วันที่ 15 มิถุนายน 2025

“เที่ยวคนละครึ่ง” มาแน่! “สรวงศ์” จ่อชง ครม. ก่อนเริ่มใช้ 1 ก.ค.

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 30 พฤษภาคม 2568 “สรวงศ์” เผย โครงการเที่ยวคนละครึ่งเตรียมเสนอเข้าที่ประชุม ครม.เร็ว ๆ นี้ ก่อนเริ่มใช้ 1 ก.ค.68 ขณะที่นายกฯ กำชับให้ดูแลภาพลักษณ์ ความปลอดภัย และความสะอาดให้กับนักท่องเที่ยว

นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา แถลงภายหลังร่วมประชุมติดตามสถานการณ์การท่องเที่ยวไทย ครั้งที่ 2/2568 ที่มีนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม ว่า ได้รายงานความคืบหน้าของทุกกระทรวง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ที่ต้องทำงานบูรณาการร่วมกัน เพราะมีเรื่องของภาพลักษณ์ ความปลอดภัย ความสะอาด ความสะดวกสบาย ให้กับนักท่องเที่ยว ซึ่งขณะนี้เข้าสู่ช่วงโลซีซั่น โดยนายกรัฐมนตรี ได้มอบนโยบายในหลายด้าน ทั้ง การทำให้นักท่องเที่ยวมีความสะดวกสบายมากขึ้น รวมถึงความปลอดภัย และมีงบที่จะใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท มาช่วยสร้างความเชื่อมั่น รวมถึงได้รายงานตัวเลขนักท่องเที่ยวที่มีจำนวนลดลง แต่รายได้เข้าประเทศยังสูงขึ้น ประกอบกับนักท่องเที่ยวที่มาจากทางไกล ทั้ง ตลาดยุโรป ตลาดอเมริกา เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

นายสรวงศ์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ยังได้ติดตามงานของเมืองหลัก และเมืองรอง ที่ของบกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้ขอไป ทั้งโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง หรือ การนำตลาดจีนกลับมาพร้อมกับตลาดที่มีคุณภาพมากขึ้น ซึ่งโครงการเที่ยวคนละครึ่ง จะนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในเร็ว ๆ นี้ ในเรื่องงบกระตุ้นเศรษฐกิจรอบแรก และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ได้ทำแพลตฟอร์มที่จะให้ผู้ประกอบการ และคนไทยทุกคนที่สนใจได้ลงทะเบียนควบคู่กันไป น่าจะใช้ได้ในวันที่ 1 กรกฎาคมนี้

ด้านนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ 2 – 3 ประเด็น ว่า ในครึ่งปีหลังจากนี้ไป นักท่องเที่ยวในประเทศ ทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติ ไม่ว่าจะเดินทางไปจุดใดของประเทศไทย ต้องมีความปลอดภัย ต้องเตรียมความพร้อมในเรื่องของความสะอาด ทั้ง สุขา ที่จอดรถ การอำนวยความสะดวก ระบบความปลอดภัยใหม่ใหม่สมัยใหม่ เช่น ระบบ AI ซึ่งตำรวจท่องเที่ยว หรือตำรวจท้องที่ และหน่วยงานอื่น ๆ จะประสานบูรณาการกัน เพื่อดูแลนักท่องเที่ยวในทุกจุด จะต้องดูและเรื่องความสะอาด เพราะได้รับการร้องเรียนมา ว่า มีหลายจุดไม่ได้ดำเนินการแก้ไขปรับปรุง เนื่องจากคนไปเที่ยวมีหลากหลายวัย นายกรัฐมนตรีจึงกำชับว่า แม้นักท่องเที่ยวจะลดลง แต่รายได้ยังสูงขึ้น ดังนั้น ครึ่งปีหลังจะมีกิจกรรมที่หลากหลาย

Advertisement

ย้ำไทยเป็นจุดหมายนักท่องเที่ยวทั่วโลกตลอดปี

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 19 พฤษภาคม 2568 รัฐบาลขอบคุณนักท่องเที่ยวกลุ่มไฮเอนด์สุดคึกคักสี่เดือนครึ่งตลาดโต รายได้ทะลุกว่า 6 แสนล้านบาท ย้ำไทยเป็นจุดหมายนักท่องเที่ยวทั่วโลกตลอดปี

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลเร่งผลักดันการดึงดูดนักท่องเที่ยวจากตลาดที่มีแนวโน้มเติบโตสูงและเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพ โดยเฉพาะตลาดนักท่องเที่ยวที่มีการเดินทางไกล พบว่ามีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง อาทิ นักท่องเที่ยวจาก ยุโรป รัสเซีย รัฐบาลจึงเร่งเดินหน้าเร่งขยายตลาดกลุ่มเป้าหมายนักท่องเที่ยวคุณภาพซึ่งมีการใช้จ่ายสูง อาทิ กลุ่ม Health & Wellness กลุ่มท่องเที่ยวทางเรือ Yacht กลุ่ม Sport and Entertainment เพื่อยกระดับคุณภาพของรายได้จากการท่องเที่ยว และฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน

“สถานการณ์ท่องเที่ยวล่าสุดของประเทศไทย (ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 14 พฤษภาคม 2568) เทียบช่วงเดียวกันของปี 2567 พบว่า ไทยมีรายได้รวมจากการท่องเที่ยวสะสม 1.034 ล้านล้านบาท (เพิ่มขึ้น 2.73%) โดยแบ่งออกเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวน 13.12 ล้านคน สร้างรายได้ 621,069 ล้านบาท (รายได้เพิ่มขึ้น 3.13%) และนักท่องเที่ยวชาวไทย ท่องเที่ยวภายในประเทศรวม 76.95 ล้านคน สร้างรายได้ 413,877 ล้านบาท (รายได้เพิ่มขึ้น 2.15%)”

ทั้งนี้ นักท่องเที่ยว ที่เดินทางมาไกลเพิ่มขึ้นเกือบทุกกลุ่ม โดยมีจำนวนนักท่องเที่ยว 5.02 ล้านคน (เพิ่มขึ้น 17.28%) จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะเดียวกัน รายได้จากตลาดกลุ่มนี้ สามารถ สร้างรายได้ 3.19 แสนล้านบาท (เพิ่มขึ้น 20.43%) จากปีก่อน“ นางสาว ศศิกานต์ ระบุ

“รัฐบาลเร่งเพิ่มขีดความสามารถด้านการคมนาคม เพื่อยกระดับการเชื่อมโยงระหว่างประเทศ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ทั้งนี้ การเติบโตของตลาดระยะไกลชี้ให้เห็นถึงความสามารถในการฟื้นตัวของประเทศไทย และขอยืนยันถึงความพร้อมของประเทศไทยในการต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ด้วยความเชื่อมั่นในคุณภาพบริการ ความปลอดภัย และศักยภาพของคนไทยทุกภาคส่วน ที่จะร่วมมือกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจท่องเที่ยวให้เติบโตอย่างมั่นคง ยั่งยืน และเป็นพลังสำคัญของประเทศต่อไป“ นางสาวศศิกานต์ กล่าว

Advertisement

สินค้าเกษตรไทยในตลาดโลก สร้างรายได้ต่อเนื่อง

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 17 พฤษภาคม 2568 สินค้าเกษตรไทยยังได้รับความนิยม สามารถสร้างรายได้ต่อเนื่อง ส่งออกในตลาดโลกและอาเซียน ปี 2568 (ม.ค. – มี.ค.) มูลค่าการส่งออกพุ่งกว่าแสนล้านบาท

นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า สถานการณ์การค้าสินค้าเกษตรของไทยในตลาดโลก พบว่า ประเทศไทยยังคงสามารถรักษาศักยภาพทางการค้าและการส่งออกได้อย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2567 ที่ผ่านมา ไทยมีมูลค่าการค้าสินค้าเกษตรกับตลาดโลกสูงถึงกว่า2.5 ล้านบาท โดยแยกเป็น มูลค่าส่งออก จำนวน 1,801,548 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2566 จำนวน 137,822 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 8.28 สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการขยายตลาด และตอบสนองต่อความต้องการของตลาดโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนสถานการณ์การค้าสินค้าเกษตรของไทยในตลาดอาเซียน 9 ประเทศ ได้แก่ บรูไน อินโดนีเซีย กัมพูชา ลาว เมียนมา มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และเวียดนาม สินค้าเกษตรของไทยมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2567 ไทยมีมูลค่าส่งออกสินค้าเกษตรไปยังตลาดอาเซียนจำนวน 410,830 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ร้อยละ 3.60

สำหรับสินค้าส่งออกสำคัญ 5 อันดับแรก ของปี 2567 ได้แก่ 1.ข้าว มูลค่า 46,065 ล้านบาท 2.น้ำตาลที่ได้จากอ้อยหรือหัวบีตอื่น ๆ มูลค่า 38,211 ล้านบาท 3.น้ำ รวมถึงน้ำแร่และน้ำอัดลมที่เติมน้ำตาลหรือสารทำให้หวานอื่น ๆ หรือที่ปรุงกลิ่นรส มูลค่า 27,577 ล้านบาท 4.น้ำตาลดิบที่ได้จากอ้อยอื่น ๆ มูลค่า 22,434 ล้านบาท และ 5.เครื่องดื่มอื่น ๆ ที่ไม่มีแอลกอฮอล์ มูลค่า 19,022 ล้านบาท ส่วนตลาดส่งออกสินค้าเกษตรที่สำคัญของไทย 3 อันดับแรก ได้แก่ 1.มาเลเซีย มีมูลค่าการส่งออก 77,321 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 18.82 ของมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรในอาเซียน 2.อินโดนีเซีย มีมูลค่าการส่งออก 68,428 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 16.66 ของมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรในอาเซียน และ 3.กัมพูชา มีมูลค่าการส่งออก 62,826 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 15.29 ของมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรในอาเซียน

นายอนุกูล กล่าวต่อว่า สำหรับในช่วงเดือนมกราคม – มีนาคม 2568 สถานการณ์การค้าสินค้าเกษตร และยางพาราธรรมชาติของไทยในตลาดอาเซียน มีมูลค่าการค้ารวมเท่ากับ 160,067 ล้านบาท จำแนกเป็น มูลค่าส่งออก 100,491 ล้านบาท มูลค่านำเข้า 59,576 ล้านบาท ไทยยังคงเป็นฝ่ายได้เปรียบดุลการค้า 40,915 ล้านบาท โดยสินค้าส่งออกสำคัญ 5 อันดับแรก ได้แก่ 1.น้ำตาลดิบที่ได้จากอ้อยอื่น ๆ มูลค่า 11,656 ล้านบาท 2.น้ำตาลที่ได้จากอ้อยหรือหัวบีตอื่น ๆ มูลค่า 9,910 ล้านบาท 3.น้ำ รวมถึงน้ำแร่และน้ำอัดลมที่เติมน้ำตาลหรือสารทำให้หวานอื่น ๆ หรือที่ปรุงกลิ่นรส มูลค่า 6,355 ล้านบาท 4.เครื่องดื่มอื่น ๆ ที่ไม่มีแอลกอฮอล์ มูลค่า 4,785 ล้านบาท และ 5.อาหารปรุงแต่งอื่น ๆ มูลค่า 4,309 ล้านบาท

นอกจากนี้ ตลาดส่งออกสินค้าเกษตรที่สำคัญของไทย 3 อันดับแรก ได้แก่ 1.มาเลเซีย มีมูลค่าการส่งออก 17,442 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 17.34 ของมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรในอาเซียน 2.อินโดนีเซีย มีมูลค่าการส่งออก 16,435 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 16.35 ของมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรในอาเซียน และ 3.กัมพูชา มีมูลค่าการส่งออก 16,237 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 16.16 ของมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรในอาเซียน

“ภาพรวมทั้งหมดแสดงให้เห็นว่า ไทยยังคงรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดเกษตรโลก โดยเฉพาะในตลาดอาเซียนซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจการเกษตรของประเทศ ทั้งในแง่ของมูลค่าการส่งออก ความหลากหลายของสินค้า และการได้เปรียบดุลการค้า ซึ่งจะเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการพัฒนาและผลักดันภาคเกษตรของไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต” นายอนุกูล กล่าว

Advertisement

นายกฯ ชวนอุดหนุนผลไม้ไทย เล็งจัด Thai Fruits Festival

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 14 พฤษภาคม 2568 “นายกฯ แพทองธาร” ชวนประชาชนอุดหนุนผลไม้ไทย เตรียมจัดกิจกรรม Thai Fruits Festival กระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ เร่งเจรจา FTA ดันการส่งออกนำผลไม้ไทยร่วมงานแสดงสินค้านานาชาติ ขยายตลาดสร้างโอกาสให้เกษตรกร

น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โพสต์คลิปวิดีโอผ่าน TikTok ชื่อบัญชี ingshin21 เชิญชวนประชาชนอุดหนุนและรับประทานผลไม้ไทย โดยกล่าวว่า “เป็นคลิปแรกที่มาอยากมาขายของเป็นแม่ค้าหนึ่งวัน ผลไม้ไทยมีเยอะมากที่อร่อย พร้อมนำผลไม้ที่จัดใส่จาน ทั้ง มังคุด เงาะ ทุเรียน รวมถึงข้าวเหนียวมะม่วง แล้วจะมาเชิญชวนให้ พี่น้องคนไทยทุกคนให้ทานผลไม้ไทย และสองปีที่แล้ว ข้าวเหนียวมะม่วงของเราดังไปทั่วโลก ซึ่งมะม่วงของเราอร่อยจริงๆ ไปเจอที่เมืองนอกแพง แต่ที่เมืองไทยราคาดี เพราะฉะนั้นอดอุดหนุนผลไม้ไทยกันหน่อยนะคะ อร่อยด้วยราคาดีด้วย ไม่อย่างนั้นเวลาไปอยู่เมืองนอกนานๆ ซื้อที่เมืองนอกแพง ตอนนี้เมืองไทย มะม่วงราคาดีมากผลไม้ทุกอย่างก็ราคาดี และอากาศปีนี้ดีทำให้ผลไม้ค่อนข้างหวาน หาซื้อได้ง่าย ดังนั้นขอให้อุดหนุนผลไม้ไทยกันเยอะๆ”

