วันที่ 18 พฤษภาคม 2024

“สาธิต”ชวนรวมพลังชุมชนยุติเอดส์ “จุติ”รับหนังสือ”ตัวแทนเครือข่ายสตรี”

People Unity News : กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับ ศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย รณรงค์เนื่องในวันเอดส์โลก 1 ธันวาคม 2562 และเทิดพระเกียรติพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ ในฐานะทูตสันถวไมตรีของโครงการโรคเอดส์แห่งสหประชาชาติ “รวมพลังชุมชนยุติเอดส์” สร้างการมีส่วนร่วมในการป้องกัน ลดการรังเกียจกีดกัน และเลือกปฏิบัติ มีเป้าหมาย “ไม่ติด-ไม่ตาย-ไม่ตีตรา” “รมว.พม.” รับหนังสือ “ตัวแทนเครือข่ายสตรี” ย้ำไม่สนับสนุนความรุนแรงในครอบครัว พร้อมหนุนสิทธิสตรีทุกด้าน

วันที่ 19 พฤศจิกายน 2562 ที่ทำเนียบรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เยี่ยมชมนิทรรศการเนื่องในวันเอดส์โลก และเป็นโอกาสเทิดพระเกียรติ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ ในฐานะทูตสันถวไมตรีของโครงการโรคเอดส์แห่งสหประชาชาติ ในการป้องกัน เอชไอวีในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก (UNAIDS Goodwill Ambassador for HIV Prevention for Asia and the Pacific) ภายใต้แนวคิด “Communities make the difference รวมพลังชุมชนยุติเอดส์” ให้ชุมชนมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการยุติปัญหาเอดส์ สร้างการมีส่วนร่วมเพื่อนำไปสู่เป้าหมาย “ไม่ติด-ไม่ตาย-ไม่ตีตรา” โดยมี ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้การต้อนรับ

รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ประเทศไทยได้แสดงเจตนารมณ์อย่างมุ่งมั่นที่จะยุติปัญหาเอดส์ (Ending AIDS) ภายใน 10 ปี โดยเน้นให้ชุมชนทั้งภาครัฐและ ภาคประชาสังคม มีส่วนร่วมสร้างความตระหนักและความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ ภาคประชาสังคมร่วมจัดบริการ ให้เข้าถึงกลุ่มผู้มีพฤติกรรมเสี่ยงได้รับการตรวจเอชไอวี ส่งเสริมการป้องกันและดูแลรักษา เชื่อมต่อกับสถานบริการภาครัฐ เพื่อให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวี/ผู้ป่วยเอดส์ ได้รับการดูแลแบบองค์รวม ยึดผู้รับบริการเป็นศูนย์กลางและคำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชน สู่เป้าหมาย “ไม่ติด-ไม่ตาย-ไม่ตีตรา” คือ ลดจำนวน ผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ให้เหลือปีละไม่เกิน 1,000 ราย ลดการเสียชีวิตในผู้ติดเชื้อเอชไอวีเหลือปีละไม่เกิน 4,000 ราย ลดการรังเกียจและการเลือกปฏิบัติ อันเกี่ยวเนื่องจากเอชไอวีและเพศภาวะลงจากเดิมร้อยละ 90 นำไปสู่การยุติปัญหาเอดส์ของประเทศไทยภายในปี 2573

ด้านนายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า จากรายงานของโครงการเอดส์แห่งสหประชาชาติ (UNAIDS) ในปี 2561 มีผู้ติดเชื้อเอชไอวีทั่วโลกสะสม 37.9 ล้านคน เป็นผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ 1.7 ล้านคน และมีผู้เสียชีวิตเนื่องจากเอดส์ 770,000 คน ส่วนประเทศไทยคาดประมาณปี 2562 มีผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ประมาณ 5,500 คน เฉลี่ยวันละ 15 คน มีผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่มีชีวิตอยู่ทั้งหมดประมาณ 467,600 คน ซึ่งผลการดำเนินงานในปี 2561 พบว่า มีผู้ติดเชื้อได้รับการวินิจฉัยและรู้สถานะการติดเชื้อฯ ตนเอง ร้อยละ 94 แต่มีผู้ที่ได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสเพียงร้อยละ 79 ของผู้ติดเชื้อฯ ที่ได้รับการวินิจฉัยและในจำนวนของผู้ที่กำลังรับการรักษาด้วยยาต้านไวรัส สามารถกดไวรัสในกระแสเลือดได้สำเร็จ ร้อยละ 97

ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุข กรมควบคุมโรค และศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย เชิญชวนหน่วยงานภาคีเครือข่ายภาครัฐและเอกชน ร่วมจัดกิจกรรมรณรงค์วันเอดส์โลกพร้อมกันทั่วประเทศ ในวันที่ 1 ธันวาคม 2562 และติดโบว์แดง เพื่อแสดงเชิงสัญลักษณ์ถึงการสนับสนุนการร่วมใจกันของทุกภาคส่วนในสังคม “รวมพลังชุมชนยุติเอดส์” สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422

“รมว.พม.”รับหนังสือ”ตัวแทนเครือข่ายสตรี”ย้ำไม่สนับสนุนความรุนแรงในครอบครัว

ที่บริเวณประตู 4 ทำเนียบรัฐบาล ตัวแทนเครือข่ายสตรี ประมาณ 50 คน เดินทางมายื่นข้อเสนอต่อนายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เรียกร้องให้ยุติความรุนแรงต่อสตรีเพื่อนำไปพิจารณาในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ดังนี้ 1.ขอให้ไม่ขยายเวลาให้สถานบริการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 2.เรียกร้องให้กระทรวงศึกษาจัดหลักสูตรทักษะชีวิต เรื่อง เพศ และครอบครัว 3.ขอให้มีหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงเพื่อสอบสวนประเด็นเกี่ยวกับเรื่องครอบครัว 4.ขอให้ตำรวจ 191 เข้าระงับเหตุทันทีเมื่อได้รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับแม่และเด็ก 5.สิทธิการครอบครองที่ดินของสตรี 6.สิทธิการฝากครรภ์และการคลอดฟรีทุกโรงพยาบาล 7.ให้มีหน่วยงานการติดตามการค้ามนุษย์ขึ้นโดยตรงกับสำนักนายกรัฐมนตรี

