วันที่ 5 พฤษภาคม 2024

เริ่มแล้ว! โครงการ“บ้านในฝัน รับปีใหม่” คลังมั่นใจกระตุ้นตลาดอสังหาฯ โค้งสุดท้ายคึกคัก

People Unity News : เริ่มแล้ว โครงการ “บ้านในฝัน รับปีใหม่” 11.11 ก.คลังร่วมกับ ธอส. และ 3 สมาคมอสังหาริมทรัพย์ ทำความฝันของผู้ที่อยากมีบ้านที่พักอาศัยเป็นของตนเองให้เป็นความจริง คลังมั่นใจกระตุ้นตลาดอสังหาฯ โค้งสุดท้ายให้คึกคัก

วันที่ 11 พ.ย.2562 นายชาญกฤช เดชวิทักษ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี (ปฎิบัติงานกระทรวงการคลัง) เปิดเผยว่า หลังจากที่กระทรวงการคลัง ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และ 3 สมาคมอสังหาริมทรัพย์ ประกอบด้วย สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย สมาคมอาคารชุดไทย สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร รวมทั้งผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายย่อยทั่วทั้งประเทศ ผนึกกำลังร่วมกันเปิดโครงการ “บ้านในฝัน รับปีใหม่” ในวันที่ 11 พฤศจิกายน (11.11) เพื่อทำความฝันของผู้ที่อยากมีบ้านเป็นของตนเองให้เป็นความจริง โดยพี่น้องประชาชนผู้สนใจซื้อที่อยู่อาศัย ในระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท เพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้ตนเอง พร้อมตอบรับแนวคิดสร้างความมั่นคงให้ครอบครัว ซึ่งเป็นการส่งเสริมการออมที่มีความสำคัญประการหนึ่ง ต่างให้การตอบรับโครงการดังกล่าวเป็นอย่างดี โดยวงเงินปล่อยกู้ของธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ล่าสุดถูกปล่อยกู้ไปแล้ว จำนวน 10,370 บาท

ทั้งนี้ โครงการ “บ้านในฝัน รับปีใหม่” ภายใต้แคมเปญ ซื้อ ปุ๊บ โอนปั๊บ รับทันที 3 สิทธิพิเศษ
สิทธิ์ที่ 1 กู้ ธอส. ดอกเบี้ยคงที่ 2.5% นาน 3 ปี วงเงิน 5 หมื่นล้านบาท หมดแล้วหมดเลย
สิทธิ์ที่ 2 ฟรีค่าโอนและค่าจดจำนอง
สิทธิ์ที่ 3 รับโปรโมชั่น ลด แลก แจก แถม พร้อมส่วนลดสุดพิเศษอลังการ (จากโครงการที่เข้าร่วม)

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โครงการต่างๆ ที่กระจายอยู่ทั่วทั้งประเทศ ซึ่งถือเป็นโปรโมชั่นพิเศษสุดยิ่งใหญ่อลังการแบบไม่เคยมีมาก่อน เพื่อส่งเสริมให้พี่น้องประชาชนทั่วประเทศมีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง สร้างหลักประกันให้ครอบครัว รวมถึงช่วยระบายสต๊อกคงค้างของผู้ประกอบการที่มีอยู่จำนวน 35,000 ยูนิต โดยกระทรวงการคลังมั่นใจว่าแคมเปญดังกล่าวจะสามารถสร้างความคึกคัก กระตุ้นยอดขาย และเร่งให้เกิดการโอนในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 62 ได้เป็นอย่างดี

ทั้งนี้ในส่วนของผู้ประกอบการ นอกจากสามารถเข้าร่วมโครงการผ่านทางสมาคมที่สังกัดอยู่แล้ว ขณะนี้ ธอส.กำลังจัดทำระบบเพื่อให้ผู้ประกอบการทั่วประเทศลงทะเบียนสมัครเข้าร่วมโครงการได้ทางออนไลน์และ ดาวน์โหลด Artwork ไปใช้ประชาสัมพันธ์การขายได้อีกทางหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องเดินทางไปที่สาขาของ ธอส.เพื่อความสะดวกรวดเร็วและลดค่าใช้จ่าย

“จอมขมังเวทย์”กระหึ่มงานหนังสหรัฐ! “จุรินทร์”นำผู้สร้างร่วม เพิ่มยอดส่งออกดิจิทัลคอนเทนท์

People Unity News : “จุรินทร์”นำกระทรวงพาณิชย์และผู้สร้างลุยอุตสากรรมภาพยนตร์ระดับโลก ขยายงานดิจิทัลคอนเทนท์ เพิ่มยอดส่งออก  

วันนี้เมื่อเวลา 15.00 น. ตรงกับวันที่ 8 พย.2562 ลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และคณะผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ พาผู้ประกอบการไทยในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ จำนวน 8 บริษัท เข้าร่วมงาน American Film Market (AFM) ระหว่างวันที่ 6-13 พ.ย. 62 ณ เมืองซานต้า มอนิกา ลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา

โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้เยี่ยมชมทั้ง 8 บูธผู้ผลิตและจำหน่ายซึ่งเป็นผู้ประกอบการภาพยนตร์ไทย นำผลงานเด่นนำมาเสนอในงาน ได้แก่ จอมขมังเวทย์ ของ บริษัท สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด Bad Genius The series ของ บริษัท จีดีเอช ห้าห้าเก้า จำกัด Khun Phaen Begins ของ บริษัท เอ็ม พิคเจอร์ส จำกัด เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีบริษัทเดอะมั้งค์ สตูดิโอ จำกัด ที่ทำ Animation และบริษัทที่ให้บริการถ่ายทำภาพยนตร์ (Production Serives) เช่น บริษัท เบนีโทน ฟิล์มส์ จำกัด เข้าร่วมงานด้วย

รายงานกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ แจ้งว่าจากการเจรจาธุรกิจทั้ง 3 วัน เกิดการเจรจาทั้งสิ้น 185 ครั้ง รวมมูลค่าการเจรจาทั้งหมด 457.56 ล้านบาท และยังดำเนินการเจรจากันต่อเนื่องไป

“ปีนี้ประเทศไทยกระทรวงพาณิชย์ได้นำพาผู้ประกอบการภาพยนตร์มาจากคาดว่ารายได้ปีนี้ไม่น้อยกว่าเดิมจากปีก่อน โดยกระทรวงพาณิชย์นำมาทุกปี และเท่าที่ดูจะเห็นได้ชัดเจนว่าภาพยนตร์ไทยและอนิเมชั่นของไทยมีพัฒนาการที่ดีและไม่แพ้ประเทศใดในโลก ประกอบกับหลังจากที่ได้ไปเยี่ยมสตูดิโอยักษ์ใหญ่มาเทียบกับประเทศไทยฝีมือคนไทยเราก็ไม่ได้แพ้ใครเรามีพัฒนาการก้าวหน้ามาก

ซึ่งกลับไปจะได้หารือแนวทางเป็นเรื่องเกี่ยวกับการส่งออกและ ภาพยนต์ ถือว่าเป็นสินค้าบริการเป็นชนิดหนึ่งที่จะสามารถนำรายได้เข้าประเทศให้ตัวเลขการส่งออกเพิ่มขึ้นได้ หลังจากที่ได้มีโอกาสพบกับผู้สร้างทุกคนเห็นว่าพัฒนาการดีทำให้สามารถจัดและเปลี่ยนประสบการณ์และกระทรวงพาณิชย์จะได้นำไปเป็นแนวบริหารนโยบายต่อไป” นายจุรินทร์ กล่าว

“จุรินทร์”รุดหารือผู้นำเข้าข้าวไทยรายใหญ่ในอเมริกา

People Unity News : “จุรินทร์”รุดหารือผู้นำเข้าข้าวไทยรายใหญ่ในอเมริกา เน้นมาตรฐานและเพิ่มยอดส่งออกด้วยคุณภาพข้าวระดับพรีเมี่ยม  

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 8 พ.ย.2562 ตามเวลาท้องถิ่นลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และคณะผู้บริหารเปิดโอกาสให้ผู้นำเข้าข้าวจากประเทศไทยเพื่อจำหน่ายในสหรัฐอเมริกาเข้าพบหารือแลกเปลี่ยนถึงอุปสรรคปัญหาและโอกาสการพัฒนาการค้าเพิ่มปริมาณการส่งออกจากประเทศไทย โดยใช้เวลาหารือกว่า 2 ชม. ตัวแทนผู้ประกอบการที่สหรัฐอเมริการายใหญ่ร่วม 13 ราย เช่น Otis MaAllister,Inc. ,Sun Lee , Asian Trading Corp, Vinh-Sanh Trading &First World, U.S Trading Co., N.A Trading, H.C Food , Chayothai LLC, American Commercial Transportation เป็นต้น

นายจุรินทร์กล่าวขอบคุณผู้ประกอบการทั้งหมดที่หลายรายเดินทางมาจากรัฐไกลๆ เพื่อมาเข้าพบหารือที่เมืองลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอเร์นีย เป็นการให้ความสำคัญต่อการหารืออย่างยิ่ง โดยปัจจุบันนี้ข้าวไทยส่งออกสหรัฐอเมริกาปีละประมาณ 500,000 ตัน โดยเฉพาะข้าวหอมมะลินั้นถือว่าอเมริกาเป็นตลาดสำคัญอันดับต้นๆ ของไทย

และในช่วง 5 ปีที่ผ่านมานี้ สหรัฐอเมริกานำเข้าข้าวหอมมะลิจากไทยเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 4.92 ไทยให้ความสำคัญกับตลาดสหรัฐและการผูกสัมพันธ์กับผู้นำเข้าข้าวและผู้ค้าข้าวมากประกอบกับราคาข้าวหอมมะลิไทยในช่วงนี้ค่อนข้างสูง ซึ่งการมาเยือนครั้งนี้จะเป็นโอกาสที่ทำให้รู้จักผู้นำเข้าเพื่อขอทราบสถานการณ์ตลาดและแนวทางความร่วมมือในการส่งเสริมการขายตลาดข้าวไทย

ปัจจุบันการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายข้าวหอมมะลิไทยร่วมกับผู้นำเข้าและห้างซูเปอร์มาร์เก็ตสำคัญทั่วประเทศสหรัฐอเมริกา ทั้งเข้าร่วมงานแสดงสินค้าสำคัญ การประชาสัมพันธ์ผ่านสถาบันสอนทำอาหาร การเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภค การประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ข้าวไทยผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย การร่วมกับร้านอาหารไทยประชาสัมพันธ์ข้าวหอมมะลิและอื่นๆ เป็นต้น

