วันที่ 31 กรกฎาคม 2025

ภูมิใจไทย กดดันรัฐบาลยุติกาสิโนถาวร แฉจีนเตือนแล้ว

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 8 กรกฎาคม 2568 ภูมิใจไทย กดดันรัฐบาลยุติกาสิโนถาวร แฉจีนเตือนแล้ว ไทยไม่ฟัง สุดท้ายธุรกิจท่องเที่ยวล่ม

นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยโพสต์ Facebook ส่วนตัว ในประเด็นการถอนร่างพระราชบัญญัติสถานบันเทิงครบวงจรออกจากการพิจารณาในสภา ระบุว่า

พรรคภูมิใจไทยยินดีและพร้อมสนับสนุนให้มีการถอนญัตติ การนำเสนอร่าง พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจร หรือร่างกฎหมายกาสิโน ออกจากวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวันนี้ หากรัฐบาลยืนยันว่าจะยกเลิกนโยบายนี้และไม่นำกลับเข้าสู่การพิจารณาอีกต่อไป

นโยบายสถานบันเทิงครบวงจรเป็นสิ่งที่ถูกอ้างว่าพรรคภูมิใจไทยไม่ให้ความร่วมมือกับพรรคแกนนำรัฐบาลและเป็นหนึ่งในสารตั้งต้นที่มีความคิดจะกดดันให้พรรคภูมิใจไทยต้องออกจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ทั้งที่พรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรคก็แสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่าไม่พร้อมที่จะให้การสนับสนุนร่างกฏหมายนี้เพียงแต่ไม่พูดออกมาเพราะเห็นว่าพรรคภูมิใจไทยได้แสดงท่าทีไม่เห็นด้วยกับกฎหมายนี้อย่างชัดเจนแล้ว จึงพร้อมใจกันให้พรรคภูมิใจไทยรับบทเป็นผู้ร้ายต่อพรรคแกนนำรัฐบาลแต่เพียงผู้เดียว จนกระทั่งถึงวันที่มีความพยายามจะพิจารณากฎหมายฉบับนี้ในสมัยประชุมสภาที่แล้ว พรรคร่วมรัฐบาลแทบทุกพรรคก็ได้แสดงท่าทีที่ไม่สนับสนุนกฎหมายฉบับนี้ และถึงขั้นที่มีพรรคร่วมรัฐบาลพรรคหนึ่งออกแถลงการณ์เป็นลายลักษณ์อักษรไม่เห็นด้วยอย่างชัดเจนต่อสาธารณชน โชคดีที่นายกรัฐมนตรีได้ตัดสินใจชะลอการนำเสนอกฎหมายในวันนั้นและได้ขอให้เลื่อนการพิจารณาออกไปอีกสมัยประชุมหนึ่ง

ถึงแม้ว่าวันนี้รัฐบาลจะมีการเสนอให้ถอนญัตตินี้ออกไปแต่ก็ถือว่ามันสายไปเสียแล้ว การดำเนินนโยบายนี้มาอย่างต่อเนื่องได้สร้างความเสียหายอย่างยับเยินแก่ภาคการท่องเที่ยวของไทยอย่างรุนแรงที่สุดจนไม่อาจเยียวยาได้อีก

รัฐบาลทราบเป็นอย่างดีว่าจีนมีท่าทีไม่เห็นด้วยที่ทางการไทยจะผ่านกฎหมายให้มีการจัดตั้งสถานบันเทิงครบวงจรพร้อมกับอนุญาตให้มีการเล่นการพนันได้และได้มีการพูดตอกย้ำถึงสามครั้งในที่ประชุมระดับผู้นำของทั้งสองประเทศว่าขอให้ยกเลิกนโยบายนี้เสีย มิฉะนั้นรัฐบาลจีนมีความจำเป็นที่จะต้องออกมาตรการต่างๆที่จะทำให้คนจีนและกิจการต่างๆของจีนปรับท่าทีต่อการท่องเที่ยวรวมไปถึงท่าทีต่อการค้าและการลงทุนกับไทยให้ลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ นี่คือการหารือในระดับผู้นำประเทศทั้งสองคือ ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีนและนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ซึ่งผมได้ร่วมประชุมอยู่ด้วยและได้จดบันทึกการประชุมในประเด็นนี้อย่างละเอียดในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยผู้ซึ่งจะต้องมีความเกี่ยวข้องเป็นอันมากต่อการดำเนินนโยบายนี้ แต่ท่าทีของรัฐบาลไทยออกไปในทางเมินเฉยและไม่ให้ความสำคัญต่อคำเตือนจากผู้นำของจีนในวันนั้น และยังดำเนินการผลักดันเร่งรัดให้ร่างกฎหมายสถานบันเทิงครบวงจร(กาสิโน) ได้รับการบรรจุอยู่ในวาระแรกของสมัยประชุมสภานี้

นายอนุทินระบุเพิ่มเติมว่า ผลพวงอันเลวร้ายที่ได้เกิดขึ้นมาจนถึงบัดนี้ก็คือ การหายไปของนักท่องเที่ยวจากประเทศจีนกว่าร้อยละ 90 ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างหนักต่อผู้ประกอบการอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทย ประชาชนที่อยู่ในภาคธุรกิจบริการ กิจการโรงแรม ที่พัก การขายสินค้าไทย ของที่ระลึก อาหาร เครื่องดื่ม ร้านค้าปลีก แผงขายของ ทั้งหมดได้รับผลกระทบอย่างมหาศาลที่พวกเขาไม่เคยประสบมาก่อน นี่เพียงแค่อยู่ในขั้นตอนการบรรจุญัตติเพื่อพิจารณาร่างกฎหมายเท่านั้นนะ เขายังส่งสัญญาณเตือนมาขนาดนี้ คงไม่ต้องนึกถึงความหายนะที่จะเกิดขึ้นหากกฎหมายฉบับนี้ผ่านสภาและมีผลบังคับใช้ ซึ่งหากการถอนญัตตินี้ รัฐบาลไม่แสดงท่าทีที่ชัดเจนว่าจะไม่นำกลับเข้ามาอีกแล้ว ความสูญเสียและความเสียหายของภาคธุรกิจท่องเที่ยวและภาคส่วนอื่นๆที่เกี่ยวข้องก็จะยังคงดำรงอยู่ต่อไปโดยไม่มีใครทราบว่าจะฟื้นสภาพขึ้นมาได้อีกเมื่อใด ผู้คนที่อยู่ในภาคส่วนนี้ก็คงจะต้องประสบสภาวะสิ้นเนื้อประดาตัว เป็นหนี้สินล้นพ้นตัวอย่างสาหัสที่สุดเป็นแน่แท้ คนจีนที่ยังคงอยู่ในเมืองไทยก็คงจะเป็นพวกจีนเทาเสียเป็นส่วนใหญ่ คนเหล่านี้ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายที่จะทำให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศเรา

นายอนุทินระบุอีกว่า ช่วงนี้รัฐบาลดำเนินการผิดพลาดหลายเรื่องซึ่งล้วนส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจที่ประมาณค่าความเสียหายไม่ได้ ทั้งเรื่องความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้าน การเปลี่ยนนโยบายแจกเงินประชาชนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และล่าสุดการยืนยันของประธานาธิบดีสหรัฐในเรื่องภาษี ดังนั้นวันนี้ขอรัฐบาลอย่าทำผิดพลาดอีกเลย อย่านึกถึงกลุ่มทุนเพียงไม่กี่กลุ่มแล้วแลกด้วยความเสียหายย่อยยับของพี่น้องประชาชนที่เขาเคยได้รับรายได้เลี้ยงชีพจากนักท่องเที่ยวจีนจำนวนมหาศาลก่อนที่จะมีคำว่าสถานบันเทิงครบวงจรซึ่งแฝงด้วยบ่อนการพนันหรือคาสิโนมาทำลายชีวิตและธุรกิจของพวกเขาโดยสิ้นเชิง รัฐบาลมีหน้าที่สร้างความมั่นคง สร้างรายได้ให้กับประชาชนของประเทศ ไม่ใช่ให้กับกลุ่มทุนซึ่งมีสัดส่วนน้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรของเรา รัฐบาลต้องไม่ผลักดันนโยบายที่ส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจของประเทศและต่อคู่ค้าที่มีสถานะเป็นประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอีกด้วย เราควรต้องให้ความสำคัญต่อความเห็นและท่าทีของประเทศที่มีทัศนคติที่ดีต่อเราและยังมีการสานต่อสายสัมพันธ์อันดี จนมีคำกล่าวว่า “จีนและไทยมิใช่อื่นไกล เป็นพี่น้องกัน” หากการยกเลิกนโยบายสถานบันเทิงครบวงจรจะมีส่วนทำให้นักท่องเที่ยวและการค้าการลงทุนจากจีนพลิกฟื้นกลับขึ้นมาแล้วส่งผลให้ประชาชนของเราได้สร้างรายได้อย่างที่เคยเป็นมา รัฐบาลก็ต้องนึกถึงโอกาสของพวกเขาเป็นลำดับแรก

