วันที่ 21 พฤษภาคม 2024

“พิชัย”เล่นแรง! เสนอ”บิ๊กตู่”ปลด”สมคิด” รับผิดชอบล้มเหลวทางศก.

People Unity News : “พิชัย”แนะ”บิ๊กตู่”ปลด”สมคิด”รับผิดชอบความล้มเหลวทางเศรษฐกิจ ชี้หมดเครดิตและเริ่มพูดสะเปะสะปะ ติงหากไม่ปลดเท่ากับยอมรับความล้มเหลวไว้เอง

วันที่ 23 พฤศจิกายน 2562 นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว. พลังงาน กล่าวว่า สภาวะเศรษฐกิจของไทยยังคงย่ำแย่ลงไปอีก การส่งออกในเดือนตุลาคมติดลบถึง 4.5 % แต่ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ กลับบอกว่าเศรษฐกิจไทยไม่ได้ชะลอตัว อีกทั้งยังบอกว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 3 ที่ขยายตัวได้อย่างต่ำเตี้ยเพียง 2.4% แต่นายสมคิดกลับบอกว่าเศรษฐกิจโตได้ดีเป็นที่น่าพอใจ ซึ่งสวนกับความรู้สึกของคนทั้งประเทศที่กำลังย่ำแย่จากพิษเศรษฐกิจ

ดังนั้นจึงอยากให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รมว. กลาโหม และ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจได้ปลดนายสมคิดออกจากรองนายกรัฐมนตรี เพราะดูเหมือนว่าจะหมดความสามารถที่จะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของไทยแล้ว ถึงต้องออกมาพูดสะเปะสะปะเหมือนหลอกตัวเอง และ หลอกประชาชนไปวันๆเพื่อประคองตัว ใครมาถาม หรือ มาต่อว่าเรื่องเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ นายสมคิดก็จะออกตัวว่าไม่ใช่หัวหน้าทีมเศรษฐกิจแล้ว และโยนให้ไปถามพลเอกประยุทธ์ที่เป็นหัวหน้าทีม ซึ่งเท่ากับ โยนความล้มเหลวในปัจจุบันที่สืบเนื่องมากจากความล้มเหลวในการบริหารเศรษฐกิจตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ให้กับพลเอกประยุทธ์รับไปเต็มๆ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าปัจจุบันนายสมคิดทำหน้าที่อะไร ถ้าเที่ยวโยนความรับผิดชอบแบบนี้ จึงไม่ควรจะทำงานต่อแล้ว และการปลดนายสมคิดยังจะเป็นการแสดงให้เห็นว่าใครควรจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบต่อการบริหารเศรษฐกิจที่ผิดพลาดและล้มเหลวตลอดเวลาที่ผ่านมา

อีกทั้ง สื่อหลักต่างประเทศที่ได้มาพบตน ต่างพากันหัวเราะที่นายสมคิดออกมาพูดว่าไม่อยากให้คนวิจารณ์ว่าเศรษฐกิจไม่ดี เพราะจะขาดความเชื่อมั่น ซึ่งดูเหมือนความคิดยังยึดติดอยู่กับความเป็นเผด็จการที่ไม่อยากให้คนวิพากษ์วิจารณ์ ทั้งที่ประชาชนเดือดร้อนกันอย่างมากจาก รายได้ที่ลดลงไม่พอเลี้ยงครอบครัว ไม่มีเงินจ่ายค่าเทอมลูก การค้าขายฝืดเคือง กว่าพันโรงงานปิดตัวลง คนตกงานจำนวนมาก หนี้สินท่วมตัว หุ้นตกหนัก คนฆ่าตัวตายเป็นจำนวนมากจากพิษเศรษฐกิจ และยังไม่มีทิศทางที่จะดีขึ้น แต่นายสมคิดกลับห้ามคนไม่ให้พูดว่าเศรษฐกิจไม่ดี ซึ่งไม่มีผู้บริหารของประเทศประชาธิปไตยที่ไหนที่จะกล้าบอกแบบนี้ อีกทั้งประชาชนทนลำบากมากว่า 5 ปีแล้ว ไม่ใช่พึ่งจะลำบากกันปีนี้ ซึ่งนายสมคิดไม่เคยยอมรับการบริหารงานของตัวเองที่ล้มเหลวมาตลอดนี้เลย ดังนั้น การที่ไม่อยากให้คนพูดถึงเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ก็เพราะไม่ต้องการให้คนพูดประจานความล้มเหลวในการบริหารของนายสมคิดนั่นเอง

ทั้งนี้ยังไม่นับก่อนหน้านี้ที่นายสมคิดเคยประกาศเป็นสัญญาประชาคมว่าคนจนจะหมดไปในปี 2561 แต่กลับมีคนจนเพิ่มขึ้นถึง 14.5 ล้าน ตามจำนวนคนที่รับบัตรคนจน และทุกปีนายสมคิดจะให้ความหวังลมๆแล้งๆว่าปีหน้าเศรษฐกิจจะฟื้น แต่ก็ไม่เคยฟื้นเลย และบอกว่านักลงทุนต่างประเทศกำลังเข้ามา แต่ยอดการลงทุนจริงกลับลดต่ำลงมาตลอด จนหมดเครดิตและไม่เหลือความน่าเชื่อถืออีกต่อไปแล้ว

ความล้มเหลวของนายสมคิดสามารถพิสูจน์ได้ชัดเจนจากการที่มีการสั่งให้ไปลบคลิปที่นายสมคิดเคยวิจารณ์รัฐบาลยิ่งลักษณ์ไว้เรื่องเสาหลักเศรษฐกิจเสื่อมในปลายปี 2556 ก่อนจะมีการปฏิวัติ ซึ่งหากเปรียบเทียบกับผลงาน 5 ปีที่ผ่านมา การบริหารของนายสมคิดกลับทำทุกเสาหลักเศรษฐกิจของไทยเสื่อมลงหนักกว่ามาก จนตัวเองทนละอายใจไม่ไหว จึงต้องสั่งลบคลิปที่ตัวเองพูดไว้เองออกไปใช่หรือไม่

“นายสมคิดพูดไว้เองว่าการฟื้นเศรษฐกิจต้องอาศัยความเชื่อมั่น ดังนั้น ต้องถามว่าจากเหตุการณ์และเหตุผลที่กล่าวมานี้ประชาชนไม่เหลือความเชื่อมั่นให้กับนายสมคิดแล้ว การฟื้นฟูเศรษฐกิจคงเป็นไปไม่ได้เลย ถ้านายสมคิดยังคงร่วมบริหารอยู่ ซึ่งปัจจุบันก็ยังไม่รับผิดชอบในผลงานที่ล้มเหลวของตัวเองเลย ซึ่งหากพลเอกประยุทธ์ยังคงให้นายสมคิดร่วมบริหารอยู่และเกิดความล้มเหลวในการบริหารเพิ่มขึ้นอีก พลเอกประยุทธ์จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว เพราะเท่ากับยอมรับความล้มเหลวตลอด 5 ปีไว้ที่ตัวเอง และ เชื่อได้ว่าผลของความล้มเหลวตลอด 5 ปีจะทำให้เศรษฐกิจไทยยังคงจะย่ำแย่ลงต่อไปอีก” นายพิชัย กล่าว

