วันที่ 29 กรกฎาคม 2025

“นิพนธ์”ชวน อบจ. ร่วมทำบุญช่วยชิวิตคนลดตายจากอุบัติ

People Unity News : “นิพนธ์”ชวน อบจ.ทั่วประเทศ ร่วมทำบุญช่วยชิวิตคน ลดตายจากอุบัติเหตุกว่า 2 หมื่น คนต่อปี

เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2562 ที่ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (มท.2) เป็นประธานเปิดการสัมมนาวิชาการ”บริบทของท้องถิ่นกับการพัฒนาประเทศในปัจจุบัน” โดยมีนายเจริญฤทธิ์ สงวนสัตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ นายสมศักดิ์ กิตติธรกุล นายกสมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย พร้อมผู้บริหารและผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(อปท.)อาทิ นายก อบจ.จาก 76 จังหวัด และตัวแทน อทป. ระดับต่างๆกว่า 2,600 คนเข้าร่วม

นายนิพนธ์ กล่าวตอนหนึ่งว่า การจัดสัมมนาครั้งนี้เป็นการส่งเสริมการพัฒนาองค์การบริหารส่วนจังหวัดให้เกิดความเจริญก้าวหน้า เชื่อมโยงองค์การบริหารส่วนจังหวัดกับทุกภาคส่วนเพื่อพัฒนาศักยภาพการปฏิบัติงาน สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนในท้องถิ่นตามนโยบายรัฐบาลให้มีการพัฒนาองค์ความรู้ให้เท่าทันบริบทสังคม ถ่ายทอดและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ภายใต้หลักการกระจายอำนาจและได้มีกระบวนทัศน์ที่ถูกต้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ส่งเสริมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สามารถจัดบริการสาธารณะและกิจกรรมสาธารณะอย่างมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้อุบัติเหตุทางถนนในประเทษไทยมีสถิติที่น่าตกใจและจัดเป็นปัญหาสำคัญที่สร้างความสูญเสียชีวิตทรัพยากรบุคคลและทรัพย์สินต่างๆของประชาชน อันก่อให้เกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจและส่งผลกระทบต่อการพัฒนาประเทศเป็นจำนวนมาก โดยแต่ละปีมีคนไทยเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนกว่า 22,000 คน หากรวมยอดสะสม15 ปี ยอดสูญเสียมากถึง 400,000 คน

ถ้า อปท.ร่วมจับมือกันในทุกระดับ ทั้งองค์การบริหารส่วนตังหวัด (อบจ.) และองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ให้ทั้งหมดเข้ามามีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนโยบายตำบล ขับขี่ปลอดภัยไปด้วยกัน  เพื่อร่วมกันลดความสูญเสียชีวิตพี่น้องคนไทยบนท้องถนน  เท่ากับเป็นการรักษาทรัพยากรบุคคลและทรัพย์สินอื่นๆได้ โดยเริ่มเข้มงวดสกัด “การเมาแล้วขับ” และ “การขับรถเร็วเกินกว่ากฎหมายกำหนด” ซึ่งเป็นต้นเหตุหลักของการเกิดอุบัติเหตุตั้งแต่ท้องถิ่น ชุมชน ตำบล ก็จะสามารถลดอุบัติเหตุลงได้ วันนี้่จึงอยากเพิ่มบทบาทของ อปท. ให้เข้ามาดูแลคุณภาพของพี่น้องประชาชนคนไทยในพื้นที่ต่างๆทั่วประเทศที่พวกท่านบริหารอยู่ให้มากขึ้นเพื่อสร้างภาคีเครือข่ายตำบลขับขี่ปลอดภัยให้เป็นผลปฏิบัติทางรูปธรรมจับต้องได้ โดยตั้งเป้าการเกิดอุบัติเหตุและเข้มงวดในการใช้รถใช้ถนนต่อไป

“สิระ”พร้อมนั่งกมธ.ป.ป.ช.แทน”พยม”ชน”เสรีพิสุทธิ์”

People Unity News : “ส.ส.สงขลา พปชร.”เตรียมลาออก “กมธ. การป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ”เผย อึดอัดใจที่ต้องทำงานร่วมกับ “เสรีพิสุทธิ์”แถมยังกินภาษีประชาชนแบบไร้ประโยชน์ หวังแค่ดิสเครดิต “บื๊กตู่-รบ.”จ่อดัน “สิระ” นั่งแทน

วันที่ 1 พฤศจิกายน 2562 นายพยม พรหมเพชร ส.ส.สงขลา พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะกรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า ภายในสัปดาห์หน้าตนจะยื่นหนังสือขอลาออกจากกรรมาธิการชุดดังกล่าว เนื่องจากว่า มีความรู้สึกอึดอัดใจในการทำหน้า โดยเฉพาะการที่ต้องทำงานร่วมกับ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ในฐานะประธานกรรมาธิการ ซึ่งตนยังมีฐานะเป็นโฆษกกรรมาธิการ ที่จะต้องรับผิดชอบในการลงมาแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน ซึ่งก็ก่อให้เกิดความรู้สึกอึดอัดใจ เพราะต้องยอมรับว่าตนคือ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ที่มีวางเชื่อมั่นในการเสนอพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี แต่มาวันนี้จะให้ตนแถลงข่าวเพื่อดิสเครดิตพลเอกประยุทธ์และรัฐบาล ตรทำไม่ได้ ถ้าทำแบบนั้นก็คงเสียคน

นายพยม กล่าวต่อว่า ตนได้พูดคุยกับทางพรรคพลังประชารัฐ แล้วซึ่งพรรคพลังประชารัฐจะให้ผู้ที่มีความเหมาะสมเข้าไปนั่งในกรรมาธิการชุดนี้แทนตน เพราะตนระบุเหตุผลไปว่า ไม่สามารถทำงานร่วมกับพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ได้จริงๆ

นายพยม ยังกล่าวต่อว่า การเข้าร่วมประชุมในแต่ละครั้ง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ไม่เคยคุมการประชุมให้อยู่ในวาระประชุมเลย โดยที่ไม่สนใจในประเด็นใหม่ใหม่ หรือเรื่องที่เป็นประโยชน์กับประชาชนเลยมุ่งเน้นเพียงแต่ต้องการหาประเด็นจากพลเอกประยุทธ์ และพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ อย่างเช่นล่าสุดก็ จะรื้อคดีนาฬิกาหรูขึ้นมาพิจารณาใหม่ ซึ่งตนมองว่า เรื่องดังกล่าวจบสิ้นกระบวนการพิจารณาไปแล้ว ตนจึงไม่เห็นถึงประโยชน์ที่ต้องรื้อเรื่องนี้ขึ้นมาอีก เพราะเป็นการทำงานที่ถอยหลังลงคลอง สิ้นเปลืองเบี้ยประชุมที่มาจากภาษีประชาชน

“ผมไม่เคยมีปัญหากับการทำหน้าที่กรรมาธิการในฐานะ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล หากเรื่องที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์หยิบยกขึ้นมาพิจารณาเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ผมพร้อมที่จะทำ แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเห็นได้ชัดว่า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ใช้กรรมาธิการเป็นเครื่องมือเพื่อจะดิสเครดิตพลเอกประยุทธ์และรัฐบาล”นายพยม กล่าว

เมื่อถามว่าพรรคพลังประชารัฐจะให้ใครมาทำหน้าที่ในกรรมาธิการชุดนี้แทน นายพยม กล่าวว่า จากการพูดคุยเบื้องต้นน่าจะเป็น นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ เนื่องจากนายสิระเป็นคนกล้าสู้ กล้าชน น่าจะมีความเหมาะสมมากกว่าตน

