วันที่ 16 พฤษภาคม 2024

สธ.ยันไม่เปลี่ยนแปลงจุดยืน”แบน 3 สารเคมี” พบแนวโน้มผู้ป่วยสูงขึ้น

People Unity News : กระทรวงสาธารณสุขยันไม่เปลี่ยนแปลงจุดยืนการแบน 3 สารเคมี ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการวัตถุอันตราย เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2562 ห่วงสุขภาพประชาชน พบผู้ป่วยจากสารเคมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น

วันที่ 28 พฤศจิกายน 2562 ที่กระทรวงนายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และนายแพทย์ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา ร่วมกันแถลงจุดยืนกระทรวงสาธารณสุขต่อการแบน 3 สารเคมีทางการเกษตร ว่า คณะกรรมการฯ ที่เป็นผู้แทนจากกระทรวงสาธารณสุข ได้ยืนยันในที่ประชุมคณะกรรมการวัตถุอันตรายวานนี้ (27 พฤศจิกายน 2562) ยืนยันตามมติเดิมในการประชุมเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2562 ที่ให้แบนสารเคมีอันตราย 3 สาร มีการรับรองมติการประชุมไปแล้ว และได้ให้ข้อมูลถึงผลกระทบต่อสุขภาพทั้งเกษตรกรและประชาชน รวมทั้งจากการประชุมทางไกลกับผู้อำนวยการโรงพยาบาล และนายแพทย์สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ ทุกคนมีความห่วงใยที่พบผู้ป่วยจากสารเคมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในจังหวัดที่มีการปลูกพืชเศรษฐกิจ 4 ชนิด เช่นที่โรงพยาบาลน่านจากเดิมพบผู้ป่วยปีละ 40 คนเพิ่มเป็นเดือนละ 25 คน

สำหรับการเฝ้าระวังพืชผักผลไม้ของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์พบสารเคมีตกค้างหลายชนิด เช่นที่จังหวัดพิษณุโลกพบสารพาราควอตตกค้างในกะหล่ำปลี 0.21 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม สูงเกินค่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ไม่เกิน 0.01 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ถึง 20 เท่า ซึ่งจะมีผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนทั้งระยะสั้นและระยะยาว รวมทั้งมีผลต่อทารกในครรภ์

กระทรวงสาธารณสุข ได้เพิ่มมาตรการดูแลสุขภาพประชาชน โดยให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ร่วมกับกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ พัฒนาศักยภาพ อสม. 80,000 คน ให้เป็น อสม.วิทยาศาสตร์การแพทย์ สุ่มตรวจพืชผักผลไม้ แหล่งน้ำธรรมชาติ ตรวจหาสารพาราควอตด้วยชุดทดสอบเบื้องต้น และเพิ่มศักยภาพโรงพยาบาลในการดูแลรักษาผู้ป่วยจากสารพิษ โดยประสานกับศูนย์พิษวิทยาโรงพยาบาลรามาธิบดี และสถาบันการศึกษาที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เข้มข้นความปลอดภัยของผัก ผลไม้ อาหารในประเทศ และที่นำเข้าจากต่างประเทศที่ด่านตรวจผ่านแดน 52 ด่าน

“จุดยืนของกระทรวงสาธารณสุขไม่เคยเปลี่ยนแปลง ต่อการแบน 3 สาร ต่อจากนี้ไปจะเน้นการดูแลสุขภาพประชาชนให้เข้มข้นยิ่งขึ้น เพื่อป้องกันผลกระทบที่จะเกิดกับเยาวชนรุ่นหลัง ทั้งจากพัฒนาการล่าช้า และโรคต่าง ๆ เช่น โรคสมองเสื่อม มะเร็ง” นายแพทย์สุขุมกล่าว

สำหรับการประชุมคณะกรรมการเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2562 ผู้แทนกระทรวงสาธารณสุขได้ยืนยันต่อที่ประชุมหลายครั้งว่า ยังคงยืนตามมติเดิมแบน 3 สาร และขอให้คำนึงถึงผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนตามข้อมูลที่มีจำนวนมากและชัดเจน ที่เคยได้นำเสนอไปก่อนหน้านี้แล้ว พร้อมขอให้คงมติคณะกรรมการในการแบนสารเคมีอันตราย 3 สารเหมือนเดิม

นายแพทย์ไพศาล กล่าวถึงการลงมติว่า ในส่วนคณะกรรมการไม่มีการลงมติ หรือยกมือลงมติแต่อย่างใด

นายแพทย์รุ่งเรือง กิจผาติ โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า “อัปยศประเทศไทย กลับมติเดิมได้”” ขอถามทุกๆท่านว่า ถ้ามีผัก 2 กอง กองที่หนึ่งมีสารเคมี อีกกองไม่มีสารเคมี (เกษตรอินทรีย์) จัดมาให้คณะกรรมการทุกท่านเลือกทาน ท่านเลือกทานกองใด ถ้าคิดไม่ได้ ตอบไม่ถูก แนะนำไปทานกองที่ 3 คือ ทานหญ้าแทนข้าว (Cr.https://www.isranews.org/isranews/82958-moph-82958.html?fbclid=IwAR2IaYnNBjrojuIC_Qg0cQhpMmtgHe16cPMZPRyGxxl33nSdk3aXTCh9wRQ)

อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า ตัวแทนจากกระทรวงสาธารณสุข ยืนยันมติคณะกรรมการวัตถุอันตรายเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2562 ที่รับรองมติที่ประชุมให้แบนสารเคมี 3 ชนิด ส่วนการประชุมเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน ไม่มีการให้ยกมือ หรือลงมติรายบุคคลให้ยกเลิกมติเดิม ดังนั้น กระทรวงสาธารณสุขยืนยันในมติเดิม

ส่วนความเห็นกรณีที่ประชุมคณะกรรมการวัตถุอันตราย มติเอกฉันท์ 24 เสียง ยืดเวลา 6 เดือน แบน “พาราควอต-คลอร์ไพริฟอส” จำกัดการใช้ “ไกลโฟเซต” นั้น

ส่วนนายแพทย์ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า ในเมื่อไม่สามารถพึ่งรัฐ เรื่องอาหารปลอดภัย สิ่งที่ต้องช่วยกันคือใช้อำนาจผู้บริโภคโดยหน้าที่ของเรา

1) เดินหน้าช่วยกันให้ความรู้ผู้บริโภคด้วยกัน ผู้ขายติดฉลากหรือป้ายมาจากแปลงเคมีหรือไม่