นายอนุทิน ระบุ แม้ว่าพรรคภูมิใจไทยจะอยู่ในซีกฝ่ายค้านในวันนี้ แต่ผมในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยที่ยืนยันเสมอว่า พรรคพร้อมที่จะให้การสนับสนุนนโยบายของรัฐบาล หากนโยบายนั้นเป็นคุณประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน วันนี้ขอให้พรรคภูมิใจไทยได้สนับสนุนการถอนญัตติกฎหมายสถานบันเทิงครบวงจรหรือ Entertainment Complex และได้ยินการประกาศยกเลิกนโยบายสถานบันเทิงครบวงจรของรัฐบาลชุดนี้ในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ด้วยเถิดครับ พรรคภูมิใจไทยพร้อมยกมือเห็นด้วย และเชื่อว่าสิ่งที่เป็นมงคลก็จะเกิดขึ้นกับรัฐบาลและประเทศไทยอันเป็นที่รักของเราในที่สุด

Advertisement

กมธ.ความมั่นคงแห่งรัฐ จ่อเรียก “แพทองธาร” แจงอีกรอบ ปมสนทนา “ฮุนเซน”

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 3 กรกฎาคม 2568 กมธ.มั่นคงฯ ถกหาข้อเท็จจริง 2 คลิปเสียงเอี่ยวกัมพูชา​ เตรียมเรียก “แพทองธาร” แจงอีกรอบ ปมสนทนา “ฮุนเซน”​ พร้อมให้ บช.ก. เร่งตรวจสอบตัวตน “เคลียง ฮวด​” มีบัตรประชาชน-ทรัพย์สินในไทยจริงหรือไม่ พร้อมตั้งคำถามเรื่องคลิปเสียงไล่ล่าคนเห็นต่างในไทย “นายกฯ-รมต.” ต้องถูกดำเนินคดี ม.157 หรือไม่

คณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ​ กิจการ​ชายแดน​ไทย​ ​ยุทธ​ศ​า​สตร์ชาติ​และ​การปฏิรูป​ประเทศ​สภาผู้แทน​ราษฎร​ แถลงผลการประชุมหาข้อเท็จจริง​ 2 คลิปเสียง​ ทั้งกรณีบทสนทนาระหว่างนายกรัฐมนตรีกับสมเด็จฮุนเซนและคือคลิปที่มีการสั่งติดตามคนกัมพูชา​ บนผืนแผ่นดินไทย​ ที่มีข้อสงสัยว่าจะเกี่ยวพันกับผู้มีอำนาจที่อยู่ในกัมพูชา​

โดยนางสาวพรรณิการ์ วานิช กรรมาธิการ​ กล่าวว่า​ ประเด็นที่ถูกพูดถึงในที่ประชุมวันนี้มากที่สุดคือกรณีคลิปเสียงคล้ายสมเด็จฮุนเซนประธานวุฒิสภา กัมพูชา สั่งการให้นายเคลียง ฮวด ไล่ล่า ชาวกัมพูชาที่มีความเห็นต่างในประเทศไทย โดยกรรมาธิการได้เชิญนายพร พันนา นักเคลื่อนไหว ที่มีชื่อปรากฏอยู่ในคลิปเสียง ซึ่งปัจจุบันลี้ภัยอยู่ที่สหรัฐอเมริกา และนายสวน จำเริญ ที่ลี้ภัยอยู่นิวซีแลนด์​ วีดิโอคอนเฟอร์เร้นท์​ มาให้ข้อมูล​ ว่า​ ถูกทำร้ายหลังลี้ภัยมาประเทศไทย​ สอดคล้องกับคลิปเสียง ที่ต้องการให้นายเคลียง ฮวด ไล่ล่าชาวกัมพูชาผู้ที่เห็นต่างในไทย

ขณะเดียวกัน ยังได้รับข้อมูลจากนางสาวพรเพ็ญ คงขจรเกียรติ นักสิทธิมนุษยชน ว่า​ มีความเป็นไปได้ ที่มีการแลกเปลี่ยนการจับกุมตัวผู้ลี้ภัย ระหว่างทางการไทยและกัมพูชา และนายเคลียง ฮวด​ อาจมีบัตรประชาชนหรือสัญชาติไทย หรือทรัพย์สินอยู่ในประเทศไทยซึ่งกรรมาธิการจะติดตามตรวจสอบต่อไป​

นางสาวพรรณิการ์ กล่าวต่อด้วยว่า​ กรรมาธิการเห็นว่า​ นอกจากจะดำเนินการกับสมเด็จฮุนเซน ด้วยกฎหมายระหว่างประเทศแล้ว ยังสามารถเอาผิดตามหมวด 3 ของกฎหมายอาญา ซึ่งเป็น ความผิดต่อความมั่นคงนอกราชอาณาจักร ทำให้อำนาจอธิปไตยส่วนหนึ่งส่วนใด สูญเสียให้รัฐบาลต่างชาติ ทำให้ผู้นำต่างชาติเข้ามามีปฏิบัติการในประเทศไทย และนอกจากผิดกฎหมายอาญาแล้ว​ ยังเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157 ซึ่งต้องดำเนินการกับนายกรัฐมนตรี​ รัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในคดีนี้ด้วยหรือไม่

ส่วนการดำเนินการ ในระดับกฎหมายระหว่างประเทศกับสมเด็จฮุนเซน นางสาวพรรณิการ์ กล่าวว่า ผู้แทนของกระทรวงการต่างประเทศ ยอมรับว่ามีการศึกษาพิจารณากันอยู่ ซึ่งต้องขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงที่ปรากฏอยู่ในคลิป

ขณะที่เจ้าหน้าตำรวจก็ยอมรับแล้ว​ว่า​ จะนำคลิปเสียงไปตรวจสอบทางนิติวิทยาศาสตร์ ว่าเป็นเสียงของสมเด็จฮุนเซนจริงหรือไม่ เพื่อนำเข้าสู่สำนวนคดีต่อไป ทั้งนี้​ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจยืนยันว่า​ ไม่เคยมีความเกี่ยวข้องหรือร่วมมือกับนายเคลียง​ ฮวด แต่ทางสภาความมั่นคงแห่งชาติยอมรับว่า มีปฏิบัติการของต่างชาติเข้ามาเป็นภัยคุกคาม ตามล่าคน สัญชาติเขาในประเทศไทยจริง เรื่อง​ สมช.มองว่าเป็นภัยคุกคาม แต่ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้มากพอ จึงไม่รู้ว่า ปฏิบัติการเหล่านี้มีความร่วมมืออย่างไม่เป็นทางการ กับหน่วยงานราชการ ของไทยหรือไม่

ส่วนกรณีคลิปเสียงสนทนาระหว่างสมเด็จฮุนเซนและนางสาวแพทองธาร​ ชินวัตร​ นายกรัฐมนตรี นางสาวพรรณิการ์ กล่าวว่ากรรมาธิการไม่แน่ใจว่า​ จะมีคลิปสนทนา ส่วนตัว ของนางสาวแพทองธาร​ กับผู้นำต่างชาติอื่นอีกหรือไม่ หากมี​ ต้องแจ้งให้หน่วยงานที่รับผิดชอบรับทราบ เพื่อเตรียมความพร้อม เนื่องจากกรรมาธิการ​ มีความไม่สบายใจอย่างยิ่ง​ ว่า​อาจมีคลิปเสียงที่กระทบความสัมพันธ์ ระหว่างประเทศ หรือกระทบความมั่นคงระหว่างประเทศ ที่เกิดจากการดำเนินการทางการทูต ที่ไม่ถูกต้องของนายกรัฐมนตรี โดยกำหนดที่การได้รับข้อมูลเพิ่มเติมว่าการสนทนาระหว่างนายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีฝรั่งเศสไม่ได้เป็น ไปตามทางการทูตเช่นเดียวกัน

ด้านนายชุติพงศ์ พิภพภิญโญ กรรมาธิการฯ​ กล่าวว่า​ จะส่งข้อมูลไปยังกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง บช.ก.ให้หาข้อเท็จจริงเรื่องของนายเคลียง​ ฮวด ว่า​ เป็นคนไทย​ มีบัตรประชาชนและทรัพย์สินในไทยหรือไม่ พร้อมขอข้อมูล บันทึกการเข้าออกประเทศของนายเคลียง​ ฮวด​ ด้วย แล้วจะขยายผล หาข้อเท็จจริงการถูกทำร้ายร่างกายของชาวกัมพูชาที่มาให้ข้อมูลต่อกับ กรรมาธิการวันนี้ รวมไปถึงการเสียชีวิตของนายลิม​ กิมยา พร้อมจะทำหนังสือเชิญถึงนายกรัฐมนตรี​ มาชี้แจงต่อกรรมาธิการ อีกครั้ง เพราะกรณีคลิปเสียงสนทนาระหว่างนายกรัฐมนตรีกับสมเด็จฮุนเซน​ ไม่สามารถมีใครชี้แจงแทนได้

