วันที่ 29 มีนาคม 2024

เคาะแล้ว ระเบียบ คกก.ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ

People Unity News : 21 กันยายน 2566 รมว.ยุติธรรม เคาะแล้ว ระเบียบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ ลั่นขอให้หน่วยงานถือปฏิบัติเป็นมาตรฐานเดียวกัน

วันที่ 21 ก.ย. 2566 พ.ต.อ. ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ได้ลงนามประกาศใช้ระเบียบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายว่าด้วยการบันทึกภาพและเสียงในขณะจับและควบคุม การแจ้งการควบคุมตัว และการบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับผู้ถูกควบคุมตัว พ.ศ. 2566 พร้อมทั้งแบบบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับผู้ถูกควบคุมตัวตามมาตรา 23 แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 (ปท.1) เพื่อเป็นแนวทางให้ทุกหน่วยงานยึดถือปฏิบัติตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ

โดยระเบียบฯ ดังกล่าว เป็นการกำหนดรายละเอียดแนวทางการปฏิบัติตามมาตรา 22 และมาตรา 23 เพื่อให้หน่วยงานปฏิบัติไปในทิศทางเดียวกัน อาทิ หลักในการบันทึกภาพและเสียงในขณะจับและควบคุม หน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้รับผิดชอบในการบันทึกภาพและเสียง การเก็บรักษา ระยะเวลาในการเก็บรักษา และการห้ามแก้ไขเปลี่ยนแปลงสิ่งบันทึกภาพและเสียง การแจ้งการควบคุมตัวแก่พนักงานอัยการและพนักงานฝ่ายปกครอง การจัดทำบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับผู้ถูกควบคุมตัว (แบบ ปท.1) การตรวจสอบการแจ้งการควบคุมตัว เป็นต้น

ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ระเบียบฯ ฉบับนี้ จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะทำให้การปฏิบัติตามพระราชบัญญัติฯ ของเจ้าหน้าที่เกิดความชัดเจน ถูกต้อง และสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติฯ โดยจะนำมาซึ่งความยุติธรรม และสร้างความแข็งแกร่งให้กับหลักนิติธรรมต่อไป

Advertisement

เริ่มขายสลากดิจิทัล L6 ในแอปฯ เป๋าตัง งวดแรก 17 ก.ย.นี้

People Unity News : 16 กันยายน 2566 สำนักงานสลากฯ เพิ่มสลากดิจิทัล L6 ในแอปฯ เป๋าตัง งวดแรก 17 ก.ย.นี้ ยืนยันสลาก 80 บาท มีอยู่จริง

พันโท หนุน ศันสนาคม ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เปิดเผยว่า ขณะนี้สลากดิจิทัลในแอปฯ เป๋าตัง กว่า 20 ล้านใบ สามารถจำหน่ายได้หมดทุกงวด สะท้อนการแก้ปัญหาสลากฯ เกินราคา เป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่า “สลาก 80 บาท มีอยู่จริง” และภายในปี 2566 สำนักงานสลากฯ เดินหน้าเพิ่มสลากดิจิทัล เพื่อให้ประชาชนผู้ซื้อเข้าถึงสลากฯ ราคา 80 บาท จึงเตรียมนำสลากดิจิทัล (L6) งวดวันที่ 1 ตุลาคม 2566 เริ่มขายในวันที่ 17 กันยายน 2566 เป็นงวดแรก ทำให้มีทั้งสลากใบ และสลากดิจิทัล รวม 101 ล้านฉบับ แบ่งเป็น สลากใบ 80 ล้านฉบับ และสลากดิจิทัล 21 ล้านฉบับ

ทั้งนี้ สลากใบจะมีลักษณะเหมือนกับสลากที่ขายอยู่ในปัจจุบันทุกประการ คือ มีการพิมพ์บนกระดาษป้องกันการปลอมแปลง มีลายน้ำ และเส้นไหมสอดแทรกอยู่ในเนื้อกระดาษ มีการพิมพ์สัญลักษณ์ป้องกันการปลอมแปลงต่างๆ รวมถึงพิมพ์ข้อความ L6 แบบใบ ลงบนสลากด้วย ในขณะที่สลากดิจิทัล ไม่ได้มีการพิมพ์ขึ้นมาเป็นใบ แต่เป็นข้อมูลอยู่ในระบบดิจิทัล มีการพิมพ์ข้อความ L6 แบบดิจิทัล บนสลาก และทำการซื้อขายผ่านแอปฯ เป๋าตัง

ส่วนการขึ้นเงินรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาลหกหลัก (Lottery 6 : L6) แบบใบ สามารถขึ้นเงินรางวัลได้ที่สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล หรือที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารกรุงไทย และธนาคารออมสิน ทุกสาขา โดยนำสลากใบที่ถูกรางวัล พร้อมด้วยบัตรประจำตัวประชาชน เพื่อแสดงต่อเจ้าหน้าที่ ส่วนสลากกินแบ่งรัฐบาลหกหลัก (Lottery 6 : L6) แบบดิจิทัล ระบบจะตรวจสอบการถูกรางวัลให้อัตโนมัติ โดยผู้ซื้อสามารถเลือกรับเงินรางวัล โดยการโอนเข้าบัญชีธนาคารกรุงไทย หรือเข้า G-Wallet ของผู้ซื้อได้ภายในไม่เกิน 2 ชั่วโมง

ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวว่า สำนักงานสลากฯ ตั้งเป้าหมายเพิ่มสลากดิจิทัล เพื่อให้ประชาชนผู้ซื้อในราคา 80 บาท เตรียมเพิ่มสลากดิจิทัล เป็น 30 ล้านใบ หรือเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 2 ล้านใบ/งวด ตามภาวะตลาดในแต่ละงวด และไม่กระทบสลากแบบใบในระบบที่มีอยู่ 80 ล้านใบ โดยจะทยอยเชิญรายย่อยที่ลงทะเบียนเป็นตัวแทนจำหน่ายสลากดิจิทัลมาทำสัญญา รวมทั้งยังเปิดให้ตัวแทนประเภทบุคคลรายย่อยทั่วไป คนพิการ สมาคม องค์กร มูลนิธิ และผู้มีสิทธิ์ทำรายการซื้อ-จองล่วงหน้าสลากกินแบ่งรัฐบาล แจ้งความประสงค์โดยสมัครใจเข้าร่วมเป็นตัวแทนจำหน่ายสลากดิจิทัล (Lottery 6 หรือ L6) ตั้งแต่วันที่ 28 สิงหาคม – 28 ตุลาคม 2566 ผ่านเว็บไซต์ www.glo.or.th อีกด้วย

Advertisement

“นพ.ชลน่าน” ประกาศ 12 นโยบายสุขภาพเริ่มทำทันที

People Unity News : 16 กันยายน 2566 “นพ.ชลน่าน” ประกาศ 12 นโยบายสุขภาพเริ่มทำทันที แต่เห็นผลเชิงประจักษ์ 100 วัน การรักษามะเร็งครบวงจร และบริการวัคซีนมะเร็งปากมดลูก

นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และนายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข แถลงผลการหารือประชุมนัดพิเศษกับผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขขับเคลื่อน 12 นโยบาย อาทิ โรงพยาบาลกรุงเทพมหานคร 50 เขต 50 โรงพยาบาล, การดูแลสุขภาพจิตและบำบัดฟื้นฟูยาเสพติด, การรักษามะเร็งแบบครบวงจร, การสร้างขวัญและกำลังใจให้กับบุคลากร, สาธารณสุขชายแดนรวมถึงการพัฒนาโรงพยาบาลชุมชนแม่ข่ายและดิจิทัลสุขภาพ รวมถึงส่งเสริมการมีบุตร ซึ่งในส่วนของนโยบายที่เป็นควิกวินนั้น สามารถทำให้เห็นผลได้ภายใน 100 วัน คือมะเร็งครบวงจร และการให้วัคซีนมะเร็งปากมดลูก ซึ่งทั้งหมดนี้ยังคงจะครอบคลุม และเป็นส่วนหนึ่งในนโยบาย 30 บาทพลัส ส่วนพื้นที่ไหนที่จะระบุให้มีการนำร่องใช้บัตรประชาชนใบเดียวในการรักษาระบบหลักประกันสุขภาพนั้นยังคงอยู่ในระหว่างการหารือ

นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ส่วนเรื่องของการส่งเสริมการมีบุตรนั้นเนื่องจากตระหนักว่าขณะนี้อัตราวัยแรงงานลดลงและอัตราเกิดก็ลดลง เหลือ 500,000 คน ในปี 2565 ซึ่งหากจะให้มีอัตราแรงงานที่เหมาะสมและเกิดความสมดุลจะต้องมีอัตราเกิดต่อปีเพิ่มขึ้น ประมาณ 2.1% หรือมีอัตราเกิดประมาณ 1.5 ล้านคนต่อปี

Advertisement

“วราวุธ”  ชี้ กระทรวง พม.จะทำงานเชิงรุกมากขึ้น ขอเป็นที่พึ่งพิงของ ปชช.

People Unity News : 12 กันยายน 2566 ที่รัฐสภา – “วราวุธ”  ชี้ กระทรวง พม.จะทำงานเชิงรุกมากขึ้น ยันจะเป็นกำแพงให้ ปชช.ได้พิงหลังยามเกิดปัญหา เตรียมมอบนโยบาย 19 ก.ย.นี้ ขอโทษประชาชนปมเบี้ยสนับสนุนเด็กแรกเกิดเข้าบัญชีช้า เหตุรอยต่อ ครม.

นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนก่อนร่วมการประชุมร่วมรัฐสภา ว่า การแถลงนโยบายรัฐบาลเมื่อวานนี้ (11 ก.ย.) มีสมาชิกพูดถึงเรื่องเบี้ยผู้สูงอายุ คาดว่าในวันนี้จะมีประเด็นเพิ่มเติม ซึ่งจะประมวลข้อสังเกตของสมาชิกอื่น ๆ และขอขอบคุณหลายฝ่ายที่ตั้งแต่แถลงนโยบายได้ติดต่อเข้ามา การทำงานของ พม. ต่อจากนี้จะทำงานเชิงรุกมากยิ่งขึ้น สร้างความตระหนักรู้อีกหลายฝ่ายในสังคม

“ส่วนเรื่องเบี้ยของเด็กแรกเกิดที่เป็นปัญหา ต้องขอกราบอภัยประชาชนกว่า 2 ล้านราย ที่รอรับเบี้ยสนับสนุน 600 บาทต่อเดือน แต่ยังไม่ได้ เพราะเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านคณะรัฐมนตรี ทำให้ไม่สามารถอนุมัติงบประมาณดังกล่าวได้ และคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ไม่มีอำนาจนำวาระมาอนุมัติงบประมาณ พรุ่งนี้จะมีการประชุม ครม. ผมได้ประสานกับสำนักเลขาธิการ ครม. สำนักงบประมาณ กรมบัญชีกลาง เพื่อที่จะทำให้เงินอยู่ในบัญชีของประชาชนภายในวันที่ 18 ก.ย.นี้” นายวราวุธ กล่าว

นายวราวุธ กล่าวว่า ทุก ๆ เดือนสุดท้ายของปีงบประมาณ จะมีงบประมาณไม่เพียงพอ ซึ่งไม่ได้ให้ไม่ครบ แต่จำนวนของเด็กที่ได้รับการสนับสนุนในแต่ละเดือนเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ดังนั้น สำนักงบประมาณจะให้เงินเป็นเลขกลม ๆ หากขาดเหลือเท่าไหร่ จะของบประมาณอีกครั้ง ซึ่งปีนี้ตรงกับช่วงการเปลี่ยนผ่านรัฐบาล ทำให้เกิดความล่าช้า และจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก

ส่วนการมอบนโยบายให้กระทรวง พม.ในสัปดาห์หน้า นายวราวุธ กล่าวว่า มีแนวทางมอบนโยบายให้ข้าราชการในกระทรวงวันอังคารที่ 19 ก.ย.นี้ ทั้งนี้ ที่ผ่านมา พม.มีภารกิจเยอะมาก ทั้งเรื่องเด็กและเยาวชน ทุกเพศ ทุกวัย และทุกสถานะ รวมถึงเคหะที่ดูแลเรื่องที่พักอาศัย ดังนั้น งานที่ผ่านมาเป็นงานที่เข้าถึงประชาชนทุกระดับ แต่บางครั้งต้องตระหนักถึงหน้าที่ของข้าราชการ เพราะประชาชนยังไม่รับรู้เท่าที่ควร

“เราจึงจะทำงานรุกให้มากขึ้น ทั้งการดูแลสวัสดิการประชาชน ให้ได้รับการรับรองในมิติต่าง ๆ การทำงานของ พม.จะเป็นกำแพงให้พี่น้องประชาชน ได้พิงเวลาเจอปัญหา จะเป็นเกราะป้องกันให้ประชาชนในยามเจออันตราย ดังนั้น มิติของ พม.ทั้งในไทยและทั่วโลกจะถูกทำให้มีความหลากหลายมากขึ้น” นายวราวุธ กล่าว

ส่วนกรณีของหยก นายวราวุธ กล่าวว่า จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ทั้งเรื่องการศึกษา และส่วนที่เกิดขึ้นภายในครอบครัว โดยบริบทการทำงานของ พม. คงไม่ก้าวล่วงในเรื่องการศึกษา แต่เรื่องของครอบครัว เราจะใช้สหวิชาชีพทุกแขนงดูแล ซึ่งไม่ได้เน้นการแก้ไขที่บุคคลใดบุคคลหนึ่งแต่ต้องป้องกันทั้งระบบ ไม่ให้เกิดปัญหาเช่นนี้อีก

Advertisement

รฟม.เผย รถไฟฟ้าสีชมพู แคราย-มีนบุรี โดยรวมคืบหน้า 98.03%

People Unity News : 10 กันยายน 2566 การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) แจ้งความคืบหน้าการดำเนินงานโครงการรถไฟฟ้ามหานครสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2566 มีความก้าวหน้าเป็นไปตามแผนงาน โดยมีความก้าวหน้างานโยธา 96.71% งานระบบรถไฟฟ้า M&E 98.35% และความก้าวหน้าโดยรวม 98.03%

โดยในส่วนของงานโยธาของโครงการฯ ปัจจุบันผู้รับสัมปทานโครงการฯ อยู่ระหว่างการเก็บรายละเอียดของงานสถาปัตยกรรมและเตรียมความพร้อมของงานระบบไฟฟ้าในแต่ละสถานี เช่น การตกแต่งสถานี ห้องควบคุมระบบไฟฟ้า ห้องจำหน่ายตั๋ว ชั้นจำหน่ายตั๋ว เป็นต้น โดยในส่วนของสถานีแจ้งวัฒนะ14 (PK11) สถานีศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ (PK12) และสถานีโทรคมนาคมแห่งชาติ (PK13) อยู่ระหว่างการดำเนินการรื้อย้ายระบบสาธารณูปโภค ก่อนเตรียมดำเนินการติดตั้งบันไดทางขึ้น-ลง โดย รฟม. ได้กำชับให้ผู้รับสัมปทานเร่งดำเนินงานให้แล้วเสร็จโดยเร็ว รวมทั้งเร่งรัดการคืนผิวจราจรบนถนนรามอินทรา ถนนแจ้งวัฒนะ ถนนสีหบุรานุกิจ และถนนติวานนท์ ซึ่งเป็นแนวสายทางโครงการฯ เพื่ออำนวยความสะดวกและปลอดภัยในการเดินทางให้แก่ผู้ใช้รถใช้ถนน

