วันที่ 6 พฤษภาคม 2024

รัฐบาลยันเตียงผู้ป่วยโควิด19 เพียงพอ เผยใน กทม. มี 20,652 เตียง ยังว่างอยู่ 7,905 เตียง

People Unity News : รัฐบาลยืนยันเตียงผู้ป่วยโควิด19 เพียงพอ ขยายเพิ่ม 1 พัน รองรับผู้ป่วยมีอาการ คุมเข้มการระบาดแคมป์คนงาน

วันนี้ (22 พ.ค.64) นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ผู้ติดเชื้อโควิด19 รายใหม่ ที่พบว่ามีเพิ่มขึ้นมากในพื้น กทม.และปริมณฑล นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในที่ประชุม ศบค. วันนี้ (22 พ.ค.) ได้ติดตามความพร้อมของจำนวนเตียงผู้ป่วยกลุ่มสีแดง (อาการหนัก) และเหลือง (มีอาการ) เพื่อให้มั่นใจว่ามีเพียงพอต่อการรองรับแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยมีอาการ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขรายงานว่า จากข้อมูลระบบ Co-ward ณ วันที่ 20 พ.ค. มีจำนวนเตียงทั้งหมดในโรงพยาบาล โรงพยาบาลสนาม และ Hospitel ในพื้นที่ กทม. จำนวน 20,652 เตียง ผู้ป่วยครองเตียง  61% ยังว่างอยู่ 7,905 เตียง ในพื้นที่เขตสุขภาพ 1-12 จำนวน 40,648 เตียง ผู้ป่วยครองเตียง 39% ว่างอยู่ 24,786 เตียง และหากแบ่งตามอาการความรุนแรง จากข้อมูลทั่วประเทศ มีผู้ป่วยครองเตียง ระดับสีแดง 69% ระดับสีเหลือง 54% และระดับสีเขียว 44%

ส่วนพื้นที่ กทม.และปริมณฑลซึ่งมีผู้ติดเชื้อโควิด19 เกินกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนผู้ติดเชื้อทั้งหมดทั่วประเทศ ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขได้มีแผนขยายจำนวนเตียงโรงพยาบาลบุษราคัมอีก 1 พันเตียง เพื่อรองรับผู้ป่วยมีอาการที่มีจำนวนเพิ่มขึ้น ในภาพรวมมีการบริหารจัดการที่ดี มีบุคลากรทางการแพทย์สลับเข้ามาดูแล  ใช้กล้องซีซีทีวีเพื่อติดตามดูแลผู้ป่วยด้วย และกระทรวงฯยังได้ประสานโรงพยาบาลเอกชนเพื่อเพิ่มจำนวนเตียงรองรับผู้ป่วยอาการหนักด้วย ซึ่งแนวทางการจัดการเตียงในทุกโรงพยาบาล หากผู้ป่วยอาการหนักมีอาการดีขึ้น ก็จะได้รับการส่งต่อไปรับการดูแลโรงพยาบาลกลุ่มสีเหลืองที่ดูแลผู้ป่วยอาการไม่มากต่อไป

สำหรับผู้ติดเชื้อโควิด19 ที่พบในกลุ่มแรงงานต่างด้าวเป็นคลัสเตอร์ กระจายอยู่ในแคมป์ก่อสร้างในหลายเขตของ กทม.นั้น คณะกรรมการโรคติดต่อ กทม. เห็นชอบแนวทางการควบคุมพื้นที่แคมป์คนงานก่อสร้าง เขตหลักสี่ โดย 1)ไม่ให้มีการเคลื่อนย้ายแรงงาน 2)จัดการดูแลสุขอนามัยของผู้ที่อยู่ในแคมป์ 3)ส่งมอบอาหาร 4)จัดทีมแพทย์ดูแลรักษาเบื้องต้นแก่ผู้ติดเชื้อที่อยู่ภายใน และ 5)หากพบผู้มีอาการป่วยจะนำส่งโรงพยาบาลต่อไป ส่วนการดูแลแคมป์คนงานก่อสร้างอื่นๆ จะแบ่งเป็น 2 ลักษณะคือ 1) แคมป์คนงานก่อสร้างที่อยู่ในพื้นที่เดียวกับสถานที่ก่อสร้าง หากพบผู้ติดเชื้อให้ดำเนินการควบคุมพื้นที่เช่นเดียวกับแคมป์คนงานเขตหลักสี่ โดยผู้ที่อยู่ภายในยังสามารถทำงานได้ตามปกติ และ 2) แคมป์คนงานก่อสร้างที่ไม่ได้อยู่พื้นที่เดียวกับสถานที่ก่อสร้าง ให้กักตัวผู้ที่ติดเชื้อในพื้นที่แคมป์ซึ่งเจ้าของต้องจัดให้เหมาะสม ภายใต้การดูแลของสำนักงานเขตและสำนักอนามัย และผู้ที่ไม่ติดเชื้อที่ต้องเดินทางไปทำงานจะต้องแจ้งเส้นทางการเดินทางต่อเขตต้นทางและปลายทาง โดยจะต้องไม่จอดหรือหยุดพักระหว่างทาง และปฏิบัติตามมาตรการอื่นๆที่กำหนดอย่างเคร่งครัด พร้อมกันนี้ สำนักอนามัยจะจัดทีมลงพื้นที่เสี่ยงเพื่อตรวจค้นหาผู้ป่วยเชิงรุก ต่อเนื่องจนถึงวันที่ 30 ก.ย. หมุนเวียน 6 กลุ่มเขต เพื่อลดการเดินทางของประชาชนให้ได้มากที่สุดด้วย

“นายกรัฐมนตรีห่วงใยและติดตามการดำเนินการในพื้นที่ กทม.และจังหวัดโดยรอบอย่างใกล้ชิด ยืนยันดูแลทุกชีวิตให้ดีที่สุด ไม่อยากให้เกิดความสูญเสีย มั่นใจแนวทางที่สาธารณสุข กทม.และหน่วยงานต่างๆที่ร่วมกันดำเนินการอยู่นี้ครอบคลุมการเร่งค้นหาผู้ป่วยเชิงรุก การดำเนินการฉีดวัคซีน จะสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้”  นางสาวรัชดากล่าว

Advertising

รฟม.เผย รถไฟฟ้าสีชมพู แคราย-มีนบุรี โดยรวมคืบหน้า 98.03%

People Unity News : 10 กันยายน 2566 การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) แจ้งความคืบหน้าการดำเนินงานโครงการรถไฟฟ้ามหานครสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2566 มีความก้าวหน้าเป็นไปตามแผนงาน โดยมีความก้าวหน้างานโยธา 96.71% งานระบบรถไฟฟ้า M&E 98.35% และความก้าวหน้าโดยรวม 98.03%

โดยในส่วนของงานโยธาของโครงการฯ ปัจจุบันผู้รับสัมปทานโครงการฯ อยู่ระหว่างการเก็บรายละเอียดของงานสถาปัตยกรรมและเตรียมความพร้อมของงานระบบไฟฟ้าในแต่ละสถานี เช่น การตกแต่งสถานี ห้องควบคุมระบบไฟฟ้า ห้องจำหน่ายตั๋ว ชั้นจำหน่ายตั๋ว เป็นต้น โดยในส่วนของสถานีแจ้งวัฒนะ14 (PK11) สถานีศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ (PK12) และสถานีโทรคมนาคมแห่งชาติ (PK13) อยู่ระหว่างการดำเนินการรื้อย้ายระบบสาธารณูปโภค ก่อนเตรียมดำเนินการติดตั้งบันไดทางขึ้น-ลง โดย รฟม. ได้กำชับให้ผู้รับสัมปทานเร่งดำเนินงานให้แล้วเสร็จโดยเร็ว รวมทั้งเร่งรัดการคืนผิวจราจรบนถนนรามอินทรา ถนนแจ้งวัฒนะ ถนนสีหบุรานุกิจ และถนนติวานนท์ ซึ่งเป็นแนวสายทางโครงการฯ เพื่ออำนวยความสะดวกและปลอดภัยในการเดินทางให้แก่ผู้ใช้รถใช้ถนน