นอกจากนี้นายกรัฐมนตรียังระบุข้อความ ด้วยว่า “สวัสดีค่ะ ทุกคน หน้าผลไม้แล้วค่ะ ปีนี้ผลไม้ไทยผลผลิตเพิ่มขึ้นประมาณ 15% จากปีที่ผ่านมา เพราะจากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยในช่วงติดดอก เลยเป็นโอกาสสำคัญที่เราจะช่วยกันส่งเสริมผลไม้ไทย ให้เข้าถึงผู้บริโภคมากขึ้นค่ะ”

ปีนี้รัฐบาลเตรียมจัดกิจกรรม Thai Fruits Festival กระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ ผ่านกิจกรรมสร้างสรรค์ หลายอย่างค่ะ เช่น การประกวดเมนูอาหารจากผลไม้ ช่องทางการขายออนไลน์ การนำผลไม้ไทยไปใช้ในกิจกรรมเพื่อสังคม รวมถึงการสนับสนุนการแปรรูปอย่างมีคุณภาพ

ในต่างประเทศ เราก็เร่งเจรจา FTA เพื่อผลักดันการส่งออก พร้อมนำผลไม้ไทยไปร่วมงานแสดงสินค้านานาชาติ ขยายตลาดและสร้างโอกาสให้เกษตรกร ผลไม้ไทยมีคุณภาพดี มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ และมีศักยภาพที่จะเติบโตได้อีกมาก หากเราได้ร่วมมือกันสนับสนุน ขอเชิญชวนทุกท่านนะคะ ร่วมกันอุดหนุนผลไม้ไทยในฤดูกาลนี้ เป็นอีกหนึ่งวิธีง่าย ๆ ที่เราทุกคนสามารถช่วยกันสนับสนุนเกษตรกรไทยได้ค่ะ

Advertisement

 

รัฐบาลเดินหน้าจับหนัก “ทัวร์เถื่อน-ไกด์เถื่อน” ทั่วประเทศ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 10 พฤษภาคม 2568 รัฐบาลเดินหน้าจับหนัก “ทัวร์เถื่อน-ไกด์เถื่อน” ทั่วประเทศ ย้ำโทษหนัก ปรับสูงสุด 5 แสน จำคุก 2 ปี พร้อมตั้งศูนย์เฉพาะกิจลุยตรวจเข้มทุกพื้นที่

วันนี้ (10 พฤษภาคม 2568) นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลโดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ร่วมกับ 5 หน่วยงานหลัก ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กรมสอบสวนคดีพิเศษ กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ได้จัดตั้ง “ศูนย์ปฏิบัติการร่วมแก้ไขปัญหาการประกอบธุรกิจท่องเที่ยวที่ใช้คนไทยเป็นตัวแทนอำพราง” (ศปต.) เพื่อเร่งแก้ไขปัญหาทัวร์นอมินีและมัคคุเทศก์เถื่อนอย่างจริงจัง โดยเน้นการตรวจสอบบริษัทนำเที่ยวและการปฏิบัติหน้าที่ของมัคคุเทศก์ในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญทั่วประเทศ พร้อมบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด เพื่อยกระดับมาตรฐานและความปลอดภัยของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย โดยตั้งแต่เดือนตุลาคม 2567 ถึงมีนาคม 2568 ได้มีการสุ่มตรวจสถานประกอบการของบริษัทนำเที่ยวจำนวน 940 ราย และมัคคุเทศก์ 338 ราย พบการกระทำความผิดของบริษัทนำเที่ยว ได้แก่ การประกอบธุรกิจนำเที่ยวโดยไม่ได้รับอนุญาต การไม่แสดงใบอนุญาต และการไม่ทำประกันให้นักท่องเที่ยว ส่วนความผิดของมัคคุเทศก์ ได้แก่ การปฏิบัติหน้าที่โดยไม่มีใบอนุญาต และการไม่แสดงใบสั่งงาน ทั้งนี้ ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวที่ไม่มีใบอนุญาตจะมีโทษปรับไม่เกิน 500,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนผู้ปฏิบัติหน้าที่มัคคุเทศก์โดยไม่มีใบอนุญาตจะมีโทษปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยในการโฆษณาขายทัวร์ไม่ว่าช่องทางใด ต้องแสดงเลขที่ใบอนุญาต ชื่อ และที่ตั้งให้นักท่องเที่ยวทราบ และต้องใช้มัคคุเทศก์ที่มีใบอนุญาตถูกต้องเท่านั้น

“รัฐบาลขอยืนยันความมุ่งมั่นในการยกระดับมาตรฐานการท่องเที่ยวไทย เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยการดำเนินการอย่างเข้มงวดและต่อเนื่องในการปราบปรามทัวร์เถื่อนและมัคคุเทศก์เถื่อน ถือเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน และรักษาภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทยในเวทีโลก จึงขอความร่วมมือประชาชน หากพบเบาะแสเกี่ยวกับบริษัทนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ที่กระทำผิด สามารถแจ้งผ่านช่องทางเฟซบุ๊กเพจกรมการท่องเที่ยว หรืออีเมล tgtcenter@tourism.go.th และ DOT-TGIS@tourism.go.th” นางสาวศศิกานต์ ระบุ

