วันที่ 3 พฤษภาคม 2024

ก.คลังเพิ่มทุนโครงการเหมืองแร่โพแทชอาเซียน 90 ล้าน

People Unity News : 1 มีนาคม 2566 คลังงัดงบกลางเพิ่มทุนโครงการเหมืองแร่โพแทชอาเซียน 90 ล้านบาท  คงสัดส่วนผู้ถือหุ้นตามข้อตกลงโครงการอุตสาหกรรมอาเซียน

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2566 ว่า ครม.เห็นชอบการเพิ่มทุนในโครงการเหมืองแร่โพแทชของอาเซียน โดยเพิ่มทุนเพื่อชำระค่าหุ้นสามัญเพิ่มทุนส่วนแรกในสัดส่วนของกระทรวงการคลัง จำนวน 90 ล้านบาท สำหรับบริษัท อาเซียนโปแตชชัยภูมิ จำกัด (มหาชน) เพื่อคงสัดส่วนการถือหุ้นของรัฐบาลเจ้าของโครงการเป็นไปตามข้อตกลงพื้นฐานว่าด้วยโครงการอุตสาหกรรมอาเซียน (Basic Agreement) และให้โครงการสามารถดำเนินงานต่อไปได้ มอบหมายให้กระทรวงการคลังพิจารณาใช้จ่ายงบกลาง ปีงบประมาณ 2566  ชำระค่าหุ้นสามัญเพิ่มทุนในส่วนแรกตามขั้นตอนของกฎหมาย

โครงการเหมืองแร่โพแทชของอาเซียน เป็นโครงการภายใต้ข้อตกลงพื้นฐานว่าด้วยโครงการอุตสาหกรรมอาเซียน (Basic Agreement) โดยไทยเป็นสมาชิกร่วมกับประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และบูรไน ซึ่งข้อตกลงกำหนดให้ประเทศเจ้าของโครงการต้องร่วมลงทุนไม่น้อยกว่าร้อยละ 60 ของยอดลงทุนทั้งหมด และรัฐบาลเจ้าของโครงการต้องลงทุนไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของยอดเงินลงทุนนั้น โดยอีกร้อยละ 40 ประเทศสมาชิกอาเซียนจะเป็นผู้ลงทุน โครงการนี้ มีบริษัท อาเซียนโปแตชชัยภูมิ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ดำเนินโครงการ มีทุนจดทะเบียน 2,805.8 ล้านบาท และกระทรวงการคลังถือหุ้นอยู่ร้อยละ 20 เป็นเงิน 516.16 ล้านบาท ลักษณะของโครงการ เป็นการทำเหมืองใต้ดิน  มีแร่โพแทชและเกลือหินเป็นผลผลิตสำคัญ ตั้งอยู่ในพื้นที่จังหวัดชัยภูมิ มีมูลค่าแหล่งแร่รวม 200,000 ล้านบาท และได้เริ่มพัฒนาเหมืองขั้นต้นเพื่อการผลิตแร่โพแทชไว้แล้ว เช่น การขุดเจาะอุโมงค์เข้าสู่เหมืองใต้ดินเพื่อการขนส่ง การสร้างห้องใต้ดินเพื่อทดลองผลิตแร่โพแทช ซึ่งไม่พบปัญหาด้านวิศวกรรม

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา บริษัทไม่สามารถหาทุนเพื่อดำเนินธุรกิจได้ แม้ภาครัฐโดยกระทรวงการคลังได้พยายามเพิ่มทุนแก่บริษัทหลายครั้ง เช่น ขยายนิยามผู้ถือหุ้นในสัดส่วนของรัฐบาลไทยให้ครอบคลุมรัฐวิสาหกิจไทย รวมถึงบริษัทลูกของรัฐวิสาหกิจไทย แต่ไม่มีหน่วยงานใดให้ความสนใจ  จึงไม่สามารถผลิตแร่ได้ตามเป้าหมาย  อีกทั้ง มีภาคเอกชนรายใหม่ให้ความสนใจ เข้ามาลงทุนในโครงการ  อาจจะส่งผลต่อสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทเปลี่ยนแปลง กระทรวงการคลังจึงต้องเพิ่มทุนในครั้งนี้ ให้เป็นไปตามข้อตกลงพื้นฐานว่าด้วยโครงการอุตสาหกรรมอาเซียน (Basic Agreement)

Advertisement

ธอส.ร่วมช่วยกระทรวงศึกษาฯ แก้ไขหนี้ครู

People Unity News : 17 กุมภาพันธ์ 2566 ธอส. พร้อมช่วยเหลือข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาแก้ไขหนี้อย่างยั่งยืน  จัดทำมาตรการแก้หนี้ ดอกเบี้ย 0% นาน 10 เดือน ในงานมหกรรมการเงินเพื่อครูไทย 4 ภูมิภาค

นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า เพื่อดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล ในการแก้ไขปัญหาหนี้สินให้กับประชาชน ธอส. ในฐานะสถาบันการเงินของรัฐ ที่มีพันธกิจ “ทำให้คนไทยมีบ้าน”  จึงสานต่อความช่วยเหลือดังกล่าว ไปยังข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ที่ถือเป็นทรัพยากรบุคคลที่สำคัญในการพัฒนาด้านการศึกษาของประเทศให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ผ่านการแก้ไขปัญหาหนี้สิน ทั้งที่อยู่ระหว่างการเข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ย และการปรับโครงสร้างหนี้ ด้วยการนำมาตรการแก้หนี้และผลิตภัณฑ์ทางการเงินเข้าร่วมงานมหกรรมการเงินเพื่อครูไทย 4 ภูมิภาค ที่จัดขึ้นโดยกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมกับสถาบันการเงินของรัฐ สหกรณ์ออมทรัพย์ครูและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาทุกภูมิภาคทั่วประเทศให้ได้รับความช่วยเหลืออย่างครบวงจร โดยการจัดงานครั้งที่ 1 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 18-19 กุมภาพันธ์ 2566 ณ โรงเรียนกมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ โดย ธอส. นำมาตรการแก้หนี้และผลิตภัณฑ์ทางการเงินเข้าร่วมงาน ประกอบด้วย

มาตรการช่วยเหลือลูกค้าปัจจุบันของธนาคาร   มาตรการ 22 [M22]  สำหรับลูกค้าข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาของรัฐหรือเอกชน ที่ยังคงรับราชการและ/หรือเป็นข้าราชการบำนาญ สถานะ NPL หรือ ลูกค้าข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาของรัฐหรือเอกชน ที่ยังคงรับราชการและ/หรือเป็นข้าราชการบำนาญ สถานะ NPL ที่อยู่ระหว่างการใช้มาตรการ/ปรับโครงสร้างหนี้ที่กู้เงินกับธนาคารมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปี ให้ผ่อนเงินงวดต่ำพร้อมลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้พิเศษ 2 ปี เดือนที่ 1-10 ชำระเพียงงวดละ 1,000 บาท อัตราดอกเบี้ย 0% ต่อปี (ตัดชำระเงินต้นทั้งหมด) เดือนที่ 11-18 คิดเงินงวดจากอัตราดอกเบี้ย 1.99% ต่อปี (กรณีเงินต้นคงเหลือ 1 ล้านบาท เงินงวดในการผ่อนชำระ 1,800 บาท) เดือนที่ 19-21 คิดเงินงวดจากอัตราดอกเบี้ย 3.90% ต่อปี (กรณีเงินต้นคงเหลือ 1 ล้านบาท เงินงวดในการผ่อนชำระ 3,500 บาท)  เดือนที่ 22-24 คิดเงินงวดจากอัตราดอกเบี้ย MRR-2% ต่อปี หรือเท่ากับ 4.40% ต่อปี (กรณีเงินต้นคงเหลือ 1 ล้านบาท เงินงวดในการผ่อนชำระ 3,900 บาท) (อัตราดอกเบี้ย MRR ธอส. ปัจจุบันเท่ากับ 6.40% ต่อปี)

บ้านมือสอง ธอส. จากทั่วประเทศมากกว่า 1,700 รายการ จำหน่ายพร้อมส่วนลดสุด 50% จากราคาประเมิน พร้อมสิทธิ์ผ่อนดาวน์ 0% นานสูงสุด 36 เดือนทุกรายการทรัพย์ โดยสามารถจองซื้อทรัพย์ออนไลน์และวางเงินประกัน 5,000 บาท ในวันทำสัญญาจะซื้อจะขาย (เงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด) พิเศษ!! รับฟรีของสมนาคุณสำหรับลูกค้าที่จองซื้อบ้านมือสอง ธอส. สามารถจองสิทธิ์ซื้อและเลือกดูทรัพย์ได้ที่ Application : GHB ALL HOME

สำหรับผู้ที่สนใจเข้ามาตรการความช่วยเหลือฯ จะต้องเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาของรัฐ สังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร และสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่ยังคงรับราชการและ/หรือเป็นข้าราชการบำนาญ รวมถึงครูและบุคลากรทางการศึกษาของโรงเรียนเอกชน โดยจะต้องแสดงหลักฐาน เอกสาร บัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ หนังสือรับรองจากหน่วยงานต้นสังกัด พร้อมทั้งแสดงหลักฐานการได้รับผลกระทบจากการประกอบอาชีพหรือผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ เช่น หลักฐานรายได้ หรือ หนังสือรับรองจากหน่วยงานจากต้นสังกัด

ทั้งนี้ การจัดงานมหกรรมการเงินเพื่อครูไทย 4 ภูมิภาค จะจัดขึ้นทั้งหมด 5 ครั้ง ประกอบด้วย ครั้งที่ 1 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ : วันที่ 18-19 กุมภาพันธ์ 2566 ณ โรงเรียนกมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ ครอบคลุมการให้ความช่วยเหลือข้าราชการครูใน จ.กาฬสินธุ์ ขอนแก่น มหาสารคามและ ร้อยเอ็ด, ครั้งที่ 2 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ : วันที่ 4-5 มีนาคม 2566 ณ จ.อุดรธานี ครอบคลุมการให้ความช่วยเหลือข้าราชการครูใน จ.อุดรธานี บึงกาฬ เลย หนองคาย และ หนองบัวลำภู, ครั้งที่ 3 ภาคตะวันออก : วันที่ 11-12 มีนาคม 2566 ณ จ.สระแก้ว ครอบคลุมการให้ความช่วยเหลือข้าราชการครูใน จ.สระแก้ว ปราจีนบุรี และนครนายก, ครั้งที่ 4 ภาคเหนือ : วันที่ 18-19 มีนาคม 2566 ณ จ.พิษณุโลก ครอบคลุมการให้ความช่วยเหลือข้าราชการครูใน จ.พิษณุโลก ตาก สุโขทัย เพชรบูรณ์ และอุตรดิตถ์ และ ครั้งที่ 5 ภาคใต้ : วันที่ 25-26 มีนาคม 2566 จัดที่ จ.สุราษฏร์ธานี ครอบคลุมการให้ความช่วยเหลือข้าราชการครูใน จ.สุราษฏร์ธานี นครศรีธรรมราช ชุมพร กระบี่ พังงา ระนอง และ พัทลุง สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธอส.ทุกสาขาทั่วประเทศ G H Bank Call Center โทร 0-2645-9000 หรือ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และติดตามข่าวสารของธนาคารได้ที่ Mobile Application : GHB ALL, GHB ALL GEN และ www.ghbank.co.th

