วันที่ 30 กรกฎาคม 2025

เปิดกำหนดการ “แพทองธาร-ทักษิณ-เศรษฐา” แสดงวิสัยทัศน์งาน SPLASH

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 5 กรกฎาคม 2568 เปิดกำหนดการ 3 นายกฯ “แพทองธาร-ทักษิณ-เศรษฐา” แสดงวิสัยทัศน์ในงาน SPLASH มหกรรม Soft Power ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมผนึกกำลัง 14 อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ดันไทยเติบโตสู่เส้นทางเศรษฐกิจและรายได้ใหม่ที่ยังยืน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส. แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม จะเดินทางไปร่วมงาน “SPLASH – Soft Power Forum 2025” ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ในวันที่ 8 ก.ค.นี้ เวลา 14.00-15.30 น. พร้อมจะกล่าวเปิดงานในหัวข้อ “Thailand Rising: Tourism, Education and the New Soft Power Frontier”

โดยงาน “SPLASH – Soft Power Forum 2025” เป็นความร่วมมือระหว่างรัฐบาล กับ สำนักงานส่งเสริมวัฒนธรรมสร้างสรรค์ (THACCA) ที่จัดงาน Soft Power ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ “SPLASH – Soft Power Forum 2025” ระหว่างวันที่ 8-11 กรกฎาคม 2568 ตั้งแต่เวลา 10.00-20.00 Hall 1-4 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

โดยประชาชนสามารถร่วมสัมผัสปรากฏการณ์ซอฟต์พาวเวอร์ไทยแบบครบวงจร ภายใต้แนวคิด “โอกาสประเทศไทยในอุตสาหกรรมวัฒนธรรมสร้างสรรค์” ซึ่งเปรียบเสมือน “สายน้ำแห่งโอกาส” ที่กำลังหล่อเลี้ยงทุนวัฒนธรรมไทยให้เติบโตสู่เศรษฐกิจใหม่อย่างยั่งยืน ผ่านการผนึกกำลังของ 14 อุตสาหกรรมซอฟต์พาวเวอร์ ต่อยอดสู่ตลาดโลกอย่างเป็นรูปธรรม

โดยอีกหนึ่งหัวใจของงานอยู่ที่ Visionary Stage ซึ่งรวบรวม “ผู้รู้จริง” แนวหน้าจากไทยและต่างประเทศ เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองและแบ่งปันประสบการณ์สร้าง “มูลค่าทางวัฒนธรรม” ให้ทรงพลัง รวมถึง “ผู้นำ” ที่ร่วมขึ้นเวทีแลกเปลี่ยนอย่างคับคั่ง

นอกจาก น.ส.แพทองธาร แล้ว ในวันที่ 9 ก.ค. 2568 เวลา 13.00-14.00 น. นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 23 จะถ่ายทอดวิสัยทัศน์ในหัวข้อ “Crafting the Future: From OTOP to ThaiWORKS and Beyond”

วันที่ 10 ก.ค. 2568 เวลา 12.45-13.45 น. นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 จะร่วมเสวนากับ “บัวขาว” บัญชาเมฆ และ “เทนนิส” พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ ในหัวข้อ “Rethinking Thai Sports in a Disruptive Era”

ขณะที่ภายในงานได้แบ่งพื้นที่ออกเป็น 6 โซนหลักเพื่อสะท้อนศักยภาพซอฟต์พาวเวอร์ไทยอย่างรอบด้าน ได้แก่

1.Creative Culture Village – โชว์เคส 14 อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ไทย ตั้งแต่อาหาร ภาพยนตร์ ดนตรี แฟชั่น จนถึงการท่องเที่ยว ในรูปแบบอินเทอร์แอ็กทีฟที่เข้าถึงคนรุ่นใหม่

2.THACCA Pavilion – ศูนย์รวมองค์ความรู้ ยุทธศาสตร์ และเครื่องมือการสร้างแบรนด์ไทยด้วยซอฟต์พาวเวอร์ พร้อมคำแนะนำเชิงลึกสำหรับผู้ประกอบการ

3.Glo-Cal Networking – พื้นที่จับคู่ธุรกิจ เชื่อมโยงนักลงทุนกับผู้ประกอบการทั้งไทยและต่างชาติ สร้างเครือข่ายระดับโลก

4.Workshop & Masterclass – หลักสูตรอบรมภายใต้โครงการ “One Family One Soft Power (OFOS)” เปิดโอกาสให้เยาวชน นักศึกษา และผู้ประกอบการเรียนรู้กับผู้เชี่ยวชาญโดยตรง

5.Experiential Zone – นิทรรศการเทคโนโลยี “Multisensory Mindfulness Experiences” กระตุ้นประสาทสัมผัสทั้ง 5 ถ่ายทอดประสบการณ์ซอฟต์พาวเวอร์ไทยแนวใหม่

6.Visionary Stage – เวทีเสวนาระดับโลกที่รวมนักคิดและนักสร้างสรรค์ตัวจริง ก่อเกิดแรงบันดาลใจสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์

สำหรับ งาน“SPLASH – Soft Power Forum 2025” จัดขึ้นภายใต้ความร่วมมือของกระทรวงวัฒนธรรม กรมส่งเสริมวัฒนธรรม คณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ คณะกรรมการพัฒนาและอนุกรรมการทุกสาขา โดยประสานพลังภาครัฐ เอกชน ชุมชน และเครือข่ายนานาชาติ เพื่อยกระดับซอฟต์พาวเวอร์ไทยสู่ตลาดโลกอย่างเป็นรูปธรรม ผู้สนใจสามารถเข้าร่วมงานได้ฟรี เพียงลงทะเบียนล่วงหน้าที่ splash.thacca.go.th

Advertisement

รบ.ลุยเจรจา FTA หลังใช้สิทธิ 4 เดือน เพิ่มขึ้น 13.46%

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 4 กรกฎาคม 2568 รัฐบาลเดินหน้าเจรจา FTA เพิ่มต่อเนื่อง หลังใช้สิทธิภายใต้ความตกลงการค้าเสรี (FTA) 4 เดือนปี 68 มูลค่าทะลุกว่า 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นถึง 13.46%

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าภายใต้ความตกลงการค้าเสรี (FTA) ในช่วง 4 เดือน ของปี 2568 (ม.ค.-เม.ย.) มีมูลค่ารวม 28,834.57 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 13.46% คิดเป็นสัดส่วนการใช้สิทธิ์ 79.45% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าที่ได้รับสิทธิ์ทั้งหมด โดย 5 อันดับแรก เป็นการส่งออกไปยังอาเซียนภายใต้ความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (ATIGA) สูงที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง มูลค่า 10,259.88 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วนการใช้สิทธิ์ 66.34% รองลงมา คือ ความตกลงอาเซียน-จีน (ACFTA) มูลค่า 7,032.96 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วน 91.02% ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-อินเดีย (AIFTA) มูลค่า 4,475.67 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วน 84.29% ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) มูลค่า 2,062.61 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วน 75.57% และความตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย (TAFTA) มูลค่า 1,850.89 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วน 59.39%

