วันที่ 31 กรกฎาคม 2025

“คุณสู้เราช่วย” ยังทัน!! รัฐบาลขยายเวลา ลงทะเบียนได้ถึงสิ้นเดือนมิถุนายนนี้

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 2 พฤษภาคม 2568 “คุณสู้เราช่วย” ร่วมโครงการยังทัน รัฐบาลขยายเวลาช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อย – SMEs ต่อเนื่องลงทะเบียนได้ถึงสิ้นเดือนมิถุนายนนี้

วันนี้ (2 พฤษภาคม 2568) นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินเฉพาะกิจ และผู้ประกอบธุรกิจ Non-bank ได้ดำเนินมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยและผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ ผ่านโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ซึ่งเปิดให้ลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 12 ธันวาคม 2567

ล่าสุด ณ วันที่ 24 เมษายน 2568 มีผู้ลงทะเบียนแล้วรวม 1.6 ล้านบัญชี จากลูกหนี้ 1.3 ล้านราย โดยจากการตรวจสอบคุณสมบัติเมื่อวันที่ 15 เมษายน 2568 พบว่ามีผู้ผ่านเกณฑ์จำนวน 530,000 ราย หรือร้อยละ 27 ของกลุ่มลูกหนี้ที่มีคุณสมบัติรวม 1.9 ล้านราย คิดเป็นยอดหนี้รวม 385,000 ล้านบาท หรือร้อยละ 43 ของยอดหนี้ที่เข้าเกณฑ์ทั้งหมด 890,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ จากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ยังคงผันผวน ส่งผลให้ลูกหนี้กลุ่มเปราะบางจำนวนมากยังประสบปัญหาการชำระหนี้ เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีสิทธิ์ได้รับการช่วยเหลือ รัฐบาลโดยกระทรวงการคลัง สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ธปท. และสถาบันการเงินที่เกี่ยวข้อง จึงเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาลงทะเบียนโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” จากเดิมสิ้นสุดวันที่ 30 เมษายน 2568 ออกไปจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2568 เวลา 23.59 น.

“รัฐบาลยืนยันความมุ่งมั่นในการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยและผู้ประกอบการ SMEs ที่ยังเผชิญปัญหาทางการเงิน โดยเปิดโอกาสให้ผู้ที่ยังไม่ได้ลงทะเบียน สามารถสมัครเข้าร่วมโครงการได้ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2568 เวลา 23.59 น. ผู้สนใจสามารถศึกษารายละเอียดและลงทะเบียนได้ที่ https://www.bot.or.th/khunsoo หรือที่สาขาสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ BOT Contact Center โทร 1213” นางสาวศศิกานต์กล่าว

Advertisement

นายกฯ มอบนโยบายกองทุน SML เผยจุดเริ่มต้นมาจากรัฐบาลไทยรักไทยปี 2544 ก้าวสู่ปีที่ 24

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 21 เมษายน 2568 นายกฯ มอบนโยบายกองทุน SML เผยจุดเริ่มต้นมาจากรัฐบาลไทยรักไทยปี 2544 ก้าวสู่ปีที่ 24 ย้ำเสริมสร้างกองทุนให้เข้มแข็งด้วยชุมชน เล็งเพิ่มวงเงินหากทำดี ต่อยอดเศรษฐกิจจุดเล็กไปสู่ระดับประเทศ

วันนี้ (21 เมษายน 2568) เวลา 14.00 น. ณ อาคารอิมแพ็ค เอ็กซิบิชัน เซ็นเตอร์ ฮอลล์ 12 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็คเมืองทองธานี อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงานและมอบนโยบาย “ส่งตรงโอกาสถึงชุมชน โดยชุมชน เพื่อชุมชน” ภายใต้โครงการสนับสนุน เสริมสร้าง ศักยภาพกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองอย่างมั่นคง โดยมีนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และนายเบญจพล นาคประเสริฐ ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ เข้าร่วมด้วย

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีรับฟังการบรรยายพร้อมชมวีดิทัศน์ที่มาแนวคิดการจัดงาน โครงการ SML “ส่งตรงโอกาส ถึงชุมชน โดยชุมชนเพื่อชุมชน” ซึ่งรัฐบาล โดยสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ เปิดโครงการ “ส่งตรงโอกาสถึงชุมชน โดยชุมชน เพื่อชุมชน” ภายใต้โครงการสนับสนุน เสริมสร้างศักยภาพกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองอย่างมั่นคง ยกระดับเศรษฐกิจฐานรากอย่างยิ่งใหญ่ ซึ่งพัฒนาต่อยอดมาจากแนวคิดโครงการพัฒนาศักยภาพหมู่บ้านและชุมชน (SML) มุ่งเน้นการส่งเสริมการมีส่วนของประชาชนในการบริหารจัดการงบประมาณโดยชุมชน ครอบคลุมกองทุนหมู่บ้านทั่วประเทศกว่า 79,610 แห่ง เพื่อพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน

นายกรัฐมนตรีกล่าว มอบนโยบายโครงการ SML “ส่งตรงโอกาสถึงชุมชน โดยชุมชน เพื่อชุมชน” ภายใต้โครงการสนับสนุน เสริมสร้าง ศักยภาพกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองอย่างมั่นคง ว่าเป็นอีกวันสำคัญที่ได้มาร่วมกันยืนยันว่าประเทศไทยก้าวไปข้างหน้าได้อย่างเข้มแข็ง เพราะว่าถ้าชุมชนเข้มแข็ง ประเทศไทยจะเข้มแข็งไปด้วย ทั้งนี้ การทำให้ชุมชนต่าง ๆ เข้มแข็งมากขึ้นได้นั้น ก็คือการเปิดโอกาสให้พี่น้องประชาชนมีสิทธิ์ร่วมกันตัดสินใจเพื่อชุมชนของตัวเอง คือสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะรัฐบาลตั้งใจกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ซึ่งพี่น้องประชาชนในที่ต่าง ๆ จะรู้ปัญหาของตัวเองดีที่สุด รัฐบาลเป็นเพียงผู้สนับสนุนเท่านั้น การที่ประชาชนในแต่ละชุมชนมีโอกาสร่วมกันตัดสินใจร่วมกันทำประชาคมว่าสิ่งใดสำคัญที่สุดสำหรับชุมชนของตัวเองนั้น คือทางออกทางแก้ไขปัญหาที่ตรงจุด และเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการเห็น

“กองทุนหมู่บ้านเริ่มต้นเมื่อปี 2544 โดยรัฐบาลของพรรคไทยรักไทย ซึ่งปีนี้ก้าวเข้าสู่ปีที่ 24 แล้ว ได้เห็นบทบาทของกองทุนที่ช่วยกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจจากฐานรากสร้างโอกาสในเรื่องของอาชีพเพิ่มขึ้นให้กับพี่น้องประชาชน สามารถแก้ปัญหาหลัก ๆ ของประชาชนทั่วไปได้ ปัจจุบันมีกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองกว่า 79,610 แห่ง มีสมาชิกกว่า 13 ล้านคน และมีเงินทุนหมุนเวียนรวมกันกว่า 3 แสนล้านบาท ซึ่งในวันนี้มีโครงการสนับสนุนและเสริมสร้างศักยภาพกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองอย่างมั่นคง หรือ โครงการ SML” นายกรัฐมนตรี ระบุ

นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อว่า หัวใจของโครงการนี้ ไม่ใช่แค่การแจกเงินให้ชุมชน แต่สามารถมองเห็นว่าโครงการเล็ก ๆ มีผลต่อประชาชน ซึ่งสำคัญจริง ๆ โดยเริ่มจากการดูจำนวนของประชาชนในแต่ละหมู่บ้านก่อน เพื่อที่จะกำหนดงบประมาณในการช่วยเหลือ โดยกำหนดงบประมาณ 2 แสน 3 แสน และ 4 แสนบาท ซึ่งเงินเหล่านี้คนในหมู่บ้านสามารถรวมตัวทำประชาคม ร่วมกันโหวตว่าต้องการโครงการใด โครงการไหนหรือนโยบายใดที่จะพัฒนาชุมชนได้จริง ๆ อาทิ การทำให้น้ำสะอาดพร้อมบริโภค การติดตั้งกล้อง CCTV เพื่อพัฒนาความเป็นอยู่ความปลอดภัยของชุมชน ถือว่าเป็นสิ่งที่คนในหมู่บ้านต้องมารวมตัวกันทำประชาคมแล้วก็เลือกว่าอะไรที่ดีที่สุดสำหรับชุมชนของตน ถือเป็นการตอบโจทย์เรื่องการขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ เป็นโอกาสให้ชุมชนเล็ก ๆ ได้ช่วยกันผลักดันเศรษฐกิจในจุดเล็ก ๆ เพิ่มขึ้น จนกลายเป็นจุดที่ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงระดับประเทศ

“หวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุก ๆ ชุมชนจะสามารถหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับชุมชนของตัวเองได้อย่างดี และมั่นคงต่อไป รัฐบาลพร้อมที่จะส่งตรงโอกาสถึงชุมชนโดยชุมชนเพื่อชุมชน แน่นอนว่านี่ก็คือจุดเริ่มต้นอีกครั้งที่จะทำให้ชุมชนแต่ละที่แข็งแรงยิ่งขึ้น และก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงพร้อม ๆ กัน โอกาสนี้ ขอบคุณทีมงานที่ร่วมกันทำโครงการดี ๆ แบบนี้มาตั้งแต่ระยะเริ่มต้นจนวันนี้ได้กลับมาทำ SML กันอีกครั้ง ขอให้มั่นใจว่ารัฐบาลก็จะเป็นผู้สนับสนุนที่ดีให้กับประชาชนทุกคน เพื่อที่จะได้มีฐานะมีความกินดีอยู่ดีมีอาชีพ จนสามารถดูแลครอบครัวของตนเองได้ดียิ่งขึ้นต่อไปอย่างมั่นคง” นายกรัฐมนตรี กล่าว

Advertisement

เริ่ม 1 พ.ค.นี้ นทท.ต่างชาติเดินทางเข้าไทย ต้องลงทะเบียนบัตรตม.6 แบบดิจิทัล หรือ TDAC

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 19 เมษายน 2568 เริ่ม 1 พ.ค.นี้ นทท.ชาวต่างชาติเดินทางเข้าไทย ต้องลงทะเบียนบัตรตม.6 แบบดิจิทัล หรือ TDAC ล่วงหน้า อย่างน้อย 3 วันก่อนเดินทาง ตามกฎใหม่ ตม.