Advertisement

นายกฯ ดีใจ ท่องเที่ยวชายแดนใต้คึกคัก

People Unity News : 12 กุมภาพันธ์ 2566 นายกฯ ดีใจ ประชาชนตอบรับท่องเที่ยวชายแดนใต้เป็นอย่างดี มั่นใจกระตุ้นเศรษฐกิจแน่

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกรรมการผู้แทนพิเศษของรัฐบาลในการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนใต้ เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ขอบคุณทุกภาคส่วนที่ร่วมกันจัดงานงานมหกรรมท่องเที่ยวปัตตานีอาเซียน ระหว่างวันที่ 2 – 8 กุมภาพันธ์ 2566 เพื่อเป็นการสืบสานวัฒนธรรมประเพณีสำคัญของท้องถิ่น ส่งเสริมความเป็นสังคมพหุวัฒนธรรม และเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยว โดยประกอบด้วย งานมหาสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวปัตตานี อ.เมือง และ งานสมโภชเจ้าพ่อเล่าเอี๊ยะกง อ.สายบุรี ซึ่งมีประชาชนเข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง

ในงานมหาสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวปัตตานี ยังประกอบด้วยกิจกรรม อาทิ งานถนนคนเดินอาหาร 3 วัฒนธรรม การจัดกิจกรรม “สักวา อา-รมย์-ดีฟ” การจัดแสดงรถคลาสสิคและรถโบราณ “Pattani Classic and Garage” พิธีอัญเชิญองค์เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ประทับเกี้ยวใหญ่มหามงคล หามรอบเมืองปัตตานี พิธีเปิดงานมหาสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว กิจกรรมวิ่งมินิมาราธอน “Pattani Charity Night Run” ณ บริเวณหน้ามัสยิดกลางจังหวัดปัตตานี การจัดการประกวดเชิดสิงโตบนเสาดอกเหมยชิงแชมป์เอเชีย เป็นต้น ขณะที่ งานสมโภชเจ้าพ่อเล่าเอี๊ยะกง อ.สายบุรี มีกิจกรรมแห่เกี้ยวปักดิน คือ การหามเกี้ยวพระออกจากศาลเจ้า ไปเยี่ยมเยือนลูกหลานเมื่อท่านมีความพึ่งพอใจ เกี้ยวจะโยกและปักลงดิน ซึ่งมีหนึ่งเดียวในประเทศไทย เป็นประเพณีที่สืบทอดมาอย่างยาวนาน

ทั้งนี้ ความสำเร็จของการจัดงานมหกรรมท่องเที่ยวปัตตานีอาเซียน ทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ประมาณการณ์ว่า มีจำนวนผู้เยี่ยมเยือนชาวไทย 95% และชาวต่างชาติ 5% เดินทางเข้าพื้นที่ไม่ต่ำกว่า 32,000 คน สร้างรายได้หมุนเวียน 33.5 ล้านบาท โดยจังหวัดปัตตานีมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยเกินกว่าร้อยละ 90 ซึ่งผู้เยี่ยมเยือนส่วนใหญ่เป็นคนในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส รวมไปถึงจากต่างพื้นที่ คือ จังหวัดสงขลา พัทลุง สตูลและนครศรีธรรมราช

นางสาวรัชดา ได้กล่าวต่อว่า รัฐบาลยังได้ขับเคลื่อนการกระตุ้นเศรษฐกิจในจังหวัดชายแดนใต้ ผ่านกิจกรรมการแข่งขันวิ่งเทรล Amazean Jungle Thailand by UTMB 2023 ระหว่างวันที่ 17-19 ก.พ. ณ อ.เบตง จ.ยะลา และโครงการ Amazing Betong Festival 2023 ซึ่งจัดระหว่างวันที่ 9-19 ก.พ. ขณะนี้มีผู้สมัครร่วมเข้าแข่งขัน เกือบ 2,000 คน แบ่งสัดส่วนเป็นคนไทย 60% และต่างชาติ 40% จาก 30 ประเทศ โดยมีชาติที่ให้ความสนใจ เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม จีน ญี่ปุ่น อังกฤษ ซึ่งนักท่องเที่ยวนักท่องเที่ยวจะได้วิ่ง เที่ยว ดื่ม กิน เช็กอิน @เบตง ในงาน Amazing Betong Festival ทั้งนี้ สนามวิ่งเทรล อำเภอเบตง ถือเป็น “หนึ่งในศูนย์กลางกีฬาวิ่งเทรลของโลก” มีสนามที่เป็นอันดับ 1 ของทวีปเอเชีย-แปซิฟิก คาดว่าการจัดงานครั้งนี้จะสร้างรายได้แก่พื้นที่จังหวัดชายแดนใต้หลายร้อยล้านบาทให้