“ธรรมนัส”ยันวันแมปแนวแก้ปัญหาแผนที่ทับซ้อนอื้อ

People Unity News : “ธรรมนัส”ลุยใต้ ลงพื้นที่ จ.นราธิวาส พบครู-นักเรียน โรงเรียนนราสิกขาลัย ก่อนไปรับฟังปัญหาของประชาชนเรื่องที่ดินทำกิน อำเภอสุไหงปาดี ย้ำเร่งผลักดันใช้แผนที่ วันแมป (One map) แก้ปัญหาที่ดินทับซ้อนจบแน่นอน

เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2562 ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่พบปะผู้บริหารโรงเรียน คณะครู สมาคมผู้ปกครอง และนักเรียน พร้อมเยี่ยมชมผลงานโรงเรียน ที่โรงเรียนนราสิกขาลัย อำเภอเมืองนราธิวาส โดยมี นายธรรมรงค์ คงวัดใหม่ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส และส่วนราชการในสังกัดให้การต้อนรับ ในโอกาสนี้ ร้อยเอกธรรมนัส ในฐานะศิษย์เก่าของโรงเรียนนราสิกขาลัย ยังได้ปาฐกถาพิเศษเรื่อง “บทบาทของโรงเรียนที่มีต่อการพัฒนาพัฒนาประเทศ” ด้วย

จากนั้น ร้อยเอก ธรรมนัส พร้อมคณะที่ปรึกษาและ คณะทำงาน ได้เดินทางตรวจราชการและพบปะประชาชน ณ ที่ว่าการอำเภอสุไหงปาดี เพื่อรับฟังปัญหาด้านที่ดินทำกิน ซึ่งพบว่าอยู่ในพื้นที่ทับซ้อนเขตป่า ที่ไม่มีแนวเขตที่ดินชัดเจน ประมาณ 27,600 ไร่ ก่อนจะไปพบปะเกษตรกรกลุ่มปลูกข้าวหอมกระดังงา และเยี่ยมชมการแปรรูปข้าว ที่บ้านตอหลัง อำเภอตากใบด้วย

โดยร้อยเอกธรรมนัส ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนถึงความคืบหน้าการแก้ปัญหาที่ดินทำกินของเกษตรกรและประชาชน ว่า ปัญหาที่ดินทับซ้อนระหว่างกรมอุทยาน กรมป่าไม้ ของกระทรวงทรัพยากรฯ ทับซ้อนระหว่างนิคมอุตสาหรรม รวมถึงส.ป.ก นั้น ณ เวลานี้ มีแนวทางแก้ปัญหาให้เบ็ดเสร็จอย่างยั่งยืน โดยไม่ให้ชาวบ้านเดือดร้อนคือการทำแผนที่วันแมป ซึ่งปัจจุบันนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตลอดจนทหาร ต่างมีแผนที่ของตัวเอง จึงไม่รู้จะเอาแผนที่ไหนเป็นหลักในการแก้ปัญหา ทำให้สามารถแก้ปัญหาให้ชาวบ้านได้

ทั้งนี้ เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ตนได้เสนอนายกรัฐมนตรี พิจารณา การใช้แผนที่วันแมป เพื่อแก้ปัญหา ซึ่งนายกรัฐมนตรีเห็นด้วย ในการนำวันแมปเข้าสู่ครม.เพื่อพิจารณาเห็นชอบ และประกาศใช้แผนที่วันแมปฉบับเดียว เท่านั้น แล้วปัญหาต่างๆจะจบสิ้นไป ดังนั้น ในส่วนปัญหาของที่อำเภอสุไหงปาดี รวมถึงจว.แม่ฮ่องสอน ที่มีปัญหาที่ดินทำกินทับซ้อนดังกล่าว ตนจะตั้งคณะกรรมการขึ้นมาแก้ปัญหา และขับเคลื่อนอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ ยืนยันว่า รัฐบาลชุดนี้ โดยนายกรัฐมนตรี ได้มีนโยบายชัดเจนในเรื่องการแก้ปัญหาที่ดินทำกินให้ได้อย่างชัดเจน ดังนั้นต้องดำเนินการอย่างเต็มที่ในเรื่องวันแมป โดยเฉพาะในส่วนของส.ป.ก.ที่ตัวเองรับผิดชอบ ต้องแก้ไขให้เป็นรูปธรรมโดยเร็วที่สุด

มีรายงานว่า วันพรุ่งนี้ (23 พ.ย. 62) ร้อยเอกธรรมนัส ยังปฎิบัติภารกิจต่อในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส จะร่วมพิธีทำบุญทอดผ้าป่าและพบปะผู้นำและเกษตรกร ณวัดทรายขาว อำเภอตากใบ ก่อนจะเดินทางกลับกรุงเทพฯ ในช่วงบ่ายของวันเดียวกัน

“สุวัจน์”มอบทุนมูลนิธิทวีคุณพัฒนาร่วม 4 แสน ให้เยาวชนโคราช

People Unity News : “สุวัจน์”มอบทุนมูลนิธิทวีคุณพัฒนาร่วม 4 แสน ให้เยาวชนโคราชที่ต้องการเรียนแต่ยากจน

เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2562 ที่ห้องประชุมสุวัจน์ ลิปตพัลลภ 2 อาคารยุพราชเบญจมงคล มหาวิทยาลัยราชภัฎนครราชสีมา จัดให้มีพิธีมอบทุนการศึกษา ครั้งที่ 21 มูลนิธิทวีคุณพัฒนา (องค์กรสาธารณประโยชน์) โดยมีนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และประธานมูลนิธิทวีคุณพัฒนา เดินทางมามอบทุนการศึกษาของมูลนิธิทวีคุณพัฒนา ให้กับเยาวชนในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา ที่มีความประสงค์จะศึกษาเล่าเรียน แต่ขาดแคลนทุนทรัพย์

มูลนิธิทวีคุณพัฒนา เกิดจากความคิดริเริ่มของ พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม (ในสมัยนั้น) ที่เล็งเห็นความสำคัญของการศึกษาของเยาวชนมีความประสงค์จะศึกษาเล่าเรียน แต่ยังขาดแคลนทุนทรัพย์ โดยได้ขออนุญาตจัดสร้างเหรียญ หลวงพ่อคูณ ปริสุมโธ รุ่นทวีคุณ ให้พุทธศาสนิกชนได้เช่าบูชาเพื่อเป็นการระดมทุนครั้งแรก เมื่อ พ.ศ.2538 รวมเป็นเงินทุน 16,233,717.32 บาท จากนั้นได้จัดสรรเงินทุนออกเป็น 2 ส่วน มอบให้กับมูลนิธิทวีคูณพัฒนา จำนวน 8,116,858.66 บาท และมอบให้แก่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี จำนวน 8,116,858.66 บาท นอกจากนี้ ยังมีวัตถุมงคล คงเหลือเป็นมูลค่า 12,586,534 บาท จึงจัดสรรให้กับทางมูลนิธิทวีคูณพัฒนา และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี เป็นมูลค่าองค์กรละ 6,293,262 บาท

มูลนิธิทวีคูณพัฒนา ได้จัดสรรเป็นทุนการศึกษาให้กับนักเรียน-นักศึกษาตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธิฯ อย่างเคร่งครัด โดยจัดพิธีมอบทุนการศึกษาครั้งแรก เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2539 และปีนี้เป็นพิธีมอบทุนการศึกษาฯ ครั้งที่ 21 จำนวน 147 ทุน ซึ่งเป็นเงินจากมูลนิธิทวีคุณพัฒนา จำนวน 300 ,000 บาท และจากนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ที่บริจาคสมทบอีก 100,000 บาท รวมเป็นเงิน 400,000 บาท