ทางด้านนายสิระกล่าวว่า ตนได้มีการพูดคุยกับนายพยม ซึ่งนายพยมได้เปรยกับตนหลายครั้งแล้วว่า อึดอัดใจที่ต้องเข้าร่วมประชุมกับพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ที่เป็นประธานกรรมาธิการ ซึ่งตนก็เข้าใจความรู้สึกของนายพยมดี จึงได้มรการแจ้งให้ทราบพรรคทราบ ทั้งนี้ก็คงต้องรอให้พรรคมีมติออกมาก่อนว่า จะให้ตนไปทำหน้าที่แทนหรือไม่

“การไปทำหน้าที่แทนนายพยม ผมไม่ได้หวังที่จะเข้าไปเป็นศัตรูหรือขวางการทำหน้าที่ของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ผมหวังเพียงที่จะให้กรรมาธิการชุดนี้ใช้เวทีของสภาฯไปในทางที่ถูกที่ควร ใช้เงินทุกบาททุกสตางค์ให้คุ้มกับภาษีของประชาชนที่ต้องจ่ายเป็นเบี้ยประชุม ไม่ใช่ใช้ตำแหน่งประธานกรรมาธิการมาทำเพื่อประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง”นายสิระ กล่าว

นายสิระ กล่าวต่อว่า ตนอยากฝากไปถึงพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ หากยังใช้กรรมาธิการชุดนี้เป็นเครื่องมือทางการเมืองเหมือนกับที่ผ่านมา โดยไม่คิดจะไปทำเรื่องอื่นที่เป็นประโยชน์กับประเทศชาติ คอยจ้องแต่จะทำลายพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัชฐมนตรีตนเชื่อว่าคงมี ส.ส.ในกรรมาธิการชุดนี้อีกหลายท่านที่ไม่อยากทำงานร่วมกับ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เพราะไม่ว่าจะเป็นใครก็ย่อมกลัวการติดคุกติดตะรางจากการทำเรื่องที่ไม่ถูกต้องด้วยกันทั้งนั้น และตนก็จะไม่ยอมปล่อยผ่านในเรื่องที่ไม่ถูกต้องเช่นกัน

“บิ๊กป้อม”เรียกถกกก.นโยบายป่าไม้แห่งชาติเตรียมรับมือควันภาคเหนือ

People Unity News : พล.อ.ประวิตรเรียกประชุมคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติเตรียมรับมือสถานการณ์หมอกควันภาคเหนือ เพื่อลดความเดือดร้อนประชาชน สั่งใช้เทคโนโลยีช่วยงานป่าไม้ทุกมิติ ทส. รับปฏิบัติทันที

วันที่ 1 พฤศจิกายน 2562 พล.ต.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผู้ช่วยโฆษกรองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าวันนี้เวลา 1000 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติครั้งที่3/ 2562 ณ ห้องประชุมอารีย์สัมพันธ์ กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม

ที่ประชุมได้รับทราบสถานการณ์ป่าไม้ของประเทศไทยตั้งแต่ปี 2516 ถึง 2557 พบว่า แนวโน้มโดยเฉลี่ยของพื้นที่ป่าไม้ลดลง แต่ภายหลังปี 2558 ถึง 2561 พื้นที่ป่าไม้ของประเทศไทยกลับมีแนวโน้มโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นโดยปี 2561 มีพื้นที่ป่าไม้ร้อยละ 31.68 ของพื้นที่ประเทศ แต่ยังไม่ถึงเป้าหมายที่กำหนดคือร้อยละ 40 ดังนั้นกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจึงได้พยายามขับเคลื่อนและผลักดันยุทธศาสตร์เพื่อให้เกิดการอนุรักษ์ คุ้มครอง ฟื้นฟูมีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อย่างเหมาะสม ยั่งยืนโดยมีการดำเนินการด้านต่างๆ

ได้แก่ด้านการป้องกันรักษาป่า,ด้านการฟื้นฟูป่าและพื้นที่สีเขียว,ด้านการสร้างการมีส่วนร่วมในการดูแลรักษาป่า,ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่า รวมถึงการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในงานป่าไม้ ได้แก่ การนำระบบพิทักษ์ไพร มาใช้ในการปฏิบัติภารกิจ,การใช้อากาศยานไร้คนขับเพื่องานป่าไม้,การใช้กล้องตรวจจับความร้อนในเวลากลางคืนและการใช้กล้องดักจับถ่ายภาพ
เป็นต้น

ทั้งนี้ ที่ประชุมได้มีการหารือร่วมกันเรื่องสำคัญ ได้แก่ นโยบายการเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์หมอกควันภาคเหนือปี 2563ซึ่งมีการกำหนดหน้าที่ของแต่ละกระทรวงที่เกี่ยวข้องไว้อย่างชัดเจนแล้ว สำหรับการแก้ไขปัญหาผู้ได้รับผลกระทบจากการบังคับใช้กฎหมาย รัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ให้ความสำคัญและมีแนวทางการแก้ไขปัญหาเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบกลุ่มต่างๆเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแล้ว

พล.อ.ประวิตร ได้กำชับให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์หมอกควัน ตามที่ได้สั่งการแล้วให้เป็นรูปธรรม ขอให้มีการบูรณาการทำงานร่วมกัน ทั้งภาคประชาชน จิตอาสา และให้ ทส. เร่งรัดจัดทำอนุบัญญัติหรือระเบียบที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายทรัพยากรป่าไม้ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว อีกทั้งต้องนำเทคโนโลยีมาช่วยงานด้านป่าไม้ในทุกมิติเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานให้ดียิ่งขึ้นและสร้างการรับรู้ความเข้าใจประชาชนทราบควบคู่กันไปด้วย

“บิ๊กตู่”ชี้ภาพรวมเศรษฐกิจไม่ได้ถดถอยแค่โตช้า

People Unity News : “บิ๊กตู่”ชี้ภาพรวมเศรษฐกิจไม่ได้ถดถอยแค่โตช้า เตือนใช้งบฯให้คุ้มค่า-ประหยัด-เพียงพอ

วันที่ 1 พฤศจิกายน 2562 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม กล่าวระหว่างเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ว่า ในภาพรวมเศรษฐกิจอาเซียนและไทย ไม่ได้ใช้คำว่าเศรษฐกิจถดถอย แต่เป็นเศรษฐกิจเติบโตช้าลงในปีหน้าและปีต่อไป ซึ่งไทยจะต้องหามาตรการหลายมาตรการด้วยกัน เพื่อช่วยทำให้ดีขึ้น รวมถึงเรื่องการใช้จ่ายภายในประเทศ และ มาตรการการเงินการคลังของไทย ที่ต้องเอื้ออำนวยให้เกิดการใช้จ่ายการลงทุนมากยิ่งขึ้น เพื่อให้คนนำเงินออกมาลงทุน ตลอดจนสร้างสภาวะแวดล้อม ความมีเอกภาพ และ เสถียรภาพ เพื่อประโยชน์ต่อการลงทุนทั้งหมด

สำหรับในการประชุมวันนี้มี 2 เรื่องสำคัญ คือ เรื่อง SME ที่ต้องหารือกัน พร้อมระมัดระวังการใช้จ่ายงบประมาณต้องใช้จ่ายให้คุ้มค่า ประหยัด เพียงพอ ทั้งจำเป็นต้องมองในภาพรวมของงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 ประกอบการพิจารณาด้วย