วันนี้ (19 เมษายน 2568) นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า  สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเตรียมเปิดบริการระบบแบบรายการของคนต่างด้าวซึ่งเดินทางเข้ามาในหรือออกไปนอกราชอาณาจักรไทย ในรูปแบบดิจิทัล (ตม.6) หรือ Thailand Digital Arrival Card (TDAC) สำหรับให้คนต่างด้าวทุกรายต้องลงทะเบียนเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทย โดยระบบดังกล่าว กำหนดให้ชาวต่างด้าวที่เดินทางเข้ามาประเทศไทยทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นทางบก ทางเรือ ทางอากาศ ต้องลงทะเบียนผ่านระบบออนไลน์ ที่เว็บไซต์ http://tdac.immigation.go.th/  และในอนาคตจะมีบริการในรูปแบบแอปพลิเคชัน

นายอนุกูล กล่าวต่อว่า  ชาวต่างชาติสามารถกรอกข้อมูล TDAC ได้ล่วงหน้า 3 วันก่อนจะเดินทางเข้าประเทศไทย โดยจะต้องกรอกข้อมูลเอกสารเดินทาง หนังสือเดินทาง ข้อมูลส่วนบุคคล ข้อมูลการเดินทาง ที่พักในประเทศไทย สถานะทางสุขภาพตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ทั้งนี้ TDAC ไม่ใช่วีซ่า แต่เป็นระบบบัตรขาเข้าออนไลน์ ที่พัฒนาขึ้น เพื่ออำนวยความสะดวกและสอดคล้องกับกฎระเบียบและความจำเป็นในหลายประเทศ

สำหรับวิธีการลงทะเบียน TDAC สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทย มีดังนี้ 1. เข้าไปที่ tdac.immigration.go.th หรือสแกน QR code  2.กรอกข้อมูลส่วนตัวและข้อมูลการเดินทาง 3. ส่งแบบฟอร์มและรับอีเมลยืนยัน 4. นำเอกสารยืนยันและเอกสารการเดินทางไปแสดงต่อเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองเมื่อเดินทางถึงประเทศไทย

“ทั้งนี้ เว็บไซต์ tdac.immigration ยังอำนวยความสะดวกให้ชาวต่างชาติ โดยจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ใน 5 ภาษา ได้แก่ อังกฤษ จีน เกาหลี รัสเซีย และญี่ปุ่น พร้อมแผ่นพับและคลิปวิดีโอแนะนำการใช้งาน TDAC นอกจากนี้ สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองยังได้บูรณาการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ระบบ E-Visa ของกรมการกงสุล  ระบบคัดกรองโรคของกรมควบคุมโรค และระบบจัดเก็บค่าธรรมเนียมนักท่องเที่ยวของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เพื่อให้การเดินทางเข้าประเทศไทยเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น” นายอนุกูล กล่าว

Advertisement

ข่าวดี! รัฐบาลขยายเวลาโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ถึงสิ้นเดือนเมษายนนี้ พร้อมเปิดรับเพิ่มผู้ร่วมโครงการ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 18 เมษายน 2568 ด่วน รัฐบาลขยายเวลาโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ถึงสิ้นเดือนเมษายนนี้ พร้อมเปิดรับเพิ่มผู้ร่วมโครงการ

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ซึ่งเป็นนโยบายของรัฐบาลที่ให้ความช่วยเหลือแก่ลูกหนี้รายย่อยและผู้ประกอบการ SMEs ยังคงได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่อง โดยมีลูกหนี้ทยอยสมัครเข้าร่วมโครงการจำนวนมาก

ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงความช่วยเหลือได้มากยิ่งขึ้นจึงได้ขยายระยะเวลาการลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ออกไปจนถึงวันที่ 30 เมษายน 2568 จากเดิมที่กำหนดสิ้นสุดในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568

ที่ผ่านมา ธปท. ได้ร่วมมือกับกระทรวงการคลัง ธนาคารออมสิน และผู้ประกอบธุรกิจนอนแบงก์ที่อยู่นอกกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ในการสนับสนุนมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยอย่างต่อเนื่อง  ล่าสุด ได้มีการขยายความร่วมมือเพิ่มเติมกับ 2 ผู้ให้บริการสินเชื่อนอนแบงก์ ได้แก่ บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) และ บริษัท อิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ซึ่งทั้ง 2 แห่งจะเข้าร่วมสนับสนุนเม็ดเงินในโครงการด้วย

โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ประกอบด้วย 2 มาตรการสำคัญ ได้แก่