โดย นายจุติ กล่าวภายหลังการรับหนังสือ ว่า หลายเรื่องรัฐบาลได้ทำอยู่แล้ว เช่น การป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ทั้งนี้ทางกระทรวงพม. โดยการนำของนายกรัฐมนตรีได้มอบนโยบายให้ตำรวจช่วยเพิ่มการบรรจุพนักงานสอบสวนหญิง ส่วนเรื่องการละเมิดสิทธิทั้งชายและหญิงสิ่งที่สำคัญคือการให้ความเป็นธรรมต่อกัน เรามีอาสาสมัครและองค์กรภาคประชาชนจำนวนมากที่ทางกระทรวงพม.ร่วมทำงานด้วย เราไม่เคยสนับสนุนความรุนแรงในครอบครัว ไม่สนับสนุนในเรื่องการทำผิดกฎหมายและการค้ามนุษย์

“ผมเคารพสิทธิของสตรี ฉะนั้นสิทธิที่มีควรจะเท่าเทียมกัน ในทางกฎหมายและทุกมิติของสังคม ที่ท่านนำเสนอมาทั้งหมดเราจะทำร่วมกับท่านและองค์กรสตรีอื่น ๆ เพื่อให้ผู้หญิงเกิดความเข้มแข็ง ผมเชื่อว่าถ้าเติมพลังผู้หญิงให้เต็มที่แล้วเศรษฐกิจจะดีขึ้นมากกว่านี้ ผมพร้อมสนับสนุนอยู่แล้ว ผมขอเชิญชวนทุกองค์กรมาช่วยกันกับกระทรวงพม. เพื่อรักษาสิทธิ คุ้มครองสิทธิ ส่งเสริมผู้หญิงให้เข้มแข็งต่อไป” นายจุติ กล่าว

นายกฯ ปลื้ม Oxford บรรจุชื่อ pad thai ศัพท์สากลทั่วโลกรู้จัก

People Unity News : 18 มีนาคม 2566 นายกฯ ปลื้ม Oxford Dictionaries บรรจุชื่อ pad thai (ผัดไทย) อาหารยอดนิยม ให้เป็นคำศัพท์สากลที่ทั่วโลกรู้จัก สะท้อนอีกความสำเร็จ Soft Power อาหารไทย

นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีอย่างยิ่งที่เว็บไซต์ Oxford Dictionaries บรรจุชื่อ pad thai (ผัดไทย) ให้เป็นคำศัพท์สากลที่ทั่วโลกรู้จัก สะท้อนอีกความสำเร็จในการผลักดัน Soft Power อาหารไทยของรัฐบาลที่ดำเนินการมาโดยตลอดอย่างต่อเนื่อง

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ประเทศไทยมีชื่อเสียงในวัฒนธรรม Soft Power หลากหลายประเภท โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านอาหารเป็น Soft Power ที่สำคัญของไทย ทั้งนี้ ที่ผ่านมา อาหารไทยอย่าง “ผัดไทย” ได้รับความสนใจจากชาวต่างชาติอย่างต่อเนื่อง โดยเว็บไซต์ Oxford Dictionaries ได้บรรจุชื่อ “pad thai” (ผัดไทย) ให้เป็นคำศัพท์สากล ตั้งแต่ปี 2565 โดยระบุไว้ในหมวด C2 คือหมวดศัพท์ทั่วไปที่ถูกบัญญัติใช้เพื่อแสดงให้รู้ถึงแหล่งที่มาต้นกำเนิด หรือพื้นถิ่นของสิ่งนั้น และใช้เป็นชื่อสากล เหมือนกับคำว่า pizza, tacos, lasagna โดยที่ไม่ต้องพิมพ์ขึ้นต้นตัวพิมพ์ใหญ่แบบชื่อเฉพาะ โดยหากพิมพ์ภาษาอังกฤษตัวเล็กว่า pad thai จะพบกับความหมายว่า เป็นอาหารจากประเทศไทย ซึ่งเป็นชนิดเส้นที่ทำมาจากข้าว เครื่องปรุง ไข่ ผัก และเนื้อสัตว์หรืออาหารทะเล

“นายกรัฐมนตรียินดีที่ ผัดไทย หนึ่งใน Soft Power ด้านอาหารที่มีชื่อเสียงของประเทศ ได้บรรจุชื่อในพจนานุกรม Oxford ให้เป็นชื่อสากลที่ทั่วโลกรู้จัก สะท้อนความสำเร็จในนโยบายของรัฐบาล ผลักดัน Soft Power อาหารไทยจนได้รับเสียงตอบรับที่ดี นอกจากนี้ รัฐบาลมุ่งส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยวางยุทธศาสตร์เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ ควบคู่ไปกับการกำหนดยุทธศาสตร์ของรัฐบาล ด้านการท่องเที่ยวเชิงอาหาร (Gastronomic Tourism) ให้มีจุดเด่น เพิ่มกิจกรรมให้เป็นที่สนใจ ช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และชาวต่างประเทศ” นายอนุชา กล่าว

Advertisement

“รัฐบาล”แนะอย่าหลงเชื่อซื้อผลิตภัณฑ์สุขภาพมีส่วนผสมกัญชา

People Unity News : “รัฐบาล” เป็นห่วงประชาชน แนะอย่าหลงเชื่อซื้อผลิตภัณฑ์สุขภาพมีส่วนผสมกัญชา เตือนนำเข้าประเทศผิดกฎหมาย ย้ำใช้ “กัญชา” ทางการแพทย์เท่านั้น

วันที่ 23 พฤศจิกายน 2562 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากกรณีที่มีข่าวผลิตภัณฑ์เยลลี่ที่มีส่วนผสมของกัญชานั้น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) กระทรวงสาธารณสุข โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มีความเป็นห่วงประชาชน โดยทาง อย.ได้ออกมาเน้นย้ำกรณีกัญชาหรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกัญชา ถือเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 ห้ามผลิต นำเข้า จำหน่าย ครอบครอง หรือส่งออก และไม่สามารถซื้อขายผ่านทางออนไลน์ได้ หากพบการนำเข้าไม่ว่าจะนำเข้ามาด้วยตนเอง หรือสั่งซื้อผ่านทางออนไลน์ จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 500,000 บาท ส่วนผู้จำหน่ายและผู้ครอบครอง จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ รวมทั้งผู้โฆษณาขายผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกัญชาจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับตั้งแต่ 20,000 – 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

