วันที่ 11 พฤษภาคม 2024

รองโฆษกพรรคเพื่อชาติชี้ 3 เหตุผล ทำประเทศวิกฤตรอบใหม่

People Unity News : ดร.รยุศด์ บุญทัน รองโฆษกพรรคเพื่อชาติ ชี้ไม่มีใครปลุกคนลงถนนได้ นอกจากตัวรัฐบาลเอง แนะพลเอกประยุทธ์ และเครือข่ายอำนาจทั้งหลาย ศึกษาประวัติศาสตร์ เรียนรู้อดีตอย่าปลุกม็อบนำความขัดแย้งกลับมา ชี้ 3 เหตุผล ทำประเทศวิกฤตรอบใหม่

วันที่ 24 พฤศจิกายน 2562 ดร.รยุศด์ บุญทัน รองโฆษกพรรคเพื่อชาติ แสดงความเห็นต่อสถานการณ์และบรรยากาศทางการเมืองว่า ณ ห้วงเวลานี้ ถือเป็นความท้าทายและยากลำบากสำหรับรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่จะต้องรับศึกหนักรอบด้าน ทั้งปัญหาความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติที่มีต่อเศรษฐกิจของประเทศ ภายใต้สภาวะข้าวยากหมากแพงเศรษฐกิจปากท้องของคนในประเทศที่กำลังได้รับผลกระทบมากขึ้นเรื่อยๆ โดยที่ประชาชนไม่รู้จะฝากความหวังไว้กับใคร ไม่รวมถึงวิกฤตศรัทธาความไว้เนื้อเชื่อใจและข้อสงสัยของประชาชนที่มีต่อรัฐบาลและองค์กรอิสระที่เป็นผู้ใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญในหลายกรรมหลายวาระด้วยกัน ดังนั้น ตนจึงอยากฝากไปถึงพลเอกประยุทธ์ และเครือข่ายวงศ์วานว่านเครือ รวมไปถึงผู้ถืออำนาจทั้งหลายว่า ขอให้เรียนรู้และศึกษาจากอดีตให้มาก อย่าให้ประวัติศาสตร์ต้องเดินซ้ำรอย อย่าต้องให้เกิดความสูญเสียและความขัดแย้งขึ้นอีก เพราะตนเชื่อว่า ณ วันนี้คงไม่มีใครอยากเห็นและอยากให้เกิดขึ้นอีก และก็คงไม่มีใครมีพลังอำนาจเพียงพอที่จะสามารถปลุกคนลุกขึ้นมาเดินบนท้องถนนได้ นอกจากการกระทำและพฤติกรรมของผู้ถืออำนาจและรัฐบาลเอง ที่สำคัญวันนี้ทุกฝ่ายต่างก็เห็นตรงกันแล้วว่าท้ายสุดความขัดแย้งทางการเมืองที่นำมาสู่ความขัดแย้งของประเทศในอดีตนั้นไม่ใช่ทางออกของประเทศ ไม่มีใครชนะ แต่ที่แพ้มากที่สุดคือประชาชนและคนไทยทั้งประเทศ

ดร.รยุศด์ กล่าวต่อว่า การเกิดขึ้นทั้งของกลุ่มพันธมิตรฯ กปปส . นปช. หรือ กลุ่มเสื้อสีต่างๆ ในอดีต ตนมองว่าไม่ได้ผิด แต่หากต้องเป็นการต่อสู้กันทางการเมือง ต่อสู้กันในเชิงหลักการและต่อสู้กันในเชิงความคิด ที่จะต้องไม่มีการสูญเสียเกิดขึ้นอีกแล้ว ณ จุดนี้ ตนคิดว่ารัฐบาลและผู้มีอำนาจต้องเข้าใจ และต้องเรียนรู้ศึกษาประวัติศาสตร์ เพื่อไม่ให้เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นอีกครั้ง และในฐานะที่ตนเป็นนักการเมืองรุ่นใหม่ ก็อยากเห็นการเมืองในแบบใหม่ที่สร้างสรรค์ เป็นการเมืองที่เราสามารถแข่งขันกันที่ผลงานได้อย่างเสรี และเป็นธรรม เพื่อเป็นความหวัง และเป็นประโยชน์ของประเทศและประชาชนอย่างแท้จริง ดังนั้น ตนจึงอยากฝากไปถึงพลเอกประยุทธ์ และวงศ์วานว่านเครือผู้ถืออำนาจทั้งหลาย ว่า ประเทศอาจจะเดินไปสู่วิกฤตรอบใหม่และประชาชนอาจลุกขึ้นมาบนท้องถนนได้อีกครั้ง หาก 1)รัฐบาล ผู้มีอำนาจหรือผู้ปกครองประเทศไร้ซึ่งความธรรม ใช้กลไกทางกฎหมายเป็นเครื่องมือกำจัดอีกฝ่าย ภายใต้กติกาที่ตนเองได้เปรียบ ฝ่ายผู้มีอำนาจจะทำอะไรก็ไม่ผิด เกิดบรรทัดฐานและตรรกะทางคุณธรรมจริยธรรมที่ผิดเพี้ยนในสังคม 2)มองความเห็นต่างของคนรุ่นใหม่ และพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามที่พยายามเสนอสิ่งใหม่ๆเป็นศัตรู และต้องการกำจัดกลุ่มคนเหล่านี้ 3)ระบบนิติธรรม และนิติรัฐของประเทศขาดสมดุล กระบวนการยุติธรรมของประเทศถูกแทรกแซง สร้างความเคลือบแคลงสงสัยถึงความไม่เป็นธรรมให้เกิดขึ้นกับสังคมส่วนใหญ่