1.มาตรการ “ลดผ่อน ลดดอก” สำหรับลูกหนี้รายย่อยที่มีสินเชื่อแบบผ่อนชำระ (installment loan) โดยจะได้รับการลดภาระค่างวดและดอกเบี้ย เป็นระยะเวลา 3 ปี

2.มาตรการ “จ่าย ปิด จบ” สำหรับลูกหนี้รายย่อยที่เป็นหนี้เสีย (สถานะ NPL) และมียอดหนี้คงค้างไม่เกิน 5,000 บาท โดยจะมีการปรับโครงสร้างหนี้แบบผ่อนปรน เปิดโอกาสให้ลูกหนี้ชำระหนี้บางส่วนเพื่อปิดบัญชีได้เร็วขึ้น และเริ่มต้นชีวิตทางการเงินใหม่ได้

ผู้ที่สนใจสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมและสมัครเข้าร่วมมาตรการได้ที่เว็บไซต์ https://www.bot.or.th/khunsoo จนถึงวันที่ 30 เมษายน 2568 เวลา 23.59 น. หรือสามารถติดต่อที่สาขาของนอนแบงก์ที่เข้าร่วมโครงการ รวมถึงสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ BOT Contact Center โทร. 1213 หรือ Call Center ของผู้ให้บริการนอนแบงก์ที่เข้าร่วมมาตรการ

“รัฐบาลมุ่งมั่นในการดูแลและยืนหยัดเคียงข้างประชาชน โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากสถานการณ์ที่ผ่านมา โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญในการสร้างโอกาสให้ประชาชนสามารถก้าวผ่านวิกฤต และเริ่มต้นใหม่อย่างมั่นคงและยั่งยืน” นางสาวศศิกานต์ กล่าว

Advertisement

สงกรานต์สุดคึกคัก นักท่องเที่ยวเข้าไทยทะลุวันละเกินแสนคน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 17 เมษายน 2568 ทำเนียบ – สงกรานต์สุดคึกคัก นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยทะลุเฉลี่ยวันละกว่าแสนคน เพิ่มขึ้นกว่า 10% รัฐบาลยืนยันเดินหน้าหนุนท่องเที่ยวไทยตลอดปี 2568

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ประเทศไทยต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงเทศกาลสงกรานต์ คิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.61 โดยปีนี้รัฐบาลจัดงานสงกรานต์อย่างยิ่งใหญ่ ทั้งในกรุงเทพมหานคร กับกิจกรรม Maha Songkran World Water Festival 2025 และในหัวเมืองหลักอย่างเชียงใหม่ ขอนแก่น และหาดใหญ่ ซึ่งได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างล้นหลาม โดยเฉพาะจากตลาดระยะใกล้ เช่น จีนและอินเดีย ขณะเดียวกัน ตลาดระยะไกลจากยุโรป เช่น เยอรมนีและฝรั่งเศส ก็เดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้นในช่วงปิดเทอมฤดูใบไม้ผลิ

สถิติล่าสุดระหว่างวันที่ 6-12 เมษายน 2568 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยรวม 666,180 คน เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้า 64,564 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 10.73 เฉลี่ยวันละ 95,169 คน

5 อันดับแรกของประเทศที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไทยมากที่สุด ได้แก่

1.มาเลเซีย (102,106 คน)

2.จีน (82,274 คน)

3.อินเดีย (55,158 คน)

4.รัสเซีย (40,283 คน)

5.สหราชอาณาจักร (32,119 คน)

นักท่องเที่ยวจากจีน อินเดีย มาเลเซีย และรัสเซีย มีอัตราเพิ่มขึ้นร้อยละ 28.20, 23.56, 10.67 และ 8.40 ตามลำดับ ขณะที่นักท่องเที่ยวจากสหราชอาณาจักรมีแนวโน้มลดลงเล็กน้อย ร้อยละ 8.49

นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 13 เมษายน 2568 ประเทศไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวสะสมรวม 10,738,424 คน สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวกว่า 516,589 ล้านบาท โดย 5 อันดับประเทศที่มีนักท่องเที่ยวสะสมมากที่สุด ได้แก่

1.จีน (1,470,834 คน)

2.มาเลเซีย (1,333,596 คน)

3.รัสเซีย (801,532 คน)

4.อินเดีย (631,820 คน)

5.เกาหลีใต้ (533,752 คน)

แม้คาดว่าสัปดาห์ถัดไปจำนวนนักท่องเที่ยวจะชะลอลงหลังเทศกาลสงกรานต์สิ้นสุดลง แต่ยังมีปัจจัยบวกหนุนการท่องเที่ยวไทยอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นช่วงปิดเทอมของยุโรป การประกาศปี Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025 รวมถึงมาตรการสนับสนุนของรัฐบาล เช่น การยกเว้นกรอกบัตร ตม.6 การส่งเสริมสายการบินเพิ่มเที่ยวบิน และมาตรการ Ease of traveling ที่เอื้อต่อการเดินทางของนักท่องเที่ยว