สำหรับด้านการเตรียมความพร้อมเพื่อเปิดให้บริการโครงการฯ นั้น ปัจจุบันผู้รับสัมปทานโครงการฯ ยังอยู่ระหว่างการทดสอบเดินรถเสมือนจริง (Trial Run) ในช่วงแรก จากสถานีศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ (PK12) ถึง สถานีมีนบุรี (PK30) ซึ่งการทดสอบดังกล่าวยังไม่แล้วเสร็จ ทั้งนี้ รฟม. ได้มอบหมายให้ที่ปรึกษาควบคุมโครงการฯ กำกับดูแลและติดตามผลการทดสอบเดินรถอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งรายงานปัญหา อุปสรรคต่างๆ ให้ รฟม. ทราบเป็นระยะ เพื่อนำมาพิจารณาความพร้อมและความเหมาะสมของแผนงาน โดยคำนึงถึงความปลอดภัยสูงสุดและความสะดวกในการเข้าถึงบริการของประชาชนเป็นสำคัญ

ทั้งนี้ เมื่อการดำเนินงานทั้ง 2 ส่วนข้างต้น ได้แก่ การทดสอบเดินรถเสมือนจริง และงานโยธาแล้วเสร็จ วิศวกรอิสระ (ICE) และ รฟม. จะดำเนินการตรวจสอบและประเมินความพร้อมในภาพรวมทั้งหมดของโครงการ เพื่อให้การดำเนินงานมีความปลอดภัยตามมาตรฐานในระดับสากล และเมื่อผ่านเกณฑ์การประเมินตามมาตรฐานสากลแล้วนั้น รฟม. จึงจะพิจารณาให้ผู้รับสัมปทานเปิดให้บริการเดินรถไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบ (Full Operation) เชิงพาณิชย์ได้ พร้อมทั้งแจ้งกำหนดการเปิดให้ประชาชนได้ทดลองใช้บริการรถไฟฟ้าสายสีชมพูฯ และกำหนดการเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการให้ประชาชนได้รับทราบต่อไป

ในส่วนของโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูส่วนต่อขยาย ช่วงสถานีศรีรัช-เมืองทองธานี ปัจจุบันมีความก้าวหน้างานโยธา 36.86% งานระบบรถไฟฟ้า M&E 19.12% และความก้าวหน้าโดยรวม 30.23% โดยตามแผนงานคาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ภายในปี 2568

Advertisement

กระทรวงวัฒนธรรม ชู “เทศกาลงานประเพณี” 16 เทศกาล ส่งเสริมท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

People Unity News : กระทรวงวัฒนธรรม ชู “เทศกาลงานประเพณี” 16 เทศกาล ส่งเสริมท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ขับเคลื่อน “Soft Power” กระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก

25 มีนาคม 65 นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยว่า กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ได้คัดเลือกงานเทศกาล/ประเพณี ที่มีความโดดเด่นในจังหวัดต่างๆ ที่สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด (สวจ.) กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันคัดเลือก เป็นงานเทศกาลและประเพณี 16 กิจกรรม เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่ประเทศ ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม สร้างเศรษฐกิจฐานราก สร้างงาน สร้างรายได้แก่ชุมชน

งานเทศกาลและประเพณีจำนวน 16 เทศกาล จะจัดขึ้นในระหว่างเดือนเมษายน – กันยายน 2565 ประกอบด้วย

📌 เดือนเมษายน 4 เทศกาล ได้แก่ 1.ประเพณีแห่สลุงหลวง สืบสานกลองใหญ่ ปีใหม่เมืองนครลำปาง จ.ลำปาง 2. ประเพณีภูไทรำลึก จ.สกลนคร 3.ประเพณีปอยส่างลอง จ.แม่ฮ่องสอน 4. ประเพณีแห่ช้างบวชนาคไทยพวน บ้านหาดเสี้ยว จ.สุโขทัย

📌 เดือนพฤษภาคม 3 กิจกรรม ได้แก่ 1. ประเพณีบวชนาคบนหลังช้าง จ.สุรินทร์ 2. ประเพณีเวียนเทียนทางน้ำกลางกว๊านพะเยา จ.พะเยา 3. ประเพณีสืบสานงานนมัสการหลวงพ่อพระสุก จ.ยโสธร

📌เดือนมิถุนายน 2 กิจกรรม ได้แก่ 1. เทศกาลเสน่ห์ชุมชน ยลวิถีย่านเมืองเก่า“วิวาห์บาบ๋าภูเก็ต” จ.ภูเก็ต 2. มหกรรมสืบสานตำนานวันสุนทรภู่ กวีเอกของโลก

📌เดือนกรกฎาคม 4 กิจกรรม ได้แก่ 1. ประเพณีแห่ผ้าพระราชทานในสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ห่มพระบรมธาตุสวี จ.ชุมพร 2. ประเพณีบูชาพระธาตุ ย้อนรอยประวัติศาสตร์เมืองคนดี จ.สุราษฎร์ธานี 3. ประเพณีสืบสานวัฒนธรรมสี่เผ่าไทศรีสะเกษ จ.ศรีสะเกษ 4. ประเพณีห่มผ้าพระนอน จ.อ่างทอง

📌เดือนสิงหาคม 3 กิจกรรม ได้แก่ 1. เทศกาลหนังใหญ่วัดขนอน จ.ราชบุรี  2. ประเพณีทิ้งกระจาด จ.สุพรรณบุรี  3. มหกรรมสืบสานพหุวัฒนธรรม งานของดีเมืองนรา จ.นราธิวาส

การจัดงานเทศกาลและประเพณีทั้ง 16 เทศกาล เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากในจังหวัด ช่วยให้มีนักท่องเที่ยวทั้งในพื้นที่ จังหวัดใกล้เคียง นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเพิ่มมากขึ้น เกิดการสร้างรายได้ให้แก่ชุมชน ผู้ประกอบการ ผู้ให้บริการด้านการท่องเที่ยว อาหาร ที่พัก การเดินทาง ศิลปินพื้นบ้าน ผลิตภัณฑ์และบริการทางวัฒนธรรมสูงยิ่งขึ้น

Advertising

ตั้มแปดริ้วแจกฟรี! พระหลวงพ่อพุทธโสธร 3,000 องค์ พิธีต้อนรับขบวนแห่หลวงพ่อพุทธโสธรทางน้ำ

People Unity News : ตั้มแปดริ้วแจกฟรี! พระหลวงพ่อพุทธโสธร 3,000 องค์ พิธีต้อนรับขบวนแห่หลวงพ่อพุทธโสธรทางน้ำ วันที่ 10 พ.ย.2562

หลวงพ่อโสธร เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองแปดริ้ว ซึ่งด้วยบุญญาภินิหารของท่านได้คุ้มครองชาวจังหวัดฉะเชิงเทราให้อยู่เย็น เป็นสุขมาช้านาน