น.ส.ไตรศุลี กล่าวต่อส่า สำหรับการตรวจสอบการนำเข้ามีมาตรการดูแลอย่างเข้มงวด ตั้งแต่นำเข้าทางช่องทางปกติ การนำติดตัวผู้โดยสารเข้ามาในประเทศ และการสั่งซื้อทางออนไลน์จะมีด่านอาหารและยาและด่านศุลกากรตรวจสอบผลิตภัณฑ์สุขภาพต้องสงสัย หากพบผลิตภัณฑ์ผิดกฎหมายเนื่องจากมีส่วนผสมของกัญชาจะดำเนินการตามกฎหมาย เพราะในประเทศไทยอนุญาตให้ใช้กัญชาเฉพาะทางการแพทย์เท่านั้น แต่ต้องสั่งจ่ายยากัญชาในสถานพยาบาล โดยแพทย์ผู้สั่งจ่ายยาได้ต้องเป็นแพทย์แผนปัจจุบัน หรือแพทย์แผนไทยที่ผ่านการอบรมจากกระทรวงสาธารณสุขมาแล้ว

“ขอเตือนประชาชนผู้บริโภคอย่าสั่งซื้ออาหารหรือผลิตภัณฑ์สุขภาพ ที่อ้างว่ามีส่วนผสมของกัญชาเข้ามาในประเทศไทย เพราะเป็นสิ่งผิดกฎหมายและจะถูกดำเนินคดีทันที โดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และนายอนุทิน มีความห่วงใยในเรื่องนี้อย่างมาก เนื่องจากเกรงว่า หากประชาชนที่สั่งซื้อผลิตภัณฑ์กัญชามารับประทาน อาจได้รับอันตรายต่อสุขภาพ เพราะกัญชาไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ที่สามารถใช้ได้ทั่วไป เว้นแต่ใช้เฉพาะทางการแพทย์เท่านั้น”น.ส.ไตรศุลี กล่าว

ป.ป.ช.ครบรอบ 23 ปี “ไม่ทำ ไม่ทน ไม่เฉย รวมไทยต้านโกง”

People Unity News : 11 พฤศจิกายน 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จัดงานวันสถาปนาสำนักงาน ป.ป.ช.ครบรอบ 23 ปี ภายใต้แนวคิด “23 ปี ป.ป.ช. สร้างสังคมไทย ไม่ทนทุจริต” โดยมี พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ เป็นประธานในพิธีทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ และพิธีสักการะบูชาพระภูมิเจ้าที่ เพื่อความเป็นสิริมงคล รวมถึงกิจกรรมมอบรางวัล “เพชรน้ำเอก” สำหรับบุคคลภายใน รางวัลหน่วยงานในสังกัดสำนักงาน ป.ป.ช. ส่วนกลาง สำนักงาน ป.ป.ช.ภาค และสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัด ที่มีผลงานดีเด่น

ทั้งนี้ ตลอด 23 ปีที่ผ่านมา สำนักงาน ป.ป.ช.มุ่งมั่นสร้างสังคมที่ไม่ทนทุจริต ได้ทำหน้าที่ปราบปรามการทุจริตควบคู่กับการปลูกจิตสำนึกด้านคุณธรรมจริยธรรม โดยเน้นการทำงานแบบบูรณาการการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน มุ่งมั่นสร้างสังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริตอย่างต่อเนื่อง จากความพยายามสร้างสังคมที่ไม่ทน ต่อการทุจริตดังกล่าว ส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์ที่สำคัญหลายประการ ได้แก่

1.มีการเฝ้าระวังและส่งเสียง (Watch and Voice) เมื่อพบเห็นความไม่ชอบมาพากลในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ เช่น กรณีเงินสงเคราะห์ผู้ยากไร้ (น้องแบม) และกรณีเงินทอนวัด เป็นต้น

2.ประชาชนทั่วประเทศช่วยกันเปิดโปงกรณีการทุจริตในพื้นที่จังหวัดของตน เช่น กรณีอาหารกลางวันเด็กนักเรียน

3.การมีคำพิพากษาของศาลเกี่ยวกับกรณีการใช้รถหลวงเพื่อประโยชน์ส่วนตน ซึ่งกรณีดังกล่าว จะเสริมพลังให้การปรับฐานคิดเกี่ยวกับการรู้จักแยกแยะประโยชน์ส่วนรวมและประโยชน์ส่วนตนที่สำนักงาน ป.ป.ช. กำลังผลักดันอยู่ประสบผลสำเร็จ

4.การร่วมกันตรวจสอบและติดตามมาตรการป้องกันการทุจริตในกรณีต่างๆ เช่น การรับแป๊ะเจี๊ยะ การทุจริตเกี่ยวกับนมโรงเรียน เป็นต้น ส่งเสริมมาตรการเสริม ได้แก่ การคุ้มครองพยาน การกันบุคคลไว้เป็นพยาน การจ่ายเงินสินบนเป็นรางวัลให้ผู้ชี้ช่อง แจ้งเบาะแส ให้ข้อมูล ให้ข้อเท็จจริงจนมีคำพิพากษาให้ทรัพย์สิน จากการกระทำผิดตกเป็นของแผ่นดิน รวมถึงการประเมินระดับคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (ITA) การสร้างเครือข่ายในการป้องกันการทุจริตกับภาคีต่างๆ เป็นต้น

โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช.และบุคลากรทุกระดับพร้อมเดินหน้าปฏิบัติหน้าที่อย่างแข็งขัน เพื่อสร้างสังคมที่ไม่ทนทุจริต ภายใต้ค่านิยม “ซื่อสัตย์ เป็นธรรม มืออาชีพ โปร่งใส ตรวจสอบได้” เพื่อขจัดการทุจริตให้หมดไปจากสังคมไทย หากพบเห็นการทุจริตของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือเจ้าหน้าที่รัฐ แจ้งมาที่หมายเลข 1205 หรือร้องเรียนผ่านเว็บไซต์สำนักงาน ป.ป.ช. www.nacc.go.th หรือสำนักงาน ป.ป.ช.ประจำจังหวัด