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) กล่าวว่า ครม.เศรษฐกิจจะขอรอการประเมินตัวเลขทางเศรษฐกิจไตรมาส 3/62 จากทางสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในวันที่ 18 พ.ย.นี้ก่อนที่จะพิจารณาว่ามีความจำเป็นต้องมีมาตรกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปีอีกหรือไม่ ซึ่งทางครม.เศรษฐกิจยังมองที่เป้าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยในปีนี้ที่ 2.7-3.2%

“สภาพัฒน์จะมีข้อมูลสุดท้ายว่าไตรมาส 3 โตเท่าไหร่ในวันที่ 18 พ.ย. และเมื่อเห็นข้อมูลดังกล่าวเขาจะประมาณการล่วงหน้าทั้งปีเท่าไหร่ ในจุดนั้นครม.เศรษฐกิจก็จะเห็นว่าเทียบจากประมาณการเดิมที่ตั้งไว้ 2.7-3.2% พอเห็นข้อมูลไตรมาสที่ 3 จะเป็นไปตามนั้นหรือไม่ พอเห็นข้อมูลจะได้ตัดสินใจว่าต้องใส่อะไรเพิ่มหรือไม่ ต้องดูตัวเลขว่ารับได้หรือไม่ ถ้ารับไม่ได้ต้องมีมาตการปลายปี…ผมคิดว่า ถ้าจำเป็นก็ออก”นายกอบศักดิ์ กล่าว

ทั้งนี้ การประเมินการเติบโตทางเศรษฐกิจดังกล่าวยังไม่รวมมาตรการชิม ช้อป ใช้ที่เริ่มดำเนินการในเดือน ต.ค.2562

อย่างไรก็ตาม นายกอบศักดิ์ ประเมินว่า ภาพรวมเศรษฐกิจทั้งภาคท่องเที่ยว ภาคเกษตร ยังคงดีขึ้น รวมถึงการส่งออกดีขึ้น จากไตรมาส 3 เทียบไตรมาส 2 ที่ผ่านมา แต่ยังมีปัญหาเรื่องผลิตภาพอุตสาหกรรมที่ชะลอตัวลง โดยเฉพาะจากกรณีที่ประชาชนรอการซื้อรถยนต์รุ่นใหม่ที่จะออกมาช่วงปลายปีนี้

“ลดาวัลลิ์”แนะ”ประยุทธ์”ใช้เวทีประชุมสุดยอดอาเซียนปูทางทวงคืนจีเอสพี

People Unity News : “ลดาวัลลิ์”แนะ”ประยุทธ์”ใช้เวทีประชุมสุดยอดอาเซียนปูทางทวงคืนจีเอสพี จี้ทำความกระจ่างเรื่องสิทธิแรงงานต่างด้าวในไทยให้โลกรับรู้

วันที่ 1 พฤศจิกายน 2562 นางลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า การจัดประชุมสุดยอดอาเซียนที่กรุงเทพฯ ระหว่างวันที่21ตุลาคม-4พฤศจิกายนนี้ โดยไทยเป็นเจ้าภาพ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีควรแสดงภาวะความเป็นผู้นำให้สหรัฐ และประเทศต่างๆในโลกได้เห็นศักยภาพของไทยและภูมิภาคอาเซียน ทั้งในด้านเศรษฐกิจ ความมั่นคง และวัฒนธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันที่ 4 พฤศจิกายน มีกำหนดการประชุมสุดยอดอาเซียน – สหรัฐ ซึ่งนายโดนัลด์ ทรัมป์ประธานาธิบดีสหรัฐได้ส่งตัวแทนมาร่วมประชุมด้วย ควร จะเป็นโอกาสดีที่สหรัฐจะได้รับรู้เจตนารมณ์ของคนไทยเกือบ70ล้านคน อันจะนำไปสู่การทบทวนและคืนสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร(จีเอสพี)ให้ไทย เพื่อเห็นแก่ความเป็นมิตรประเทศที่มีต่อกันมาช้านาน และจะได้จับมือกันสานประโยชน์ร่วมกันในด้านต่างๆต่อไปในอนาคต

นางลดาวัลลิ์กล่าวว่า การที่พลเอกประยุทธ์และนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯพูดทำนองว่า ไทยเป็นประเทศที่พัฒนาไปมากแล้ว ไม่จำเป็นต้องได้รับการลดหย่อนทางภาษีศุลกากรเวลาส่งสินค้าเข้าสหรัฐนั้น คล้ายกับจะยอมให้ตัดจีเอสพี แต่ตนเห็นว่าไม่ใช่การแก้ไขปัญหาที่ถูกต้อง อีกทั้งไม่ตรงประเด็น ทั้งนี้เนื่องจากปัญหาที่สหรัฐจะตัดจีเอสพี 573รายการ วงเงิน4หมื่นล้านบาท มีผลตั้งแต่ 25 เมษายน 2563 โดยสหรัฐอ้างว่า ไทยไม่ให้สิทธิในการจัดตั้งสมาคมหรือสหภาพแรงงานให้กับแรงงานต่างชาติ กรณีนี้ รัฐบาลไทยโดยกระทรวงแรงงานจะต้องอธิบายแจกแจงสภาพความเป็นจริง ว่าแรงงานต่างชาติที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทย มีสิทธิเสรีภาพต่างๆอย่างไรบ้างมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างไร การที่แรงงานเหล่านี้ ไม่ได้ตั้งสหภาพแรงงานก็ไม่เกิดผลกระทบหรือไม่เสียสิทธิประโยชน์ขัดต่อมาตรฐานแรงงานในระดับสากลอย่างไรบ้าง แรงงานต่างด้าวต่างพึงพอใจอย่างไรที่ได้ทำงานในไทย เมื่อสภาพความเป็นจริงถูกเผยแพร่ออกไป ก็น่าจะเป็นความชอบธรรมที่ไทยไม่ควรจะถูกสหรัฐตัดจีเอสพี เพราะการตัดจีเอสพีจะทำให้ผู้ประกอบการธุรกิจส่งออกสินค้าของไทยได้รับความเดือดร้อน เพราะจะต้องเสียภาษีนำเข้าสินค้าสูงขึ้นเมื่อส่งไปขายในสหรัฐ

นางลดาวัลลิ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า ตามที่นายจุรินทร์ ลักษณะวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้มอบหมายให้สำนักงานพาณิชย์ในต่างประเทศ ณ กรุงวอชิงตัน ดีซี ประสานงานร่วมกับทูตแรงงานประจำกรุงวอชิงตัน ดีซี ไปหารือร่วมกับสำนักงานผู้แทนการค้าของสหรัฐ หรือยูเอสทีอาร์ ในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้เป็นเรื่องที่ดี แต่ทั้งนี้ พลเอกประยุทธ์ ควรแสดงบทบาทด้วยการมอบนโยบายหรือแนวทางเป็นพิเศษเพื่อให้ตัวแทนไทยสื่อสารไปถึงนายโดนัลด์ ทรัมป์ ให้ได้รับรู้ว่า การตัดจีเอสพีไทยจะมีผลเสียกับสหรัฐมากกว่าผลดี

อุเทน”วอนศาลทบทวนตัดสินคดีล้มประชุมอาเซียนฯปี52 ของจำเลยบางราย

People Unity News : “อุเทน”วอนศาลทบทวนตัดสินคดีล้มประชุมอาเซียนฯปี52 ของจำเลยบางราย หลังปรากฏ “พยานสำคัญ” ถูกศาลตัดสินว่ามีความผิดให้การเท็จ ส่งผลให้คำเบิกความที่กล่าวหาผู้บริสุทธิ์ควรตกไปด้วย เชียร์ “ประยุทธ์” หาแนวทางให้ความเป็นธรรมแบบไม่เลือกสีเสื้อ วางหมุดแรกสร้างความปรองดอง