สำหรับด้านการเตรียมความพร้อมเพื่อเปิดให้บริการโครงการฯ นั้น ปัจจุบันผู้รับสัมปทานโครงการฯ ยังอยู่ระหว่างการทดสอบเดินรถเสมือนจริง (Trial Run) ในช่วงแรก จากสถานีศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ (PK12) ถึง สถานีมีนบุรี (PK30) ซึ่งการทดสอบดังกล่าวยังไม่แล้วเสร็จ ทั้งนี้ รฟม. ได้มอบหมายให้ที่ปรึกษาควบคุมโครงการฯ กำกับดูแลและติดตามผลการทดสอบเดินรถอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งรายงานปัญหา อุปสรรคต่างๆ ให้ รฟม. ทราบเป็นระยะ เพื่อนำมาพิจารณาความพร้อมและความเหมาะสมของแผนงาน โดยคำนึงถึงความปลอดภัยสูงสุดและความสะดวกในการเข้าถึงบริการของประชาชนเป็นสำคัญ

ทั้งนี้ เมื่อการดำเนินงานทั้ง 2 ส่วนข้างต้น ได้แก่ การทดสอบเดินรถเสมือนจริง และงานโยธาแล้วเสร็จ วิศวกรอิสระ (ICE) และ รฟม. จะดำเนินการตรวจสอบและประเมินความพร้อมในภาพรวมทั้งหมดของโครงการ เพื่อให้การดำเนินงานมีความปลอดภัยตามมาตรฐานในระดับสากล และเมื่อผ่านเกณฑ์การประเมินตามมาตรฐานสากลแล้วนั้น รฟม. จึงจะพิจารณาให้ผู้รับสัมปทานเปิดให้บริการเดินรถไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบ (Full Operation) เชิงพาณิชย์ได้ พร้อมทั้งแจ้งกำหนดการเปิดให้ประชาชนได้ทดลองใช้บริการรถไฟฟ้าสายสีชมพูฯ และกำหนดการเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการให้ประชาชนได้รับทราบต่อไป

ในส่วนของโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูส่วนต่อขยาย ช่วงสถานีศรีรัช-เมืองทองธานี ปัจจุบันมีความก้าวหน้างานโยธา 36.86% งานระบบรถไฟฟ้า M&E 19.12% และความก้าวหน้าโดยรวม 30.23% โดยตามแผนงานคาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ภายในปี 2568

Advertisement

นายกฯ พบกลุ่มสตรี ย้ำ ขับเคลื่อนเสมอภาคคู่กระตุ้นเศรษฐกิจ

People Unity News : 7 กันยายน 2566 ที่พรรคเพื่อไทย – นายกฯ พบกลุ่มสตรี ย้ำ เป็นรัฐบาลของประชาชน ให้ความสำคัญกับความเสมอภาคเท่าเทียม พร้อมกับการกระตุ้นเศรษฐกิจ

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้การต้อนรับคณะนักธุรกิจและสมาคมสตรีจากภาคส่วนต่างๆ เข้ามาร่วมแสดงความยินดีกับนายกรัฐมนตรี พร้อมเสนอให้นายกรัฐมนตรีส่งเสริมบทบาทสตรี  และหาทางออกปัญหาที่เกิดจากสถาบันครอบครัวที่ไม่ได้รับการแก้ไข  รวมทั้งขอให้ฟื้นกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ซึ่งเป็นกองทุนส่งเสริมอาชีพของสตรีที่เกิดขึ้นช่วงรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี  ซึ่งการส่งเสริมบทบาทสตรีอย่างเท่าเทียม จะส่งผลดีในภาพรวมของประเทศต่อไป  พร้อมแสดงความเชื่อมั่นในความรู้ ความสามารถของนายกรัฐมนตรี จะนำพาความแข็งแกร่งทุกด้าน นำพาประเทศไทยผ่านพ้นวิกฤต  ขอให้กำลังใจนายกรัฐมนตรีในการทำงานเพื่อประเทศชาติให้สำเร็จลุล่วงต่อไป