Advertisement

รัฐบาลแจงโครงสร้างค่าไฟ เผยสาเหตุค่าไฟแพงมหาโหด

People Unity News : 25 เมษายน 2566 โฆษกรัฐบาล ชี้แจงโครงสร้างค่าไฟฟ้าจากปี 2555 จนถึงปัจจุบัน ยืนยันรัฐบาลหาแนวทางแก้ปัญหาช่วยเหลือประชาชนมาตลอด

นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงโครงสร้างค่าไฟฟ้าจากปี 2555 จนถึงปัจจุบัน โดยได้ชี้แจงรายละเอียดดังนี้

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2555 รัฐบาลในขณะนั้นได้ปรับปรุงแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของไทย หรือ Power Development Plan (PDP) ฉบับปี 2010 จากฉบับปรับปรุง ครั้งที่ 2 เป็นฉบับปรับปรุง ครั้งที่ 3 โดยได้ประมาณการความต้องการไฟฟ้าใหม่ตามแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจและผลกระทบจากอุทกภัยปี 2554 ส่งผลให้อัตราการขยายตัวของ GDP ไทย ขึ้นมาอยู่ในระดับร้อยละ 4 – 5 ตั้งแต่ปี 2555 – 2569 (โดยในปี 2557 – 2558 GDP มีการขยายตัวสูงถึงร้อยละ 5.7 – 6.0 ตามเศรษฐกิจโลกในช่วงขาขึ้นในขณะนั้น)

ทำให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศไทย ปรับตัวสูงขึ้นตาม GDP ซึ่งรัฐบาลในขณะนั้นจึงได้เพิ่มโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ (ก๊าซธรรมชาติ) เข้าไปในแผน PDP 2010 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 3 (ปี 2555) ซึ่งรวมถึงโครงการผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน (Independent Power Producer: IPP) 5,400 MW (จ่ายไฟเข้าระบบ ระหว่างปี 2564 – 2569 ปีละ 900 MW) เพื่อให้รองรับความต้องการที่จะเพิ่มขึ้นในอีก 10 – 20 ปีข้างหน้า ภายใต้ประมาณการว่าการสำรอง (Reserve) ซึ่งจะอยู่ที่ประมาณร้อยละ 15 – 24 และต่อมารัฐบาลได้เปิดประมูลโรงไฟฟ้า IPP จำนวน 5,400 MW ดังกล่าว ในปี 2555

เมื่อรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ เข้ามาบริหารประเทศเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 ได้พยายามที่จะทบทวนความจำเป็นของโครงการโรงไฟฟ้า IPP 5,400 MW ดังกล่าว แต่ไม่สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากเป็นโครงการที่มีการลงนามผูกผันไปแล้ว (ตามคำตัดสินของศาลปกครอง) ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี จึงได้สั่งการให้ทบทวนแผน PDP ใหม่อีกครั้ง ซึ่งพบปัญหาที่สำคัญ 3 ประการ ดังนี้

1.อัตราความต้องการใช้พลังงานไม่ได้เป็นไปตามที่รัฐบาลก่อนหน้านี้ได้ประมาณการไว้ ซึ่งทำให้ Reserve Margin % ณ ปี 2558 ที่เคยคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณร้อยละ 15 กลายเป็นร้อยละ 30 และคาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องในอนาคต

2.โรงไฟฟ้าที่อนุมัติไปทั้งหมดก่อนหน้านี้ รัฐบาลต้องจ่ายค่าความพร้อม หรือ Availability Payment (AP) โดยกำหนดในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าอย่างชัดเจน และเป็นสัญญาระยะยาว

3.แผนจัดหาแหล่งพลังงานสะอาดและพลังงานน้ำมีจำกัด และมีการเพิ่มพลังงานจาก fossil ซึ่งไม่สอดคล้องกับแนวทางของโลกที่มุ่งไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน

จากประเด็นข้างต้น หากไม่มีการดำเนินการอะไรจากรัฐบาล จะส่งผลกระทบต่อค่าไฟฟ้าในอนาคต และขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้น รัฐบาลพลเอก ประยุทธ์ จึงได้จัดทำแผน PDP ฉบับใหม่ (PDP 2015) (ปี 2558) เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว และได้มีการปรับแผน PDP อีกหลายครั้งจนถึงปัจจุบัน คือ แผน PDP 2018 (ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1) เมื่อปี 2563 เพื่อให้แผนการจัดหาไฟฟ้าสะท้อนภาพความเป็นจริงและสอดรับกับแนวทางการพัฒนาประเทศมากที่สุด

ทั้งนี้ ในปี 2565 Reserve Margin % อยู่ที่ร้อยละ 36 เนื่องจากระหว่างปี 2563 – 2565 ไทยและทั่วโลกเผชิญกับสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ทำให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าลดลงกว่าที่ประมาณการไว้ (แม้ว่าจะปรับทอนลงไปแล้วบางส่วนให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงตอนจัดทำแผน PDP 2015 และ 2018 ใหม่แล้ว) ในขณะที่การพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าต่าง ๆ ตามแผน PDP ก่อนหน้านี้ ได้ผูกมัดการดำเนินการต่าง ๆ ไปหมดแล้ว โดยมีกำหนดจ่ายไฟเข้าระบบตั้งแต่ปี 2564 เป็นไปต้นไป ทำให้ประเทศไทยมี POWER SUPPLY ตามแผน แต่ POWER DEMAND ต่ำกว่าแผน ส่งผลให้ RESERVE MARGIN ยังสูงอยู่ และส่วนหนึ่งมีผลกระทบต่อค่าไฟในภาพรวม

จากกรณีดังกล่าว ในช่วงแรก รัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จึงได้ดำเนินการปรับโครงสร้างค่าไฟ เพื่อลดภาระของประชาชน ดังนี้

