วันที่ 3 พฤษภาคม 2024

“อนุทิน”เปิดตัวคู่มือการตรวจวิเคราะห์กัญชาทางการแพทย์

People Unity News : รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์เร่งสร้างนวัตกรรมทางการแพทย์ ช่วยแก้ไขปัญหาสาธารณสุข และพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ คนไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดี พร้อมเปิดตัวคู่มือการตรวจวิเคราะห์กัญชาทางการแพทย์ และมาตรฐานการตรวจหาปริมาณสารสำคัญทั้งในวัตถุดิบ สารสกัดและผลิตภัณฑ์จากกัญชา เพื่อใช้เป็นมาตรฐานของประเทศ

วันที่ 28 ต.ค.2562 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และคณะ ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดยมี นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ คณะผู้บริหารส่วนกลางและศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ ให้การต้อนรับ หลังจากนั้น นายอนุทิน (รมว.สธ.) ได้เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ นิทรรศการผลงานและกิจกรรมสำคัญ ได้แก่ โครงการเฉลิมพระเกียรติฯ, กัญชาเสรีทางการแพทย์ การแพทย์แม่นยำ (Genomics Thailand) อสม.วิทยาศาสตร์การแพทย์ชุมชน, การพัฒนาและสนับสนุนผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์สินค้า OTOP และ SME, การพัฒนานวัตกรรมชุดทดสอบและผลิตภัณฑ์สมุนไพร และการคัดกรองทารกแรกเกิด

นายอนุทิน กล่าวว่า กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์เป็นหน่วยงานที่มีนักวิจัยที่เก่งมีความรู้ความสามารถและมีความเป็นเลิศ ทางด้านห้องปฏิบัติการในระดับประเทศและภูมิภาคอาเซียน มีการศึกษา วิเคราะห์ วิจัย และการตรวจชันสูตรด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ พัฒนาองค์ความรู้และเทคโนโลยีด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ เพื่อสร้างเสริมสุขภาพที่ดีแก่ประชาชน การพัฒนาระบบการประกันคุณภาพห้องปฏิบัติการ ช่วยสนับสนุนการแก้ไขปัญหาสาธารณสุขของประเทศและการตรวจวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์สุขภาพ เพื่อประเมินความเสี่ยง แจ้งเตือนภัยสุขภาพและคุ้มครองความปลอดภัยให้กับประชาชน ซึ่งที่ผ่านมาได้ค้นคว้าวิจัยและพัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์ที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน อาทิ ชุดตรวจยีนแพ้ยา จำนวน 3 ชุด ได้แก่ ชุดตรวจยีน HLA-B*58:01 ก่อนให้ยาลดกรดยูริค อัลโลพูรินอล (Allopurinol), ชุดตรวจยีน HLA-B*57:01 ก่อนให้ยาต้านไวรัสเอชไอวี อะบาคาเวียร์ (Abacavir) และชุดตรวจยีน HLA-B*15:02 ก่อนให้ยากันชักคาร์บามาซีปีน (Carbamazepine) เพื่อป้องกันผื่นแพ้ยาชนิดรุนแรง ลดภาวะแพ้ยาในผู้ป่วยลมชักถึงร้อยละ 88 ช่วยประหยัดงบค่ารักษาพยาบาลจากอาการแพ้ยารุนแรงปีละกว่า 250 ล้านบาท ปัจจุบันได้เพิ่มสิทธิประโยชน์การตรวจยีน HLA ในผู้ป่วยโรคลมชัก ก่อนเริ่มยาคาร์บามาซีปีนใน 3 กองทุนหลัก ได้แก่ ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประกันสังคม และกรมบัญชีกลาง เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการที่จำเป็นมีคุณภาพและมาตรฐานยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมีชุดทดสอบตรวจความผิดปกติของยีนอัลฟ่าธาลัสซีเมีย 1(DMSc α-thal 1) เนื่องจากในแต่ละปีประเทศไทยมีมารดาที่เสี่ยงต่อการมีบุตรเป็นโรคธาลัสซีเมียกว่า 5 หมื่นคน และมีเด็กเกิดใหม่ป่วยเป็นโรคธาลัสซีเมีย 12,125 ราย รัฐบาลต้องสูญเสียงบประมาณในการรักษาผู้ป่วยปีละไม่น้อยกว่า 6,000 ล้านบาท