สำหรับสินค้า 5 อันดับแรกที่มีการใช้สิทธิ์ FTA ส่งออกมากที่สุด ได้แก่ 1.ยานยนต์สำหรับขนส่งของอื่น ๆ (ที่มีเครื่องดีเซล หรือกึ่งดีเซล) น้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุก ไม่เกิน 5 ตัน มูลค่า 2,112.47 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 2.แพลทินัมยังไม่ได้ขึ้นรูป (อันรอต) กึ่งสำเร็จรูปหรือเป็นผง มูลค่า 1,655.82 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 3.ยางสังเคราะห์ผสมยางธรรมชาติ มูลค่า 1,138.09 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 4.ทุเรียนสด มูลค่า 955.57 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 5.แพลทินัมยังไม่ได้ขึ้นรูป (อันรอต) กึ่งสำเร็จรูปหรือเป็นผงอื่น ๆ มูลค่า 760.76 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ส่วนสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูป ที่มีมูลค่าการใช้สิทธิ์ FTA สูง 5 อันดับแรก ได้แก่ ทุเรียนสด น้ำตาลที่ได้จากอ้อย ไก่ที่ปรุงแต่ง เนื้อของสัตว์ปีกเลี้ยงแช่เย็นจนแข็ง และผลไม้สด (เงาะ ลำไย ทับทิมสด) มูลค่ารวม 6,898.01 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 23.92% ของมูลค่าการใช้สิทธิ์ทั้งหมด และสินค้าอุตสาหกรรม 5 อันดับแรก ได้แก่ ยานยนต์สำหรับขนส่งของ แพลทินัมยังไม่ได้ขึ้นรูป (อันรอต) กึ่งสำเร็จรูปหรือเป็นผง ยางสังเคราะห์ผสมยางธรรมชาติ แพลทินัมยังไม่ได้ขึ้นรูป (อันรอต) กึ่งสำเร็จรูปหรือเป็นผงอื่น ๆ และเครื่องปรับอากาศชนิดติดผนังหรือติดเพดาน มูลค่ารวม 21,936.56 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 76.08% ของมูลค่าการใช้สิทธิ์ทั้งหมด

ทั้งนี้ จาก FTA ทั้งหมด 12 ฉบับ ที่ พบว่า มีการใช้สิทธิ์เพิ่มขึ้นรวม 5 ฉบับ ได้แก่ 1.ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-อินเดีย (ส่งออกไปอินเดีย) เพิ่มขึ้น 159.18% 2.ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) เพิ่มขึ้น 23.59% 3.ความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน เพิ่มขึ้น 8.39% 4.ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน (ส่งออกไปจีน) เพิ่มขึ้น 4.91% 5.ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-เกาหลี (ส่งออกไปเกาหลี) เพิ่มขึ้น 3.86% ซึ่งการใช้สิทธิ์ FTA ที่เพิ่มขึ้นทั้งหมด เป็นผลมาจากภาพรวมการส่งออกของไทยเพิ่มสูงขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2567 จาก 93,904.61 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็น 106,789.28 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2568

“รัฐบาลให้ความสำคัญต่อการส่งเสริมการค้าและขยายโอกาสทางการค้า มุ่งเน้นให้กับผู้ประกอบการไทยใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าภายใต้ FTA เพื่อต่อยอดธุรกิจ และการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าภายใต้ FTA พร้อมผลักดันให้ใช้ FTA เพื่อสร้างแต้มต่อในการส่งออก รวมทั้งเพื่อเพิ่มโอกาสทางการค้าและขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ” นางสาวศศิกานต์ ระบุ

Advertisement

ค่าแรง 400 บาท ทั่วไทย มีผลบังคับใช้แล้ว

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 2 กรกฎาคม 2568 ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศ ค่าจ้างขั้นต่ำลอตใหม่ มีผลบังคับใช้แล้ว เริ่มเลยวันนี้ ค่าแรง 400 บาท ทั่วไทย

เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ประกาศ ประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง เรื่อง อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ (ฉบับที่ 14) ตามมติคณะกรรมการค่าจ้าง ขั้นต่ำ เมื่อวันที่ 17 มิ.ย 2568 กำหนดค่าจ้างขั้นต่ำ เพื่อบังคับใช้แก่นายจ้าง และลูกจ้างทุกคน โดยใจความสรุป ให้กำหนดอัตราค่าจ้าจ้างขั้นต่ำเป็นวันวันละ 400 บาท ดังนี้

(1) ประเภทกิจการโรงแรมตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรม เฉพาะโรงแรมประเภท 2 โรงแรม ประเภท 3 และโรงแรมประเภท 4 ในท้องที่ทุกจังหวัด

(2) ประเภทกิจการสถานบริการตามกฎหมายว่าด้วยสถานบริการ ในท้องที่ทุกจังหวัด (3) ในท้องที่กรุงเทพมหานคร จังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี ภูเก็ต ระยอง และสุราษฎร์ธานี เฉพาะอำเภอเกาะสมุย

ข้อ 3 ให้กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นเงินวันละ 380 ในท้องที่จังหวัด เชียงใหม่ เฉพาะอำเภอเมืองเชียงใหม่ และสงขลาเฉพาะอำเภอหาดใหญ่ ข้อ 4 ให้กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นเงินวันละ 372 บาท ในท้องที่จังหวัดนครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ และสมุทรสาคร ข้อ 5 ให้กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นเงินวันละ 359 บาทในท้องที่จังหวัดนครราชสีมาฃ

ข้อ 6 ให้กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นเงินวันละ358 บาท ในท้องที่จังหวัด สมุทรสงคราม ข้อ 7 ให้กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นเงินวันละ 357 บาท ในท้องที่จังหวัด ขอนแก่น เชียงใหม่ ยกเว้นอำเภอเมืองเชียงใหม่ ปราจีนบุรี พระนครศรีอยุธยา และสระบุรี ข้อ 8 ให้กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นเงินวันละ 356 บาท ในท้องที่จังหวัดลพบุรี ข้อ 9ให้กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นเงินวันล 355 บาท ในท้องที่จังหวัด นครนายก สุพรรณบุรี และหนองคาย

ข้อ 10 ให้กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นเงินวันละ 354 บาท ในท้องที่จังหวัดกระบี่ และตราด ข้อ 11 ให้กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นเงินวันละ 352 บาท ในท้องที่จังหวัด กาญจนบุรี จันทบุรี เชียงราย ตาก นครพนม บุรีรัมย์ ประจวบคีรีขันธ์ พังงา พิษณุโลก มุกดาหาร สกลนคร สงขลายกเว้นอำเภอหาดใหญ่ สระแก้ว สุราษฎร์ธานียกเว้นอำเภอเกาะสมุย และอุบลราชธานี ข้อ 12 ให้กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นเงินวันละ 351 บาท ในท้องที่จังหวัด ชุมพร เพชรบุรี และสุรินทร์ ข้อ 13 ให้กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นเงินวันละ 350 บาท ในท้องที่จังหวัดนครสวรรค์ ยโสธร และลำพูน