“วัชระ”แฉ ขรก.รายงานเท็จ”ประธานชวน”กรณีสอบ”สรศักดิ์”ล่าช้า

People Unity News : “วัชระ”อดีตส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ แฉ ขรก.รายงานเท็จ”ประธานชวน”กรณีสอบ”สรศักดิ์”ล่าช้า

วันที่ 24 พฤศจิกายน 2562 นายวัชระ เพชรทอง อดีตส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีที่นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ออกมาให้สัมภาษณ์ถึงสาเหตุของความล่าช้าในการสอบสวนความผิดวินัยร้ายแรงต่อนายสรศักดิ์ เพียรเวช เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เนื่องจากผู้ร้องคือตนเองไม่ได้มาให้ข้อเท็จจริง แล้วกลับมีการยื่นคัดค้านกรรมการตรวจสอบเรื่องนี้ เพราะไม่เชื่อว่าจะให้ความเป็นธรรมได้นั้น ถือว่าเป็นข้อเท็จจริงที่คลาดเคลื่อนอย่างยิ่ง ก่อให้เกิดความเสียหายต่อทั้งตนเองและประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นอย่างมาก เพราะความจริงนั้นได้ไปให้การกับคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงที่มีนายนัฑ ผาสุข เลขาธิการวุฒิสภาเป็นประธาน เมื่อวันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน 2562 เวลา 10.15 น.ที่อาคารสุขประพฤติ ตรงกำหนดระยะเวลาตามหนังสือที่คณะกรรมการได้นัดไว้ โดยมีพยานคือนายวิลาศ จันทร์พิทักษ์ อดีตประธานคณะกรรมาธิการปปช.สภาผู้แทนราษฎรเป็นพยานและเป็นผู้ให้การกล่าวโทษนายสรศักดิ์ เพียรเวช เพิ่มเติมอีกด้วย

และในวันนั้นยังได้ยืนยันความผิดของนายสรศักดิ์ พร้อมส่งพยานเอกสารการคุกคามทางเพศของนายสรศักดิ์ เพียรเวชที่กระทำต่อข้าราชการสุภาพสตรีซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของนายสรศักดิ์เพิ่มเติมต่อนายนัฑ ผาสุข รวมทั้งคัดค้านกรรมการสืบสวนอย่างมีเหตุผลและเอกสารของทางราชการรองรับว่ากรรมการทุกคนมีผลประโยชน์ทับซ้อน มีส่วนได้ส่วนเสียกับนายสรศักดิ์และได้ส่งพยานหลักฐานเอกสารของทางราชการที่ระบุชื่อกรรมการแต่ละคน ตั้งแต่นายนัฑ ผาสุขว่าเกี่ยวพันกับนายสรศักดิ์อย่างไรโดยให้เอกสารกับมือของกรรมการทุกคนเป็นรายบุคคลครบทั้งคณะอีกด้วย

นายวัชระ ระบุว่า ตนเองมีพยาน2คนเข้าไปนั่งเป็นสักขีพยานตลอดจนจบคำให้การในประเด็นของการคุกคามทางเพศครบทุกถ้อยกระบวนความที่ให้กรรมการได้เห็นจนสามารถชี้มูลความผิดวินัยร้ายแรงตามกฎของก.ร.ได้ทันที และได้ขอให้ทบทวนคณะกรรมการชุดนี้เพราะจะเกิดความไม่เที่ยงธรรมดังเหตุผลที่กล่าวมา ซึ่งบัดนี้ได้ครบกำหนดเวลา 15 วันแล้ว แต่ก็ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ

ทั้งนี้ นายวัชระยังได้ส่งภาพการให้การของตนเองและของนายวิลาศในคณะกรรมการสืบสวนชุดนายนัฑเป็นประธานเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน มาด้วย พร้อมกับขอให้ตั้งกรรมการสอบผู้ที่รายงานเท็จต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรโดยด่วนที่สุดต่อไป ซึ่งจะมีการยื่นหนังสือในเรื่องนี้ต่อนายชวน หลีกภัย ในวันจันทร์ที่ 25 พ.ย.นี้ เวลา 11.00น.ที่สภาผู้แทนราษฎร โดยนายวัชระ ได้ระบุทิ้งท้ายว่า พวกเขากล้าแม้กระทั่งรายงานเท็จต่อนายชวน หลีกภัย ที่เป็นถึงประธานสภาผู้แทนราษฎร ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ากลัวจริงๆสำหรับข้าราชการบางคนในยุคสมัยนี้

“เทพไท”ตาสว่าง! สำรวจตลาดหูชา ขายของไม่ได้

People Unity News : “เทพไท”ตาสว่าง! สำรวจตลาดหูชา ไม่มีเงินซื้อของขาย ขายของไม่ได้ สินค้าการเกษตรตกต่ำ มาตรการประกันรายได้เกษตรกรเหลว