ทั้งนี้นายสุวัจน์ได้กล่าวให้โอวาทพร้อมกับกล่าวถึงการมอบทุนการศึกษาช่วยเหลือเยาวชนของมูลนิธิทวีคูณพัฒนาว่า การศึกษามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะในยุคที่มีการเติบโตของนวัตกรรมและเทคโนโลยีอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน การศึกษาจะมีส่วนช่วยเติมเต็มพื้นฐานความรู้ให้กับเยาวชนของชาติได้นำเทคโนโลยีต่างๆ มาใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและประเทศชาติ ซึ่งเด็กและเยาวชนในภาคอีสานอีกจำนวนไม้น้อยที่ยังขาดแคลนทุนทรัพย์และโอกาสทางการศึกษา มูลนิธิทวีคุณพัฒนา จึงดำเนินโครงการเพื่อสาธารณะประโยชน์มาอย่างต่อเนื่อง โดยมอบทุนการศึกษาให้กับเยาวชนไปแล้วทั้งสิ้น 4,409 ทุน รวมเป็นเงิน 8,081,500 บาท เพื่อเป็นการช่วยเหลือและเพิ่มโอกาสทางการศึกษาให้กับเยาวชนในพื้นที่

ไม่ฟังผู้ใหญ่สอน! องครักษ์พิทักษ์”ชวน”ฮึ่มใส่”ปารีณา”

People Unity News : “พิมพ์รพี” ป้อง “ชวน” สวน “ปารีณา” อย่าเยอะ ชี้ทำตัวไม่น่ารัก ไม่ฟังผู้ใหญ่สอน แถมลามปาม ระบุอาการหนักแนะกลับสู่ความพอดี

เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2562 นางสาวพิมพ์รพี พันธุ์วิชาติกุล คณะทำงานประธานสภาผู้แทนราษฎร โพสต์เฟซบุ๊ก น้ำผึ้ง พิมพ์รพี โต้นางสาวปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ หลังออกมาแถลงข่าวโจมตีการทำหน้าที่ของนายชวน หลีกภัย ประธานสภาฯ ว่าเยอะเกินไป กรณีตัดบทไม่ให้นำปัญหาส่วนตัวในกรรมาธิการฯมาอภิปรายระหว่างการหารือในที่ประชุมสภา โดยจั่วหัวเรื่องว่า “ปารีณา” อย่าเยอะ!!!” มีเนื้อหาดังนี้ เห็นข่าวคุณปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ ออกมาฟาดงวงฟาดงา ทำตัวไม่น่ารักใส่ท่านชวน เมื่อผู้ใหญ่ด้วยความเมตตาอย่างสุภาพให้รู้จักกฏกติกา ระเบียบและมารยาท ระหว่างการประชุมสภาที่คุณปารีณายกปัญหาส่วนตัวในกรรมาธิการป.ป.ช.มาหารือในช่วงที่ควรจะหารือเกี่ยวกับปัญหาทุกข์สุขของประชาชนแล้ว บอกได้คำเดียวว่า “อาการหนัก” รู้สึกสงสารเธอที่จนป่านนี้ยังไม่รู้ตัวว่าทำไม่ถูก ผู้ใหญ่สั่งสอนก็ยังไม่หลาบจำ แถมลามปามต่อว่าอีก

“คนที่ควรทบทวนตัวเองไม่ใช่ท่านชวน เพราะท่านทำหน้าที่ได้สมเกียรติการเป็นประธานแล้ว แต่คุณปารีณา ต่างหากที่เยอะจนไม่รู้แล้วว่าความพอเหมาะ พอดีอยู่ตรงไหน” โตโตกันแลัว ประสบการณ์ก็มาก เป็นส.ส มาหลายสมัย ควรเป็นตัวอย่างที่ดี เอาที่พอดีพอดี อย่าเยอะ จะสวยและดีงามนะคะ  #คิดแบบ​พิมพ์​รพี #อดีตเจ้านายพ่อนะคะไม่ใช่เพื่อน #คนสวยอย่างเยอะ # #กฏกติกาและมารยาทางการเมือง

องครักษ์นายหัวแนะหน้าตาดี-การศึกษาสูง ควรเป็นผู้แทนให้คนราชบุรีภูมิใจ

นายสมบูรณ์ อุทัยเวียนกุล เลขานุการประธานสภาผู้แทนราษฎร แถลงกรณีน.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พูดพาดพิงถึงนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ว่า เป็นการพูดที่ทำให้สังคมเข้าใจผิดว่าประธานสภาฯเลือกปฏิบัติในการทำหน้าที่ โดยเฉพาะการเปิดโอกาสให้นำเรื่องหารือเข้าสู่ที่ประชุม ซึ่งเรื่องที่ประธานสภาฯ จะไม่อนุญาตให้มีการหารือ คือเรื่องที่เกี่ยวข้องกับประเด็นทางการเมือง ตนเป็นส.ส.มา 4 สมัย ทราบว่าวาระหารือจะต้องไม่ใส่ร้ายใคร แต่ในการประชุมสภาฯ เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายนที่ผ่านมา น.ส.ปารีณา ได้หารือเรื่องปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนเกี่ยวกับการก่อสร้างโรงงานผลิตอาหารสัตว์ ในพื้นที่ อ.โพธาราม จ.ราชบุรี แต่จากนั้น น.ส.ปารีณา ได้หารือเรื่องการถูกประธานกมธ.ป.ป.ช. ดูหมิ่นจึงขอให้ประธานสภาฯ ตั้งคณะกรรมการสอบจริยธรรม ซึ่งประธานสภาฯ เห็นว่าไม่ใช่เรื่องความเดือดร้อนของประชาชน ก็มีความเมตตาโดยบอกว่าจะดำเนินการให้ต่อไป แต่ก็ตามที่ทุกคนเห็นว่า น.ส.ปารีณา บอกว่าตัวเองถูกปิดไมโครโฟน ความเมตตาของผู้ใหญ่ต่อผู้น้อยถูกบิดเบือนข้อมูล กล่าวหาว่าประธานสภาฯ 2 มาตรฐาน ซึ่งหลังจากน.ส.ปารีณา แถลงข่าวเสร็จได้มาพบกับประธานสภาฯ โดยขอความเป็นธรรมกรณีถูกดูหมิ่น ซึ่งประธานสภาฯก็เมตตาบอกให้ทำเรื่องมา

นายสมบูรณ์ กล่าวอีกว่า น.ส.ปารีณา เป็นส.ส.มา 4 สมัย คงมีวุฒิภาวะ และวันนี้ในส่วนของสภาเอง นายชวน ได้กำชับเสมอว่าเมื่อสภาเป็นสถานที่ออกกฎหมายจะต้องไม่ทำตัวผิดกฎหมายเอง และแน่นอนว่าเด็กคนใดที่ก้าวร้าวต่อผู้ใหญ่ ใส่ร้ายว่าสองมาตรฐาน ก็มองว่าเป็นผู้น้อยที่ไม่เคารพผู้ใหญ่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรเอาเป็นแบบอย่างให้เยาวชนได้เห็น

“น.ส.ปารีณา ส.ส. 4 สมัย ควรเป็นตัวอย่างที่ดีให้สังคมเห็นว่า เราหน้าตาดี มีการศึกษาสูง การทำหน้าที่ในฐานะผู้แทน ก็ขอให้เป็นความภาคภูมิใจของประชาชนที่เขาเลือกมา ให้เป็นผู้แทนของคนราชบุรี” นายสมบูรณ์ กล่าว