1.ลดค่าไฟฟ้าฐานลง จาก 3.77 บาท/หน่วยเป็น 3.75 บาท/หน่วย และคงค่าไฟฟ้าฐานในอัตราดังกล่าวมาจนถึงปัจจุบัน (เริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2558) โดยเป็นการปรับลดวงเงินลงทุนและรายได้ของของ 3 การไฟฟ้าลง (การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย การไฟฟ้านครหลวง และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค)

2.ทยอยปรับลดค่าไฟฟ้าผันแปร Ft ลงจาก 0.69 บาท/หน่วย ในช่วงปี 2557 เป็น ต่ำกว่า 0 บาท/หน่วย ตั้งแต่ปี 2559 จนถึงปี 2564 เพื่อเป็นการบรรเทาอัตราค่าไฟฟ้าที่ได้รับผลกระทบจากการประมาณการที่ผิดพลาดของรัฐบาลก่อนหน้า ทั้งนี้ การลดค่า Ft ต่ำกว่า 0 ในช่วงเวลาดังกล่าว อาศัยแหล่งเงินจากเงินบริหารค่า Ft และเงินของทั้งสามการไฟฟ้าฯ ซึ่ง ณ ขณะนั้นยังมีวงเงินคงเหลือในระดับที่สามารถนำมาใช้ได้ (แต่ปัจจุบัน เงินคงเหลือของทั้งสามการไฟฟ้าฯ ได้หมดลงแล้ว เนื่องจากได้นำไปอุดหนุนค่าไฟให้กับประชาชนในช่วงโควิดเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายประชาชนอย่างต่อเนื่อง)

นอกจากนี้ เพื่อเป็นการสนับสนุนประเทศในการเข้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน และเพิ่มความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศ รัฐบาลพลเอก ประยุทธ์ จึงได้เร่งดำเนินการเพิ่มการจัดหาและรับซื้อไฟฟ้า จากพลังงานหมุนเวียนอย่างต่อเนื่อง ภายใต้โครงการต่าง ๆ เช่น การรับซื้อไฟฟ้าพลังน้ำจาก สปป.ลาว เพิ่มเติม โครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก โครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคา (Solar rooftop)

สำหรับภาคประชาชนประเภทบ้านอยู่อาศัย ปี 2562 – 2565 และโครงการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนกลุ่มไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง เพื่อเพิ่มความมั่นคงด้านพลังงานในช่วงระหว่างปี 2565 – 2573 ซึ่งโครงการที่ได้อนุมัติและดำเนินการในช่วงดังกล่าว มีต้นทุนค่าไฟที่ต่ำกว่าการรับซื้อจากโรงไฟฟ้า IPP ของเอกชนอย่างมาก และจะเป็นส่วนสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางพลังงานในอนาคตหากวิกฤตราคาพลังงานยังคงส่งผลต่อเนื่อง หรือก๊าซในอ่าวไทยลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยผลการดำเนินงานดังกึสามารถทำให้อัตราส่วนของพลังงานหมุนเวียนปรับเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 26 ในปี 2558 เป็นร้อยละ 33 ในปี 2565 และคาดว่าจะเพิ่มขึ้น เป็นร้อยละ 52 ในปี 2580

หากดำเนินการตามแผน PDP 2018 ฉบับปรับปรุง ครั้งที่ 1 (ปี 2563) ตามที่รัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ ได้วางแผนไว้ จะส่งผลให้สัดส่วนกำลังการผลิตของโรงไฟฟ้า IPP ก๊าซธรรมชาติ ตั้งแต่ปี 2570 ลดลงอย่างต่อเนื่อง จากร้อยละ 28 ในปี 2569 เหลือร้อยละ 14 ในปี 2580 สะท้อนถึงการวางแผนระยะยาวในการลดปริมาณการรับซื้อไฟจากโรงไฟฟ้าเอกชนขนาดใหญ่ ซึ่งมีผลต่อค่าไฟระยะยาว

อย่างไรก็ตาม ในช่วงปลายปี 2564 – ปัจจุบัน ได้เกิดวิกฤตพลังงานจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ทำให้ราคาพลังงานที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าได้เพิ่มสูงขึ้นกว่าช่วงเวลาปกติอย่างมาก ส่งผลให้ค่าไฟในส่วนของค่าเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น สะท้อนในค่า Ft ซึ่งเป็นปัจจัยที่อยู่เหนือการควบคุมของรัฐบาล ซึ่งรัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจและตระหนักถึงความเดือดร้อนของประชาชน จึงได้กำหนดมาตรการบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนและภาคธุรกิจมาโดยตลอด เช่น การตรึงค่าไฟฟ้า สำหรับกลุ่มผู้มีรายได้น้อย (ใช้ไฟไม่เกิน 300 หน่วย/เดือน)

“รัฐบาลรับทราบข้อกังวล และไม่นิ่งนอนใจต่อความเดือดร้อนของประชาชนเรื่องค่าไฟฟ้าโดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อนนี้  ซึ่งอากาศมีอุณหภูมิสูงขึ้นทำให้มีการใช้ไฟฟ้ามากขึ้น อย่างไรก็ตามขอทำความเข้าใจถึงปัจจัยสาเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้นในอดีต การดำเนินการที่ผ่านมา รวมถึงข้อเท็จจริงเรื่องแผนการจัดการไฟฟ้าสำรองของประเทศในปัจจุบัน  อีกทั้งกระบวนการในส่วนที่รัฐสามารถจัดการได้ตามกรอบระเบียบและกฎหมาย รวมถึงกรอบการบริหารราชการแผ่นดินตามหลักสากล ที่สำคัญรัฐบาลได้ช่วยเหลือประชาชนมาอย่างต่อเนื่องในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งการช่วยเหลือของรัฐบาลนั้น ต้องคำนึงถึงภาพรวมของประเทศ ว่าแต่ละภาคส่วนได้รับผลกระทบหรือไม่อย่างไร รวมทั้งการวางแผนในระยะยาว ทั้งนี้ ขอยืนยันแนวทางการทำงานของรัฐบาลที่ผ่านมาในความมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือและลดภาระค่าใช้จ่ายประชาชนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งขณะนี้รัฐบาลอยู่ระหว่างการพิจารณามาตรการช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนเรื่องค่าไฟฟ้าในขั้นตอนต่อไป” นายอนุชา กล่าว