การจัดงานนมัสการหลวงพ่อพระพุทธโสธรจึงได้จัดต่อเนื่องกันมานับร้อยปี จนกลายเป็นงานประเพณีประจำปีที่สำคัญของจังหวัดฉะเชิงเทรา ภายในงาน ชมขบวนแห่องค์พระพุทธโสธรอย่างยิ่งใหญ่ทั้งทางบกและทางน้ำ พร้อมร่วมนมัสการหลวงพ่อโสธร เพื่อความเป็นสิริมงคล อีกทั้งยังมีกิจกรรมต่าง ๆ มากมาย เช่น การแข่งเรือยาวประเพณี การออกร้านกาชาดจังหวัดฉะเชิงเทรา การออกร้านจำหน่ายสินค้าราคาถูก ของดีเมืองแปดริ้ว การแสดงคอนเสิร์ตจากศิลปินชื่อดัง โดยกำหนดวันจัดงานดังนี้

วันที่ 8 พ.ย. 2562 เวลา 05.19 น. เป็นต้นไป พิธีการบวงสรวงสถานที่สำคัญ 4 แห่ง ได้แก่ องค์หลวงพ่อพุทธโสธร, ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง, พระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 5, กรมหมื่นมรุพงษ์ศิริพัฒน์ ข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลปราจีนบุรี เวลา 07.00 เป็นต้นไป ชมขบวนแห่หลวงพ่อโสธรทางบก

วันที่ 9 พ.ย. 2562 เวลา 14.00 น. รับกฐินพระราชทาน ณ พระอุโบสถวัดโสธรวรารามวรวิหาร

วันที่ 10 พ.ย. 2562 เวลา 06.30 น. เป็นต้นไป ขบวนแห่หลวงพ่อโสธรทางน้ำ เริ่มจากท่าน้ำวัดโสธรวรารามวรวิหาร สู่อำเภอบางปะกง เวลา 17.30 น. ชมมหกรรมดนตรีไทย เวลา 18.00 น. ชมมหรสพสมโภช ลิเก งิ้ว งานประจำปีหลวงพ่อโสธร

วันที่ 11 พ.ย. 2562 เวลา 06.30 น. เป็นต้นไป ขบวนแห่หลวงพ่อโสธรทางน้ำ เริ่มจากท่าน้ำวัดโสธรวรารามวรวิหาร สู่อำเภอบางคล้า เวลา 08.00 น. เป็นต้นไป ชมการแข่งขันเรือพาย ณ ริมแม่น้ำบางปะกง วัดโสธรวรารามวรวิหาร เวลา 18.00 น. ลอยกระทง และชมมหรสพสมโภช ลิเก งิ้ว งานประจำปีหลวงพ่อโสธร

วันที่ 12 พ.ย. 2562 เวลา 18.00 น. ชมมหรสพสมโภช ลิเก งิ้ว งานประจำปีหลวงพ่อโสธร

ในงานนมัสการหลวงพ่อโสธรปี 2562 นี้ นายกิตติ พจนานุภาพ หรือ ตั้ม 8 ริ้ว นายกสมาคมจิตรางค์คนางค์อนุรักษ์พระเครื่องไทย ได้เคยบอกไว้ว่า ไม่สามารถแจกพระของหลวงปู่ทิมให้กับคนทั้งประเทศได้ แต่ท่านสามารถสร้างพระที่มีมวลสารจากวัตถุมงคล ของหลวงปู่ทิม เพื่อแจกให้ประชาชนคนไทยทั้งประเทศได้บูชาได้ ดังนั้นจึงมีการรวมบุญร่วมสร้าง หล่อพระหลวงพ่อโสธร เพื่อให้ประชาชนได้นำไปบูชาเพื่อความเป็นสิริมงคล ในพิธีการหล่อ “พระหลวงพ่อพุทธโสธร รุ่น อยู่ ดี มี สุข” นายอำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา ได้ให้เกียรตอมาเป็นประธานในพิธี ในการเททองหล่อพระ โดยมีนายสินชัย แทนศร นายกเทศมนตรี เทศบาลตำบลท่าสะอ้าน อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา เป็นผู้จัดสร้าง เพื่อแจกให้ประชาชนผู้ที่มาร่วมงานพิธี ต้อนรับขบวนแห่ หลวงพ่อพุทธโสธรทางน้ำ

ในวันอาทิตย์ ที่ 10 พฤศจิกายน 2562 จะมีการแจก หลวงพ่อพุทธโสธร รุ่น อยู่ ดี มี สุข สร้างทั้งหมดเพียง 3,000 องค์ เท่านั้น

พระที่มาสวดในพิธีนำโดยเจ้าอาวาสวัดใหม่อมตรส หรือวัดบางขุนพรม

“พระหลวงพ่อพุทธโสธร รุ่น อยู่ ดี มี สุข” ที่ตั้มแปดริ้ว ได้นำเป็นชนวนมวลสารในการหล่อพระ มีดังนี้

– พระกริ่งชินบัญชรก้นอุดผงพรายกุมาร

– เหรียญเสมา 8 รอบ หลวงปู่ทิม อิสริโก

– พระนาคปรกไตรมาสหลวงปู่ทิม 2518

– เหรียญเสมาหลวงพ่อโสธร 2509

ชนวนมวลสาร หลวงพ่อ ณโอ่งหลวงพ่อณะโอ่ง สำนักปฎิบัติธรรมบ้านยุบพริก ต.บ่อนอก อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์ ท่านได้เมตตา ให้แผ่นยันต์ชนวน ปลุกเสกมานานหลายพรรษา จำนวน 7 แผ่น โดยแต่ล่ะแผ่นจะมีพุทธคุณพิเศษที่แตกต่างกันไป 1. ยันต์คู่ชีวิต เอาไว้เพื่อส่งเสริมฤทธิ์อำนาจ และเพื่อเสริมดวงชะตา 2.ยันต์พระเจ้า 16 พระองค์เป็นยันต์คงกระพันชาตรี 3. ยันต์เกราะเพชร 4.ยันต์ จตุโลก รวมถึงหลวงพ่อณะโอ่งท่านได้เมตตาที่จะมาร่วมปลุกเสก พระร่วมกับเกจิ ท่านอื่นๆ ในวันงานพิธี

นอกจากนี้แล้วนายเทศมนตรี ตำบลท่าสะอ้านได้นำเสือหลวงพ่อแก่ วัดบางผึ้ง แผ่นทองแดงเกจิอาจารย์ รวมถึงชนวนมวลสารในพิธี ยอดเกศพระอมตมงคลรังสีบางขุนพรมหน้าตัก 69นิ้ว ปี 57 ชนวนพระหลายรุ่น วัดใหม่อมตรส (วัดบางขุนพรม) เหรียญรุ่นแรกวัดใหม่อมตรส (วัดบางขุนพรม)

ในการจัดสร้าง “พระหลวงพ่อพุทธโสธร รุ่น อยู่ ดี มี สุข” เป็นความตั้งใจที่ตรงกันของตั้มแปดริ้ว นายกเทศมนตรี นายกเทศบาลทำบลท่าสะอ้าน ที่จะทำวัตถุมงคลเพื่อแจกจ่ายประชาชน

ขอเรียนเชิญแฟนเพจทุกท่าน มาร่วมงานในครั้งนี้อเข้าดูรายละเอียดได้ที่….

