วันที่ 18 พฤษภาคม 2024

นายกฯ ขอโฟกัสการทำงาน

People Unity News : 19 ตุลาคม 65 โฆษกรัฐบาล แจงนายกฯ งดให้สัมภาษณ์สื่อฯ ไม่ใช่ลดบทบาท แต่ขอโฟกัสการทำงาน ไม่อยากให้มีเรื่องอื่นแทรก ยืนยันนายกฯ ยังไม่ปรับ ครม.ช่วงนี้ ชี้ เป็นเรื่องอนาคต

นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ในฐานะโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึง การที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ไม่ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน โดยเฉพาะประเด็นทางการเมือง ถือเป็นการปรับบาทบาทใหม่หรือไม่ ว่า นายกรัฐมนตรีอยากมุ่งเน้นในเรื่องของการแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนเป็นหลัก ทั้งสถานการณ์น้ำท่วมที่ประชาชนในหลายพื้นที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งที่ผ่านมาได้ใช้วิธีกำชับสั่งการหน่วยงานต่างๆ และทีมโฆษกรัฐบาลเป็นผู้ที่ประชาสัมพันธ์เผยแพร่ ส่วนเรื่องการเมืองก็อยากให้ทุกอย่างมีเสถียรภาพ ทั้งเรื่องการปรับคณะรัฐมนตรี การบริหารจัดการพรรค โดยอยากให้ทางพรรคได้ออกมาชี้แจงในประเด็นนี้ พร้อมระบุว่า สำหรับการปรับคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรียังไม่ได้พิจารณาในช่วงนี้ แต่ในอนาคตก็ค่อยว่ากัน ขณะนี้ นายกรัฐมนตรีขอช่วยเหลือประชาชนที่ประสบปัญหาน้ำท่วม หรือแม้กระทั่งเกิดสถานการณ์เหตุกราดยิงที่จังหวัดหนองบัวลำภู สร้างความเสียใจไปทั่วโลก นายกรัฐมนตรีต้องการฟื้นฟูและเยียวยาญาติที่ได้รับความสูญเสียและได้รับผลกระทบให้ดีที่สุด จึงไม่อยากให้มีเรื่องใดเข้ามาแทรก โดยยืนยันไม่ใช่เป็นการลดบทบาทในการให้สัมภาษณ์ แต่เป็นการโฟกัสการทำงานที่อยากให้ประชาชนได้เข้าใจ และแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนี้มากกว่า

นายอนุชา ยืนยัน นายกรัฐมนตรีไม่ได้ตั้งธงที่ไม่ให้สัมภาษณ์สื่อแต่อย่างใด หลังเข้ามาปฎิบัติหน้าที่ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไปได้ แต่หลังกลับมาทำงานมีประเด็นต่างๆ ที่ต้องแก้ไข

“ถือว่าเป็นเรื่องของจังหวะมากกว่า ไม่ใช่เลี่ยงที่จะตอบปัญหาทางการเมือง โดยเฉพาะที่เกิดขึ้นกับพรรคพลังประชารัฐในขณะนี้ และเห็นว่าเป็นช่วงสมัยปิดประชุมสภาฯด้วย ก็อาจจะทำให้เรื่องของประเด็นที่เกี่ยวข้องกฎหมายเงียบลงไป” โฆษกรัฐบาล กล่าว

ส่วนนายกฯ จะวางมือทางการเมืองหรือไม่ นายอนุชา หัวเราะและไม่ตอบคำถามดังกล่าว

Advertisement

“บิ๊กตู่” ขอให้บ้านเมืองสงบ เศรษฐกิจ-ท่องเที่ยวกำลังฟื้นตัว

People Unity News : 24 กรกฎาคม 2566 ทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ เข้าทำเนียบฯ ตามปกติ ฝากรองโฆษกรัฐบาลมาบอกสื่อ ปล่อยให้เขาตั้งรัฐบาลกันไป ขอทำหน้าที่ดูแลบ้านเมือง ขอให้อย่ากันอย่างสงบ เศรษฐกิจกำลังฟื้น นักท่องเที่ยวกำลังมา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เข้าปฏิบัติหน้าที่ตามปกติที่ทำเนียบรัฐบาล โดยวันนี้พล.อ.ประยุทธ์สวมชุดสูทปฏิบัติหน้าที่ ไม่ได้สวมชุดข้าราชการการเมืองสีกากี 2 สัปดาห์แล้วหลังประกาศวางมือทางการเมือง ซึ่งโดยปกติจะสวมทุกวันจันทร์