วันที่ 1 พฤศจิกายน 2562 นายอุเทน ชาติภิญโญ อดีตหัวหน้าพรรคคนไทย กล่าวถึงกรณีที่ 3 จำเลยในคดีล้มการประชุมอาเซียนที่โรงแรมรอยัล คลิฟบีชรีสอร์ท เมืองพัทยา เมื่อวันที่ 11 เม.ย.2552 ได้กลับคำให้การและรับสารภาพ ส่งผลให้ศาลฎีกานัดฟังคำสั่งใหม่ในวันที่ 3 ธ.ค.นี้ ในขณะที่จำเลยบางส่วนต้องคำพิพากษาจำคุก 4 ปีโดยไม่รอลงโทษไปแล้วว่า เข้าใจว่าเป็นแนวทางการต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมของ 3 จำเลยดังกล่าว ที่หวังได้รับการลงโทษสถานเบา ซึ่งก็ถือว่าศาลได้ให้ความเมตตารับฟังคำร้องไว้เบื้องต้น และนัดรับฟังคำพิพากษาใหม่ อย่างไรก็ดีภายใต้ความเคารพในคำพิพากษาของศาล และไม่เป็นการล่วงละเมิดขอบเขตอำนาจศาล ตนอยากขอวิงวอนองค์คณะผู้พิพากษาได้ให้ความเมตตาแก่จำเลยในคดีเดียวกันนี้กับรายอื่นๆในส่วนที่ต้องคำพิพากษาจำคุกไปแล้ว

เพราะขณะนี้ได้ปรากฏมีข้อเท็จจริงใหม่ จากการที่ศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ วินิจฉัยและพิพากษาโดยอ้างอิงคำเบิกความของพยานสำคัญ คือ พ.ต.ท.ศราวุธ บุญชัย (สารวัตรปราบปราม สถานีตำรวจภูธร (สภ.) ขลุง จ.จันทบุรี ในขณะนั้นเกิดเหตุเมื่อปี 2552) จึงตัดสินลงโทษจำเลยดังกล่าว แต่ต่อมา พ.ต.ท.ศราวุธ ถูกศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษฐานแจ้งความเท็จ โดยยอมรับสารภาพว่า ถูกผู้บังคับบัญชาบังคับให้ให้การเท็จปรักปรำจำเลยในคดีล้มการประชุมอาเซียนซัมมิท จนถูกศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ลงโทษตามศาลชั้นต้น คือ จำคุก 2 ปี 6 เดือน ปรับ 12,000 บาท แต่โทษจำคุกให้รอลงอาญา เมื่อวันที่ 14 มิ.ย.61 และยังอยู่ในชั้นฎีกาคดี

“เมื่อ พ.ต.ท.ศราวุธ สารภาพว่าให้การเท็จเพราะถูกบังคับ เป็นเหตุให้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ตัดสินว่าผู้ต้องหาชุดดังกล่าวมีความผิด ตามถ้อยคำเบิกความของ พ.ต.ท.ศราวุธ ที่ผูกพันคำพิพากษาจำเลยในคดีล้มการประชุมอาเซียนปี 2552 บางราย จึงไม่ควรรับฟัง และควรที่จะตกไป” นายอุเทน กล่าวและว่า

โดยเฉพาะรายของ นายศักดา นพสิทธิ์ ที่เดินทางไปตามนัดหมายศาลเพียงคนเดียวเมื่อวันที่ 11 ก.ย.ที่ผ่านมา เพราะมั่นใจในความบริสุทธิ์ของตัวเอง ก่อนถูกคุมขังที่เรือนจำพิเศษพัทยา ตามโทษ 4 ปีตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ซึ่งเจ้าตัวยืนยันและพยายามต่อสู้ในชั้นศาลว่า ไม่ได้มีส่วนร่วมกับการชุมนุมของ นปช. เพราะขณะนั้นมีตำแหน่งเป็นกรรมการบริหารและโฆษกพรรคเพื่อไทย อีกทั้งยังไม่ได้เข้าร่วมชุมนุมหรือบุกเข้าโรงแรมที่ใช้จัดประชุมในวันที่ 11 เม.ย.52 แต่อย่างใด ส่วนในวันที่ 10 เม.ย.ที่ได้เข้าไปอยู่ในสถานที่ชุมนุม แค่ไปติดตามสถานการณ์ ในฐานะที่เป็นคนที่เกิดและโตใน จ.ชลบุรี เท่านั้น แต่ในคำพิพากษาส่วนของนายศักดา ระบุว่า พ.ต.ท.ศราวุธ ให้การว่าเห็นนายศักดาปราศรัยอยู่บนรถขยายเสียงในวันที่ 11 เม.ย.ด้วย ซึ่งไม่ตรงกับข้อเท็จจริง แต่ทำให้นายศักดาต้องโทษ ส่งผลให้ครอบครัวและลูกเล็กได้รับความลำบาก เนื่องจากหัวหน้าครอบครัวที่เป็นเสาหลักต้องโทษถูกจำคุก

“ข้อร้องเรียนเกี่ยวกับกรณีพยานเท็จในคดีนี้นั้น ผมได้พยายามประสานผ่านฝ่ายต่างๆไปถึง พล.อ.ประยุทธ์ (จันทร์โอชา นายกฯ) แล้วอย่างน้อยๆ 3 ครั้ง เพื่อแสวงหาช่องทางช่วยเหลือและให้ความเป็นธรรมแก่ผู้บริสุทธิ์ แต่ก็ยังไม่รับการตอบสนอง ล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาก็ได้ฝากเรื่องผ่านรัฐมนตรีท่านหนึ่งในรัฐบาลปัจจุบันไปอีกครั้ง ก็หวังว่ารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จะรับฟังและแสวงหาแนวทางพิสูจน์ข้อเท็จจริง อันจะเป็นหมุดหมายแรกในการสร้างบรรยากาศความปรองดอง ที่ให้ความเป็นธรรมแก่ทุกกลุ่ม ทุกสีเสื้อ” นายอุเทน กล่าว

กมธ.กฎหมายสภาฯเปิดเวที มอ.ปัตตานี “ช่อ” แฉคนกรุงเทพฯไม่เห็นโอกาสศก.ฮาลาล

People Unity News : “ปิยบุตร-พรรณิการ์” นำเปิดเวทีเสวนา “กมธ.กฎหมาย พบประชาชน” – ด้านปชช.ในพื้น ร้องยกเลิกกฎหมายพิเศษ 3 จังหวัดชายแดนใต้ “ช่อ”แฉคนกรุงเทพฯไม่เห็นโอกาสศก.ฮาลาล

เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2562 ที่หอประชุมอิหม่าม อัล-นาวาวีย์ วิทยาลัยอิสลามศึกษา มอ.ปัตตานี นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ในฐานะประธานกรรมมาธิการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน พร้อมด้วย นางสาวพรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่และรองประธานกรรมาธิการ นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อพรรคอนาคตใหม่ โฆษกกรรมาธิการ นายนิรมิต สุจารี ส.ส.พรรคเพื่อไทย โฆษกกรรมาธิการ นายกมลศักดิ์ ลีวาเมาะ ส.ส.พรรคประชาชาติ เลขานุการคณะกรรมาธิการ นายอาดิลัน อาลีอิสเฮาะ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ เป็นคณะกรรมาธิการ และนางอังคณา นีละไพจิตร อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ร่วมเสวนาเปิดเวทีรับฟังปัญหาด้านกฎหมายรวมถึงสิทธิมนุษยชนในสามจังหวัดชายแดนใต้ โดยมีผศ.กุสุมา กูใหญ่ และอสมา มังกรชัย อาจารย์มอ.ปัตตานี เป็นผู้ดำเนินรายการ