Advertisement

รองโฆษกรัฐบาล เผยประชาชนชื่นชมนโยบายลดราคาค่าไฟ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 8 พฤษภาคม 2568 รองโฆษกรัฐบาล เผยประชาชนชื่นชมนโยบายลดราคาค่าไฟ ด้าน “พีระพันธุ์” เดินหน้าปฏิรูปพลังงานสร้างเสถียรภาพระยะยาว

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาล ภายใต้การนำของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ขอขอบคุณเสียงตอบรับจากประชาชนทั่วประเทศที่ชื่นชมนโยบายลดค่าไฟฟ้า ซึ่งเกิดจากการทำงานอย่างบูรณาการของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ที่สามารถผลักดันให้ค่าไฟฟ้าในรอบเดือนพฤษภาคม – สิงหาคม 2568 ลดลงเหลือเพียง 3.98 บาทต่อหน่วย ต่ำกว่าที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เคยกำหนดไว้ที่ 4.15 บาทต่อหน่วย

โดยผลสำเร็จครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจจริงของรัฐบาลในการบรรเทาภาระค่าครองชีพให้แก่ประชาชน โดยไม่ต้องใช้งบประมาณแผ่นดินแม้แต่บาทเดียว อันเป็นผลจากการปรับโครงสร้างค่าไฟฟ้าเชิงระบบ เช่น การลดค่า Ft การทบทวนสัญญารับซื้อไฟฟ้า (PPA) ที่สร้างภาระให้รัฐเกินความจำเป็น ตลอดจนการเจรจาปรับลดอัตรารับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในอัตราที่เหมาะสมกับต้นทุนปัจจุบัน

นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ยังเห็นชอบกำหนดเพดานค่าไฟในช่วงปลายปี 2568 ไม่เกิน 3.99 บาทต่อหน่วย พร้อมมอบหมายให้ กกพ. กฟผ. บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง วางแผนการดำเนินงานต่อไปโดยไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชนและเศรษฐกิจภาพรวม ทั้งยังสนับสนุนการเร่งปฏิรูปกฎหมายพลังงานและโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติ เพื่อลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้าอย่างยั่งยืน

“รัฐบาลขอยืนยันเจตนารมณ์ในการเดินหน้าปฏิรูปพลังงานอย่างต่อเนื่อง ด้วยความมุ่งมั่นที่จะสร้างระบบพลังงานที่เป็นธรรม โปร่งใส และยั่งยืน เพื่อให้คนไทยทุกคนสามารถเข้าถึงพลังงานในราคาที่เหมาะสม และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในระยะยาว” นางสาวศศิกานต์ กล่าว

Advertisement

“คุณสู้เราช่วย” ยังทัน!! รัฐบาลขยายเวลา ลงทะเบียนได้ถึงสิ้นเดือนมิถุนายนนี้

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 2 พฤษภาคม 2568 “คุณสู้เราช่วย” ร่วมโครงการยังทัน รัฐบาลขยายเวลาช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อย – SMEs ต่อเนื่องลงทะเบียนได้ถึงสิ้นเดือนมิถุนายนนี้

วันนี้ (2 พฤษภาคม 2568) นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินเฉพาะกิจ และผู้ประกอบธุรกิจ Non-bank ได้ดำเนินมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยและผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ ผ่านโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ซึ่งเปิดให้ลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 12 ธันวาคม 2567

ล่าสุด ณ วันที่ 24 เมษายน 2568 มีผู้ลงทะเบียนแล้วรวม 1.6 ล้านบัญชี จากลูกหนี้ 1.3 ล้านราย โดยจากการตรวจสอบคุณสมบัติเมื่อวันที่ 15 เมษายน 2568 พบว่ามีผู้ผ่านเกณฑ์จำนวน 530,000 ราย หรือร้อยละ 27 ของกลุ่มลูกหนี้ที่มีคุณสมบัติรวม 1.9 ล้านราย คิดเป็นยอดหนี้รวม 385,000 ล้านบาท หรือร้อยละ 43 ของยอดหนี้ที่เข้าเกณฑ์ทั้งหมด 890,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ จากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ยังคงผันผวน ส่งผลให้ลูกหนี้กลุ่มเปราะบางจำนวนมากยังประสบปัญหาการชำระหนี้ เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีสิทธิ์ได้รับการช่วยเหลือ รัฐบาลโดยกระทรวงการคลัง สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ธปท. และสถาบันการเงินที่เกี่ยวข้อง จึงเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาลงทะเบียนโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” จากเดิมสิ้นสุดวันที่ 30 เมษายน 2568 ออกไปจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2568 เวลา 23.59 น.