Advertisement

 

“บิ๊กเล็ก” แจง ชายแดนไทย-กัมพูชา มีสัญญาณบวก

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 3 กรกฎาคม 2568 ฝ่ายค้านประเดิมกระทู้ชายแดนไทย-กัมพูชา ด้าน “บิ๊กเล็ก” เผยสถานการณ์ไทย-กัมพูชา มีสัญญาณบวก ผู้นำระดับสูงของกัมพูชายอมพูดคุยเจรจา GBC พร้อมแจงมาตรการกดดัน 2 จาก 4 ขั้นตอน หลัง “ฮุน เซน” โพสต์โซเชียล ยอมรับลำบากใจจัดการสถานการณ์ เหตุสังคมมีความเห็น 2 ฝ่าย

การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัด นอร์มะทาประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นประธานในที่ประชุม ในระเบียบวาระ กระทู้ถามสดด้วยวาจาของนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้าน ถามรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดยมี พล.อ. ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ชี้แจงแทน

นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า สถานการณ์วิกฤตไทยกัมพูชาที่เกิดขึ้นตอนนี้ สิ่งที่ประชาชนต้องการคือรัฐบาลที่เข้มแข็งไม่อ่อนแอขณะเดียวกัน ก็ต้องมีการบริหารสถานการณ์อย่างมีวุฒิภาวะรอบคอบได้รับการยอมรับจากนานาอารยประเทศ โดยเฉพาะเพื่อนบ้านให้ความเกรงอกเกรงใจรัฐบาลไทย ซึ่งการที่รัฐบาลจะดำเนิน มาตรการต่างๆอย่างเข้มแข็งและเหมาะสม ก็มีหลายมาตรการที่สามารถทำได้เช่นมาตรการทางการทหาร มาตรการทางเศรษฐกิจ หรือมาตรการที่พุ่งเป้าไปยังผู้มีอิทธิพลของผู้นำกัมพูชา สถานการณ์คลิปหลุดล้วนเกิดขึ้นจากการบริหารที่ผิดพลาดที่ผู้นำประเทศใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างครอบครัวจนนำมาสู่วิกฤตครั้งนี้ที่คลี่คลายได้อย่างยากยิ่งขึ้น

นายกรัฐมนตรี เคยมีการสื่อสารต่อสื่อมวลชนว่ามาตรการทางเศรษฐกิจที่ในบางกรณีหรือหลายกรณีนั้นส่งผลกระทบต่อประชาชนเป็นวงกว้างต้องใช้ไปเพื่อสร้างแรงกดดัน เพื่อป้องกันผลกระทบจากการเคลื่อนไหวของกำลังทหารและการใช้กับอาวุธที่ใช้ปฏิบัติการในระยะไกลของฝ่ายกัมพูชา ซึ่งมาตรการอื่นๆสามารถเปลี่ยนแปลงได้เช่นมาตรการทางเศรษฐกิจ หากสถานการณ์ปรับเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น ตั้งแต่วันที่ 8 มิถุนายน 2568 เป็นต้นมามีรายงานข่าวที่สอดคล้องกันทั้ง 2 ประเทศ ว่ากัมพูชาได้ปรับกำลังถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่พิพาทแล้วแต่เราก็ทราบดีว่าในขณะนี้เรื่องของการควบคุมด่านชายแดนที่รัฐมนตรีใช้คำว่าเปิดด่านแบบจำกัดเวลาเราปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นมาตรการกดดันทางเศรษฐกิจ ที่ด้านหนึ่งเป็นมาตรการที่มีประสิทธิภาพแตกด้านหนึ่งก็ส่งผลกระทบต่อประชาชนภายในวงกว้างเช่นเดียวกัน

คำถามแรกที่อยากจะถาม รัฐบาลต้องแสดงความเข้มแข็ง พวกเราไม่ได้เห็นต่างในเรื่องการใช้มาตรการกดดันทางเศรษฐกิจ แต่ใช้อย่างไรให้เหมาะสมและแสดงออกว่ารัฐบาล ยังรอบคอบมีวุฒิภาวะไม่ดำเนินมาตรการที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างเกินความจำเป็น ดังนั้นสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ตามหน้าข่าวอาจไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงจึงอยาก ทราบข้อเท็จจริงจากรัฐมนตรีในวันนี้ แล้วอยากจะสอบถามว่าณ ตอนนี้สถานการณ์ระหว่างไทย -กัมพูชาตามแนวชายแดนยังมีความตึงเครียดมีความกดดันทางด้านการทหารที่กัมพูชาดำเนินการอยู่ใช่หรือไม่ หากมี มีอย่างไร

ด้าน พล.อ.ณัฐพล ขอชี้แจงภาพรวมว่าวันที่ 8 มิถุนายน กัมพูชาได้มีการเคลื่อนย้ายกำลังกลับจากจุดที่เผชิญหน้ากันอยู่หลายครั้งที่เราพยายามจะเจรจากับฝ่ายกัมพูชา เพราะมีกำลังเข้ามาเผชิญหน้าอยู่ระยะใกล้ ถ้ามีการเริ่มใช้อาวุธจะมีความตึงเครียดเหตุการณ์อาจจะบานปลายได้ แม้กำลังที่ เผชิญหน้าจะถอนกลับไปแล้วแต่กำลังส่วนที่เหลือที่มีจำนวนมากมีทั้งอาวุธหนักทั้งรถถังและปืนใหญ่ยังเป็นกำลังและรอบ 2 ที่ยังคงอยู่ในพื้นที่ตรงนี้ยังมีความเสี่ยงที่วันใดวันหนึ่งเกิดความไม่เข้าใจกันแล้วอาจทำให้สถานการณ์บานปลายถึงขั้นใช้อาวุธหนัก

ตนเองมีประสบการณ์ตอนเขาพระวิหารในครั้งนั้นอาวุธที่ทั้งสองฝ่ายมีนั้นยังไม่ร้ายแรงเท่าครั้งนี้ ถ้างั้นรัฐบาลมีความห่วงใยความปลอดภัยของประชาชน จึงมีแนวทางในการดำเนินการคลี่คลายความตึงเครียดในบริเวณชายแดน โดยศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์ชายแดนไทย -กัมพูชา (ศบ.ทก.) ที่ทำงานภายใต้สภาความมั่นคงแห่งชาติเพราะเหตุการณ์ครั้งนี้เกี่ยวข้องกับความมั่นคง ได้กำหนดแนวทางการทำงานได้ไว้อย่างชัดเจน บนพื้นฐานสันติวิธี และการยึดถือศักดิ์ศรีแห่งความเป็นรัฐของทั้งสองฝ่าย มุ่งเน้นเจรจาแบบทวิภาคีกับกัมพูชาเพื่อคลี่คลายอย่างสันติ และป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ลุกลามบานปลาย ด้านการใช้อาวุธและบานปลายในแง่ของความเดือดร้อนของประชาชน

ทั้งนี้ ศบ.ทก. และรัฐบาลหนักใจ เพราะว่าสังคมมี2 กระแส คือ ประชาชนตามจังหวัดแนวชายแดนเรียกร้องรัฐบาลยุติสถานการณ์โดยเร็ว เพราะประชาชนเดือดร้อน ทั้งในแง่ความปลอดภัยและเศรษฐกิจ แต่ประชาชนพี่น้องส่วนกลางที่ไม่ต้องการให้รัฐบาลอ่อนข้อ อยากให้ใช้มาตรการที่เข้มแข็ง ดังนั้นการตัดสินใจแต่ละเรื่องจะต้องรอบคอบและใช้น้ำหนักให้ดี

พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่ารัฐบาลตระหนักถึงความตึงเครียดที่เกิดขึ้นเป็นผลจากการดำเนินนโยบายของรัฐบาลประเทศเพื่อนบ้าน อาจมีการชี้นำจากฝ่ายการเมืองหรือผู้นำบางคน แต่สิ่งที่ไทยต้องรักษาให้มั่นคือความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างประชาชน2 ประเทศ ซึ่งทุกคนตระหนักดีว่าความตึงเครียดที่เกิดขึ้นเกิดมาจากส่วนบุคคลดังนั้นไม่ควรนำความตึงเครียดขยายไปสู่ประชาชนทั่วไป

“ประชาชนไม่ควรมาเป็นเหยื่อการเมืองระดับรัฐ ขอเป็นหน้าที่ของรัฐบาลไทยที่ต้องดำเนินการทุกอย่างอย่างรอบคอบเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อประชาชน2 ฝ่าย” พล.อ.ณัฐพลกล่าว

พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่าเราจำเป็นต้องดำเนินมาตรการควบคุมที่เข้มงวดบริเวณชายแดนเนื่องจากมีข้อมูลที่ชัดเจนว่า ทางกัมพูชามีการสั่งกำลังเคลื่อนย้ายเข้ามาพื้นที่ชายแดน และไทยจำเป็นต้องเสริมกำลังในระดับที่เหมาะสมเพื่อรักษาอธิปไตยและความมั่นคง ซึ่งทุกการเคลื่อนไหวของไทยอยู่ในกรอบสันติวิธีและหลีกเลี่ยงการประทะโดยเด็ดขาดหากกัมพูชาไม่รุกล้ำ อธิปไตยด้วยการติดอาวุธ

ส่วนการควบคุมชายแดนรัฐบาลไทยได้ร่วมมือกับสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมว่าด้วยแห่งสหประชาชาติ หรือ UNODC รวมถึงประเทศพันธมิตรในการปราบปรามกระบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะสแกรมเมอร์ มีข้อมูลว่าแฝงตัวอยู่บริเวณแล้วชายแดนไทย-กัมพูชาจำนวนมาก จึงต้องตรวจสอบควบคุมการเข้าออกในบริเวณชายแดนอย่างเข้มข้น

ยืนยันทุกมาตรการที่รัฐบาลดำเนินการ ศบ.ทก. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง มุ่งหวังให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนบริเวณแนวชายแดนกลับคืนสู่สภาพปกติโดยเร็วที่สุด ทางด้าน “ความมั่นคง-เศรษฐกิจสังคม-จิตวิทยา” และยึดหลักมนุษยธรรมและสิทธิมนุษยชนอย่างเคร่งครัด

พล.อ.ณัฐพล ยังชี้แจงเรื่องอำนาจของกองทัพ ว่าเป็นเรื่องที่ลำบากใจ เนื่องจากส่วนตัวนั้นเป็นรัฐบาลฝ่ายการเมืองแต่ยังมียศทำให้ถูกมองว่าเป็นทหาร ซึ่งก่อนที่ถูกมอบหมายให้รับหน้าที่ในตำแหน่งนี้ ผู้ใหญ่มองว่าเป็นทหารแล้วมาเป็นรัฐบาลมีข้อดีที่ว่าเวลาอยู่ในรัฐบาลก็เป็นการเมือง แต่กลับกองทัพก็เป็นทหาร แต่ผลที่ที่ผ่านมายังไม่ได้เป็นไปตามที่คิด

“ปรากฏว่าเวลาที่ผมกลับไปอยู่กองทัพทุกคนก็มองว่าผมเป็นรัฐบาล เวลาผมอยู่ในรัฐบาล เค้าก็มองว่าผมเป็นกองทัพ เพราะฉะนั้นขอกราบเรียนท่านประธานว่าปัจจุบันผมทำงาน เวลาผมเป็นรัฐบาลผมก็ทำงานเป็นรัฐบาล ว่าที่ผ่านมาดำเนินการโดยรัฐบาลโดยตนเองเป็นผอ.ศบ.ทก.” พล.อ.ณัฐพลกล่าว

พล.อ.ณัฐพล กล่าวถึงข้อห่วงใยว่ากองทัพมีอำนาจ นั้น ว่ารัฐบาลกำหนดนโยบายให้ทุกส่วนราชการปฏิบัติและใช้อำนาจ สมช. โดยมีรองนายกรัฐมนตรี อำนวยการเพื่อให้ทุกหน่วยงานดำเนินการภายใต้กรอบนโยบายเดียวกัน และกองทัพเป็นหนึ่งในหลายหน่วยงานที่ปฏิบัติตามแนวทางของรัฐบาล สถานการณ์ความตึงเครียดตามแนวชายแดนเป็นภาวะฉุกเฉินเชิงความมั่นคง ซึ่งฝ่ายกัมพูชามีระบบสั่งการแบบรวมศูนย์ ผู้นำสามารถสั่งการแนวหน้าตามแนวชายแดนได้ทันที ขณะที่ไทยหากยังใช้สายบังคับบัญชา ตั้งแต่รัฐบาล สมช. และกองทัพ จะไม่สามารถแก้ปัญหาได้ทันต่อสถานการณ์ จึงขอความเห็นใจในการบริหารสถานการณ์ในส่วนที่เกี่ยวข้องในการใช้กำลังทหาร ซึ่งการใช้อำนาจกองทัพเป็นมาตรการเฉพาะหน้าภายใต้กำกับ ศบ.ทก. มีการประชุมทุกขั้นตอนไม่ได้ปล่อยให้กองทัพมีอิสระ

ทั้งนี้ รัฐบาลมองเรื่องปัญหาความมั่นคงที่จะส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และ เศรษฐกิจ ที่ทุกอย่างเกี่ยวเนื่องกัน ซึ่งปัจจุบันนี้เริ่มมีสัญญาณบวกว่า ผู้นำระดับสูงของกัมพูชาเริ่มมีการพูดคุย เพราะที่ผ่านมาไม่เคยยอมคุย แต่2-3 วันนี้ เริ่มมีการพูดคุยเรื่องบทบาททวิภาคี GBC แต่สถานการณ์ในโซเชียลระหว่างสองประเทศยังทำให้เกิดเงื่อนไขการเจรจายังไม่ได้ข้อยุติ

พร้อมกันนี้ยังชี้แจงว่ากลไกทวิภาคียังมี JBC ที่เป็นการเจรจาระหว่างแม่ทัพของไทยและกัมพูชา และ GBC ที่มีการเจรจาระหว่างรัฐกับรัฐ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นประธาน ที่ครอบคลุมตลอดแนวชายแดนไทยกัมพูชา ส่วน RBC เป็นกลไกระหว่างกองทัพภาค หรือผู้บัญชาการภาคของฝั่งกัมพูชา-ไทย เช่น การเจรจาในกองทัพภาคที่1 หรือกองทัพภาคที่ 2

นายณัฐพงษ์ ถามครั้งที่2 ว่า วัตถุประสงค์และข้อเท็จจริงขณะนี้ที่รัฐบาลยังคงมาตรการควบคุมด่านมีไว้เพื่ออะไร เพราะเห็นว่าหากใช้อย่างไม่เหมาะสมจะกลายเป็นความตึงเครียดที่ทำให้การบริหารสถานการณ์เดินไปด้วยความยากลำบาก และความคืบหน้าการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ รวมถึงดำเนินคดีสังหารฝ่ายค้านกัมพูชาในไทย และทราบมาว่ากองทัพมีการประสานไปยัง คณะที่ปรึกษาทางการทหารสหรัฐประจำประเทศไทยหรือ จัสแมกซ์ไทย เพื่อขอกำลังบำรุงเครื่องกระสุนเพื่อรองรับต่อสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น แต่ทราบว่าเรื่องนี้ถูกคว่ำลงเนื่องจากฝ่ายการเมืองปัดตกคำขอ จึงขอฟังเหตุผลเรื่องนี้เพราะเกรงใจต่อประเทศมหาอำนาจอื่น

พลเอกณัฐพล ยอมรับในห้วงเวลาที่ผ่านมา ทำงานกับฝ่ายค้านและเห็นว่าฝ่ายค้านมองผลประโยชน์ของประชาชน เช่นข้อแนะนำของ สส.รังสิมันต์ โรม พร้อมชี้แจงว่าจากจากความกดดันในช่วงแรกที่อังเคิลโพสต์ มาตลอดทำให้รู้สึกว่าเราอาจใช้ความกดดันที่ตึงเครียด โดยไทยมีมาตรการ ตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายนจนถึงปัจจุบัน คือ มาตรการควบคุมจุดผ่านแดน 4 ขั้นตอน ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ขั้นที่2 คือ 1.จำกัดการผ่านแดน 2.การจำกัดวันและเวลาในการเข้าออกจุดผ่านแดน 3. ปิดจุดผ่านแดนบางจุด 4. ปิดจุดผ่านแดนตลอดแนวชายแดน ซึ่งไม่ได้กดดันอะไรมาก อย่างจุดผ่านแดนช่องจอม จังหวัดสุรินทร์ ฝั่งไทยเปิด แต่ฝั่งกัมพูชาปิด ยืนยันเป็นเรื่องจริงไม่ใช่ภาพจัดฉาก หรือด่านคลองลึก จังหวัดสระแก้ว หรือจุดผ่านแดนถาวรบ้านแหลมจังหวัดจันทบุรี

“ขอทุกคนเปิดเข้าใจว่าไทยเปิดจุดผ่านแดนเพียงแต่ใช้มาตรการจำกัดสองขั้นตอนเท่านั้น เลยมีความรู้สึกว่ากดดันมาก เป็นความรู้สึกที่ทางฝ่ายผู้นำกัมพูชาโพสต์มา ซึ่งไม่เป็นความจริง เพราะฉะนั้นสถานการณ์ความตึงเครียดอะไรต่างๆ การโพสต์ต่างๆเข้าใจว่าท่านผู้นำกัมพูชาอยู่ที่พนมเปญ คงได้รับการบอกเล่าอาจจะคลาดเคลื่อน แต่ข้อเท็จจริงไปตามที่กราบเรียน” พล.อ.ณัฐพลกล่าว