“รัฐบาลยังคงเดินหน้าผลักดันการท่องเที่ยวอย่างมุ่งมั่นและต่อเนื่อง เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพ สร้างรายได้เข้าประเทศ และกระจายโอกาสทางเศรษฐกิจอย่างทั่วถึงทุกภูมิภาค เราพร้อมขับเคลื่อนประเทศไทยให้เป็นจุดหมายปลายทางระดับโลก ที่นักท่องเที่ยวไว้วางใจและอยากกลับมาเยือนอีกครั้ง” นางสาวศศิกานต์ กล่าว

Advertisement

รัฐบาลชวนผู้ประกอบการ “ร้านอาหารไทย” สมัครรับตราสัญลักษณ์ Thai SELECT

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 14 เมษายน 2568 3 พฤษภาคม 2568 รัฐบาลชวนผู้ประกอบการ “ร้านอาหารไทย” สมัครรับตราสัญลักษณ์ Thai SELECT เพื่อโชว์ความมีมาตรฐานสากล สร้างความมั่นใจให้นักท่องเที่ยว

นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลขอเชิญชวนผู้ประกอบการร้านอาหารไทยทั่วประเทศ ที่มีเอกลักษณ์และความอร่อยที่น่าสนใจ เข้าสมัครรับตราสัญลักษณ์ Thai SELECT ปี 2568 โดยมีหลักเกณฑ์ คือ ร้านอาหารต้องเปิดให้บริการมาไม่น้อยกว่า 6 เดือน นับถึงวันที่ยื่นสมัคร มีที่นั่งให้บริการภายในร้านไม่น้อยกว่า 10 ที่นั่ง เมนูอาหารของร้านต้องประกอบด้วยอาหารไทยไม่น้อยกว่า 70% และหัวหน้าพ่อครัวหรือหัวหน้าแม่ครัวเป็นคนไทย ร้านมีความสะอาด ถูกสุขอนามัย และสวยงาม ทั้งนี้ ร้านอาหารใด มีหลายสาขา ต้องให้แต่ละสาขายื่นใบสมัครรับตราแยกกัน หากผ่านเกณฑ์ จะได้รับตราสัญลักษณ์ Thai SELECT ซึ่งมีอายุ 3 ปี นับจากวันที่ได้รับตรา

นายคารม กล่าวว่า การได้รับตราสัญลักษณ์ Thai SELECT จะเป็นการสร้างโอกาสทางการตลาดให้แก่ผู้ประกอบการ สร้างความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภคและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก อันจะส่งผลต่อภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทย นอกจากนี้ พณ. เตรียมรีแบรนด์ตราสัญลักษณ์ Thai SELECT ให้มีความทันสมัย สอดคล้องกับมาตรฐานร้านอาหารสากล ด้วยการให้ดาวเหมือนมิชลินสตาร์ ซึ่งจะช่วยสร้างความจดจำในตราสัญลักษณ์ได้ง่ายมากขึ้น และเป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ

ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 31 มี.ค.2568) มีร้านอาหารไทยในประเทศได้รับตราสัญลักษณ์ Thai SELECT แล้ว 496 ร้าน ครอบคลุม 77 จังหวัดทั่วประเทศ หากประชาชนต้องการค้นหาร้านอาหาร Thai SELECT หรือ Thai SELECT Guide 2024 สามารถค้นหาได้ที่ Line Official Account: @thaiselect หรือเว็บไซต์กรมพัฒนาธุรกิจการค้า www.dbd.go.th >> DBD e-Magazine >> Thai SELECT Guide

“การผลักดันร้านอาหารให้ได้รับตราสัญลักษณ์ Thai SELECT เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล ที่ต้องการผลักดันให้อาหารไทยเป็นซอฟต์พาวเวอร์อันดับ 1 ของประเทศ ซึ่งจะสามารถสร้างการจดจำแก่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ รวมถึงเป็นแหล่งสร้างรายได้ที่สำคัญได้อีกด้วย ทั้งนี้ ผู้ประกอบการร้านอาหารไทยและผู้สนใจกิจกรรม สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า โทร 0 2547 5954 e-Mail: thaiselectdbd@gmail.com เว็บไซต์กรมพัฒนาธุรกิจการค้า www.dbd.go.th และ สายด่วน 1570” นายคารม กล่าว

Advertisement

 

นายกฯ เร่งเครื่องกระตุ้นท่องเที่ยว เครื่องยนต์หลัก ศก.ไทย

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 11 เมษายน 2568 นายกฯ เร่งเครื่องกระตุ้นการท่องเที่ยว เครื่องยนต์หลักเศรษฐกิจไทย

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความ ถึงการประชุมติดตามสถานการณ์การท่องเที่ยวไทย ว่า เรายกให้ปีนี้ต้องเป็นปีแห่งการท่องเที่ยว Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025 เป้าหมายคือนักท่องเที่ยวทั่วโลกต้องกลับมาเกือบเท่าก่อนสถานการณ์โควิด หรือต้องแตะ 40 ล้านคน ซึ่งแน่นอนว่าเป้าหมายเรา ไม่เพียงจำนวนนักท่องเที่ยว แต่คือรายจ่ายต่อหัว (Spending per head) และ จำนวนวันที่อยู่ในประเทศ (Length of stay) ต้องมากขึ้นด้วย

