว โดยบริบทการทำงานของ พม. คงไม่ก้าวล่วงในเรื่องการศึกษา แต่เรื่องของครอบครัว เราจะใช้สหวิชาชีพทุกแขนงดูแล ซึ่งไม่ได้เน้นการแก้ไขที่บุคคลใดบุคคลหนึ่งแต่ต้องป้องกันทั้งระบบ ไม่ให้เกิดปัญหาเช่นนี้อีก

Advertisement

รฟม.เผย รถไฟฟ้าสีชมพู แคราย-มีนบุรี โดยรวมคืบหน้า 98.03%

People Unity News : 10 กันยายน 2566 การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) แจ้งความคืบหน้าการดำเนินงานโครงการรถไฟฟ้ามหานครสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2566 มีความก้าวหน้าเป็นไปตามแผนงาน โดยมีความก้าวหน้างานโยธา 96.71% งานระบบรถไฟฟ้า M&E 98.35% และความก้าวหน้าโดยรวม 98.03%

โดยในส่วนของงานโยธาของโครงการฯ ปัจจุบันผู้รับสัมปทานโครงการฯ อยู่ระหว่างการเก็บรายละเอียดของงานสถาปัตยกรรมและเตรียมความพร้อมของงานระบบไฟฟ้าในแต่ละสถานี เช่น การตกแต่งสถานี ห้องควบคุมระบบไฟฟ้า ห้องจำหน่ายตั๋ว ชั้นจำหน่ายตั๋ว เป็นต้น โดยในส่วนของสถานีแจ้งวัฒนะ14 (PK11) สถานีศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ (PK12) และสถานีโทรคมนาคมแห่งชาติ (PK13) อยู่ระหว่างการดำเนินการรื้อย้ายระบบสาธารณูปโภค ก่อนเตรียมดำเนินการติดตั้งบันไดทางขึ้น-ลง โดย รฟม. ได้กำชับให้ผู้รับสัมปทานเร่งดำเนินงานให้แล้วเสร็จโดยเร็ว รวมทั้งเร่งรัดการคืนผิวจราจรบนถนนรามอินทรา ถนนแจ้งวัฒนะ ถนนสีหบุรานุกิจ และถนนติวานนท์ ซึ่งเป็นแนวสายทางโครงการฯ เพื่ออำนวยความสะดวกและปลอดภัยในการเดินทางให้แก่ผู้ใช้รถใช้ถนน

สำหรับด้านการเตรียมความพร้อมเพื่อเปิดให้บริการโครงการฯ นั้น ปัจจุบันผู้รับสัมปทานโครงการฯ ยังอยู่ระหว่างการทดสอบเดินรถเสมือนจริง (Trial Run) ในช่วงแรก จากสถานีศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ (PK12) ถึง สถานีมีนบุรี (PK30) ซึ่งการทดสอบดังกล่าวยังไม่แล้วเสร็จ ทั้งนี้ รฟม. ได้มอบหมายให้ที่ปรึกษาควบคุมโครงการฯ กำกับดูแลและติดตามผลการทดสอบเดินรถอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งรายงานปัญหา อุปสรรคต่างๆ ให้ รฟม. ทราบเป็นระยะ เพื่อนำมาพิจารณาความพร้อมและความเหมาะสมของแผนงาน โดยคำนึงถึงความปลอดภัยสูงสุดและความสะดวกในการเข้าถึงบริการของประชาชนเป็นสำคัญ

ทั้งนี้ เมื่อการดำเนินงานทั้ง 2 ส่วนข้างต้น ได้แก่ การทดสอบเดินรถเสมือนจริง และงานโยธาแล้วเสร็จ วิศวกรอิสระ (ICE) และ รฟม. จะดำเนินการตรวจสอบและประเมินความพร้อมในภาพรวมทั้งหมดของโครงการ เพื่อให้การดำเนินงานมีความปลอดภัยตามมาตรฐานในระดับสากล และเมื่อผ่านเกณฑ์การประเมินตามมาตรฐานสากลแล้วนั้น รฟม. จึงจะพิจารณาให้ผู้รับสัมปทานเปิดให้บริการเดินรถไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบ (Full Operation) เชิงพาณิชย์ได้ พร้อมทั้งแจ้งกำหนดการเปิดให้ประชาชนได้ทดลองใช้บริการรถไฟฟ้าสายสีชมพูฯ และกำหนดการเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการให้ประชาชนได้รับทราบต่อไป