Advertisement

ผู้อำนวยการศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม แนะนำหลักเกณฑ์ตรวจสอบข่าวปลอมให้กับประชาชน

People Unity News : ผู้อำนวยการศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม แนะนำหลักเกณฑ์ตรวจสอบข่าวปลอมให้กับประชาชน

นายภุชพงค์ โนดไธสง รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม เปิดเผยว่า ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมทำหน้าที่ในการตรวจสอบข่าวปลอมในสื่อสังคมออนไลน์ทั้งหมด ซึ่งในช่วงนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ พบว่ามีข่าวปลอมเกี่ยวกับเรื่องนี้จำนวนมากจนทำให้ประชาชนเกิดความสับสน จึงขอฝากเตือนประชาชนให้เสพข่าวอย่างมีสติ ควรตรวจสอบข่าวก่อนแชร์ต่อไปโดยใช้หลัก SPOT คือ ตรวจสอบแหล่งที่มาของข่าว  ตรวจสอบการหวังผลประโยชน์หรือเจตนาของการส่งข่าว การเสนอข่าวที่เกินความเป็นจริง และควรตรวจสอบเวลาและสถานที่ของข่าวนั้นๆ เพื่อประเมินเบื้องต้นว่าเป็นข่าวจริงหรือข่าวปลอมและป้องกันการแชร์ข่าวปลอมต่อไป เน้นย้ำว่า ศูนย์ฯยังคงดำเนินการตรวจสอบข่าวปลอมอย่างต่อเนื่องโดยจะประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขี้แจงขอเท็จจริงให้ประชาชนได้รับทราบอย่างรวดเร็ว

นอกจากนี้ ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม มีการสร้างการรับรู้เพื่อให้ประชาชนรู้เท่าทันข่าวปลอมได้รวดเร็วขึ้น โดยสามารถนำข่าวสารต่างๆ ไปตรวจสอบได้ที่เว็บไซต์ www.Antifakenewscenter.com Facebook เพจศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม กลุ่ม Line Antifakenewscenter หรือโทรสอบถามที่หมายเลข 1111 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

Advertising

มท.3ประชุมเตรียมประชุม ครม.สัญจรกาญจนบุรี

People Unity News : “ทรงศักดิ์ ทองศรี”มท.3 ประชุมเตรียมความพร้อมคณะทำงาน ก่อนลงพื้นที่ ร่วมประชุม ครม.สัญจร จ.กาญจนบุรี เร่งแก้ไขปัญหาประชาชนในพื้นที่ ยกระดับความเป็นอยู่ อย่างยั่งยืน

เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2562 นายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ประชุมคณะทำงาน และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 1/2562 ระหว่างวันที่ 11 – 12 พ.ย. 2562 ณ จังหวัดกาญจนบุรี

โดยในวันจันทร์ที่ 11 พ.ย. 2562 รมช.มท. (มท.3) มีกำหนดการพอสังเขป ดังนี้

– ภาคเช้า : จะลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม “โครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำแม่กลอง (ช่วงที่ 2)” อ.ท่ามะกา – ตรวจเยี่ยม รับฟังปัญหาความต้องการพี่น้องประชาชน “ชุมชนริมน้ำ” หลังวัดท่าเรือ – ตรวจเยี่ยมผู้ประกอบการ OTOP , กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี จ.กาญจนบุรี

– ภาคบ่าย : ตรวจเยี่ยมสถานีผลิตน้ำท่าม่วง ในพื้นที่ อ.ท่าม่วง ดำเนินการโดย กปภ. – ลงพื้นที่ อบต.หนองโรง อ.พนมทวน เพื่อรับฟังปัญหาความต้องการของประชาชนในพื้นที่ เยี่ยมชมสินค้่า OTOP ของ อ.พนมทวน

ก่อนที่จะประชุมคณะทำงาน สรุปปัญหาความต้องการ เรียงลำดับความสำคัญ เพื่อนำเรียนในที่ประชุม ครม. ต่อไป

สำหรับวันอังคารที่ 12 พ.ย. 2562 รมช.มท. (มท.3) จะเข้าร่วมประชุมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง 1 (กาญจนบุรี ราชบุรี สุพรรณบุรี) และเข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรีมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 1/2562 โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุม ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี ต่อไป

“อนุทิน”แท็กทีม”มนัญญา” นำภาคีแสดงพลัง”แบน 3 สารพิษ”

People Unity : โค้งสุดท้ายก่อนวันชี้ชะตา ! “อนุทิน” แท็กทีม “มนัญญา” นำทีม สธ. เกษตรกร ภาคประชาชน แสดงพลัง “แบนสารพิษ”

วันที่ 21 ต.ค.2562 จากกรณีที่ในวันที่ 22 ตุลาคม คณะกรรมการวัตถุอันตรายจะประชุมร่วมกัน เพื่อกำหนดอนาคตของการใช้ 3 สารพิษทางการเกษตร พาราควอต ไกรโฟเซต คลอร์ไพริฟอสนั้น ที่กระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข, นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่ากากระทรวงเกษตรและสหกรณ์, ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข อาทิ นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข, นายแพทย์ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการ อย., นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์, นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์, เกษตรกร

และภาคประชาชน นำโดย นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ รพ. จุฬาลงกรณ์, รศ. ดร. พวงรัตน์ ขจิตวิชยานุกูล มหาวิทยาลัยนเรศวร, ศ.ดร. พรพิมล กองทิพย์ อ. ประจำภาควิชาชีวอนามัยและความปลอดภัย คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล, นางสาวปรกชล อู่ทรัพย์ เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช (Thai-PAN), นายสุนทร รักษ์รงค์ นายกสมาคมเกษตรกรชาวสวนยาง 16 จังหวัดภาคใต้และเลขาธิการสภาเครือข่ายเกษตรกรชาวสวนยางแห่งประเทศไทย (สกยท.) ร่วมกันแสดงจุดยืนแบนสารพิษ มีประชาชน และผู้สื่อข่าวเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก

นายอนุทิน กล่าวว่า กิจกรรมวันนี้ เกิดขึ้นด้วยความสมัครใจเพื่อแสดงจุดยืนเรื่องการไม่เอาสารพิษ ซึ่งไม่ได้เพียงช่วยเกษตรกร แต่ช่วยประชาชนทุกคน ให้มีสุขภาพที่ดีขึ้น และอย่ามาถามว่าจะเอาอะไรมาทดแทน เพราะกระทรวงสาธารณสุข ไม่ได้มีหน้าที่ในการจัดหาสารทดแทน งานของเราคือตรวจสอบว่าอะไรอันตรายกับสุขภาพ และเดินหน้าจัดการทันที อย่าเอาเรื่องกำไร ขาดทุนมาคุย เพราะชีวิตคน ตีเป็นตัวเงินไม่ได้ ถึงจะมีเงินมาก แต่ต้องเก็บไว้รักษาตัวเอง คงไม่คุ้ม

สำหรับตัวแทนของกระทรวง ซึ่งจะเป็นคณะกรรมการในวันพรุ่งนี้ ได้แก่ นายแพทย์ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการ อย., นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์, นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ ทั้งหมดจะโหวตแบน และจะขอให้ที่ประชุมโหวตอย่างเปิดเผย การจัดกิจกรรมก็เพื่อให้กำลังใจท่านทั้ง 3 พร้อมกับให้กำลังใจนางสาวมนัญญา ซึ่งการตัดสินใจของท่าน นับว่ามีความเสี่ยงมาก ในความเป็นจริง ท่านจะนิ่งเฉยเสียก็ได้ แต่ท่านกลับเดินหน้าเพื่อสุขภาพของประชาชน ทั้งที่อาจกระทบกับคะแนนเสียงของท่าน เมื่อท่านกล้า ก็ต้องสนับสนุน

นายอนุทิน กล่าวว่า หน่วยงานในความดูแลของนางสาวมนัญญา น่าจะแบนเหมือนกัน เช่นเดียวกับตัวแทนจากกระทรวงคมนาคม ส่วนจากกระทรวงอื่น ตนตอบแทนไม่ได้ แต่ขอให้ทราบไว้ว่าเรื่องนี้ เป็นเรื่องที่สะท้อนเอกภาพของรัฐบาล สำหรับสารพิษที่เป็นประเด็น มันไม่มีทางที่จะเป็นเรื่องดี เพราะทุกวันนี้ ก็นำเข้าผ่านนอมินี ใช้คนอื่นบังหน้า ถ้าดีจริง เขาเปิดหน้าโชว์ไปแล้ว

“ที่บอกว่าผมโดนหลอก ผมก็คิดว่า ถ้าหลอกแล้ว มันทำให้คนไทยสุขภาพดี ก็ไม่เป็นไร รู้ว่าหลอก แต่เต็มใจให้หลอก”

ด้านนางสาวมนัญญา กล่าวว่า จุดกำเนิดของเรื่องนี้มาจากสมัยทำงานการเมืองท้องถิ่น เห็นมีการใช้สารข้างต้น ฉีดฆ่าหญ้า แล้วมีคนเดินผ่าน ปรากฏว่าเท้าเน่า ทุกข์ทรมาณ เห็นแล้วคิดว่าไม่ดีแน่นอน ต้องหาทางแก้ไข บางครั้งลงพื้นที่ มีคนมาบอกว่า อย่าเดินผ่านตรงนั้น ตรงนี้ เพราะเพิ่งฉีดยา พิษมันแรงขนาด แต่เราฉีดลงไปในพื้นที่ซึ่งปลูกผักผลไม่ให้คนกิน จึงคิดว่าต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว

ที่เห็นคือสารดังกล่าวทำให้เกิดวงจรการเจ็บป่วยและเสียชีวิต แม่เผาลูก ลูกเผาแม่ และด้วยเพราะเราใช้สารเคมีอย่างหนักมาตลอด หากต้องการปลูกพืช ให้ได้ผลผลิตที่สะอาด ต้องขุดหน้าดินประมาณหนึ่งฟุต จากนั้น จึงจะเริ่มปลูกได้ ถ้ายิ่งใช้ต่อไป ต้องขุดหน้าดินเพิ่มเท่าไร ถึงวันนั้น อาจไม่ทันการ อยากฝากถึงคณะกรรมการวัตถุอันตรายที่จะโหวตในวันพรุ่งนี้ ขอให้ตัดสินใจ โดยนึกถึงพี่น้องประชาชน

ปชป.ชูแก้ปัญหาที่ดินทำกินเผย”นิพนธ์”เร่งรังวัดจัดโฉนดมอบประชาชน

People Unity News : ปชป.ชูแก้ปัญหาที่ดินทำกิน เผย”นิพนธ์”เร่งรังวัดจัดโฉนดมอบประชาชน สะท้อนพึงพอใจมากที่สุด

วันที่ 25 พฤศจิกายน 2562 นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่าพรรคประชาธิปัตย์ให้ความสำคัญเรื่องการแก้ปัญหาที่ดินทำกินมาโดยตลอด เพราะปัญหาที่เกี่ยวกับที่ดินทำกินเป็นปัญหาใหญ่ที่มีผลต่อวิถีชีวิตของพี่น้องประชาชน ไม่ว่าจะเป็นการขาดแคลนที่ดินทำกิน ความไม่ชัดเจนเขตที่ดินของรัฐ การประกาศเขตที่ดินสาธารณะทับที่ดินชาวบ้าน ความไม่ขัดเจนในแผนที่ และอีกหลายปัญหาที่รอการแก้ไข