2) ช่วยกันเดินหน้าสร้างตลาดเกษตรอินทรีย์

3) พัฒนา ชุดตรวจ ขณะนี้ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ สสส. และ 9 มหาวิทยาลัย และ ศ.ดร. พวงรัตน์ ขจิตวิชยานุกูล กำลังประเมิน ชุดตรวจ 10 ชุด จากกลุ่มต่างๆ ในการตรวจ พาราควอต ไกลโฟเซต และกลุ่มฆ่าแมลง (ซึ่งรวมคลอไพริฟอส) ได้แก่ ออแกโนคลอรีน ออแกโนฟอสเฟต คาบาร์เมต และไพรีทรอยภายในปลายมกราคม จะได้ชุดตรวจน้ำ ที่สะดวก ถูก รวดเร็ว และในมีนาคม จะได้ชุดตรวจในพืช ผัก ผลไม้

นายแพทย์ธีระวัฒน์ กล่าวอีกว่า ไม่นานนัก เราจะสร้างเกราะป้องกันภัยให้ตนเองและครอบครัวได้ เหล่านี้ ยังหมายความถึงทุกเรื่องในประเทศไทย ถ้าเราไม่ร่วมกัน ช่วยกัน หวังพึ่ง ลมๆ แล้งๆ เราเองและลูกหลาน คงจะประสบเคราะห์กรรมไปมากขึ้นกว่านี้ อีกเป็น สิบเป็นร้อยเท่า

“กรรมการวัตถุอันตราย และกรมวิชาการเกษตร รวมกระทั่งถึงกระทรวงอุตสากรรม และอื่นๆที่เกี่ยวข้องพยายามที่จะยัดเยียดสารเคมีพิษเหล่านี้ให้คงอยู่ในประเทศไทย โดยที่ไม่เคยคำนึงถึงอันตรายที่เกิดขึ้นแก่ชีวิตและสุขภาพโดยที่กระทรวงสาธารณสุขได้ชี้แจงตัวเลข ผู้ป่วยที่เสียชีวิตทั้งเฉียบพลันและที่เกี่ยวเนื่องกับการได้รับสารเคมีเหล่านี้ต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นเกษตรกรเองหรือเป็นประชาชนที่อยู่ในพื้นที่”

“หมออนันต์”ชี้ สธ.จับมือ กสท. พัฒนาแพลตฟอร์มสธ.แห่งชาติ

People Unity News : “หมออนันต์”ชี้ สธ.จับมือ กสท. พัฒนาแพลตฟอร์มสธ.แห่งชาติ เชื่อมโยงข้อมูลผู้ป่วยทั่วปท. เผย ไม่เกิน 3 ปี ได้ใช้งานเต็มรูปแบบ “เศรษฐพงค์” ลั่น “แพลตฟอร์มสธ.-telemedicine” จะพลิกโฉมวงการแพทย์ไทย ลดเหลื่อมล้ำ-รักษารวดเร็ว-มีคุณภาพ พัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล

วันที่ 27 พฤศจิกายน 2562 นพ.อนันต์ กนกศิลป์ ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) ให้สัมภาษณ์ถึงการลงนามความร่วมมือระหว่าง สธ. กับบริษัท กสท. โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มระบบสาธารณสุขแห่งชาติ ว่า หลังจากนี้กระทรวงจะยกร่างทีโออาร์ เพื่อดำเนินการเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่บริษัท กสท.ฯ จะนำมาใช้ เพื่อให้สถานบริการด้านสาธารณสุขใช้ระบบเป็นแบบเดียวกัน เบื้องต้นคาดว่าเดือนธันวาคมนี้จะแล้วเสร็จ และดำเนินการตามกรอบที่กฎหมายกำหนดได้ตั้งแต่ต้นปี 2563 ตนมั่นใจว่า บริษัท กสท. ที่มีเทคโนโลยีและบุคลากรที่เชี่ยวชาญ จะดำเนินการด้านระบบให้สนับสนุนการพัฒนาแพลตฟอร์มด้านสาธารณสุขให้สำเร็จได้ตามกรอบเวลา และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเหตุผลที่ต้องพัฒนาแพลตฟอร์มฯดังกล่าว เพราะปัจจุบันหน่วยบริการสาธารณสุขของประเทศเป็นแบบแยกส่วน ขาดการเชื่อมโยงข้อมูลที่จะอำนวยความสะดวกให้กับประชาชน หรือผู้ใช้บริการ ดังนั้นหากพัฒนาระบบปฏิบัติการให้เป็นระบบเดียวกันหรือ single system เหมือนกับประเทศสิงคโปร์ มาเลเซีย ไต้หวัน หรือ เวียดนาม จะยกระดับมาตรฐานการให้บริการด้านสาธารณสุขกับประชาชนได้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น” นพ.อนันต์ กล่าว

นพ.อนันต์ กล่าวว่า ระหว่างการพัฒนาเทคโนโลยีระบบปฏิบัติการ สธ. จำเป็นต้องปฏิรูปข้อมูลที่จะบรรจุในแพลตฟอร์มก่อน ยอมรับว่าอาจต้องใช้เวลาสมควร เนื่องจากแต่ละหน่วยบริการขาดการบูรณาการข้อมูล ทำให้ข้อมูลกระจัดกระจาย แต่เราได้วางแผนการทำงานในระยะต่างๆ รองรับไว้แล้ว โดยในปี 2564 การเชื่อมข้อมูลทุกรมของกระทรวงสาธารณสุขจะต้องชัดเจน และในปี 2565 จะมีความชัดเจนในการบูรณาการข้อมูลกับสถานบริการสาธารณสุขของเอกชน อย่างไรก็ตาม แนวทางเร่งรัดดังกล่าวตนเตรียมเสนอไปยังนายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ฐานะฝ่ายนโยบาย ให้ขับเคลื่อนวาระดังกล่าว รวมถึงการพัฒนาแพลตฟอร์มสาธารณสุขเป็นวาระแห่งชาติ

ด้าน พ.อ.ดร.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า จากการลงนามร่วมกันระหว่าง สธ. กับ บริษัท กสท.ฯ ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จของการดำเนินนโยบายด้านสาธารณสุขของพรรคภูมิใจไทย ภายใต้การนำของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.สาธารณสุข ซึ่งเมื่อโครงการนี้สามารถทำได้อย่างเต็มรูปแบบ เชื่อว่าจะพัฒนาและยกระดับมาตรฐานการสาธารณสุขได้อย่างมาก ประชาชนไม่ต้องรอรับบริการเป็นเวลานาน ไม่ว่าจะเข้ารับบริการที่โรงพยาบาลไหน ก็สามารถเรียกข้อมูลการรักษา ข้อมูลต่างๆของผู้ป่วยมาตรวจสอบได้ทันที ทำให้เกิดความรวดเร็วในการบริการ แน่นอนหากโครงการดังกล่าวทำได้สำเร็จ ประกอบกับนโยบายด้านสาธารณสุขของพรรคภูมิใจไทย คือ Telemedicine จะเป็นการพลิกโฉมวงการแพทย์ไทยก้าวสู่ยุคดิจิทัลอย่างมีคุณภาพ รวมถึงยังเป็นพัฒนาระบบเศรษฐกิจดิจิทัลอีกด้วย