วันที่ 24 พฤศจิกายน 2562 นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ facebook live การลงพื้นที่ตลาดนัดเขาลำปะ อ.ชะอวด เพื่อสำรวจสภาวะเศรษฐกิจของพี่น้องประชาชน ว่า ได้รับเสียงบ่น เสียงโอดครวญจากพ่อค้าแม่ค้าและผู้มาจ่ายตลาดจำนวนมาก ว่าไม่มีเงินจะซื้อข้าวของ พ่อค้าแม่ค้าพูดถึงกำลังซื้อจากพี่น้องประชาชนมีน้อย ขายของไม่ได้ สาเหตุหลักมาจากสินค้าการเกษตรตกต่ำ แม้ว่ารัฐบาลจะมีมาตรการประกันรายได้เกษตรกรแล้ว ก็เป็นแค่มาตรการชั่วคราว เพื่อเยียวยาเกษตรกรเฉพาะหน้า สภาพการเงินไม่ได้หมุนเวียนเหมือนกับภาวะเศรษฐกิจที่เฟื่องฟูในอดีต ประชาชนได้ฝากเสียงสะท้อนปัญหาปากท้องมายังทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลให้เข้ามาดูแลแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจโดยเร็วที่สุด สิ่งที่ประชาชนกำลังประสบปัญหาในขณะนี้คือ 1.ราคาพืชผลด้านการเกษตรของเกษตรกรตกต่ำทุกชนิด 2.การเงินขาดสภาพคล่อง เงินในกระเป๋าของเกษตรกรไม่มีในการใช้จ่าย 3.เกิดภาวะการตกงาน หรือ อัตราการว่างงานสูงมาก
จากปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ มาจากการบริหารงานบ้มเหลวของทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล ผมจึงขอเสนอให้มีการปรับปรุงทีมเศรษฐกิจใหม่ เพื่อให้เกิดความเป็นเอกภาพในการบริหารกระทรวงต่างๆที่เกี่ยวข้องกับด้านเศรษฐกิจ

การที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับหน้าที่เป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด ใช้คนไม่ตรงกันงาน เพราะพลเอกประยุทธ์เป็นนายทหารไม่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญทางด้านเศรษฐกิจ จึงควรที่จะให้มีการปรับปรุงทีมเศรษฐกิจใหม่ ซึ่งในขณะนี้ทีมเศรษฐกิจแบ่งออกเป็นสามก๊กสามเหล่า คือทีมของ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รับผิดชอบกระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพลังงาน ทีมของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รับผิดชอบกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และทีมของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รับผิดชอบกระทรวงคมนาคม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
ดังนั้นควรจะต้องใช้การบริหารแบบบูรณาการ มอบหมายให้ใครคนใดคนหนึ่งเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจที่แท้จริง ในฐานะที่เป็น ส.ส.คนหนึ่ง แม้ว่าจะอยู่ในสังกัดพรรคร่วมรัฐบาลก็ตาม แต่วันนี้จะขอทำหน้าที่ตัวแทนของประชาชน เพื่อสะท้อนปัญหาความเดือดร้อน ความทุกข์ยาก ที่กระทบต่อปัญหาปากท้องของพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง เพื่อให้ พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา ในฐานะนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นหัวหน้ารัฐบาลได้รับทราบ ได้รับรู้ปัญหาทั้งหมด และจะได้นำไปพิจารณาหาแนวทางในการแก้ไขต่อไป

กรมควบคุมโรคเผยปี 2562 พบผู้ป่วยโรคคอตีบแล้ว 23 รายเสียชีวิต 4 ราย

People Unity News : กรมควบคุมโรคเฝ้าระวังสถานการณ์โรคคอตีบ ในปี 2562 พบผู้ป่วยแล้ว 23 ราย เสียชีวิต 4 ราย กลุ่มที่มีอัตราป่วยสูงสุด ได้แก่ เด็กแรกเกิด-9 ปี

วันที่ 24 พฤศจิกายน 2562 นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดเผยว่า จากการเฝ้าระวังของกรมควบคุมโรค สถานการณ์โรคคอตีบ ในปี 2562 พบผู้ป่วยแล้ว 23 ราย เสียชีวิต 4 ราย กลุ่มที่มีอัตราป่วยสูงสุด ได้แก่ เด็กแรกเกิด-9 ปี รองลงมาคือ 10–14 ปี ข้อมูลจากการตรวจสอบข่าวการระบาดในระบบเฝ้าระวังเหตุการณ์ ในปีนี้มีรายงานทั้งหมด 83 เหตุการณ์ พบผู้ป่วยเข้าเกณฑ์รายงานสงสัยโรคคอตีบ 83 ราย โดยเป็นผู้ป่วยยืนยันตามระบบเฝ้าระวังทางระบาดวิทยา (รง.506) จำนวน 23 ราย ส่วนในกลุ่มผู้เสียชีวิต 4 ราย เป็นเด็กอายุระหว่าง 2–9 ปี ผู้เสียชีวิตไม่มีประวัติได้รับวัคซีนหรือได้รับไม่เพียงพอ