ขณะที่ น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีมีสีหน้ายิ้มแย้ม พร้อมกับฝากบอกสื่อมวลชนด้วยว่า “ปล่อยให้เขาตั้งรัฐบาลกันไป เราก็ดูแลบ้านเมือง ทำหน้าที่ของเราไป แต่อยากให้อยู่ในความสงบ เพราะทุกอย่างกำลังจะดี เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว นักท่องเที่ยวกำลังมา”

Advertisement

 

รัฐบาลยกระดับจริยธรรมภาครัฐ

People Unity News : 15 กรกฎาคม 2566 รองโฆษกรัฐบาล เผยรัฐบาลยกระดับจริยธรรมภาครัฐ หนุนเกณฑ์กำหนดแนวทางและมาตรการลงโทษเจ้าหน้าที่รัฐที่ฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรม

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมยกระดับจริยธรรมภาครัฐ โดยที่ผ่านมาได้ผลักดันกฎหมายสำคัญให้มีผลบังคับใช้คือพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) มาตรฐานทางจริยธรรม พ.ศ. 2562 ที่กำหนดให้องค์กรกลางบริหารงานบุคลากรรัฐและองค์กรที่มีหน้าที่ ต้องดำเนินการออกประมวลจริยธรรม วางแนวปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมสำหรับเจ้าหน้าที่อย่างเป็นรูปธรรม

โดยองค์กรกลางบริหารงานบุคคลที่ได้ดำเนินการออกประมวลจริยธรรมไปแล้ว ได้แก่ คณะรัฐมนตรี(ครม.) จัดทำประมวลจริยธรรมสำหรับข้าราชการการเมือง, สภากลาโหมจัดทำประมวลจริยธรรมสำหรับข้าราชการทหารและข้าราชการพลเรือนกลาโหม, สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ(สคร.) จัดทำประมวลจริยธรรมสำหรับผู้บริหารและพนักงานรัฐวิสาหกิจ และ คณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน(กพม.) จัดทำประมวลจริยธรรมสำหรับผู้บริหาร เจ้าหน้าที่ และผู้ปฏิบัติงานขององค์การมหาชน

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า เพื่อให้เป็นการปฏิบัติตาม พ.ร.บ.มาตรฐานจริยธรรมฯ เป็นไปอย่างครบถ้วน ล่าสุดคณะกรรมการมาตรฐานทางจริยธรรม (ก.ม.จ.) ได้อนุมัติแนวทางการจัดทำและการกำหนดมาตรการที่ใช้บังคับแก่เจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐซึ่งมีพฤติกรรมที่เป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมหรือไม่ปฏิบัติตามประมวลจริยธรรมและข้อกำหนดจริยธรรมของหน่วยงานของรัฐ ซึ่งสำนักงาน ก.พ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการของ ก.ม.จ. ได้เวียนหนังสือแจ้งให้องค์กรกลางบริหารงานบุคคลภาครัฐดำเนินการกำหนดมาตรการตามแนวทางที่ ก.ม.จ.กำหนดแล้ว พร้อมกับได้แจ้งการดำเนินการให้ ครม. ทราบเมื่อวันที่ 11 ก.ค. 66 ที่ผ่านมา

แนวทางฯ ที่ ก.ม.จ. กำหนดนั้น ได้ให้องค์กรกลางบริหารงานบุคคลและองค์กรที่มีหน้าที่ ต้องกำหนดกระบวนการพิจารณาและดำเนินการเรื่องร้องเรียนกรณีที่มีเจ้าหน้าที่ฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรม หรือหากเดิมได้กำหนดกระบวนการพิจารณาอยู่แล้วก็ให้ปรับให้ให้สอดคล้องกับแนวทางล่าสุดของ ก.ม.จ.

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สำหรับกระบวนพิจารณาเรื่องร้องเรียนนั้นจะต้องประกอบด้วยการดำเนินการอย่างน้อย ดังนี้

1) พิจารณาเรื่องร้องเรียนซึ่งประกอบด้วยข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐานเบื้องต้นที่เพียงพอ กำหนดการให้ความคุ้มครองบุคคลที่ให้ข้อมูลไว้เป็นพยาน

2) มีผู้รับผิดชอบในการดำเนินการ

3) กำหนดระยะเวลาดำเนินการที่ชัดเจน

ส่วนขั้นตอนการพิจารณาเรื่องร้องเรียน มีดังนี้

1) ให้ส่วนงาน คณะกรรมการที่ได้รับมอบหมายพิจารณาเรื่องร้องเรียนและรายงานต่อหัวหน้าหน่วยงานของรัฐภายใน 7 วัน นับแต่วันได้รับเรื่อง หากเป็นกรณีหัวหน้าหน่วยงานรัฐถูกกล่าวหาให้รายงานต่อผู้บังคับบัญชาเหนือขึ้นไปจากหัวหน้าหน่วยงาน