ในเวทีเสวนาครั้งนี้นายปิยบุตร เริ่มต้นด้วยการกล่าวว่า ตนในฐานะประธานคณะกรรมาธิการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน ของสภาผู้แทนราษฏร วันนี้มีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้มีโอกาสเดินทางมามอ.ปัตตานี เรากลับมาสู่การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มีนาคม ที่ผ่านมา มีสภาผู้แทนราษฏรเกิดขึ้น มีการตั้งคณะกรรมาธิการสามัญขึ้นมา 35 คณะ ขอบเขตอำนาจหน้าที่ 3 เรื่องใหญ่ๆของคณะกรรมาธิการนี้คือ ทำหน้าที่เกี่ยวกับกฎหมาย กระบวนการยุติธรรมและเรื่องของสิทธิมนุษยชน ในวาระที่ตนได้รับโอกาสเข้ามาเป็นประธานคณะกรรมาธิการก็ตั้งใจเอาไว้ว่า จะใช้กลไกลของคณะกรรมาธิการสามัญชุดนี้ขับเคลื่อนใน 3 ประเด็นดังกล่าวให้เกิดผลอย่างมากที่สุด เพราะเราปฏิเสธไม่ได้เลยว่าตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ภายใต้การปกครองของคณะคสช. ประเทศไทยมีประเด็นปัญหาเกี่ยวกับเรื่องกฎหมาย มีประกาศคำสั่งของคสช. เป็นจำนวนมาก ซึ่งมีเนื้อหาขัดต่อหลักนิติรัฐและนิติธรรม และตลอด 5 ปีของคสช. ก็มีปัญหาเรื่องละเมิดสิทธิมนุษยชน ประเทศไทยเคยเป็นผู้นำด้านสิทธิมนุษยชนในภูมิภาคอาเซียน แต่ในระยะหลัง เมื่อเกิดรัฐประหาร สิทธิมนุษยชนก็ลดน้อยถอยลงทุกที

“คณะกรรมาธิการที่มาในวันนี้ต่างเป็นผู้แทนของราษฏร ราษฏรเป็นผู้เลือกขึ้นมา ดังนั้นพันธกิจที่สำคัญก็คือ เป็นตัวแทน เป็นปากเป็นเสียงให้แก่ประชาชน ดังนั้นการเดินทางมาของคณะกรรมาธิการชุดนี้ จึงเป็นบทบาทที่สำคัญของสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร เราต้องการเดินทางมารับฟังปัญหาที่ประชาชนประสบพบเจอ เราใช้คำว่ากรรมาธิการพบประชาชน เพราะตั้งใจว่าคณะกรรมาธิการชุดนี้ จะเดินทางไปทุกๆภาคของประเทศไทย เพื่อจะได้เข้าถึงปัญหาของประชาชนให้ได้มากที่สุด ภายใต้บรรยากาศที่ประเทศกำลังรื้อฟื้นประชาธิปไตยกลับมา ในอดีตที่ผ่านมาประชาชนไม่กล้าแสดงความคิดเห็น ที่อาจกังวลใจว่า หากแสดงออกอาจจะถูกดำเนินคดีต่างๆ แต่ในตอนนี้ระบบเริ่มกลับมาสู่ภาวะปกติ ผมคิดว่าการเปิดเวทีเสวนาแบบนี้จึงเป็นเรื่องที่สำคัญ อย่างน้อยก็เป็นการสื่อสารภายใต้สภาวการณ์ปกติที่ทุกท่านมีสิทธิเสรีภาพในการพูด ในการแสดงออกได้อย่างเท่าเทียม ภายใต้รัฐธรรมนูญ” ปิยบุตร กล่าว

นายปิยบุตร กล่าวต่อว่า สาเหตุที่ตนเลือก มอ.ปัตตานี เป็นที่แรกในการเดินสายพบประชาชนของคณะกรรมาธิการชุดนี้ เพราะในเขตพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ต้องยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า มีปัญหาเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชน มีปัญหาเรื่องการใช้อำนาจของรัฐตามกฎหมายพิเศษ กฎหมายความมั่นคงต่างๆ ดังนั้นเราจึงเลือกที่นี่เป็นที่แห่งแรก เพราะเชื่อได้ว่าจะได้รับเสียงสะท้อนจากพี่น้องประชาชน เพื่อนำไปผลักดันในประเด็นต่างๆในชั้นสภาผู้แทนราษฏรต่อไป

ด้านน.ส.พรรณิการ์ กล่าวว่า การละเมิดสิทธิมนุษยชนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ มีความทับซ้อนกันเป็นอย่างมาก ปัญหาความรุนแรงที่เห็นได้ชัดเจน คือการซ้อม การทรมาน การกักคน 7 วัน ต่อเนื่องยาวนาน 30 วัน หรือแม้แต่การอุ้มหาย สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มากกว่าในพื้นที่อื่นๆ รวมถึงความไม่ไว้วางใจกันระหว่างประชาชนในพื้นที่กับเจ้าหน้าที่รัฐ นี่คือสิ่งที่เห็นได้ชัด แต่ปัญหาที่ทับไปอีกชั้นหนึ่งก็คือ การพรากสิทธิที่จะเติบโตตามศักยภาพของพื้นที่ ตนมาแต่ละครั้งไม่ได้ไปพบแต่ผู้ที่สูญเสีย ผู้ที่บาดเจ็บ หรือญาติผู้เสียชีวิตเท่านั้น แต่ยังได้ไปรับรู้ถึงความอุดมสมบูรณ์ คามสวยงามและศักยภาพในพื้นที่

“คนกรุงเทพฯส่วนใหญ่มอง 3 จังหวัดชายแดนใต้โดยคิดถึงแต่ปัญหาเพียงอย่างเดียว ไม่ได้คิดถึงศักยภาพและโอกาสทางเศรษฐกิจ ทรัพยากรธรรมชาติ สถานที่ท่องเที่ยว ชายหาดหรืออุตสาหกรรมอาหารฮาลาล ว่าสิ่งเหล่านี้สามารถเติบโตได้แค่ไหนในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ นี่คือสิ่งที่ถูกกดทับภายใต้ปัญหาความรุนแรง นี่คือความสูญเสียที่ไม่ใช่แค่ในพื้นที่ชายแดนใต้ แต่เป็นการสูญเสียของประเทศ เรามีความจำเป็นต้องสื่อสารออกไปให้คนทั้งประเทศเห็น วันนี้ตนมีความเชื่อส่วนตัวว่า ส่วนหนึ่งของปัญหาชายแดนใต้ที่ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง ทั้งที่เวลาล่วงเลยมากว่า 15 ปี เป็นเพราะว่าคนในประเทศไทยไม่ได้มองว่าปัญหา 3 จังหวัดชายแดนใต้เป็น ‘ปัญหาของเรา’ แต่มองว่าเป็น ‘ปัญหาของคุณ’ ตราบใดที่ไม่สามารถทำให้คนไทยทั้งประเทศเห็นว่า จังหวัดชายแดนใต้คือพื้นที่ที่มีศักยภาพ มีแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงาม มีวัฒนธรรมที่ดี มีอาหารที่อร่อย มีคนที่น่ารัก ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาในพื้นที่ได้ เราต้องทำให้คนทั้งประเทศเห็นว่า คุณกำลังสูญเสียอะไรบ้างในปัญหาชายแดนภาคใต้ และเราทุกคนจำเป็นต้องแก้ปัญหาร่วมกัน”น.ส.พรรณิการ์ กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างการเสวนา ได้มีการเปิดโอกาสให้ประชาชนผู้ที่เข้าร่วมกิจกรรมถาม-ตอบ ถึงปัญหาด้านกฎหมายและสิทธิมนุษยชน โดยผู้เข้าร่วมรับฟังเสวนาท่านหนึ่งได้สะท้อนปัญหาว่า การมีกฎหมายพิเศษในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นตัวปัญหาทำให้ประชาชนเดือดร้อน ขอเรียกร้องและขอความอนุเคราะห์ผ่านคณะกรรมาธิการกฎหมายฯ ไปยังผู้มีอำนาจ ขอให้ยกเลิกกฎหมายพิเศษในพื้นที่ เนื่องจากหากคนใดคนหนึ่งในครอบครัวถูกตัดสินจากกฎหมายพิเศษ คนครอบครัวนั้นก็เดือดร้อนตามไปด้วย ดังนั้นการถูกตัดสินจากกฎหมายพิเศษ คือการตัดสินชะตาชีวิตของครอบครัวนั้นๆไปด้วย