“รัฐบาลไทยให้ความสำคัญคู่ค้าทุกระดับ โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่นำเข้าข้าวและสินค้าอาหารจากไทยมาอย่างยาวนาน ทางกระทรวงพาณิชย์ก็พร้อมทำงานอย่างใกล้ชิดกับผู้ค้าทุกราย และหวังว่าจะมีโอกาสต้อนรับเสมอ จากนี้ไปเราจะเน้นการทำตลาดและทำประชาสัมพันธ์เชิงรุกมากขึ้นเพื่อส่งเสริมการบริโภคข้าวไทยให้เป็นข้าวพรีเมี่ยม เป็นข้าวคุณภาพดี” นายจุรินทร์กล่าว

คลังมอบของขวัญ”บ้านในฝัน รับปีใหม่”

People Unity News : กระทรวงการคลังลั่น คนไทยทุกคนต้องมีบ้านเป็นของตัวเอง มอบของขวัญปีใหม่สุดอลังการ ผ่านโครงการ “บ้านในฝัน รับปีใหม่” พร้อมผนึกกำลังธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) 3 สมาคมอสังหาฯ และผู้ประกอบการอสังหาฯ ทั่วประเทศ เปิดตัวโครงการ “บ้านในฝัน รับปีใหม่” จัดแคมเปญลดแลกแจกแถมกระหน่ำส่งท้ายปี ดีเดย์ 11.11

วันที่ 8 พฤศจิกายน 2562 นายชาญกฤช เดชวิทักษ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี (ปฎิบัติงานกระทรวงการคลัง) เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังขอความร่วมมือธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ผู้บริหาร 3 สมาคมอสังหาฯ ประกอบด้วย สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย สมาคมอาคารชุดไทย สมาคมบ้านจัดสรร รวมทั้งผู้ประกอบการอสังหาฯ รายย่อย ร่วมสานฝันของพี่น้องประชาชนคนไทย เพื่อให้พี่น้องประชาชนมีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง โดยได้ผนึกกำลังเพื่อจัดทำโครงการ “บ้านในฝัน รับปีใหม่” ด้วยการออกโปรโมชั่นยิ่งใหญ่สุดอลังการส่งท้ายปี 2562 ชนิดไม่เคยมีมาก่อน โดยใช้สโลแกน “ซื้อปุ๊บ โอนปั๊บ รับทันที 3 สิทธิพิเศษ” สิทธิ์ที่ 1. กู้ ธอส. ดอกเบี้ยคงที่ 2.5% นาน 3 ปี วงเงิน 5 หมื่นล้านบาท หมดแล้วหมดเลย สิทธิ์ที่ 2. ฟรีทันที ค่าโอนและค่าจดจำนอง และสิทธิ์ที่ 3. รับโปรโมขั่น ลดแลกแจกแถม พร้อมส่วนลดพิเศษสุดอลังการจากโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่เข้าร่วม ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม อาคารพาณิชย์ และคอนโดมิเนียม ทั้งนี้กำหนดให้เฉพาะที่อยู่อาศัยวงเงินไม่เกิน 3 ล้านบาท

โครงการ “บ้านในฝัน รับปีใหม่” จะเริ่มตั้งแต่วันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2562 เท่านั้น โดยวัตถุประสงค์หลักของกระทรวงการคลัง เพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับพี่น้องประชาชน ให้มีบ้านเป็นของตัวเอง สร้างความมั่นคงให้ครอบครัว ซึ่งเป็นการส่งเสริมการออมที่มีความสำคัญประการหนึ่ง โดยตั้งเป้าอยู่ที่ 35,000 ยูนิต ซึ่งผู้ประกอบการภาคอสังหาริมทรัพย์ทุกรายสามารถเข้าร่วมโครงการได้พร้อมกันทั่วประเทศ โดยติดต่อลงทะเบียนผ่านธนาคารอาคารสงเคราะห์ที่มีสาขากระจายอยู่ตามพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ พร้อมสามารถขอดาวน์โหลดไฟล์โครงการ “บ้านในฝัน รับปีใหม่” เพื่อทำป้ายประชาสัมพันธ์ติดหน้าโครงการได้ทันที

ทั้งนี้หวังว่าแคมเปญดังกล่าวจะเป็นที่สนใจของพี่น้องประชาชนที่ยังไม่มีและกำลังมองหาที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง สามารถกระตุ้นยอดขายและเร่งให้เกิดการโอนในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ได้เป็นอย่างดี อันจะช่วยกระตุ้นให้ธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ ธุรกิจก่อสร้าง และธุรกิจพัฒนาการคมนาคมมีความคึกคักมากขึ้น และช่วยให้เม็ดเงินหมุนเวียนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจของประเทศได้อีกทางหนึ่ง

“จุรินทร์”บุกสตูดิโอ”ดิสนีย์-นิคคาโลเดียน”สหรัฐฯ หนุนอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์

People Unity News : “จุรินทร์”บุกสตูดิโอ”ดิสนีย์-นิคคาโลเดียน”สหรัฐฯ หนุนอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ ลุยตลาดโลกทำรายได้เข้าประเทศ

