วันที่ 25 เมษายน 2024

พช.จับมือ”ปอเต็กตึ้ง” เดินหน้าแก้จนมอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพ

People Unity News : “สุทธิพงษ์ จุลเจริญ” อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน ร่วมมือกับ “ปอเต็กตึ้ง” เดินหน้าแก้จน มอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพ

เมื่อวันที่ 30 ต.ค.2562 นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน ร่วมกับนายคุณสุทัศน์ เตชะวิบูลย์ รองประธานกรรมการมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง มอบวัสดุอุปกรณ์สนับสนุนการประกอบอาชีพครัวเรือนยากจนเป้าหมาย ในพื้นที่จังหวัดจันทบุรี จำนวน 14 ครัวเรือน โอกาสนี้นายพงษ์พัฒน์ วงศ์ตระกูล รองผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี พร้อมด้วยพัฒนาการจังหวัดจันทบุรี เป็นตัวแทนจังหวัดจันทบุรี ร่วมมอบเครื่องอุปโภคบริโภคแก่ครัวเรือนยากจนด้วย และมีนายอาจณรงค์ สัตยพานิช ผู้ตรวจราชการกรม(พช.) นายอุทัย ทองเดช ผู้อำนวยการสำนักเสริมสร้างความเข้มแข็งชุมชน (พช.) นายจารุรัตน์ คุณัตถานนท์ (กรรมการและรองเลขาธิการมูลนิธิฯ)นายวุฒิชัย อภิวัฒนกุลชัย (ผู้จัดการมูลนิธิฯ) นายพินัย ศรีพนาสณฑ์ (รักษาการผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์/หัวหน้าแผนกสังคมสงเคราะห์) คณะผู้บริหารจากหน่วยงาน เข้าร่วมเป็นเกียรติฯ ณ เทศบาลหนองตาคง อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี

อธิบดี พช. กล่าวว่า “การดำเนินงานแก้จน โดยการมอบวัสดุอุปกรณ์ และเครื่องมือสนับสนุนการประกอบอาชีพในครั้งนี้ดำเนินการตามแนวทางประชารัฐ เป็นการพัฒนาแบบไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย ได้ดำเนินงานภายใต้บันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาความยากจนเชิงบูรณาการ ระหว่างกรมการพัฒนาชุมชน กับ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2562 ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริม สนับสนุนอาชีพแก่ครัวเรือนยากจนให้สามารถบริหารจัดการชีวิตได้อย่างเหมาะสม ด้วยกระบวนการบริหารจัดการครัวเรือนยากจนแบบบูรณาการ ชี้เป้าชีวิต จัดทำเข็มทิศชีวิต หรือแผนชีวิต บริหารจัดการชีวิต และดูแลชีวิต ตลอดจนดำเนินชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เช่น การปลูกผักสวนครัวรั้วกินได้ การจัดทำบัญชีครัวเรือน เพื่อให้มีภูมิคุ้มกันที่ดี และช่วยลดความเหลื่อมล้ำในสังคม

โดยแนวทางของความร่วมมือได้กำหนดการดำเนินงานไว้คือ กรมการพัฒนาชุมชนสำรวจครัวเรือนยากจนเป้าหมายที่ต้องการอาชีพ จัดกลุ่มแยกประเภทอาชีพที่ต้องการขอรับการสนับสนุนองค์ความรู้ และทักษะต่าง ๆ ที่ใช้ในการประกอบอาชีพ วิเคราะห์ศักยภาพครัวเรือนยากจน เพื่อกำหนดครัวเรือนยากจนเป้าหมาย และแนวทางการสนับสนุน และมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งสนับสนุนวัสดุอุปกรณ์ประกอบอาชีพแก่ครัวเรือนยากจนที่ผ่านการจัดกลุ่มมาแล้ว ต่อจากนั้นทั้งสองหน่วยงานจะดำเนินการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ และติดตามประเมินผลการดำเนินงานแก้ไขปัญหาความยากจนเชิงบูรณาการ และนำผลการประเมินมาพัฒนาช่วยเหลือคนยากจน และคนที่ด้อยโอกาสให้มีเครื่องมือ ในการประกอบอาชีพให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น อยู่ในสังคมอย่างมีความสุขต่อไป

ทั้งนี้หลักจากการมอบเครื่องมือและอุปกรณ์ประกอบอาชีพในวันนี้ไปแล้ว กรมการพัฒนาชุมชนเองได้มอบหมายให้พัฒนากร ในพื้นที่คอยเป็นพี่เลี้ยงสอดส่องดูแล ให้ความช่วยเหลือหากมีปัญหาอุปสรรคและรายงานผลให้กรมฯทราบเป็นระยะ จนกว่าครัวเรือนนั้นจะหลุดพ้นจากความยากจน และกรมการพัฒนาชุมชน กับมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง มีเป้าหมายที่จะดำเนินการมอบมอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพ ให้กับครัวเรือนยากจนให้ครบทุกจังหวัด เพื่อบำบัดทุกข์ บำรุงสุข และลดความเหลื่อมล้ำในสังคมตามนโยบายของรัฐบาล และกระทรวงมหาดไทย ให้ครัวเรือนเป้าหมายมีอาชีพมีรายได้ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในที่สุด”

โดยการมอบวัสดุอุปกรณ์สนับสนุนการประกอบอาชีพครัวเรือนยากจนเป้าหมาย ในพื้นที่จังหวัดจันทบุรี สำรวจจากข้อมูล จปฐ.ปี 2561 เป็นครัวเรือนที่มีรายได้เฉลี่ยไม่ถึง 38,000 บาท/ปี และพร้อมที่จะประกอบอาชีพ ประกอบด้วย 14 ครัวเรือน ได้แก่

– ครัวเรือนที่ 1 นางแสลม เกตุสุวรรณอายุ และนายสมหมาย ประเสริฐการ 46 ปี อาชีพค้าขายได้รับมอบอุปกรณ์ทำ ลูกชิ้นปิ้ง รถเข็น 1 คัน โตะพับขนาด 4 ฟุต 1 ชุด ตู้กระจกลูกชิ้น 1 ตู้ เตาปิ้งแบบใช้แก๊ส 1 ใบ ชุดเตาแก๊สปุ๊กลุ๊ก 7 กก.พร้อมเนื้อแก๊ส 1 ชุด

– ครัวเรือนที่ 2 นายบุญมี ผลทิม อายุ 69 ปี อาชีพรับจ้าง ได้รับมอบอุปกรณ์ เผาถ่าน เตาเผ่าถ่าน ขนาด 200 ลิตร 3 เตา เลื่อยโซ่แบบใช้เครื่องยนต์ เครื่อง 1.5 1 ชุด

– ครัวเรือนที่ 3 นายเจีย ศรีมงคล อายุ 58 ปี อาชีพค้าขาย ได้รับมอบอุปกรณ์ ตู้แช่น้ำดื่ม 4 ชั้น (ร้านโชว์ห่วย) 11 คิว สูง190ซม. 1 ตู้ ชั้นวางของ 1 ด้าน 2 ชุด