นอกจากนี้ ในเวทียังมีการยื่นข้อร้องเรียนต่างๆอีกหลายปัญหาเช่นการเวนคืนพื้นที่ทำกินชาวบ้านเพื่อสร้างอ่างเก็บน้ำลำพญา จ.ยะลา การร้องเรียนเรื่องการที่กอ.รมน. ขอให้ประชาชนในสามจังหวัดลงทะเบียนซิมการ์ดแบบสองแชะ มิฉะนั้นจะถูกตัดสัญญาณหลังวันที่ 31 ตุลาคม รวมถึงการร้องเรียนเรื่องการเก็บดีเอ็นเอของประชาชนในพื้นที่ซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล และการร้องเรียนสภาพความเป็นอยู่ที่แออัดในเรือนจำกลางปัตตานี

 

“อนุดิษฐ์”รับเรื่องเกษตรกร แก้ไขปัญหาหนี้สินและหาแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ

People Unity News : “อนุดิษฐ์”รับเรื่องเกษตรกร แก้ไขปัญหาหนี้สินและหาแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ ผลักดันแก้ พ.ร.บ. กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร

เมื่อเวลา 15.30 น.วันที่ 31 ตุลาคม 2562 ที่รัฐสภา เกียกกาย กลุ่มเครือข่ายหนี้สินชาวนาแห่งประเทศไทย นำโดย นางปิ่นแก้ว แก้วสุกแท้ เกษตรกรจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เข้ายื่นหนังสือถึงหัวหน้าพรรคร่วมพรรคค้านทั้ง 7 พรรค ผ่าน น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) และ ส.ส.กทม.พร้อมด้วยนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส. เชียงใหม่และนาย ชูวิทย์ กุ่ย พิทักษ์พรพัลลภ ส.ส. อุบลราชานี เป็นตัวแทนรับหนังสือเพื่อขอให้ช่วยผลักดันให้พรรคฝ่ายค้านสนับสนุนให้มีการแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร พ.ศ. …. เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือนร้อนของเกษตรกร โดยเฉพาะเรื่องปัญหาหนี้สิน ที่ดินทำกิน โครงการที่รัฐเข้าไปเสริมสร้างแล้วล้มเหลว และแหล่งเงินทุนอัตราดอกเบี้ยต่ำ อีกทั้งกรรมการกองทุนฯ ที่มีวาระเพียง 2 ปี ไม่มีความต่อเนื่องในการทำงานขอให้เพิ่มเป็น 4 ปี แม้ที่ผ่านมาจะมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาหลายคณะแต่การแก้ปัญหาไม่มีความคืบหน้า ดังนั้นกลุ่มเครือข่ายฯ เห็นว่าจำเป็นต้องตรากฎหมายเพื่อกำหนดทิศทางและเป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน

น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าวภายหลังรับหนังสือว่า ปัญหาหนี้สินของเกษตรกรนั้น ในอดีตกองทุนฟื้นฟูถือเป็นเรื่องสำคัญในการแก้ไขปัญหาให้กับเกษตรกร แต่ พ.ร.บ.ปัจจุบัน กลับทำให้เกษตรกรเดือดร้อน โดยเฉพาะการกำหนดเงื่อนไขให้เกษตรกรต้องมีหลักทรัพย์ถึงจะได้รับการฟื้นฟู ทำให้การแก้ไขหนี้สินเกษตรกรมีปัญหา อย่างไรก็ตาม ตนยืนยันว่าจะนำหนังสือทั้ง 7 ฉบับ ส่งให้ถึงมือหัวหน้าพรร

“บิ๊กตู่”เผยนายกฯแคนนาดาโทรแจ้ง ร่วมประชุมอาเซียนไม่ได้

People Unity News : “บิ๊กตู่”เผยนายกฯแคนนาดาโทรแจ้ง ร่วมประชุมอาเซียนไม่ได้ รองโฆษกเพื่อไทยซัดรัฐบาลไร้ประสิทธิภาพ หลังปธน.สหรัฐฯปฎิเสธคำเชิญเข้าประชุมอาเซียน

วันที่ 31 ตุลาคม 2562 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ว่า ช่วงเช้าวันเดียวกันนี้ นายจัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนนาดา ได้โทรศัพท์มาพูดคุยกับตนโดยระบุว่าติดปัญหาภายในประเทศทำให้ไม่สามารถเข้าร่วม ประชุมอาเซียนซัมมิท ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพได้ แต่จะมีผู้แทนมาร่วมประชุม แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ที่มีต่อกันระหว่างเราและแคนนาดา และแคนนาดากับอาเซียนด้วย

เมื่อถามถึงการยกเลิกการประชุมเอเปคประจำปี 2019 ที่ประเทศชิลี พล.อ.ประยุทธ์ ตอบว่า ประเทศชิลี แจ้งเรื่องดังกล่าวเข้ามาแล้ว มีการประท้วงและข้อนข้างมีความรุนแรงเกิดขึ้นด้วย เขาขอเลื่อนไปก่อน

ทั้งนี้เมื่อเวลา 08.30 น. ตามเวลาของประเทศไทย นายจัสติน ทรูโด ได้โทรศัพท์ถึง พล.อ.ประยุทธ์ โดยพลตรี อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ ได้สรุปสาระสำคัญของการสนทนาทางโทรศัพท์ ดังนี้

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวทักทาย นายจัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนาดา พร้อมกับแสดงความยินดีในโอกาสที่นายกรัฐมนตรีแคนาดาชนะการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อวันที่ 21 ต.ค. ที่ผ่านมา พร้อมขอบคุณที่นายกรัฐมนตรีแคนาดาได้ให้ความสนใจและความสำคัญกับอาเซียน และโทรศัพท์มาสนทนาด้วยตนเองในวันนี้

นายกรัฐมนตรีแคนาดา กล่าวว่ารู้สึกเสียใจที่ไม่สามารถเดินทางมาประเทศไทยเพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียนตามคำเชิญของนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ได้ เนื่องจากมีภารกิจสำคัญในการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้แสดงความเสียดายที่ไม่ได้มีโอกาสต้อนรับนายกรัฐมนตรีแคนาดา แต่เข้าใจถึงภารกิจของนายกรัฐมนตรีแคนาดาในช่วงการจัดตั้งรัฐบาล พร้อมแสดงความชื่นชมเอกอัครราชทูตแคนาดาประจำประเทศไทยที่ได้ส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศเป็นอย่างดี ซึ่งนายกรัฐมนตรีเพิ่งได้พบหารือกับเอกอัครราชทูตแคนาดาประจำประเทศไทย เพื่ออำลาในโอกาสพ้นวาระ เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (29 ต.ค. 2562)

ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้แสดงความพร้อมที่จะร่วมมือกับรัฐบาลแคนาดาอย่างใกล้ชิดต่อไป เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ไทย – แคนาดาทั้งในระดับทวิภาคีและภูมิภาค โดยเฉพาะความสัมพันธ์อาเซียน-แคนาดา ซึ่งนายกรัฐมนตรีแคนาดาเองได้ยืนยันที่จะร่วมมือกับไทยเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ในด้านต่างๆ ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องของเศรษฐกิจและการค้าการลงทุน พร้อมกับฝากนายกรัฐมนตรีทักทายผู้นำจากประเทศต่างๆ ที่จะเดินทางมาเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 35 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง ซึ่งไทยจะเป็นเจ้าภาพระหว่างวันที่ 2-4 พฤศจิกายน 2562 ที่จะถึงนี้

ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึง ทิศทางการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างไทย-แคนาดาในอนาคต โดยประสงค์ให้แคนาดาพิจารณาความร่วมมือในรูปแบบ Thailand +1 ตลอดจนความร่วมมือในระดับอนุภูมิภาคมากขึ้น เช่น การเข้าเป็นหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาในกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (ACMECS) และโครงการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS) โดยผู้นำทั้งสองต่างหวังที่จะได้พบและหารือกันในโอกาสต่อไป

รองโฆษกเพื่อไทยซัดรัฐบาลไร้ประสิทธิภาพ หลังปธน.สหรัฐฯปฎิเสธคำเชิญเข้าประชุมอาเซียน

ขณะที่น.ส.สรัสนันท์ อรรณนพพร ส.ส.ขอนแก่น และ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย ได้ให้สัมภาษณ์ถึงการที่ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาปฎิเสธคำเชิญเข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำ ASEAN Summit 2019 ที่ไทยเป็นเจ้าภาพว่า เป็นการหักดิบความสัมพันธ์การต่างประเทศระหว่างไทย และ สหรัฐฯ

น.ส. สรัสนันท์ ได้กล่าวถึงเหตุการณ์นี้ว่า การที่นายโดนัล ทรัมป์ เซ็นระงับสิทธิทางภาษีนำเข้า GSPนั้น ได้ส่งผลกระทบต่อสินค้าไทยหลายร้อยรายการอย่างมีนัยยะสำคัญ และต่อด้วยการปฎิเสธคำเชิญเข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำ ASEAN Summit 2019 ที่เป็นเจ้าภาพ เป็นการบ่งบอกถึงสัญญาณที่ทางสหรัฐฯไม่ได้ให้น้ำหนักกับประเทศไทยเหมือนเคย ถือว่าเป็นการหักดิบความสัมพันธ์การต่างประเทศ

แม้การเซ็นระงับสิทธิทางภาษีนำเข้า GSP กับประเทศไทยนั้น อาจมาจากหลายๆปัจจัย เช่น นโยบาย America First ที่มุ่งเน้นการปรับดุลการค้าที่ขาดดุลมาตลอดระยะเวลาหลายสิบปี แต่ก็อาจมาจากจุดยืนด้านการต่างประเทศ ที่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์แลดูให้ความสำคัญกับประเทศจีนเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นการเซ็นโครงการเมกะโปรเจค ที่เอื้อแก่กลุ่มเจ้าสัว และรัฐบาลจีน หรือการปล่อยให้ Alibaba เข้ามาทำกิจการอย่างง่ายดายโดยไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบอื่นๆ ส่งผลให้อุตสาหกรรมไทยขนาดเล็ก หลายพันบริษัท ต้องประสบสภาวะขาดทุน ซึ่งสวนทางกับรัฐบาลที่เคยพูดว่า ให้ความสำคัญกับการสร้างธุรกิจ ecommerce แต่ที่สำคัญกว่ารัฐบาลไทยดูท่าจะไม่มีแนวทางรองรับกับผลกระทบที่กำลังจะตามมาเป็นระลอกจากการแย่งชิงอำนาจระหว่างสองประเทศมหาอำนาจ”

น.ส.สรัสนันท์ กล่าวด้วยว่า ดังนั้นการที่นายโดนัล ทรัมป์ เลือกที่จะไม่มาร่วมการประชุม ซึ่งต่างกับทุกๆครั้งที่ผู้นำสูงสุดของประเทศจะต้องมาร่วมเอง แต่เลือกที่จะส่ง นายโรเบิร์ต โอบราเอน ซึ่งเป็นผู้ช่วยด้านความมั่นคง ในฐานะทูตแต่งตั้งพิเศษพร้อมรัฐมนตรีการพาณิชย์ เป็นการกระทำที่ทำให้เห็นชัดเจนว่าสหรัฐอเมริกากำลังใช้ไม้แข็งกับรัฐบาลไทย

“ปิยบุตร”ลุยใต้เข้า”ค่ายอิงคยุทธ”! “กอ.รมน.ภาค4″แจง”กำลังพล-งบฯ

People Unity News : “ปิยบุตร” นำคณะ “กมธ.กฎหมายฯ” ลุยพื้นที่ 3 จังหวัดใต้ เก็บข้อมูลแก้ปัญหาละเมิดสิทธิ – เข้า “ค่ายอิงคยุทธ” เชิญ กอ.รมน.ภาค4 ชี้แจง ปมกำลังพล – งบประมาณ- การเสียชีวิต “อับดุลเลาะ อีซอมูซอ”

เมื่อวันที่ 30 ต.ค.2562 คณะกรรมาธิการ​กฎหมาย การยุติธรรม​และสิทธิมนุษยชน​ นำโดย นายปิยบุตร​ แสงกนกกุล เลขาธิการ​พรรคอนาคตใหม่ ในฐานะประธาน​กรรมาธิการ พร้อมคณะ อาทิ น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่และรองประธานคณะกรรมาธิการ​ นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ​พรรคอนาคตใหม่และโฆษกคณะกรรมาธิการ​ ศึกษาดูงานและตรวจเยี่ยมการแก้ไขปัญหา​เกี่ยวกับการละเมิดกฎหมาย​และสิทธิมนุษยชน​ ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดน​ใต้ และบางส่วนของจังหวัดสงขลา​ ในระหว่างวันที่ 30-31 ตุลาคม​ โดยในช่วงเช้าของวันแรก ได้เข้าตรวจเยี่ยมห้องกักด่านตรวจคนเข้าเมืองสะเดา อ.สะเดา จ.สงขลา​ และร่วมแลกเปลี่ยนกับเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง เพื่อรับฟังสภาพปัญหา​ผู้หลบหนีเข้าเมือง ที่มีสถานะผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญา​และชาวอุยกูร์​

นายปิยยุตร กล่าวว่า วัตถุประสงค์​ของ กมธ. นอกจากจะเดินทางมาเพื่อสอบถามข้อมูลแล้ว ก็อยากจะให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ​ได้สะท้อนกลับมาด้วย ว่าเจ้าหน้าที่มีปัญหาในเรื่องงบประมาณ​ หรือกฎหมายข้อบังคับต่างๆ ที่ทำให้ทำงานไม่สะดวกหรือไม่ ด้วยระบบราชการภายในทำให้การเสนอเรื่องขึ้นไปอาจจะไม่สะดวกและล่าช้า สามารถฝากเรื่องผ่านมายังคณะกรรมาธิการ​กฎหมาย​ฯนี้ได้ ซึ่งตนจะช่วยผลักดันในช่องทางต่างๆ เพื่อให้การดำเนินงานด้านสิทธิมนุษยชน​เป็นไปอย่างรวดเร็ว