กราบสวัสดีแฟนเพจทุกท่านตามเจตนา ที่ท่านนายกกิตติได้เคยบอกกับแอดมินไว้ว่าท่านนายยกกิตติ…

โพสต์โดย เจ้ากรมหลวงปู่ทิม – นายกกิตติ เมื่อ วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤศจิกายน 2019

ครม.เข้มแก้ปัญหาอาวุธปืน-ยาเสพติด ขออนุญาตมีอาวุธปืนต้องมีใบรับรองแพทย์ ตรวจสุขภาพจิต

People Unity News : 7 กุมภาพันธ์ 2566 ครม.รับทราบ 4 มาตรการเร่งด่วนแก้ปัญหาอาวุธปืน-ยาเสพติด โชว์ผลงานจับผู้ต้องหากระทำผิดอาวุธปืน-ระเบิดได้ 2.7 หมื่นราย กวาดล้างยาบ้า 12.29 ล้านเม็ด อายัดทรัพย์สินเครือข่ายยาเสพติด 11 ล้านบาท

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุม ครม.รับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมาตรการสำคัญแก้ไขปัญหาอาวุธปืนและยาเสพติดตามที่ ครม. มีมติเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2565 ให้กระทรวงยุติธรรมรวบรวมข้อมูลผลการดำเนินการแก้ไขปัญหาอาวุธปืนและยาเสพติดในภาพรวมเสนอต่อครม.ภายใน 90 วัน

“สรุปผลการดำเนินการตามมาตรการฯ รวม 4 ประการ ดังนี้ 1. มาตรการเกี่ยวกับอาวุธปืน  1.1 การอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืน เช่น เพิ่มเติมเอกสารใบรับรองแพทย์ ออกหนังสือรับรองจากหน่วยงานต้นสังกัดหรือนายจ้าง และตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ยื่นคำขออนุญาต นั้น กระทรวงมหาดไทยได้หารือกับกรมสุขภาพจิตและโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยาในเรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการในการตรวจสุขภาพจิตและหาสารเสพติดของผู้ยื่นขอใบอนุญาต และได้ศึกษาแนวทางแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 เพื่อเพิ่มอำนาจให้นายทะเบียนท้องที่ออกคำสั่งให้ผู้ขออนุญาตดำเนินการตรวจสุขภาพจิตและหาสารเสพติดและตรวจสอบประวัติอาชญากรและการรับรองความประพฤติของผู้ขออนุญาตทุกราย” รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า 1.2 กำชับนายทะเบียนท้องที่ให้ตรวจสอบคุณสมบัติผู้ยื่นคำขออนุญาตทั้งก่อนและหลังการออกใบอนุญาตและซักซ้อมแนวทางปฏิบัติให้เป็นไปตามระเบียบที่เกี่ยวข้อง รวมถึงแนวทางการอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัวภายในเขตจังหวัด 1.3 เชื่อมโยงฐานข้อมูล โดยกระทรวงมหาดไทยได้อนุมัติสิทธิให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ส่วนกลาง) สามารถเข้าระบบเพื่อตรวจดูข้อมูลทะเบียนอาวุธปืน และอยู่ระหว่างหารือด้านเทคนิคการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงาน 1.4 กระทรวงมหาดไทยได้เสนอร่างพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. และอยู่ระหว่างการเปิดรับฟังความคิดเห็นในระบบกฎหมายกลางเพื่อจัดการอาวุธปืนที่ไม่ได้รับอนุญาตหรือที่มีกฎหมายห้ามออกใบอนุญาต

“1.5 การป้องกันและปราบปรามในเชิงรุก ได้ดำเนินการตรวจสอบข้อมูลประวัติบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการใช้อาวุธปืน และสืบสวน ปราบปราม ตรวจค้นแหล่งค้า/ผลิตอาวุธปืนผิดกฎหมาย ทั้งนี้ สามารถจับกุมผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืนและวัตถุระเบิด (ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม – 15 ธันวาคม 2565) รวม 29,464 คดี ผู้ต้องหา 27,637 ราย 1.6 กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้ดำเนินการมาตรการทางดิจิทัล เช่น การป้องกันการค้าอาวุธปืนบนแพลตฟอร์มดิจิทัลและเครือข่ายสังคมออนไลน์ และการป้องกันการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่ไม่เหมาะสมในการปิดกั้นแพลตฟอร์มหากมีข้อมูลบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตอันเกี่ยวเนื่องกับอาวุธปืนและยาเสพติด” รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า 2. มาตรการด้านการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด 2.1 การควบคุมสารเคมีที่นำไปใช้ผลิตยาเสพติด เช่น ระงับการส่งออก และชะลอการนำเข้าวัตถุอันตรายบางรายการชั่วคราว ยึดและอายัดวัตถุอันตราย ที่ใช้ในกระบวนการผลิตยาเสพติด โดยอายัดสารโซเดียมไซยาไนด์ 220 ตัน หากนำไปใช้ในกระบวนการผลิตสารตั้งต้นจะสามารถนำไปใช้ในการผลิตยาบ้า 4,840 ล้านเม็ด 2.2 การทำลายเครือข่ายนักค้ายาเสพติดและยึดอายัดทรัพย์สิน เช่น ดำเนินการสืบสวนและขยายผลเพื่อทำลายเครือข่ายการค้ายาเสพติดโดยได้จัดทำรายงานข่าวสารยาเสพติดของเครือข่าย 739 ฉบับและรายงานเป้าหมายบุคคลในเครือข่าย 1,098 คน และสามารถอายัดทรัพย์สิน รวมมูลค่าทั้งสิ้น 11,280 ล้านบาท (ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม – 31 ธันวาคม 2565)

“2.3 การติดตามจับกุมผู้มีหมายจับคดียาเสพติด สามารถดำเนินการเร่งรัดติดตามจับกุมผู้มีหมายจับคดียาเสพติดได้ 88หมายจับ โดยกระทรวงกลาโหมได้เพิ่มความเข้มข้นในการเฝ้าระวังการลักลอบนำเข้า-ส่งออกบริเวณชายแดน ทำให้สกัดกั้นจับกุมยาเสพติด ได้แก่ ยาบ้า 12.29 ล้านเม็ด เฮโรอีน 11 กิโลกรัม ยาไอซ์ 586,956.75 กรัม และยาอี 15,000 เม็ด (ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม – 26 ธันวาคม 2565) และได้ปราบปรามยาเสพติดโดยในเดือนพฤศจิกายน 2565 สามารถจับกุม/ตรวจยึดยาเสพติด ผู้ต้องหา 18 คน ยาบ้า 11.93 ล้านเม็ด ยาไอซ์ 435.1 กิโลกรัม และเคตามีน 9.9 กิโลกรัม”  รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า 2.4 การทำงานร่วมกับหน่วยงานอื่นเพื่อค้นหาผู้เสพยาเสพติดทั่วประเทศ เช่น สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกระทรวงมหาดไทยได้หารือร่วมกันในการบูรณาการฐานข้อมูลผู้เสพ ผู้ติด ผู้มีอาการทางจิตเวช โดยจัดตั้งฐานข้อมูลด้านยาเสพติดที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ Re X-ray ผู้ใช้ ผู้เสพ ผู้ติดยาเสพติด ผู้มีอาการทางจิตเวช 158,333 ราย โดยผู้ใช้ ผู้เสพ เข้าสู่กระบวนการบำบัด 106,937 ราย ผู้มีอาการทางจิตเวชที่มีสาเหตุจากยาเสพติดเข้าสู่กระบวนการบำบัด 25,586 ราย (ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม – 20 ธันวาคม 2565)