ข้อ 14 ให้กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นเงินวันละ 349 บาท ในท้องที่จังหวัดกาฬสินธุ์ นครศรีธรรมราช บึงกาฬ เพชรบูรณ์ และร้อยเอ็ด ข้อ 15 ให้กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นเงินวันละ 348 บาท ในท้องที่จังหวัดชัยนาท ชัยภูมิ พัทลุง สิงห์บุรี และอ่างทอง ข้อ 16ให้กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นเงินวันละ 347 บาท ในท้องที่จังหวัดกำแพงเพชร พิจิตร มหาสารคาม แม่ฮ่องสอน ระนอง ราชบุรี ลำปาง เลย ศรีสะเกษ สตูล สุโขทัข หนองบัวลำภู อำนาจเจริญ อุดรธานี อุตรดิตถ์ และอุทัยธานี

ข้อ 17 ให้กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นเงินวันละ 345 บาท ในท้องที่จังหวัดตรัง น่าน พะเยา และแพร่ ข้อ 18 ให้กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นเงินวันละ 337 บาท ในท้องที่จังหวัดนราธิวาส ปัตตานี และยะลา

ข้อ 19 เพื่อประโยชน์ตามข้อ 2 ถึงข้อ 18 คำว่า “วัน” หมายถึง เวลาทำงานปกติของลูกจ้าง

ซึ่งไม่เกินชั่วโมงทำงานดังต่อไปนี้ แม้นายจ้างจะให้ลูกจ้างทำงานน้อยกว่าเวลาทำงานปกติเพียงใดก็ตาม (1) เจ็ดชั่วโมง สำหรับงานที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพและความปลอดภัยของลูกจ้าง ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2541) ออกตามความในพ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานพ.ศ. 2541 ส่วน (2) แปดชั่วโมง สำหรับงานอื่นซึ่งไม่ใช่งานตาม (1) ข้อ 20 ห้ามมิให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างเป็นเงินแก่ลูกจ้างน้อยกว่าค่าจ้างชั้นต่ำ

ทั้งนี้ ประกาศคณะกรรมการค่าจ้างฉบับนี้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค 2568 เป็นต้นไป

Advertisement

“เที่ยวไทยคนละครึ่ง” เริ่มเปิดจอง 1 ก.ค. เที่ยวจริง 4 ก.ค.

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 30 มิถุนายน 2568 เชิญชวนคนไทยใช้สิทธิ์ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” เริ่มเปิดจอง 1 ก.ค. เที่ยวจริง 4 ก.ค. รัฐสนับสนุนสูงสุด 3,000/คืน

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลโดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เดินหน้าโครงการ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและสนับสนุนผู้ประกอบการไทย ล่าสุด มีผู้ประกอบการท่องเที่ยวยื่นคำขอลงทะเบียนผ่านระบบ https://partner.tat.or.th แล้วกว่า 34,005 ราย และมีผู้ผ่านการตรวจสอบและลงทะเบียนสำเร็จแล้วถึง 6,400 ราย ส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างการตรวจสอบคุณสมบัติอย่างเข้มงวด เพื่อให้โครงการเกิดประโยชน์สูงสุดและป้องกันการสวมสิทธิ์

ขั้นตอนสำคัญของการลงทะเบียน ผู้ประกอบการต้องกรอกหนังสือยินยอมให้ธนาคารกรุงไทยตรวจสอบข้อมูล เพื่อป้องกันการหลอกลวงและการแฝงตัวของสถานประกอบการที่ไม่มีคุณสมบัติครบถ้วน โดยธนาคารจะใช้เวลาตรวจสอบประมาณ 3 วัน ก่อนส่งข้อมูลให้ ททท. นำไปเผยแพร่บนเว็บไซต์ในวันที่ 30 มิถุนายน 2568 จากนั้นประชาชนจะสามารถจองสิทธิ์ได้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 และเริ่มเดินทางท่องเที่ยวจริงได้ในวันที่ 4 กรกฎาคมนี้

สำหรับสิทธิประโยชน์ของโครงการ รัฐบาลจัดสรรสิทธิ์รวม 500,000 สิทธิ โดยประชาชน 1 คน สามารถใช้สิทธิ์สูงสุด 5 สิทธิ แบ่งเป็น เมืองหลัก 3 สิทธิ เมืองรอง 2 สิทธิ โดยมีวงเงินค่าที่พักสูงสุด 3,000 บาทต่อคืนต่อห้อง แบ่งตามวันเดินทาง ดังนี้

วันธรรมดา (จันทร์-ศุกร์) รัฐบาลสนับสนุน 50% ของค่าที่พัก (ไม่เกิน 3,000 บาทต่อคืน) และวันหยุด (เสาร์-อาทิตย์ และนักขัตฤกษ์) รัฐบาลสนับสนุน 40% ของค่าที่พัก (ไม่เกิน 3,000 บาทต่อคืน)

นอกจากนี้ ยังมีคูปองมูลค่า 500 บาทต่อ 1 สิทธิ เพื่อใช้จ่ายในร้านอาหารหรือร้านค้าต่าง ๆ ที่เข้าร่วมโครงการ

“โครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง ถือเป็นอีกหนึ่งมาตรการสำคัญที่รัฐบาลตั้งใจผลักดัน เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว สร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการในทุกภูมิภาค และช่วยให้คนไทยได้พักผ่อนในราคาคุ้มค่า ขอเชิญชวนประชาชนทุกคนเตรียมตัวจองสิทธิ์ให้พร้อม แล้วออกไปสัมผัสเสน่ห์ของเมืองไทย เติมสีสันให้ชีวิต พร้อมช่วยกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไปด้วยกัน” นางสาวศศิกานต์ กล่าว

Advertisement

 

บสย. อัดฉีด 5,000 ล้าน ค้ำสินเชื่อ “SMEs เปราะบาง-รายย่อย”

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 28 มิถุนายน 2568 เอสเอ็มอีคึกคักหลังรัฐบาลโดย บสย. อัดฉีด 5,000 ล้าน ค้ำสินเชื่อ “SMEs เปราะบาง-รายย่อย” เพิ่มโอกาส เข้าถึงทุน เสริมสภาพคล่องธุรกิจ