เมื่อเวลา 10.00-14.00น.วันที่ 7 พฤศจิกายน 2562 ตามเวลาท้องถิ่นของเมืองลอสแอนเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นำทีมคณะผู้บริหาร และกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เจาะตลาดดิจิทัลคอนเทนต์ระดับโลก ล้วงลึกเรียนรู้กระบวนการสร้างภาพยนตร์แอนิเมชั่นอันดับหนึ่งของโลกที่ Walt Disney และ Nickelodeon สหรัฐอเมริกา

นายจุรินทร์กล่าวว่า พร้อมหาลู่ทางขยายโอกาสการสร้างคอนเทนต์ของนักสร้างสรรค์ไทยในอนาคต โดยได้เยี่ยมชมการทำงานงานจริงในสตูดิโอพร้อมทั้งได้หารือกับนักสร้างสรรค์ไทยระดับรางวัลออสการ์ที่ทำงานในสหรัฐอเมริกา ปัจจุบันอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ของไทยมีมูลค่าสูงถึง 112,400 ล้านบาท ประกอบด้วยภาพยนตร์ แอนิเมชั่น โทรทัศน์ 91,500 ล้านบาท เกมส์ 19,000 ล้านบาท คาแรคเตอร์ 1,900 ล้านบาท ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์พร้อมส่งเสริมสนับสนุนให้อุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ไทยเติบโตสามารถขยายไปยังต่างประเทศให้ได้มากยิ่งขึ้น

การเดินทางเยือนสหรัฐอเมริกาครั้งนี้ เพื่อเพิ่มโอกาสมุ่งผลักดันธุรกิจบริการ digital content และหารือกับกลุ่มนักสร้างการ์ตูน หรือ Animator คนไทยรู่นใหม่ ที่สร้างสรรผลงานให้กับบริษัท Nickelodeon Animation Studio และ Walt Disney Studio โดยได้หารือถึงโอกาสในการผลักดันคนไทยรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพให้ได้เข้ามาทำงานร่วมกับ Nickelodeon และ Disney เพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์ ตลอดจนความร่วมมือในการจัดกิจกรรมเรียนรู้วัฒนธรรมไทย เพื่อสร้างสรรการ์ตูนเรื่องใหม่ที่มาจากเรื่องราวของวัฒนธรรมเอเชีย พร้อมหารือถึงแนวทางที่จะพัฒนาส่งเสริมคนไทยที่มีศักยภาพให้ได้มีโอกาสมาพัฒนาฝีมือและสร้างสรรงานร่วมกับบริษัทระดับโลก โดยมีคนไทยที่ทำงานให้กับบริษัท Animation อาทิ Walt Disney studio ,Nickelodeon Animation Studio ,Wizard Entertainment เป็นต้น เข้าร่วม

ออมสินดีเดย์ 11.11 ! ลดดอกเบี้ยเงินกู้ 0.125% ทันที พยุงดอกเบี้ยเงินฝากถึงต้นปีหน้า

People Unity News : ธนาคารออมสิน สนองนโยบายรัฐบาล และกระตุ้นระบบเศรษฐกิจ ลดดอกเบี้ยเงินกู้ทันที 0.125% ทั้ง MRR, MOR และ MLR ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ย MRR และ MOR = 6.745% ต่อปี ส่วน MLR = 6.375% มีผลวันที่ 11 พฤศจิกายน 2562 ขณะที่ยังคงความเป็นสถาบันการออม ชะลอการปรับลดดอกเบี้ยเงินฝากถึงต้นปีหน้า ชวนประชาชน-ลูกค้าฝากเงินประจำระยะยาว ปีหน้าปรับดอกเบี้ยเงินฝากประจำลง 0.125% มีผล 1 ม.ค.63

วันที่ 7 พฤศจิกายน 2562 ดร.ชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า เพื่อสนองนโยบายรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ด้วยภารกิจหลักสำคัญของธนาคารออมสินคือการมุ่งส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศ ภายใต้การให้บริการสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจการเงิน และตอบสนองทิศทางดอกเบี้ยนโยบาย รวมถึงให้ความสำคัญต่อประชาชน ลูกค้าเงินกู้ โดยเฉพาะธนาคารออมสินมีลูกค้ารายย่อยจนถึงระดับ SMEs เป็นจำนวนมาก ธนาคารฯ จึงได้ปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ในอัตราเท่ากัน 0.125% ทำให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดี หรือ MRR (Minimum Retail Rate) และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำประเภทเงินเบิกเกินบัญชี หรือ MOR (Minimum Overdraft Rate) ลดลงจาก 6.87% เหลือ 6.745% ส่วนอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำประเภทเงินกู้ที่มีระยะเวลา หรือ MLR (Minimum Lending Rate) ปรับลดลงจาก 6.50% เหลือ 6.375% โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน 2562 เป็นต้นไป

สำหรับอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ธนาคารฯ ยังคงภารกิจหลักมุ่งมั่นส่งเสริมการออม จึงชะลอการปรับลดดอกเบี้ยเงินฝาก โดยยังคงให้ผู้ฝากเงินฝากทุกประเภทได้รับผลตอบแทนในอัตราเท่าเดิมจนถึงสิ้นปี 2562 หลังจากนั้นจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 0.125% มีผลวันที่ 1 มกราคม 2563 เป็นต้นไป