“พยากรณ์โรคและภัยสุขภาพในสัปดาห์นี้ คาดว่าจำนวนผู้ป่วยโรคคอตีบมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เนื่องจากมักมีการรายงานพบผู้ป่วยสูงสุดอยู่ในช่วงเดือนกรกฎาคม–กันยายน และอีกช่วงคือระหว่างเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม และอาจพบความรุนแรงขึ้นในกลุ่มเด็กเล็กและเด็กวัยเรียนที่ได้รับวัคซีนไม่เพียงพอ โรคคอตีบเป็นโรคติดเชื้อเฉียบพลันในระบบหายใจส่วนบน ติดต่อจากคนสู่คนโดยการหายใจเอาละอองฝอยที่มีเชื้อปนเปื้อน ซึ่งเชื้อสามารถอยู่ในลำคอของผู้ที่เป็นพาหะได้นานถึง 2 เดือน ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีอาการไข้ เจ็บคอ และพบแผ่นฝ้าขาวในคอ โดยเชื้อที่เป็นสาเหตุมีทั้งสายพันธุ์ที่ทำให้เกิดพิษ และไม่ทำให้เกิดพิษ ซึ่งพิษสามารถก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้ เช่น เยื่อบุทางเดินหายใจบวมเกิดการอุดตันของทางเดินหายใจส่วนบน กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ เส้นประสาทอักเสบ และเสียชีวิตได้ กรมควบคุมโรค ขอแนะนำให้ประชาชนพาบุตรหลานไปรับวัคซีนให้ครบตามช่วงเวลาที่กำหนด เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันในแต่ละบุคคล ลดการเจ็บป่วยรุนแรง และยังสามารถช่วยสร้างการคุ้มกันและลดการแพร่กระจายเชื้อในชุมชนได้อีกด้วย นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงการพาเด็กเล็กไปยังสถานที่แออัด สังเกตอาการเจ็บป่วยของบุตรหลานและเพื่อนร่วมชั้นเรียน และเฝ้าระวังผู้สัมผัสใกล้ชิดที่อาจเป็นพาหะโรคคอตีบได้ หากพบบุตรหลานมีอาการป่วยสงสัยตามข้างต้น ควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว สอบถามข้อมูลได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422”

“อนุสรณ์”ชี้อีก! สถานการณ์สุกงอมฝ่ายค้านจัดหนักซักฟอก

People Unity News : “อนุสรณ์”โฆษกพรรคเพื่อไทชี้อีก! สถานการณ์สุกงอม ฝ่ายค้านจัดหนักอภิปรายไม่ไว้วางใจ

วันที่ 24 พฤศจิกายน 2562 นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี การเตรียมความพร้อมในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลของฝ่ายค้าน ว่า ก่อนหน้านี้โพลหลายสำนักก็สะท้อนความเห็นของประชาชนว่า สถานการณ์สุกงอมที่จะขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ไม่ใช่การดำเนินการที่เร็วเกินไป ในอดีตรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช 4 เดือนก็ถูกกอภิปรายไม่ไว้วางใจแล้ว เบื้องต้นการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลครั้งนี้น่าจะแบ่งกลุ่มผู้ที่ถูกอภิปรายเป็น 3 กลุ่ม คือ

1.กลุ่ม 3 ป. ที่เป็นแกนหลักตั้งแต่รัฐบาลรัฐประหาร จนถึงรัฐบาลหลังเลือกตั้ง 2.กลุ่มใกล้ชิด หรือ ตัวแทนของ 3 ป. ที่อยู่ในอำนาจต่อเนื่องนานๆ 3.กลุ่มที่เข้ามาใหม่ แล้วพบพิรุธในโครงการต่างๆเพื่อเอื้อประโยชน์ตัวเองและพวกพ้อง ซึ่งจะต้องหารือกับพรรคร่วมฝ่ายค้านอย่างใกล้ชิดต่อไป

ฝ่ายค้านยุคนี้ ไม่มีเครื่องมือพิเศษ หรือตัวช่วยอะไร ที่พออภิปรายล้มรัฐบาลไม่ได้ แล้วสามารถใช้ดาบ 2 ดาบ 3 เครื่องมือพิเศษอื่นๆในการจัดการรัฐบาลให้พ้นไป นอกจากการดำเนินการตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมา ตามกลไกรัฐสภา จากสภาพของพรรคร่วมรัฐบาลที่ขาดเอกภาพ ต่างคนต่างยึดกุมหม้อข้าวตัวเอง มีรอยร้าวระหว่างพรรคหลายกรณี เชื่อว่ารัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายจะโดนลอยแพสูง เพราะขนาดนัดกันกินข้าวลดความบาดหมางระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล ยังไม่สามารถนัดกันได้เลย

“การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลครั้งนี้ ฝ่ายค้านจะทุ่มเทสรรพกำลังอย่างเต็มที่ ให้สมกับที่ประชาชนฝากความหวังในการตรวจสอบรัฐบาล เพื่อไม่ให้ประเทศชาติและประชาชนเสียโอกาสในการแข่งขันและการพัฒนาประเทศ” นายอนุสรณ์ กล่าว