“2.5 การตรวจสอบและติดตามข้อร้องเรียนของประชาชน มีการดำเนินการต่อข้อร้องเรียนของประชาชนผ่านสายด่วน 1386 มีการรับเรื่องร้องเรียนทั้งหมด 5,016 เรื่อง ดำเนินการแล้ว 2,256 เรื่อง และดำเนินการปิดล้อมตรวจค้นและจับกุมนักค้ายาเสพติดในพื้นที่ 330 หมู่บ้าน/ชุมชน (ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม – 31 ธันวาคม 2565) 3. มาตรการด้านการบำบัดฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด มีระบบบูรณาการดูแลผู้ป่วยจิตเวชยาเสพติดที่มีความเสี่ยงต่อการก่อความรุนแรง (SMI-V) ระหว่างหน่วยงานภาคีเครือข่าย 30 จังหวัดในพื้นที่ต้นแบบเพื่อลดอัตราการกลับมาเสพซ้ำและไม่ก่อความรุนแรง และเร่งรัดสำรวจศูนย์คัดกรองให้ครอบคลุมทุกตำบล โดยได้ดำเนินการขึ้นทะเบียนศูนย์คัดกรองแล้ว จำนวน 9,473 แห่ง รวมถึงเร่งรัดประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสร้างการมีส่วนร่วมของครอบครัวแล้ว 659 ชุมชน  และจัดตั้งกลุ่มงานจิตเวชในโรงพยาบาลชุมชน 439 แห่ง รวมถึงสนับสนุนการดำเนินงานของสถานฟื้นฟูผู้ติดยา และยื่นขึ้นทะเบียนศูนย์ฟื้นฟูสภาพทางสังคมให้ครอบคลุมทุกจังหวัดถึงระดับตำบล” รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า 4. มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาสุขภาพจิต เช่น จัดทำแนวปฏิบัติในการขอรับการตรวจประเมินปัญหาสุขภาพจิตสำหรับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดตั้งหอผู้ป่วยในจิตเวชและยาเสพติดทุกโรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลทั่วไปให้ครอบคลุม 65 จังหวัด ใน 12 เขตสุขภาพ 97 แห่ง จัดตั้งกลุ่มงานจิตเวชและยาเสพติดในโรงพยาบาลชุมชนให้ครบทุกแห่ง โดยได้ดำเนินการขึ้นทะเบียนแล้ว 1,080 แห่ง และสนับสนุนให้สภาเด็กและเยาวชนเป็นกลไกอบรมเพื่อป้องกันยาเสพติดใน 603 กิจกรรม จำนวน 37,620 คนทั่วประเทศ

Advertisement

“อนุทิน”นำถวายราชสักการะสมเด็จย่า เนื่องในวันพระราชสมภพและวันพยาบาลแห่งชาติ

People Unity : “อนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นำข้าราชการ บุคลากรสายพยาบาลทั้งจากภาครัฐและเอกชน วางพานพุ่มถวายราชสักการะสมเด็จพระศรีนคริทราบรมราชชนนี เนื่องวันคล้ายวันพระราชสมภพและวันพยาบาลแห่งชาติ

วันที่ 21 ต.ค.2562 ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข และนายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นำผู้บริหาร ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ ตัวแทนพยาบาลจากภาครัฐและเอกชน และนักศึกษาพยาบาล ร่วมพิธีวางพานพุ่มถวายราชสักการะสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ณ พระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก และ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และวันพยาบาลแห่งชาติ

นายอนุทินกล่าวว่า วันที่ 21 ตุลาคมของทุกปี เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และรัฐบาลประกาศให้เป็นวันพยาบาลแห่งชาติ ตั้งแต่ พ.ศ. 2533 เป็นต้นมา ซึ่งวันนี้มีความสำคัญยิ่งต่อวิชาชีพการพยาบาล ในฐานะที่พระองค์ท่านทรงสำเร็จการศึกษาวิชาการพยาบาล และตลอดพระชนม์ชีพ ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจในการพัฒนาสุขภาพอนามัยและคุณภาพชีวิตของประชาชน เปี่ยมล้นด้วยพระเมตตา วิริยะอุตสาหะ นำสิริสุขแก่ปวงชน ทุกก้าวพระบาทที่เสด็จไปถึง สมควรเป็นแบบอย่างแก่ผู้ประกอบวิชาชีพการพยาบาล ให้ตระหนักในภารกิจของวิชาชีพแห่งตนว่าเป็นงานบริการสุขภาพที่มีความสำคัญ

ในส่วนของกระทรวงสาธารณสุข พยาบาลนับเป็นบุคลากรที่มีมากที่สุดและเป็นกำลังหลักในระบบริการสาธารณสุข ปัจจุบันมีพยาบาลที่ปฏิบัติงานในกระทรวงสาธารณสุขที่เป็นข้าราชการและจ้างงานอื่นๆ จำนวนประมาณ 110,000 คน โดยปฏิบัติงานสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขประมาณ 100,000 คน ในโรงพยาบาลทุกระดับ โดยพยาบาลที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลชุมชนและโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จะเน้นด้านการรักษาพยาบาลขั้นต้น การส่งเสริมสุขภาพ และการป้องกันโรคไม่ให้เจ็บป่วย

รวมทั้งการฟื้นฟูสุขภาพ ส่วนในโรงพยาบาลใหญ่ คือโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป เน้นด้านการรักษาพยาบาลผู้ป่วยที่มีความยุ่งยากซับซ้อนต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูง อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการที่มีคุณภาพ อย่างทั่วถึง สะดวก และรวดเร็ว กระทรวงสาธารณสุขมีโยบายการพัฒนาศักยภาพและจัดการกระจายกำลังคนด้านการพยาบาลให้ได้ในสัดส่วนพยาบาล 1 คน ต่อ 300 ประชากร เพื่อยกระดับมาตรฐานบริการสุขภาพของประเทศตามเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติ

คณะสงฆ์คลองหลวงจัดกิจกรรมรวมพลังสร้างสัปปายะรักษ์สิ่งแวดล้อม

People Unity News : คณะสงฆ์คลองหลวงร่วมพุทธศาสนิกชนพร้อมจัดกิจกรรมรวมพลังสร้างสัปปายะ โครงการวัด ประชา รัฐ สร้างสุข วัดพระธรรมกายเตรียมเปิดศูนย์นวัตกรรมรักษ์วัด รักษ์สิ่งแวดล้อม บริการวัด-ชุมชน ต้นปี พ.ศ. 2563

วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 เวลา 13.30 น. ณ อุโบสถวัดพระธรรมกาย ตำบลคลองสาม อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ได้จัดให้มีกิจกรรม “รวมพลังสร้างสัปปายะ ในโครงการวัด ประชา รัฐ สร้างสุข ของวัดพระธรรมกาย” ขึ้น โดยมีพระครูสังฆรักษ์รังสฤษดิ์ อิทฺธิจินฺตโก เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ในฐานะประธานคณะกรรมการดำเนินงานโครงการฯ เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และมีนายนิพนธ์ แก้วธรรม รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ปฏิบัติหน้าที่นายกองค์การบริหารส่วนตำบลคลองสาม เป็นประธานฝ่ายฆราวาส พร้อมด้วยพระสงฆ์ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำชุมชน ประธานนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร อาสาสมัคร นักเรียน และประชาชนผู้มีจิตอันเป็นกุศล พร้อมเพรียงกันเข้าร่วมกิจกรรมฯ จำนวนกว่า 500 คน โดยกิจกรรมฯ เริ่มต้นจากการกล่าวคำบูชาพระรัตนตรัย, พิธีอาราธนาศีล 5, ประธานฝ่ายฆราวาส กราบถวายรายงานต่อประธานฝ่ายสงฆ์, ประธานฝ่ายสงฆ์ให้โอวาทและกล่าวเปิดกิจกรรมฯ, บันทึกภาพหมู่ จากนั้น เป็นการแบ่งกลุ่มผู้เข้าร่วมกิจกรรมฯ ออกเป็น 7 กลุ่ม เพื่อร่วมกันสร้างสัปปายะสู่วัดตามแบบแผนที่เตรียมการไว้ อาทิ การกวาดพื้นถนน, กวาดและเก็บใบไม้, กวาดและถูพื้นอุโบสถ, เช็ดเสาอุโบสถ เป็นต้น ท่ามกลางบรรยากาศแห่งรู้รักสามัคคี มั่นศรัทธาในพระพุทธศาสนา และอิ่มบุญปลื้มใจกันถ้วนหน้า