“ในวันนี้ลูกค้าผู้ฝากของธนาคารออมสิน ยังคงได้รับดอกเบี้ยในอัตราเดิมต่อไปอีกเกือบ 2 เดือน โดยธนาคารฯ มีนโยบายที่จะลดดอกเบี้ยเงินฝากให้ช้าที่สุด เพื่อส่งเสริมการออมอย่างต่อเนื่อง จึงขอให้ลูกค้าและประชาชนเร่งมาฝากเงินก่อนที่ธนาคารฯ จะลดดอกเบี้ยเงินฝากในวันขึ้นปีใหม่ 2563 โดยขอแนะนำว่าให้ฝากเงินระยะยาวเพื่อจะได้รับดอกเบี้ยที่คุ้มค่ามากกว่าเมื่อมีการปรับลดในวันที่ 1 มกราคม 2563”ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าวในที่สุด

“จุรินทร์”เปิดห้องไทยใน”อาลีบาบา” ดันยอดส่งออกไทยไปจีน

People Unity News : “จุรินทร์”เปิดห้องไทยใน”อาลีบาบา” ดันยอดส่งออกไทยไปจีน แพลตฟอร์มออนไลน์ นับ 1 ได้จริงทันทีในเดือนนี้

เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2562 ภายหลังการเปิดงานจัดแสดงสินค้าที่เซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า สำหรับประเทศไทยได้มีโอกาสมาร่วมงานมหกรรมการนำเข้าสินค้าทั่วโลกของจีน คืองาน Expo ที่ประเทศจีน ที่เปิดโอกาสให้ประเทศในโลกที่สนใจ จัดแสดงสินค้าเพื่อผู้ประกอบการจากจีนนำเข้ามาบริการผู้บริโภคในประเทศจีนได้ ซึ่งปีนี้จัดขึ้นเป็นปีที่ 2

“สำหรับปีนี้พิเศษเพราะปีที่แล้วเรายังไม่ได้รับเกียรติมากเท่านี้ปี เพราะปีก่อนนั้นเราต้องหาพื้นที่กระจัดกระจาย แต่ปีนี้เราเป็นแขกพิเศษของจีน มีพื้นที่การจัดแสดงสินค้าของไทยโดยเฉพาะหรือที่เรียกว่า Thai Pavilion โดยเฉพาะทำให้บูทต่างๆที่มาจัดแสดงที่นี่มีความโดดเด่น สินค้าที่เรานำมาเป็นสินค้าที่ได้คุณภาพผ่านกระบวนการในการคัดสรรของกระทรวงพาณิชย์มาแล้ว” นายจุรินทร์ กล่าวและว่า

งานจัดแสดงปีที่แล้วเราสามารถทำเงินเข้าประเทศได้ประมาณ 2,000 ล้านบาท สำหรับปีนี้ตนคิดว่าไม่น่าจะน้อยกว่าปีที่แล้วแม้ว่าสภาวะเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวในหลายประเทศของโลก รวมทั้งจีนด้วย จึงเป็นโอกาสดีสำหรับการที่จะโฆษณาสินค้าคุณภาพมาตรฐานของไทยไปสู่ผู้บริโภคชาวจีนซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่มากและเป็นที่ต้องการสินค้าที่เรานำมาแสดงส่วนใหญ่เป็นสินค้าสำคัญ เช่น สินค้าทางการเกษตรจากข้าวผลิตภัณฑ์จากข้าว ยางพารา ผลิตภัณฑ์จากยางพารา อุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆและในเรื่องของมันสำปะหลังจากแป้งมัน และอื่นๆที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งผลไม้ไทยและสินค้าเกษตรแปรรูป ซึ่งมีความหลากหลายมาก รวมทั้งหมวดอาหารแปรรูป และหมวดสำคัญที่สุดอีกหมวดหนึ่ง คือ หมวดที่มีการใช้นวัตกรรมในการแปรรูปสินค้าพื้นฐานของเราไปเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าให้มีความหลากหลายมากขึ้น เอามาแสดง เช่น เครื่องสำอาง น้ำมันใส่ผม รวมทั้งเครื่องหอมสำหรับสปา และหมวดอื่นๆ อันนี้คือจุดเด่นของเราที่นำมาแสดงรอบนี้

“หัวใจสำคัญคือมาครั้งนี้เรามีการเพิ่มความเข้มข้นในเรื่องความร่วมมือกับอาลีบาบาที่จะเปิดโอกาสให้สินค้าของไทยสามารถเข้าไปขายออนไลน์ในแพลตฟอร์มของอาลีบาบาได้ซึ่งเที่ยวนี้เปิดโอกาสให้เรามีห้องไทยโดยเฉพาะซึ่งเราสามารถนำสินค้าที่มีคุณภาพมาตรฐานมาไว้ในห้องไทย และเมื่อใครเข้าไปในแพลตฟอร์มของอาลีบาบาก็สามารถค้นหารายการสินค้าไทยได้ ซึ่งคนจีนนิยมมากเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ช่วยให้สินค้าไทยสามารถมาเพิ่มตลาดออนไลน์โดยไม่จำเป็นต้องมีแพลตฟอร์มของเราเองแต่ใช้อาลีบาบาเป็นกลไกในการเพิ่มตัวเลขการส่งออก ” นายจุรินทร์ กล่าวและว่า