พร้อมชี้แจงความมุ่งหมายในการกดดัน คือไม่ได้กดดันด้านเศรษฐกิจแต่กดดันด้านกระบวนการอาชญากรรมชายแดนเป็นไปตามความร่วมมือกับ UNODC ในการปราบสแกรมเมอร์ ซึ่งตั้งแต่ 7 มิถุนายนที่ผ่านมาพบว่าสถิติลดลงอย่างเห็นได้ชัด แม้ประชาชนตามแนวชายแดนจะได้รับความเดือดร้อน และในฐานะเป็นรัฐบาลและรู้สึกเจ็บปวด ที่เหตุใดต้องดึงประชาชนมาเกี่ยว จึงขอให้เข้าใจว่าการบริหารสถานการณ์เป็นไปด้วยความยากมากเพราะสังคมมี 2 ฝ่าย แต่ฟังข้อมูลจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เป็นข้อมูลที่สะเทือนใจเมื่อเด็กนักเรียนนั่งเรียนต้องระวังฟังเสียงไซเรนว่าจะดังขึ้นเมื่อไหร่ นี่คือสิ่งที่ ศบ.ทก. จะระมัดระวังไม่ทำให้เหตุการณ์บานปลาย เพราะมีความเสียหายเกิดทั้งต่อกองทัพและประชาชน และยืนยันว่ารัฐบาลเร่งรัดและพยายามทำให้การโน้มน้าวเชิญชวนกัมพูชามาเข้าสู่บรรยากาศการเจรจาแบบทวิภาคี ส่วนการคลี่คลายคดีลอบสังหารนักการเมืองฝ่ายค้านกัมพูชา ปัจจุบันอยู่ในความรับผิดชอบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ส่วนเรื่องการประสานจัสแม็กซ์นั้น เป็นประเด็นละเอียดอ่อน ตนเป็นเลขาธิการ สมช. มาก่อน ความมั่นคงยึดถือนโยบายสมดุลย์เป็นหลัก ในการสร้างสมดุลย์ระหว่างประเทศมหาอำนาจทุกประเทศ ระมัดระวังไม่ให้ไทยไปผูกพันธ์กับประเทศใดประเทศนึง ไม่ได้เป็นการยั่วยุหรือแสดงกำลัง เป็นเพียงความร่วมมือทางการทหาร

“การที่ทางกองทัพพูดคุยกับจัสแมกซ์ ทำไมฝ่ายการเมืองถึงยับยั้ง เพราะฝ่ายการเมืองมองในเรื่องนโยบายระหว่างประเทศ การรักษาสมดุลย์ ขอบคุณที่ถามเรื่องนี้มันเป็นประเด็นสำคัญที่ย้ำว่ากองทัพไม่สามารถดำเนินการได้ตามลำพัง กองทัพต้องทำตามนโยบายรัฐบาล เพราะหากดึงอีกประเทศเข้ามาอาจทำให้เกิดปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ได้ ซึ่งเป็นแนวทางตามด้านความมั่นคง“ พล.อ.ณัฐพลกล่าว

พร้อมย้ำว่า หากยิ่งชี้แจง ก็ยิ่งเสียเปรียบประเทศเพื่อนบ้าน ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยกองทัพและฝ่ายความมั่นคงจะต้องใช้ฝีมือมากขึ้น การไม่ขอชี้แจง ก็จะทำให้ประชาชนไม่เกิดความเข้าใจ หรือฝ่ายนิติบัญญัติไม่เข้าใจ ดังนั้นวันนี้พยามชี้แจงให้ได้มากที่สุด

ส่วนที่วิจารณ์ว่ารัฐบาลเสียรู้จากกรณีคลิปเสียง พล.อ.ณัฐพล ชี้แจงว่า ขณะนี้มีกระบวนการให้ใช้การเจรจาผ่านการประชุมคณะกรรมการเรื่องเขตแดน GBC หากทำสำเร็จ จะหารือใน 2 เรื่องคือ การเคลื่อนย้ายกำลังกลับที่ตั้งปกติ เลี่ยงความเสี่ยงเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ และยกเลิกมาตรการควบคุมตามแนวชายแดน ซึ่งมีรายละเอียดที่ไม่ลงตัวเพราะต่างฝ่ายยังระแวงจากโซเชียล

“การตอบโต้ผ่านโซเชียลกับอังเคิล นั้นไม่ได้ทำแบบทางการ และหากตอบโต้กันไปมาจะทำให้เป็นปัญหาได้ เมื่ออังเคิลบอกว่าไทยผิดฝ่ายเดียว กัมพูชาไม่ผิด จึงใช้การตอบโต้แบบชี้แจงข้อเท็จจริง นำภาพให้ดู ไม่ใช่โต้กันไปกันมา ซึ่งไม่สามารถยุติการตึงเครียดที่เกิดขึ้นได้ รัฐบาลโดย ศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา หรือ ศบ.ทก กำลังดำเนินการ ขณะที่มาตรการทางการทูตรัฐบาลได้ทำผ่านกระทรวงการต่างประเทศ รวมถึงการทูตทางทหาร เรื่องนโยบายสมดุล” พล.อ.ณัฐพล ชี้แจง

Advertisement

“ชูศักดิ์” รับคิดถอนร่างเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 3 กรกฎาคม 2568 “ชูศักดิ์” รับคิดถอนร่าง พ.ร.บ.เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ เหตุปรับ ครม.ใหม่ ต้องคุยให้สะเด็ดน้ำก่อน เผยสัปดาห์หน้า สภาถกร่างประชามติคิวแรก

นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะ สส. บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงวาระพิจารณาร่างกฎหมายของสภาในสัปดาห์หน้า นายชูศักดิ์ กล่าวว่า เห็นว่าจะมีการเลื่อนวาระเอากฎหมายประชามติมารับรองก่อน และคาดว่าสัปดาห์หน้าจะมีการพิจารณาร่างกฎหมายนิรโทษกรรมได้ เพราะเป็นคิวถัดไป

เมื่อถามว่า ร่างกฎหมายนิรโทษกรรม จุดยืนของฝั่งรัฐบาลคือ ต้องไม่มีมาตรา 112 ใช่หรือไม่ นายชูศักดิ์ กล่าวว่า พรรคคุยกันอยู่ กำลังขอมติพรรคร่วมฯ

เมื่อถามถึงร่าง พ.ร.บ. การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร หรือเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ นายชูศักดิ์ กล่าวว่า กำลังคิดอยู่ว่าจะขอเลื่อน หรือถอนไปก่อน ซึ่งการถอนนั้น โดยปกติต้องขอมติจากที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร เว้นแต่หากสภาไม่ติดใจ ก็ถอนไปเลย

เมื่อถามว่า อะไรทำให้เริ่มคิดว่าจะถอนร่างดังกล่าว นายชูศักดิ์ กล่าวว่า สถานการณ์แบบนี้รัฐบาลคงคิดว่า มีการปรับคณะรัฐมนตรีและมีรัฐมนตรีใหม่เข้ามา จึงควรนำเรื่องนี้มาคุยกันให้สะเด็ดน้ำก่อน และมาเช็คดูว่ามันพอเพียงหรือไม่

Advertisement

แพทองธาร แถลง น้อมรับคำวินิจฉัยศาล รธน. ยืนยันเกิน 100% ทำเพื่อประเทศชาติ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 1 กรกฎาคม 2568 นายกฯ แถลงน้อมรับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ สั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ พร้อมชี้แจงเต็มที่ ยืนยันเกิน 100% ทำเพื่อประเทศชาติและรักษาอธิปไตย ไม่มีเจตนาอยากได้อะไรเป็นของตัวเอง พร้อมขอโทษ หากวิธีการไม่ถูกใจใครหลายคน