ในส่วนของโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูส่วนต่อขยาย ช่วงสถานีศรีรัช-เมืองทองธานี ปัจจุบันมีความก้าวหน้างานโยธา 36.86% งานระบบรถไฟฟ้า M&E 19.12% และความก้าวหน้าโดยรวม 30.23% โดยตามแผนงานคาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ภายในปี 2568

Advertisement

นายกฯ พบกลุ่มสตรี ย้ำ ขับเคลื่อนเสมอภาคคู่กระตุ้นเศรษฐกิจ

People Unity News : 7 กันยายน 2566 ที่พรรคเพื่อไทย – นายกฯ พบกลุ่มสตรี ย้ำ เป็นรัฐบาลของประชาชน ให้ความสำคัญกับความเสมอภาคเท่าเทียม พร้อมกับการกระตุ้นเศรษฐกิจ

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้การต้อนรับคณะนักธุรกิจและสมาคมสตรีจากภาคส่วนต่างๆ เข้ามาร่วมแสดงความยินดีกับนายกรัฐมนตรี พร้อมเสนอให้นายกรัฐมนตรีส่งเสริมบทบาทสตรี  และหาทางออกปัญหาที่เกิดจากสถาบันครอบครัวที่ไม่ได้รับการแก้ไข  รวมทั้งขอให้ฟื้นกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ซึ่งเป็นกองทุนส่งเสริมอาชีพของสตรีที่เกิดขึ้นช่วงรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี  ซึ่งการส่งเสริมบทบาทสตรีอย่างเท่าเทียม จะส่งผลดีในภาพรวมของประเทศต่อไป  พร้อมแสดงความเชื่อมั่นในความรู้ ความสามารถของนายกรัฐมนตรี จะนำพาความแข็งแกร่งทุกด้าน นำพาประเทศไทยผ่านพ้นวิกฤต  ขอให้กำลังใจนายกรัฐมนตรีในการทำงานเพื่อประเทศชาติให้สำเร็จลุล่วงต่อไป

“ขอกราบขอบพระคุณสำหรับคำอวยพรที่ยิ่งใหญ่  สำหรับภารกิจที่หนักหนาขนาดนี้  ดีใจที่ในภาคของสตรีเข้าใจว่ารัฐบาลของประชาชนที่เข้ามาบริหารจัดการในขณะนี้ เราพิจารณาเรื่องความเท่าเทียมและสิทธิของสตรีด้วย ขณะนี้เราไม่ได้ดูเพียงเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว แต่เรายังมีปัญหาเรื่องความเท่าเทียม มีเรื่องสิทธิของสตรี ขณะนี้ประเทศประสบปัญหาเยอะ ไม่ใช่เพียงเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว เรื่องความเหลื่อมล้ำ ความไม่เสมอภาค ความเท่าเทียม  ถือว่าเราต้องเยียวยาจิตใจของประชาชนทุกภาคส่วน  รัฐบาลของเรา รัฐบาลของประชาชน มีความตั้งใจจริงที่จะนำมาซึ่งความเสมอภาคและความเท่าเทียม ซึ่งภาคของสตรีเป็นภาคหนึ่งที่รัฐบาลให้ความสำคัญ” นายกรัฐมนตรี กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การที่ภาคสตรีมาพบวันนี้ จะช่วยลดการมองว่ารัฐบาลมุ่งเพียงเรื่องเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว เรื่องของสังคมและความเท่าเทียมถือเป็นเรื่องที่สำคัญ  ดีใจที่สตรีหลายภาคส่วนมาพบวันนี้  โดยเฉพาะมีกงสุลกิตติมศักดิ์สหรัฐเม็กซิโก ประจำจังหวัดภูเก็ตมาด้วย ซึ่งรัฐบาลมีแผนงานส่งเสริมการท่องเที่ยวในจังหวัดนั้น จึงขอความร่วมมือให้ท่านตอบสนองแนวนโยบายที่เราจะส่งเสริมการท่องเที่ยวด้วย เนื่องจากการท่องเที่ยวเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นที่สำคัญที่สุด