สำหรับการจัดกิจกรรม “รวมพลังสร้างสัปปายะ” นี้ จัดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามปฏิทินการดดำเนินงานโครงการฯ โดยองค์การบริหารส่วนตำบลคลองสาม ได้ประสานความร่วมมือกับวัดพระธรรมกาย, มูลนิธิธรรมกาย, คณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย, ศูนย์ส่งเสริมศีลธรรมจังหวัดปทุมธานี, ชมรมรักษ์บวร รักษ์ศีล ๕, สมาพันธ์หมู่บ้านจัดสรรอำเภอคลองหลวง, ชมรมเรารักคลองสามผู้นำชุมชน, กลุ่มอาสาสมัคร, สถานศึกษา และภาคีเครือข่ายฯ ขับเคลื่อนดำเนินงาน “โครงการ วัด ประชา รัฐ สร้างสุข” ซึ่งเป็นการดำเนินกิจกรรม “สร้างสัปปายะสู่วัดด้วยวิถี ๕ส ที่ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม” ตามมติมหาเถรสมาคม และแผนยุทธศาสตร์การปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนา ฝ่ายสาธารณูปการ ของมหาเถรสมาคม ทั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ร่วมกัน เพื่อการนำหลักพุทธธรรมเรื่องสัปปายะ และแนวคิดของระบบ ๕ส ลงสู่บริบทของวัด และชุมชน, ควบคู่กับการมุ่งส่งเสริมให้วัดเป็นพื้นที่ต้นแบบของการพัฒนาพื้นที่ทางกายภาพ การเรียนรู้ และจิตใจของชุมชน, โดยการขยายผลหลักพุทธธรรมเรื่องสัปปายะ และแนวคิดของ ๕ส รวมถึงหลักความรับผิดชอบต่อสังคมสู่ประชาชน โดยมีวัดเป็นศูนย์กลาง รวมถึงองค์กร และประชาชนในชุมชนมีส่วนร่วม, ซึ่งทั้งหมดนี้ ย่อมจักนำไปสู่การสร้างสังคม แห่งสุขภาวะอย่างยั่งยืนสืบไป

พระครูสังฆรักษ์รังสฤษดิ์ อิทฺธิจินฺตโก เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ในฐานะประธานคณะกรรมการดำเนินงานโครงการฯ กล่าวให้โอวาทในพิธีเปิดกิจกรรมฯ ตอนหนึ่งว่า “วันนี้ นับเป็นวันแห่งการแสดงออกถึงความปรองดองสมานฉันท์ของทุกท่าน ที่มาจากหลากหลายภาคส่วน แต่ล้วนมี จิตอันเป็นกุศลที่แน่วแน่ร่วมกัน เพื่อมาสั่งสมบุญทำความดีด้วยการรวมพลังสร้างสัปปายะให้เกิดขึ้น กับศาสนสถานทางพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะในเขตอุโบสถ เขตพุทธาวาสที่บริสุทธิ์ และศักดิ์สิทธิ์ เนื่องด้วยเป็นสถานที่ประดิษฐานไว้ซึ่ง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กิจกรรมในวันนี้ จึงถือเป็นบุญใหญ่ และจะนำความเป็นสิริมงคลมาสู่ชีวิตของทุกท่านอย่างยิ่ง เพราะเราได้มาร่วมกันพัฒนาพื้นที่วัด ให้สะอาด ร่มรื่น สวยงาม เป็นสถานที่สัปปายะ ต่อยอดสู่การพัฒนาพื้นที่ทางสังคม และการเรียนรู้วิถีวัฒนธรรมเชิงพุทธ ยกระดับสู่การพัฒนาพื้นที่จิตใจ และปัญญาเชิงพุทธ เพื่อชุมชนในที่สุด จึงขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่ได้เห็นความสำคัญ และร่วมกันเสียสละมาร่วมด้วยช่วยกันดูแลรักษาวัดของชุมชนเราให้เป็นรมณียสถานของชาวพุทธที่สมบูรณ์พร้อมยิ่งๆ ขึ้นไป สิ่งที่ทุกท่านจะได้ร่วมกันกระทำนี้ ได้ชื่อว่าเป็นการรักษา และสืบทอดอายุของพระพุทธศาสนา”

นอกจากกิจกรรม “รวมพลังสร้างสัปปายะ” เพื่อพัฒนาพื้นที่ทางกายภาพแล้ว ทางด้านการพัฒนาพื้นที่จิต และปัญญาเชิงพุทธ นั้น ทางวัดพระธรรมกายได้จัดให้มีกิจกรรม “เสาร์สร้างสุข” ด้วยการสวดมนต์ รักษาศีล ปฏิบัติธรรม และฟังธรรม ในทุกวันเสาร์ เวลา 18.00 น. ถึง 20.00 น. ณ อาคารโถงช้างฯ อีกทั้งในด้านการพัฒนาพื้นที่สังคมการเรียนรู้ของชุมชนนั้น ในช่วงต้นปีพุทธศักราช 2563 จะมีกำหนดเปิดศูนย์การเรียนรู้ปลูกศรัทธา เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้     นวัตกรรมรักษ์วัด รักษ์สิ่งแวดล้อม ขยายผลสู่เครือข่ายบวร (บ้าน วัด โรงเรียน) ต่อไป

ในวันเดียวกันนี้ ภายหลังเสร็จสิ้น “กิจกรรมรวมพลังสร้างสัปปายะ” แล้ว ในเวลา 15.00 น. วัดพระธรรมกาย ได้ร่วมกับ องค์กรภาคีเครือข่ายฯ โดยการประสานงานของคณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย จัดให้มี “พิธีเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยคณะสงฆ์อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ตามมติมหาเถรสมาคม” โดยมีพระครูวิจิตรอาภากร เจ้าคณะอำเภอคลองหลวง และเจ้าอาวาสวัดสว่างภพ เป็นประธานในพิธีฯ พร้อมด้วยเจ้าอาวาส  พระสงฆ์ และประชาชนในเขตพื้นที่อำเภอคลองหลวง เข้าร่วมพิธีฯ โดยพร้อมเพรียงกัน

ทำเนียบฯ จัดงานวันเด็กแสนสนุก สไตล์ Soft Power

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 9 มกราคม 2567 ทำเนียบ – ทำเนียบฯ จัดงานวันเด็กแสนสนุก สไตล์ Soft Power พบกิจกรรมระบายสีหัวโขนจิ๋ว ตกแต่งว่าวจิ๋ว และเกมบันไดงูยักษ์

นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ทุกวันเสาร์ที่ 2 ของเดือนมกราคม ตรงกับ “วันเด็กแห่งชาติ” โดยทำเนียบรัฐบาล ได้จัดงานฉลองวันเด็กแห่งชาติ ณ ทำเนียบฯ เป็นประจำ โดยในปี พ.ศ. 2567 นี้จัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 13 ม.ค. ตั้งแต่เวลา 08.00-15.00 น. โดยมีกิจกรรมไฮไลต์ คือ ให้เยาวชนสามารถนั่งเก้าอี้ของนายกรัฐมนตรีและถ่ายรูปได้ แต่พิเศษไปกว่านั้น ในปีนี้พื้นที่ของตึกนารีสโมสร ที่รับผิดชอบโดยทีมโฆษกรัฐบาล จะมีการจับสลากมอบของรางวัลทุกๆ 30 นาที และมีกิจกรรมพิเศษที่จัดมาภายใต้ธีมซอฟต์พาวเวอร์ (Soft Power)