“ที่สำคัญคือการบริหารงานของรัฐบาลนี้ โดยเฉพาะวิสัยทัศน์ของผู้บริหารของกระทรวง ที่กว้างไกล เห็นความสำคัญในการปรับตัวของระบบสาธารณสุขให้เท่าทันกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อคุณภาพชีวิตประชาชน ลดความเหลื่อมล้ำ ทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงการบริการทางการแพทย์ได้อย่างรวดเร็วและทั่วถึง รวมถึงการพัฒนาระบบ และเทคโนโลยี จะทำให้เกิดความโปร่งใส ตรวจสอบคุณภาพการบริการได้ ซึ่งจะส่งผลให้การรักษาดีขึ้น เนื่องจากทุกสถานบริการสาธารณสุขต้องแข่งขันด้วยคุณภาพ เพราะเมื่อข้อมูลด้านสาธารณสุขถูกเชื่อมโยง ประชาชนสามารถรับรู้ข้อมูลสุขภาพที่ตนเองรักษาได้ จะทำให้เกิดการเลือกสรรการรักษาหรือการบริการที่ตนเองพอใจมากที่สุด” พ.อ.ดร.เศรษฐพงค์ กล่าว

สังเวชนียสถานทำไม? ทำไม?ต้องสังเวชนียสถาน

People Unity News : พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส,รศ.ดร. ผู้อำนวยการหลักสูตรสันติศึกษาและผู้อำนวยการวิทยาลัยพุทธศาสตร์นานาชาติ ม.สงฆ์ มจร รายงาน หลังจากนำนิสิตปริญญาโทและเอก หลักสูตรสันติศึกษา มจร ทัศนศึกษาแดนแห่งพุทธภูมิ ประเทศอินเดียเนปาล

ในทุกครั้งที่เราผู้ซึ่งได้เรียกขานตัวเองว่าเป็น “พุทธศาสนิกชน” เกิดความสับสนในคุณค่าและเป้าหมายสูงสุดที่ถูกเรียกขานว่า “อุดมการณ์ของการเป็นพุทธ” คืออะไร และเป็นเช่นใด

สังเวชนียสถานเป็นพุทธภูมิข้างนอก ที่จะนำพาเราเข้าถึงพุทธภูมิข้างใน ที่จะช่วยย้ำเตือนและตอบโจทย์ในใจเรา อีกทั้งย้ำเตือนมิให้เราถอยห่างจากอุดมการณ์สูงสุด คือ พระนิพพาน

การที่พระอานนท์ทูลถามหลังจากที่พุทธองค์ปลงอายุสังขารสรุปได้กระชับว่า แล้วเหล่าพุทธบริษัทจะทำอย่างไร ถ้าพระองค์ไม่อยู่กับพวกเราแล้ว พระองค์จึงย้ำว่า “สังเวชนียสถาน” จะเป็นแหล่งที่จะทำให้เกิดการระลึกนึกถึงพุทธปณิธาน และเกิดแรงบันดาลใจในการปฏิบัติเพื่อเข้าถึงอุดมการณ์สูงสุด คือ “พระนิพพาน”

หากเราขาดสติด้วยอำนาจแห่งโลกธรรม หรือหลงลืมอุดมการณ์ดังกล่าว ขอให้สละเวลา พนมมือ เจริญพุทธมนต์ ปิดเปลือกตา แล้วใช้สติระลึกรู้ เมื่อสมาธิตั้งมั่นจนปัญญาเบ่งบาน ในที่สุดจะทราบว่าเป้าหมายที่แท้จริงอยู่ตรงไหน?

การปลุกกายและกระตุ้นใจให้ปฏิบัติเช่นนั้น ย่อมไม่มีวันที่เราจะหลงไหลได้ปลื้มไปกับโลกธรรม และปล่อยตัวเผลอใจให้ไปคลุกคลี พร้อมทั้งเกลือกกลั้วกับกิเลสทั้งหลายที่เข้ามาพัวพันในแต่ละวัน

ถ้าเรามีพุทธะอยู่ในวิถี พัฒนาชีวีให้รู้ ตื่น และเบิกบาน ด้วยพลังของสติ สมาธิ และปัญญา อย่างสม่ำเสมอต่อเนื่องด้วยแล้ว ชีวิต และสังคมย่อมได้รับพลังแห่งสันติสุขในปัจจุบันทันทีตามหลักอกาลิโก คือ ปฏิบัติเมื่อใดได้รับผลเมื่อนั้น ไม่ต้องรอเวลา

แต่เพราะเราไม่ตระหนักรู้และใส่ใจต่อการกระตุ้นเตือนของพุทธองค์ที่ว่า “สูเจ้า จงมาดูโลกนี้อันตระการดุจราชรถ คนเขลาข้องอยู่ แต่ผู้มีปัญญาหาข้องอยู่ไม่” เราจึงพัดพาตัวเองถอยห่างออกไปจากอุดมการณ์ของพุทธองค์อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

ปรากฏการณ์พลัดหลงจากอุดมการณ์ดังกล่าว แม้จะทรงย้ำเตือนแล้วเตือนอีก ไม่ใช่เพิ่งเกิด ในพุทธกาลก็เกิด หลังพุทธก็เกิด ในปัจจุบันก็เกิด รวมไปถึงอนาคตก็จะยิ่งเกิดมากขึ้นเรื่อยๆ ตราบจนเข้าสู่กลียุคในที่สุด

ฉะนั้น หมู่ชนที่มิได้เป็นพุทธโดยวิญญาณ หรือวิถี จะสืบสาน รักษา และต่อยอดพระพุทธศาสนาไปเพื่อการใด เพราะเมื่อตัวเอง ชุมชน และสังคมมิได้ประโยชน์ ประโยชน์ที่เกิดจากการใช้ปริยัติ เป็นสะพานทอดเดืนไปสู่การปฏิบัติ ประโยชน์ที่ใช้อามิสบูชาเป็นสะพานทอดเดินไปสู่ปฏิบัติบูชา