2)ให้หัวหน้าหน่วยงานของรัฐหรือผู้บังคับบัญชาเหนือขึ้นไป พิจารณาข้อเท็จจริงสั่งการเพื่อดำเนินการ (รวมทั้งสั่งลงโทษหากมีการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรม) ภายใน 30 วันนับแต่วันที่ได้รับรายงาน และแจ้งให้ผู้ร้องทราบโดยเร็ว

3) ดำเนินการบันทึกพฤติกรรมการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมเป็นลายลักษณ์อักษรตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการประเภทนั้น

4) หน่วยงานรัฐรายงานการดำเนินการต่อองค์กรกลางบริหารงานบุคคลและองค์กรที่มีหน้าที่จัดทำประมวลจริยธรรม

5) องค์กรกลางบริงานงานบุคคลและองค์กรที่มีหน้าที่จัดทำประมวลจริยธรรม รายงานต่อ ก.ม.จ.

6) ให้หน่วยงานรัฐเปิดเผยรายงานการดำเนินงานต่อสาธารณะด้วย

Advertisement

“บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม-อนุทิน” ทยอยเก็บของในทำเนียบฯ

People Unity News : 14 กรกฎาคม 2566 “บิ๊กตู่” เก็บของในทำเนียบฯ เหลือของจำเป็นใช้ทำงาน ส่วนห้องคณะทำงาน “บิ๊กป้อม” ทยอยเก็บของจากตึกบัญชาการเช่นกัน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีรายงานว่า ภายหลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ประกาศวางมือทางการเมือง ล่าสุด ได้เก็บของใช้ส่วนตัว บนห้องทำงานตึกไทยคู่ฟ้า ไปหมดแล้วตั้งแต่วันที่ 10 ก.ค.ที่ผ่านมา เหลือเพียงของที่จำเป็นต้องใช้ในการทำงาน และช่วงเช้าวันเดียวกันนี้ เจ้าหน้าที่ได้เก็บหนังสือต่างๆ ที่ พล.อ.ประยุทธ์ ชอบอ่าน ใส่ลังเตรียมขนกลับประมาณ 4-5 ลัง

ขณะที่ตึกบัญชาการ 1 ซึ่งเป็นห้องทำงานของรองนายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้สั่งเจ้าหน้าที่เก็บของ ซึ่งมีไม่มาก เช่น หนังสือ ของตกแต่ง ส่วนของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี มีเพียงห้องของคณะทำงาน 2 ห้อง ที่ทยอยเก็บของ เพราะมีเอกสาร หนังสือ และของใช้ส่วนตัว ออกบ้างแล้ว

Advertisement

นายกฯ ลั่นขั้นตอนดูแลขบวนเสด็จเป็นเรื่องสำคัญ ควรทำตามกฎ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 10 กุมภาพันธ์ 2567 นายกฯ ลั่นขั้นตอนดูแลขบวนเสด็จเป็นเรื่องสำคัญ ควรทำตามกฎ มองเหตุปะทะ “ทะลุวัง-​ศปปส.” กลางห้างฯ ในสายตาต่างชาติอาจมองไม่ดี ชี้ควรมีพื้นที่ปลอดภัยพูดคุยระหว่างผู้เห็นต่าง กำชับฝ่ายความมั่นคงดูตลอด

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง​ กล่าวถึงกรณีการปะทะกันระหว่างกลุ่มทะลุวัง กับ ศปปส. ว่า ยังไม่ทราบเรื่อง

เมื่อถามว่า มีการปะทะกันกลางศูนย์การค้าสยามพารากอน และเหมือนเป็นการขัดแย้งระหว่างผู้รักสถาบันกับกลุ่มทะลุวัง นายเศรษฐา กล่าวว่า คิดว่าควรจะพูดคุยกันดีๆ ไม่น่าจะใช้กำลัง เพราะเป็นเรื่องที่ไม่ดี และวันนี้เป็นวันปีใหม่ เป็นวันที่มีการท่องเที่ยว ในสายตาต่างชาติก็อาจจะมองไม่ดี ควรที่จะมีการระมัดระวังให้ดี หลังจากนี้จะสอบถามว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร

เมื่อถามว่า จำเป็นต้องกำชับฝ่ายความมั่นคงหรือไม่เ พราะกลายเป็นการปะทะกันระหว่างผู้เห็นต่าง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เรื่องความปลอดภัยของประชาชนทั้งสองฝ่าย และประชาชนที่ไม่เกี่ยวข้อง เป็นเรื่องสำคัญที่สุด อยากให้บรรยากาศที่มีความขัดแย้ง พูดจากันได้ในพื้นที่ปลอดภัย