จากนั้น นพ.สุกิจ อัตโถปกรณ์ ที่ปรึกษาประธานสภาฯ ในฐานะอดีตส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ตนไม่ถือสากับเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะตนเป็นหมอเคยเรียนจิตเวช รู้จิตใจของคนดีว่าเป็นอย่างไร แต่เมื่อพาดพิงเรื่องการเลือกตั้งในพื้นที่ จ.ตรัง ตนจึงต้องออกมาพูด ซึ่งยืนยันว่าตนและนายชวน ไม่ใช่พวกที่เอาเรื่องส่วนตัวมาเกี่ยวข้องกับหน้าที่การงาน ทั้งนี้ การเลือกตั้งของ จ.ตรัง น.ส.ปารีณา ไปถามคนตรังดีกว่าว่าพรรคการเมืองไหนใช้วิธีสกปรกอย่างไร คนตรังรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้น ตนภาคภูมิใจในความเป็นส.ส.ของตนตั้งแต่ปี 2529 เป็นส.ส. 3 สมัย ส.ว. 3 สมัย ตนภาคภูมิใจที่ทำแต่สิ่งดีๆสิ่งที่ถูกต้องดีงาม

“ชั่วชีวิตผมไม่เคยนำสิ่งชั่วร้ายไปให้กับเมืองตรัง การเลือกตั้งที่ผ่านมาผมเสียใจ ที่ไม่สามารถทำให้ จ.ตรัง รอดพ้นจากความสกปรกโสโครกที่นำเข้าไปสู่เมืองตรังได้ และผมยืนยันว่าแม้จะทำงานตรงนี้ แต่ก็จะทำสิ่งดีๆเพื่อที่อย่างน้อยเมืองตรัง จะได้รอดพ้นจากความสกปรกโสโครกชั่วร้ายที่เข้าไปครอบงำอยู่ได้” นพ.สุกิจ กล่าว

“ช่อ”ยื่นข้อมูลถึง”ศูนย์ต้านเฟคนิวส์”แล้ว พิสูจน์ฝีมือ”พุทธิพงษ์”

People Unity News : “อนาคตใหม่” ยื่นข้อมูล “เฟคนิวส์” ถึง “ศูนย์ต้านฯ” พิสูจน์ฝีมือ “พุทธิพงษ์” ไม่สองมาตรฐานหรือไล่จัดการเฉพาะคนเห็นต่างรัฐบาล

เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2562 ที่รัฐสภา (เกียกกาย) น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ และส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ กล่าวว่า จากกรณีพรรคอนาคตใหม่เคยแถลงข่าวเครือข่ายเฟคนิวส์ สร้างข่าวปลอม สร้างความเกลียดชัง ส่งผลกระทบต่อการอยู่ร่วมกันของประชาชน วันนี้ได้นำส่งข้อมูลเรื่องเฟคนิวส์ ที่โจมตีพรรคอนาคตใหม่และพรรคการเมืองฝ่ายค้าน ในบรรดาข่าวปลอมนี้ ศูนย์ต่อต้านเฟคนิวส์บอกว่าจะเน้นข่าวกระทบต่อความมั่นคง และประชาชนโดยรวม ซึ่งในหลักฐานนี้มีอยู่หลายเรื่องมาก เช่น ข่าว กมธ.กฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน พบผู้ช่วยรัฐมนตรี สหรัฐอเมริกา ที่รัฐสภา แต่กลับบอกว่า อ.ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ในฐานะประธาน กมธ. เป่าหูต่างชาติโจมตีไทยนั้น

เรื่องนี้ไม่ได้สร้างความเสียหายแต่ กมธ.เท่านั้น แต่กระทบความสัมพันธ์ต่างประเทศด้วย ยังมีข่าวปลอมกล่าวหาพรรคอนาคตใหม่ เกี่ยวข้องกับขบวนการแบ่งแยกดินแดนและการก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ การกล่าวหาว่าพรรคการเมืองที่มี ส.ส. 80 คน มีผู้เลือกมากกว่า 6.3 ล้าน แบบนี้ แน่นอนว่าเป็นเรื่องกระทบต่อความมั่นคง และกระทบความสงบสุขในประเทศ

น.ส.พรรณิการ์ กล่าวว่า เราติดตามการทำงานศูนย์ต่อต้านเฟคนิวส์มาโดยตลอด พบว่า ผลงานที่ผ่านมาเป็นการกำจัด และทำลายข่าวปลอมที่เป็นโทษกับรัฐบาลเท่านั้น ส่วนข่าวปลอมที่เป็นโทษกับพรรคฝ่ายค้าน ไม่เคยมีการจัดการ วันนี้ จึงมอบหลักฐานทั้งหมดให้ คุณพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมต. กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งดูแลศูนย์นี้ โดยเราอยากจะพิสูจน์ ดูว่าจะมีการจัดการเฉพาะข่าวที่เป็นโทษกับรัฐบาล หรือมีความตั้งใจจริงที่จัดการเฟคนิวส์ จะเป็นการพิสูจน์ว่าศูนย์ต่อต้านเฟคนิวส์ 2 มาตรฐานหรือไม่ หรือตั้งขึ้นมาเพื่อไล่จัดการเฉพาะคนที่เห็นต่างกับรัฐบาลเท่านั้น

ตรวจแล้วมีพิรุธ! “พรรณิการ์” ชี้ “มาดามเดียร์” เคยถือหุ้นเนชั่นจริง

People Unity News : ตรวจแล้วมีพิรุธ! “พรรณิการ์” ชี้ “มาดามเดียร์” เคยถือหุ้นเนชั่นจริง – พบยื่นแบบ บมจ.6 เปลี่ยนรายชื่อผู้ถือหุ้นหลังสมัครรับเลือกตั้ง 10 เดือน – ส่งทนายร้อง กกต. ใช้มาตรฐานเดียวกันจัดการ

เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2562 ที่รัฐสภา (เกียกกาย) น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ และ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ กล่าวถึง กรณี น.ส.วทันยา วงษ์โอภาสี หรือ “มาดามเดียร์” ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ แจ้งความเอาผิดฐานใส่ร้าย บิดเบือนกับตนเอง กรณีที่เคยแถลงข่าวระบุเคยถือหุ้นสื่อเครือเนชั่น และมีสามีเป็นผู้บริหารรับดับสูงมาก ซึ่งตอนนี้ศาลรับไต่สวนมูลฟ้องแล้วนั้น โดยระบุว่า ทางทีมงานได้ตรวจสอบข้อเท็จจริง และได้พบว่าน.ส.วทันยาเคยถือหุ้นบริษัทในเครือเนชั่นจริง

ดังนั้น ที่บอกว่าตนเองใส่ร้าย จนให้ทนายไปฟ้องและศาลรับไต่สวนมูลฟ้องแล้วนั้น ถามกลับเมื่อข้อเท็จจริงว่าเคยถือหุ้นเครือเนชั่น และคู่สมรสเป็นผู้บริหารระดับสูงมากดังกล่าว การที่กล่าวหาว่าตนทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง จะเอามูลฟ้องจากไหน และนอกจากนี้ เราได้พบข้อมูลน่าสนใจด้วย เกี่ยวกับการโอนหุ้นสื่อของคุณวทันยา