– ครัวเรือนที่ 4 นายสมชาย สุทธิ อายุ 46 ปี อาชีพรับจ้าง (ช่างไม้) ได้รับมอบอุปกรณ์ สว่านไฟฟ้า ขนาดกลาง makita 1 ชุด ลูกหมู มาคเทค 1 ชุด เซาะบางใบ 2 หุน makita 1 ชุด กบไฟฟ้าหน้า 3 มาคเทค 1 ชุด เลื่อยไฟฟ้าตัดไม้ (ตัวเล็ก) 1 ชุด

– ครัวเรือนที่ 5 นายสงัด เศรษฐีธัญญาหาร อายุ 63 ปี อาชีพรับจ้าง (ช่างไม้) ได้รับมอบอุปกรณ์ กบไฟฟ้าหน้า 5 นิ้ว 1 ตัว ลาวเตอร์ 1ตัว สว่านไฟฟ้า เจาะไม้ 4 หุน 1 ตัว เลื่อยไฟฟ้า 9 นิ้ว makita 1 ตัว

– ครัวเรือนที่ 6 นางสาวสวย อุทพันธ์ และ.นางหนู อุทพันธ์ / นางสาวสวย อุทพันธ์ อายุ 37 ปี อาชีพหัตถกรรมในครัวเรือน ได้รับมอบอุปกรณ์ เครื่องทอพรมเช็ดเท้า 1 ชุด

– ครัวเรือนที่ 7 นายสมควร ทรัพย์คง อายุ 43 ปีอาชีพรับจ้าง(ตัดไม้) ได้รับมอบอุปกรณ์ เครื่องตัดหญ้า Honda 1เครื่อง เลื่อยไฟฟ้า Makita ขนาด 9 นิ้ว 1 อัน

– ครัวเรือน 8 นางบุญมี สุขตะเดือน และนางบุญมี สุขตะเดือน อายุ 49 ปี อาชีพหัตถกรรมในครัวเรือน ได้รับมอบอุปกรณ์ เครื่องทอพรมเช็ดเท้า 1 ชุด

– ครัวเรือนที่ 9 นายทองดี สิงห์คี อายุ 74 ปี อาชีพรับจ้าง (เผาถ่าน) ได้รับมอบอุปกรณ์ เตาเผาถ่าน 4 เตา รถเข็นของ 3 ล้อ 1 คัน เลื่อยตัดไม้ไฟฟ้า (ขนาดเล็ก) 1 ชุด

– ครัวเรือนที่ 10 นางสาวสายน้ำผึ้ง พึ่งประชา และนางถวิล สุขถนอม อายุ 21 ปี อาชีพค้าขาย (ไส้กรอกอีสาน) ได้รับมอบอุปกรณ์ เครื่องอัดไส้กรอก 15 L 1 ชุด เตาย่างไส้กรอก พร้อมตะแกรง 1 ชุด ร่มแม่ค้า เบอร์ 45 1 คัน

– ครัวเรือนที่ 11 นายสมคิด ทรัพย์คง อายุ 68 ปี อาชีพรับจ้าง(ตัดไม้) ได้รับมอบอุปกรณ์ เลื่อยบาร์โซ่ตัดกิ่ง ขนาด 12 นิ้ว แบบใช้น้ำมันขนาดกลาง ยี่ห้อ Makita 2เครื่อง

– ครัวเรือนที่ 12 นายประเทือง ทานมัย อายุ 67 ปี อาชีพค้าขาย (ก๋วยเตี๋ยวและอาหารตามสั่ง) ได้รับมอบอุปกรณ์ ตะกร้อลวกเส้น สแตนเลส 1 อัน ตะแกรงลวด ลวกเส้น ด้ามไม้ 1 อัน หม้อก๋วยเตี๋ยว (ม้าลาย) เบอร์ 36 1 ใบ ตู้กระจก (อาหารตามสั่ง/ก๋วยเตี๋ยว) 1 ใบ ถังแช่น้ำแข็ง + ก๊อกน้ำ (ขนาด 40 ลิตร) 1 ใบ ถังแช่น้ำแข็ง (ขนาด 80 ลิตร) 1 ใบ เก้าอี้พลาสติก 12 ตัว โต๊ะพับ ขนาด 4 ฟุต 3 โต๊ะ ถังแก๊ส ปตท.15 กก. 1 ถัง ชุดเตาแก๊ส ครบชุด พร้อมขาเตาสี่เหลี่ยมกลาง 1 ชุด กะทะ เบอร์ 18 แบบอลูมิเนียมด้ามพลาสติกดำ 1 ใบ หม้อหุงข้าว ขนาด 5 ลิตร 1 ใบ

– ครัวเรือนที่ 13 นายมานะ คนฑาอายุ 53 ปี อาชีพช่างซ่อมรถ ได้รับมอบอุปกรณ์ ชุดหัวเชื่อมแก๊สสำหรับซ่อมรถจักรยานยนต์ 2 ชุด เครื่องปั๊มลมขนาดกลาง พร้อมถังลม (โรตารี่ 50 ลิตร 3 แรง) 1 ชุด ขาตั้งรถ 2 คู่

– ครัวเรือนที่ 14 นายสุพรรณ หอมหวนอายุ และนายสุพรรณ หอมหวน 41 ปี อาชีพช่างก่อสร้าง ได้รับมอบอุปกรณ์ สว่านโรตารี 3 ระบบ ขนาด 800 วัตต์ 1 ตัว ตู้เชื่อมไฟฟ้า ขนาด 300แอมป์ 1 ตัว เลื่อยวงเดือน ขนาด 7 นิ้ว (มาคเทค) 1 ตัว เครื่องหินเจียร ขนาด 4 นิ้ว (มาคเทค) 1 ตัว เครื่องตัดไฟเบอร์ ขนาด 14 นิ้ว (มาคเทค) 1 ตัว แท่นตัดกระเบื้อง 28 นิ้ว 1 ตัว

โดยผู้แทนที่ได้รับมอบอุปกรณ์และเครื่องมือประกอบอาชีพ ได้กล่าวแสดงความรู้สึกดีใจ และขอบคุณที่กรมการพัฒนาชุมชน และมูลนิธิป่อเต็กตึ้ง ได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือในครั้งนี้ เป็นการมอบโอกาสให้เขาได้มีช่องทางทำมาหากินเลี้ยงดูครอบครัว เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และอยากให้ทำโครงการดีๆอย่างนี้ไปยังครอบครัวอื่นที่ยังรอโอกาสจากสังคม

นายจ้างอยูไหน! ส.ส.อนค.รุดให้กำลังใจแรงงานกว่า 350 ชีวิตถูกลอยแพ

People Unity News : ตามหานายจ้าง! กว่า 350 ชีวิตถูกลอยแพ ปมไม่โอนย้าย-เปลี่ยนไปบริษัทใหม่ ร้อง “หม่อมเต่า” ช่วย “อนาคตใหม่ ปีกแรงงาน” รุดให้กำลังใจ

เมื่อวันที่ 30 ต.ค.2562 ที่กระทรวงแรงงาน กลุ่มลูกจ้างบริษัทเกี่ยวกับแฟชั่น สาขาบางพลี จ.สมุทรปราการ ได้รวมตัวกันยื่นหนังสือต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน หลังจากนายจ้างไม่ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน 2541 (ฉบับแก้ไขปรับปรุง 2562) ว่าด้วยเรื่องการเปลี่ยนแปลงนายจ้าง โดยจากการสอบถามทราบว่า บริษัทได้โอนย้ายพนักงานที่บางพลีไปยังบริษัทใหม่ รวมถึงให้บริษัทใหม่เช่าสถานที่