เมื่อถามว่า กลุ่มที่เห็นต่างเขาไม่พอใจที่มีการก่อกวนขบวนเสด็จ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะมีขั้นตอนในการที่จะปกป้องดูแลผู้นำของประเทศ และพระราชวงศ์ ในเรื่องของขบวนเสด็จ ก็ควรที่จะต้องทำตามกฎ

เมื่อถามว่า มีการกำชับเจ้าหน้าที่แล้วใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า “ก็กำชับมาตลอด”

Advertisement

เปิดตัวเลขผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 66 พบเจน X มากสุด 20 ล้านคน

People Unity News : 10 พฤษภาคม 2566 สำนักทะเบียนกลาง กรมการปกครอง เปิดเผยตัวเลขผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 2566 แยกเจเนอเรชัน พบเจน X มากสุด 20 ล้านคน

วันนี้ (10 พ.ค.66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักทะเบียนกลาง กรมการปกครอง เปิดเผยจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในวันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคม 2566 โดยแยกตามช่วงอายุ (Generation) จากผู้มีสิทธิเลือกตั้ง รวม 52,241,808 คน ดังนี้ 1. กลุ่ม Before Baby Boommer เกิดก่อน พ.ศ. 2491 จำนวน 2,956,182 ราย 2. กลุ่ม Generation Baby Boommer เกิดระหว่าง พ.ศ. 2491-2505 จำนวน 9,326,314 ราย 3. กลุ่ม Generation X เกิดระหว่าง พ.ศ. 2506-2526 จำนวน 20,882,235 ราย 4. กลุ่ม Generation Y เกิดระหว่าง พ.ศ. 2527-2546 จำนวน 17,983,355 ราย และ 5. กลุ่ม Generation Z เกิดระหว่าง พ.ศ. 2547 จนถึงก่อนวันที่ 16 พฤษภาคม 2548 จำนวน 1,093,722 ราย

ทั้งนี้ เมื่อแยกรายละเอียดเป็นรายจังหวัด พบว่า กรุงเทพมหานคร มีกลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้ง กลุ่ม Generation X มากสุด คือ 1,777,588 ราย รองลงมาคือ กลุ่ม Generation Y จำนวน 1,455,337 ราย กลุ่ม Generation Baby Boommer จำนวน 869,461 ราย กลุ่ม Before Baby Boommer จำนวน 295,302 ราย และกลุ่ม Generation Z จำนวน 81,467 ราย ตามลำดับ

Advertisement

“พล.อ.ประยุทธ์” ประกาศวางมือทางการเมือง

People Unity News : 11 กรกฎาคม 2566 “พล.อ.ประยุทธ์” ประกาศวางมือทางการเมือง ลาออกสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ

ผู้สื่อขาวรายงานว่า พรรครวมไทยสร้างชาติ โพสต์เฟซบุ๊ก พล.อ.ประยุทธ์ ประกาศวางมือการเมือง ลาออกจากสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ ขอให้หัวหน้าพรรค -​กก.บห. -​ สมาชิก ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองและอุดมการณ์ที่แข็งแกร่ง ปกป้อง รักษา สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ดูแลประชาชนชาวไทยต่อไป

ทั้งนี้ เพจเฟซบุ๊ก​พรรครวมไทยสร้างชาติ โพสต์ข้อความระบุว่า พ่อแม่พี่น้องประชาชนคนไทยที่เคารพรัก และสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติทุกท่าน

ผมต้องขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่งที่พี่น้องประชาชนได้ให้การสนับสนุนพรรครวมไทยสร้างชาติและผม ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ผ่านมา จนทำให้ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบเขตเลือกตั้งของเรา ได้รับเลือกตั้งเป็นจำนวน 23 คน และเรายังได้รับการสนับสนุนในการเลือกพรรครวมไทยสร้างชาติอีกถึง 4,766,408 เสียง จากผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งที่มาใช้สิทธิ 38,057,074 คน หรือร้อยละ 12.52 สูงเป็นอันดับสามของประเทศ ทำให้เรามีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่ออีก 13 คน รวมทั้งสิ้น 36 คน ซึ่งนับว่าเป็นจำนวนไม่น้อยสำหรับพรรคการเมืองที่เพิ่งจัดตั้งขึ้นใหม่

การที่ผมตัดสินใจเข้ามาเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาตินั้น เพราะผมต้องการร่วมสร้างพรรครวมไทยสร้างชาติ เพื่อให้เป็นพรรคการเมืองที่มีคุณภาพ มีอุดมการณ์ที่แข็งแกร่ง มีความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และเป็นหลักให้กับบ้านเมืองต่อไปในอนาคต