โดยกิจกรรมที่ 1 เกมบันไดงู กระดานจัมโบ้ ให้เยาวชนร่วมสนุกล่ารางวัลในเกม ด้วยการโยนลูกเต๋ายักษ์และเดินตามเกมกระดาน เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมและความทรงจำวัยเด็กของคนไทยมายาวนาน

กิจกรรมที่ 2 ตกแต่งว่าวจุฬา-ปักเป้าจิ๋ว เพื่อรับเป็นของเล่นที่ระลึก และเรียนรู้เกี่ยวกับการแข่งขันว่าวต่อสู้ ซึ่งเป็นกีฬากลางแจ้งในฤดูร้อนของภาคกลางที่เป็นหนึ่งในวัฒนธรรมไทย ที่ปัจจุบันคนรุ่นใหม่หาสัมผัสได้ยาก โดยในวันงาน “ครูชาย” คเณศณัฏฐ์ เอื้อนสุภา ประธานชมรมว่าวจุฬา-ปักเป้าพระฤาษีตรีเนตร ในเขตบางพลัด จะเป็นผู้มาให้ความรู้แก่เยาวชน

กิจกรรมที่ 3 ระบายสีหัวโขนปูนปลาสเตอร์ พร้อมรับความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมโขนและตัวละครในรามเกียรติ์ จาก “ครูนก” พิชิต บุญจินต์ จากบ้านหัวโขนลูกพระพาย ในชุมชนบ้านบุ เขตบางกอกน้อย ที่ทำงานเพื่ออนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมโขนไทยมายาวนาน

กิจกรรมที่ 4 การรับชมการแสดงของวงไอดอลไทยน้องใหม่ “วง Sora! Sora!” ใน 2 ช่วงเวลา คือ 11.00 น. และ 15.00 น. ซึ่งนอกเหนือจากให้ความสนุกสนานแล้ว สมาชิกของวงจะมาร่วมเล่นกิจกรรมต่างๆ กับน้องๆ บอกเล่าถึงประสบการณ์ของการเป็นส่วนหนึ่งของวงการบันเทิง ซึ่งเป็นหนึ่งใน Soft Power สำคัญที่ใช้เสียงดนตรีและการแสดงในการบอกเล่าเรื่องราวออกสู่สังคม

กิจกรรม 5 คือ การสวมบทบาทเป็นโฆษกประจำสำนักนายกฯ บนโพเดียมแถลงข่าว ในตึกนารีสโมสร เพื่อเป็นประสบการณ์ที่ดีและได้บันทึกภาพแห่งความทรงจำไว้ด้วย

“การจัดงานในพื้นที่ตึกนารีสโมสรปีนี้ เกิดขึ้นได้จากความร่วมมือร่วมใจของหลายๆ ภาคส่วน ขอบคุณสโมสรโรตารี่ ผู้สนับสนุนหลัก และผู้สนับสนุนรายอื่นๆ เช่น มูลนิธิวินวิน พัดลมฮาตาริ น้ำดื่มสปริงเกอร์ สายการบินนกแอร์ และจิตอาสาทีมไรท์ ที่ทำให้เกิดงานในวันเสาร์ที่ 13 มกราคม ขึ้นได้ นอกเหนือจาก 5 กิจกรรมที่จะมีขึ้นในพื้นที่ของตึกนารีสโมสรแล้ว ในพื้นที่อื่นๆ ของทำเนียบรัฐบาลจะมีการจัดกิจกรรมสนุกสนานอีกมากมาย ขอให้พาบุตรหลานมาร่วมงานกันเยอะๆ นะคะ” นางรัดเกล้า​ กล่าว

สธ.รณรงค์เดือนพฤศจิกายน“ต้านภัยมะเร็งปอด”

People Unity News : กระทรวงสาธารณสุข โดยสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ เชิญชวนคนไทยร่วมใจต้านภัยมะเร็งปอดในเดือนพฤศจิกายน แนะประชาชนตรวจคัดกรองในรายที่เสี่ยงสูงต่อการเป็นมะเร็งปอด เป็นทางเลือกหนึ่งที่สามารถค้นพบผู้ป่วยระยะเริ่มต้นให้ได้เข้ารับการรักษาตั้งแต่แรก ๆ จะช่วยลดความเสี่ยงและลดการเสียชีวิตลงได้

วันที่ 25 พฤศจิกายน 2562 ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า โรคมะเร็งเป็นปัญหาสำคัญทางสาธารณสุขของทุกประเทศทั่วโลก กระทรวงสาธารณสุข โดยสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ ได้เล็งเห็นและตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาโรคมะเร็งปอดที่คนทั่วโลกป่วยและเสียชีวิตมากที่สุด สำหรับประเทศไทยโรคมะเร็งปอดเป็นมะเร็งที่พบมาก เป็นอันดับที่ 2 ในเพศชาย และอันดับ 5 ในเพศหญิง สถาบันวิจัยมะเร็งนานาชาติ องค์การอนามัยโลก รายงานว่า มีผู้ป่วยรายใหม่ทั่วโลก 2 ล้านคนต่อปี และเสียชีวิต 1.7 ล้านคนต่อปี และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ พบคนไทยป่วยเป็นมะเร็งปอดเพิ่มขึ้นวันละ 42 คน (Cancer in Thailand Vol. IX 2013-2015) และเสียชีวิตถึงวันละ 38 คน (สถิติสาธารณสุข พ.ศ.2560 กองยุทธศาสตร์และแผนงาน สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข) ซึ่งปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญของโรคมะเร็งปอด คือ การสูบหรือรับควันบุหรี่ พันธุกรรม และการสัมผัสสารก่อมะเร็ง อาทิ ก๊าซเรดอน แร่ใยหิน รังสี ควันธูป ควันจากท่อไอเสีย และมลภาวะทางอากาศ โดยเฉพาะฝุ่น PM 2.5

นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า อาการของมะเร็งปอดที่พบบ่อย ได้แก่ ไอเรื้อรัง ไอมีเสมหะปนเลือด หายใจลำบาก เหนื่อยหอบ มีเสียงหวีด เสียงแหบหรือเสียงเปลี่ยนไป เจ็บหน้าอกหรือหัวไหล่ ปอดติดเชื้อบ่อย เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด หากมีอาการผิดปกติเหล่านี้เกิดขึ้นต่อเนื่องเกินกว่า 3 สัปดาห์ ควรรีบปรึกษาแพทย์ แม้ว่าปัจจุบันยังไม่มีวิธีการตรวจคัดกรองมะเร็งปอด ที่มีประสิทธิภาพในระดับประเทศ แต่มีคำแนะนำให้ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงสูงในการเกิดมะเร็งปอดเข้ารับการตรวจ คัดกรองโดยการเอกซเรย์ปอดเป็นประจำทุกปี การรักษาในปัจจุบัน ได้แก่ การผ่าตัด การให้ยาเคมีบำบัด การฉายรังสี และการรักษาโดยให้ยามุ่งเป้าทำลายเซลล์มะเร็ง ซึ่งขึ้นอยู่กับระยะของโรค ดังนั้น การตรวจคัดกรองในรายที่เสี่ยงสูงต่อการเป็นมะเร็งปอด จึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่สามารถค้นพบผู้ป่วยระยะเริ่มต้นให้ได้เข้ารับการรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงและลดการเสียชีวิตลงได้ สิ่งสำคัญที่สุดในการป้องกันมะเร็งปอด คือ “เลิกสูบบุหรี่” เพื่อตัวคุณเอง ครอบครัวและสังคมรอบข้าง หมั่นตรวจร่างกายเป็นประจำ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอและรับประทานอาหารที่มีประโยชน์