ทั้งนี้ มีลูกจ้างบางส่วนยินดีโอนย้ายไปทำงานกับบริษัทใหม่ แต่อีกกว่า 350 คน ไม่ประสงค์ที่จะย้าย และยืนยันที่จะทำงานกับบริษัทเดิม โดยทวงถามความชัดเจนตั้งแต่มีการเริ่มโอนย้าย แต่ไม่มีคำตอบว่าจะให้ปฏิบัติงานที่ไหนและสภาพการจ้างอย่างไร นัดไกล่เกลี่ยหลายครั้งแต่นายจ้างไม่มา กระทั่ง 28 ตุลาคม โรงงานที่บางพลีไม่ยอมให้เข้าโรงงาน เนื่องจากเป็นพื้นที่ของบริษัทใหม่ นายจ้างแจ้งผ่านเจ้าหน้าที่รัฐว่าจะติดต่อกลับมาในวันที่ 29 ตุลาคม แต่สุดท้ายก็ไร้วี่แวว ลูกจ้างทุกคนที่ไม่ได้โอนย้าย ไม่มีที่ทำงาน หาตัวนายจ้างไม่เจอ จึงเดินทางมาที่กระทรวงแรงงาน เพื่อยื่นหนังสือให้รัฐมนตรีรีบแก้โดยเร่งด่วน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับข้อเสนอที่ยื่นถึง ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน คือ 1. หาตัวนายจ้างมาให้ได้ 2. ขอความชัดเจนว่าจะทำธุรกิจต่อหรือจะเลิกทำธุรกิจ โดยกลุ่มลูกจ้างกว่า 350 คน ที่ไม่ได้โอนย้ายไปบริษัทอื่น จะมีมาตรการอย่างไร ให้นายจ้างปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน เนื่องจากทุกคนกำลังเดือดร้อนอย่างหนัก ไม่มีที่ทำงาน และนี่เป็นเพียงหนึ่งตัวอย่างที่ลูกจ้างโดนละเมิดสิทธิแรงงาน จนนำมาสู่การโดนยกเลิกสิทธิทางภาษี GSP ที่เป็นข่าวอยู่ปัจจุบัน

ทั้งนี้ นายสุนทร บุญยอด กรรมการบริหารปีกแรงงาน พรรคอนาคตใหม่ รวมถึง น.ส.วรรณิภา ไม้สน ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ สัดส่วนปีกแรงงาน และ นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส. เขตบางขุนเทียน และรองโฆษกพรรค ได้เดินทางมาให้กำลังใจกลุ่มลูกจ้างที่มายื่นหนังสือดังกล่าวด้วย

“บิ๊กตู่”แมนพอ!ลั่นกมธ.สภาฯเชิญไปก็ต้องไป ขณะนี้ฝ่ายกฎหมายดูอยู่

People Unity News : “บิ๊กตู่”แมนพอ!ลั่นกมธ.สภาฯเชิญไปก็ต้องไป ขณะนี้ฝ่ายกฎหมายกำลังพิจารณาอยู่

เมื่อวันที่ 30 ต.ค.2562 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีที่นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้คำแนะนำ ควรจะเดินทางไปชี้แจงกับคณะกรรมาธิการการป้องกันปราบและปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎรว่า “ถ้าเชิญไป ก็ต้องไป”

เมื่อถามย้ำว่า นายกรัฐมนตรี จะต้องหารือกับฝ่ายกฎหมายของรัฐบาลอีกหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า “ก็ต้องพิจารณาอยู่แล้ว กำลังพิจารณาอยู่ไงเล่า”

“เสรีพิศุทธ์”ไม่ยอมหยุด! เชิญ”บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม”อีกครั้งให้ชี้แจง 6 พ.ย.

People Unity News : “เสรีพิศุทธ์”ไม่ยอมหยุด! เชิญ”บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม”อีกครั้งให้ชี้แจง 6 พ.ย. “เชาว์” บี้ กมธ.ป.ป.ช.ทั้งชุดทบทวนบทบาทตัวเอง

เมื่อวันที่ 30 ต.ค.2562 พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต สภาผู้แทนราษฎร แถลงภายหลังการประชุมว่า ที่ประชุมได้พิจารณาหนังสือของเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ที่ตั้งคำถามเกี่ยวกับอำนาจของคณะกรรมาธิการในการเรียกนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีเข้ามาชี้แจงใน 3 เรื่องคือ 1.) การเสนอร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 เกี่ยวข้องกับการทุจริตประพฤติมิชอบอย่างไร 2.) การถวายสัตย์ปฏิญาณเป็นเรื่องของรัฐบาล และ 3.) สภาผู้แทนราษฎรเองก็เคยเห็นชอบร่างกฎหมายที่รัฐบาลเคยเสนอมาแล้ว เช่น พ.ร.ก.โอนอัตรากำลังพลและงบประมาณบางส่วนของกองทัพบก กองทัพไทย กระทรวงกลาโหมไปเป็นของหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ ซึ่งเป็นส่วนราชการในพระองค์ พ.ศ. 2562

กรรมาธิการพิจารณาได้ข้อสรุปว่า กรรมาธิการมีอำนาจตามรัฐธรรมนูญมาตรา 129 วรรค 4 ซึ่งเป็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างคณะกรรมาธิการกับผู้ถูกเชิญ ไม่เกี่ยวข้องกับบุคคลที่ 3 ดังนั้น การทำหนังสือของเลขาธิการนายกรัฐมนตรีจึงเป็นเรื่องไม่เหมาะสม เพราะไม่ควรเข้ามายุ่งในเนื้อหาสาระ และนายกรัฐมนตรีก็ควรจะมาชี้แจงด้วยตนเอง

ขณะที่พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ส่งหนังสือมาแจ้งว่าติดภารกิจราชการ และชี้แจงสั้นๆ ว่า ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนเรียบร้อยแล้ว คณะกรรมาธิการจึงมีมติทำหนังสือเชิญนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีให้มาเข้าชี้แจง ในวันที่ 6 พฤศจิกายนเวลา 10.00 น. และ 11.00 น. พร้อมย้ำว่า แม้ทั้งสองคนจะตัดพี่ตัดน้องกับตนเองไปแล้ว แต่ก็ยังมองว่าเป็นพี่น้องอยู่ จึงอยากจะเรียกเข้ามาสอบถาม

ทั้งนี้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวด้วยว่า ที่ประชุมจะมีการพิจารณากรณีนายเอกชัย หงส์กังวาน แกนนำกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง ร้องขอให้ตรวจสอบการทำหน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่มีมติไม่ชี้มูลความผิด พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กรณีไม่ชี้แจงบัญชีทรัพย์สินนาฬิกาหรูว่า ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 129 คณะกรรมาธิการไม่มีอำนาจเชิญองค์กรอิสระ ทางคณะกรรมาธิการฯ จึงมีมติทำหนังสือไปถึงเลขาธิการ ป.ป.ช. ขอเอกสารต่างๆที่เกี่ยวข้องมาศึกษา โดยขอให้ส่งมาภายในวันที่ 15 พฤศจิกายน และจัดตั้งคณะทำงานพิจารณาเรื่องนี้ เนื่องจากเป็นเรื่องที่ประชาชนและสื่อมวลชนเคลือบแคลงสงสัยในมติที่ออกมา