ช่วงเวลาที่ผมได้ร่วมเดินทางกับพรรคไปพบปะพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ ผมได้รับฟังข้อคิดเห็นของสมาชิกพรรคและประชาชนที่ให้การสนับสนุนอย่างล้นหลาม ผมสัมผัสได้ถึงความเข้าใจ ความเห็นอกเห็นใจ และความเชื่อมั่นในตัวผมตลอดมา ผมรู้สึกซาบซึ้งอย่างยิ่ง และเป็นประสบการณ์ที่ผมจะไม่มีวันลืม

ผมเชื่อว่าทุกท่านทราบดีว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเก้าปีเศษ ผมในฐานะนายกรัฐมนตรี ได้ทำงานอย่างมุ่งมั่นทุ่มเทอย่างเต็มกำลัง เพื่อปกป้องรักษาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และเพื่อประโยชน์ของประชาชนอันเป็นที่รักยิ่ง และสิ่งเหล่านี้กำลังผลิดอกออกผลให้กับประเทศชาติโดยส่วนรวม ผมได้ใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดในการที่จะทำให้ประเทศชาติแข็งแกร่งขึ้นในทุกๆ ด้าน มีเสถียรภาพ มีความสงบ และฟันฝ่าอุปสรรคทั้งในประเทศและต่างประเทศ จนมีความสำเร็จก้าวหน้าเป็นรูปธรรมหลายๆ ด้าน อาทิ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ทั้งทางด้านคมนาคม ขนส่ง การสื่อสาร เครือข่ายอินเทอร์เน็ต สาธารณูปโภค การเร่งรัดการลงทุนจากต่างประเทศในพื้นที่เศรษฐกิจต่างๆ การสนับสนุนการวิจัยพัฒนา การจัดหาที่ดินทำกิน การจัดระบบการบริหารจัดการน้ำเพื่อให้มีน้ำใช้และบรรเทาการเกิดอุทกภัย การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลในการอำนวยความสะดวกให้กับพี่น้องประชาชนทั้งการทำมาค้าขาย การใช้ชีวิตประจำวัน และการรับบริการจากภาครัฐ การต่อสู้กับการระบาดของโรคไวรัสโควิด๑๙ จนได้รับการยอมรับจากนานาชาติว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่มีระบบการบริหารจัดการโรคอุบัติใหม่ที่ดีที่สุดในโลก การแก้ไขสิ่งที่เป็นปัญหาต่อการค้าการลงทุนมายาวนาน เช่น การค้ามนุษย์ การทำประมงผิดกฎหมาย การรักษามาตรฐานกิจการการบิน ตลอดจนการดูแลประชาชนอย่างเป็นระบบอย่างทั่วถึงด้วยความเป็นธรรมกับทุกกลุ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มประชาชนผู้เปราะบาง มีรายได้น้อย เด็ก คนชรา คนพิการ เป็นต้น ซึ่งผมได้บริหารราชการแผ่นดินอย่างเต็มความสามารถ ระมัดระวังการใช้จ่ายงบประมาณซึ่งเป็นภาษีของพี่น้องประชาชน ให้ถูกต้องตามระเบียบกฎหมาย วินัยการเงินการคลัง มาโดยตลอดเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผมในฐานะนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลได้ทำให้กับประเทศชาติและประชาชนตลอดเก้าปีเศษที่ผ่านมา ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารัฐบาลต่อไปจะดำเนินการพัฒนาต่อไป

จากนี้ไป ผมขอประกาศวางมือทางการเมือง ด้วยการลาออกจากสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ และขอให้หัวหน้าพรรค กรรมการบริหาร และสมาชิกพรรคได้ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองด้วยอุดมการณ์ที่แข็งแกร่ง ปกป้องรักษาสถาบัน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และดูแลพี่น้องประชาชนชาวไทยต่อไป และขอให้พี่น้องประชาชนให้ความไว้วางใจสนับสนุนการทำงานของพรรครวมไทยสร้างชาติต่อไปด้วย

ขอขอบพระคุณครับ

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา

Advertisement

รัฐบาลยุค “พล.อ.ประยุทธ์” ผลักดันรถไฟฟ้าเปิดบริการแล้ว 8 เส้นทาง

People Unity News : 9 กรกฎาคม 2566 “ไตรศุลี” เผยรัฐบาลยุค “พล.อ.ประยุทธ์” ผลักดันโครงการรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล เปิดให้บริการแล้ว 8 เส้นทาง ส่งโครงการระหว่างก่อสร้างทั้งรถไฟฟ้าในเมือง 5 เส้นทาง ไฮสปีด และทางคู่ให้รัฐบาลหน้าสานต่อ

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมอำนวยความสะดวกกับประชาชน เป็นพื้นฐานสำคัญของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