สำหรับผู้เข้าพบนายกรัฐมนตรีในวันนี้ 1.สมาคมสตรีไทยดีเด่นแห่งชาติ 2.สมาคมชาวเหนือแห่งประเทศไทย 3.สมาคมนักธุรกิจและวิชาชีพแห่งประเทศไทย-นครปฐม 4.สมาคมนักธุรกิจและวิชาชีพแห่งประเทศไทย-เพชรบุรี 5.สมาคมไหหลำ 6.มูลนิธิกฤตานุสรณ์ในพระบรมราชูปถัมภ์ 7.มูลนิธิพัฒนาวิชาชีพสตรี 8.กลุ่มแอมเฟรม 9.ศาลแรงงานภาค 3 10.กงสุลกิตติมศักดิ์ สหรัฐเม็กซิโก ประจำจังหวัดภูเก็ต เขตกงสุล ภูเก็ต พังงา กระบี่ 11.ซอนต้า 8 12.บริษัท สมพลเบดดิ้ง แอนด์ แมทเทรส อินดัสตรี จำกัด 13.ชมรมเพลินไทย สมัยนิยม 14.นางเยาวเรศ ชินวัตร

Advertisement

“หมอชลน่าน” เตรียมยกระดับหลักประกันสุขภาพ ใช้บัตรประชาชนใบเดียว รักษาได้ทุกที่

People Unity News : 6 กันยายน 2566 ที่ทำเนียบรัฐบาล – “หมอชลน่าน” เตรียมยกระดับหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ใช้บัตรประชาชนใบเดียวรักษาได้ทุกที่ เริ่มเมื่อไหร่ ขอเวลาศึกษาก่อน

นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงนโยบายสิ่งแรกที่จะดำเนินการของกระทรวงสาธารณสุข ว่า รอฟังนโยบายที่จะแถลงก่อน ส่วนจะรื้อฟื้นนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรคกลับมาใช้หรือไม่ เป็นการยกระดับนโยบายเดิมและปรับเปลี่ยนให้ดีขึ้น

ส่วนที่เดิมเป็นโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าโดยไม่ต้องจ่ายเงิน 30 บาท นโยบายใหม่นี้จะต้องกลับมาจ่ายเงิน 30 บาทหรือไม่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า เป็นโครงการเดิมสมัยรัฐบาลไทยรักไทย เดิมผู้เข้ารับบริการจะเสียเงิน 30 บาท แต่เมื่อปรับปรุงมาเรื่อย ๆ ก็ไม่ต้องจ่ายเงิน ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีรายได้

“นโยบายใหม่จะไม่พูดถึงเรื่องการเงิน และเป็นการยกระดับให้ประชาชนเข้าถึงการให้บริการมากขึ้นโดยใช้บัตรประชาชนเพียงใบเดียว สามารถเข้ารับการรักษาได้ทุกที่ ซึ่งจะครอบคลุมทั้งในเรื่องสุขภาพและประสิทธิภาพ เมื่อระบบมีความสมบูรณ์สามารถดำเนินการได้ทันที ส่วนจะใช้ระยะเวลานานเท่าใด ขอไปดูรายละเอียดก่อน” นพ.ชลน่าน กล่าว

Advertisement

เด็กไทย 1 ใน 4 พัฒนาการช้า กระทบสมอง เสี่ยงซึมเศร้า

People Unity News : 25 สิงหาคม 2566 เด็กไทย 1 ใน 4 พัฒนาการล่าช้า กระทบสมอง เสี่ยงซึมเศร้า ซ้ำ น้ำหนัก/ส่วนสูงไม่ถึงเกณฑ์ สสส. สานพลังภาคี ผุดนวัตกรรมคู่มือ “สามเหลี่ยมสมดุล : วิ่งเล่น กินดี นอนพอ” สร้างสุขภาพที่ดีแก่เยาวชน ขยายผลใช้ 43 โรงเรียนในสังกัด กทม. สช. กระทรวงมหาดไทย

เมื่อวันที่ 25 ส.ค. 2566 ที่โรงเรียนอัสสัมชัญแผนกประถม กรุงเทพฯ นางเบญจมาภรณ์ ลิมปิษเฐียร ผู้ช่วยผู้จัดการอาวุโส สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า จากข้อมูลพัฒนาการเด็กปฐมวัยของไทย ปี 2565 โดยกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข พบว่า เด็กไทย 25% หรือ 1 ใน 4 มีพัฒนาการไม่สมวัย มีผลกระทบต่อสมอง ร่างกายผอม-อ้วนเกิน และจิตใจ การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังส่งผลให้เด็กมีกิจกรรมทางกายเพียงพอลดลง จากเดิม 24.4% ในปี 2562 เหลือ 17.7% ในปี 2565 หรือเทียบเท่าเด็กไทย 3 ใน 4 คนมีกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอ สสส. สานพลังภาคีเครือข่าย เร่งขับเคลื่อนกระบวนการสร้างเสริมสุขภาพเด็กและเยาวชน พัฒนานวัตกรรม “สามเหลี่ยมสมดุล” คู่มือสำหรับดูแลเด็ก 6-12 ปี ทั้งในบ้านและโรงเรียน มีองค์ประกอบสำคัญ 3 ด้าน 1.การนอนหลับ 2.การกิน 3.การเล่นหรือการขยับร่างกายที่เหมาะสม 3 สิ่งนี้มีความสำคัญต่อการเจริญเติบโต พัฒนาการ และสุขภาพกายใจของเด็ก