ปชป.มุ่งใช้โซเชียลมีเดีย ติดอาวุธดิจิทัล สร้างคะแนนนิยมชาวกรุง

People Unity News : “องอาจ”ปิดงาน”โครงการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ กทม.” เสริมความแข็งแกร่ง ยึดเหนี่ยว 3 กลไกหลัก “รัฐมนตรี-สภา-พรรค” เน้นการทำงานตอบโจทย์พื้นที่ ด้านรองโฆษกพรรคจับมือสมาชิก ทำ Workshop การใช้โซเชียลมีเดีย ติดอาวุธดิจิทัล ช่วยสร้างคะแนนนิยม

วันที่ 24 พฤศจิกายน 2562 นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ประธาน ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ และรองหัวหน้าพรรคฯ กรุงเทพฯ ได้ร่วมปัจจฉิมนิเทศและปิดการสัมมนา “โครงการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ กทม.” ณ ศูนย์ประชุมสัมมนา ภูโอบ น้ำใส คันทรี รีสอร์ท อ.เมือง จ.นครนายก ทั้งนี้ในวันสุดท้ายของการสัมมนา ได้มีขุนพลของพรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมปิดงานอย่างคับคั่ง อาทิ น.ต.สุธรรม ระหงษ์ ผู้อำนวยพรรคประชาธิปัตย์, นางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้เข้าพูดคุยแลกเปลี่ยนการทำงานของพรรค โดยจะสอบถามความต้องการของสมาชิกพรรค เพื่อให้ตอบโจทย์ของแต่ละพื้นที่

ในส่วนของนางดรุณวรรณ ได้ตอกย้ำการใช้โซเซียลอย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านการทำ workshop เพื่อใช้สร้างคะแนนนิยมให้พรรคและคนกรุงเทพมหานคร รวมถึงเป็นช่องทางในการสื่อสารข้อมูลข่าวสารของพรรค โดยตัวแทนจากทั้ง 30 เขต ของ กทม. ตื่นตัวสามารถใช้ความรู้ที่ได้จากการอบรมในวันนี้ทั้ง Line, Facebook การสื่อสารทั้ง Online และ Offline เป็นเครื่องมือในการสื่อสารได้อย่างเท่าทันและเต็มที่

นายองอาจได้กล่าวถึงรูปแบบการทำงานทางเมืองคือการรับใช้ผลประโยชน์ส่วนรวมของประเทศ โดยใช้นโยบายของพรรคไปบริหารจัดการให้สามารถทำงานได้เกิดผลสำเร็จ เป้าหมายสูงสุดเพื่อให้พี่น้องประชาชนได้ประโยชน์สูงสุดจากการทำงานของนักการเมือง ช่วยกันคิด ช่วยกันวางแผน ช่วยกันทำงาน ตลอดระยะเวลา 3 วัน นายองอาจเชื่อว่า ผู้เข้าร่วมสัมมนาจะได้รับประโยชน์จากการเข้าร่วม เชื่อว่าจะสามารถนำความรู้ที่ได้จากการอบรมไปใช้ประโยชน์ในพื้นที่กรุงเทพมหานครได้

ตอนท้าย นายองอาจยังได้กล่าวขอบคุณผู้เข้าร่วมสัมมนา วิทยากร และผู้ที่เกี่ยวข้องทุกท่าน ที่สำคัญคือพรรคประชาธิปัตย์ ที่เป็นสถาบันการเมืองที่พึ่งหลักของประเทศ โดยเชิญชวนให้สมาชิกทุกคนร่วมกันทำงาน เพราะยังมีภารกิจอีกมาก ที่ต้องหลอมรวมหัวใจ “พลพรรครักสีฟ้า” ไว้ด้วยกัน เพื่อให้ได้ชัยชนะ ซึ่งไม่ใช่แค่เพียงชัยชนะของพรรคประชาธิปัตย์ แต่เป็นชัยชนะของประชาชนทั้งประเทศ เพื่อประโยชน์สูงสุดของสังคมส่วนรวมต่อไป

“บิ๊กตู่”ยิ้ม! โพลให้คะแนนรัฐบาลทำงานหนักมือสะอาด

People Unity News : “บิ๊กตู่”ยิ้ม! โพลให้คะแนนรัฐบาลทำงานหนักมือสะอาด ยันเดินหน้าทำงานเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชนต่อไป “ซูเปอร์โพล”เปิดเสียงปชช.โลกดั้งเดิม-โซเชียลพบช่องทางก้าวข้าม”ทักษิณ”

เมื่อเวลา 07.30 น.วันที่ 24 พฤศจิกายน 2562 ที่อากาศยานทหาร 2 (กองบิน 6) ดอนเมือง กรุงเทพฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมคณะออกเดินทางไปยังฐานทัพอากาศกิมแฮ (Gimhae Air Base) นครปูซาน สาธารณรัฐเกาหลี เพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน – สาธารณรัฐเกาหลี สมัยพิเศษ (ASEAN – Republic of Korea Commemorative Summit) ครั้งที่ 3 และการประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขง – สาธารณรัฐเกาหลี (Mekong-Republic of Korea Summit) ครั้งที่ 1 ระหว่างวันที่ 24 – 27 พฤศจิกายน 2562