ทั้งนี้ เฉพาะรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯและปริมณฑล ที่ปัจจุบันเปิดให้บริการรวมแล้วทั้งสิ้น 12 เส้นทาง ระยะทางรวม 242.34 กิโลเมตรนั้น เป็นโครงการที่ได้รับการผลักดันการก่อสร้างและเปิดให้บริการในช่วงที่ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นผู้นำรัฐบาล ทั้งหมด 8 เส้นทาง ระยะทางรวม 142.54 กม. ประกอบด้วย

1) สายสีม่วง บางใหญ่-เตาปูน ระยะทาง 23 กม. เปิดให้บริการ 6 ส.ค. 59

2) สายสีเขียว หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต ระยะทาง 18.70 กม. ทยอยเปิดบริการรวม 4 ช่วง ในปี 62-63

3) สายสีน้ำเงิน ช่วง หัวลำโพง-บางแค(หลักสอง) ระยะทาง 14 กม. เปิดบริการ 29 ก.ย. 62

4) สายสีน้ำเงิน บางซื่อ-ท่าพระ ระยะทาง 13 กม. เปิดให้บริการ 30 มี.ค. 63

5) สายสีทอง กรุงธนุบรี-คลองสาน ระยะทาง 1.88 กม. เปิดให้บริการ ธ.ค. 63

6) รถไฟฟ้าชานเมือง สายสีแดง(เหนือ) บางซื่อ-รังสิต ระยะทาง 26.30 กม. เปิดให้บริการ 29 พ.ย. 64

7) รถไฟฟ้าชานเมือง สายสีแดง(ตะวันตก) บางซื่อ-ตลิ่งชัน ระยะทาง 15.26 กม. เปิดให้บริการ 29 พ.ย. 64

8) สายสีเหลือง ลาดพร้าว-สำโรง ระยะทาง 30.40 กม. เปิดให้ประชาชนทดลองนั่งฟรี 3 มิ.ย. 66 และเริ่มเก็บค่าโดยสารเมื่อ 3 ก.ค. 66 ที่ผ่านมา

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ในส่วนสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ สถานีรถไฟที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปัจจุบัน ซึ่งเริ่มต้นก่อสร้างในปี 56 รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ ก็เล็งเห็นความสำคัญและผลักดันการก่อสร้างจนแล้วเสร็จในปี 64 เปิดให้บริการในปี 65 และให้บริการเต็มรูปแบบเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้ามหานคร รองรับทั้งรถไฟฟ้าชานเมืองและรถไฟทางไกลสายเหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือ และสายใต้ เพิ่มความสะดวกสบายในการเดินทางให้ประชาชนตั้งแต่ต้นปี 66 เป็นต้นมา

สำหรับโครการรถไฟฟ้าที่ได้รับการอนุมัติในรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ และขณะนี้อยู่ระหว่างก่อสร้าง โดยจะส่งต่อให้รัฐบาลต่อไปผลักดันจนเปิดให้บริการแก่ประชาชนในอนาคตประกอบด้วย โครงการรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล 5 โครงการ ระยะทางรวม 101.4 กม. ประกอบด้วย

1) สายสีชมพูเส้นทางแคลาย-มีนบุรี ระยะทาง 30.50 กม. ซึ่งนายกรัฐมนตรีจะลงพื้นที่ตรวจความพร้อมก่อนเริ่มทดสอบการเดินรถในวันที่ 10 ก.ค. นี้

2) สายสีชมพู ส่วนต่อขยายช่วงสถานีศรีรัช-เมืองทองธานี ระยะทาง 3 กม.

3) สายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรมฯ-มีนบุรี ระยะทาง 22.50 กม. 4)สายสีม่วง ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ(วงแหวนกาญจนาภิเษก) ระยะทาง 23.60 กม.

4) แอร์พอร์ตลิงก์ ช่วงพญาไท-ดอนเมือง ระยะทาง 21.80 กม.

นอกจากนี้ มีโครงการรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ -หนองคาย ระยะที่1 ระยะทางรวม 250.77 กิโลเมตร รวมถึงโครงการรถไฟทางคู่ทั่วประเทศอยู่ระหว่างการก่อสร้างอีกหลายเส้นทาง

Advertisement

นายกฯ แจงบินต่างประเทศถี่ หวังขยายตลาดภาคเกษตร-ปศุสัตว์

People Unity News : 24 ตุลาคม 2566 เพื่อไทย – นายกฯ แจงบินต่างประเทศถี่ หวังขยายตลาดภาคเกษตร-ปศุสัตว์ ขอ สส.พรรคลุยลงพื้นที่ เตรียมความพร้อมการเมืองท้องถิ่นและการเลือกตั้งซ่อม