“แคมเปญ “สามเหลี่ยมสมดุล” ได้นำไปใช้ขยายผล ผ่านการจัดกิจกรรมห้องเรียนสร้างเด็กสมดุลใน 4 ภูมิภาค พร้อมขยายผลใน 43 โรงเรียนทั่วประเทศ มีผู้ปกครอง คุณครูเข้าร่วมกิจกรรม 282 คน สำหรับในปี 2567 มุ่งส่งต่อแคมเปญสามเหลี่ยมสมดุลผ่านการจัดค่ายปิดเทอมเด็ก ห้องเรียนพ่อแม่ คาราวานสัญจรร่วมกับองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) รวมถึงโปรแกรมช่วยบันทึกพัฒนาการคุณหนู ผ่านแอปพลิเคชัน Persona Health ทั้งนี้ ติดตามสื่อการเรียนรู้และข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่https://resourcecenter.thaihealth.or.th เฟซบุ๊กแฟนเพจ ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ (สสส.) Line@เครือข่ายพันธมิตร และ www.childimpact.co” นางเบญจมาภรณ์ กล่าว

ดร.สง่า ดามาพงษ์ ที่ปรึกษากรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข และผู้ทรงคุณวุฒิ สสส. กล่าวว่า เด็กไทยอายุ 6-14 ปี มีภาวะน้ำหนักเกินและอ้วนสูงถึง 15.5% ในขณะที่ผอม 5.5% และเตี้ย 3.2% สาเหตุหลักเกิดจากพฤติกรรมด้านอาหารและโภชนาการที่ไม่พึงประสงค์ อาทิ กินผัก ผลไม้ไม่เพียงพอถึง 72% กินขนมกรุบกรอบมากกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ กว่า 50% และดื่มเครื่องดื่มที่มีรสหวาน 71.3% ซึ่งเกิดจากผู้ใหญ่ขาดเครื่องมือในการสร้างเด็กให้มีความฉลาดรอบรู้ด้านโภชนาการ และไม่ได้สร้างสิ่งแวดล้อมให้เอื้อต่อการเข้าถึงอาหารที่เป็นมิตรต่อสุขภาพ นวัตกรรม “สามเหลี่ยมสมดุล” เป็นการสร้างระบบและกลไกให้เกิดความเชื่อมโยงระหว่างโรงเรียน สู่บ้าน และชุมชน ช่วยให้เด็กเข้าถึงอาหารที่ดีต่อสุขภาพ

รศ.ดร.ปิยวัฒน์ เกตุวงศา ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาองค์ความรู้ด้านกิจกรรมทางกายประเทศไทย (ทีแพค) สนับสนุนโดย สสส. กล่าวว่า มิติด้านการเล่น จากการติดตามเฝ้าระวังพฤติกรรมพบว่า เด็กและเยาวชนไทยกำลังเผชิญกับภาวะการขาดการเคลื่อนไหวร่างกายที่เพียงพอ แต่กลับมีพฤติกรรมการใช้หน้าจอและพฤติกรรมเนือยนิ่งที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 มาจนถึงปัจจุบัน โดยร้อยละของเด็กและเยาวชนไทยที่มีกิจกรรมทางกาย วิ่งเล่น ออกแรงเคลื่อนไหวที่เพียงพอ ปี 2565 ลดเหลือเพียง 16% น้อยกว่าในปี 2564 ที่อยู่ที่ 24% และใกล้เคียงกับในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปี 2563 ที่อยู่ที่ร้อยละ 17% ขณะที่ร้อยละของเด็กและเยาวชนที่ใช้หน้าจออิเล็กทรอนิกส์ในวัตถุประสงค์เพื่อความบันเทิงไม่เกิน 2 ชั่วโมงต่อวัน ก็ลดลงจาก 26% มาอยู่ที่ 15% เท่านั้น สะท้อนว่าวิถีชีวิตเด็กและเยาวชนมีความไม่สมดุล และต้องการการสนับสนุนจากครอบครัว โรงเรียน และชุมชนอย่างใกล้ชิด