อาลีบาบามีซุปเปอร์มาร์เก็ตชื่อร้าน เหอหม่า ซึ่งปัจจุบันมี 180 แห่งและกำลังขยายเพิ่มเป็น 400 แห่งในปีถัดไป ก็จะเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่เรามาจับมือกันระหว่างกระทรวงพาณิชย์กับเหอหม่า ที่จะช่วยให้นำเข้าสินค้าจากประเทศไทยไปสู่ชั้นวางของร้านซุปเปอร์มาร์เก็ตของเหอหม่าได้ ณ ตอนนี้มียอดขายประมาณ 2,500 ล้านบาทในอนาคตอันใกล้มั่นใจว่าเมื่อเขาขยายเพิ่มเติมเราจะมียอดเพิ่มขึ้นเป็น 5,000 ล้านบาท ได้ในไม่ช้า และตนเพิ่งไปดูมาแล้วเมื่อวาน(5พย.2562) สินค้าไทยเป็นที่นิยมทั้งผลไม้อาหารแปรรูป เครื่องแกง เครื่องปรุงรส และสินค้าอื่นๆจากคนไทย ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะช่วยให้นำไปใช้บนชั้นวางของเหอหม่าได้ โดยจะเริ่มได้ภายในเดือนนี้ก็จะเปิดห้องไทยในแพลตฟอร์มของอาลีบาบาโดยช่วงเริ่มต้นจะมี 45 บริษัทที่จะไปเปิดห้องไทยในอาลีบาบา

“ประภัตร”ล่องอีสานแก้โรคไหม้คอรวงข้าวระบาด เตรียมระดมโดรนฉีดพ่นไตรโคเดอร์ม่า

People Unity News : “ประภัตร”ล่องอีสาน ลุยตรวจ  การแพร่ระบาด โรคระบาด ไหม้คอรวงข้าว   คาดเสียหายแล้วกว่า 5 แสนไร่ เตรียมระดมโดรนฉีดพ่นตามคำขอชาวนาที่ยังพอช่วยได้พร้อมเตรียมเสนอ   กนข. ขอเงินช่วยเหลือ  กล่า 1,000 ล้าน ก่อนเสนอ ครม.  ชดเชยพื้นที่เสียหาย ช่วยหลัง ผู้ว่าราชการสุรินทร์ประกาศพื้นที่ภัยพิบัติ

เมื่อวันที่ 6 พ.ย.2562 นายประภัตร โพธสุธน รมช. เกษตรฯ พร้อมคณะได้เดินทางไปยัง บ้านหนองบัว หมู่ที่ 3 ต.ชุมพลบุรี อ.ชุมพลบุรี  จ. สุรินทร์ และบ้าน ขาม ต. หนองบัวบาน อ. รัตนบุรี  จ. สุรินทร์  เพื่อตรวจเยี่ยม  พื้นที่การแพร่ระบาดของโรคไหม้คอรวงข้าวโดยมีนายไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ พร้อมคณะให้การตอนรับ  พร้อมกับมีการบรรยายสรุปสถานการณ์ ไหม้คอรวงข้าวโดย นายวันรบ เฮ่ประโคน เกษตรจังหวัดสุรินทร์ เพื่อวางมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรเป็นการเร่งด่วน

โดยนายประภัตร เปิดเผยว่าจากการตรวจสอบล่าสุด พบว่า นาข้าวในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ ซึ่งเป็นรอยต่อหลายจังหวัด  ซึ่งเป็นพื้นที่ปลูกข้าวหอมมะลิขณะนี้ พบว่า นาข้าว   เสียหายแล้วประมาณ 5 แสน ไร่  โดยบางส่วนที่ยังไม่เสียหายนั้นทางผู้ว่าราชการ จ.สุรินทร์ ได้ขอให้ทางกระทรวงเกษตรประสานงานเพื่อขอโดรนจากเอกชนช่วยฉีดพ่น เข้าช่วยฉีดพ่นไตรโคเดอร์ม่าเท่าที่ยังสามารถช่วยได้  เนื่องจากเหลือเวลาอีกเพียง 20 วัน ข้าวก็จะสุกที่สามารถเก็บเกี่ยว ได้ซึ่งไม่ทันต่อการใช้ อย่างอื่นมาแก้ปัญหาโดยเฉพาะสารเคมีอาจทำให้เกิดปัญหาสารตกค้างได้จึงเลือกจะใช้วิธีการฉีดพ่นไตรโคเดอร์ม่า เพราะถือว่าเป็นสิ่งที่ที่สุดแล้ว โดยขณะนี้ได้ประสารงานเอกชนใจบุญและพร้อมที่จะส่งโดรนเข้ามาช่วยเหลือฟรี ส่วน ไตรโค้เดอร์ม่าก็มีการแจกฟรี จึงไม่กระทบต่อต้นทุนของเกษตรกรที่เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตามในส่วนมาตร.ในส่วนที่ ในการช่วยเหลือในความเสียหาย เบื้อนต้นได้สั่งการให้ทางผู้ว่าราชการจ. สุรินทร์  ตั้งคณะกรรมาร เข้ามา สรุปข้อมูลความเสียหายทั้งหมด  พร้อมตรวจสอบรายละเอียด ปริมาณ ข้าวที่ลดลง เพราะบางส่วน  ไม่ได้มีการเสียหายสิ้นเชิง เพียงแต่ผลผลิตลดน้อยลง   โดยข้อมูลโดยเฉลี่ยประมาณร้อยละ70   ในส่วนปคิมาณผลผลิตที่เคยได้เพราะข้าวลีบซึ่งรัฐบาลอาจจะช่วยเหลือและเติมในส่วนที่ขาดหายไป ในเรื่องของราคาส่วน การชดเชยพื้นที่เสียหาย จะชดเชยให้ไร่ละ1,113 ต่อไร่ ไม่เกินไม่เกิน 20 ไร่ ตามกรอบการให้การช่วยเหลือเรื่องภัยพิบัติ    โดยคาดว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นน่าจะใช้งบประมาณในการช่วยเหลือเกษตรกร ผู้ปลูกข้าวประมาณ กว่า1,000  ล้านบาท เท่านั้น ซึ่จากนี้ไปคงต้องรอทาง ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์  ตั้งคณะกรรมการ ขึ้นมา ทำงานเพื่อสรุปรายละเอียดความเสียหายทั้งหมด  และมีการประกาศ เป็นพื้นที่ภัยพิบัติ  เพื่อสรุปข้อมูลเสนอมายังกระทรวงเกษตรก่อนที่ จะเสนอ ไปยัง คณะกรรมการนโยบายข้าว  หรือ กนข หากเห็นด้วยก็จะเสนอต่อ ครม. เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรต่อไป