ขณะนี้ นายนิพนธ์ บุญญามณี รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ดำเนินการเพื่อแก้ไขอย่างเป็นระบบและยั่งยืน เพื่อแก้ปัญหาให้กับประชาชน โดยมุ่งประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง เช่นการเร่งสำรวจที่ดินเพื่อออกเอกสารสิทธิ์ ที่สามารถออกได้ก็ออกให้ในทันที และพี่น้องประชาชนก็สะท้อนความเห็นมาที่พรรคว่าโครงการมอบโฉนดที่ดินทั่วไทย นำสุขคลายทุกข์ให้ประชาชน ที่นายนิพนธ์ได้ทำไว้นั้น เป็นเรื่องที่พึงพอใจเป็นอย่างมาก รวมถึงการเร่งสำรวจรังวัดทำแผนที่เพื่อออกโฉนดที่ดินในพื้นที่ต่างๆ ตามโครงการเดินสำรวจออกโฉนดที่ดินเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล โดยกรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย ต้องการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนที่ยังไม่มีเอกสารสิทธิ์ในที่ดิน จะเห็นว่านายนิพนธ์ย้ำเสมอว่าการออกโฉนดที่ดินจากทางราชการเป็นเอกสารสิทธิ์มีความสำคัญ โฉนดที่ดินที่ได้รับจากทางราชการสามารถนำไปสร้างงาน สร้างรายได้ เป็นหลักที่มั่นคงและยั่งยืนในอนาคต ขอให้ประชาชนมั่นใจในการทำงานของนายนิพนธ์ ซึ่งเน้นหลักการทำงานให้เกิดประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชนให้มากที่สุด และสามารถส่งข้อเสนอแนะมาที่พรรคได้ตลอดเวลาเพื่อจะได้นำไปเสนอต่อรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องและรัฐบาลต่อไป

“ประยุทธ์” เป็นห่วงทั้งหนี้ครูและหนี้นักเรียน

People Unity News : นายกฯ ติดตามมาตรการแก้หนี้ภาคประชาชน กยศ. เตรียม 3.8 หมื่นล้านบาท รองรับผู้กู้ปีการศึกษา 2564 ไม่ต้องมีคนค้ำ ขณะที่ ธ.ออมสิน จัด “มหกรรมผ่อนปรนการชำระหนี้ครู” ถึง 30 มิ.ย.นี้

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยถึงแนวทางการช่วยเหลือนักเรียนนักศึกษาที่มีความจำเป็นต้องกู้เงินเพื่อการศึกษา โดยกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ได้เตรียมเงินไว้ 3.8 หมื่นล้านบาทรองรับผู้กู้ในปีการศึกษา 2564 จำนวน 6.24 แสนคน ขณะที่สถานการณ์โควิด-19 ส่งผลให้ผู้กู้มีความยากลำบากในการหาผู้ค้ำประกัน กยศ. จึงได้ยกเลิกกำหนดที่ให้มีผู้ค้ำประกันการชำระเงินคืนกองทุน ในสัญญากู้ยืมเงินใหม่ตั้งแต่ปีการศึกษา 2564  โดยได้ปล่อยกู้ไปแล้วกว่า 3 พันล้านบาทและอยู่ระหว่างการพิจารณาอนุมัติอีกส่วนหนึ่ง รัฐบาลโดย กยศ. ยืนยันมีวงเงินเหลือพร้อมให้การสนับสนุนสำหรับนักเรียนนักศึกษาที่มีคุณสมบัติครบตามเงื่อนไข

สำหรับมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ กยศ. ขณะนี้มีลูกหนี้ 3.6 ล้านคนและผู้ค้ำประกัน 2.8 ล้านคน โดย กยศ. ออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ครอบคลุมทุกกลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ยังไม่ถูกดำเนินคดี คือ 1) ลดดอกเบี้ยเหลือ 0.01% ต่อปี สำหรับผู้กู้ที่ไม่เคยผิดนัด 2) ลดเบี้ยปรับ 100% สำหรับผู้กู้ที่ชำระหนี้ปิดบัญชี 3) ลดเบี้ยปรับ 80% สำหรับผู้กู้ที่ชำระหนี้ค้างทั้งหมด 4) ลดเงินต้น 5% สำหรับผู้กู้ที่ไม่เคยผิดนัดและชำระหนี้ปิดบัญชีในคราวเดียว 5) ลดอัตราการคิดเบี้ยปรับเหลือ 0.5% กรณีไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด ซึ่งมาตรการดังกล่าวข้างต้นจะมีผลถึง 31 ธ.ค.ปีนี้  สำหรับกรณีผู้กู้ผิดนัดชำระหนี้ ประจำปี 2563 และ 2564 กยศ. จะชะลอการฟ้องคดีไปจนถึง 31 มี.ค.ปีหน้ายกเว้นคดีที่จะขาดอายุความในปีนี้พร้อมงดการขายทอดตลาด กรณีที่ถูกบังคับคดีจนถึงสิ้นปีนี้ กยศ. จะงดการขายทอดตลาด ส่วนผู้กู้ยืมเงินที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จะได้รับการพักชำระหนี้เป็นเวลา 2 ปี  ทั้งนี้ ลูกหนี้ กยศ. ยังจะได้รับความช่วยเหลือเพิ่มเติมตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษามาตรการอย่างรอบคอบก่อนประกาศใช้ อาทิ การปรับโครงสร้างหนี้ ลดเงินงวด ยืดเวลาผ่อนชำระ เป็นต้น ขณะเดียวกัน เบื้องต้นธนาคารออมสินได้ออกมาตรการช่วยเหลือครูและบุคลากรทางการศึกษาจัด “มหกรรมผ่อนปรนการชำระหนี้ครู” ยับยั้งสถานะไม่ให้เป็น NPL ส่งผลเสียทางเครดิต และกระทบต่อหน้าที่ราชการได้ในอนาคต โดยเลือกจ่ายดอกเบี้ยบางส่วน ตามแผนการชำระหนี้ที่ธนาคารกำหนด เป็นระยะเวลา 12 เดือน หรือนานที่สุดไม่เกินวันที่ 31 ธ.ค. 66 เปิดให้แจ้งความประสงค์ถึงวันที่ 30 มิ.ย. 64

“พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ห่วงใยหนี้ครู บุคลากรทางการศึกษา และหนี้นักเรียนที่หยั่งลึกมานาน เน้นให้มีมาตรการแก้หนี้ที่เป็นระบบและเห็นผลอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อบรรเทาวิกฤตหนี้สินภาคประชาชนให้มากที่สุด พร้อมเร่งสร้างวินัยและความรู้ทางการเงินที่ถูกต้องให้กับประชาชน ซึ่งจะเป็นการแก้ปัญหาหนี้อย่างยั่งยืน” นางสาวรัชดากล่าว

Advertising

Verified by ExactMetrics