ดร.เจษฎา อานิล ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายสื่อสารองค์กร คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า เด็กที่นอนน้อยกว่า 9 ชั่วโมงต่อวัน สมองจะมีพัฒนาการที่แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในบริเวณสมองที่เกี่ยวข้องกับความจำ สติปัญญา และสุขภาพจิต เมื่อเทียบกับเด็กในวัยเดียวกันที่นอน 9 ชั่วโมงหรือมากกว่าต่อวัน นอกจากนี้ภาวะนอนน้อยในเด็กยังสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของภาวะซึมเศร้า ความวิตกกังวล และพฤติกรรมหุนหันพลันแล่น พัฒนาการของเด็กนอกจากต้องกินดี มีประโยชน์ วิ่งเล่นอย่างเหมาะสมอย่างน้อย 60 นาทีต่อวัน การนอนให้พอ เป็นกุญแจสู่พัฒนาการที่ดี สร้างเด็กสมดุล

Advertisement

จิตแพทย์แนะนำหลักคิดไตร่ตรองก่อนเชื่อกรณี “ครูกายแก้ว”

People Unity News : 17 สิงหาคม 2566 จิตแพทย์ชี้ความเชื่อ “ครูกายแก้ว” เป็นการสร้างสตอรี่มาผนวกเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ อาจไม่ใช่เรื่องจริง ไม่ตามกับการสร้างเรื่องราวในอดีต เรื่องความเชื่อ ทั้งลูกเทพ และจตุคามรามเทพ แนะให้หลักคิดหากเผชิญทุกข์ต้องมุ่งแก้ไขอย่ารอให้ใครมาดลบันดาล

นพ.ยงยุทธ วงค์ภิรมย์ศานติ์ ที่ปรึกษากรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงกรณีความเชื่อเรื่อง “ครูกายแก้ว” ว่า เรื่องนี้ก็เหมือนกับความเชื่อทั่วไปที่เกิดขึ้นในคนที่มีความไม่มั่นคงทางจิตใจ ต้องนำเรื่องของความเชื่อเข้ามาช่วยสนับสนุน ความคิดและการกระทำ เทคนิคที่จะทำให้ความเชื่อนั้น น่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น คือ การสร้างสตอรี่ หรือเรื่องราวมาผนวกกัน สูตรเดิมที่เคยมีมาก่อนเหมือนกับจตุคามรามเทพ หรือกุมารทอง หรือตุ๊กตาลูกเทพ โดยคราวนี้จะเห็นว่ามีการอ้างว่า ครูกายแก้ว มาจากเขมร หรือเป็นอาจารย์ของท่านใดก็ตาม เรื่องนี้ต้องแยกออกจากกันว่า สตอรี่คือการสร้างเรื่องราว อาจไม่ใช่ข้อเท็จจริง เพียงแต่เสริมเติมแต่งให้คนเกิดความเชื่อ และศรัทธา ดังนั้นอยากให้ทุกคนนำหลักคิดนี้ไปใช้ เพื่อไตร่ตรองก่อนจะเชื่อสิ่งใด เพราะต้องเข้าใจว่า ทุกครั้งที่คนเราประสบปัญหาจะมีคนอยู่ 3 ประเภท ได้แก่ 1.มุ่งแก้ไขปัญหาโดยปราศจากความเชื่อ คนกลุ่มนี้ไม่น่าเป็นห่วง 2.มีแต่ความเชื่อแต่ไม่มุ่งแก้ไข คนเหล่านี้จะมีพฤติกรรม อยู่เฉย ๆ จนสถานการณ์ต่าง ๆ คลี่คลายไป หากไม่มีอะไรร้ายแรง ก็จะเชื่อว่าสิ่งที่ตนนับถือศรัทธานั้นดลบันดาล และ 3.คนที่ทั้งเชื่อ และมุ่งแก้ไข คนกลุ่มนี้ ไม่น่ากังวลเท่ากับคนกลุ่มที่ 2 เพราะยังแก้ไข ทั้งเชื่อและดำเนินการแก้ไขไปด้วยกัน ดังนั้นการจะเชื่อและศรัทธาอะไร อย่าลืมที่จะต้องแก้ไขและพัฒนาชีวิตตนเองไปด้วย