นางสาว ศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) จัดสรรวงเงินค้ำประกันเพิ่มเติมภายใต้โครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS11 “บสย. SMEs ยั่งยืน” อีก 5,000 ล้านบาท ภายใต้มาตรการ บสย. พร้อมค้ำกับ 2 ผลิตภัณฑ์ค้ำประกันสินเชื่อใหม่ เพื่อช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง SMEs รายย่อย และผู้ส่งออก ที่ขาดคนค้ำประกันและหลักทรัพย์ค้ำประกัน

สำหรับผลิตภัณฑ์ค้ำประกัน ประกอบด้วย 1.ผลิตภัณฑ์ค้ำประกันภายใต้โครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs Power Trade & Biz วงเงินค้ำประกัน 3,000 ล้านบาท ค้ำประกันต่อราย 500,000 – 10,000,000 บาท ตอบโจทย์กลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า และซัพพลายเชนที่เกี่ยวข้อง และ 2.ผลิตภัณฑ์ค้ำประกันภายใต้โครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs Micro Biz วงเงินค้ำประกัน 2,000 ล้านบาท ค้ำประกันต่อราย 10,000 – 500,000 บาท ตอบโจทย์กลุ่มรายย่อย (Micro SMEs) พ่อค้า แม่ค้า ค้าขายออนไลน์ อาชีพอิสระ ฯลฯ ที่ต้องการเงินทุนหมุนเวียน และขาดหลักทรัพย์ค้ำประกัน ซึ่งเป็น “กลุ่มเปราะบาง” ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ

นางสาวศศิกานต์กล่าวต่อว่า จุดเด่นของ 2 โครงการ คือค่าธรรมเนียมต่ำ 1.5% ต่อปี ฟรี! ค่าธรรมเนียมค้ำประกัน 3 ปีแรก โดยค้ำประกันสูงสุด 7 ปี เป็นมาตรการพิเศษที่มุ่งเน้นการค้ำประกันสินเชื่อ เพื่อช่วยกระตุ้นให้สถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อในรายที่ต้องการสภาพคล่องเพิ่มเติม แต่ขาดหลักทรัพย์ค้ำประกัน ด้วยการจ่ายเคลม (จ่ายค่าประกันชดเชย) ในอัตราสูง

ทั้งนี้ โครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs Power Trade & Biz และ SMEs Micro Biz ภายใต้วงเงินค้ำประกัน 5,000 ล้านบาท คาดว่าจะก่อให้เกิดสินเชื่อในระบบ 5,600 ล้านบาท สามารถช่วย SMEs เข้าถึงสินเชื่อกว่า 21,000 ราย รักษาการจ้างงาน 46,150 ตำแหน่ง และสร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจได้ 20,650 ล้านบาท และข้อดีของโครงการใหม่นี้จะมีส่วนสำคัญที่ทำให้ธนาคารปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและเสริมสภาพคล่อง

สำหรับผู้ประกอบการ SMEs ที่สนใจเข้าร่วมโครงการค้ำประกันสินเชื่อดังกล่าว สามารถเข้ามาตรวจสุขภาพทางการเงิน พร้อมจองคิวขอรับคำปรึกษาที่ LINE OA : @tcgfirst ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย หรือติดต่อที่สำนักงานเขตของ บสย. ทั้ง 11 สาขา สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ บสย. Call Center โทร. 02-890-9999

“รัฐบาลมุ่งมั่นเดินหน้าแก้ปัญหาเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs และกลุ่มเปราะบาง ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนและมีโอกาสขยายธุรกิจอย่างทั่วถึง เพราะเศรษฐกิจฐานราก คือรากฐานสำคัญที่จะสร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างยั่งยืน” นางสาวศศิกานต์ ระบุ

Advertisement

ครม.เห็นชอบเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัด F1 วงเงิน 41,339 ล้าน ตลอด 5 ปี

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 17 มิถุนายน 2568 “สรวงศ์” เผย ครม.เห็นชอบเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัด F1 วงเงิน 41,339 ล้านบาท ตลอด 5 ปี ตั้งแต่ 2571-2575 โดยจะมีการแข่ง 3 วัน คือ ศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ ของเดือน มี.ค. หรือ ก.ย. พร้อมตั้งคณะกรรมการศึกษารายละเอียด สำนักเลขานายกฯ ติงเป็นวงเงินที่ค่อนข้างสูง และอาจส่งผลกระทบต่อสถานะการเงินของประเทศในอนาคต ขณะที่รายได้ที่หามาไม่คุ้มเงินที่ลงทุน

นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบนโยบายการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันรถยนต์สูตรหนึ่ง Fomula หรือ F1 แล้ว และหลังจากนี้ ซึ่งตามข้อตกลงร่วมกัน (MOU) ไทยจะเสนอตัวเป็นเจ้าภาพการแข่งขัน 5 ปี ตั้งแต่ปี 2571 กรอบวงเงินกว่า 40,000 ล้านบาท จะใช้งบเป็นรายปี และต้องเสนอเข้ามาให้ ครม.พิจารณาทุกปี ดังนั้น วันนี้ที่ประชุมจึงได้พิจารณากรอบการดำเนินโครงการเพื่อไปศึกษาโดยละเอียดต่อไป โดยนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ตนเป็นประธานคณะทำงานประมูลสิทธิ์ และมีองค์ประกอบเป็นปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวฯ และอธิบดีที่เกี่ยวข้องในกระทรวงคมนาคม และอื่นๆ พร้อมยืนยันว่า ระยะเวลาในการศึกษาโครงการที่มีจนถึงปี 2571 เพียงพอ เพราะขณะนี้ได้มีการออกแบบไว้คร่าวๆ แล้ว และเบื้องต้นมีแบบออกมาบ้างแล้ว โดยทำงานร่วมกับสำนักงานส่งเสริมการจัดการประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) ของ สปน. รวมถึงบริษัท F1 แล้ว

ขณะที่นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เสนอการเสนอตัวขอเป็นเจ้าภาพการจัดการแข่งขันรถยนต์ชิงแชมป์โลก รายการ FIA FORMULA ONE WORLD CHAMPIONSHIP ในประเทศไทย ประจำปี 2571-2575 รวม 5 ปี ภายในกรอบวงเงิน 41,339.67 ล้านบาท รวมถึงงบประมาณที่จำเป็นเร่งด่วนในส่วนของค่าออกแบบ 218.07 ล้านบาท ซึ่งกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจะขอรับจัดสรรงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป และจะมีการขอรับการสนับสนุนจากภาคเอกชน เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของภาครัฐ แต่หากไม่เพียงพอ สามารถตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม อย่างไรก็ตาม หากได้รับการสนับสนุนจากภาคเอกชนและมีเงินคงเหลือ ให้นำส่งและคืนเงินตามกฏหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป

ทั้งนี้ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้เสนอผลการศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดการแข่งขัน จะช่วยสร้างรายได้กระตุ้นเศรษฐกิจและเกิดมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ รวมทั้งส่งเสริมให้ไทยเป็นจุดหมายปลายทางการเป็นศูนย์กลางในการแข่งขันกีฬาชั้นนำของโลก และ World Class Event Hub ตลอดจนช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดี ส่งเสริมการท่องเที่ยว และเสริมสร้างประสบการณ์ของบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับกีฬายานยนต์ โดยระยะเวลาการแข่งขันจะใช้เวลา 3 วันต่อปี ตรงกับวันศุกร์-อาทิตย์ ของเดือนมีนาคม หรือเดือนกันยายน ของปี 2571-2575

สำหรับพื้นที่ที่จะใช้ในการจัดการแข่งขัน คือ บริเวณจตุจักร ประกอบด้วย 8 พื้นที่หลัก เนื่องจากมีพื้นที่เพียงพอสำหรับการติดตั้งสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ และมีพื้นที่สำหรับแฟนกีฬาไม่ได้เป็นญาติที่พักอาศัยหลัก ทำให้มีผลกระทบต่อชุมชนและการจราจรน้อย ได้แก่ สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ มีขนาดพื้นที่ 838 ไร่ สถานีขนส่งหมอชิต 2 มีขนาดพื้นที่ 109 ไร่ ตลาดนัดสวนจตุจักร 241 ไร่ สวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ 207 ไร่ สวนจตุจักร 163 ไร่ สวนวชิรเบญจทัศ หรือสวนรถไฟ 418 ไร่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) 45 ไร่ และการรถไฟแห่งประเทศไทย 146 ไร่ โดยจะมีพื้นที่ Grandstand เป็นที่นั่งบนอัฒจันทร์ที่จัดเตรียมไว้สำหรับผู้ชมทั่วไปชมการแข่งขันกระจายตามจุดต่างๆ ของจำนวน 93,500 ที่นั่ง และพื้นที่ Paddock Club เป็นพื้นที่ VIP ตั้งอยู่บน Pit Lane 4,000 ที่นั่ง และพื้นที่ VIP Hospitality เป็นพื้นที่โซนวีไอพี โดยเป็นที่นั่งบนอัฒจันทร์ Grandstand ในตำแหน่งพิเศษ

“เส้นทางสนามที่เสนอให้มีการแข่งขัน มีระยะทาง 5.732 กิโลเมตร โดยมีจำนวนโค้งทั้งหมด 18 จุด และช่องทางตรงที่ยาวที่สุดถึง 1.2 กิโลเมตร อัฒจันทร์ที่กระจายตัวตามจุดต่างๆ รอบสนาม รองรับผู้ชมได้สูงสุดถึง 108,200 คน”

ขณะที่ผลการศึกษาได้ประมาณการรายได้จากการเป็นเจ้าภาพ ทั้งจากการจำหน่ายตั๋ว จากผู้สนับสนุน จากการขายของที่ระลึก อาหาร เครื่องดื่ม รายได้จากการจัดคอนเสิร์ต จากค่าเช่าพื้นที่ และค่าคอมมิชชั่นจากโรงแรมที่พัก รวม 5 ปี อยู่ที่ 27,276.77 ล้านบาท หรือเฉลี่ยประมาณปีละกว่า 5,000 ล้านบาท

สำหรับผลคาดการณ์จำนวนผู้ร่วมงานฟอร์มูล่าวันในประเทศไทย ในกรณีมีการจัดงานในปี 2571 พิจารณาสัดส่วนจากผู้เข้าร่วมการแข่งขันจากจำนวนนักท่องเที่ยวในประเทศและท่องเที่ยวต่างประเทศของ 21 ประเทศเจ้าภาพ พบว่ามีความเป็นไปได้ในระดับสูงที่จะมีผู้เข้าร่วมงานในไทยที่ค่าเฉลี่ยจำนวน 407,132 คน 81,918 คน และสูงสุด 314,508 คน และเป็นผู้ร่วมงานจากต่างประเทศ 92,622 คน

ด้านผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจในช่วงปี 2571-2575 ช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยว สร้างรายได้ให้กับธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น โรงแรม ร้านอาหาร บริการขนส่ง ทำให้เงินสะพัดทางเศรษฐกิจระหว่างการจัดการแข่งขันอยู่ที่ 16,000 ล้านบาทต่อปี ส่งผลให้มูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น 14,000 ล้านบาทต่อปี ช่วยสร้างรายได้จากการจัดเก็บภาษีของภาครัฐ 1,400 ล้านบาทต่อปี เกิดการลงทุนใหม่ประมาณ 7,000 ล้านบาทต่อปี และสร้างงานใหม่ให้ประเทศไทย 8,000 ตำแหน่งต่อปี

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี จะแสดงความเห็นถึงการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพการแข่งขัน Formula 1 ในไทย ภายในกรอบวงเงิน 41,779.67 ล้านบาท เป็นวงเงินที่ค่อนข้างสูงและอาจส่งผลผลกระทบต่อสถานะการเงินของประเทศในอนาคตได้ โดยเฉพาะในบริบทที่ภาครัฐมีงบจำกัด และมีภาระทางการคลังจากภารกิจจำเป็นอื่นๆ ที่ต้องดำเนินการควบคู่กันไป แม้ผลการศึกษาความเหมาะสมจะแสดงให้เห็นว่า การลงทุนโดยภาครัฐทั้งหมดมีข้อดีบางประการ แต่ก็มีข้อเสียที่สำคัญ โดยเฉพาะความเสี่ยงด้านการขาดทุนที่ตกอยู่กับภาครัฐเพียงฝ่ายเดียว หากการเป็นเจ้าภาพดังกล่าวไม่ประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย อาจก่อให้เกิดภาระทางการคลังอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ผลการศึกษาเห็นว่า ไม่สามารถสร้างรายได้จากการจัดงานรวมมากกว่างบประมาณค่าใช้จ่ายในการจัดงานและการลงทุน จึงเสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเรื่องนี้ให้ครบถ้วนและครอบคลุมผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในทุกมิติ โดยเฉพาะแนวทางในการเพิ่มรายได้และลดภาระงบประมาณภาครัฐ

Advertisement

กรุงเทพฯ ติดท็อป 10 เมืองจัดประชุมนานาชาติของโลก

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 14 มิถุนายน 2568 ไทยแลนด์ต่างชาติบอกน่ามาประชุมขึ้นแท่นเบอร์หนึ่งอาเซียนด้านไมซ์ กรุงเทพฯ ทะยานติดท็อป 10 เมืองจัดประชุมนานาชาติของโลก