ในที่สุด เมื่อหมู่ชนไม่ยึดถือธรรมและวินัยเป็นศาสดาตามที่พุทธองค์ตรัสในมหาปริพนิพพานสูตรแล้ว เราจะมีศาสดาที่แท้จริงองค์ใดให้เราได้ใช้เป็นหลักปฏิบัติในวิถีชีวิต

สุดท้ายเราก็จะหันกลับไปนับถือ และพึ่งพาสิ่งภายนอก เช่น ป่าไม้บ้าง จอมปลวกบ้าง ต้นไม้แปลกๆ บ้าง สัตว์แปลกๆ บ้าง รวมไปถึงเทพเจ้าองค์ต่างๆ เพื่อให้มาซึ่งโลกธรรมที่เป็นอิฏฐารมณ์ทั้งหลาย

ประจักษ์ชัดว่า พุทธองค์เคยเตือนประเด็นดอกบัวตามคัมภร์บาลีมี 3 เหล่า การฝึกฝนพัฒนาพุทธศาสนิกชนก็ต้องพิจารณาบริบทและตัวแปรต่างๆ ตามจริตและเหตุปัจจัย ถึงกระนั้น สิ่งที่จะต้องกระตุ้นและชักนำให้พุทธศาสนิกชนมีสติ ระมัดระวังตลอดเวลา คือ “การไม่หลงลืมอุดมการณ์หลัก” ที่พุทธองค์ได้ประกาศไว้ ให้เราได้ปฏิบัติ

แม้นว่า ชาตินี้จะไม่บรรลุถึงได้ทั้งหมด หากได้ยินได้ฟัง และได้ปฏิบัติเอาไว้บ้าง เส้นทางสู่นิพพาน ทั้งนิพพานชั่วขณะ และนิพพานระยะยาว ย่อมจักปรากฏชัดได้ในที่สุด ในปัจจุบันและภพภูมินี้และอื่นๆ ต่อไป

“อนุทิน”ลั่นไม่ใช่เล่นขายขนม! แบบ 3 สารพิษเกษตร

People Unity News : ไม่ใช่เล่นขายขนม! “อนุทิน” มั่นใจ คกก.วัตถุอันตรายชุดใหม่ยังแบนสารพิษ เพราะหลายคน เคยลงมติไปแล้ว

วันที่ 26 พฤศจิกายน 2562 ความคืบหน้าเรื่องการแบนสารพิษ หรือ พาราควอต ไกรโฟเซต และคลอร์ไพริฟอส หลังจากที่กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เสนอให้เลื่อนดำเนินการจากวันที่ 1 ธันวาคม 2562 ตามมติของคณะกรรมการวัตถุอันตราย ไปอีก 6 เดือนนั้น นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ณ วินาทีนี้ การแบนต้องเริ่มต้นวันที่ 1 ธันวาคม 2562 ตามมติของคณะกรรมการวัตถุอันตราย เดือนตุลาคม

อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการเปลี่ยนตัวคณะกรรมการวัตถุอันตราย เป็นคณะกรรมการชุดใหม่ ก็ต้องไปลุ้นว่าที่ประชุมจะมีมติอย่างไร แต่ส่วนของกระทรวงสาธารณสุข ต้องยืนยันเรื่องแบนสารพิษ เพราะให้ความสนใจกับคุณภาพ และสุขภาพชีวิตประชาชน จะไปมองมิติอื่นไม่ได้ ยิ่งผู้บริหารของกระทรวง ออกมาแสดงจุดยืนแล้วว่าสารพิษมีอันตรายต่อสุขภาพ เท่ากับชัดเจนไปแล้วว่ากระทรวงสาธารณสุข คิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้ ต้องย้ำว่าจุดยืนของเราไม่มีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่สารทั้ง 3 ตัวมีอันตรายจริงๆ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ดูแลสุขภาพประชาชน ต้องแบนทุกอย่างที่ทำร้ายสุขภาพประชาชน ส่วนฝ่ายคัดค้านที่จะมาชุมนุม เราก็พร้อมรับฟังความเห็น และหาทางออกร่วมกัน บนพื้นฐานของการทำงานเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ที่สุขภาพของประชาชน ต้องมาก่อน

“เรื่องแบนสารพิษที่สุดแล้ว ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคณะกรรมการวัตถุอันตรายชุดใหม่ ซึ่งคณะกรรมการชุดใหม่ หลายคนมาจากคณะกรรมการชุดเดิม ที่โหวตแบนสารพิษด้วยสัดส่วนคะแนน 3 ต่อ 1 เมื่อมาทำงานในชุดใหม่ เขาคงไม่เล่นขายขนม เปลี่ยนไป เปลี่ยนมา สำหรับจำนวนคณะกรรมการของกระทรวงสาธารณสุข ในคณะกรรมการชุดใหม่ ถูกตัดเหลือ 2 ท่าน แต่ทั้ง 2 ท่าน มีจุดยืนชัด คือต้องแบนสารพิษ”

“เจ้าคุณประสาร”ถอดเขี้ยวเล็บ! มุ่งงานสอนหนังสือเป็นหลัก

People Unity News : “เจ้าคุณประสาร” ร่วมเวทีเสวนาวิชาการ มธ. ถกประเด็น “ถ้าไม่ยกย่องก็อย่าเหยียบย่ำ : การเคลื่อนไหวของพระสงฆ์ในบริบทการเมืองร่วมสมัย” เผยอดีตทำหน้าที่เพื่อส่วนรวมเป็นหลักไม่เกี่ยวกับการเมือง ปัจจุบันมุ่งงานสอนหนังสือเป็นหลัก

วันที่ 25 พฤศจิกายน 2562 พระเมธีธรรมาจารย์ หรือเจ้าคุณประสาร รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) ฝ่ายวางแผนและพัฒนา เปิดเผยว่า ได้ร่วมการเสวนาทางวิชาการที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งคณะสังคมวิทยาและมนุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดโครงการเสวนาวิชาการนับถอยหลังสู่วาระครบรอบ 55 ปี ของคณะ “No Man’s Land: คน สัตว์ สิ่งของ” ซึ่งมีกิจกรรมเสวนาวิชาการจำนวน 3 ครั้ง ระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2562 ถึงเดือนมกราคม 2563 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ทบทวน เปิดประเด็นร่วมสมัย และมุมมองใหม่ขององค์ความรู้ทางสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา

การจัดกิจกรรมเสวนาวิชาการวันนี้ ครั้งที่ 1 เรื่อง “ถ้าไม่ยกย่องก็อย่าเหยียบย่ำ : การเคลื่อนไหวของพระสงฆ์ในบริบทการเมืองร่วมสมัย” เพื่อร่วมฉลองในวาระครบรอบ 55 ปี ของการก่อตั้งคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา และแลกเปลี่ยนความรู้ความเข้าใจประเด็นสำคัญอันเป็นประโยชน์ต่อสังคม วิทยากรประกอบด้วย อาตมา อ.ดร.ประกีรติ สัตสุต จากคณะสังคมวิทยามนุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้ทำวิจัยเรื่องนี้ ดำเนินการโดย อ.ดร.เอกสิทธิ์ หนุนภักดี คณะสังคมวิทยาและมนุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

“วันนี้ส่วนตัวอาตมานั้นถือว่าเป็นเวทีทางวิชาการที่น่าสนใจโดยเฉพาะประเด็นการเคลื่อนไหวของพระสงฆ์ในสังคมไทยนั้น อ.ดร.ประกีรติ นักวิชาการหนุ่ม นักเรียนนอก อาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้นำเสนอผลงานในเรื่องนี้ได้ศึกษาวิจัย ค้นคว้าอ้างอิงมาอย่างดีเยี่ยม อาตมาเพียงไปถ่ายทอดประสบการณ์ที่ผ่านมาให้ฟังโดยเน้นย้ำ

1.ที่ผ่านมาทำเพื่อความมั่นคงของพระพุทธศาสนาในสังคมไทย 2.ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเมือง นักการเมือง วัดใดวัดหนึ่ง บุคคลใดบุคคลหนึ่ง โดยเฉพาะแต่ทำเพื่อคณะสงฆ์และพระพุทธศาสนาโดยรวม 3.ยอมรับในกฎกติกาที่เกิดขึ้น 4.ยอมรับการวิพากษ์วิจารณ์ในฐานะพระสงฆ์เป็นคนสาธารณะ 5.ปัจจุบันมุ่งงานสอนหนังสือเป็นหลัก

“ท้ายสุดได้เน้นย้ำว่า ขอบคุณอ.ดร.ประกีรติ สัตสุต และคณะสังคมวิทยาและมนุษยวิทยา มธ.ที่ได้ทำวิจัยในเรื่องนี้ และจัดเสวนารับฟังความคิดเห็นสาธารณะในเชิงวิชาการ อันนี้จะเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่ายคือการพูดจากันด้วยหลักฐานเชิงเหตุผล ไม่ใช้อารมณ์และแบ่งแยก ถ้าเราทำงานเพื่อพระพุทธศาสนาและคณะสงฆ์โดยมุ่งหวังให้เกิดสันติสุขในสังคมและมีจิตอันแน่วแน่ในการพิทักษ์ปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนาเราก็สบายใจ” พระเมธีธรรมาจารย์ ระบุ

People Unity News : “อสม.อนุทิน”สุดปลื้มได้รับบัตรแล้ว! ประกาศจะเสียสละ อุทิศตน ทำงานเพื่อสุขภาพของประชาชนในชุมชน โดยไม่รับค่าตอบแทน

People Unity News : “อสม.อนุทิน”สุดปลื้มได้รับบัตรแล้ว! ประกาศจะเสียสละ อุทิศตน ทำงานเพื่อสุขภาพของประชาชนในชุมชน โดยไม่รับค่าตอบแทน

วันที่ 25 พฤศจิกายน 2562 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวความว่า

อสม.อนุทิน ชาญวีรกูล

ไม่มีวิธีใดที่จะเข้าใจคนทำงานได้ดีเท่าลงมือทำงานด้วยตัวเอง

เพื่อให้ได้รู้ เข้าใจ หัวใจ น้ำใจ เจตนารมณ์ อุดมการณ์ ที่ทำให้คนกลุ่มหนึ่ง เสียสละ และอุทิศตน เพื่อสุขภาพของประชาชนในชุมชน และ ส่วนรวม ที่เราเรียกว่า อสม. ได้ดียิ่งขึ้น

เราก็ต้องเป็น อสม. ด้วยตนเอง และ ทำงานเป็นอาสาสมัครสาธารณสุข ด้วยตัวเอง

ต่อไป เวลาเจอกัน เราจะได้ทักทายกันแบบ เพื่อนอสม.
ไม่ใช่แบบ รัฐมนตรี กับ อสม.
และร้องเพลง อสม. ไปด้วยกัน

“..พวกเรา อสม
ไม่เคยย่นย่อ
งานต่อต้านโรคภัย
อสม.ขอทุ่ม จิตเทใจ
ช่วยเหลือคนไทย
ทั่วเมืองไทยให้รุ่งเรือง
โรคร้าย กล้ำกรายเมื่อไรก็ช่าง
พวกเราตั้ง ใจปัดภัยหนุนเนื่อง
อสม ขอชนทั่วมุมเมือง
เข้าใจในเรื่อง
เบื้องต้นการปฐมพยาบาล..”

แค่ได้รับบัตร ก็ภาคภูมิใจแล้ว จะตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ อสม. อย่างเต็มความสามารถ ครับ

ปล. อสม.อนุทิน ไม่รับค่าป่วยการ หรือ ค่าตอบแทน นะครับ

สธ.รณรงค์เดือนพฤศจิกายน“ต้านภัยมะเร็งปอด”

People Unity News : กระทรวงสาธารณสุข โดยสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ เชิญชวนคนไทยร่วมใจต้านภัยมะเร็งปอดในเดือนพฤศจิกายน แนะประชาชนตรวจคัดกรองในรายที่เสี่ยงสูงต่อการเป็นมะเร็งปอด เป็นทางเลือกหนึ่งที่สามารถค้นพบผู้ป่วยระยะเริ่มต้นให้ได้เข้ารับการรักษาตั้งแต่แรก ๆ จะช่วยลดความเสี่ยงและลดการเสียชีวิตลงได้