แต่ตัวเลขในช่วงที่ผ่านมา ยังไม่เป็นที่น่าพอใจค่ะ การประชุมวันนี้ดิฉันจึงอยากมาหารือร่วมกับทุกท่าน เพื่อหามาตรการใหม่ๆ การท่องเที่ยวแบบเดิมคงทำไม่ได้อีกต่อไป แต่เราต้องทำการท่องเที่ยวแบบมีวัตถุประสงค์ชัดเจน สร้างจุดมุ่งหมายใหม่ให้การท่องเที่ยวไทย เช่น การมาเพื่อรักษาพยาบาล, มาเพื่อพักผ่อนระยะยาว, มาเพื่ออยู่อาศัยช่วงวัยเกษียณ, มาเพื่อทำงานของกลุ่ม digital nomad เป็นต้น ซึ่งนี่จะเป็นการกระตุ้นการใช้จ่ายระยะยาวและทำให้การมาไทยนานขึ้น ตลอดจนมาตรการเร่งด่วนระยะสั้น เช่น มาตรการท่องเที่ยวภายในประเทศในเมืองหลักและเมืองรอง เพื่อทำให้เม็ดเงินดันลงไปสู่เศรษฐกิจฐานรากมากขึ้นค่ะ

ประเทศไทยมีรากฐานที่แข็งแรงหลายมิติ แต่หากต้องจัดลำดับเพื่อลงลึกในการพัฒนา เราอาจต้องเลือกบางแง่มุมที่เป็นจุดแข็งและมีศักยภาพอยู่แล้ว เช่น อาหาร กีฬา นอกจากนี้ ยืนยันว่าการพัฒนาผลักดันเรื่องการท่องเที่ยว ภาคเอกชนมีส่วนสำคัญ จึงอยากให้ทุกภาคส่วน รวมถึงทีมไทยแลนด์ที่ทำงานต่างประเทศ ได้ร่วมมือกับภาคเอกชน เพราะภาคเอกชนเป็นส่วนที่เห็นหน้างานและปัจจัยที่สุด ซึ่งประเด็นนี้จะมีการทำเวิร์กช็อปร่วมกันต่อไปเพื่อพัฒนาต่อไป เพื่อทำให้การท่องเที่ยวไทย เดินเครื่องอย่างเต็มศักยภาพมากยิ่งขึ้น

Advertisement

กรมพัฒนาฝีมือแรงงานเปิดโอกาสให้ SME เข้าถึงเงินกู้

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 10 เมษายน 2568 กรมพัฒนาฝีมือแรงงานเปิดโอกาสให้ SME เข้าถึงเงินกู้ จัดโปรโมชันกองทุนฯ ดอกเบี้ย 0% วงเงินสูงสุด 1 ล้านบาท ยกระดับฝีมือแรงงาน ยื่นคำขอกู้ยืมเงินได้ตั้งแต่วันนี้ ถึง 31 สิงหาคม 2568

นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน สนับสนุนสถานประกอบกิจการในการพัฒนาทักษะแรงงาน ผ่านกองทุนพัฒนาฝีมือแรงงาน โดยเปิดโอกาสให้กู้ยืมเงินในอัตราดอกเบี้ย 0% วงเงินสูงสุด 1,000,000 บาทต่อครั้ง ระยะเวลาผ่อนชำระ 1 ปี โดยเงินกู้ดังกล่าว สถานประกอบกิจการสามารถนำไปใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม ทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานให้แก่พนักงานได้ ซึ่งเป็นไปตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ. 2545 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ที่กำหนดให้สถานประกอบกิจการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 100 คน ต้องพัฒนาทักษะให้แก่พนักงานของตนเองไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 กรณีที่ไม่ดำเนินการพัฒนาทักษะพนักงาน สถานประกอบกิจการจะต้องส่งเงินสมทบเข้ากองทุนพัฒนาฝีมือแรงงานตามอัตราที่กำหนด เพื่อต่อยอดให้นายจ้างและสถานประกอบกิจการสามารถยกระดับทักษะพนักงาน เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และลดต้นทุนการประกอบกิจการ

ทั้งนี้ ปีงบประมาณ 2568 กรมพัฒนาฝีมือแรงงานได้จัดสรรวงเงินกู้จากกองทุนพัฒนาฝีมือแรงงานจำนวน 30 ล้านบาท เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนสำหรับการพัฒนาทักษะลูกจ้าง โดยขณะนี้มีสถานประกอบกิจการยื่นกู้แล้วจำนวน 12 บริษัท วงเงินรวม 8,242,090 บาท ยังคงมีวงเงินเหลือกว่า 21 ล้านบาท โดยผู้มีสิทธิกู้ยืม (ผู้ดำเนินการฝึก ผู้ดำเนินการทดสอบ ผู้ประกอบกิจการ) ที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับการยกเว้นภาษีค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมได้ร้อยละร้อย และลูกจ้างที่ผ่านการฝึกอบรมหรือทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงาน สามารถใช้ผลการฝึกอบรมดังกล่าวในการประเมินเงินสมทบกองทุนพัฒนาฝีมือแรงงานได้อีกด้วย