Advertisement

 

ครอบคลุมคนไทยทุกสิทธิ “ผ้าอ้อมผู้ใหญ่-แผ่นรองซับ”

People Unity News : 13 สิงหาคม 2566 โครงการผ้าอ้อมผู้ใหญ่และแผ่นรองซับสำหรับผู้ป่วยติดเตียงหรือมีปัญหาการกลั้นขับถ่าย ครอบคลุมคนไทยทุกสิทธิแล้ว สามารถแจ้งรับสิทธิที่สายด่วน 1330 หรือลงทะเบียน รพ.สต. ศูนย์บริการสาธารณสุขใกล้บ้าน อบต.-เทศบาล

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตามที่คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) ได้บรรจุให้ผ้าอ้อมผู้ใหญ่และแผ่นรองซับเป็นสิทธิประโยชน์บริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ตั้งแต่วันที่ 2 พ.ค. 2565 โดยได้ดำเนินการภายใต้กองทุนหลักประกันสุขภาพท้องถิ่น (กปท.) ที่ สปสช.ร่วมดำเนินการกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ทั่วประเทศ

อย่างไรก็ตาม ด้วยข้อจำกัดด้านกฎหมาย ทำให้ที่ผ่านมาโครงการได้ดำเนินการเฉพาะกลุ่มผู้มีสิทธิบัตรทอง 30 บาท ซึ่งรัฐบาลโดยกระทรวงสาธารณสุขและ สปสช. ได้มีความพยายามแก้ไขข้อจำกัดดังกล่าว เพื่อให้โครงการนี้ครอบคลุมผู้ป่วยติดเตียงและผู้มีปัญหาการกลั้นขับถ่ายทุกสิทธิ กระทั่งได้มีมติคณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อวันที่ 18 ก.ค. 66 ที่ยืนยันว่า สปสช. สามารถดำเนินบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคให้กับคนไทยทุกคน จึงมีผลให้ปัจจุบันโครงการผ้าอ้อมผู้ใหญ่และแผ่นรองซับครอบคลุมคนไทยทุกสิทธิแล้ว

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ทางด้านหลักเกณฑ์ต่างๆ ก็ได้มีออกมารองรับเรียบร้อยแล้ว ได้แก่ ประกาศคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์การดำเนินงานและการบริหารจัดการกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 และหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการรับค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุขของหน่วยบริการ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2566

ทั้งนี้ ภายหลังมีความชัดเจนทางกฎหมาย จะทำให้เจ้าหน้าที่ของ อปท. ซึ่งดำเนินการกองทุน กปท. เกิดความมั่นใจว่าการจัดทำโครงการผ้าอ้อมและแผ่นรองซับสามารถให้การดูแลให้ผู้ป่วยทุกสิทธิไม่เฉพาะผู้มีสิทธิบัตรทองเท่านั้น ซึ่งขณะนี้ สปสช. อยู่ระหว่างการประชาสัมพันธ์เชิญชวนให้ อปท. ทั่วประเทศที่มีการจัดตั้งกองทุน กปท. ที่ปัจจุบันมีอยู่ 7,753 แห่ง ร่วมจัดทำโครงการนี้เพื่อให้ดูแลผู้ป่วยได้ครอบคลุมมากขึ้น จากปัจจุบันที่มี อปท. จัดทำโครงการแล้ว 1,876 แห่ง รวม 2,295 โครงการ ดูแลผู้ป่วยทั่วประเทศอยู่ 44,667 คน

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สำหรับคุณสมบัติผู้ที่จะได้สิทธิตามโครงการนั้นจะต้องเป็นผู้ป่วยติดเตียง หรือ ผู้มีปัญหากลั้นปัสสาวะหรืออุจจาระไม่ได้ ไม่จำกัดอายุ โดยจะได้รับไม่เกิน 3 ชิ้นต่อคนต่อวัน ซึ่งปัจจุบัน สปสช. มีฐานข้อมูลผู้ป่วยติดเตียงและผู้มีปัญหาการกลั้นการขับถ่ายอยู่ประมาณ 50,000 คน ซึ่งในบางพื้นที่จะมีเจ้าหน้าที่ติดต่อไปยังครอบครัวและว่าผู้ป่วยได้รับสิทธิผ้าอ้อมผู้ใหญ่