น.ส.พรรณิการ์ กล่าวว่า การโอนหุ้นเมื่อเสร็จแล้วต้อง แจ้งสำเนาเปลี่ยนแปลงรายชื่อผู้ถือหุ้นต่อกระทรวงพาณิชย์ ในบริษัททั่วไปอย่างวีลัค เรียก บอจ.5 ส่วนบริษัทมหาชนอย่างเครือเนชั่น เรียก บมจ.6 กรณีศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยล่าสุดว่า การแจ้ง บอจ.5 ต่อกระทรวงพาณิชย์ กรณีหุ้นสื่อบริษัทวีลัค ล่าช้า ถือว่ามีข้อพิรุธว่าจะไม่มีการโอนหุ้นก่อนมีการรับสมัครรับเลือกตั้งนั้น เกิดขึ้นในเดือนมีนาคม 2562 หรือหลังการรับสมัครเลือกตั้ง 1 เดือน แต่กรณีการแจ้ง บมจ. 6 คือ สำเนาเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นเครือเนชั่นนั้น แจ้งในเดือนกันยายน 2562 คือ 6 เดือน หลังการรับสมัครเลือกตั้ง ซึ่งถ้ากรณีคุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ มีคำถามน่าสนสัยว่าทำไมล่าช้า กรณีคุณวทันยายิ่งน่าสงสัยว่า เหตุใดเครือเนชั่นแจ้งล่าช้าถึง 6 เดือน

“ด้วยเหตุนี้ ได้ให้ทนายความไปยื่นข้อร้องเรียนต่อ กกต. เรียบร้อย ให้ใช้บรรทัดฐานเดียวกันกับคดีคุณธนาธร ในการตรวจสอบเรื่องนี้เพื่อเอาผิดต่อคุณวทันยา เพราะมีหลักฐานเป็นผู้ขาดคุณสมบัติการลงสมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจากถือครองหุ้นสื่อ โดยยึดตาม บมจ.6 และยังขอให้ศาลรัฐธรรมนูญระงับการปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. รวมถึง ขอให้ กกต.ดำเนินการทางอาญาตามมาตรา 151 ต่อคุณวทันยาด้วย ซึ่งโทษสูงสุดคือจำคุก 10 ปี หรือตัดสิทธิ์ทางการเมือง 20 ปี เพื่อให้เป็นบรรทัดฐานเดียวกัน และเป็นที่ประจักษ์ต่อสาธาณะว่า คดีถือหุ้นสื่อ ได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน ระหว่างนักการเมืองฝ่ายค้านและรัฐบาล รวมถึงเจตนารมย์รัฐธรรมนูญได้รับการตอบสนอง โดยไม่เลือกปฏิบัติว่าเป็นนักการเมืองฝ่ายผู้มีอำนาจหรือท้าทายผู้มีอำนาจ” น.ส.วทันยา กล่าว

“เทวัญ”ขอบคุณ 21 ผู้ประกอบการจำหน่ายกระเช้าของขวัญเป็นธรรม

People Unity News : “เทวัญ”มอบหนังสือขอบคุณ 21 ผู้ประกอบการ ลงนามความร่วมมือจำหน่ายกระเช้าของขวัญอย่างเป็นธรรม ตามมาตรการคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิ์ผู้บริโภค

เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2562 เวลา 13.30 น. นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นสักขีพยานการลงนามปฏิญญาความร่วมมือการจำหน่ายกระเช้าของขวัญในช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2563 ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) หน่วยงานภาครัฐ และบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์กระเช้าของขวัญ จำนวน 21 ราย โดยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้มอบหนังสือแสดงความขอบคุณแก่ผู้ประกอบธุรกิจที่ให้ความร่วมมือ

ความร่วมมือครั้งนี้ ถือเป็นแนวทางการบูรณาการระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชน โดย สคบ. ซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐที่มีความใกล้ชิดผู้บริโภค จะเป็นผู้สนับสนุนองค์ความรู้ด้านกฎหมายให้แก่บริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์กระเช้าของขวัญ ให้นำสินค้าที่มีคุณภาพดี มีมาตรฐาน และมีการจัดทำฉลากสินค้าที่ถูกต้องตามกฎหมายมาบรรจุเพื่อจำหน่ายต่อผู้บริโภค ในส่วนของผู้ประกอบการกระเช้าของขวัญจะต้องรับรองคุณภาพสินค้า และผู้บริโภคสามารถนำมาเปลี่ยนหรือคืนได้ กรณีที่ไม่ได้รับสินค้าตามที่ฉลากระบุไว้

รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการคุ้มครองผู้บริโภค โดยมุ่งเน้นให้ความคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิ์ผู้บริโภค ในขณะเดียวกันได้ส่งเสริมให้ผู้ประกอบธุรกิจจำหน่ายสินค้าอย่างเป็นธรรม โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลปีใหม่ของทุกปี ที่ผู้บริโภคมักนิยมเลือกซื้อกระเช้าของขวัญปีใหม่เป็นของฝาก จึงขอความร่วมมือผู้ประกอบธุรกิจตรวจสอบคุณภาพสินค้า วันหมดอายุ และฉลากสินค้าต้องตรงตามจำนวนสินค้าที่บรรจุ ก่อนนำออกจำหน่ายให้ผู้บริโภค

สำหรับผู้บริโภคที่ซื้อกระเช้าของขวัญปีใหม่แล้ว อาจได้รับความเดือดร้อน เสียหาย ส

‘อ้น’ตอก’ธนาธร’เลิกฟังข้อมูลผิดจากนักบัญชี-นักกฎหมายปมให้เงินกู้พรรค

People Unity News : ‘อ้น’ตอก’ธนาธร’เลิกฟังข้อมูลผิดจากนักบัญชี-นักกฎหมายปมให้เงินกู้พรรค อ้างมั่วกฎหมายเอกชนกับกฎหมายมหาชนเพราะพรรคการเมืองอยู่ใต้กฎหมายมหาชน จี้’ปิยบุตร’สอนกฎหมายหัวหน้าพรรค หยุดดื้อแพ่ง ยึดหลักกูแทนกฎหมาย ชี้นำสังคมด้วยตรรกะที่อาจนำไปสู่ความไม่สงบของประเทศ

เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2562 น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ หรือ’อ้น’ อดีตผู้สมัครส.ส.กทม. รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ อ้างความเห็นนักบัญชีและนักกฎหมายว่าการให้เงินกู้กับพรรคอนาคตใหม่ไม่ผิดกฎหมายเนื่องจากเงินกู้เป็นหนี้สินอยู่ในงบดุลไม่ใช่รายได้ ไม่อยู่ในงบกำไรขาดทุน นั้น สังคมเกิดคำถามว่า ถึงจะบอกว่าเงินกู้ยืมเป็นหนี้สิน แต่การที่พรรคอนาคตใหม่เอาเงินกู้นั้นไปใช้จ่ายเพื่อประโยชน์ของพรรคและในกิจกรรมต่างๆ ของพรรค ก็ต้องถือว่าพรรคมีรายได้ที่จะใช้จ่ายและได้รับประโยชน์จากเงินดังกล่าวอย่างชัดเจน ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีหลักฐานพิสูจน์ได้ทั้งทางวิทยาศาสตร์และทางกฎหมายได้ทันที อีกทั้งนักบัญชีและนักกฎหมายที่แนะนำใช่คนเดียวกับที่แนะนำเรื่องการจัดการโอนหุ้นบริษัทสื่อและการต่อสู้คดีถือครองหุ้นสื่อหรือไม่ หากใช่คนเดียวกัน นายธนาธรควรพิจารณาอย่างรอบคอบและตรวจสอบความถูกต้องก่อนที่จะออกมาให้ข้อมูลแก่สังคม