“เชาว์” บี้ กมธ.ป.ป.ช.ทั้งชุด ทบทวนบทบาทตัวเอง

นายเชาว์ มีขวด อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ Facebook เรื่อง “อย่าใช้กรรมาธิการของสภาเป็นกรรมาธิกูทางการเมือง” มีเนื้อหาว่า กรณีที่กรรมาธิการ ป.ป.ช.ของสภาผู้แทนราษฏรมีมติเชิญพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเข้าชี้แจงเรื่องการเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 และกรณีกล่าวหานายกรัฐมนตรีถวายสัตย์ไม่ครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญนั้น มีประเด็นคำถามให้ชวนคิดมองได้อยู่สองมิติที่น่าสนใจกล่าวคือ มิติด้านบทบาทหน้าที่ของกมธ.ป.ป.ช. ซึ่งผมเห็นว่ากรรมาธิการชุดนี้ไม่มีอำนาจที่จะเชิญนายกรัฐมนตรีมาชี้แจงเรื่องการเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ของนายกฯและกรณีกล่าวหานายกรัฐมนตรีถวายสัตย์ไม่ครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญ เพราะไม่ใช่อำนาจหน้าที่โดยตรงกรรมาธิการป.ป.ช.มีหน้าที่ในการตรวจสอบการทุจริตและประพฤติมิชอบ….อีกทั้งกรณีนายกฯถวายสัตย์ไม่ครบศาลรัฐธรรมนูญก็วินิจฉัยแล้วว่า ไม่มีองค์กรใดตามรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยได้ เนื่องจากเป็นเรื่องการกระทำทางการเมืองระหว่างองค์พระมหากษัตริย์กับฝ่ายบริหาร

การที่ผู้คนพุ่งเป้าตำหนิไปที่พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ประธานกมธ.ชุดนี้ ยังไม่ถูกต้องนัก เพราะเรื่องนี้เป็นมติของกรรมาธิการทั้งชุด จึงต้องถือเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของกรรมาธิการฯทั้งชุด ผมจึงอยากให้กรรมาธิการป.ป.ช.ตั้งหลักทบทวนบทบาทตัวเองใหม่ อย่าให้ใครใช้กรรมาธิการฯที่ต้องทำหน้าที่เพื่อประโยชน์ส่วนรวมไปเป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อประโยชน์ส่วนตน

นายเชาว์กล่าวต่อไปว่า ประการต่อมาคือเรื่องการทำงานในสภาระหว่างรัฐบาลกับฝ่ายค้าน ซึ่งจากการตรวจสอบรายชื่อกรรมาธิการชุดนี้พบว่าฝ่ายค้านมีเสียงในกรรมาธิการฯมากกว่ารัฐบาลหนึ่งเสียงคือ 8 ต่อ 7 เท่ากับฝ่ายค้านคือผู้คุมเกมในกรรมาธิการฯชุดนี้เพราะเป็นเสียงข้างมาก ผมจึงไม่เข้าใจว่ารัฐบาลซึ่งมีเสียงข้างมากในสภาปล่อยให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ได้อย่างไร และกรรมาธิการฯซีกรัฐบาลทำอะไรอยู่ เหตุใดจึงไม่คัดค้านเมื่อมีการกระทำที่เกินเลยไปจากอำนาจหน้าที่ของตัวเอง ทั้งกรณีกรรมาธิการป.ป.ช.และการที่สภารับรองชื่อหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ที่อยู่ระหว่างถูกศาลสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ไปเป็นกรรมาธิการงบประมาณ สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลไม่เท่าทันเกมการเมืองของฝ่ายค้าน จึงควรต้องปรับวิธีคิดและการทำงานใหม่ ที่สำคัญอยากฝากถึงทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้านว่าการทำงานในกรรมาธิการฯควรคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง เดินหน้าไปด้วยกันโดยไม่มีฝ่าย จึงจะถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่เพื่อประชาชนอย่างแท้จริง

“จึงฝากไปยังพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ให้ตระหนักด้วยว่าพ.ร.บ.คำสั่งเรียกของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา พ.ศ.2554 ที่นำมาใช้ขู่ว่าถ้าใครไม่มาตามคำเชิญมีโทษจำคุกนั้นออกในสมัยที่ท่านอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี มีจุดประสงค์ให้ใช้กฎหมายนี้เพื่อประโยชน์ต่อการพิจารณาของคณะกรรมาธิการฯ ให้มีประสิทธิภาพและได้ข้อเท็จจริงที่ครบถ้วน บนหลักการยึดประโยชน์ชาติประชาชนเป็นที่ตั้ง ไม่ใช่กฎหมายที่มีไว้เพื่อให้ใครใช้เพื่อประโยชน์ทางการเมืองของฝ่ายตัวเอง ที่สำคัญต้องไม่ลืมว่ามาตรา 12 ของกฎหมายฉบับเดียวกันนี้มีบทลงโทษสำหรับกรรมาธิการที่ปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดมีโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปีหรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ จึงควรหยุดใช้อำนาจกรรมาธิการฯพร่ำเพรื่อต่อไปความศักดิ์สิทธิ์จะลดลงกลายเป็นกรรมาธิกูทางการเมือง จะไม่เกิดประโยชน์ต่อประชาชนตามเจตนารมณ์ที่มุ่งหวัง”นายเชาว์กล่าวทิ้งท้าย

“สมคิด”ควง รมว.4กระทรวงขึ้นเหนือ เข็น”โครงการประชารัฐ” หวังเสริมความเข้มแข็งสังคมไทย

People Unity News : “สมคิด”ควง รมว.4กระทรวงขึ้นเหนือ มอบนโยบาย “ประชารัฐสร้างไทย พัฒนาล้านนา ขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน” ที่ ม.แม่โจ้สันทราย หวังเสริมความเข้มแข็งสังคมไทย

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 30 ตุลาคม 2562 ที่มหาวิทยาลัยแม่โจ้ อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานมอบนโยบาย “ประชารัฐสร้างไทย พัฒนาล้านนา ขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน” โดยสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากอย่างเข้าถึงแบบครบวงจร มุ่งดูแลผู้มีบัตรสวัสดิการฯ และเกษตรกร ผู้ประกอบการราย่อยให้หลุดพ้นความยากจน โดยมี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรฯ และผู้บริหารแบงก์รัฐ ทั้งออมสิน ธ.ก.ส. เอสเอ็มอีแบงก์ และภาคีเครือข่ายสนับสนุนเศรษฐกิจฐานราก ทั้งนี้รองนายกรัฐมนตรีได้เน้นให้ทุกหน่วยงาน ร่วมกัน แก้ไขปัญหาความยากจนให้กับพี่น้องประชาชน โดยเชื่อมั่นว่ามาตรการต่างๆที่ได้ออกมาอาทิบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ชิมช็อปใช้จะเป็นส่วนสำคัญในการช่วยเหลือภาคประชาชนและกระตุ้นเศรษฐกิจไทย ก้าวเดินต่อไปได้อย่างเข้มแข็ง

นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อดูแลรายย่อยในระยะสั้นให้มีกำลังซื้อผ่านหลายมาตรการ ที่ผ่านมา ธ.ก.ส. ส่งเงินเข้าบัญชีช่วยเหลือเกษตรกรไปแล้ว 34,000 ล้านบาท โครงการชิมช้อปใช้ ทั้งเฟส 1 มีผู้ลงทะเบียน 10 ล้านคน และเฟส 2 ลงทะเบียนเกือบครบ 3 ล้านคน มีร้านค้ารายย่อยแห่งใหม่เข้าร่วมนับแสนราย เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนมนระบบเศรษฐกิจ ในส่วนของการกระตุ้นภาคอสังหาฯ เมื่อลดค่าธรรมเนียมการโอน จดจำนองเหลือร้อยละ 0.01 จะทำให้มีแรงซื้อที่อยู่อาศัยมากขึ้นในช่วงปลายปี

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ขณะนี้ภาคเอกชนยื่นขอสร้างโรงไฟฟ้าชุมชนยอดลงทุนประมาณ 2 แสนล้านบาท โดยมีกลุ่มชาวบ้านร่วมถือหุ้น เพื่อผลิตไฟฟ้าใช้ในชุมชน ลดปัญหาการเผาซังข้าวโพด ทำให้เกิดปัญหาฝุ่น PM 2.5 และใช้ผลิตโรงไฟฟ้าชุมชน การส่งเสริมผลิตแก๊สหุงต้ม ใช้ในครัวเรือน การส่งเสริมติดตั้งโซล่าเซลล์ เพื่อการเกษตร ผ่านความร่วมมือทั้งกระทรวงพลังงาน อุตสาหกรรม ธ.ก.ส. ออมสิน คาดว่ามีเงินลงทุนในปีนี้ไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นล้านบาท

ด้านนายสุริยะ จีงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสหากรรม กล่าวชี้แจงว่า เพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี มีทุนในการประกอบธุรกิจ ขณะนี้มีวงเงินสินเชื่อ 3,000 ล้านบาท รองรับเกษตรแปรรูป วงเงินกู้ระยะสั้น 3 ปี วงเงินกู้ 3 ล้านบาทต่อราย และสินเชื่อวงเงินสินเชื่อ 10,000 ล้านบาท คิดดอกเบี้ยร้อยละ 1 เวลาเงินกู้ 7 ปี เพื่อพัฒนาผู้ประกอบการในพื้นที่ให้มีเงินทุนหมุนเวียน

ร.อ.ธรรมมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า หลายหน่วยงานรัฐได้มุ่งช่วยเหลือรายย่อยเกษตรกร เช่น การนำที่ดิน สปก. พื้นที่ 40 ล้านไร่ ที่มีอยู่พร้อมผลักดันนำมาจัดสรรให้กับเกษตรกรใช้ที่ดินทำกิน รัฐบาลพร้อมส่งเสริมบัตรสวัสดิการฯ เพื่อดูแลรายย่อยอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่ นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน ชี้แจงว่า ธนาคารออมสินขับเคลื่อนนโยบายรัฐ ผ่านยุทธศาสตร์ 3 สร้าง คือ 1.สร้างอาชีพ สร้างความรู้ 2.สร้างตลาด สร้างรายได้ และ 3.สร้างโอกาสเข้าถึงแหล่งทุน มุ่งส่งเสริมให้ประชาชนรายย่อยในระดับฐานราก โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีบัตรสวัสดิการฯ เข้าถึงการพัฒนาอาชีพ ได้ฝึกฝนและสามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้เพื่อนำไปเป็นทุนประกอบอาชีพ

เชื่อมั่นว่าจะทำให้ประชาชนอาชีพนอกภาคเกษตรกรในพื้นที่ 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน สามารถข้ามเส้นความยากจนมีรายได้มากกว่า 30,000 บาทต่อปี คิดเป็น 33% และหลุดพ้นจากความยากจน ซึ่งมีรายได้มากกว่า 100,000 บาทต่อปี คิดเป็น 1% พร้อมทั้งเตรียมสินเชื่อโครงการธนาคารประชาชน ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจโครงการประชารัฐสร้างไทย เพื่อให้พ่อค้า แม่ค้า หาบเร่ แผงลอย ผู้ประกอบอาชีพอิสระรายย่อย และผู้มีรายได้น้อย ได้นำเงินไปเป็นทุนหมุนเวียนในการประกอบอาชีพ โดยใช้บุคคล หรือ บสย. เป็นหลักประกัน วงเงินกู้สูงสุดรายละไม่เกิน 50,000 บาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ 0.50% ต่อเดือน (Flat Rate) ระยะผ่อนชำระเกิน 5 ปี (60 งวด) สามารถยื่นเรื่องขอกู้ได้ตั้งแต่วันที่ 24 ตุลาคม ถึง 31 ธันวาคม 2562 ซึ่งทั้งหมดจะมีศูนย์ยกระดับคุณภาพชีวิตเศรษฐกิจฐานราก 17 ศูนย์ของธนาคารออมสิน ที่ครอบคลุม 8 จังหวัดภาคเหนือ จะให้การสนับสนุนทั้งการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ การให้คำปรึกษาทางการเงิน และเป็นแหล่งข้อมูลด้านการท่องเที่ยวและสินค้าชุมชนด้วย รวมถึงเป็นศูนย์พัฒนาอาชีพด้วย โดยคาดว่าปีหน้าจะขยายเป็น 100 ศูนย์ทั่วประเทศ เพื่อสนับสนุนนโยบายรัฐบาลในด้านต่างๆได้อย่างรวดเร็ว และเป็นรูปธรรม เชื่อมั่นว่า ด้วยการผลักดันนโยบายของรัฐบาล และกระทรวงการคลัง ร่วมกับการประสานพลังประชารัฐของทุกภาคส่วน และภาคีเครือข่ายสนับสนุนเศรษฐกิจฐานราก จะทำให้การขับเคลื่อนการพัฒนาพื้นที่ล้านนา 8 จังหวัดนำร่อง ประสบความสำเร็จสามารถสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้กับประชาชน ลดความเหลื่อมล้ำและยกระดับรายได้ให้ประชาชนในพื้นที่มีความกินดีอยู่ดี มีความสุข เพื่อสร้างพื้นฐานและพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากของประเทศไทย ให้เติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งจะขยายผลประชารัฐสร้างไทยไปทุกภูมิภาคทั่วประเทศต่อไป

นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธอส. กล่าวว่า ธอส.ได้มอบสินเขื่อ “ประชารัฐ ทำให้คนไทยมี ‘บ้าน’ ได้จริง” ตามมาตรการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ของ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ให้แก่ลูกค้าที่ได้รับอนุมัติสินเชื่อดังกล่าว ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้น ณ หอประชุมกาญจนาภิเษก ม.แม่โจ้ อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2562

“พิพัฒน์”ชมนิทรรศการองค์ความรู้เกี่ยวกับการเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนคร

People Unity News : รมว.ท่องเที่ยวและ​กีฬา​ เยี่ยมชมนิทรรศการองค์ความรู้เกี่ยวกับการเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนคร โดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562

เมื่อเวลา 17.30 น. วันที่ 29 ตุลาคม 2562 ที่ผ่านมา ที่ท้องสนามหลวง นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานเยี่ยมชมนิทรรศการองค์ความรู้เกี่ยวกับการเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนคร โดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 โดยมีนาย​โชติ​ ตราชู​ ปลัด​กระทรวง​การ​ท่องเที่ยว​และ​กีฬา​ นายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ประชาชนให้การต้อนรับและเข้าร่วมชมการแสดง

รัฐบาล มอบหมายให้กระทรวงวัฒนธรรม(วธ.) บูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน อาทิ กระทรวงกลาโหม สำนักนายกรัฐมนตรี จัดแสดงนิทรรศการองค์ความรู้เกี่ยวกับการเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนคร โดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 ระหว่างวันที่ 25 ตุลาคม – 11 พฤศจิกายน 2562 ตั้งแต่เวลา 10.00 – 22.00 น. ณ ท้องสนามหลวง เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว และน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ที่พระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการเพื่อประโยชน์สุขแก่ประเทศชาติและประชาชนชาวไทย ตลอดจนเพื่อเผยแพร่ อนุรักษ์ สืบทอดและต่อยอดมรดกทางศิลปวัฒนธรรมของไทยให้คงอยู่ โดยภายในนิทรรศการฯ แบ่งออกเป็น 4 ส่วน ประกอบด้วย

ส่วนที่ 1 “เถลิงถวัลย์ราชสมบัติ สยามรัฐสีมา” มีรูปแบบการจัดแสดงแบ่งออกเป็น 3 ห้อง ได้แก่

ห้องที่ 1 “มหามงคลสมัยพระขวัญไผทเถลิงรัช” จัดแสดงองค์ความรู้เกี่ยวกับพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในสมัยรัตนโกสินทร์จนถึงปัจจุบัน โดยมีเนื้อหาและภาพพิธีพลีกรรมตักน้ำศักดิ์สิทธิ์และการแสดงมหรสพสมโภชทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ผ่านจอแอลอีดีและแท่นอักษรเบลล์สำหรับผู้พิการทางสายตา รวมทั้งห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ E-book สำหรับสืบค้นและศึกษาข้อมูล ภาษาไทยและอังกฤษ

ห้องที่ 2 “นิรมิตเรืองนทีเถลิงหล้า” จัดแสดงแสง สี เสียง และสื่อผสม นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับความสุขของคนไทยใต้ร่มพระบารมีผ่านจอแอลอีดีในรูปแบบ 3 มิติ ประกอบการแสดงศิลปวัฒนธรรมจากดารา นักแสดงที่มีชื่อเสียง และการแสดงขบวนเรือพยุหยาตราทางชลมารค เรือพระราชพิธีจำลอง 52 ลำ พร้อมกาพย์เห่เรือเฉลิมพระเกียรติ ประพันธ์โดย นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย

ห้องที่ 3 “ขบวนนาวาอารยศิลป์แผ่นดินสยาม” จัดแสดงองค์ความรู้เกี่ยวกับขบวนพระยุหยาตราทางชลมารคตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ โดยนำเสนอภาพขบวนเรือจากอดีตถึงปัจจุบันผ่านจอแอลอีดี รวมทั้งกาพย์เห่เรือ จำลองภาพเรือ 52 ลำ ประกอบคำบรรยาย พร้อมทั้งจัดแสดงเครื่องดนตรีประกอบการเห่เรือและหุ่นแสดงเครื่องแต่งกายของพนักงานประจำเรือ ทั้งนี้ ภายในพื้นที่จัดแสดงนิทรรศการฯ ทั้ง 3 ห้อง จัดทำอารยสถาปัตย์และจัดเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกให้กับผู้พิการและผู้สูงอายุอีกด้วย

ส่วนที่ 2 “ศรีศุภยาตรา ปวงประชารวมใจถวายพระพร” จัดแสดงเรือพระที่นั่งจำลอง 4 ลำ ได้แก่ เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์, เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ 9, เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช และเรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์ ประกอบการแสดงเห่เรือจากกองทัพเรือ รวมทั้ง มีการแสดงศิลปวัฒนธรรมจาก 4 ภูมิภาค และการแสดงโขน เรื่อง รามเกียรติ์ การแสดงละครนอก ละครใน โดยนักแสดงจากกรมศิลปากรและสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์

ส่วนที่ 3 “ม่านธาราลือขจรเฉลิมราชย์องค์ราชัน” จัดแสดงม่านน้ำประกอบแสง สี เสียง เฉลิมพระเกียรติฯ นำเสนอเรื่องราววิถีชีวิตคนไทยกับสายน้ำที่ผูกพันมาอย่างยาวนาน และความวิจิตร ตระการตาของโขนเรือขบวนพยุหยาตราทางชลมารค รวมทั้งพระราชกรณียกิจต่างๆ ผ่านเทคนิคม่านน้ำ

ส่วนที่ 4 “เอมอิ่มสุขสันต์ครบครันสำรับไทย” จำหน่ายสุดยอดอาหารไทยเลิศรสจากร้านที่มีชื่อเสียง

รัฐบาล ขอเชิญชวนประชาชนร่วมชมนิทรรศการองค์ความรู้เกี่ยวกับการเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนคร โดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 เพื่อเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว และเพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจในพระราชประเพณีที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญของไทยที่สืบทอดมายาวนานจนถึงปัจจุบัน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนวัฒนธรรม 1765 และ www.m-culture.go.th

“วรวัจน์”อัดรัฐบาลเทงบ 200 ล้านซื้ออาคารใหม่ในต่างแดน

People Unity News : “วรวัจน์”อัดรัฐบาลใช้งบประมาณไม่เหมาะสมติงรัฐเทงบ 200 ล้านซื้ออาคารใหม่ในต่างแดน ไม่สนใจชาวบ้านเดือดร้อน

เมื่อวันที่ 30 ต.ค.2562 นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญากุล รองประธานคณะคณะกรรมาธิการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 เปิดเผยว่า การพิจารณาการพิจารณางบประมาณของกระทรวงพาณิชย์ ตั้งงบประมาณไว้ 7.5 พันล้านบาท ยังคงมีข้อสงสัยในหลายประการที่ผู้แทนกระทรวงพาณิชย์ตอบคำถามของคณะกรรมาธิการไม่ชัดเจน

โดยกรรมาธิการ ได้ตั้งข้อสังเกตกรณีสำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ ใช้งบประมาณ 203ล้าน เพื่อซื้อที่ดินพร้อมอาคารที่ทำการคณะผู้แทนการค้าไทยถาวรประจำองค์การการค้าโลกและองค์การทรัพย์สินทางปัญญา ที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ว่า คุ้มค่าหรือไม่ เนื่องจากงบประมาณ ปี 2563 เป็นงบประมาณขาดดุล และกู้เงินจากต่างประเทศมาทำงบประมาณเกือบ 5 แสนล้านบาท