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ระบุถึงการทำงานในฐานะนายกรัฐมนตรี ที่ต้องบินไปต่างประเทศ ว่า ไทยได้เปิดตลาดภาคการเกษตร ตามที่นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี เสนอ โดยเฉพาะการเปิดตลาดโค ซึ่งเป็นภาคปศุสัตว์ที่สำคัญของไทย ทั้งในบรูไน มาเลเซีย จีน และซาอุดีอาระเบีย ซึ่งหากหลายประเทศมาร่วมลงทุนกับไทย จะทำให้ไทยมีศักยภาพในการเพิ่มกำลังการผลิตได้ถึง 50,000 ตัว/วัน

นอกจากนี้ นายเศรษฐา ยังกล่าวถึงการเลือกตั้งซ่อม สส. และการเลือกตั้งท้องถิ่น โดยได้เน้นย้ำให้ สส. มียุทธศาสตร์ที่ชัดเจน แม้จะเป็นรัฐบาลแล้ว ก็จะลืมการเลือกตั้งท้องถิ่น เพราะจะเป็นสัญญาณสำคัญนำไปสู่การเลือกตั้งใหญ่ครั้งต่อไป

ส่วนความสัมพันธ์ของรัฐบาลและ สส. ถือว่าต่างคนต่างทำงานหนัก และต้องดูผลงานระยะสั้น เพื่อจะทำนโยบายบรรเทาทุกข์ให้กับประชาชน โดยตนเองจะเข้าพรรคให้บ่อยขึ้น เพื่อรับฟังปัญหาของประชาชนผ่าน สส.ในพื้นที่ และแก้ไขปัญหา ยกระดับความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น

Advertisement

นายกฯ แนะนักกีฬาซีเกมส์ ใช้ประสบการณ์ที่ได้พัฒนาตัวเองต่อไป

People Unity News : 6 กรกฎาคม 2566 นายกฯ มอบเงินรางวัลแก่ทัพนักกีฬาซีเกมส์ ชื่นชมตัวแทนประเทศไทยพร้อมทีงานทุกคนร่วมกันคว้าชัยชนะกลับสู่ประเทศได้สำเร็จ เป็นอันดับที่ 2 จาก 11 ประเทศ แนะให้เก็บเกี่ยวประสบการณ์จากการแข่งขันนำไปพัฒนาศักยภาพต่อไป

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานมอบเงินรางวัลและแสดงความยินดีให้กับผู้เข้าร่วมการแข่งขันมหกรรมกีฬาการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 32 และการแข่งขันกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 12 ณ ราชอาณาจักรกัมพูชา เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้กับนักกีฬาทีมชาติไทยและเจ้าหน้าที่ที่เข้าร่วมการแข่งขันมหกรรมกีฬาการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 32 และการแข่งขันกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 12 โดยมี นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายอารัญ บุญชัย ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) และ นางสาวสุปราณี คุปตาสา ผู้จัดการกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ (NSDF) คณะนักกีฬา ผู้ฝึกสอน เจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องและสื่อมวลชนเข้าร่วมงานซึ่งบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคักและอบอุ่น

นายกรัฐมนตรีมอบเงินรางวัลและของที่ระลึกให้แก่นักกีฬา ผู้ฝึกสอนและสมาคมที่ได้รับเหรียญรางวัล และเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 32 และการแข่งขันกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 12 ดังนี้ 1) มอบของที่ระลึกให้แก่ประธานคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ 2) มอบของที่ระลึกแก่ประธานคณะกรรมการพาราลิมปิกแห่งประเทศไทย 3) มอบเงินรางวัลและของที่ระลึกแก่นักกีฬา ผู้ฝึกสอนและสมาคมที่ได้รับเหรียญรางวัลและเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 32 จำนวน 39 สมาคมกีฬา รวมเงินทั้งสิ้น 239,190,000 บาท 4) มอบเงินรางวัลและของที่ระลึกแก่นักกีฬา ผู้ฝึกสอนและสมาคมที่ได้รับเหรียญรางวัลและเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 12 จำนวน 4 สมาคมกีฬา รวมเงินทั้งสิ้น 99,365,000 บาท ทั้งนี้ มีนักกีฬา ผู้ฝึกสอน และสมาคมกีฬา ได้รับเงินรางวัลรวม 43 สมาคมกีฬา รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 338,555,000 บาท