ทั้งนี้พล.อ.ประยุทธ์เดินทางมาถึง โดยไม่ได้ให้สัมภาษณ์ใดๆ เพียงแต่ยิ้มและพยักหน้า เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงผลสำรวจซูเปอร์โพลในหัวข้อเรื่อง “ภาพลักษณ์ ครม.ในใจประชาชน” ที่ระบุว่ารัฐบาลมีภาพลักษณ์ทำงานหนัก กล้าคิด กล้าทำ, คณะรัฐมนตรี (ครม.) มือสะอาด ไม่ด่างพร้อย และครม. มีบารมีคุมผู้มีอิทธิพลได้

อย่างไรก็ตาม นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า “นายกรัฐมนตรี ได้ขอบคุณ ถือเป็นความร่วมมือของทุกภาคส่วน โดยรัฐบาลจะทำงานเพื่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ รวมถึงประชาชนต่อไป”

“ซูเปอร์โพล”เปิดเสียงปชช.โลกดั้งเดิม-โซเชียลพบช่องทางก้าวข้าม”ทักษิณ”

ผศ.ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) นำเสนอผลสำรวจภาคสนาม เรื่อง “ทำอย่างไรเราจึงก้าวข้ามทักษิณได้” กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ โดยดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ผ่าน “เสียงประชาชนในโลกโซเชียล” (Social Media Voice) ด้วยระบบ Net Super Poll จำนวน 1,850 ตัวอย่าง และ “เสียงประชาชนในสังคมดั้งเดิม” (Traditional Voice) จำนวน 1,189 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 15-23 พฤศจิกายน 2562

เมื่อถามถึง นายกรัฐมนตรีของประเทศไทยที่ไม่เคยทำอะไรเพื่อธุรกิจของครอบครัวตัวเอง พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 46.0 ระบุ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รองลงมาคือ ร้อยละ 29.9 ระบุ อดีตนายกรัฐมนตรี ดร.ทักษิณ ชินวัตร , ร้อยละ 13.9 ระบุ นายชวน หลีกภัย , ร้อยละ 5.2 ระบุ นายบรรหาร ศิลปอาชา และร้อยละ 5.0 ระบุคนอื่น ๆ เช่น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ และ นายควง อภัยวงศ์ เป็นต้น

ที่น่าสนใจคือ ผลเปรียบเทียบภาพลักษณ์ที่ประชาชนจำได้ระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับ อดีตนายกรัฐมนตรี ดร.ทักษิณ ชินวัตร พบหลายประเด็นที่น่าพิจารณา คือ ด้านความเรียบง่าย เป็นกันเอง พล.อ.ประยุทธ์ ได้ร้อยละ 60.3 ในขณะที่ ดร.ทักษิณ ได้ร้อยละ 52.8 , ด้านการเปิดงาน พิธีต่าง ๆ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ร้อยละ 77.2 ดร.ทักษิณ ได้ร้อยละ 50.8 , ด้านยิ้มเก่ง พล.อ.ประยุทธ์ ได้ร้อยละ 38.0 ดร.ทักษิณ ได้ร้อยละ 47.4 , ด้านมีคนรัก ขอถ่ายรูปด้วย พล.อ.ประยุทธ์ ได้ร้อยละ 28.9 ดร.ทักษิณฯ ได้ร้อยละ 36.9 , ด้านลงพื้นที่ช่วยคนเดือดร้อน พล.อ.ประยุทธ์ ได้ร้อยละ 36.7 ดร.ทักษิณ ได้ร้อยละ 55.2

นอกจากนี้ ด้านมีผลงานยั่งยืน ผลสำรวจพบว่า สูสีกันมาก โดย พล.อ.ประยุทธ์ ได้ร้อยละ 50.5 ดร.ทักษิณ ได้ร้อยละ 48.1 , ด้านคดีความต่าง ๆ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ร้อยละ 21.2 ในขณะที่ ดร.ทักษิณ ได้ร้อยละ 40.9

ผศ.ดร.นพดล กล่าวด้วยว่า ผลการสำรวจ “เสียงประชาชนในโลกโซเชียล” (Social Media Voice) ผ่านระบบ Net Super Poll พบว่า พล.อ.ประยุทธ์ กำลังเข้าถึงคนทั้งหมดประมาณ 27,477,598 คน หรือยี่สิบเจ็ดล้านคนเศษ ซึ่งมากกว่าจำนวนคนที่ ดร.ทักษิณ กำลังเข้าถึงคนในโลกโซเชียลจำนวน 7,843,158 คน หรือ เจ็ดล้านกว่าคน

อย่างไรก็ตาม ที่น่าพิจารณาคือ คนในโลกโซเชียลจากหลากหลายประเทศกำลังให้ความสำคัญกับบุคคลทั้งสอง แต่ยังคงพบว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีจำนวนคนจากประเทศต่างๆ ที่กำลังเกาะติด พล.อ.ประยุทธ์ มากกว่า ดร.ทักษิณ แต่มีคำพูดที่แสดงถึงภาพลักษณ์ของบุคคลทั้งสองแตกต่างกัน คือ พล.อ.ประยุทธ์ จะมีคนพูดถึงตำแหน่ง อำนาจบริหาร เอาเรื่องเอาราว ลงโทษเอาผิดคนอื่น เปิดงาน ร่วมพิธีการต่างๆมากกว่า แต่ถ้าเป็นคำพูดที่พูดแล้วดูดี มีผลทางจิตใจให้เกิดความรัก ความศรัทธาของคนในโลกโซเชียลเพราะช่วยเหลือคน จะพบว่าอดีตนายกรัฐมนตรี ดร.ทักษิณฯ จะถูกพูดถึงมากกว่า