“การพัฒนาทักษะให้แก่ลูกจ้างจำเป็นต้องใช้งบประมาณในการส่งเสริม ขณะเดียวกัน แนวโน้มอุตสาหกรรมปัจจุบันมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้การแข่งขันสูงในตลาดแรงงาน ถือเป็นข่าวดีสำหรับผู้ใช้แรงงาน เนื่องจากตลาดมีความต้องการแรงงานที่มีทักษะสูงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การให้กู้ยืมเงินจากกองทุนพัฒนาฝีมือแรงงานจึงเป็นโอกาสสำคัญสำหรับสถานประกอบกิจการที่ต้องการพัฒนาทักษะแรงงาน แต่ประสบปัญหาด้านงบประมาณ โดยสามารถยื่นคำขอกู้ยืมเงินได้ตั้งแต่วันนี้ และทำสัญญาภายในวันที่ 31 สิงหาคม 2568 ผ่านสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานและสำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานทุกจังหวัด หรือยื่นผ่านระบบ https://e-fund.dsd.go.th/ ได้แล้ว” นายคารม กล่าว

Advertisement

“ธีรรัตน์” นำทัพปฏิวัติ OTOP ไทย สู่ตลาดโลก

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 5 เมษายน 2568 “ธีรรัตน์” นำทัพปฏิวัติ OTOP ไทย สู่ตลาดโลก ดิจิทัลและ Modern Trade เดินหน้าปั้นแบรนด์ท้องถิ่น เจาะตลาดออนไลน์-ค้าปลีกสมัยใหม่

น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ “พลิกโฉม OTOP ไทยสู่โลกออนไลน์ และ Modern Trade” ระหว่างกรมการพัฒนาชุมชน กับ หน่วยงานเอกชนที่ลงนาม MOU ณ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 อาคารรัฐประศาสนภักดี (อาคาร B) ชั้น 5 เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร​ โดยระบุว่า​ รัฐบาลภายใต้การนำของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับการต่อยอดโครงการ OTOP โดยการพัฒนาแบรนด์ชุมชนไทยให้โดดเด่น มีคุณภาพได้มาตรฐาน และสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก ซึ่งในครั้งนี้ กรมการพัฒนาชุมชนได้ผนึกกำลังกับภาคเอกชนและหน่วยงานพันธมิตร (กลุ่มเซนทรัล บริษัท ไปรษณีย์ไทยดิสทริบิวชั่น จำกัด บริษัทติ๊กต็อก (ไทยแลนด์) จำกัด บริษัท ช้อปปี้ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท เบ็ตเตอร์บี มาร์เก็ตเพลส จำกัด (NocNoc) บริษัท เน็กซ์ เจน ช้อป จำกัด (NexGen e-commerce) บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (7-11) บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (โครงการไทยเด็ด)) ร่วมลงนาม MOU เพื่อขับเคลื่อน OTOP ไทยสู่ช่องทางดิจิทัล โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มช่องทางการตลาดให้แก่ผู้ประกอบการและเป็นการสร้างภาพลักษณ์ของผลิตภัณฑ์จากภูมิปัญญาไทยสู่ระดับสากล การลงนาม MOU ในครั้งนี้ นับเป็นอีกก้าวสำคัญในการยกระดับผลิตภัณฑ์ชุมชนไทย (OTOP) สู่การเป็นสินค้าในตลาดสากล โดยเน้นการเพิ่มช่องทางการจำหน่าย ทั้งในรูปแบบออนไลน์และการวางจำหน่ายผ่านห้างค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) พร้อมผลักดันแนวคิด “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน

น.ส.ธีรรัตน์ กล่าวว่า วันนี้ผู้ประกอบการทุกท่านไม่ได้แค่ขายของ แต่รัฐบาลจะส่งเสริมให้เป็นการแสดงศักยภาพ ‘ภูมิปัญญาไทย’ ให้ทั่วโลกรู้จัก เรากำลังยกระดับสินค้าท้องถิ่นจากบ้านเราให้กลายเป็นแบรนด์ระดับโลก ด้วยช่องทางดิจิทัล รัฐบาลภายใต้การนำของ น.ส. แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ให้ความสำคัญกับการต่อยอดโครงการ OTOP จะไม่ปล่อยให้โอกาสของชุมชนต้องถูกจำกัดไว้เพียงในประเทศอีกต่อไป ถึงเวลาที่โลกจะได้เห็นว่า OTOP ไทยไม่ใช่แค่ของดี แต่คือของที่โลกต้องมี ภายใต้แนวคิด ‘ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้ เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ รัฐบาลจะยังคงเดินหน้าสนับสนุน OTOP อย่างต่อเนื่อง พร้อมมองหาแนวทางและโอกาสใหม่ๆ ในการส่งเสริมผู้ประกอบการ OTOP ให้เติบโตได้อย่างยั่งยืนในทุกมิติ ทั้งด้านการผลิต การตลาด และการพัฒนาศักยภาพ เพื่อให้สินค้าชุมชนไทยสามารถแข่งขันได้ในเวทีโลกอย่างแท้จริง