“ขอกราบขอบพระคุณสำหรับคำอวยพรที่ยิ่งใหญ่  สำหรับภารกิจที่หนักหนาขนาดนี้  ดีใจที่ในภาคของสตรีเข้าใจว่ารัฐบาลของประชาชนที่เข้ามาบริหารจัดการในขณะนี้ เราพิจารณาเรื่องความเท่าเทียมและสิทธิของสตรีด้วย ขณะนี้เราไม่ได้ดูเพียงเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว แต่เรายังมีปัญหาเรื่องความเท่าเทียม มีเรื่องสิทธิของสตรี ขณะนี้ประเทศประสบปัญหาเยอะ ไม่ใช่เพียงเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว เรื่องความเหลื่อมล้ำ ความไม่เสมอภาค ความเท่าเทียม  ถือว่าเราต้องเยียวยาจิตใจของประชาชนทุกภาคส่วน  รัฐบาลของเรา รัฐบาลของประชาชน มีความตั้งใจจริงที่จะนำมาซึ่งความเสมอภาคและความเท่าเทียม ซึ่งภาคของสตรีเป็นภาคหนึ่งที่รัฐบาลให้ความสำคัญ” นายกรัฐมนตรี กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การที่ภาคสตรีมาพบวันนี้ จะช่วยลดการมองว่ารัฐบาลมุ่งเพียงเรื่องเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว เรื่องของสังคมและความเท่าเทียมถือเป็นเรื่องที่สำคัญ  ดีใจที่สตรีหลายภาคส่วนมาพบวันนี้  โดยเฉพาะมีกงสุลกิตติมศักดิ์สหรัฐเม็กซิโก ประจำจังหวัดภูเก็ตมาด้วย ซึ่งรัฐบาลมีแผนงานส่งเสริมการท่องเที่ยวในจังหวัดนั้น จึงขอความร่วมมือให้ท่านตอบสนองแนวนโยบายที่เราจะส่งเสริมการท่องเที่ยวด้วย เนื่องจากการท่องเที่ยวเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นที่สำคัญที่สุด

สำหรับผู้เข้าพบนายกรัฐมนตรีในวันนี้ 1.สมาคมสตรีไทยดีเด่นแห่งชาติ 2.สมาคมชาวเหนือแห่งประเทศไทย 3.สมาคมนักธุรกิจและวิชาชีพแห่งประเทศไทย-นครปฐม 4.สมาคมนักธุรกิจและวิชาชีพแห่งประเทศไทย-เพชรบุรี 5.สมาคมไหหลำ 6.มูลนิธิกฤตานุสรณ์ในพระบรมราชูปถัมภ์ 7.มูลนิธิพัฒนาวิชาชีพสตรี 8.กลุ่มแอมเฟรม 9.ศาลแรงงานภาค 3 10.กงสุลกิตติมศักดิ์ สหรัฐเม็กซิโก ประจำจังหวัดภูเก็ต เขตกงสุล ภูเก็ต พังงา กระบี่ 11.ซอนต้า 8 12.บริษัท สมพลเบดดิ้ง แอนด์ แมทเทรส อินดัสตรี จำกัด 13.ชมรมเพลินไทย สมัยนิยม 14.นางเยาวเรศ ชินวัตร

Advertisement

“หมอชลน่าน” เตรียมยกระดับหลักประกันสุขภาพ ใช้บัตรประชาชนใบเดียว รักษาได้ทุกที่

People Unity News : 6 กันยายน 2566 ที่ทำเนียบรัฐบาล – “หมอชลน่าน” เตรียมยกระดับหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ใช้บัตรประชาชนใบเดียวรักษาได้ทุกที่ เริ่มเมื่อไหร่ ขอเวลาศึกษาก่อน

นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงนโยบายสิ่งแรกที่จะดำเนินการของกระทรวงสาธารณสุข ว่า รอฟังนโยบายที่จะแถลงก่อน ส่วนจะรื้อฟื้นนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรคกลับมาใช้หรือไม่ เป็นการยกระดับนโยบายเดิมและปรับเปลี่ยนให้ดีขึ้น

ส่วนที่เดิมเป็นโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าโดยไม่ต้องจ่ายเงิน 30 บาท นโยบายใหม่นี้จะต้องกลับมาจ่ายเงิน 30 บาทหรือไม่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า เป็นโครงการเดิมสมัยรัฐบาลไทยรักไทย เดิมผู้เข้ารับบริการจะเสียเงิน 30 บาท แต่เมื่อปรับปรุงมาเรื่อย ๆ ก็ไม่ต้องจ่ายเงิน ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีรายได้

“นโยบายใหม่จะไม่พูดถึงเรื่องการเงิน และเป็นการยกระดับให้ประชาชนเข้าถึงการให้บริการมากขึ้นโดยใช้บัตรประชาชนเพียงใบเดียว สามารถเข้ารับการรักษาได้ทุกที่ ซึ่งจะครอบคลุมทั้งในเรื่องสุขภาพและประสิทธิภาพ เมื่อระบบมีความสมบูรณ์สามารถดำเนินการได้ทันที ส่วนจะใช้ระยะเวลานานเท่าใด ขอไปดูรายละเอียดก่อน” นพ.ชลน่าน กล่าว