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า สมาคมการจัดประชุมนานาชาติ (International Congress and Convention Association : ICCA) ได้เปิดเผยรายงาน GlobeWatch Business Analytics-Country & City Rankings ล่าสุดประจำปี 2567 ในงาน IMEX Frankfurt 2025 ที่ประเทศเยอรมนี โดยรายงานฉบับนี้ได้วิเคราะห์ข้อมูลจากการจัดประชุมกว่า 11,000 รายการที่จัดขึ้นทั่วโลกในปี 2567 จากการวิเคราะห์ชี้ว่าภูมิภาคเอเชียมีความโดดเด่นได้รับความนิยมเป็นอันดับ 2 สำหรับการจัดประชุมนานาชาติรองจากทวีปยุโรป พบว่าประเทศไทยได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมนานาชาติรวม 158 งาน เพิ่มขึ้นจาก 143 งานในปี 2566 ทำให้ประเทศไทยขยับจากอันดับที่ 26 ของโลกในปี 2566 ขึ้นสู่อันดับที่ 25 ในปี 2567 พร้อมทั้งครองอันดับ 5 ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก และเป็นอันดับ 1 ในภูมิภาคอาเซียน

สำหรับผลงานที่โดดเด่นสุดในระดับเมืองคือ กรุงเทพฯ เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมนานาชาติรวม 115 งาน ก้าวขึ้นสู่อันดับ 7 ของโลก ในฐานะเมืองจุดหมายปลายทางการประชุมนานาชาติระดับโลก ซึ่งเป็นการก้าวกระโดดจากอันดับที่ 15 ในปี 2566 อีกทั้ง กรุงเทพฯ ได้รับการจัดอันดับที่ 3 ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก และอันดับที่ 2 ในภูมิภาคอาเซียน นอกจากนี้ กรุงเทพฯ ยังได้รับการยืนยันจาก Cvent ในการประกาศรายชื่อ 2025 Top Meeting Destinations ในงาน IMEX Frankfurt 2025 ว่าเป็นเมืองอันดับที่ 2 ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก รองจากสิงคโปร์ ซึ่งผลการจัดอันดับนี้อ้างอิงจากกิจกรรมของผู้วางแผนและผู้จัดงานในการจัดหาและการขอข้อเสนอ (RFP) สำหรับการจัดงานจากเมืองต่าง ๆ ทั่วโลกที่มีมูลค่ารวมมากกว่า 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

นอกจากนี้ อีกหนึ่งความสำเร็จครั้งสำคัญของประเทศไทยในรอบปี 2567 คือ มีจำนวนเมืองมากถึง 13 เมือง ได้รับการจัดอันดับในรายงานของ ICCA เป็นครั้งแรก นอกจากกรุงเทพฯ ยังมีอีก 12 เมือง ที่ได้รับการจัดอันดับประกอบด้วย เชียงใหม่ เป็นเจ้าภาพจัดการประชุม 12 งาน พัทยา 10 งาน ภูเก็ต 8 งาน ชลบุรี 3 งาน เชียงราย 2 งาน ปทุมธานี 2 งาน หัวหิน 1 งาน ขอนแก่น 1 งาน สมุย 1 งาน นครราชสีมา 1 งาน นนทบุรี 1 งาน และปัตตานี 1 งาน

ในปี 2567 ที่ผ่านมา อุตสาหกรรมไมซ์ของประเทศสามารถดึงดูดนักเดินทางทั้งในและต่างประเทศ 25,350,288 คน สร้างรายได้ 148,341 ล้านบาท เกิดเป็นรายได้ประชาชาติรวมมูลค่ากว่า 309,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 1.67% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศหรือ GDP ของประเทศไทย โดยสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือทีเส็บ พร้อมเดินหน้า 5 ยุทธศาสตร์ มุ่งใช้ดิจิทัล ความหลากหลายอัตลักษณ์พื้นที่ พัฒนาอุตสาหกรรมไมซ์ไทย รวมถึงใช้กลยุทธ์ 3S – Stay Longer, Spend More, See You Again เพิ่มขีดความสามารถไมซ์ สร้างรายได้เข้าประเทศ และบุกเจาะตลาดกลุ่ม BRICS ตั้งเป้าปี 2568 ดึงดูดนักเดินทางไมซ์ทั้งในและต่างประเทศ 34 ล้านคน รายได้ 2 แสนล้านบาท พร้อมเป้าหมายพิชิตอันดับการเป็นจุดหมายปลายทางไมซ์แห่งเอเชีย

“รัฐบาลพร้อมสนับสนุนอุตสาหกรรมไมซ์ในทุกมิติ โดยเฉพาะการพัฒนาศักยภาพของเมืองรองให้สามารถเติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งในด้านการบริการ โครงสร้างพื้นฐาน และความสามารถในการจัดการประชุมระดับนานาชาติ เพื่อให้ประเทศไทยสามารถรักษาตำแหน่งผู้นำในภูมิภาค และก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางไมซ์ระดับโลกอย่างแท้จริง” นางสาวศศิกานต์ กล่าว

Advertisement

มังคุดในสายหมอกเบตง จ.ยะลา ได้ GI แล้ว

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 13 มิถุนายน 2568 รองโฆษกรัฐบาล เผยมังคุดในสายหมอกเบตง จ.ยะลา ได้ GI แล้ว ส่งออกไปต่างประเทศมูลค่ากว่า 62 ล้านบาท

นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า “มังคุดในสายหมอกเบตง” ของดี จ.ยะลา ได้รับการขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) จากกรมทรัพย์สินทางปัญญาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยเป็นการขึ้นทะเบียนเป็นลำดับที่ 4 ต่อจากกล้วยหินบันนังสตา ทุเรียนสะเด็ดน้ำยะลา และส้มโชกุนเบตง ที่ได้รับการขึ้นทะเบียน GI ไปก่อนหน้านี้

โดยมังคุดในสายหมอกเบตงมีจุดกำเนิดในพื้นที่ตำบลธารน้ำทิพย์ อำเภอเบตง จังหวัดยะลา ซึ่งแรกเริ่มชาวบ้านส่วนใหญ่จะปลูกยางพาราเป็นหลัก และปลูกไม้ผลเป็นพืชรอง เช่น ทุเรียน ลองกอง ส้ม และมังคุด เป็นต้น ต่อมาราคายางพาราเริ่มตกต่ำ เกษตรกรจึงหันมาปลูกและดูแลไม้ผลในพื้นพื้นที่ให้มีคุณภาพมากขึ้นเพื่อชดเชยรายได้จากสภาวะราคายางตกต่ำ ประกอบกับสภาพภูมิศาสตร์และสภาพภูมิอากาศในพื้นที่เพาะปลูก จึงส่งผลให้มังคุดที่ปลูกมีเอกลักษณ์เฉพาะ ประกอบกับในพื้นที่ดังกล่าว มีสภาพภูมิอากาศแบบร้อนชื้น ส่งผลให้สภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง 3 ครั้งต่อวัน คือ ช่วงเช้ามีหมอก ช่วงเที่ยงมีแดด และช่วงเย็นมีฝนตกบ่อยครั้ง ทำให้บริเวณที่ปลูกมังคุด จะมีหมอกหนาปกคลุมเกือบทั้งปี จึงส่งผลต่อการสร้างชั้นเนื้อของมังคุดแบบเคลือบทีละชั้น เนื้อจึงมีสีขาวนวลปุ้ยฝ้าย มีกลิ่นหอมเฉพาะ รสชาติดี จึงส่งผลให้มังคุดในสายหมอกเบตงมีคุณภาพดีและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทำให้ผู้บริโภคยอมรับในคุณภาพสินค้าและเรียกขานเป็นที่รู้จักกันในชื่อ ‘มังคุดในสายหมอกเบตง’