ฟังปัญหา จนท.- ผู้ถูกกักขัง ด่าน “สะเดา”

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองสะเดา เสนอว่า การกักขังไว้ที่ศูนย์​กักขังคนเข้าเมืองสะเดา อาจทำให้มีแรงจูงใจในการหลบหนีมากกว่ากักขังในที่อื่น เพราะหากผู้ถูกกักขังสามารถหลบนี้ได้จากศูนย์กักขังสะเดา จะดูกลมกลืนกับคนในพื้นที่ ทำให้ยากต่อการตามจับ แต่ถ้ากักขังไว้ที่อื่น หากผู้ถูกกักขังหลบหนีได้ จะดูแปลกตากับคนในพื้นที่นั้นทันที ทำให้ผู้ต้องกักจะไม่มีแรงจูงใจในการหลบหนี โดยในระหว่างที่คณะกรรมาธิการ​ได้เข้าเยี่ยมผู้ต้องกัก ได้สอบถามข้อมูลจากผู้ถูกกักโดยผู้อพยพชาวอุยกูร์​รายหนึ่งเล่าว่าติดอยู่ในศูนย์กักขังนี้เป็นเวลากว่า 6 ปีแล้ว ซึ่งขณะนี้​ก็ยังไม่ทราบว่าโดนกักในคดีหรือข้อหาอะไร อีกทั้งยังขอว่าต้องการจะไปประเทศที่ 3 ซึ่งระบุว่าเป็นประเทศตุรกี หรือ มาเลเซีย​ก็ได้ แต่จะไม่ยอมถูกส่งไปประเทศจีน

สำหรับศูนย์กักคนเข้าเมืองสะเดา แบ่งเป็น 2 อาคาร โดยอาคารที่ 1 เป็นที่กักขังระยะยาว เป็นบุคคล​ไร้สัญชาติ​(ตุรกี)​13 ราย ชาวเมียนมา(โรฮิงญา)​ 11 ราย ชาวเมียนมา(อิสลาม)​ 10 ราย รวมผู้ต้องกักระยะยาวทิ้งสิ้น 34 ราย โดยผู้ที่ถูกกักขังนานสุดเป็นระยะเวลากว่า 6 ปี ส่วนอาคารที่สอง เป็นอาคารแรกรับ/หมุนเวียน มีผู้ต้องกักชายชาวโรฮิงญา​ 115 ราย หญิง 18 ราย เด็กผู้ชาย 19 ราย เด็กผู้หญิง​ 8 ราย รวม 160 ราย และหากรวมสองอาคาร มีผู้อพยพรอการส่งตัวไปประเทศที่ 3 ที่ศูนย์​กักคนเข้าเมืองสะเดาทิ้งสิ้น 194 ราย

เข้าค่าย “อิงคยุทธ” เค้นปมใช้งบ – การเสียชีวิต “อีซอมูซอ”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากนั้น ในช่วงบ่าย คณะกรรมาธิการเดินทางไปยังศูนย์​ซักถามหน่วยข่าวกรองทางทหารส่วนหน้า จังหวัดชายแดนใต้ และกรมทหารพรานที่ ๔๓ ค่ายอิงคยุทธ​บริหาร จ.ปัตตานี​ เพื่อศึกษาดูงานและตรวจเยี่ยมร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง โดยมี พล.ต.กฤษดา พงษ์สามารถ รองแม่ทัพภาค 4​ และรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภาค 4 ส่วนหน้า ให้การต้อนรับ กอ.รมน.ภาค4 ส่วนหน้า ได้ชี้แจงแนวทางการทำงานและเปิดโอกาส​ได้ซักถาม

โดย น.ส.พรรณิการ์ ได้ซักถาม 4 ประเด็นเป็นที่ต้องสงสัย คือ 1.หลักการใช้กำลังและข้อสงสัยถึงมาตราการใช้กำลังเกินกว่าเหตุ 2.จากร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ปี 2563 โครงการเพิ่มประสิทธิภาพ​งานข่าวกรอง ซึ่งมีการจัดสรรงบส่วนนี้โดยตรง กว่า 900 ล้านบาทซึ่งมากกว่างบประมาณจังหวัดของ 3 จังหวัดชายแดนใต้รวมกัน จะใช้งบไปพัฒนาในส่วนใดบ้าง 3.กรณีนายอับดุลเลาะ อีซอมูซอ ที่เสียชีวิตขณะถูกคุมตัวในศูนย์ซักถามค่ายอิงคยุทธ เหตุใดจึงไม่มีภาพจากกล้องวงจรปิด มีการติดตั้งกล้องวงจรปิดก่อนหรือหลังเหตุการณ์​ 4.สถิติการเสียชีวิตของประชาชน ขณะที่อยู่ในระหว่างควบคุมตัวที่ศูนย์​มีจำนวนเท่าใด

เปิดเวทีครั้งแรก “กมธ.กฎหมายฯ พบประชาชน”

ด้าน นายทหาร จาก กอ.รมน.ภาค 4 ได้ตอบข้อซักถามว่า 1.จากที่เห็นตามหน้าข่าวต่างๆ ในการจับกุมผู้ต้องสงสัยที่เห็นว่าขบวนรถของทหารมีจำนวนหลายคัน ใช้บุคคลากรเกินกว่าเหตุหรือไม่ อยากชี้แจงว่าการทำงานจะแบ่งเป็นชุดๆ ทีมอีโอดีชุดหนึ่ง ชุดเคลียร์​พื้นที่​ ชุดพิสูจน์​หลักฐาน​ ชุดสนับสนุน​ หากรวมทุกชุดจะดูว่ามีจำนวนมาก แต่การทำงานก็หน้าที่ใครหน้าที่มัน 2.งบเพิ่มประสิทธิภาพ​หน่วยงานข่าวกรองนั้น เป็นงบของงานข่าวกรองทั่วประเทศ ซึ่ง กอ.รมน.ภาค4 ส่วนหน้าใช้เป็นโครงการนำร่องเพียงเท่านั้น 3.ขณะที่นายอับดุลเลาะ อีซอมูซอ ถูกควบคุมตัวนั้น อยู่ในศูนย์​ซักถามแห่งใหม่ที่พึ่งสร้างเสร็จได้ไม่นาน แต่งบการติดกล้องวงจรปิดนั้นอยู่คนละส่วนกัน ซึ่งขณะนั้นได้ติดตั้ง แต่มีปัญหาที่มุมกล้องเป็นมุมอับ ไม่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนและระบบไฟขัดข้อง 4.สถิติการเสียชีวิตของผู้ที่อยู่ระหว่างถูกควบคุมในศูนย์​ซักถาม นับตั้งแต่ปี 2547 – ปัจจุบัน​ มีจำนวน 5 ราย เสียชีวิตในศูนย์ 2 ราย และเสียชีวิตนอกศูนย์ 3 ราย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงเย็นของการเดินทางมาเยือนชายแดนใต้วันแรก คณะกรรมาธิการ​กฎหมาย​ฯ ​ จัดกิจกรรม “กมธ.กฎหมาย​ฯ พบประชาชน” ครั้งที่ 1 เวลา 19.00-21.00 น. ที่ห้องประชุมอิหม่ามอัล-นาวาวีย์ วิทยาลัยอิสลามศึกษา มอ.ปัตตานี​ จ.ปัตตานี

Verified by ExactMetrics