Advertisement

เด็กไทย 1 ใน 4 พัฒนาการช้า กระทบสมอง เสี่ยงซึมเศร้า

People Unity News : 25 สิงหาคม 2566 เด็กไทย 1 ใน 4 พัฒนาการล่าช้า กระทบสมอง เสี่ยงซึมเศร้า ซ้ำ น้ำหนัก/ส่วนสูงไม่ถึงเกณฑ์ สสส. สานพลังภาคี ผุดนวัตกรรมคู่มือ “สามเหลี่ยมสมดุล : วิ่งเล่น กินดี นอนพอ” สร้างสุขภาพที่ดีแก่เยาวชน ขยายผลใช้ 43 โรงเรียนในสังกัด กทม. สช. กระทรวงมหาดไทย

เมื่อวันที่ 25 ส.ค. 2566 ที่โรงเรียนอัสสัมชัญแผนกประถม กรุงเทพฯ นางเบญจมาภรณ์ ลิมปิษเฐียร ผู้ช่วยผู้จัดการอาวุโส สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า จากข้อมูลพัฒนาการเด็กปฐมวัยของไทย ปี 2565 โดยกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข พบว่า เด็กไทย 25% หรือ 1 ใน 4 มีพัฒนาการไม่สมวัย มีผลกระทบต่อสมอง ร่างกายผอม-อ้วนเกิน และจิตใจ การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังส่งผลให้เด็กมีกิจกรรมทางกายเพียงพอลดลง จากเดิม 24.4% ในปี 2562 เหลือ 17.7% ในปี 2565 หรือเทียบเท่าเด็กไทย 3 ใน 4 คนมีกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอ สสส. สานพลังภาคีเครือข่าย เร่งขับเคลื่อนกระบวนการสร้างเสริมสุขภาพเด็กและเยาวชน พัฒนานวัตกรรม “สามเหลี่ยมสมดุล” คู่มือสำหรับดูแลเด็ก 6-12 ปี ทั้งในบ้านและโรงเรียน มีองค์ประกอบสำคัญ 3 ด้าน 1.การนอนหลับ 2.การกิน 3.การเล่นหรือการขยับร่างกายที่เหมาะสม 3 สิ่งนี้มีความสำคัญต่อการเจริญเติบโต พัฒนาการ และสุขภาพกายใจของเด็ก

“แคมเปญ “สามเหลี่ยมสมดุล” ได้นำไปใช้ขยายผล ผ่านการจัดกิจกรรมห้องเรียนสร้างเด็กสมดุลใน 4 ภูมิภาค พร้อมขยายผลใน 43 โรงเรียนทั่วประเทศ มีผู้ปกครอง คุณครูเข้าร่วมกิจกรรม 282 คน สำหรับในปี 2567 มุ่งส่งต่อแคมเปญสามเหลี่ยมสมดุลผ่านการจัดค่ายปิดเทอมเด็ก ห้องเรียนพ่อแม่ คาราวานสัญจรร่วมกับองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) รวมถึงโปรแกรมช่วยบันทึกพัฒนาการคุณหนู ผ่านแอปพลิเคชัน Persona Health ทั้งนี้ ติดตามสื่อการเรียนรู้และข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่https://resourcecenter.thaihealth.or.th เฟซบุ๊กแฟนเพจ ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ (สสส.) Line@เครือข่ายพันธมิตร และ www.childimpact.co” นางเบญจมาภรณ์ กล่าว

ดร.สง่า ดามาพงษ์ ที่ปรึกษากรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข และผู้ทรงคุณวุฒิ สสส. กล่าวว่า เด็กไทยอายุ 6-14 ปี มีภาวะน้ำหนักเกินและอ้วนสูงถึง 15.5% ในขณะที่ผอม 5.5% และเตี้ย 3.2% สาเหตุหลักเกิดจากพฤติกรรมด้านอาหารและโภชนาการที่ไม่พึงประสงค์ อาทิ กินผัก ผลไม้ไม่เพียงพอถึง 72% กินขนมกรุบกรอบมากกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ กว่า 50% และดื่มเครื่องดื่มที่มีรสหวาน 71.3% ซึ่งเกิดจากผู้ใหญ่ขาดเครื่องมือในการสร้างเด็กให้มีความฉลาดรอบรู้ด้านโภชนาการ และไม่ได้สร้างสิ่งแวดล้อมให้เอื้อต่อการเข้าถึงอาหารที่เป็นมิตรต่อสุขภาพ นวัตกรรม “สามเหลี่ยมสมดุล” เป็นการสร้างระบบและกลไกให้เกิดความเชื่อมโยงระหว่างโรงเรียน สู่บ้าน และชุมชน ช่วยให้เด็กเข้าถึงอาหารที่ดีต่อสุขภาพ