“นายกรัฐมนตรีมีความยินดีต่อความสำเร็จในการจัดงานดังกล่าว ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงความร่วมมือร่วมใจของทุกภาคส่วน ทุกกลุ่มวัฒนธรรม ในการสืบสานมรดกอันทรงคุณค่าของชาวปัตตานี อีกทั้งในงานยังมีผู้ร่วมงานจำนวนมาก แสดงถึงความมั่นใจในสถานการณ์ในพื้นที่ รวมถึงโอกาสในการเติบโตด้านการท่องเที่ยว ทั้งนี้ รัฐบาลขอให้ความมั่นใจแก่ประชาชนว่าจะสามารถยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ สร้างงาน สร้างรายได้ แก่ชาวจังหวัดชายแดนใต้ได้อย่างแน่นอน ผ่านการขับเคลื่อนนโยบายการส่งเสริมภาคการเกษตรและการท่องเที่ยว และโครงการเมืองต้นแบบบนพื้นฐานศักยภาพและการมีส่วนร่วมของท้องถิ่น” นางสาวรัชดา กล่าว

Advertisement

ครม. เพิ่มมาตรการดึงต่างชาติถ่ายหนังในไทย คืนเงินให้กองถ่าย 150 ล้านบาท

People Unity News : 7 กุมภาพันธ์ 2566 ครม. ทบทวนมาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ คืนเงินเป็นร้อยละ 20-30 เพิ่มเพดานการคืนเงิน 150 ล้านบาท หวังดึงดูดกองถ่ายต่างชาติ

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบทบทวนมาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย โดยการปรับเกณฑ์ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ได้แก่ ส่วนที่ 1 ปรับอัตราการคืนเงิน (Cash Rebate) จากเดิม ร้อยละ 15-20 เพิ่มเป็นร้อยละ 20-30 ระยะเวลา 2 ปี โดยมีสิทธิประโยชน์ร้อยละ 20 เมื่อลงทุนในประเทศไม่น้อยกว่า 100 ล้านบาท ส่วนสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมรวมแล้วไม่เกินร้อยละ 10 หลังจากนี้ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ปรับปรุงประกาศกรมการท่องเที่ยว หวังฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย เช่น การกระจายรายได้สู่เมืองรอง การเพิ่มการจ้างงานคนไทย การเพิ่มมูลค่าค่าใช้จ่ายในประเทศ ซึ่งเป็นการสร้างรายได้ให้แก่ชุมชนและประชาชนโดยตรง

ส่วนที่ 2 การปรับเพิ่มเพดานการคืนเงินจากเดิม 75 ล้านบาทต่อเรื่องเป็น 150 ล้านบาทต่อเรื่อง ทำให้เพดานเงินลงทุนสร้างภาพยนต์ต่อเรื่องเพิ่มเป็น 750 ล้านบาท จากเดิม 375 ล้านบาท เพื่อเป็นการรับกับแนวโน้มคณะถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศที่เข้ามาในไทยเป็นผู้สร้างรายใหญ่ เงินทุนสูง โดยเฉพาะภาพยนตร์ชุดทางโทรทัศน์ โดยเรื่องที่เข้ามาถ่ายทำในไทยสูงสุดขณะนี้คือภาพยนตร์ชุดทางโทรทัศน์เรื่อง Thai Cave Rescue

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สำหรับความจำเป็นที่ต้องมีการทบทวนมาตรการส่งเสริมการถ่ายทำาภาพยนตร์ต่างประเทศเนื่องมาจากปัจจุบันประเทศต่างๆ เห็นประโยชน์จากธุรกิจถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศจึงได้ออกมาตรการส่งเสริมการถ่ายทำในรูปแบบการคืนเงิน (Cash Rebate) หรือคืนภาษี (Tax Rebate/Tax Credit) เพื่อดึงดูดผู้สร้างภาพยนตร์ให้เข้าไปถ่ายทำในประเทศตนอย่างต่อเนื่อง ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องปรับเกณฑ์และเงื่อนไขให้สอดคล้องกับสภาพการณ์และการแข่งขันที่เปลี่ยนแปลงไป

ทั้งนี้ การปรับหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข สำหรับมาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในไทยทั้ง 2 ส่วน จะส่งผลต่อภาระงบประมาณในปี 2567-68 (มาตรการมีผลในปี 66 แต่การคืนเงินจะเกิดขึ้นในปี 67-68) รวม 2 ปี เพิ่มขึ้นจาก 821.82 ล้านบาท เป็น 1,845 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 44.54

อย่างไรก็ตาม การเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในไทยจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและสังคมในภาพกว้าง มีเงินจากการลงทุนของบริษัทภาพยนตร์หมุนเวียนในเศรษฐกิจไทยเพิ่มขึ้น 900-1,200 บาทต่อปี กระจายรายได้ไปสู่ภาคส่วนต่างๆ และการที่ชาวไทยได้ร่วมงานกับคณะถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศนอกจากจะให้คนไทยได้รับการจ้างงานเพิ่มกว่า 800 อัตราต่อปี ขณะเดียวกันก็ได้เพิ่มทักษะและประสบการณ์ เป็นโอกาสในการพัฒนาอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยสู่ระดับสากลด้วย