ขณะที่อาคารหลังนี้เช่ามาเป็นเวลา 24 ปีแล้ว จึงต้องพิจารณาว่าจะเอางบประมาณซึ่งมาจากการกู้ ไปซื้อจะคุ้มกับค่าดอกเบี้ยและค่าดูแลที่ต้องเสียหรือไม่ เมื่อเทียบกับค่าเช่าที่เช่าอยู่ กรรมาธิการซีกฝ่ายค้านคัดค้านแนวคิดดังกล่าวเพราะเห็นว่าในสภาพที่ประเทศมีหนี้สินที่ต้องกู้เงินมาจ่ายงบประมาณติดต่อกันนานแล้วเป็น 10 ปีและอย่างน้อยจะต้องกู้ไปอีกไม่ต่ำกว่า 10 ปี เป็นการใช้งบประมาณที่เหมาะสม

นายวรวัจน์ กล่าวด้วยว่า การดำเนินการเรื่องนี้ภายใต้สถานการณ์ของประเทศและประชาชนกำลังเดือดร้อน ขาดรายได้ บริษัทต่างๆปิดกิจการ มีการคาดการณ์ว่าในปีหน้าจะมีคนตกงานอีกไม่น้อยกว่า 500,000 คนจึงเป็นสภาพการณ์ที่ไม่เหมาะสมที่จะใช้จ่ายเม็ดเงินไหลออกไปต่างประเทศ จึงควรกลับไปใช้วิธีการเช่าเหมือนที่เคยทำมาทุกปีก่อน และนำเงินตรงนั้นมาช่วยเหลือประเทศในการกระตุ้นเศรษฐกิจและช่วยเหลือประชาชนภายในประเทศ ซึ่งตนได้ขอสงวนคำแปรญัตติเอาไว้พูดกันในสภาเพื่อชี้แจงถึงการตัดเพื่อค้านการดำเนินการของกระทรวงพาณิชย์

“ชาวบ้านจะตายอยู่แล้ว ยังจะใช้เงินแบบนี้อีกขนาดเอาสภาพเศรษฐกิจชาวบ้านมาเปรียบเทียบแล้ว ก็ยังไม่ฟังหากให้ 1 กระทรวง เกรงว่าในอนาคตจะมี อีกหลายหน่วยงาน อาทิ กระทรวงต่างประเทศ หน่วยงานกองทัพ ฯลฯ ของบประมาณเพื่อซื้ออาคารเช่นเดียวกับกระทรวงพาณิชย์” นายวรวัจน์กล่าว

“อนุสรณ์”แนะ”บิ๊กตู่”ควรตรวจสอบคนใกล้ตัว ก่อนตั้งศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม

People Unity News : “อนุสรณ์”โฆษกพรรคเพื่อไทยแนะ”บิ๊กตู่”ควรตรวจสอบคนใกล้ตัว ก่อนตั้งศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม

เมื่อวันที่ 30 ต.ค.2562 นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ขอให้ประชาชนช่วยกันแจ้งข่าวปลอมเข้ามา จะได้สอบสวนสืบสวนหาต้นตอ แก้ปัญหาตั้งแต่ต้นทางโดยเร็วที่สุด ว่า เพื่อพิสูจน์ความจริงใจในเรื่องการต่อต้านข่าวปลอม พล.อ.ประยุทธ์ ควรเริ่มต้นโดยการตั้งกรรมการสอบสวน พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ที่ถูกร้องเรียนประพฤติมิชอบ ไม่เป็นกลางทางการเมือง ทั้งในเวลาราชการปกติ และในระหว่างมีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้ง เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการเมืองให้กับพรรคพลังประชารัฐ

หากกระทำเช่นนั้นจริง จะถือว่ากรมประชาสัมพันธ์ ภายใต้การนำของพล.ท.สรรเสริญ คนใกล้ชิดของพล.อ.ประยุทธ์ เป็นต้นตอของการผลิตและเผยแพร่ข่าวปลอมเสียเองหรือไม่ รวมถึงการใช้งบประมาณ 25,166,800 ล้านบาท ในการจัดซื้อจัดจ้างการก่อสร้างอาคารฝ่ายนิทรรศการและศิลปกรรม โดยใช้งบประมาณอย่างเร่งรีบ ราคากลางไม่เหมาะสม พบจุดชำรุด ไม่สามารถใช้งานได้ ซึ่งไม่เป็นไปตามแบบการก่อสร้าง รวมถึงตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์รับเงินจากบริษัท เอส จี อาร์ เอนเตอร์ไพร์ส จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทผู้รับจ้าง เพื่อเร่งรัดให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทำเรื่องเบิกจ่าย หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องทำเรื่องนี้ให้กระจ่างด้วยตัวเอง เพราะถ้าไม่ทำเช่นนั้น จะไปเรียกความเชื่อมั่นมาจากไหน อย่าปล่อยให้คณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ ป.ป.ช. สภาฯ ทำหน้าที่เพียงฝ่ายเดียว พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี ต้องดำเนินการอย่างตรงไปตรงมาในเรื่องนี้

“อย่าให้ประชาชนเข้าใจว่า ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมนี้ ตั้งขึ้นมาเพื่อกำจัดฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง แต่ถ้าเป็นพวกพ้อง ฝ่ายเดียวกันกับรัฐบาล ทำข่าวปลอมขึ้นมาเสียเองแล้วตัวเองเป็นฝ่ายได้ประโยชน์ ไม่มีความผิด การตรวจสอบควรทำอย่างเสมอภาคเท่าเทียม ” นายอนุสรณ์ กล่าว

“เทวัญ”เร่ง”สคบ.”เคลียร์คดีสร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชน

People Unity News : “เทวัญ”นั่งหัวโต๊ะประชุมคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค เร่งเคลียร์คดีสร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชน ช่วยผู้เสียหาย ตามนโยบาย สคบ. เชิงรุก

เมื่อวันที่ 30 ต.ค.2562 นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ครั้งที่ 5/2562 ณ ห้องประชุม 109 สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล โดยที่ประชุมได้พิจารณาร่างระเบียบคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค และร่างคำสั่งคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค เพื่อขับเคลื่อนงานด้านการคุ้มครองผู้บริโภคให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ที่ประชุมยังได้พิจารณาการดำเนินคดีด้านอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 29 เรื่อง ซึ่งส่วนมากเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับการเช่าซื้อห้องชุดและบ้านที่อยู่อาศัยก่อสร้างไม่แล้วเสร็จ โดยขอให้มีการดำเนินคดีทางแพ่งและเร่งรัดให้ดำเนินการยุติโดยเร็ว นอกจากนี้ ที่ประชุมมีการพิจาณาดำเนินคดีด้านสินค้าและบริการ จำนวน 18 เรื่อง โดยส่วนมากเป็นเรื่องของการซื้อสินค้าและบริการแล้วไม่ได้ตามที่โฆษณาไว้ โดยอาจมีสินค้าชำรุด บกพร่อง เสียหาย

รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เน้นย้ำให้ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เร่งประชาสัมพันธ์ข้อมูลให้ประชาชนรับทราบ ทั้งเรื่องการดำเนินคดีกรณีการจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า ที่มีการลักลอบจำหน่ายเป็นวงกว้าง แม้ที่ผ่านมา สคบ. ร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติสามารถจับกุมการลักลอบจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าออนไลน์รายใหญ่ได้ก็ตาม และย้ำให้มีการประชาสัมพันธ์ข้อมูลและรายละเอียดการขอสินเชื่อบ้าน ที่ครอบคลุมถึงการทำสัญญาระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย เพราะมีผ่านมามีกลุ่มผู้บริโภคต้องการซื้อบ้าน มีการวางมัดจำแต่สินเชื่อไม่ผ่าน และไม่สามารถเรียกเงินคืนจากโครงการขายได้ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ขอให้แต่ละคณะตรวจสอบเรื่องตกค้างที่ร้องมาเป็นระยะเวลานาน หรือเรื่องที่ค้างการพิจารณา ให้รีบดำเนินการนำเรื่องต่างๆ อย่างเร่งด่วนที่สุด เพราะมีบางเรื่องที่ร้องเรียนมานานแล้วยังไม่ได้รับการพิจารณา

“จุรินทร์”มอบ 3 ทูตไทยที่สหรัฐฯ ถกผู้แทนการค้าแก้ตัดGSP!

People Unity News : “จุรินทร์”สั่งตั้งวอร์รูม กรอ.พาณิชย์ รับมือสหรัฐฯตัด GSP เร่งเจาะตลาดรายมณฑล-รายรัฐด่วน! พร้อมมอบทูตพาณิชย์กรุงวอชิงตันประสานทูตไทยและทูตแรงงานหารือกับผู้แทนการค้า USTR

วันที่ 30 ตุลาคม 2562 เวลา 10.00 น นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่าสำหรับความคืบหน้าเรื่องจีเอสพีนั้น วันนี้ตนได้มอบหมายให้ทูตพาณิชย์ที่กรุงวอชิงตันดีซี ประเทศสหรัฐอเมริกา ประสานงานกับเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงวอชิงตันดีซีและทูตแรงงานเพื่อที่จะได้นัดหมายไปหารือกับผู้แทนการค้า(USTR) ที่กรุงวอชิงตันดีซีซึ่งได้รับรายงานมาแล้วว่าจะมีการนัดหมายเข้าพบ เพื่อหารือกันในวันศุกร์ที่จะถึงนี้ผลเป็นอย่างไรก็จะรายงานมาให้ทราบต่อไป

ประการที่สอง คือในส่วนของการเตรียมการสำหรับการแก้ไขปัญหาในเรื่องของการตลาดก็จะมี 2 ส่วน ส่วนที่หนึ่งในภาพรวมทั้งหมดก็มีการเตรียมการมาก่อนหน้านี้แล้วในการบุกตลาดใหญ่ใหญ่ทั่วโลก 10 กลุ่มตลาดใหญ่ ซึ่งมีการประชุม กรอ.พาณิชย์โดยก่อนหน้าที่จะทราบว่ามีการตัดสิทธิ GSP สินค้าไทย โดย 10 ตลาดใหญ่ก็อย่างที่ตนได้รายงานให้ทราบแล้วว่าตลาดสำคัญโดยเฉพาะประเทศใหญ่ใหญ่ที่มีประชากรมากมีศักยภาพสูง เช่น จีน อินเดีย สหรัฐอเมริกา การการดำเนินการจะลงลึกถึงหลายมณฑล เช่น ในจีน หรือรายรัฐในรายสหรัฐอเมริกา จึงได้สั่งการให้ทูตพาณิชย์ทำรายละเอียดมาว่ารัฐไหนมีความต้องการสินค้าบริการอะไรของเรา และเราสามารถเจาะตลาดได้ในรูปแบบไหนอย่างไรควรจะไปขายอะไร ดำเนินการลงลึกถึงรายละเอียดและผมจะทำหน้าที่ในการนำทัพเอกชนร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ไปบุกตลาดทั้ง 10 ตลาด +3 ประเทศใหญ่ดังที่เรียน

สำหรับหมวดสินค้าที่ถูกตัด GSP มี 500 กว่ารายการด้วยกันนั้ยแต่มีภาระภาษีเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 4-5 โดยประมาณแต่ตั้ง 500 กว่ารายการมีผลกระทบที่แตกต่างกันเช่นบางรายการเคมีภัณฑ์มีภาระภาษีจาก 0% เป็น 0.01% ซึ่งเกือบจะเรียกได้ว่าไม่กระทบเลยแต่บางรายการก็เสียภาษี 20 กว่าเปอร์เซ็นต์ ตนได้มอบให้ท่านปลัดกระทรวงจัดตั้งวอร์รูมในเรื่องนี้ขึ้นมาใน กรอ.พาณิชย์ เพื่อหารือร่วมกันระหว่างกระทรวงพาณิชย์และภาคเอกชนที่ได้รับผลในเรื่องของภาษีที่ต้องจ่ายในการนำเข้าสินค้าไปยังสหรัฐเฉพาะตัวที่ได้รับผลกระทบสำคัญๆ โดยให้หารือกันและข้อสรุปร่วมกันว่ากระทรวงพาณิชย์จะเข้าไปมีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือคลี่คลายปัญหานี้อย่างไรชดเชยอย่างไร หรือเจาะตลาดอื่นหรือเข้าไปดูแลช่วยเหลืออย่างไร และจะจับมือร่วมกันทำตัวเลขเก่าให้คงเดิมหรือเพิ่มขึ้นได้อย่างไร ตนจะเชิญประชุมอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่วอร์รูมได้ข้อสรุปมาแล้วนี่คือสิ่งที่ขอเรียนให้ทราบความคืบหน้า

สำหรับการประชุมอาเซียนซัมมิท มีการประชุมกัน โดยถ้าเป็นรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนและ RCEP หรือ มีอาเซียน + สหรัฐ + จีน อินเดีย ตนจะเป็นประธานในที่ประชุมเวทีนี้ต้องดูความเหมาะสม เพราะเป็นเวทีอาเซียน แต่กรณี GSP นี้เป็นประเด็นเฉพาะไทยกับสหรัฐไม่ใช่อาเซียนกับสหรัฐ สำหรับการนำเข้าหมูที่มีสารเร่งเนื้อแดงตามที่ถามอันนั้นเป็นสิ่งที่เขาเรียกร้องมานานแล้วแต่เที่ยวนี้เป็นเรื่องแรงงาน ไม่ใช่เรื่องที่ใช้ในการตัดสิทธิ์ในรอบนี้ อย่างไรก็ตามเราต้องคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลักถ้าปล่อยให้มีการนำเข้าเนื้อแดงที่มีสารเร่งเนื้อแดงจากสหรัฐจะกระทบกับสุขอนามัยของผู้บริโภคเราหรือไม่อย่างไร

นายจุรินทร์ กล่าวด้วยว่า สำหรับการประชุมครั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 30 จนถึงวันที่ 4-5 พย.2562 มีหลายวงทั้งวงรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนทั้งวงรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน + จีน + อินเดีย + ออสเตรเลีย + นิวซีแลนด์ + เกาหลีญี่ปุ่น เป็นต้น ซึ่งการประชุมวันศุกร์นี้กับ USTR (ผู้แทนการค้า) จะตรงประเด็นที่สุดและเร็วที่สุดแล้ว

Verified by ExactMetrics