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม แถลงภายหลังศาลรัฐธรรมนูญ มีคำสั่งรับคำร้องไว้วินิจฉัย กรณีคลิปเสียงสนทนากับ สมเด็จฮุนเซ็น และให้หยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัย ด้วยมติ 7:2 ว่า ขอน้อมรับคำวินิจฉัยของศาลต่อจากนี้ได้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งระยะเวลานั้นไม่แน่ใจ แต่มีเวลาประมาณ 15 วันที่จะชี้แจง ตนจะทำให้เต็มที่ในการที่จะบอกความตั้งใจที่แท้จริงว่าคลิปเสียงที่หลุดออกมาว่า ความตั้งใจและเจตนาจริงๆ เกิน 100% ว่าตั้งใจทำเพื่อประเทศชาติ เพื่อรักษาไว้เพื่ออธิปไตยของเรา เพื่อรักษาไว้ซึ่งชีวิตของกองทัพและทหารทุกคน เพื่อสันติภาพที่จะเกิดขึ้นในประเทศของเรา ตนมั่นใจในสิ่งนี้มากๆ แต่วิธีการที่ตนเองทำ อาจจะมีทั้งถูกใจหรือไม่ถูกใจใครหลายๆ คน แต่ก็จะพยายามพิสูจน์เรื่องนี้ให้ได้ ว่าเป็นความตั้งใจ เป็นความพยายามเกิน 100% ที่จะทำเพื่อประเทศชาติจริงๆ เจตนาไม่มีอยากได้อะไรของตัวเองเลย และคิดอย่างเดียวว่าทำอย่างไรที่จะไม่ให้เกิดความวุ่นวายและ ทำอย่างไรที่จะไม่ต้องสู้รบกัน ทหารไม่ต้องเสียเลือดเสียเนื้อ และตนก็คงรับไม่ได้หากพูดอะไรกับทางผู้นำและทำให้เกิดผลเสีย เกิดการทะเลาะหรือโกรธเคือง อันนั้นเป็นความตั้งใจจริงๆ ถ้าลองฟังดูจริงๆ ก็จะรู้ว่าไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร เพราะฉะนั้นนี่คือ เป็นสิ่งที่ตั้งใจและจะใช้เวลาที่สามารถชี้แจงได้ ชี้แจงให้ได้ครบถ้วน ขอขอบคุณทุกๆ ท่านที่ส่งกำลังใจ ตั้งแต่เมื่อคืนมีคนส่งกำลังใจมาไม่ขาดสาย ขอขอบคุณมากๆ และต้องขอโทษพี่น้องคนไทยทุกคนที่รู้สึกไม่สบายใจกับเรื่องนี้ หรือรู้สึกโกรธเคือง

“ขอยืนยันอีกครั้งว่า ตั้งใจทำเพื่อประเทศชาติจริงๆ ต้องขอโทษในวิธีการ ถ้าไม่ถูกใจใครหลายๆ คน แน่นอนว่าหลังจากนี้ ในช่วงเวลาหยุดปฏิบัติหน้าที่ ก็ยังทำเพื่อประเทศชาติได้ต่อไปในฐานะคนคนไทยคนหนึ่ง และยินดียังมีแรงกายแรงใจเต็มครบ 100% พร้อมที่จะทำงานต่อ ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งใดก็ตาม อยู่ในฐานะใดก็ตาม ก็ยังเป็นคนไทยคนหนึ่งเหมือนเดิม และพร้อมทำเพื่อประเทศชาติเต็มที่ทุกนาที ขอบคุณทุกกำลังใจ ขอบคุณค่ะ” นายกรัฐมนตรี กล่าว

เมื่อถามว่า นายกรัฐมนตรี ยังทำหน้าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมหรือไม่ และการกล่าวแถลงวันนี้ คือการสั่งลาหรือไม่ ทั้งที่คดียังไม่เห็นปลายทางที่ศาลวินิจฉัย โดยนายกรัฐมนตรี ไม่ได้ตอบคำถามดังกล่าว และเดินขึ้นตึกไทยคู่ฟ้าทันที จากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้เดินลงมายังบริเวณด้านหน้าตึกไทยคู่ฟ้าเพื่อขึ้นรถเดินทางกลับออกจากทำเนียบรัฐบาล โดยนายกรัฐมนตรีได้เปิดหน้าต่างโบกมือให้กับสื่อมวลชน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 13.34 น. น.ส.พิณทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ พี่สาวของนายกรัฐมนตรี เดินทางมาทำเนียบ และเข้าทางด้านตึกภักดีบดินทร์ ซึ่งเชื่อมด้านหลังตึกไทยคู่ฟ้า

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ได้ยกเลิกภารกิจการประชุม เพื่อกำหนดมาตรการความปลอดภัยของการท่องเที่ยวและมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศและต่างประเทศ ในช่วงเวลา 14.00 น.

Advertisement

ด่วน!! ศาลรัฐธรรมนูญมีมติโดยเสียงข้างมาก 7 ต่อ 2 สั่ง ​”แพทองธาร” หยุดปฏิบัติหน้าที่​นายกฯ​

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 1 กรกฎาคม 2568 ศาลรัฐธรรมนูญสั่ง ​”แพทองธาร” หยุดปฏิบัติหน้าที่​นายกฯ​ หลังรับคำร้อง 36 สว. ยื่นถอดถอน ปมคลิปเสียงคุย “ฮุน เซน” ผิดจริยธรรม​ เปิดชื่อ 2 ตุลาการเสียงข้างน้อย “นครินทร์-อุดม” ไม่ให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ แค่ห้ามใช้อำนาจหน้าที่ด้านความมั่นคง-การต่างประเทศ-การคลัง

ศาลรัฐธรรมนูญ นัดประชุมปรึกษาคดีที่นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ได้ยื่นคำร้องของ 36 สว. ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรค 3 ประกอบมาตรา 82 ว่านางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กระทำฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรงเป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่ รวมทั้งขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้นางสาวแพทองธารหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัย จากกรณีคลิปเสียงสนทนาเรื่องข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชากับสมเด็จ ฮุนเซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา

ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาข้อเท็จจริงตามคำร้องและและเอกสารประกอบคำร้องแล้วเห็นว่า กรณีเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 วรรคหนึ่ง และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มาตรา 7 (4) ศาลรัฐธรรมนูญญมีมติเป็นเอกฉันท์ มีคำสั่งรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย แจ้งผู้ร้องทราบ และให้ผู้ถูกร้อง (น.ส.แพทองธาร) ยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับสำเนาคำร้อง

สำหรับคำขอให้สั่งให้ผู้ถูกร้อง (น.ส.แพทองธาร) หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีนั้น ศาลรัฐธรรมนูญมีมติโดยเสียงข้างมาก (7 ต่อ 2) เห็นว่า ปรากฏเหตุอันควรสงสัยว่าผู้ถูกร้องมีกรณีตามที่ถูกร้องตามรัฐธรรมนูญ มีคำสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีนับแต่วันที่ 1 ก.ค. 2568 เป็นต้นไป จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย แจ้งให้ผู้ร้องและผู้ถูกร้องทราบ

ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างน้อย จำนวน 2 คน คือ นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ และนายอุดม สิทธิวิรัชธรรม เห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้องยังไม่ยุติชัดเจน ให้ปรากฎเหตุอันควรสงสัยว่าผู้ถูกร้องมีกรณีตามที่ถูกร้องตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 วรรคสอง แต่เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นอย่างร้ายแรงที่ยากแก่การแก่ไขเยียวยาในภายหลัง ให้ใช้มาตรการหรือวิธีการชั่วคราวก่อนการวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มาตรา 71 ห้ามมิให้ผู้ถูกร้อง (น.ส.แพทองธาร) ใช้หน้าที่และอำนาจด้านความมั่นคง ด้านการต่างประเทศ และต้านการคลัง จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ

Advertisement

“อนุทิน” นำทีมภูมิใจไทย เยือนปราสาทตาเมือนธม

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 27 มิถุนายน 2568 “อนุทิน” นำทีม “ภูมิใจไทย” เยือนปราสาทตาเมือนธม มอบสิ่งของ-ให้กำลังใจทหารแนวหน้า พร้อมขอบคุณความทุ่มเทเสียสละ

นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย พร้อมคณะผู้บริหารพรรคและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้ลงพื้นที่เยือนปราสาทตาเมือนธม อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ เพื่อให้กำลังใจทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ดูแลพื้นที่ชายแดน พร้อมมอบสิ่งของจำเป็นและวัสดุสนับสนุนภารกิจด้านความมั่นคงและการป้องกันภัย

นายอนุทินกล่าวว่า ปราสาทตาเมือนธมเป็นโบราณสถานที่สวยงามมาก มีศักยภาพเป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับโลก หากไม่มีความตึงเครียดทางชายแดน เชื่อว่าจะมีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลมาไม่ขาดสาย

“วันนี้ได้มาเยี่ยมทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ชายแดน รู้สึกอุ่นใจอย่างมาก เพราะพวกเรามีทหารที่เข้มแข็ง ดูแลบ้านเมืองด้วยหัวใจ ต้องขอขอบคุณและให้กำลังใจทุกนายที่เสียสละ” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยกล่าว

นอกจากนี้ ตลอดทั้งวัน นายอนุทินและคณะได้ลงพื้นที่หลากหลายจุดในเขตชายแดนสุรินทร์ เริ่มต้นที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านด่าน อำเภอกาบเชิง มอบสิ่งของจำเป็นและพูดคุยกับชาวบ้าน จากนั้นเดินทางไปที่ว่าการอำเภอกาบเชิงเพื่อประกอบพิธีมอบท่อคอนกรีตสำหรับสร้างหลุมหลบภัย