วันที่ 25 พฤศจิกายน 2562 ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า โรคมะเร็งเป็นปัญหาสำคัญทางสาธารณสุขของทุกประเทศทั่วโลก กระทรวงสาธารณสุข โดยสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ ได้เล็งเห็นและตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาโรคมะเร็งปอดที่คนทั่วโลกป่วยและเสียชีวิตมากที่สุด สำหรับประเทศไทยโรคมะเร็งปอดเป็นมะเร็งที่พบมาก เป็นอันดับที่ 2 ในเพศชาย และอันดับ 5 ในเพศหญิง สถาบันวิจัยมะเร็งนานาชาติ องค์การอนามัยโลก รายงานว่า มีผู้ป่วยรายใหม่ทั่วโลก 2 ล้านคนต่อปี และเสียชีวิต 1.7 ล้านคนต่อปี และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ พบคนไทยป่วยเป็นมะเร็งปอดเพิ่มขึ้นวันละ 42 คน (Cancer in Thailand Vol. IX 2013-2015) และเสียชีวิตถึงวันละ 38 คน (สถิติสาธารณสุข พ.ศ.2560 กองยุทธศาสตร์และแผนงาน สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข) ซึ่งปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญของโรคมะเร็งปอด คือ การสูบหรือรับควันบุหรี่ พันธุกรรม และการสัมผัสสารก่อมะเร็ง อาทิ ก๊าซเรดอน แร่ใยหิน รังสี ควันธูป ควันจากท่อไอเสีย และมลภาวะทางอากาศ โดยเฉพาะฝุ่น PM 2.5

นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า อาการของมะเร็งปอดที่พบบ่อย ได้แก่ ไอเรื้อรัง ไอมีเสมหะปนเลือด หายใจลำบาก เหนื่อยหอบ มีเสียงหวีด เสียงแหบหรือเสียงเปลี่ยนไป เจ็บหน้าอกหรือหัวไหล่ ปอดติดเชื้อบ่อย เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด หากมีอาการผิดปกติเหล่านี้เกิดขึ้นต่อเนื่องเกินกว่า 3 สัปดาห์ ควรรีบปรึกษาแพทย์ แม้ว่าปัจจุบันยังไม่มีวิธีการตรวจคัดกรองมะเร็งปอด ที่มีประสิทธิภาพในระดับประเทศ แต่มีคำแนะนำให้ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงสูงในการเกิดมะเร็งปอดเข้ารับการตรวจ คัดกรองโดยการเอกซเรย์ปอดเป็นประจำทุกปี การรักษาในปัจจุบัน ได้แก่ การผ่าตัด การให้ยาเคมีบำบัด การฉายรังสี และการรักษาโดยให้ยามุ่งเป้าทำลายเซลล์มะเร็ง ซึ่งขึ้นอยู่กับระยะของโรค ดังนั้น การตรวจคัดกรองในรายที่เสี่ยงสูงต่อการเป็นมะเร็งปอด จึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่สามารถค้นพบผู้ป่วยระยะเริ่มต้นให้ได้เข้ารับการรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงและลดการเสียชีวิตลงได้ สิ่งสำคัญที่สุดในการป้องกันมะเร็งปอด คือ “เลิกสูบบุหรี่” เพื่อตัวคุณเอง ครอบครัวและสังคมรอบข้าง หมั่นตรวจร่างกายเป็นประจำ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอและรับประทานอาหารที่มีประโยชน์

“พม.”อบรมจิตอาสาพร้อมเป็น “อพม.ที่มีหัวใจ ผู้ให้”

People Unity News : “พม.”อบรมจิตอาสาพร้อมเป็น “อพม.ที่มีหัวใจ ผู้ให้” ตั้งเป้า 5 แสนคน หวังเพิ่มทักษะความชำนาญเฉพาะด้าน

วันที่ 25 พฤศจิกายน 2562 เวลา 10.00 น. ที่ห้องประชุมชั้น 2 กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานเปิดโครงการอบรม “อพม.ใหม่” เชี่ยวชาญด้านคนพิการและผู้สูงอายุ และเป็นเครือข่ายต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ” ประจำปีงบประมาณ 2563 เพื่อเป็นการอบรมให้ความรู้กับประชาชนทั่วไปที่มีจิตอาสา และสนใจเข้าร่วมเป็นอพม. ซึ่งในระยะแรกมีการดำเนินการอบรม 6 รุ่นๆ ละ 150 คน รวมทั้งสิ้น 900 คน โดยอบรมรุ่นละ 2 วัน

นายจุติ กล่าวว่า กระทรวง พม. จะมีการขับเคลื่อนนโยบายการบูรณาการงานอาสาสมัครให้เป็นหนึ่งเดียว ภายใต้นโยบาย “อ. เดียว” ที่ให้อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ช่วยเหลือคนพิการ (อพมก.) และอาสาสมัครดูแลผู้สูงอายุ (อผส.) เป็นอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ทำงานร่วมกันอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อเป็นพลังสำคัญในการให้ความช่วยเหลือประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมายที่ประสบปัญหาทางสังคม และเข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของงานจิตอาสา เพื่อการช่วยเหลือสังคม อีกทั้งร่วมกันสืบสาน รักษา ต่อยอด และสร้างสุขให้กับประชาชนในสังคมภายใต้แนวคิด “เราทำความดี ด้วยหัวใจ” และเป็น “อพม. ที่มีหัวใจ ผู้ให้” โดยมีเป้าหมายเดียวกัน คือ “สังคม ปันความสุข”

นายจุติ กล่าวด้วยว่า โครงการนี้เป็นการบูรณาการร่วมกันระหว่างหลายกรมในกระทรวงพม. ทุกกรมได้เข้ามาร่วมกันทำงาน เพราะเราต้องการอาสาสมัครพัฒนาสังคมเป็นจำนวนมาก โดยเราจะเป็นวันโฮมคือมีหนึ่งเดียวที่เป็นอาสาสมัครพัฒนาสังคมไม่ได้เป็นของกรมใด แต่อยู่ที่แต่ละคนที่อยากจะทำว่ามีความชำนาญเฉพาะในด้านไหน เช่น ในเรื่องคนพิการ ผู้สูงอายุ เด็ก หรือเรื่องสตรี และเราได้มีการประเมินเพื่อเตรียมการรองรับสังคมผู้สูงอายุที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

“กระทรวงพม. จะเริ่มอบรมให้ทักษะความรู้กับอาสาสมัครพัฒนาสังคมทั้งประเทศ โดยตั้งเป้าไว้ ประมาณ 5 แสนคน และต้องให้เขาได้รับรู้ความเปลี่ยนแปลงของโลก รับรู้เรื่องผลกระทบจากเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป ว่าสังคมเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร เขาจะได้เข้าใจกลุ่มเป้าหมายว่า มีผลกระทบอย่างนี้จะต้องมีการจัดการกับปัญหาอย่างไร หลักที่เราพยายามให้คือให้ทุกคนมีทักษะ และสร้างอาชีพให้ทุกคนพึ่งพาตนเอง อย่าไปพึ่งระบบสงเคราะห์” นายจุติ กล่าว