“รัฐบาลมุ่งส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากการขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ หรือ GI เพื่อคุ้มครองสินค้าท้องถิ่นชุมชนที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และยังช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า การขึ้นทะเบียน GI จะเป็นโอกาสของเกษตรกรต่อการขยายช่องทางการตลาดได้อย่างต่อเนื่อง โดยมังคุดในสายหมอกเบตงมีการส่งออกไปตลาดต่างประเทศ มูลค่ากว่า 62 ล้านบาท” นายอนุกูล ระบุ

Advertisement

กสิกรไทย คงจีดีพีปี 68 ที่ 1.4% ชี้ใกล้ครบเส้นตายชะลอภาษี 90 วัน แต่เจรจาสหรัฐยังไม่คืบ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 11 มิถุนายน 2568 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองเศรษฐกิจไทยยังคงเติบโตที่ 1.4% เสี่ยงเกิดภาวะถดถอยทางเทคนิคจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ทั้งการส่งออก-นักท่องเที่ยวต่างชาติลดลง ปรับลดคาดการณ์เงินเฟ้อลงที่ 0.3% ชี้ใกล้ครบเส้นตายชะลอภาษีนำเข้า 90 วัน แต่เจรจาสหรัฐยังไม่คืบ ประเมินหากสหรัฐคงภาษีที่ 10% ตลอดทั้งปี คาดส่งออกไทยขยายตัวที่ 0.5% และเศรษฐกิจไทยโต 1.8% ค่าเงินบาทยังผันผวนมีโอกาสแตะ 32 บาท/ดอลล่าร์ คาด กนง.ลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในปีนี้

นายบุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ และ Chief Economist บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ความไม่แน่นอนของนโยบายด้านภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีทรัมป์ส่งผลกระทบต่อภาคการค้า การลงทุนและเศรษฐกิจทั่วโลก โดยล่าสุดOECD ได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปี 2568  ลง 0.2 % มาอยู่ที่ 2.9% และปรับประมาณการเศรษฐกิจสหรัฐฯ ลง 0.6% เหลือ 1.6% เมื่อเทียบกับการคาดการณ์เมื่อเดือนมีนาคม 2568 ซึ่งความไม่แน่นอนของนโยบายของสหรัฐฯ ทั้งด้านการค้า การเงิน การคลัง การศึกษา และการเมืองภายในประเทศ ส่งผลให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อค่าเงิน เสถียรภาพและศักยภาพของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลงกว่า 8% นับตั้งแต่ประธานาธิบดีทรัมป์เข้ารับตำแหน่ง  ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้น

ด้านธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ยังคงต้องดำเนินนโยบายอย่างระมัดระวัง ท่ามกลางความเสี่ยงจากเงินเฟ้อที่อาจเร่งตัวขึ้นจากการปรับขึ้นภาษีศุลกากร และความเสี่ยงที่เศรษฐกิจอาจชะลอตัว ถึงแม้ว่าจะเผชิญแรงกดดันให้ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง โดยปรับลดคาดการณ์เงินเฟ้อทั่วไปปี2568 ลงมาอยู่ที่ 0.3% และคาดว่า กนง. มีโอกาสลดดอกเบี้ยนโยบายอีก 1 ครั้งในปีนี้ อย่างไรก็ตาม ประเมินว่าเงินบาทมีโอกาสแข็งค่าที่ระดับ 32 บาท/ดอลล่าร์สหรัฐใน 3-6 เดือน และอาจยาวไปถึงสิ้นปึ

สำหรับมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่จะสิ้นสุดการชะลอลงในวันที่ 9 กรกฎาคม 2568 ยังมีความไม่แน่นอนสูง มองว่า ขณะนี้การเจรจาของไทยยังไม่คืบหน้า เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองเศรษฐกิจไทยยังคงเติบโตที่ 1.4% และเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะถดถอยทางเทคนิค อย่างไรก็ตาม หากอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ในหลายประเทศยังคงไว้ที่ระดับ 10% ตลอดทั้งปี คาดว่าการส่งออกไทยจะขยายตัวได้ที่ 0.5% และเศรษฐกิจไทยจะมีแนวโน้มเติบโตได้ 1.8% แต่ถ้าหากไทยถูกเรียกเก็บภาษีในอัตรา 36% จะส่งผลต่อการส่งออกในไตรมาสที่ 3 และไตรมาสที่ 4 ติดลบ รวมถึงจีดีพีอาจจะหดตัวมากกว่าที่คาดการณ์ไว้

ทั้งนี้ ภาษีสหรัฐฯ ที่ไม่ชัดเจนจะทำให้การผลิตภาคอุตสาหกรรมหดตัวต่อเนื่องจากความเสี่ยงการส่งออกไปสหรัฐฯ และจีนในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนรถยนต์ เครื่องจักรกล เหล็ก ผลิตภัณฑ์พลาสติก เคมีภัณฑ์ เป็นต้น รวมถึงการแข่งขันในประเทศกับสินค้านำเข้า โดยคาดว่าสัดส่วนมูลค่าการนำเข้าสินค้าอุปโภคต่อยอดขายของธุรกิจค้าปลีกปี 2568 จะอยู่ที่กว่า 30% และคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีนี้จะหดตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี

ขณะที่ยอดขายรถยนต์ในประเทศจะหดตัวลึกขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังที่ -1.7% YoY เทียบกับ -1.0% YoY ในช่วงครึ่งปีแรก จากภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอและการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวด ขณะที่รายได้ภาคเกษตรไทยมีแนวโน้มหดตัวจากแรงกดดันทั้งด้านราคาและความต้องการสินค้าเกษตรที่ลดลง  รวมถึงการแข่งขันที่สูงขึ้นในตลาดสินค้าเกษตรโลก

ด้านสภาวะการระดมทุนของภาคเอกชนว่ายังอ่อนแอต่อเนื่องจากความต้องการสินเชื่อที่ชะลอลง การชำระคืนหนี้ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงสถาบันการเงินที่ยังคงกังวลเรื่องปัญหาหนี้เสีย ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยปรับประมาณการสินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ไทยในปีนี้ลงมาที่ -0.6% จากเดิมที่ 0.6% ในขณะเดียวกัน มองว่า เอ็นพีแอลยังเป็นขาขึ้น แม้ว่าตัวเลขอาจไม่เกิน 3% ต่อสินเชื่อรวม โดยสถาบันการเงินจะยังคงพยายามเร่งจัดการหนี้เสีย และหนี้ที่เริ่มมีวันค้างชำระ ด้วยการปรับโครงสร้างหนี้และการขายหนี้เสียออกไป เป็นต้น