“รัฐบาลยืนยันความมุ่งมั่นในการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยและผู้ประกอบการ SMEs ที่ยังเผชิญปัญหาทางการเงิน โดยเปิดโอกาสให้ผู้ที่ยังไม่ได้ลงทะเบียน สามารถสมัครเข้าร่วมโครงการได้ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2568 เวลา 23.59 น. ผู้สนใจสามารถศึกษารายละเอียดและลงทะเบียนได้ที่ https://www.bot.or.th/khunsoo หรือที่สาขาสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ BOT Contact Center โทร 1213” นางสาวศศิกานต์กล่าว

Advertisement

นายกฯ มอบนโยบายกองทุน SML เผยจุดเริ่มต้นมาจากรัฐบาลไทยรักไทยปี 2544 ก้าวสู่ปีที่ 24

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 21 เมษายน 2568 นายกฯ มอบนโยบายกองทุน SML เผยจุดเริ่มต้นมาจากรัฐบาลไทยรักไทยปี 2544 ก้าวสู่ปีที่ 24 ย้ำเสริมสร้างกองทุนให้เข้มแข็งด้วยชุมชน เล็งเพิ่มวงเงินหากทำดี ต่อยอดเศรษฐกิจจุดเล็กไปสู่ระดับประเทศ

วันนี้ (21 เมษายน 2568) เวลา 14.00 น. ณ อาคารอิมแพ็ค เอ็กซิบิชัน เซ็นเตอร์ ฮอลล์ 12 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็คเมืองทองธานี อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงานและมอบนโยบาย “ส่งตรงโอกาสถึงชุมชน โดยชุมชน เพื่อชุมชน” ภายใต้โครงการสนับสนุน เสริมสร้าง ศักยภาพกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองอย่างมั่นคง โดยมีนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และนายเบญจพล นาคประเสริฐ ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ เข้าร่วมด้วย

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีรับฟังการบรรยายพร้อมชมวีดิทัศน์ที่มาแนวคิดการจัดงาน โครงการ SML “ส่งตรงโอกาส ถึงชุมชน โดยชุมชนเพื่อชุมชน” ซึ่งรัฐบาล โดยสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ เปิดโครงการ “ส่งตรงโอกาสถึงชุมชน โดยชุมชน เพื่อชุมชน” ภายใต้โครงการสนับสนุน เสริมสร้างศักยภาพกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองอย่างมั่นคง ยกระดับเศรษฐกิจฐานรากอย่างยิ่งใหญ่ ซึ่งพัฒนาต่อยอดมาจากแนวคิดโครงการพัฒนาศักยภาพหมู่บ้านและชุมชน (SML) มุ่งเน้นการส่งเสริมการมีส่วนของประชาชนในการบริหารจัดการงบประมาณโดยชุมชน ครอบคลุมกองทุนหมู่บ้านทั่วประเทศกว่า 79,610 แห่ง เพื่อพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน

นายกรัฐมนตรีกล่าว มอบนโยบายโครงการ SML “ส่งตรงโอกาสถึงชุมชน โดยชุมชน เพื่อชุมชน” ภายใต้โครงการสนับสนุน เสริมสร้าง ศักยภาพกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองอย่างมั่นคง ว่าเป็นอีกวันสำคัญที่ได้มาร่วมกันยืนยันว่าประเทศไทยก้าวไปข้างหน้าได้อย่างเข้มแข็ง เพราะว่าถ้าชุมชนเข้มแข็ง ประเทศไทยจะเข้มแข็งไปด้วย ทั้งนี้ การทำให้ชุมชนต่าง ๆ เข้มแข็งมากขึ้นได้นั้น ก็คือการเปิดโอกาสให้พี่น้องประชาชนมีสิทธิ์ร่วมกันตัดสินใจเพื่อชุมชนของตัวเอง คือสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะรัฐบาลตั้งใจกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ซึ่งพี่น้องประชาชนในที่ต่าง ๆ จะรู้ปัญหาของตัวเองดีที่สุด รัฐบาลเป็นเพียงผู้สนับสนุนเท่านั้น การที่ประชาชนในแต่ละชุมชนมีโอกาสร่วมกันตัดสินใจร่วมกันทำประชาคมว่าสิ่งใดสำคัญที่สุดสำหรับชุมชนของตัวเองนั้น คือทางออกทางแก้ไขปัญหาที่ตรงจุด และเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการเห็น

“กองทุนหมู่บ้านเริ่มต้นเมื่อปี 2544 โดยรัฐบาลของพรรคไทยรักไทย ซึ่งปีนี้ก้าวเข้าสู่ปีที่ 24 แล้ว ได้เห็นบทบาทของกองทุนที่ช่วยกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจจากฐานรากสร้างโอกาสในเรื่องของอาชีพเพิ่มขึ้นให้กับพี่น้องประชาชน สามารถแก้ปัญหาหลัก ๆ ของประชาชนทั่วไปได้ ปัจจุบันมีกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองกว่า 79,610 แห่ง มีสมาชิกกว่า 13 ล้านคน และมีเงินทุนหมุนเวียนรวมกันกว่า 3 แสนล้านบาท ซึ่งในวันนี้มีโครงการสนับสนุนและเสริมสร้างศักยภาพกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองอย่างมั่นคง หรือ โครงการ SML” นายกรัฐมนตรี ระบุ

นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อว่า หัวใจของโครงการนี้ ไม่ใช่แค่การแจกเงินให้ชุมชน แต่สามารถมองเห็นว่าโครงการเล็ก ๆ มีผลต่อประชาชน ซึ่งสำคัญจริง ๆ โดยเริ่มจากการดูจำนวนของประชาชนในแต่ละหมู่บ้านก่อน เพื่อที่จะกำหนดงบประมาณในการช่วยเหลือ โดยกำหนดงบประมาณ 2 แสน 3 แสน และ 4 แสนบาท ซึ่งเงินเหล่านี้คนในหมู่บ้านสามารถรวมตัวทำประชาคม ร่วมกันโหวตว่าต้องการโครงการใด โครงการไหนหรือนโยบายใดที่จะพัฒนาชุมชนได้จริง ๆ อาทิ การทำให้น้ำสะอาดพร้อมบริโภค การติดตั้งกล้อง CCTV เพื่อพัฒนาความเป็นอยู่ความปลอดภัยของชุมชน ถือว่าเป็นสิ่งที่คนในหมู่บ้านต้องมารวมตัวกันทำประชาคมแล้วก็เลือกว่าอะไรที่ดีที่สุดสำหรับชุมชนของตน ถือเป็นการตอบโจทย์เรื่องการขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ เป็นโอกาสให้ชุมชนเล็ก ๆ ได้ช่วยกันผลักดันเศรษฐกิจในจุดเล็ก ๆ เพิ่มขึ้น จนกลายเป็นจุดที่ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงระดับประเทศ

“หวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุก ๆ ชุมชนจะสามารถหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับชุมชนของตัวเองได้อย่างดี และมั่นคงต่อไป รัฐบาลพร้อมที่จะส่งตรงโอกาสถึงชุมชนโดยชุมชนเพื่อชุมชน แน่นอนว่านี่ก็คือจุดเริ่มต้นอีกครั้งที่จะทำให้ชุมชนแต่ละที่แข็งแรงยิ่งขึ้น และก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงพร้อม ๆ กัน โอกาสนี้ ขอบคุณทีมงานที่ร่วมกันทำโครงการดี ๆ แบบนี้มาตั้งแต่ระยะเริ่มต้นจนวันนี้ได้กลับมาทำ SML กันอีกครั้ง ขอให้มั่นใจว่ารัฐบาลก็จะเป็นผู้สนับสนุนที่ดีให้กับประชาชนทุกคน เพื่อที่จะได้มีฐานะมีความกินดีอยู่ดีมีอาชีพ จนสามารถดูแลครอบครัวของตนเองได้ดียิ่งขึ้นต่อไปอย่างมั่นคง” นายกรัฐมนตรี กล่าว

Advertisement

เริ่ม 1 พ.ค.นี้ นทท.ต่างชาติเดินทางเข้าไทย ต้องลงทะเบียนบัตรตม.6 แบบดิจิทัล หรือ TDAC

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 19 เมษายน 2568 เริ่ม 1 พ.ค.นี้ นทท.ชาวต่างชาติเดินทางเข้าไทย ต้องลงทะเบียนบัตรตม.6 แบบดิจิทัล หรือ TDAC ล่วงหน้า อย่างน้อย 3 วันก่อนเดินทาง ตามกฎใหม่ ตม.

วันนี้ (19 เมษายน 2568) นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า  สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเตรียมเปิดบริการระบบแบบรายการของคนต่างด้าวซึ่งเดินทางเข้ามาในหรือออกไปนอกราชอาณาจักรไทย ในรูปแบบดิจิทัล (ตม.6) หรือ Thailand Digital Arrival Card (TDAC) สำหรับให้คนต่างด้าวทุกรายต้องลงทะเบียนเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทย โดยระบบดังกล่าว กำหนดให้ชาวต่างด้าวที่เดินทางเข้ามาประเทศไทยทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นทางบก ทางเรือ ทางอากาศ ต้องลงทะเบียนผ่านระบบออนไลน์ ที่เว็บไซต์ http://tdac.immigation.go.th/  และในอนาคตจะมีบริการในรูปแบบแอปพลิเคชัน

นายอนุกูล กล่าวต่อว่า  ชาวต่างชาติสามารถกรอกข้อมูล TDAC ได้ล่วงหน้า 3 วันก่อนจะเดินทางเข้าประเทศไทย โดยจะต้องกรอกข้อมูลเอกสารเดินทาง หนังสือเดินทาง ข้อมูลส่วนบุคคล ข้อมูลการเดินทาง ที่พักในประเทศไทย สถานะทางสุขภาพตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ทั้งนี้ TDAC ไม่ใช่วีซ่า แต่เป็นระบบบัตรขาเข้าออนไลน์ ที่พัฒนาขึ้น เพื่ออำนวยความสะดวกและสอดคล้องกับกฎระเบียบและความจำเป็นในหลายประเทศ