รศ.ดร.ปิยวัฒน์ เกตุวงศา ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาองค์ความรู้ด้านกิจกรรมทางกายประเทศไทย (ทีแพค) สนับสนุนโดย สสส. กล่าวว่า มิติด้านการเล่น จากการติดตามเฝ้าระวังพฤติกรรมพบว่า เด็กและเยาวชนไทยกำลังเผชิญกับภาวะการขาดการเคลื่อนไหวร่างกายที่เพียงพอ แต่กลับมีพฤติกรรมการใช้หน้าจอและพฤติกรรมเนือยนิ่งที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 มาจนถึงปัจจุบัน โดยร้อยละของเด็กและเยาวชนไทยที่มีกิจกรรมทางกาย วิ่งเล่น ออกแรงเคลื่อนไหวที่เพียงพอ ปี 2565 ลดเหลือเพียง 16% น้อยกว่าในปี 2564 ที่อยู่ที่ 24% และใกล้เคียงกับในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปี 2563 ที่อยู่ที่ร้อยละ 17% ขณะที่ร้อยละของเด็กและเยาวชนที่ใช้หน้าจออิเล็กทรอนิกส์ในวัตถุประสงค์เพื่อความบันเทิงไม่เกิน 2 ชั่วโมงต่อวัน ก็ลดลงจาก 26% มาอยู่ที่ 15% เท่านั้น สะท้อนว่าวิถีชีวิตเด็กและเยาวชนมีความไม่สมดุล และต้องการการสนับสนุนจากครอบครัว โรงเรียน และชุมชนอย่างใกล้ชิด

ดร.เจษฎา อานิล ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายสื่อสารองค์กร คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า เด็กที่นอนน้อยกว่า 9 ชั่วโมงต่อวัน สมองจะมีพัฒนาการที่แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในบริเวณสมองที่เกี่ยวข้องกับความจำ สติปัญญา และสุขภาพจิต เมื่อเทียบกับเด็กในวัยเดียวกันที่นอน 9 ชั่วโมงหรือมากกว่าต่อวัน นอกจากนี้ภาวะนอนน้อยในเด็กยังสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของภาวะซึมเศร้า ความวิตกกังวล และพฤติกรรมหุนหันพลันแล่น พัฒนาการของเด็กนอกจากต้องกินดี มีประโยชน์ วิ่งเล่นอย่างเหมาะสมอย่างน้อย 60 นาทีต่อวัน การนอนให้พอ เป็นกุญแจสู่พัฒนาการที่ดี สร้างเด็กสมดุล

Advertisement

จิตแพทย์แนะนำหลักคิดไตร่ตรองก่อนเชื่อกรณี “ครูกายแก้ว”

People Unity News : 17 สิงหาคม 2566 จิตแพทย์ชี้ความเชื่อ “ครูกายแก้ว” เป็นการสร้างสตอรี่มาผนวกเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ อาจไม่ใช่เรื่องจริง ไม่ตามกับการสร้างเรื่องราวในอดีต เรื่องความเชื่อ ทั้งลูกเทพ และจตุคามรามเทพ แนะให้หลักคิดหากเผชิญทุกข์ต้องมุ่งแก้ไขอย่ารอให้ใครมาดลบันดาล

นพ.ยงยุทธ วงค์ภิรมย์ศานติ์ ที่ปรึกษากรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงกรณีความเชื่อเรื่อง “ครูกายแก้ว” ว่า เรื่องนี้ก็เหมือนกับความเชื่อทั่วไปที่เกิดขึ้นในคนที่มีความไม่มั่นคงทางจิตใจ ต้องนำเรื่องของความเชื่อเข้ามาช่วยสนับสนุน ความคิดและการกระทำ เทคนิคที่จะทำให้ความเชื่อนั้น น่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น คือ การสร้างสตอรี่ หรือเรื่องราวมาผนวกกัน สูตรเดิมที่เคยมีมาก่อนเหมือนกับจตุคามรามเทพ หรือกุมารทอง หรือตุ๊กตาลูกเทพ โดยคราวนี้จะเห็นว่ามีการอ้างว่า ครูกายแก้ว มาจากเขมร หรือเป็นอาจารย์ของท่านใดก็ตาม เรื่องนี้ต้องแยกออกจากกันว่า สตอรี่คือการสร้างเรื่องราว อาจไม่ใช่ข้อเท็จจริง เพียงแต่เสริมเติมแต่งให้คนเกิดความเชื่อ และศรัทธา ดังนั้นอยากให้ทุกคนนำหลักคิดนี้ไปใช้ เพื่อไตร่ตรองก่อนจะเชื่อสิ่งใด เพราะต้องเข้าใจว่า ทุกครั้งที่คนเราประสบปัญหาจะมีคนอยู่ 3 ประเภท ได้แก่ 1.มุ่งแก้ไขปัญหาโดยปราศจากความเชื่อ คนกลุ่มนี้ไม่น่าเป็นห่วง 2.มีแต่ความเชื่อแต่ไม่มุ่งแก้ไข คนเหล่านี้จะมีพฤติกรรม อยู่เฉย ๆ จนสถานการณ์ต่าง ๆ คลี่คลายไป หากไม่มีอะไรร้ายแรง ก็จะเชื่อว่าสิ่งที่ตนนับถือศรัทธานั้นดลบันดาล และ 3.คนที่ทั้งเชื่อ และมุ่งแก้ไข คนกลุ่มนี้ ไม่น่ากังวลเท่ากับคนกลุ่มที่ 2 เพราะยังแก้ไข ทั้งเชื่อและดำเนินการแก้ไขไปด้วยกัน ดังนั้นการจะเชื่อและศรัทธาอะไร อย่าลืมที่จะต้องแก้ไขและพัฒนาชีวิตตนเองไปด้วย