นายจุติ กล่าวอีกว่า ปัจจุบัน อพม. ที่ทำงานอยู่ขณะนี้มีประมาณ 9 หมื่นคน เรามีข้อตกลงกับ อพม. ว่าในปลายปีนี้ ขอให้ประธาน อพม. จังหวัดช่วยขยายคน โดยจะสอดคล้องกับตัวเลขของกรมกิจการผู้สูงอายุ และกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการที่วิเคราะห์ไว้ว่า ถ้าจะดูแลให้ทั่วถึงได้อย่างมีคุณภาพน่าจะมีอาสาสมัครไม่ต่ำกว่า 5 แสนคน ซึ่งทุกอย่างเป็นจิตอาสาไม่มีค่าตอบแทน ไม่มีเงินเดือน ทุกคนที่เข้ามาร่วมมีต้นทุนที่เหมือนกันคือหัวใจที่ยิ่งใหญ่ โดยหวังว่าจะเป็นสังคมที่ดีขึ้นในอนาคต

มูลนิธิต่อต้านการทุจริตร่วมกับ”ม.สงฆ์ มจร” จัดบรรพชาสามเณรช่อสะอาดแดนพุทธภูมิ

People Unity News : มูลนิธิต่อต้านการทุจริตร่วมกับหลักสูตรสันติศึกษาและวิทยาลัยพุทธศาสตร์นานาชาติ “มจร” พัฒนาเยาวชนช่อสะอาด จัดพิธีบรรพชาใต้ต้นศรีมหาโพธิ์พุทธคยาอินเดีย จำนวน 21 รูป พร้อมจาริกตามรอยพระบาทพระศาสดาสังเวชนียสถานทั้ง 4 ตำบล

วันที่ 24 พฤศจิกายน 2562 เวลา 16.00 น.ตามเวลาท้องถิ่น ที่ใต้ต้นศรีมหาโพธิ์พุทธคยา ประเทศอินเดีย พระธรรมโพธิวงศ์ เจ้าอาวาสวัดไทยพุทธคยา หัวหน้าพระธรรมทูตสาย ประเทศอินเดีย-เนปาล เป็นพระอุปัชฌาย์บรรพชากุลบุตรจำนวน 21 คน ใน “โครงการพัฒนาเยาวชนแกนนำช่อสะอาดตามแนวทางพระพุทธศาสนา นำเยาวชนไทยไปอินเดียเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าป้องกันการทุจริต ” รุ่นที่ 3 ซึ่งวิทยาลัยพุทธศาสตร์นานาชาติ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) และมูลนิธิการต่อต้านการทุจริตจัดขึ้น ภายใต้การนำของ ศาสตราจารย์พิเศษวิชา มหาคุณ ประธานกรรมการ ที่มอบหมายให้นายประหยัด พวงจำปา รองเลขาธิการคณะกรรมการ ปปช. และรองประธานกรรมการมูลนิธิ เป็นผู้นำคณะ

สามเณรช่อสะอาด 21 รูปนี้ พร้อมใจกันบวชด้วยศรัทธา ระหว่างวันที่ 24-30 พฤศจิกายน 2562 คณะสามเณรจะออกเดินทางจาริกตามรอยพระบาทพระศาสดาในสังเวชนียสถานทั้ง 4 ตำบล โดยได้รับความรู้ตลอดการลงพื้นที่จริง อีกท้ังยังได้รับฟังธรรมบรรยายจากพระธรรมวิทยากรผู้มากด้วยความรู้อีกด้วย

“กนกวรรณ”ตรวจสนามกีฬาร.ร.กีฬาอุบลฯ เตรียมแข่งกีฬา กศน.เกมส์ครั้งที่ 5

People Unity News : “กนกวรรณ” เสมา 3 ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมความพร้อมของสนามกีฬาโรงเรียนกีฬาจังหวัดอุบลฯ เพื่อเตรียมการในการแข่งขันกีฬา กศน.เกมส์ ครั้งที่ 5 ปลื้ม กศน.อุบลเดินหน้าจัดการศึกษาเพื่อผู้ด้อยโอกาสได้ตามเป้า

วันที่ 24 พฤศจิกายน 2562 ดร.กนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมคณะทำงาน รมช. และ นายธฤติ ประสานสอน ผอ.กศน.จังหวัดอุบลราชธานี ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบความพร้อมของสนาม ณ โรงเรียนกีฬาจังหวัดอุบลราชธานีเพื่อใช้ในการแข่งขันกีฬา กศน. ทั่วประเทศ ครั้งที่ 5 ใน “กศน.เกมส์” ระหว่างวันที่ 19-21 กุมภาพันธ์ 2563

สำหรับกิจกรรมมีการแข่งขันกีฬาทั้งหมด 5 ประเภท ได้แก่  กรีฑาฟุตบอล, วอลเลย์บอล,ตะกร้อ, เปตองผสม และกอล์ฟ ซึ่งการจัดการแข่งขันกีฬาดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนให้ นักศึกษา กศน. ผู้บริหารหน่วยงาน/สถานศึกษา ครู กศน. บุคลากรทางการศึกษา พนักงานราชการ และข้าราชการพลเรือน ในสังกัดสำนักงาน กศน.ได้เล่นกีฬาและออกกำลังกายอย่างถูกวิธี และเสริมสร้างสัมพันธภาพอันดีระหว่างนักศึกษา กศน. ผู้บริหารหน่วยงาน/สถานศึกษา ครู กศน. บุคลากรทางการศึกษา พนักงานราชการ และข้าราชการพลเรือน ในสังกัดสำนักงาน กศน.

ปลื้ม กศน.อุบลเดินหน้าจัดการศึกษาเพื่อผู้ด้อยโอกาสได้ตามเป้า

อย่างไรก็ตามเมื่อวันที่ 23 ดร.กนกวรรณ พร้อมด้วย นายสมเกียรติ ตันดิลกตระกูล ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และคณะเดินทางไปตรวจเยี่ยมกิจกรรมการเรียนการสอนกลุ่มเด็กเร่ร่อนที่ชุมชนท่าบ้งมั่ง เทศบาลเมืองวารินชำราบ โดย กศน. อำเภอวารินชำราบ จ.อุบลราชธานี ซึ่งในวันนี้ รมช.ศธ.ได้ให้กำลังใจครู กศน.และสอบถาม พูดคุยถึงสภาพปัญหาพร้อมมอบสื่อการเรียน การสอน ผ้าห่มแก่กลุ่มเด็กเร่ร่อนที่มาเรียนในวันนี้จำนวน 20 คน ด้วยความห่วงใย