ช่วงบ่าย นายอนุทินเดินทางต่อไปยังโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลอุโลก ตำบลบักได อำเภอพนมดงรัก เพื่อมอบวัสดุช่วยก่อสร้างหลุมหลบภัย พร้อมพูดคุยกับผู้นำชุมชนในพื้นที่ ก่อนปิดท้ายภารกิจด้วยการเยี่ยมเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง ณ ปราสาทตาเมือนธม ตำบลตาเมียง จุดยุทธศาสตร์สำคัญชายแดนไทย–กัมพูชา

Advertisement

กกต.ออกประกาศเตือน ว่าที่ผู้สมัคร อบต. ช่วงหาเสียง ร่วมงานพิธีห้ามใส่ซอง

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 26 มิถุนายน 2568 กกต.เตือนว่าที่ผู้สมัคร อบต.ช่วงหาเสียงเลือกตั้ง ร่วมงานแต่ง งานศพ งานบวช ได้ แต่ห้ามใส่ซอง เลี่ยงมอบเงิน-ของช่วยภัยพิบัติ เสี่ยงถูกร้อง

สำนักงาน กกต.ได้แจ้งแนวทางการปฏิบัติตัวของผู้ที่มีความประสงค์จะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล และนายกองค์การบริหารส่วนตำบล โดยผู้สมัครสามารถเริ่มดำเนินการหาเสียงเลือกตั้งได้ตั้งแต่วันที่ 31 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงเวลา 180 วันก่อนวันครบวาระการดำรงตำแหน่งในวันที่ 27 พฤศจิกายน 2568 และสิ้นสุดการหาเสียงภายในเวลา 18.00 น.ของวันก่อนวันเลือกตั้ง

ทั้งนี้เพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริต เที่ยงธรรม และชอบด้วยกฎหมายผู้สมัครรับเลือกตั้งสามารถเข้าร่วมกิจกรรมหรือประเพณีต่าง ๆ ได้ตามปกติ เช่น งานแต่งงาน งานบวช งานศพ หรือพิธีทางศาสนาอื่น ๆ แต่ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนด และระมัดระวังไม่ให้การเข้าร่วมนั้น เข้าข่ายเป็นการหาเสียงที่ผิดกฎหมาย โดยมีข้อควรปฏิบัติ คือ

1.ห้ามให้เงิน ทรัพย์สิน หรือผลประโยชน์อื่นใดในงาน โดยผู้สมัครรับเลือกตั้งสามารถเข้าร่วมงานได้ในฐานะผู้รับเชิญ หรือแขกในพิธีการ เช่น เป็นเจ้าภาพ บังสุกุล หรือมีชื่อเป็นประธานในพิธีงานบุญโดยเจ้าภาพเป็นผู้จัดเตรียม แต่ห้ามมิให้มอบเงินหรือสิ่งของ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม หรือการกระทำใดๆ อันอาจเข้าข่ายเป็นเหตุจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้ตนเอง หรือผู้อื่น อันเป็นการกระทำอันฝ่าฝืน มาตรา 65 พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหาร ท้องถิ่น พ.ศ. 2562 และที่แก้ไขเพิ่มเติม

2.ห้ามเจ้าภาพประกาศชื่อหรือหมายเลขผู้สมัครในลักษณะช่วยหาเสียง ทั้งนี้แม้ผู้สมัครรับเลือกตั้งจะไม่ได้กระทำการหาเสียงโดยตรง แต่หากเจ้าภาพมีการประกาศ ชื่อ หมายเลข หรือแสดงเจตนาเชิญชวนให้เลือกบุคคลดังกล่าวในงาน อาจเข้าข่ายเป็นการหาเสียงผิดกฎหมาย

หากจำเป็นต้องจัดงานด้วยตนเอง ให้คำนึงตามฐานานุรูปและความเหมาะสม โดยผู้สมัครรับเลือกตั้งสามารถจัดงานได้ เช่น งานศพ งานบวช งานแต่งงาน แต่ควรหลีกเลี่ยง การจัดงานที่มีลักษณะเกินความจำเป็น มีมหรสพ ความบันเทิง หรือการแจกจ่ายของที่ระลึก อันอาจถูกตีความว่า เป็นการจัดเลี้ยงหรือรื่นเริงเพื่อจูงใจผู้มีสิทธิเลือกตั้ง

3.ห้ามมอบสิ่งของช่วยเหลือประชาชนในสถานการณ์พิเศษ แม้ผู้สมัครรับเลือกตั้งจะมีเจตนาแสดงน้ำใจในฐานะส่วนบุคคล เช่น กรณีอุทกภัย ไฟไหม้ วาตภัย หรือโรคระบาด แต่หากมีการมอบสิ่งของหรือการช่วยเหลือในช่วงเวลาการหาเสียง อาจเป็นเหตุให้ถูกร้อง คัดค้านว่ามีการกระทำอันเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ.สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 ได้

ทั้งนี้ในการหาเสียงเลือกตั้ง ผู้สมัครรับเลือกตั้งและพรรคการเมือง ต้องปฏิบัติให้เป็นไปตาม พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมถึงระเบียบกกต.ว่าด้วยวิธีการหาเสียงและลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงเลือกตั้ง สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2563 และที่แก้ไขเพิ่มเติม อย่างเคร่งครัด จึงขอให้ผู้ที่ประสงค์จะสมัครรับเลือกตั้ง อบต. ศึกษากฎหมาย ที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียด และดำเนินการภายใต้กรอบที่กฎหมายกำหนด เพื่อป้องกันการกระทำที่อาจเป็นเหตุ ให้ขาดคุณสมบัติ หรือถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งในภายหลัง

Advertisement

“รักชนก” จี้ “ปธ.กสทช.” ลาออก อัดเอื้อประโยชน์กลุ่มทุน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 25 มิถุนายน 2568 “รักชนก” จี้ “ประธาน กสทช.” ลาออกจากตำแหน่ง บอก เนื้อใบหน้าหนากว่าคนทั่วไป ไล่ออกทุกสัปดาห์ก็ไม่ออก บอกไม่มีอำนาจคุมหัวโต๊ะประมูลคลื่นความถี่ “นายกฯ” ต้องหยุดความเน่าเฟะให้ได้ อีกไม่กี่วันจะประมูลแล้ว เชื่อ ปชช. ต้องจ่ายแพงขึ้น อัดเอื้อผลประโยชน์ให้กลุ่มทุนเครือข่ายมือถือ

น.ส.รักชนก ศรีนอก สส.กทม. พรรคประชาชน แถลงข่าวกรณีที่คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) จะจัดการประมูลคลื่นความถี่ 4 ย่านหลัก ในวันที่ 29 มิ.ย. ที่จะถึงนี้ โดยตั้งข้อสังเกตถึงราคาเริ่มต้นประมูลต่ำเกินกว่าราคาที่รัฐจัดเก็บได้ในปัจจุบัน ซึ่งมีปัญหาอยู่ที่คลื่น 2,100 และ 2,300 เมกะเฮิรตซ์

“คลื่น 2,100 เมกะเฮิรตซ์ AIS เคยเช่า NT ในราคา 12,000 ล้านบาท แต่ในการเริ่มประมูลครั้งนี้ กสทช. ตั้งต้นประมูลที่ความถี่ 4,500 ล้านบาท ส่วนคลื่น 2,300 เมกะเฮิรตซ์ ดีแทคเคยเช่า NT อยู่ที่ 7,300 ล้านบาท แต่ กสทช. ตั้งต้นประมูลอยู่ที่ประมาณ 2,600 ล้านบาท ต้องบอกว่าราคาตั้งต้นการประมูล อ้างอิงจาก 10 ปีที่แล้ว เหตุผลอะไรที่ต้องไปอ้างอิงราคาเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ทั้งที่โลกเปลี่ยนไป” น.ส.รักชนก กล่าว

น.ส.รักชนก กล่าวว่า หลังจากควบรวมค่ายมือถือ ทุกคนทราบว่าเหลือเครือข่ายมือถือยักษ์ใหญ่อยู่แค่ 2 รายเท่านั้น แล้วเขาก็ไม่ได้ใช้ความถี่ทับกัน คำถามของพวกเราคือทำไม กสทช. ถึงตั้งราคาเริ่มต้นที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินขนาดนี้

“กสทช.ท่านเป็นอะไรกับค่ายมือถือ ถึงต้องรักษาผลประโยชน์ให้เขาขนาดนี้ เพราะไม่มีหลักฐานอะไรที่ยืนยันได้เลยว่าเมื่อค่ายมือถือเหล่านี้ จ่ายเงินซื้อของราคาถูกแล้ว เขาจะเอาเงินส่วนต่างเหล่านี้มาลดหรือเพิ่มเป็นบริการที่ดีขึ้น ท่านบอกว่าพอเขาจ่ายของถูก เดี๋ยวเขาจะไปลดค่าบริการ ทำเสาสัญญาณให้ดีขึ้น ประชาชนประเทศนี้ไม่ได้กินหญ้า ตอนที่ควบรวมทรูกับดีแทค กสทช. เดี๋ยวบริการจะดีขึ้น ถามว่าทุกวันนี้ มันประจักษ์แก่สายตาประชาชนแล้วหรือยัง สัญญาณมือถือที่ท่านใช้รู้สึกว่ามันดีหรือห่วยกว่าเดิม” น.ส.รักชนก กล่าว