แต่หากครอบครัวใดมีผู้ป่วยอยู่และยังไม่มีเจ้าหน้าที่ติดต่อไป ขอให้ดำเนินการแจ้งขอรับสิทธิโดยการโทรสายด่วน สปสช. 1330 เพื่อเจ้าหน้าที่รับเรื่องและส่งให้พื้นที่ดำเนินการตามขั้นตอน หรือติดต่อลงทะเบียนได้ ที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) หรือศูนย์บริการสารธารณสุขใกล้บ้าน (ไม่จำเป็นต้องเป็นที่อยู่ตามบัตรประชาชน) หรือที่องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) หรือเทศบาล

Advertisement

รัฐบาล เชิญชวนคนไทย ลด ละ เลิกเหล้าเข้าพรรษา

People Unity News : 31 กรกฎาคม 2566 รัฐบาล เชิญชวนคนไทย ลด ละ เลิกเหล้าเข้าพรรษา สร้างภูมิคุ้มกันร่างกาย ลดความเสี่ยงโรค และช่วยลดรายจ่ายของครอบครัว

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เนื่องด้วยวันเข้าพรรษาของทุกปี เป็นวันงดดื่มสุราแห่งชาติ ซึ่งปีนี้ตรงกับวันที่ 2 สิงหาคม 2566 กระทรวงสาธารณสุขได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ภาคประชาสังคม และเครือข่ายงดเหล้า จัดกิจกรรมเพื่อรณรงค์ให้คนไทย ลด ละ เลิกการดื่มแอลกอฮอล์ ภายใต้คำขวัญ “ไกลเหล้า ไกลโรค ไกลอุบัติเหตุ” ในโอกาสนี้ รัฐบาล จึงเชิญชวนคนไทยทุกคน ร่วมลด ละ เลิก เหล้า หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิดตลอดเทศกาลเข้าพรรษา ให้ช่วงเวลานี้เป็นจุดเริ่มต้นในการดูแลสุขภาพ ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคร้ายต่างๆ ซึ่งข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก ระบุว่า ทุกปีทั่วโลกมีผู้เสียชีวิตจากพิษของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ประมาณ 3 ล้านคน และเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคมากกว่า 230 ชนิด นอกจากนี้ ยังช่วยลดโอกาสที่เกิดความสูญเสียกับครอบครัวและสังคมโดยรวมจากอุบัติเหตุ นำมาซึ่งการบาดเจ็บ พิการ หรือเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ซึ่งไม่สามารถประเมินเป็นมูลค่าความเสียหายได้

ทั้งนี้ ที่ผ่านมารัฐบาลได้มีแนวนโยบายที่เกี่ยวข้องกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้มีความสมดุลระหว่างมิติทางเศรษฐกิจ และมิติของสังคม โดยมีกฎกระทรวงที่ลดข้อจำกัดทางกฎระเบียบการอนุญาตให้ผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เริ่มมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2565

เพื่อประโยชน์ในการรักษาภูมิปัญญาท้องถิ่น และลดการผูกขาดทางการตลาด ขณะเดียวกัน หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ขับเคลื่อนให้มีการบังคับใช้ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 เพื่อจำกัดไม่ให้กิจกรรมที่มาจากการแข่งขันทางธุรกิจกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมการดื่มที่มากขึ้น ตลอดจนขับเคลื่อนการรณรงค์เพื่อสร้างความรอบรู้ผลกระทบต่อสุขภาพที่มาจากการดื่มแอลกอฮอล์ ทั้งทางตรงและทางอ้อมให้ประชาชน โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนเน้นการป้องกันนักดื่มหน้าใหม่

Advertisement

รัฐบาล เพิ่มช่องทางแจ้งเหตุฉุกเฉิน ผ่านไลน์ “ESS Help Me”

People Unity News : 29 กรกฎาคม 2566 รัฐบาล เพิ่มช่องทางแจ้งเหตุฉุกเฉินทางสังคม ผ่านแอปพลิเคชันไลน์ “ESS Help Me”

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ช่วงหยุดยาวนี้ เชื่อว่าจะมีประชาชนจำนวนมากเดินทางกลับภูมิลำเนา หรือท่องเที่ยวกับสมาชิกในครอบครัว โดยสภาหอการค้าไทยประเมินว่าจะมีเม็ดเงินหมุนเวียนเพิ่มเติมในช่วงวันหยุดดังกล่าวประมาณ 5-7 พันล้านบาท ซึ่งนอกจากผลทางเศรษฐกิจแล้ว ยังเป็นโอกาสให้ครอบครัวได้อยู่ใกล้ชิดและมีเวลาคุณภาพร่วมกัน