“กนกวรรณ”มอบบ้านช่วยนักศึกษา กศน. ผู้พิการทางสายตา

People Unity News : “กนกวรรณ” เสมา 3 ชูกศน. ที่พึ่งสำหรับประชาชน มอบบ้านช่วยนักศึกษา กศน. ผู้พิการทางสายตา

วันที่ 23 พฤศจิกายน 2562 เวลา 11.00 น. ดร.กนกวรรณ วิลาวัลย์ รมช.ศึกษาธิการ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสถานศึกษาและมอบนโยบายในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี พร้อมกันนี้ได้ทำพิธีมอบบ้านให้กับนางสาวอุรักษ์  จงเจริญ นักศึกษาระดับประถมศึกษา กศน.อำเภอเดชอุดม ณ บ้านโคกเจริญ ตำบลเมืองเดช อำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี พร้อมด้วย นายสมเกียรติ  ตันดิลกตระกูล  ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ คณะทำงาน รมช.ศธ. โดยมี ดร.ดิศกุล เกษมสวัสดิ์ เลขาธิการ กศน. นายณัฐพงษ์  นวลมาก  รองเลขาธิการ กศน. นายอำเภอเดชอุดม นายกองค์การบริหารส่วนตำบลเมืองเดช หัวหน้าส่วนราชการ และประชาชนในพื้นที่ให้การต้อนรับ

ดร.กนกวรรณ กล่าวตอนหนึ่งในช่วงมอบบ้านให้นักศึกษา กศน. ว่า “ขอชื่นชมผู้บริหาร กศน. ทั้งระดับจังหวัดและอำเภอ ตลอดจนครู กศน.ที่ให้การดูแล ติดตามช่วยเหลือผู้เรียน โดยการจัดกิจกรรมเยี่ยมบ้าน ทำให้ครูและนักศึกษาเกิดความสัมพันธ์ที่ดี และทำให้ครูได้รู้ได้เห็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมต่างๆ และสภาพความเป็นอยู่ทางบ้านของนักศึกษา สามารถนำข้อมูลไปวางแผนพัฒนา ส่งเสริมและแก้ปัญหาของนักศึกษาได้ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างบ้านให้กับนางสาวอุรักษ์ จงเจริญ นักศึกษาระดับประถมศึกษาศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอเดชอุดม ทำให้ดิฉันรู้สึกปลาบปลื้มยินดีแทนเจ้าของบ้านที่ทุกฝ่าย ได้ให้การสนับสนุนและร่วมมือช่วยเหลือในการก่อสร้างบ้านเป็นอย่างดียิ่ง ได้เสียสละกำลังกาย กำลังใจ กำลังทรัพย์ ช่วยเหลือการก่อสร้างบ้านจนสำเร็จลุล่วงด้วยดี ทำให้บ้านของท่านเป็นบ้านแห่งน้ำใจเอื้ออาทรอย่างแท้จริง ซึ่งนั่นแสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมอย่างหนึ่งที่มีอยู่ในจิตใจอันดีงามของพี่น้องชาวอำเภอเดชอุดมทุกคน ขอบคุณทุกท่านแทนเจ้าของบ้าน ไว้ ณ โอกาสนี้และขอให้รักษาสิ่งดีงามนี้ไว้ตลอดไป ขอให้เจ้าของบ้านมีความภาคภูมิใจและระลึกอยู่เสมอว่าการที่ท่านได้รับความช่วยเหลือ เพราะท่านประพฤติดี เป็นคนดีที่สังคมยอมรับ ซึ่งนับว่าเป็นเกียรติแก่ครอบครัวเป็นอย่างยิ่ง ขอให้ท่านได้กระทำความดีต่อไป อย่าได้ย่อท้อ ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยและคุณความดีที่กระทำไว้ ได้ปกป้องคุ้มครองให้ปลอดจากภัยอันตรายและดลบันดาลให้ท่านมีความสุข ความเจริญ

สำหรับการสร้างบ้านให้กับนางสาวอุรักษ์ จงเจริญ นักศึกษาระดับประถมศึกษา กศน.อำเภอเดชอุดม นั้น สืบเนื่องจาก นายธฤติ  ประสานสอน ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัดอุบลราชธานี ได้ดำเนินการตามนโยบายโดยให้สถานศึกษาในสังกัดทุกแห่ง จัดกิจกรรมออกเยี่ยมบ้านผู้เรียนทุกภาคเรียน เพื่อเป็นการติดตามดูแลช่วยเหลือผู้เรียน ซึ่ง นายอุกฤษฏ์  รินทรามี ผู้อำนวยการศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอเดชอุดม ได้นำนโยบายสู่การปฏิบัติ โดยได้มอบหมายให้ครูทุกคนออกเยี่ยมบ้านผู้เรียน เมื่อครูได้ออกเยี่ยมบ้านผู้เรียนจึงได้พบว่า นางสาวอุรักษ์ จงเจริญ นักศึกษาระดับประถมศึกษา ซึ่งเป็นนักศึกษาคนพิการด้านสายตา กลุ่มตำบลเมืองเดช อายุ 64 ปี มีรายได้น้อย ไม่มีที่อยู่อาศัย ต้องอาศัยอยู่เล้าไก่ของชาวบ้าน ไม่มีไฟฟ้าใช้ ไม่มีห้องน้ำ เมื่อฝนตกหลังคารั่ว ฤดูหนาวก็ขาดแคลนเครื่องนุ่งห่ม มีรายได้จากเบี้ยผู้สูงอายุและเบี้ยคนพิการ เดือนละ 1,600 บาท เพื่อประทังชีวิต แต่นางสาวอุรักษ์ จงเจริญ เป็นคนดี ประกอบอาชีพด้วยความสุจริตและช่วยเหลืองานส่วนรวมด้วยดีตลอดมา

ด้วยปณิธานและแนวคิดของ ดรกนกวรรณ รมช.ศธ.ที่ว่า “เราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ” ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอเดชอุดม จึงได้ร่วมกับองค์การบริหารส่วนตำบลเมืองเดช ร่วมระดมทุนจากทุกภาคส่วน เพื่อจัดซื้อวัสดุในการก่อสร้างบ้าน ในส่วนของแรงงานในการก่อสร้าง ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอเดชอุดม ได้จัดกิจกรรมจิตอาสาทำความดีจากพี่สู่น้อง โดยนักศึกษา คณะครู กศน.อำเภอเดชอุดม เพื่อนบ้าน ตลอดจนผู้นำท้องถิ่น ได้ช่วยเหลือแรงงานในการก่อสร้าง งานก่ออิฐ งานหลังคา งานฉาบปูน งานเทพื้นและงานก่อสร้างทั่วไป ทุกฝ่ายได้ช่วยเหลือให้คำปรึกษา แนะนำ ทำให้การก่อสร้างบ้านแล้วเสร็จด้วยความเรียบร้อย  คิดเป็นมูลค่าก่อสร้างประมาณ 90,000 บาท นับเป็นภารกิจหนึ่งที่เกิดจากการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน อันจะยังประโยชน์แก่ประชาชนอย่างแท้จริง

Verified by ExactMetrics