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ที่ถูกกล่าวอ้างว่ามีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายมหาชน นั้น ควรให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่หัวหน้าพรรคว่า พรรคการเมืองเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายมหาชนไม่สามารถเอาหลักการของกฎหมายเอกชนมาใช้ได้ หลักการบัญชีและหลักกฎหมายที่นายธนาธรกล่าวอ้างเป็นหลักการที่ใช้กับนิติบุคคลตามกฎหมายเอกชน เช่น บริษัท ห้างหุ้นส่วน ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อมุ่งแสวงหากำไร แต่พรรคการเมืองเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายมหาชน การกระทำใดๆ ของพรรคการเมืองต้องยึดถือปฏิบัติตามข้อบัญญัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ไม่สามารถทำตัวศรีธนญชัยตีความใช้ช่องว่างทางกฎหมายหรือเอาหลักกฎหมายที่แตกต่างกันมาอ้างเพื่อเป็นประโยชน์แก่ตัวเอง

ทั้งนี้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 62 กำหนดไว้ชัดเจนถึงแหล่งรายได้ของพรรคการเมืองว่ามี 7 อย่าง เงินกู้ยืมไม่อยู่ใน 7 อย่าง เป็นแหล่งเงินที่อยู่นอกเหนือจากที่กฎหมายอนุญาต ดังนั้นเงินกู้ยืมที่พรรคอนาคตใหม่รับมาจึงเป็นเป็นเงินที่มีแหล่งที่มาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเมื่อพรรคทำผิดกฎหมายว่าด้วยพรรคการเมือง จึงมีโทษถูกยุบพรรคและตัดสิทธิทางการเมืองของกรรมการบริหารพรรคตามมาตรา 92 (3)

รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวอีกว่า หรือหากมีการมองว่าเงินกู้ยืมนั้นเป็น “เงิน ทรัพย์สิน และประโยชน์อื่นใดที่ได้จากการรับบริจาค” ตามมาตรา 62(5) แล้ว การที่เงินกู้ยืมจำนวนถึง 191 ล้านบาทจึงเกินกว่าจำนวน 10 ล้านบาทที่กฎหมายอนุญาตตามมาตรา 66 และเมื่อบุคคลนั้นฝ่าฝืนก็จะได้รับโทษตามมาตรา 124 กล่าวคือนายธนาธรอาจถูกลงโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปีหรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำและปรับ และถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 5 ปี สำหรับพรรคอนาคตใหม่ก็เข้าข่ายรับโทษตามมาตรา 125 คือ ถูกปรับไม่เกิน 1,000,000 บาท หัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 5 ปี เงินที่เกิน 10,000,000 บาทถูกริบเข้ารัฐเข้ากองทุนพรรคการเมือง

“เมื่อนายปิยบุตรได้อธิบายกฎหมายมหาชนให้นายธนาธรเข้าใจแล้ว นายธนาธรควรพิจารณาเรื่องนี้ให้รอบคอบ หากทำผิดจริงก็ควรรับผิด อย่าดื้อแพ่ง อย่าสร้างวาทกรรมต่างๆ โดยเอาหลักกูที่ไม่เป็นหลักกฎหมายมาปรับใช้ หยุดเบี่ยงเบนประเด็นกฎหมาย หยุดชี้นำสังคมด้วยข้อมูลตรรกะความคิดผิดๆ และจากผลคดีหุ้นวีลัคนั้น นายธนาธรควรพิจารณาทั้งเจตนาและคุณสมบัติของนักกฎหมายที่ช่วยให้ความเห็น ว่ามีเจตนาที่ดีกับนายธนาธรและมีความรู้กฎหมายเพียงพอหรือไม่” รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าว

“ปารีณา”ยกมือไหว้ขอความเห็นใจสื่ออย่าซักฟาร์มไก่รุกที่ สปก.

People Unity News : สมาชิก พปชร. ร้อง “สิระ – ปารีณา” สอบ “เสรีพิศุทธ์” 6 ข้อหา “สิระ”คาดเสียงโหวตปลดปธ.กมธ.สัปดาห์หน้าไปทางเดียวกัน ท้า”เสรีพิศุทธ์” ถ้าแมนจริงต้องมาร่วมประชุม วอนเลิกยึดติด “ปารีณา” เลี่ยงตอบสื่อปมฟาร์มไก่รุกที่ สปก. ขอความเห็นใจอย่าซัก ปล่อยจนท.สอบพร้อมยินดีให้ความร่วมมือและอย่าเสนอข่าวปลอม เตรียมขนสื่อล่องเรือหาข้อมูลพื้นที่ล้ำเจ้าพระยา

เมื่อเวลา 13.00 น.วันที่ 22 พฤศจิกายน 2562 ที่รัฐสภา เกียกกาย นายสนธยา สวัสดี สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ เข้ายื่นหนังสือต่อนายสิระ เจนจาคะ และน.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ กรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร ขอให้คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง 6 ข้อหา คือ กรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด โครงการจัดซื้อรถจักรยานยนต์ยี่ห้อไทเกอร์ 19,147 คัน งบประมาณ 1,144 ล้านบาท ในสมัยพลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ประธานคณะกรรมาธิการ ดำรงตำแหน่งรักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ระหว่างปี 2550 ถึง 2551 ขอให้ตรวจสอบบันทึก กรณีใช้คำพูดที่มิบังควรในที่ประชุมตำรวจสัญญาบัตร กองบัญชาการสอบสวนกลาง วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2551 , ขอให้ติดตามผลของคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 34/2551 ที่ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินคดีกับพลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 , ขอให้พลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ชี้แจงเหตุผล กรณีให้สัมภาษณ์ผ่านทางช่องเนชั่นทีวีว่า “ประเทศนี้เป็นของใคร เป็นของสถาบัน” เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2562 ซึ่งรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง , ขอให้ชี้แจงกรณีพลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ มีคำสั่งแต่งตั้งที่ปรึกษาประธานกรรมาธิการ โดยอ้างมติที่ประชุม , และ ขอให้พลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ยุติการปฏิบัติหน้าที่ ไปจนกว่าการสอบข้อเท็จจริงกรณีต่างๆ เหล่านี้จะเสร็จเรียบร้อยโดยสมบูรณ์

นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กรุงเทพมหานคร พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะกรรมาธิการ กล่าวว่า จะรับเรื่องต่างๆ เหล่านี้ไปหารือในคณะกรรมาธิการ ส่วนกรณีมีคำสั่งแต่งตั้งที่ปรึกษาประธานกรรมาธิการ โดยนายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย เผยแพร่เอกสารแต่งตั้งก่อนมีมติที่ประชุม โดยพลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ยอมรับว่ามีการออกหนังสือจริง เหมือนกับประธานเอาเชือกมัดคอตัวเอง ว่าออกหนังสือราชการโดยไม่มีมติจริง โดยจะยื่นต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. สัปดาห์หน้า ว่าใช้เอกสารเท็จ ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

นายสิระ กล่าวว่า ตนเชื่อว่าอาทิตย์หน้าที่จะมีการประชุมกรรมาธิการฯ ขอท้าให้พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์มาร่วมประชุมด้วย โดยตนจะนำหลักฐานที่มีมาแสดงให้ กมธ. รับทราบ ซึ่งคาดว่า เสียงโหวตของ กมธ. จะอยู่ในทิศทางเดียวกัน ซึ่งทุกอย่างจะอยู่บนเหตุ และผล