Advertisment

ธ.ออมสินเร่งช่วยเหลือผู้ประสบเหตุแผ่นดินไหว ทั้งรายย่อย-ผู้ประกอบการ ลูกค้าเดิม “พักจ่ายต้น ลดดอกเบี้ย 0% นาน 3 เดือน”

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 30 มีนาคม 2568 ธ.ออมสินเร่งช่วยเหลือผู้ประสบเหตุแผ่นดินไหวที่ได้รับผลกระทบ ทั้งรายย่อยและผู้ประกอบการ ลูกค้าเดิม“พักจ่ายต้น ลดดอกเบี้ย 0% นาน 3 เดือน” และมอบสินเชื่อฉุกเฉิน ซ่อมบ้าน และ SME

29 มี.ค.2568 ธนาคารออมสินห่วงใยผู้ประสบภัยจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้น เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา โดยได้ส่งมอบความช่วยเหลือเบื้องต้นในทันที เพื่อสนับสนุนภารกิจของโรงพยาบาลและการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ในจุดต่างๆ ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ทั้งนี้ ธนาคารขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อความสูญเสีย และขอส่งแรงใจไปยังผู้ที่ได้รับผลกระทบในครั้งนี้ โดยธนาคารพร้อมสนับสนุนนโยบายรัฐบาลในการส่งมอบมาตรการทางการเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบเหตุ ผ่าน 2 มาตรการหลัก คือ

1) มาตรการบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นแก่ลูกค้าเดิม โดยให้พักชำระเงินต้นทั้งหมด และลดดอกเบี้ยเป็น 0% เป็นระยะเวลา 3 เดือน สำหรับลูกค้าสินเชื่อธนาคารออมสิน 3 กลุ่ม ที่เดือดร้อนทรัพย์สินได้รับความเสียหาย หรือการดำเนินธุรกิจได้รับผลกระทบโดยตรงจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ได้แก่ ลูกค้าสินเชื่อธนาคารประชาชน ลูกค้าสินเชื่อเคหะที่มีวงเงินกู้ไม่เกิน 5 ล้านบาท และลูกค้าสินเชื่อ SME ที่มีวงเงินกู้ไม่เกิน 10 ล้านบาท

2) มาตรการสินเชื่อฉุกเฉินเพื่อช่วยเหลือฟื้นฟูสำหรับบุคคลทั่วไป ธนาคารมอบสินเชื่อเงื่อนไขพิเศษ ได้แก่

2.1 สินเชื่อฉุกเฉินผู้ประสบภัยพิบัติ วงเงินกู้สูงสุดไม่เกิน 20,000 บาท/ราย ระยะเวลาผ่อนชำระ 24 เดือน ปลอดชำระเงินงวด 3 เดือนแรก อัตราดอกเบี้ย 0% สำหรับเดือนที่ 1 – 3 และเดือนที่ 4 เป็นต้นไป คิดอัตราดอกเบี้ย 0.60% ต่อเดือน

2.2 สินเชื่อซ่อมแซมบ้าน วงเงินกู้สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท/ราย ระยะเวลาผ่อนชำระ 10 ปี สำหรับลูกค้าใหม่ ส่วนลูกค้าปัจจุบันใช้ระยะเวลาผ่อนชำระตามสัญญาเดิม ปีที่ 1 คิดอัตราดอกเบี้ย 0% สำหรับ 3 เดือนแรก และเดือนที่ 4 – 12 = 2% ปีที่ 2 = 2% ปีที่ 3 = MRR-3.35% ปีที่ 4 เป็นต้นไป = MRR-0.75%

2.3 สินเชื่อ SME ฟื้นฟูแผ่นดินไหว วงเงินกู้ไม่เกิน 40 ล้านบาท/ราย ระยะเวลาผ่อนชำระไม่เกิน 10 ปี (ปลอดชำระเงินต้นสูงสุด 9 เดือน) คิดอัตราดอกเบี้ย ปีที่ 1 – 2 = 2.99% ปีที่ 3 – 4 = MLR/MOR-0.5% และปีที่ 5 เป็นต้นไป = MLR/MOR+0.5% ทั้งนี้ สำหรับวงเงินกู้ไม่เกิน 10 ล้านบาท ธนาคารคิดอัตราดอกเบี้ย 3 เดือนแรก = 0% หลังจากนั้น เดือนที่ 4 – 24 = 2.99% ปีที่ 3 – 4 = MLR/MOR-0.5% และปีที่ 5 เป็นต้นไป = MLR/MOR+0.5%

โดยลูกค้าและบุคคลทั่วไปสามารถติดต่อที่สาขาธนาคารออมสิน เพื่อแจ้งความประสงค์ขอเข้าร่วมมาตรการบรรเทาความเดือดร้อนได้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน – 31 พฤษภาคม 2568 และยื่นขอสินเชื่อได้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน – 30 กันยายน 2568 เงื่อนไขเป็นไปตามประกาศของธนาคาร หากต้องการรายละเอียดเพิ่มเติมหรือความช่วยเหลืออื่นใด โปรดติดต่อ GSB Contact Center โทร. 1115

Verified by ExactMetrics