Advertisement

 

ครอบคลุมคนไทยทุกสิทธิ “ผ้าอ้อมผู้ใหญ่-แผ่นรองซับ”

People Unity News : 13 สิงหาคม 2566 โครงการผ้าอ้อมผู้ใหญ่และแผ่นรองซับสำหรับผู้ป่วยติดเตียงหรือมีปัญหาการกลั้นขับถ่าย ครอบคลุมคนไทยทุกสิทธิแล้ว สามารถแจ้งรับสิทธิที่สายด่วน 1330 หรือลงทะเบียน รพ.สต. ศูนย์บริการสาธารณสุขใกล้บ้าน อบต.-เทศบาล

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตามที่คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) ได้บรรจุให้ผ้าอ้อมผู้ใหญ่และแผ่นรองซับเป็นสิทธิประโยชน์บริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ตั้งแต่วันที่ 2 พ.ค. 2565 โดยได้ดำเนินการภายใต้กองทุนหลักประกันสุขภาพท้องถิ่น (กปท.) ที่ สปสช.ร่วมดำเนินการกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ทั่วประเทศ

อย่างไรก็ตาม ด้วยข้อจำกัดด้านกฎหมาย ทำให้ที่ผ่านมาโครงการได้ดำเนินการเฉพาะกลุ่มผู้มีสิทธิบัตรทอง 30 บาท ซึ่งรัฐบาลโดยกระทรวงสาธารณสุขและ สปสช. ได้มีความพยายามแก้ไขข้อจำกัดดังกล่าว เพื่อให้โครงการนี้ครอบคลุมผู้ป่วยติดเตียงและผู้มีปัญหาการกลั้นขับถ่ายทุกสิทธิ กระทั่งได้มีมติคณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อวันที่ 18 ก.ค. 66 ที่ยืนยันว่า สปสช. สามารถดำเนินบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคให้กับคนไทยทุกคน จึงมีผลให้ปัจจุบันโครงการผ้าอ้อมผู้ใหญ่และแผ่นรองซับครอบคลุมคนไทยทุกสิทธิแล้ว

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ทางด้านหลักเกณฑ์ต่างๆ ก็ได้มีออกมารองรับเรียบร้อยแล้ว ได้แก่ ประกาศคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์การดำเนินงานและการบริหารจัดการกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 และหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการรับค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุขของหน่วยบริการ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2566

ทั้งนี้ ภายหลังมีความชัดเจนทางกฎหมาย จะทำให้เจ้าหน้าที่ของ อปท. ซึ่งดำเนินการกองทุน กปท. เกิดความมั่นใจว่าการจัดทำโครงการผ้าอ้อมและแผ่นรองซับสามารถให้การดูแลให้ผู้ป่วยทุกสิทธิไม่เฉพาะผู้มีสิทธิบัตรทองเท่านั้น ซึ่งขณะนี้ สปสช. อยู่ระหว่างการประชาสัมพันธ์เชิญชวนให้ อปท. ทั่วประเทศที่มีการจัดตั้งกองทุน กปท. ที่ปัจจุบันมีอยู่ 7,753 แห่ง ร่วมจัดทำโครงการนี้เพื่อให้ดูแลผู้ป่วยได้ครอบคลุมมากขึ้น จากปัจจุบันที่มี อปท. จัดทำโครงการแล้ว 1,876 แห่ง รวม 2,295 โครงการ ดูแลผู้ป่วยทั่วประเทศอยู่ 44,667 คน

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สำหรับคุณสมบัติผู้ที่จะได้สิทธิตามโครงการนั้นจะต้องเป็นผู้ป่วยติดเตียง หรือ ผู้มีปัญหากลั้นปัสสาวะหรืออุจจาระไม่ได้ ไม่จำกัดอายุ โดยจะได้รับไม่เกิน 3 ชิ้นต่อคนต่อวัน ซึ่งปัจจุบัน สปสช. มีฐานข้อมูลผู้ป่วยติดเตียงและผู้มีปัญหาการกลั้นการขับถ่ายอยู่ประมาณ 50,000 คน ซึ่งในบางพื้นที่จะมีเจ้าหน้าที่ติดต่อไปยังครอบครัวและว่าผู้ป่วยได้รับสิทธิผ้าอ้อมผู้ใหญ่

แต่หากครอบครัวใดมีผู้ป่วยอยู่และยังไม่มีเจ้าหน้าที่ติดต่อไป ขอให้ดำเนินการแจ้งขอรับสิทธิโดยการโทรสายด่วน สปสช. 1330 เพื่อเจ้าหน้าที่รับเรื่องและส่งให้พื้นที่ดำเนินการตามขั้นตอน หรือติดต่อลงทะเบียนได้ ที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) หรือศูนย์บริการสารธารณสุขใกล้บ้าน (ไม่จำเป็นต้องเป็นที่อยู่ตามบัตรประชาชน) หรือที่องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) หรือเทศบาล

Advertisement

Verified by ExactMetrics