สำหรับวิธีการลงทะเบียน TDAC สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทย มีดังนี้ 1. เข้าไปที่ tdac.immigration.go.th หรือสแกน QR code  2.กรอกข้อมูลส่วนตัวและข้อมูลการเดินทาง 3. ส่งแบบฟอร์มและรับอีเมลยืนยัน 4. นำเอกสารยืนยันและเอกสารการเดินทางไปแสดงต่อเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองเมื่อเดินทางถึงประเทศไทย

“ทั้งนี้ เว็บไซต์ tdac.immigration ยังอำนวยความสะดวกให้ชาวต่างชาติ โดยจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ใน 5 ภาษา ได้แก่ อังกฤษ จีน เกาหลี รัสเซีย และญี่ปุ่น พร้อมแผ่นพับและคลิปวิดีโอแนะนำการใช้งาน TDAC นอกจากนี้ สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองยังได้บูรณาการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ระบบ E-Visa ของกรมการกงสุล  ระบบคัดกรองโรคของกรมควบคุมโรค และระบบจัดเก็บค่าธรรมเนียมนักท่องเที่ยวของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เพื่อให้การเดินทางเข้าประเทศไทยเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น” นายอนุกูล กล่าว

Advertisement

ข่าวดี! รัฐบาลขยายเวลาโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ถึงสิ้นเดือนเมษายนนี้ พร้อมเปิดรับเพิ่มผู้ร่วมโครงการ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 18 เมษายน 2568 ด่วน รัฐบาลขยายเวลาโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ถึงสิ้นเดือนเมษายนนี้ พร้อมเปิดรับเพิ่มผู้ร่วมโครงการ

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ซึ่งเป็นนโยบายของรัฐบาลที่ให้ความช่วยเหลือแก่ลูกหนี้รายย่อยและผู้ประกอบการ SMEs ยังคงได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่อง โดยมีลูกหนี้ทยอยสมัครเข้าร่วมโครงการจำนวนมาก

ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงความช่วยเหลือได้มากยิ่งขึ้นจึงได้ขยายระยะเวลาการลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ออกไปจนถึงวันที่ 30 เมษายน 2568 จากเดิมที่กำหนดสิ้นสุดในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568

ที่ผ่านมา ธปท. ได้ร่วมมือกับกระทรวงการคลัง ธนาคารออมสิน และผู้ประกอบธุรกิจนอนแบงก์ที่อยู่นอกกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ในการสนับสนุนมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยอย่างต่อเนื่อง  ล่าสุด ได้มีการขยายความร่วมมือเพิ่มเติมกับ 2 ผู้ให้บริการสินเชื่อนอนแบงก์ ได้แก่ บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) และ บริษัท อิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ซึ่งทั้ง 2 แห่งจะเข้าร่วมสนับสนุนเม็ดเงินในโครงการด้วย

โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ประกอบด้วย 2 มาตรการสำคัญ ได้แก่

1.มาตรการ “ลดผ่อน ลดดอก” สำหรับลูกหนี้รายย่อยที่มีสินเชื่อแบบผ่อนชำระ (installment loan) โดยจะได้รับการลดภาระค่างวดและดอกเบี้ย เป็นระยะเวลา 3 ปี

2.มาตรการ “จ่าย ปิด จบ” สำหรับลูกหนี้รายย่อยที่เป็นหนี้เสีย (สถานะ NPL) และมียอดหนี้คงค้างไม่เกิน 5,000 บาท โดยจะมีการปรับโครงสร้างหนี้แบบผ่อนปรน เปิดโอกาสให้ลูกหนี้ชำระหนี้บางส่วนเพื่อปิดบัญชีได้เร็วขึ้น และเริ่มต้นชีวิตทางการเงินใหม่ได้

ผู้ที่สนใจสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมและสมัครเข้าร่วมมาตรการได้ที่เว็บไซต์ https://www.bot.or.th/khunsoo จนถึงวันที่ 30 เมษายน 2568 เวลา 23.59 น. หรือสามารถติดต่อที่สาขาของนอนแบงก์ที่เข้าร่วมโครงการ รวมถึงสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ BOT Contact Center โทร. 1213 หรือ Call Center ของผู้ให้บริการนอนแบงก์ที่เข้าร่วมมาตรการ

“รัฐบาลมุ่งมั่นในการดูแลและยืนหยัดเคียงข้างประชาชน โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากสถานการณ์ที่ผ่านมา โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญในการสร้างโอกาสให้ประชาชนสามารถก้าวผ่านวิกฤต และเริ่มต้นใหม่อย่างมั่นคงและยั่งยืน” นางสาวศศิกานต์ กล่าว

Advertisement

Verified by ExactMetrics