“ผลโพลชิ้นนี้ชี้ให้เห็นช่องทางอะไรบางอย่างว่ามีความเป็นไปได้ที่จะก้าวผ่านอดีตนายกรัฐมนตรี ดร.ทักษิณ ชินวัตรไปได้อย่างดีถ้าทุกฝ่ายช่วยกันบริหารจัดการอารมณ์ความรู้สึกของสาธารณชน โดยข้อมูลชี้ให้เห็นชัดเจนแล้วว่าภาพลักษณ์ของ พล.อ.ประยุทธ์ จะอยู่กับเรื่องของตำแหน่ง อำนาจ การเปิดงานและพิธีการต่างๆ ที่เรื่องเหล่านี้ต้องทำให้เป็นช่องทางเข้าช่วยเหลือประชาชนอย่างแท้จริงมากกว่าเป็นเพียงพิธีกรรมที่ “วันเปิดคือวันปิด” และประชาชนจะไม่ได้อะไร ควรเกาะติดการพูดคุยของคนในโลกโซเชียลให้เป็นระบบเพื่องานความมั่นคงเพราะอาจเป็นหัวเชื้อจุดไฟลามไปถึงคนนอกโลกโซเชียลคล้ายๆกับทฤษฎีสองนคราประชาธิปไตย แต่ครั้งนี้ไม่ใช่คนกรุงเทพฯ กับ คนต่างจังหวัด แต่จะเป็นคนในโลกโซเชียลกับคนในโลกดั้งเดิม จึงต้องป้องกันปัญหาดีกว่าตามแก้ปัญหา จะได้ไม่ต้องเหนื่อยกันทั้งประเทศ” ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าว

สาธุ!คณะอนุกมธ.ศึกษาพุทธและศาสนาอื่น ไหว้พระสวดมนต์ก่อนประชุมที่สภาฯ

People Unity News : สาธุ!คณะอนุกมธ.ศึกษาพุทธและศาสนาอื่น ไหว้พระสวดมนต์ก่อนประชุมที่สภาฯ พร้อมดันร่างพรบ.ร่างพระราชบัญญัติแม่ชีไทย

วันที่ 23 พฤศจิกายน 2562 พระเมธีธรรมาจารย์ หรือเจ้าคุณประสาร รองอธิการบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา ในฐานะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาด้านพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่นๆ สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า ก่อนประชุมคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาด้านพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น สภาผู้แทนราษฎร ที่มีนางพรเพ็ญ บุญศิริวัฒนกุล ประธาน อาตมาได้นำคณะไหว้พระสวดมนต์ก่อนเริ่มประชุม

พระเมธีธรรมาจารย์ ได้เปิดเผยในการประชุม เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2562 ว่า หลังจากได้ศึกษาทำความเข้าใจในขอบเขตอำนาจ หน้าที่ของอนุกรรมาธิการเพื่อให้ตรงกับรัฐธรรมนูญ กฎหมายและอื่นๆเพื่อให้เข้าใจตรงกัน ในวาระพิจารณานั้นส่วนของอาตมาได้ขอให้คณะอนุกรรมาธิการขออำนาจจากกรรมาธิการชุดใหญ่เพื่อศึกษาและเสนอต่อกรรมาธิการใน 3 เรื่องคือ 1. ร่างพระราชบัญญัติอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา 2.ร่างพระราชบัญญัติธนาคารพระพุทธศาสนา และ 3.ร่างพระราชบัญญัติแม่ชีไทย ที่ประชุมมีมติรับไปดำเนินการทั้ง 3 เรื่องแต่ขอพิจารณาคราวละเรื่องเพื่อจะได้สำเสร็จตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด

ทีมนโยบาย ปชป. เผยไอเดีย “ร่วมคิด ร่วมสร้างกรุงเทพฯ”

People Unity News : ทีมนโยบาย ปชป. เผยไอเดีย “ร่วมคิด ร่วมสร้างกรุงเทพฯ” ขณะที่ “ดร.สรรเสริญ” นำทีม “ยุวประชาธิปัตย์ ชวนคนรุ่นใหม่พลังขับเคลื่อนใหม่” ด้าน “รองโฆษกฯ ดรุณวรรณ” ชี้โซเชียลสำคัญเป็นอาวุธดิจิทัลเรียกคะแนนนิยม

วันที่ 23 พฤศจิกายน 2562 ช่วงบ่าย พรรคประชาธิปัตย์ได้มีการจัดโครงการขับเคลื่อนคณะกรรมการยุทธศาสตร์ กทม. ณ ศูนย์ประชุมสัมมนา ภูโอบ น้ำใส คันทรี รีสอร์ท อ.เมือง จ.นครนายก ดร.ธราดล เปี่ยมพงศ์สานต์ ผู้อำนวยการด้านนโยบายสถาบันออกแบบอนาคตประเทศไทย (Future Innovative Thailand Institute: FIT) ดร.ธราดล ได้ร่วมทำกิจกรรม workshop ร่วมกับสมาชิกพรรคพื้นที่ กทม. เพื่อ “ร่วมคิด ร่วมสร้างกรุงเทพฯ” โดยจะเป็นการสร้างเครือข่ายของพรรคที่คลุกคลีกับปัญหาของคนกรุงเทพฯ ในแต่ละเขตเพื่อช่วยกันระดมความคิด โดยตัวแทนจากหลายพื้นที่ของ กทม. ได้ร่วมเสนอแนวทางในการแก้ไขปัญหาต่างๆ เช่น การเดินทาง การศึกษา การเพิ่มรายได้ สุขภาพ สิ่งแวดล้อม และคุณภาพชีวิต เพื่อพัฒนาต่อยอดเป็นนโยบายสำหรับคนกรุงเทพฯ ต่อไป