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ประเทศไทยได้เริ่มมีมาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างชาติมาตั้งแต่ปี 60 ซึ่งได้มีคณะถ่ายทำได้เข้ามาลงทุนเพิ่มขึ้นทุกปี โดยปี 2562 ก่อนเกิดโควิด19  ประเทศไทยมีรายได้จากการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศ 4,463 ล้านบาท ส่วนปี 64 ที่ยังมีโควิด19 ผู้สร้างภาพยนตร์ก็ยังคงเข้ามาถ่ายทำในไทยสร้างรายได้ 5,007 ล้านบาท

โดยนับแต่มีมาตรการส่งเสริม ได้มีภาพยนตร์ 43 เรื่องที่ยื่นขอรับสิทธิประโยชน์  ทั้งหมดนี้สร้างรายได้ให้เกิดขึ้นในไทย 8,560 ล้านบาท มีภาพยนตร์ที่ได้รับอนุมัติสิทธิประโยชน์ 34 เรื่อง เงินลงทุน 6,283 ล้านบาท โดยเงินเหล่านี้กระจายไปยังภาคส่วนต่างๆ ในประเทศไทย เช่น ค่าจ้างทีมงานชาวไทย ค่าเช่าเครื่องมืออุปกรณ์ ค่าเช่าที่พัก ค่าเช่าสถานที่ ค่าเช่ารถ ค่าใช้จ่ายตามมาตรการป้องกันโควิด ค่าอาหารและเครื่องดื่ม เป็นต้น

โดย ณ สิ้นเดือน ต.ค. 65 รัฐบาลได้จ่ายเงินคืนภายใต้มาตรการดังกล่าว  29 เรื่อง เป็นเงิน 772 ล้านบาท เบิกจ่ายจากเงินงบประมาณกระทรวงการท่องเที่ยวฯ 560 ล้านบาท และจากการจัดสรรงบกลางเพิ่มเติม 212 ล้านบาท

Advertisement

ประยุทธ์ ลุยก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินใน 6 ปี

People Unity News : 29 มกราคม 66 “ทิพานัน” เผย “พล.อ.ประยุทธ์” เดินหน้าโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบินภายใน 6 ปี เชื่อม กทม.สู่ อีอีซี ผ่าน 5 จังหวัด ยกระดับการเดินทางทันสมัย ไร้รอยต่อ ดึงดูดนักลงทุน จ้างงานเพิ่มแสนตำแหน่ง เชื่อมต่อภูมิภาคอาเซียน

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เร่งขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อขจัดอุปสรรคในการพัฒนาประเทศ ทำให้ประชาชนได้เห็นถึงโครงการก่อสร้างระบบคมนาคมมีการพัฒนาไปแบบก้าวกระโดด มีการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าหลายสายในกรุงเทพฯและปริมณฑล ยกระดับการเดินทางทั้งถนน ราง เรือและอากาศ ทั้งนี้ในฐานะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ได้เร่งผลักดันโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน คือสนามบินดอนเมือง – สุวรรณภูมิ – อู่ตะเภา เพื่อยกระดับการเดินทางให้ทันสมัย สะดวก รวดเร็ว ไร้รอยต่อ

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า สำหรับโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน ช่วงดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา ระยะทาง 220 กม. วงเงิน 224,544 ล้านบาท มีการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) เป็นหน่วยงานเจ้าของโครงการ ร่วมลงทุนกับภาคเอกชน เมื่อสิ้นสุดสัญญาสัมปทาน 50 ปี ทรัพย์สินทั้งหมดมูลค่ากว่า 3 แสนล้านบาทจะตกเป็นของรัฐ ใช้โครงสร้างและแนวเส้นทางการเดินรถเดิมของระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแอร์พอร์ตลิงค์ (Airport Rail Link) ที่เปิดให้บริการอยู่ในปัจจุบัน โดยจะก่อสร้างทางรถไฟขนาด 1.435 เมตร (Standard Gauge) ส่วนต่อขยาย 2 ช่วงจากสถานีพญาไท ไปยังสนามบินดอนเมือง และจากสถานีลาดกระบังไปยังสนามบินอู่ตะเภา พร้อมเชื่อมเข้าออกสนามบิน โดยใช้เขตทางเดิมของการรถไฟฯ เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งรถไฟความเร็วสูงมีความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง เชื่อมกรุงเทพฯ กับในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี ภายในระยะเวลาไม่เกิน 60 นาที แนวเส้นทางโครงการผ่านพื้นที่ 5 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ สมุทรปราการ ชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา ประกอบด้วย 9 สถานี ได้แก่ สถานีดอนเมือง สถานีบางซื่อ สถานีมักกะสัน สถานีสุวรรณภูมิ สถานีฉะเชิงเทรา สถานีชลบุรี สถานีศรีราชา สถานีพัทยา สถานีอู่ตะเภา

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ทั้งนี้ความคืบหน้าล่าสุด งานส่งมอบพื้นที่ช่วงนอกเมือง สุวรรณภูมิ -อู่ตะเภา ให้เอกชน ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2565 พร้อมเดินหน้าก่อสร้างแล้ว ส่วนงานส่งมอบพื้นที่ในเมือง ช่วงดอนเมือง -พญาไท มีความคืบหน้าแล้ว 73.75 % เตรียมส่งมอบให้เอกชนภายในเดือนตุลาคม 2566 คาดว่าจะแล้วเสร็จทั้งหมดภายในปี 2572