ขณะที่กิจกรรมด้าน ESG ของภาคเอกชนไทยก็ชะลอลงเช่นกัน ท่ามกลางหลายปัจจัยลบ การออกหุ้นกู้ Sustainable Finance ลดลง โดยส่วนหนึ่งเปลี่ยนมาเป็นการใช้บริการสินเชื่อสีเขียวจากธนาคารพาณิชย์ ที่ข้อมูลเป้าหมายการปล่อยสินเชื่อสีเขียวในปีนี้ จะยังคงขยายตัวค่อนข้างสูง โดยกลุ่มที่ยังระดมทุนอยู่เน้นไปที่ธุรกิจรายใหญ่ผ่านโครงการ Project Finance ที่มีแผนการระดมทุนอยู่แล้ว ขณะที่ธุรกิจเอสเอ็มอีคงเลือกชะลอแผนไปก่อน หรือเน้นลงทุนในกิจกรรมที่เกี่ยวกับแผงโซลาร์เซลล์ (Solar Panel), การประหยัดพลังงาน หรือรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) ที่เห็นความคุ้มค่าค่อนข้างชัดเจนในระยะสั้น

นายบุรินทร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อรับมือกับทิศทางเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังที่มีความไม่แน่นอนมากขึ้น ภาครัฐควรเน้นการใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถเน้นมาตรการระยะสั้นที่ยังมีความจำเป็น แต่ต้องให้ความสำคัญเพิ่มขึ้นกับมาตรการระยะยาวเพื่อปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยด้วย ส่วนมาตรการเยียวยาเฉพาะหน้า เพื่อลดแรงกระแทกให้กับผู้ผลิตที่ได้รับผลกระทบเรื่องภาษีสหรัฐฯ คงต้องมุ่งสนับสนุนสินค้าที่ใช้วัตถุดิบหรือผลิตในประเทศ รวมทั้งเร่งพลิกฟื้นความเชื่อมั่นนักท่องเที่ยวและกระตุ้นตลาดนักท่องเที่ยวหลัก ขณะที่ คำแนะนำสำหรับธุรกิจ คือ การรักษากระแสเงินสด เพื่อรองรับความไม่แน่นอนที่ยังอยู่ในระดับสูง

Advertisement

นายกฯ เร่งเครื่องปราบธุรกิจผิด กม. สร้างกติกาเป็นธรรม

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 10 มิถุนายน 2568 นายกฯ ระบุปัญหาธุรกิจต่างชาติฝ่าฝืนกฎหมายส่งผลกระทบโดยตรงกับคนไทย ลั่นไม่ใช่แค่ “จับผิด” หรือ “ปราบ” อย่างเดียว แต่คือการสร้างกติกาที่เป็นธรรมให้ทุกคน พร้อมเร่งดำเนินการ 5 ประเด็นสำคัญ

นางสาว แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านโซเชียลมีเดีย ภายหลังเป็นประธานการประชุมติดตามมาตรการป้องกันปราบปรามธุรกิจผิดกฎหมาย ว่า ต้องเรียนตามตรงค่ะว่าปัญหาธุรกิจต่างชาติฝ่าฝืนกฎหมายไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นเรื่องที่สะสมมายาวนาน และส่งผลกระทบโดยตรงกับคนไทย ทั้งในฐานะผู้บริโภค ผู้ประกอบการที่ทำถูกต้อง

เรื่องนี้ไม่ใช่แค่ “จับผิด” หรือ “ปราบ” อย่างเดียว แต่คือการสร้างกติกาที่เป็นธรรมให้กับทุกคน

วันนี้ดิฉันได้เรียกประชุมเพื่อติดตามความคืบหน้าในการจัดการธุรกิจเหล่านี้ โดยเฉพาะกรณี ‘การสวมสิทธิ์สินค้าไทย’ และ ‘การลักลอบนำเข้าสินค้าผิดกฎหมาย’ ที่ต้องเร่งจัดการอย่างจริงจัง

โดยมี 5 ประเด็นที่เรากำลังเร่งดำเนินการ มีดังนี้ 1. จัดการ บริษัทนอมินี ที่ใช้คนไทยบังหน้า แต่ต่างชาติเป็นผู้ควบคุมจริง 2. ตรวจเข้ม มาตรฐานสินค้า เพราะประชาชนไม่ควรต้องเสี่ยงกับสินค้าที่ไม่ได้คุณภาพ 3. แก้ปัญหา การสวมสิทธิ์สินค้าไทย เพราะแบรนด์ไทยต้องไม่ถูกฉวยโอกาส 4. ตรวจสอบ โรงงานต่างชาติที่ฝ่าฝืนกฎหมายในนิคมอุตสาหกรรม 5. ปราบปรามการ ถ่ายลำสินค้า ช่องโหว่สำคัญของการลักลอบนำเข้าหนีภาษี

นายกรัฐมนตรี ยังระบุว่า ผลการดำเนินงานล่าสุด การแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย โดยเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างกระทรวงพาณิชย์ และ กระทรวงมหาดไทย

-เก็บภาษี VAT จากสินค้านำเข้าราคาต่ำกว่า 1,500 บาท ได้แล้ว 1.87 ล้านบาท (ก.ค. 67 – พ.ค. 68)

-ดำเนินคดีสินค้าไม่ได้มาตรฐานไปแล้วกว่า 57,739 คดี มูลค่าความเสียหายรวมกว่า 2,287 ล้านบาท (ข้อมูล ก.ย. 67-พ.ค. 68)

-ตรวจสอบสินค้าบนแพลตฟอร์มออนไลน์ ในมาตรการ Notice & Takedown กว่า 38,473 รายการ แจ้งเตือน 15,256 รายการ/เว็บไซต์ โดยได้ดำเนินการถอดสินค้าที่ผิดกฎหมายออกไปแล้วกว่า 14,967 รายการ/เว็บไซต์

นอกจากนี้ ยังมีความคืบหน้าในการทำงานร่วมกับแพลตฟอร์มออนไลน์ในการ ปิดช่องโหว่ทางการค้า อย่างเป็นระบบ

“ดิฉันขอย้ำว่า เราไม่ได้ทำสิ่งเหล่านี้เพราะอยากปราบใครเป็นรายๆ แต่เพราะเราเชื่อว่า ประเทศไทยควรมีระบบเศรษฐกิจที่โปร่งใส แข่งขันได้ และให้ความเป็นธรรมกับคนไทยทุกคน ขอบคุณทุกหน่วยงานที่ร่วมมือกัน และดิฉันจะติดตามความคืบหน้านี้อย่างใกล้ชิดต่อไป”

Advertisement

Verified by ExactMetrics