“ผมข้อท้าถ้าท่านแน่จริง เป็นลูกผู้ชายจริง ท่านต้องมาร่วมประชุมวันพุธหน้า ท่านเสรีพิศุทธ์อย่ายึดติดเลย ลองคิดว่าไม่ใช่ตัวกูของกู ผมเป็นห่วงท่านว่าหากยึดติด หากตายไปไม่ว่าจะอยู่สวรรค์หรือนรก ก็อย่าไปอ้างอีก ว่าตัวเองเป็นประธานกมธ. เป็นอดีตผบ.ตร. ผมสงสารท่านเหลือเกิน อย่ายึดติดเลย”นายสิระกล่าว

ส่วนกรณีนายไพบูลย์ นิติตะวัน เข้ามาเป็นกรรมาธิการในสัดส่วนรัฐบาล จะทำให้ได้เปรียบในการลงมติปลดพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ออกจากตำแหน่งประธานกรรมาธิการสัปดาห์หน้าหรือไม่นั้น นายสิระ ยืนยันว่า การที่พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ได้ดำรงตำแหน่งประธานกรรมาธิการ จากมติของกรรมาธิการทั้ง 15 คน ส่วนการปลดออกจากตำแหน่งประธานกรรมการ ก็ขึ้นอยู่กับสมาชิกกรรมาธิการที่จะพิจารณาเหตุผลที่ตนเองนำเสนอ

“ยืนยันว่า เรื่องต่างๆเหล่านี้ไม่ได้มีใบสั่ง สมาชิกกรรมาธิการทุกคณะทำหน้าที่ผู้แทนราษฎร ไม่ได้ทำหน้าที่ตัวแทนพรรคการเมือง พร้อมเปิดเผยว่า สัปดาห์หน้าจะลงไปตรวจสอบบ้านหลังหนึ่งริมแม่น้ำเจ้าพระยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีพื้นที่ยื่นล้ำลำน้ำ ทำผิดกฎหมายหรือไม่ ขอเชิญสื่อมวลชนร่วมไปทำข่าวด้วย”

ด้านน.ส.ปารีณา ปฏิเสธที่จะตอบคำถามกรณีเจ้าหน้าที่ที่ดินจะลงพื้นที่รางวัดที่ดิน 1,700 ไร่ รุกที่ สปก. ที่จังหวัดราชบุรี โดยได้ยกมือไหว้ขอความเห็นใจ เพราะตนได้ทำความเข้าใจกับสื่อไว้ก่อนแล้ว ว่าจะไม่ให้สัมภาษณ์เรื่องนี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าภายหลังการแถลงข่าวน.ส.ปารีณาได้นำเอกสารคำชี้แจงกรณีการให้สัมภาษณ์เรื่องปัญหาที่ดินสปก.มาแจกสื่อมวลชนโดยระบุว่าตนขออนุญาตไม่ให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นเกี่ยวกับปัญหาที่ดินเนื่องจากที่ดินดังกล่าวอยู่ในกระบวนการการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง และการตรวจสอบดังกล่าวสปก.ไม่จำเป็นต้องแจ้งให้ตนทราบว่ามีเจ้าหน้าที่เข้ามาในที่ดิน และตนยินดีให้ความช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ทุกอย่างในการตรวจสอบ จึงขอแสดงความเห็นใจด้วย และขอแจ้งด้วยว่าขณะนี้่ตนไม่มีเฟสบุ๊กไม่มีเพจมาประมาณ 1 เดือนเศษแล้วเนื่องจาก เฟสปลิว จึงขอให้สื่อมวลชนไม่นำเฟสปลอมมานำเสนอข่าวต่างๆ

“ทักษิณ”บริสุทธิ์อีกแล้ว! ศาลฎีกาฯยกฟ้องคดีตั้งคลังแทรกแซงฟื้นฟูทีพีไอ

People Unity News : องค์คณะอุทธรณ์ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษายืนยกฟ้อง “ทักษิณ” พ้นข้อกล่าวหา ม.157 ตั้งคลังแทรกแซงฟื้นฟูทีพีไอ ฟังไม่ได้ว่าเอื้อประโยชน์พวกพ้อง

เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2562 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์ 9 คน ที่เลือกจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา อ่านคำพิพากษาชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์คดีหมายเลขดำ อธ.อม.4/2561 ที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. โจทก์ยื่นอุทธรณ์คดีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2561 ด้วยคะแนนเสียงข้างมากยกฟ้อง นายทักษิณ ชินวัตร อายุ 70 ปี อดีตนายกรัฐมนตรี คนที่ 23 จำเลย ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริตเป็นเหตุให้ผู้หนึ่งผู้ใดเสียหาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 กรณีกล่าวหาเมื่อปี 2546 นายทักษิณ ขณะดำรงตำแหน่งนายกฯ ได้นำเสนอให้กระทรวงการคลัง สมัยที่ ร.อ.สุชาติ เชาว์วิศิษฐ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เข้าเป็นผู้บริหารแผนฟื้นฟูบริษัทอุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทยจำกัด (มหาชน) หรือ ทีพีไอ และจำเลยร่วมกับ ร.อ.สุชาติ ยินยอมให้กระทรวงการคลังเป็นผู้บริหารแผน และเป็นผู้เสนอชื่อ พล.อ.มงคล อัมพรพิสิฏฐ์ เป็นประธานคณะผู้บริหารแผน และนายทนง พิทยะ เป็นผู้บริหารแผน

คดีนี้ ป.ป.ช. ยื่นฟ้อง นายทักษิณแบบไม่มีตัวจำเลยเมื่อปี 2561 เนื่องจากหลบหนีคดีอื่นอยู่ในต่างประเทศ และศาลพิจารณาคดีโดยไม่มีตัวจำเลย ตามขั้นตอน พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง (วิ อม.) พ.ศ.2560 มาตรา 28, 33, 59 ซึ่งศาลออกหมายจับนายทักษิณแล้ว โดยชอบแล้ว ไม่ได้ตัวมาศาล ชั้นพิจารณาจำเลยไม่มาศาล ถือว่าจำเลยให้การปฏิเสธต่อสู้คดี และเป็นสำนวนคดีแรก ในจำนวน 4 สำนวนที่อัยการสูงสุด และ ป.ป.ช. ยื่นพิจารณาคดีไต่สวนลับหลังจำเลยตาม วิ อม.ใหม่ แล้วศาลฎีกาฯ มีคำพิพากษายกฟ้อง ขณะที่วันนี้มีเพียงผู้แทน ป.ป.ช.โจทก์เดินทางมาศาล ซึ่งศาลอ่านคำพิพากษาให้ฝ่ายโจทก์ฟัง และถือว่าจำเลยรับทราบคำพิพากษา

องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์ พิจารณาประเด็นที่ ป.ป.ช.โจทก์ยื่นอุทธรณ์แล้ว เห็นว่า แม้ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยตรงให้อำนาจกระทรวงการคลังเข้าเป็นผู้บริหารแผนของ บริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) หรือทีพีไอ ลูกหนี้ก็ตาม แต่กระทรวงการคลังมีอำนาจหน้าที่หลักในการดำเนินนโยบายด้านเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์สาธารณะ รวมถึงการพยุงสภาวะเศรษฐกิจของประเทศไม่ให้เกิดความเสียหายมากจนยากแก่การแก้ไข