ช่วง “ยุวประชาธิปัตย์… คนรุ่นใหม่พลังขับเคลื่อนใหม่” นำทีมโดย ดร.สรรเสริญ สมะลา ประธานคณะกรรมการกิจการเยาวชนพรรคประชาธิปัตย์ โดยดร.สรรเสริญได้ตั้งคำถามกับผู้เข้าร่วมสัมมนาว่า จะทำอย่างไรให้คนรุ่นใหม่มาช่วยทำงานกับพรรค หรือเราจะต้องปรับตัวให้เข้ากับคนรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นอนาคตของประเทศ สิ่งสำคัญคือพวกเราจะต้องเข้าใจว่าคนรุ่นใหม่คิดอย่างไร พวกเราถึงจะปรับตัวเข้าหาได้อย่างถูกต้อง ซึ่งเมื่อเร็วๆ นี้พรรคเพิ่งได้อบรมหลักสูตรยุวประชาธิปัตย์ และได้เตรียมความพร้อมที่จะนำเสนอนโยบายทันสมัยสู่สาธารณชน ในเร็วๆ นี้

ต่อมา นางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ และ คณะกรรมการ Smart Democrat ได้จูงแขนทีมงานคนรุ่นใหม่ของพรรค อาทิ “หมอเอ้ก” นายคณวัฒร์ จันทรลาวัณย์ รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ น.ส.พลอยนภัส โจววณิชย์ อดีตผู้สมัคร ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ ร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นมุมมองของคนรุ่นใหม่ โดยประเด็นที่จะเน้นย้ำในการทำงานการเมืองคือ ต้องอดทน มีมุมมองใหม่ พร้อมที่จะเป็นกลไกส่วนหนึ่งที่จะขับเคลื่อนพรรค พัฒนาสังคม และพัฒนาประเทศต่อไป

ช่วงท้ายของการสัมมนาในวันนี้ เป็นการบรรยายและร่วมฝึกการปฏิบัติการ “การสื่อสารและการใช้โซเชียลมีเดียเพื่อสร้างคะแนนนิยมให้คน กทม.” ทั้งนี้ทางผู้เข้าร่วมสัมมนา ได้มีการแลกเปลี่ยน และยกกรณีศึกษาปัญหาของเขตพื้นที่ตนเอง มาลองใช้เทคนิคใหม่ๆ ในการนำเสนอซึ่งทำให้ง่ายต่อการรับรู้ และเข้าถึงได้ง่ายขึ้น.

“นิพนธ์”ติดตามใช้งบฯแก้ภัยแล้งห้วยแถลงโคราช

People Unity News : “นิพนธ์”รมช.มท.ลงพื้นที่ติดตามการใช้งบประมาณแก้ปัญหาภัยแล้งในพื้นที่ห้วยแถลงโคราช พร้อมย้ำนโยบายประกันรายได้เกษตรกร

วันที่ 23 พฤศจิกายน 2562 เวลา 16.00 น. นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่ตำบลหลุ่งประดู่ อำเภอห้วยแถลง จังหวัดนครราชสีมา เพื่อตรวจติดตามการใช้งบประมาณเพื่อป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ภัยแล้งของจังหวัดนครราชสีมา โดยได้สำรวจแหล่งน้ำดิบบริเวณอ่างเก็บน้ำลำฉมวกครอบคลุมในพื้นที่ 3 อำเภอประกอบด้วย ห้วยแถลง จักราช และพิมาย ซึ่งเป็นน้ำต้นทุนเพื่อใช้ในการอุปโภค บริโภคและน้ำเพื่อการเกษตร

นายนิพนธ์ ได้กล่าวเน้นย้ำเกี่ยวกับสถานการณ์ภัยแล้งในปี 2563 โดยขอความร่วมมือพี่น้องประชาชนได้ใช้น้ำอย่างประหยัดเพราะน้ำต้นทุนมีปริมาณน้อยกว่าปกติ เพื่อให้มีน้ำใช้เพียงพอตลอดฤดูแล้ง พร้อมสั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ติดตามสถานการณ์ เพื่อจัดการตามแผนรับมือภัยแล้งตามที่ได้ให้แนวทางไว้ และเยี่ยมให้กำลังใจแก่เกษตรกรในพื้นที่ พร้อมทั้งได้เน้นย้ำถึงนโยบายการประกันรายได้ ข้าว มันสำปะหลัง ยาพารา และปาล์ม ที่ครม.อนุมัติแล้ว ส่วนการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดรัฐบาลจะเร่งรัดดำเนินการในเร็วๆนี้

Verified by ExactMetrics