ส่วนการแก้ปัญหาการแพร่รับบาดเพื่อไม่ให้เกิดซ้ำ ขึ้นมาอีก ตนได้กำชับให้เจ้าหน้าที่กรมการข้าวเข้าทำความเข้าใจและฝึกอบรมให้กับเกษตกรป้องกันการแพร่ระบาดของโรค ไหม้คอรวงข้าวโดยจะฝึกอบรมให้กับเกษตรกร ตั้งแต่ขั้นตอนการเตรียมพร้อมเรื่องการ เตรียมการเพาะปลูกข้าวในฤดูต่อไป โดยเกษตรกรจะต้องมีการคลุกเม็ดพันธ์ ข้าว กับไตรโคเดอร์ม่าก่อนหว่านข้าวในฤดูกาลต่อไป  ขณะเดียวกันจะต้องรู้หลักการใช้ปุ๋ยให้ถูกวิธ๊ โดยเฉพาะปุ๋ยยูเรีย   ซึ่งการ การใช้ปุ๋ยที่ผิดหลักเป็นสาเหตุหนึ่งขอการเกิดโรคระบาดด้วย

“วันนี้เท่าที่ตรวจสอบอย่างละเอียดพบว่า เหลืออีกไม่ถึง 20 วัน ก็ จะสิ้นสุดระยะเวลาการเก็บเกี่ยวทั้งหมด คงจะต้องปล่อย   ซึ่งทางผู้ว่าราชการ สุรินทร์ ก็ร้องขอให้ ช่วยระดมฉีดพ่น ไตรโคเดอร์ม่า ช่วยและช่วยให้เราประสาน โดรนเข้ามาช่วย เบื้องตนได้มีการประสาน ไปกับกลุ่มเอกชน เขารับปากจะเข้ามาช่วยฟรี ซึ่ง จะเข้ามาดำเนินการทันที ในวันที่7 พฤศจิกายนนี้  ก็จะระดมฉีดพ่น เท่าที่จะช่วยได้เพราะหากฉีดพ่นเคมีคงจะไม่ดี เพราะอาจเกิดปัญหาสารตกค้างได้วิธีการนี้น่าจะดีที่สุด ส่วนการให้การช่วยเหลือ ก็ ได้สั่งการให้ทางผู้ว่าราชการ จังหวัดตั้งคณะทำงานร่วมกับทางกรมการข้าว เพื่อสรุปข้อมูลรวมกัน  ก่อนเสนอ รายละเอียดเพื่อเสนอต่อ คณะกรรมการ  กนข . และเสนอ ครม. ต่อไป โดยเบื้องต้นก็คาดว่าน่าจะใช้งบประมาณกว่า1,000ล้านบาท    “นายประภัตร กล่าว นายประภัตร กล่าวด้วยว่า ในส่วนความเสียหายจากภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นทั้งฝนแล้ง น้ำท่วม และโรคระบาดที่เกิดขึ้น ตนยอมรับว่า อาจเสียหายจริงแต่ไม่น่าถึงขั้นขาดแคลน และขออย่าตื่นตระหนก ยืนยันว่าปริมาณผลผลิตยังเพียงพอต่อการบริโภคในประเทศอย่างแน่นอนส่วนเรื่องราคา ที่อาจสูงขึ้นเป็นเรื่องของกระทรวงพาณิชย์ จะต้องเข้ามาช่วยเหลือในเรื่องการบริหารจัดการ” นายประภัตร กล่าว

ด้านนายไกรสร กล่าวว่า จากการดำเนินการในเรื่องการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของ โรค ไหม้คอรวงข้าว  ทางจังหวัดได้ดำเนินการช่วยเหลืออย่างเต็มที่  โดยจากการฉีดพ่นไตรโคเดอร์ม่า มี่ผ่านมาสามารถชะลอการระบาด ได้จริง เมื่อเทียบกับพื้นที่ ที่ไม่ได้มีการฉีดพ่น จากนี้ไป คงจะต้องทำความเข้าใจถึงวิธีปกกันการแพร่ระบาดและเร่งดำเนินการตั้งคณะทำงานร่วมกันเพื่อช่วยเหลือ เกษตรกรให้เร็วที่สุด  และจากการตรวจสอบยังพบด้วยว่าพื้นที่ มีการระบาดของโรคไหม้คอรวงข้าวส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ ใช้สารเคมี และจากการตรวจสอบพบว่า พื้นที่ การส่งเสริมการปลูกข้าวอินนทรีย์ ไม่มีการระบาดของโรคไหม้คอรวงข้าวแม้แต่พื้นที่เดียว