การเข้าไปเป็นผู้บริหารแผนของ ทีพีไอ ซึ่งประกอบธุรกิจอุตสาหกรรมปิโตรเคมีขนาดใหญ่ของประเทศ ซึ่งเป็นสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน หากทีพีไอไม่สามารถฟื้นฟูได้และตกเป็นผู้ล้มละลาย กิจการเหล่านั้นอาจหยุดชะงักประเทศชาติและประชาชนย่อมได้รับผลกระทบอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ พฤติการณ์ย่อมมีความจำเป็นอย่างยิ่งและเร่งด่วนที่กระทรวงการคลังจะต้องดำเนินการเมื่อได้รับการร้องขอให้ช่วยเหลือ กระทรวงการคลังจึงเข้าไปเป็นผู้บริหารแผนของทีพีไอได้

ส่วนที่ ป.ป.ช.โจทก์ อุทธรณ์ว่า นายทักษิณ จำเลยเป็นผู้ริเริ่มผลักดันสั่งการและเป็นตัวการร่วม รวมถึงไม่ทักท้วงการพิจารณาของ ครม.เพื่อเปลี่ยนจากวาระเพื่อทราบ เป็นวาระเพื่อพิจารณา มีผลให้กระทรวงการคลังเข้าเป็นผู้บริหารแผนของทีพีไอโดยมีเจตนาครอบงำกิจการของทีพีไอ กับเอื้อประโยชน์ให้แก่ตนเองและพวกพ้องนั้น ข้อเท็จจริงได้ความเพียงว่า จำเลยเชิญตัวแทนของเจ้าหนี้และผู้บริหารของทีพีไอเข้าหารือที่บ้านพิษณุโลกเกี่ยวกับการฟื้นฟูกิจการของทีพีไอและการตั้งผู้บริหารแผนคนใหม่เท่านั้น แต่ที่ประชุมเจ้าหนี้ไม่ได้เลือกกระทรวงการคลังเป็นผู้บริหารแผนตามข้อเสนอของจำเลย หลังจากนั้นจำเลยก็ไม่ได้เข้าเกี่ยวข้องกับเหตุในคดีนี้ อีกทั้งต่อมาศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งไม่ตั้งบริษัท บริหารแผนไทย จำกัด เป็นผู้บริหารแผน ตามมติที่ประชุมเจ้าหนี้ โดยเห็นควรขอให้กระทรวงการคลังเป็นผู้บริหารแผนหากกระทรวงการคลังยินยอม ซึ่งในท้ายที่สุดที่ประชุมเจ้าหนี้และทุกฝ่ายยินยอมให้กระทรวงการคลังเป็นผู้บริหารแผน และศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งตั้งกระทรวงการคลังเป็นผู้บริหารแผนตามมติที่ประชุมเจ้าหนี้ดังกล่าวโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว

ส่วนข้ออ้างเกี่ยวกับการครอบงำกิจการของทีพีไอ โดยอ้างคำกล่าว “นายอยากใต้” คำว่า “นาย” หมายถึงจำเลย ผู้ที่พูดข้อความคือ ร.อ.สุชาติ เชาว์วิศิษฐ ไม่ใช่จำเลย จึงเป็นเพียงพยานบอกเล่ามีน้ำหนักน้อย และส่วนที่จำเลยเสนอชื่อคณะผู้บริหารแผนของทีพีไอ เป็นเพียงการเสนอความเห็นเบื้องต้นแก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในเรื่องที่นำมาปรึกษาเท่านั้น และจะได้รับการแต่งตั้งหรือไม่ต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายอีกชั้นหนึ่ง

เมื่อไม่ปรากฏว่า นายทักษิณ จำเลย เข้าไปเกี่ยวข้องกับการบริหารแผนฟื้นฟูกิจการของทีพีไอ หรือการบริหารกิจการ หรือเข้าไปรับโอนถือครองหุ้นของทีพีไอ จึงรับฟังไม่ได้ว่า การเสนอชื่อคณะผู้บริหารแผนของจำเลย เป็นการเอื้อประโยชน์แก่พวกพ้อง

สำหรับข้ออ้างที่ว่าการขายหุ้นเพิ่มทุนของทีพีไอ ให้แก่หน่วยงานในกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง และศาลฎีกามีคำพิพากษาให้กระทรวงการคลังคืนเงินค่าจ้างบริษัท ซินเนอจี โซลูชั่น จำกัด ที่บริหารจัดการกิจการทรัพย์สินของทีพีไอ ให้แก่ทีพีไอ ทำให้ทีพีไอและกระทรวงการคลังได้รับความเสียหายนั้น เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลังจากที่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งตั้งให้กระทรวงการคลังเป็นผู้บริหารแผนของทีพีไอแล้ว หากทีพีไอหรือกระทรวงการคลังได้รับความเสียหายอย่างไร ทีพีไอหรือกระทรวงการคลังก็อาจไปว่ากล่าวแก่บุคคลที่เกี่ยวข้องต่อไป เมื่อไม่ปรากฏในทางไต่สวน ว่าจำเลยได้เข้าไปเกี่ยวข้อง หรือรู้เห็นหรือมีพฤติการณ์ที่บ่งชี้ได้ว่าจำเลยมีเจตนาพิเศษประสงค์ต่อผลเพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่ตนเองหรือผู้อื่น การกระทำของจำเลย จึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ตามฟ้อง ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษายกฟ้องมานั้นชอบแล้ว อุทธรณ์ของ ป.ป.ช.โจทก์ทุกข้อฟังไม่ขึ้นพิพากษายืน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อองค์คณะผู้พิพากษาชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์มีคำพิพากษายกฟ้องแล้ว ผลคดีจึงถือเป็นที่สุด ยุติตามขั้นตอนของกฎหมาย โดยนายทักษิณ อดีตนายกไม่มีความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบในกรณีดังกล่าว โดยขณะนี้คดีดังกล่าวถือเป็นคดีเดียวที่ศาลฎีกาฯ และองค์คณะวินิจฉัยชั้นอุทธรณ์ มีคำพิพากษายืนให้ยกฟ้อง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับ 4 สำนวน ที่อัยการสูงสุด และ ป.ป.ช.ยื่นฟ้องไว้ตั้งแต่ปี 2550-2551 และภายหลังยื่นขอพิจารณาคดีโดยไม่มีตัวจำเลย ตามกฎหมายใหม่ปี 2560 ประกอบด้วย คดีกล่าวหาร่วมทุจริตการปล่อยกู้ของธนาคารกรุงไทยให้กับกลุ่มกฤษดามหานคร ที่ยกฟ้องเมื่อวันที่ 30 ส.ค.62 , คดีกล่าวหาปล่อยกู้ธนาคารเอ็กซิมแบงค์ให้รัฐบาลพม่า 4,000 ล้านบาท เพื่อเอื้อประโยชน์กลุ่มชินคอร์ป ให้จำคุก 3 ปี ไม่รอลงอาญา , คดีกล่าวหาดำเนินโครงการออกสลากพิเศษหวยบนดินโดยมิชอบ ให้จำคุก 2 ปีไม่รอลงอาญา และคดีกล่าวหาแปลงค่าสัมปทานกิจการโทรคมนาคมเป็นภาษีสรรพสามิต เอื้อประโยชน์ธุรกิจเครือชินคอร์ปฯ รัฐเสียหาย 6.6 หมื่นล้านบาท ยังอยู่ในกระบวนไต่สวนพยานโจทก์

Verified by ExactMetrics