“พล.อ.ประยุทธ์ผลักดันโครงการนี้ เนื่องจากเล็งเห็นประโยชน์ ที่จะตามมาที่ไม่ใช่เพียงระบบรางเชื่อมเชื่อม 3 สนามบิน และเป็นโครงสร้างพื้นฐานหลักใน EEC เท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์ที่ตามมาอีกมาก เช่น การเดินทางที่สะดวกทันมัยจะดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น การจ้างงานในอุตสาหกรรมต่อเนื่องกว่า 1 แสนตำแหน่ง เกิดเมืองใหม่ที่เป็นเมืองอัจฉริยะ หรือ smart city ตามสองข้างทางที่รถไฟความเร็วสูงวิ่งผ่าน สามารถเชื่อมต่อภูมิภาคอาเซียนได้ พาประเทศพัฒนาเศรษฐกิจให้แข็งแกร่งและยั่งยืน โดย พล.อ.ประยุทธ์ ได้ย้ำให้โครงการดำเนินการอย่างโปร่งใส และรัดกุม เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชชนและประเทศชาติ” รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุ

Advertisement

กสิกรไทย คาดเศรษฐกิจไทยปี 66 โต 3.7%

People Unity News : 27 มกราคม 66 ธนาคารกสิกรไทย คาดเศรษฐกิจไทยปี 2566 โต 3.7% ด้วยแรงส่งจากภาคการท่องเที่ยว จีนเปิดประเทศ ตั้งเป้าทางการเงินของธนาคาร ดันสินเชื่อปี 2566 โต 5-7% ภายใต้เศรษฐกิจที่เติบโตเป็น K Shape

นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2566 มีแนวโน้มฟื้นตัวได้ดีกว่าปี 2565 โดยคาดว่าจะเติบโตที่ 3.7% ด้วยแรงส่งจากภาคการท่องเที่ยวเป็นสำคัญ โดยเฉพาะเมื่อจีนมีนโยบายเปิดประเทศ อย่างไรก็ตาม ตัวเลขนักท่องเที่ยวคาดว่าจะกลับสู่ระดับก่อนโควิด-19 ในปี 2567 อีกทั้งความเสี่ยงจากการชะลอตัวของภาคการส่งออกที่อาจได้รับผลกระทบจากการเข้าสู่ภาวะถดถอยในเศรษฐกิจแกนหลักของโลก ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยจะยังคงเติบโตเป็น K Shape เห็นภาพการฟื้นตัวที่ไม่ทั่วถึงในแต่ละประเภทธุรกิจ ท่ามกลางการปรับเพิ่มของต้นทุนธุรกิจ อาทิ ค่าจ้างแรงงาน และอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่อยู่ในขาขึ้น ตลอดจนหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง

ธนาคารกสิกรไทยจึงประกาศเป้าหมายทางการเงินปี 2566  ที่มีการเติบโตสอดคล้องกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและหลักความระมัดระวังอย่างต่อเนื่อง โดยการเติบโตของเงินให้สินเชื่อ (Loan Growth) ที่ 5-7% และเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อ (NPL Ratio (Gross) ที่ต่ำกว่า 3.25% รวมทั้งยังคงดำเนินการเชิงรุกในการดูแลและให้ความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่องแก่ลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่มีการฟื้นตัวไม่เท่ากัน ผ่านช่องทางต่างๆ ของธนาคาร

Advertisement

เฮ!! ลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลิตรละ 5 บาท ออกไปอีก 4 เดือน ถึง 20 พ.ค.

People Unity News : 17 มกราคม 2566 ครม. เห็นชอบขยายเวลาปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลงลิตรละ 5 บาท ออกไปอีก 4 เดือน

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยผลการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2566 เห็นชอบขยายเวลาปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลงลิตรละ 5 บาท ออกไปอีก 4 เดือน มีผลตั้งแต่วันที่ 21 มกราคม 2566 ถึง 20 พฤษภาคม 2566 เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนที่จะเกิดกับพี่น้องประชาชน และเพื่อให้กลไกทางเศรษฐกิจของประเทศขับเคลื่อนได้ แม้ว่าการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตในครั้งนี้จะส่งผลให้รัฐสูญเสียรายได้ก็ตาม

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อให้วัตถุประสงค์ของการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลงในครั้งนี้ สามารถส่งผ่านไปถึงประชาชนโดยตรงและส่งผ่านถึงการลดต้นทุนของสินค้าและบริการได้ กระทรวงการคลังมีความเห็นเพิ่มเติมว่า กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงควรพิจารณาการบริหารจัดการเสถียรภาพของราคาน้ำมันดีเซลและสถานะทางการเงินของกองทุนฯ ให้เหมาะสม โดยพิจารณาปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลทันที 1 – 2 บาทต่อลิตร และบริหารจัดการให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ในช่วงระหว่างราคา 33 – 35 บาทต่อลิตร ประกอบกับพิจารณาจัดเก็บเงินเข้ากองทุนในอัตราที่แตกต่างกันระหว่างประเภทน้ำมันดีเซล รวมทั้งพิจารณาความเป็นได้ในวิธีการนำเทคโนโลยี เช่น แอพพลิเคชั่น หรือบัตรส่วนลดมาใช้ในการอุดหนุนราคาน้ำมันในอนาคตเพื่อให้สามารถดำเนินการได้เฉพาะกลุ่มเป้าหมาย