รมช.ศธ.ได้เปิดเผยว่า ตนมีความตั้งใจในการลงพื้นที่ในครั้งนี้เพื่อติดตามผลการดำเนินงานตามนโยบาย ที่เคยมอบให้ผอ.กศน.จังหวัดอุบลราชธานีไปขับเคลื่อนตั้งแต่คราวลงพื้นที่เมื่อเดือนกันยายน ที่ผ่านมา ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีและขอบคุณ กศน.จังหวัดอุบลราชธานีที่ได้นำข้อสั่งการ และนโยบายจัดการศึกษาเพื่อผู้ด้อยโอกาส โดยเฉพาะกลุ่มเด็กเร่ร่อนและผู้พิการ ไปขับเคลื่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอเมืองอุบลราชธานี  (กศน.อำเภอเมืองอุบลราชธานี) ได้จัดการศึกษานอกระบบสำหรับ เด็กด้อยโอกาส มาตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2552 จนถึงปัจจุบัน มีบุคลากรครูที่รับผิดชอบ จำนวน 4 คน กลุ่มเป้าหมาย ทั้งสิ้น จำนวน 101 คน  กระจายอยู่ในพื้นที่ชุมชนแออัดของอำเภอเมืองอุบลราชธานีและอำเภอวารินชำราบ จำนวน 11 ชุมชน  เนื่องด้วยสภาพแวดล้อมของชุมชนเมือง ที่มีความเหลื่อมล้ำของผู้คนที่มาจากต่างถิ่น เข้ามาอาศัยอยู่ในพื้นที่  ซึ่งกลุ่มเป้าหมายดังกล่าวเป็นผู้ด้อยโอกาส  เนื่องจากเข้าไม่ถึงการบริการ  สวัสดิการต่างๆของภาครัฐ ด้วยองค์ประกอบหลายด้าน

“จึงต้องการความช่วยเหลือ การพัฒนา เพื่อสามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขตามอัตภาพ  ไม่สร้างความเดือดร้อนหรือเป็นภาระของสังคม  โดยที่นี่มีการจัดการศึกษานอกระบบสำหรับเด็กด้อยโอกาส ตามกรอบนโยบาย  และภารกิจของสถานศึกษา ประกอบด้วย การจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน การจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะชีวิต  การจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาอาชีพ การจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาสังคมและชุมชน และการจัดการศึกษาตามอัธยาศัย โดยการประสานการดำเนินงานร่วมกับภาคีเครือข่าย เช่น เทศบาลนครอุบล เทศบาลเมืองวารินชำราบ   โรงเรียนพุทธเมตตา(วัดไชยมงคล)  สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พมจ.) นับว่าเป็นผลความก้าวหน้าในการขับเคลื่อนนโยบายสู่การปฏิบัติของพื้นที่เป้าหมายได้อย่างดีระดับหนึ่ง” ดร.กนกวรรณ กล่าว

จากนั้น รมช.ศธ.พร้อมคณะ เดินทางไปตรวจเยี่ยมการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนสำหรับผู้สูงอายุ ณ โรงเรียนผู้สูงอายุ กศน.อำเภอเดชอุดม จ.อุบลราชธานี โรงเรียนผู้สูงอายุ กศน.อำเภอเดชอุดม เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2561 โดยเป็นสถานศึกษาที่เกิดจากการลงนามความร่วมมือในการจัดการศึกษา ระหว่าง เทศบาลตำบลเมืองเดช และ กศน.อำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี ที่มีวัตถุประสงค์มุ่งพัฒนาศักยภาพให้แก่ผู้สูงอายุภายใต้แนวคิด “การศึกษานอกโรงเรียนเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต” โดยมีผู้สูงอายุในพื้นที่เขต อบต.เมืองเดช ให้ความร่วมมือในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนร่วมกันทุกวันอังคารของสัปดาห์ เน้นการพัฒนาผู้สูงอายุด้วยการเรียนเพื่อพัฒนาศักยภาพชีวิต การเรียนเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต และการเรียนเพื่อพัฒนาสุขภาพชีวิต ผ่านการถ่ายทอดความรู้อย่างเป็นระบบที่ผู้สูงอายุจะได้เรียนรู้อย่างสนุกสนาน เกิดทักษะด้านการดูแลตัวเอง และพึ่งพาตัวเองได้ในระดับพื้นฐาน ทำให้ผู้สูงอายุมีสุขภาพกายสุขภาพใจที่ดีขึ้น มีสังคม เพื่อน ฝูง ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน เกิดประโยชน์แก่ตัวผู้เรียนรวมถึงการพัฒนาความสามารถทางกาย จิต สังคม ปัญญา และ เศรษฐกิจ เพื่อให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิต และเห็นคุณค่าในตนเองยิ่งขึ้น

ดร.กนกวรรณ ได้กล่าวขอบคุณ ทุกฝ่ายที่จัดกิจกรรม เพื่อผู้สูงอายุ ซึ่งในอนาคตผู้สูงอายุจะมีศักย ภาพมากขึ้น จึงขอให้ผู้สูงอายุอย่าอายที่จะมาร่วมแลกเปลี่ยน เรียนรู้ ประสบการณ์แก่กัน และเน้นย้ำให้สอดแทรกและปลูกฝังความสำคัญ ความเข้าใจที่ถูกต้องของสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ รวมไปในกิจกรรมต่าง ๆ ด้วย

ดร.ดิศกุล เกษมสวัสดิ์ เลขาธิการ กศน. เปิดเผยว่า ขณะนี้ กศน.ได้ตั้งคณะทำงานและประชุมร่างแผนพัฒนาการศึกษาสำหรับเด็กด้อยโอกาส(เร่ร่อน)​และผู้พิการ เพื่อนำไปสู่การขับเคลื่อนนโยบายในการปฎิบัติของพื้นที่ให้บรรลุเป้าหมายครอบคลุมทุกมิติต่อไป

นายธฤติ ประสานสอน ผู้อำนวยการ กศน.จังหวัดอุบลราชธานี กล่าวเพิ่มเติมว่า สำนักงาน กศน.จังหวัดอุบลราชธานีได้จัดกิจกรรมส่งเสริมคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการโดยมีการจัดตั้งชมรมผู้สูงอายุครอบคลุมทั้ง 25 อำเภอ ซึ่งมีการดำเนินงานร่วมกับภาคีเครือข่ายในชุมชน จัดกิจกรรมที่มุ่งเน้นการพัฒนาแบบองค์รวม เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในชุมชนให้สามารถดำเนินชีวิตอย่างมีความสุขและมีคุณค่าในสังคมต่อไป

Verified by ExactMetrics