ศก.ไทยเสี่ยง-ขยายต่ำ! มติกนง.5 ต่อ 2 เสียง ลดดอกเบี้ยลง 0.25%

People Unity News : ศก.ไทยเสี่ยง-ขยายต่ำ! มติกนง.5 ต่อ 2 เสียง ลดดอกเบี้ยลง 0.25% แตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ เหลือ 1.25%

เมื่อวันที่ 6 พ.ย.2562 นายทิตนันทิ์ มัลลิกะมาส เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) แถลงว่า ที่ประชุม กนง. มีมติ 5 ต่อ 2 เสียง ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% จาก 1.50% เป็น 1.25% ต่อปี โดยให้มีผลทันที ขณะที่ 2 เสียง เห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% ต่อปี

ทั้งนี้ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้ และต่ำกว่าศักยภาพมากขึ้น จากการส่งออกที่ลดลง ซึ่งส่งผลไปสู่การจ้างงานและอุปสงค์ในประเทศ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มต่ำกว่าขอบล่างของกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ ภาวะการเงินโดยรวมยังผ่อนคลาย เสถียรภาพระบบการเงินได้รับการดูแลไปแล้วบางส่วน แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม กรรมการส่วนใหญ่เห็นว่านโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น จะมีส่วนช่วยสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจและเอื้อให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปกลับสู่กรอบเป้าหมาย จึงเห็นควรให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย

ทั้งนี้ กนง.เห็นว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไปยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะความเสี่ยงด้านต่างประเทศจากสภาวะการกีดกันทางการค้าระหว่างประเทศ แนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจจีนและประเทศอุตสาหกรรมหลักที่จะส่งผลมาสู่อุปสงค์ในประเทศ และความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งจะติดตามผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลและการใช้จ่ายของภาครัฐ ตลอดจนความคืบหน้าของการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญและผลต่อเนื่องไปยังการลงทุนภาคเอกชน

คลังจับมืออสังหาฯจัดแคมเปญ”ซื้อปุ๊บ โอนปั๊บ”ลดยิ่งใหญ่อลังการ

People Unity News : คลังเตรียมจับมืออสังหาฯ จัดแคมเปญ ซื้อปุ๊บ โอนปั๊บ ลดยิ่งใหญ่อลังการ ดีเดย์ 11.11 ลดกระหน่ำ เร่งกระตุ้นยอดซื้อบ้านปลายปี

วันที่ 6 พ.ย.2562 นายชาญกฤช เดชวิทักษ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี (ปฎิบัติงานกระทรวงการคลัง) เปิดเผยว่า การประชุมร่วมกับผู้ประกอบการ อสังหาริมทรัพย์ 3 สมาคม ประกอบด้วย สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย สมาคมอาคารชุดไทย สมาคมบ้านจัดสรร เห็นพ้อง ร่วมจัดทำแคมเปญใหญ่ส่งท้ายปี โดย กระทรวงการคลัง ร่วมกับ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และผู้ประกอบการอสังหาฯ เตรียมออกโปรโมชั่นยิ่งใหญ่อลังการในจันทร์วันที่ 11 พฤศจิกายนนี้ เพื่อเร่งให้มีการโอนบ้านภายในสิ้นปีนี้ให้มากที่สุด เป้าหมาย 35,000 ยูนิต โดยผู้ประกอบการเตรียมติดป้ายเข้าร่วมโครงการของรัฐบาล เพื่อให้ได้รับสิทธิ์พิเศษในครั้งนี้ หวังดึงผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั่วประเทศร่วมจัดงาน เตรียมแถลงแคมเปญใหญ่ในวันศุกร์นี้

หลังจากมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ ครม.เห็นชอบมาตรการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของ ธอส.วงเงิน 50,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2.50% ต่อปี นาน 3 ปีแรก ราคาบ้านซื้อขายไม่เกิน 3 ล้านบาท หลังจากมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนจากร้อยละ 2 เหลือร้อยละ 0.01 และลดค่าธรรมเนียมจดจำนองจากร้อยละ 1 เหลือร้อยละ 0.01 มีผลบังคับใช้แล้ว หากกู้เต็มวงเงิน 3 ล้านบาท เดิมต้องชำระค่าจดทะเบียนการโอนและจดทะเบียนจำนองกว่า 90,000 บาท จะลดภาระเหลือเพียง 600 บาทเท่านั้น

นายชาญกฤช กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับโครงการ “ชิมช้อปใช้” คาดว่าจะมีมาตรการกระตุ้นและส่งเสริมให้พี่น้องประชาชนจับจ่ายใช้สอยผ่าน “กระเป๋า 2” อีกทั้งให้ผู้ประกอบการร้านค้าขนาดเล็กและวิสาหกิจชุมชนรับชำระเงินผ่านแอ็ป “ถุงเงิน” เร็วๆ นี้

Verified by ExactMetrics