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในนามรัฐบาลและประชาชนชาวไทยขอแสดงความยินดีกับความสำเร็จของทัพนักกีฬาไทยที่ได้เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 32 และการแข่งขันกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 12 ณ ราชอาณาจักรกัมพูชา ซึ่งนับเป็นโอกาสดีที่นักกีฬาไทยได้แสดงความสามารถทางกีฬาให้เป็นที่ประจักษ์ในระดับนานาชาติ และเป็นโอกาสดีที่ได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์จากการแข่งขัน เพื่อนำไปพัฒนาศักยภาพของตนเองต่อไป ทั้งนี้ ความสำเร็จที่เกิดขึ้นที่ทุกคนได้รับมานั้นล้วนเกิดจากความ “มานะ บากบั่น และสู้สุดใจ” ของของทุกคน จึงทำให้ทุกคนมาอยู่ตรงจุดนี้ ซึ่งคำเหล่านี้ขอให้ทุกคนประทับไว้อยู่ในหัวใจและนำไปเป็นหลักในการปฏิบัติเพื่อให้เกิดผลสำเร็จในด้านกีฬาและด้านอื่น ๆ ของชีวิตต่อไป

“ขอชื่นชมสมาคมกีฬา ผู้จัดการทีม ผู้ฝึกสอน ตลอดจนเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกคน ที่ทำหน้าที่ในฐานะตัวแทนประเทศไทยในการนำทัพนักกีฬาไปคว้าชัยชนะกลับมาสู่ประเทศชาติได้สำเร็จ ซึ่งความสำเร็จในครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจ มีวินัยในการฝึกซ้อมอย่างดีของทุกคน และแสดงความสามารถ ศักยภาพออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม รางวัลเกียรติยศที่ได้รับในครั้งนี้จะเป็นขวัญและกำลังใจแก่ทุกคน เป็นเกียรติประวัติแก่ประเทศชาติ นำมาซึ่งความภาคภูมิใจแก่ชาวไทยทุกคน รวมทั้งตนเองและครอบครัว ขอให้ทุกคนพัฒนาความสามารถของตนเองให้ก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น เพื่อจะได้ประสบความสำเร็จในการแข่งขันกีฬาในฐานะนักกีฬาทีมชาติไทย รัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนทุกด้าน เพื่อทำให้การกีฬาไทยมีศักยภาพสูงและสามารถแข่งขันกับนานาประเทศได้อย่างทัดเทียม” นายกรัฐมนตรี กล่าว

นายกรัฐมนตรียังแสดงความเชื่อมั่นว่าทุกคนทำหน้าที่ตัวแทนของคนไทยและประเทศไทยอย่างดีที่สุดแล้ว และขอเป็นกำลังใจให้กับนักกีฬาที่ไม่ได้รับเหรียญรางวัลจากการแข่งขัน ขอให้ตั้งใจพัฒนาทักษะและหมั่นฝึกซ้อมอย่างสม่ำเสมอ และนำเอาประสบการณ์จากการแข่งขันในครั้งนี้ไปพัฒนาตนเอง ซึ่งจะทำให้นักกีฬาทุกคนประสบความสำเร็จในการแข่งขันในโอกาสครั้งต่อ ๆ ไปได้อย่างแน่นอน พร้อมขอขอบคุณบุคคลและหน่วยงาน ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ที่ร่วมแรงร่วมใจกันขับเคลื่อนพัฒนาการกีฬาของชาติให้ก้าวหน้าตลอดมา สร้างชื่อเสียงเกียรติภูมิมาสู่ประเทศชาติมาอย่างต่อเนื่อง และขอให้ระลึกไว้ว่าผลงานด้านกีฬาที่สร้างไว้นั้น จะถูกจารึกไว้ในหัวใจของประชาชนคนไทยทั้งประเทศตลอดไป

ทั้งนี้ ประเทศไทยได้ส่งนักกีฬา เจ้าหน้าที่ และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการแข่งขันมหกรรมกีฬาการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 32 ระหว่างวันที่ 5 – 17 พ.ค. 2566 และการแข่งขันกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 12 ระหว่างวันที่ 3 – 9 มิ.ย. 2566 ณ ราชอาณาจักรกัมพูชา โดยผลงานของทัพนักกีฬาทีมชาติไทย ในการแข่งขันมหกรรมกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 32 สามารถคว้ารวมมาได้ 108 เหรียญทอง 95 เหรียญเงิน 108 เหรียญทองแดง ในอันดับที่ 2 ในตารางรวมเหรียญรางวัล จาก 11 ประเทศ ขณะที่ทัพนักกีฬาคนพิการทีมชาติไทย ทำผลงานในกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 12 สามารถคว้าเหรียญรางวัลมาได้ 126 เหรียญทอง 109 เหรียญเงิน และ 94 เหรียญทองแดง จบอันดับที่ 2 จาก 11 ประเทศ ในตารางรวมเหรียญรางวัลเช่นกันใช้ประสบการณ์ที่ได้พัฒนาตัวเองต่อไป

Advertisement

Verified by ExactMetrics