น.ส.รักชนก ระบุว่า ค่าบริการ โปรโมชั่นเสริมที่เมื่อก่อนนี้จะต้องแย่งลูกค้ากัน ทุกวันนี้มันหดหายไปเพราะเขาไม่ต้องแข่งทำอะไร เพื่อเอาใจผู้บริโภค นอกจากนี้ยังมีกรณีค่ายมือถือล่ม กสทช. จัดการอะไรได้หรือไม่ ท่านไม่มีการจัดการค่ายมือถือเหล่านี้เลย

“กสทช.เปลี่ยนชื่อเถอะ จากองค์กรบริหารคลื่นความถี่ ไปเป็นองค์กรบริหารคลื่นความถี่เพื่อกลุ่มทุน แล้ววงเล็บข้างหลังไปด้วยว่ากลุ่มทุนไหน เพราะตอนนี้กลุ่มทุนค่ายมือถือกลุ่มหนึ่ง แทบจะสั่งให้ กสทช. สำนักงานและบอร์ด ซ้ายหันขวาหันได้อยู่แล้ว ท่านเปลี่ยนชื่อไปเลย มันจะได้ชัดเจน ประชาชนจะได้เข้าใจกันไปเลยว่าองค์กรนี้จัดสรรขึ้นความถี่ไม่ใช่เพื่อประโยชน์สาธารณะแล้ว” น.ส.รักชนก กล่าว

น.ส.รักชนก กล่าวว่า ประเด็นที่สอง เรื่องคุณสมบัติของ นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธาน กสทช. ท่านมีหน้านั่งอยู่ในตำแหน่งประธาน กสทช.ได้อย่างไร ข้อเท็จจริงที่ว่าประธาน กสทช. ขาดคุณสมบัติ มันชัดเจนจนไม่รู้จะชัดเจนอย่างไรแล้ว ตนเชื่อว่าคนเกินครึ่งประเทศเคยได้ยินเรื่องนี้ ขนาดอ้างอิงของวุฒิสภาสมัยที่แล้ว ท่านเป็นพวกเดียวกัน มาจากรัฐบาลรัฐประหารเหมือนกัน ทั้ง สว.และประธาน กสทช.

“สว.ชุดที่แล้วยังชี้ไปในรายงานฉบับนี้เลยด้วยซ้ำว่าประธาน กสทช.คนนี้ขาดคุณสมบัติ เอาง่ายๆว่าพวกเดียวกันยังแบกไม่ไหว แต่ทุกวันนี้เรายังต้องจ่ายเงินเดือนให้คนคนนี้ เพียงต้องจ่ายค่าดูงานต่างประเทศ จ่ายสวัสดิการ คนๆนี้ยังนั่งตัดสินใจเรื่องที่สำคัญขนาดนี้ ราคาประมูลมันเท่านี้ แต่ผลประโยชน์ของชาติมันหลักแสนล้านบาท ท่านไม่มีสิทธิ์นั่งหัวโต๊ะ” น.ส.รักชนก กล่าว

น.ส.รักชนก กล่าวว่า ต่อให้ตนเรียกร้องให้ประธาน กสทช.ลาออกทุกสัปดาห์ แต่ท่านคงไม่ออก เพราะเนื้อบริเวณใบหน้าท่าน อาจจะหนากว่าคนทั่วไปสักนิด ตนก็เข้าใจ ท่านลงจากอำนาจมา ก็น่าจะมีฝ่าเท้าที่คอยเหยียบย่ำท่าน ดังนั้น ขอเรียกร้องให้ตัวประธาน กสทช.จัดการตัวเอง และเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้ที่ทูลเกล้าฯ เสนอชื่อ ประธาน กสทช. เสนอทูลเกล้าเพื่อปลดออกด้วย

“ดิฉันมาช่วยหาคะแนนให้คุณแพทองธาร ถ้าจะมีสักเรื่องหนึ่งที่ท่านทำเพื่อประชาชนจริงๆ เพื่อผลประโยชน์ของประเทศจริงๆ เพราะทุกคนอาจจะทราบแล้วว่า องค์กรนี้ ทุกวันนี้ ทำงานรับใช้ใคร สีแดงๆ ค่ะ นายกรัฐมนตรีจะต้องหยุดเรื่องราวความเน่าเฟะที่เกิดขึ้นในองค์กร กสทช.” น.ส.รักชนก กล่าว

Advertisement

“ประเสริฐ” โต้ รมต.โทรคมนาคมกัมพูชา ชี้ชัด กัมพูชาศูนย์กลางอาชญากรรมแก๊งคอลเซ็นเตอร์

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 25 มิถุนายน 2568 “ประเสริฐ” โต้ รัฐมนตรีโทรคมนาคมกัมพูชา ชี้ชัด กัมพูชาศูนย์กลางอาชญากรรมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ปัด ไม่เกี่ยวกับไทย นักท่องเที่ยวจีนไม่เข้าประเทศ เตรียมขอความร่วมมือนานาชาติตอบโต้กัมพูชา

นายประเสริฐ จันทรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี นายเจีย วันเดธ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงไปรษณีย์ และโทรคมนาคมแห่งกัมพูชา ตอบโต้ไทยกล่าวหาว่ากัมพูชาเป็นศูนย์กลางอาชญากรรมข้ามชาติ แก๊งคอลเซนเตอร์ ว่า เป็นการแก้ต่างของกัมพูชา เพราะรายงานของความมั่นคง ฝ่ายต่างประเทศยืนยันชัดเจนว่าศูนย์กลางอาชญากรรมอยู่ที่กัมพูชา และ รายงานข่าวความมั่นคงของไทยก็ชี้ชัดว่าศูนย์ปฎิบัติการณ์แก๊งคอลเซนเตอร์ อยู่ในกัมพูชา และย้ายไปที่ปอยเปต

เมื่อถามว่าประเด็นที่นายเจีย กล่าวอ้าง เพราะไทยไปกล่าวอ้างในลักษณะนี้ทำให้นักท่องเที่ยวจีน เข้ามาท่องเที่ยวในภูมิภาคลดลง นายประเสริฐ กล่าวว่า ไม่จริง เป็นข้อกล่าวหาที่ปราศจากเหตุผล เพราะไทยเป็นประธานปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์ในระดับอาเซียน และที่นักท่องเที่ยวจีนไม่เข้าประเทศกัมพูชา เป็นเพราะนักท่องเที่ยวจีนคุยกันเอง ไม่ได้เกี่ยวกับไทย

ส่วนไทยจะตอบโต้อย่างไรกับข้อกล่าวหาของรัฐมนตรีไปรษณีย์และโทรคมนาคมแห่งกัมพูชา นายประเสริฐ กล่าวว่า คงจะต้องหาความร่วมมือกับประเทศอื่นๆในการปราบปราม เพราะข้อเท็จจริงก็ปรากฎชัดว่าปอยเปตและเมืองสำคัญของกัมพูชาเป็นแหล่งของคอลเซนเตอร์ใช้เป็นฐาน เพราะสังเกตุจากการเข้มงวดด่านชายแดนต้นเดือนมิถุนายน การใช้โซเชียลแพลตฟอร์มต่างๆลดลงเป็นจำนวนมาก คนเข้าออกด่านลดลง ส่งผลในสถิติอาชญากรรมลดลงไปด้วย

ส่วนที่วันนี้ มีการปล่อยข่าวไทยจะเปิดด่านชายแดนวันที่ 24-25 มิถุนายนนี้ นั้น นายประเสริฐ ไม่ขอแสดงความเห็นเพราะเป็นอำนาจฝ่ายความมั่นคง และเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เพราะสถานการณ์ตอนนี้ฝ่ายความมั่นคงจับตาตลอด ส่วนที่นักพนันและคนที่ไปทำงานเป็นแก๊งคอลเซนเตอร์ กระทรวงดีอีเอสได้รับมอบหมายให้ดูเรื่องบัญชีม้า หากมีการกดเงิน หรือเอาเงินออกในรูปแบบอื่นเป็นจำนวนมากจะตรวจสอบได้ทันที และยอมรับว่าช่วงที่ผ่านมามีการกดเงินที่ด่านชายแดน สระแก้วมากกว่าในจุดอื่น ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ติดตามบัญชีมาแล้ว และแก๊งคอลเซนเตอร์ในตอนนี้ใช้รูปแบบเดิมคือหลอกให้กดเงินสดออกแทนการโอนเงิน

Advertisement

Verified by ExactMetrics