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวสรุปว่า การปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลงเพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชน อย่างไรก็ดี กระทรวงการคลังจะติดตามสถานการณ์ราคาน้ำมันอย่างใกล้ชิด และจะพิจารณาความเหมาะสมของมาตรการต่างๆ เพื่อให้การดำเนินนโยบายช่วยลดค่าครองชีพให้กับประชาชนกลุ่มเปราะบางซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเงินการคลังของประเทศในระยะยาว

Advertisement

ธอส.ต้อนรับปีใหม่ 2566 เปิดตัวเงินฝากออมทรัพย์ Happy Savings ดอกเบี้ยสูงสุด 2.25% ต่อปี

People Unity News : 6 มกราคม 2566 ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ร่วมต้อนรับเทศกาลปีใหม่ 2566 จัดแคมเปญพิเศษสำหรับผู้รักการออมกับเงินฝากออมทรัพย์ Happy Savings รับอัตราดอกเบี้ยสูงสุดถึง 2.25% ต่อปี (นับตั้งแต่วันที่เปิดบัญชีถึงวันที่ 31 มีนาคม 2569 ) เมื่อเปิดบัญชีเงินฝากตั้งแต่วันนี้ถึง  31 มีนาคม 2566 เพียงเปิดบัญชีขั้นต่ำ 10,000 บาท ขึ้นไป บุคคลธรรมดาได้รับการยกเว้นภาษีดอกเบี้ยเงินฝากอัตราดอกเบี้ยเทียบเท่ากับได้รับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 2.65% ต่อปี พิเศษ!! เปิดบัญชีตั้งแต่ 3 ล้านบาทขึ้นไป ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 31 มกราคม 2566 รับฟรี กระเป๋าบรรจุของใบใหญ่ 1 ราย/1 ใบ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ G H Bank Call Center โทร 0-2645-9000 หรือ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และติดตามข่าวสารของธนาคารได้ที่ Mobile Application : GHB ALL, GHB ALL GEN และ www.ghbank.co.th

Advertisement

รัฐบาลดัน “น้ำบูดูสายบุรี” สู่ตลาดโลก

People Unity News : 18 ธันวาคม 2565 รองโฆษกรัฐบาล เผยนายกฯ หนุน ศอ.บต.จับมือเชฟชุมพล ดัน “น้ำบูดูสายบุรี” สู่ตลาดโลก รังสรรค์เมนูขยายตลาดกลุ่มใหม่

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกรรมการผู้แทนพิเศษของรัฐบาลในการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนใต้ เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ชื่นชมความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการผลักดัน soft power อัตลักษณ์ท้องถิ่นจังหวัดชายแดนใต้ เพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ เพื่มรายได้แก่ประชาชน โดยล่าสุด ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) มีโครงการเรือธง “สายบุรี บูดู สู่ตลาดโลก” ซึ่งจะร่วมมือกับเชฟชุมพล แจ้งไพร ในการพัฒนารสชาติน้ำบูดูให้ตรงกับรสนิยมผู้บริโภคต่างชาติมากขึ้น รวมถึงพัฒนาเมนูอาหารที่มีน้ำบูดูเป็นส่วนประกอบให้หลากหลาย เพื่อส่งเสริมการบริโภค สร้างความสนใจจากผู้บริโภคกลุ่มใหม่

นางสาวรัชดา กล่าวว่า น้ำบูดูเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาวมลายูมุสลิมทั้งในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้และมาเลเซีย และเป็นสินค้าเศรษฐกิจของคนในพื้นที่ ผลิตเป็นอุตสาหกรรมส่งในประเทศและส่งออกไปยังหลายประเทศ เช่น มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ทั้งนี้ พลเรือตรี สมเกียรติ ผลประยูร เลขาธิการ ศอ.บต. ได้รายงานต่อนายกรัฐมนตรีว่า ตลาดส่งออกสินค้าน้ำบูดูของไทยมีโอกาสเติบโตอีกมาก ทาง ศอ.บต.จึงกำหนดโครงการเรือธงขับเคลื่อนเพื่อส่งเสริมการบริโภคในประเทศและขยายตลาดสู่ตลาดฮาลาลทั่วโลกให้มากยิ่งขึ้น โดยเลือกน้ำบูดู อ.สายบุรี จ.ปัตตานี เป็นพื้นที่นำร่อง เพราะเป็นแหล่งผลิตใหญ่ เป็นต้นน้ำในการพัฒนาน้ำบูดูให้เป็นที่รู้จัก ที่ผ่านมามีการแปรรูปให้ทานง่ายขึ้น เช่น ทำเป็นผงบรรจุซอง อัดแท่งใส่กล่อง เพื่อยืดอายุการรับประทาน มีหลายระดับความเค็มให้เลือก และพัฒนาให้เป็นส่วนผสมของอาหารอื่นๆ

ภายใต้โครงการ “สายบุรี บูดู สู่ตลาดโลก” ทาง ศอ.บต จะเป็นหลักในการขับเคลื่อนร่วมกับส่วนราชการต่างๆ ภาคเอกชน และประชาชน มีเชฟชุมพลฯ เป็นผู้ให้คำแนะนำเรื่องคุณภาพ รสชาติ และรังสรรค์เมนูน้ำบูดูเพื่อส่งเสริมการบริโภค เพิ่มเติมจาก ข้าวยำ บูดูทรงเครื่อง ซึ่งเป็นที่รู้จักโดยทั่วไปเป็นอย่างดี ขณะที่ภาคเอกชนที่จะเข้าร่วม จะต้องมีโรงงานที่กระบวนการผลิตได้มาตรฐานสากลและฮาลาล ทั้งนี้ ยังมีกลุ่มวิสาหกิจชุมชนซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในห่วงโซ่การผลิตด้วย นั่นหมายความว่า โครงการนี้จะสามารถสร้างอาชีพและรายได้แก่ประชาชนในละแวกได้เป็นจำนวนมาก ครอบคลุมกลุ่มชาวประมง เกษตรกร และกลุ่มแม่บ้าน ส่งผลต่อการยกระดับคุณภาพชีวิตคนในชุมชนอย่างยั่งยืน

“เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ในงานแถลงผลงานการขับเคลื่อนการพัฒนาจังหวัดชายแดนใต้ ที่ทำเนียบรัฐบาล นายกฯ ได้สั่งซื้อน้ำบูดูจากบูธที่มาร่วมแสดงผลงาน ท่านบอกว่าชอบทาน และยังกล่าวให้ความเชื่อมั่นว่า น้ำบูดู จะเป็นอีกหนึ่งสินค้า soft power ที่จะสร้างชื่อเสียง สร้างรายได้แก่คนในพื้นที่อย่างแน่นอน โดยเฉพาะการส่งออกไปยังตลาดฮาลาล เพราะสินค้าจากประเทศไทยมีชื่อเสียงดีอยู่แล้ว รัฐบาลให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ เพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีและสันติสุขอันยั่งยืนของปลายด้ามขวานไทย” นางสาวรัชดา กล่าว

Advertisement

นายกฯสั่งเร่งติดตามผลกระทบ หลังอียูผ่าน กม.ห้ามสินค้าทำลายป่า

People Unity News : 14 ธันวาคม 2565 รองโฆษกรัฐบาล เผยนายกฯ สั่งตามผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น จากกรณีอียูผ่าน กม.ห้ามนำเข้าสินค้าที่เกี่ยวกับการทำลายป่า เร่งทำความเข้าใจ ให้ความรู้ผู้ประกอบการ เกษตรกรตลอดห่วงโซ่การผลิต

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ติดตามรายละเอียดกรณีที่คณะกรรมาธิการสหภาพยุโรป (อียู) บรรลุข้อตกลงในการมีกฎหมายห้ามการนำเข้าผลิตภัณฑ์หลายชนิดที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตัดไม้ทำลายป่าเพื่อมาจำหน่ายในสหภาพยุโรป ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าจะกระทบต่อสินค้าในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับ น้ำมันปาล์ม ปศุสัตว์ ถั่วเหลือง กาแฟ โกโก้ ไม้และยางพารา

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กฎหมายดังกล่าวอาจจะกระทบต่อสินค้าจากประเทศไทยที่ส่งออกไปยังประเทศในสหภาพยุโรปด้วย เนื่องจากผลของกฎหมายจะบังคับให้ผู้ประกอบการที่นำเข้าสินค้าจากทั่วโลกไปขายในยุโรปจะต้องจัดทำรายงานการตรวจสอบสถานะของผลิตภัณฑ์ที่นำเข้ามาขายว่าตลอดห่วงโซ่การผลิตนั้นไม่เกี่ยวข้องกับตัดไม้ทำลายป่า ซึ่งข้อตกลงของอียูเรื่องนี้ยังเหลือขั้นตอนการอนุมัติเป็นกฎหมายเพื่อบังคับใช้อย่างเป็นทางการ แต่คาดว่าจะมีผลบังคับใช้เร็วๆนี้ และจะให้เวลาผู้ประกอบการทั่วยุโรปที่นำเข้าสินค้าหรือมีห่วงโซ่การผลิตอยู่ทั่วโลกเตรียมตัวเพื่อทำรายงานรับรองกระบวนการผลิตประมาณ 18-24 เดือนแล้วแต่ขนาดของธุรกิจ

“นายกรัฐมนตรีขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามรายละเอียดของกฎหมายเรื่องนี้ว่าครอบคลุมสินค้าใดบ้าง ประเมินผลกระทบต่อประเทศไทย พร้อมกับให้ข้อมูลกับผู้ประกอบการและเกษตรกรให้เกิดความเข้าใจทั้งห่วงโซ่การผลิต และปรับตัวให้ทันกับกฎกติกาใหม่ที่จะเกิดขึ้น ขณะนี้หลายประเทศทั่วโลกให้ความสำคัญกับประเด็นการผลิตที่ยั่งยืน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและคาร์บอน ซึ่งทิศทางดังกล่าวส่งผลถึงการออกมาตรการและกฎหมายในหลายประเทศ ซึ่งสามารถเป็นเครื่องกีดกันทางการค้าในระยะต่อไป” น.ส.ไตรศุลี กล่าว

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลตระหนักถึงประเด็นดังกล่าว จึงกำหนดให้การขับเคลื่อนเศรษฐกิจและลงทุนบนฐานเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว หรือ BCG Model เป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญเร่งด่วน และได้นำเสนอเป็นหนึ่งในประเด็นหลักของการประชุมเขตเศรษฐกิจเอเปคที่ไทยเป็นเจ้าภาพ ซึ่งสมาชิกเอเปคให้การสนับสนุน เนื่องจากเห็นพ้องต่อความเร่งด่วนที่ทั่วโลกต้องมีกระบวนการสร้างความยั่งยืนต่อสิ่งแวดล้อม

Advertisement

Verified by ExactMetrics