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กำชับหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องเตรียมความพร้อมดูแลประชาชนเรื่องความปลอดภัย ทั้งการเดินทาง การท่องเที่ยว และความปลอดภัยในทรัพย์สิน หากเกิดเหตุฉุกเฉิน ประชาชนสามารถใช้บริการผ่านแอปพลิเคชันไลน์ “ESS Help Me” ซึ่งจะเข้าไปดูแลประชาชนที่ประสบปัญหาได้อย่างทันถ่วงที ลดการบาดเจ็บและการสูญเสียชีวิต ที่ผ่านมากระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รายงานว่า มีผู้เข้าใช้บริการกว่า 2 แสน 6 หมื่นครั้งต่อเดือน

นอกจากนี้ ยังย้ำเตือนประชาชนให้ใช้ระบบแจ้งเหตุตามความเป็นจริง อย่าเข้าใช้ระบบเพื่อก่อกวนเจ้าหน้าที่เพื่อความสนุกสนานหรือคึกคะนอง เพราะนอกจากจะกระทบต่อการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ จนส่งผลต่อการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่มีความเดือดร้อนจริงแล้ว การแจ้งเหตุอันเป็นเท็จโดยเจตนา จะถูกตั้งข้อหา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 384 มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

Advertisement

กทม.จับมือ สภาเภสัชกรรม เชื่อมโยงการทำงานร้านยาคุณภาพ กับศูนย์บริการสาธารณสุข กทม.

People Unity News : 25 กรกฎาคม 2566 กทม. ร่วมกับ สภาเภสัชกรรม เชื่อมโยงการทำงานร้านยาคุณภาพ กับศูนย์บริการสาธารณสุขกรุงเทพมหานคร เพิ่มทางเลือกให้ประชาชน ในการดูแลรักษาภาวะความเจ็บป่วยเบื้องต้น และเพิ่มประสิทธิภาพการส่งต่อผู้ป่วยไปยังศูนย์บริการสาธารณสุขของกรุงเทพมหานคร

รองศาสตราจารย์ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร หารือกับ เภสัชกรปรีชาพันธุ์ติเวช อุปนายกสภาเภสัชกรรม คนที่ 2 และคณะ เพื่อร่วมกันหาแนวทางลดความแออัดในโรงพยาบาลและพัฒนาระบบสาธารณสุขปฐมภูมิให้เข้มแข็ง ด้วยการนำร้านยาคุณภาพ ซึ่งผ่านการรับรองจากสภาเภสัชกรรม เข้ามาอยู่ในเครือข่ายเดียวกับกรุงเทพมหานคร ผ่านระบบBangkok Health Zoning เพื่อเชื่อมต่อการทำงานระหว่างร้านยาคุณภาพกับศูนย์บริการสาธารณสุขของกรุงเทพมหานคร ทำให้ระบบสาธารณสุขปฐมภูมิ หรือหน่วยการรักษาพยาบาลที่อยู่ใกล้บ้าน มีความเข้มแข็ง และทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการให้บริการได้ง่ายมากขึ้นและทางเลือกของประชาชนในการดูแลรักษาภาวะความเจ็บป่วยเบื้องต้นของตนเอง เพราะร้านยาคุณภาพ จะมีบทบาทสำคัญในการสร้างความรู้ความเข้าใจในการใช้ยาที่ถูกต้อง และการดูแลรักษาสุขภาพ ควบคู่กับการให้บริการด้านยาและส่งเสริมให้เกิดการใช้ยาที่เหมาะสมตลอดจนให้คำแนะนำ และช่วยดูแลประชาชนในเรื่องของสิทธิการรักษา รวมถึง ส่งต่อผู้ป่วยไปยังศูนย์บริการสาธารณสุขของกรุงเทพมหานครได้

ทั้งนี้ ในอนาคต กรุงเทพมหานครและสภาเภสัชกรรม จะมีการทำ MOU ร่วมกันในเรื่องนี้ และจะมีการนำข้อมูล ตลอดจนพิกัดของร้านยาคุณภาพมาอยู่บนระบบ Bangkok Health Map เพื่อประโยชน์ในการบริหารจัดการระบบสาธารณสุขในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ให้มีประสิทธิภาพต่อไป

Advertisement

Verified by ExactMetrics