ดังนั้นการตรวจที่ให้ผลรวดเร็วถูกต้องแม่นยำ จะช่วยควบคุมและป้องกันโรคมีประสิทธิภาพและนำไปสู่การดูแลรักษาผู้ป่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี โดยชุดทดสอบนี้ได้รับการขึ้นบัญชีนวัตกรรมไทยและต่อยอดสู่การพัฒนานวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์ในการแปลผลการทดสอบ รวมทั้งได้ถ่ายทอดองค์ความรู้เทคโนโลยีการผลิตสู่ภาคเอกชน เพื่อจำหน่ายเชิงพาณิชย์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ และขณะนี้กำลังมีการพัฒนาชุดทดสอบกัญชาและพัฒนาชุดตรวจวัดปริมาณสาร THC สำหรับให้เจ้าหน้าที่หรือประชาชนนำไปใช้ตรวจสอบพืชกัญชาและผลิตภัณฑ์กัญชา ส่วนงานด้านคุ้มครองผู้บริโภคได้มีการแจ้งเตือนภัยสุขภาพ เช่น การพัฒนา อสม. ให้เป็น “อสม.วิทยาศาสตร์การแพทย์ชุมชน” สวมปลอกแขนเขียว และการจัดตั้งศูนย์เตือนภัยสุขภาพในหมู่บ้าน ตำบล เป็นอำเภอต้นแบบแจ้งเตือนภัยสุขภาพ

“ผมขอขอบคุณเจ้าหน้าที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ทุกท่านที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจช่วยกันสนับสนุนผลักดันนโยบายกระทรวงสารณสุขในเรื่องการพัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์ แก้ปัญหาสาธารณสุข และช่วยพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ คนไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดี การตรวจเฝ้าระวังสารเคมีปนเปื้อนในผักผลไม้และสนับสนุนให้ยกเลิกใช้ 3 สารเคมี ได้แก่ พาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต และเรื่องกัญชาเสรีทางการแพทย์ด้วยความมุ่งมั่นที่จะพัฒนางานกัญชาทางการแพทย์ เพื่อให้ประชาชนได้รับยาที่มีคุณภาพ ปลอดภัยและสามารถผลิตในประเทศได้ ทำให้เกิดความมั่นคงด้านยาและพัฒนาสายพันธุ์กัญชา กัญชง เพื่อนำมาเป็นพืชเศรษฐกิจต่อไปในอนาคต อีกทั้งขณะนี้ได้เปิดตัวคู่มือการตรวจวิเคราะห์กัญชาทางการแพทย์ และมาตรฐานการตรวจหาปริมาณสารสำคัญทั้งในวัตถุดิบ สารสกัดและผลิตภัณฑ์จากกัญชา เพื่อใช้เป็นมาตรฐานของประเทศ” นายอนุทิน กล่าว

โฆษณา

จัดสัมมนาบริการเพร็พเทิดพระเกียรติพระองค์เจ้าโสมสวลี

People Unity : กรมควบคุมโรค ร่วมกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และสภากาชาดไทย จัดสัมมนาเพื่อติดตามความคืบหน้าของการให้บริการเพร็พในประเทศไทย เพื่อเทิดพระเกียรติ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ เนื่องในโอกาสทรงดำรงตำแหน่ง UNAIDS Goodwill Ambassador for HIV Prevention for Asia and the Pacific ระหว่างวันที่ 28-29 ตุลาคม 2562 ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย

วันที่ 28 ต.ค.2562 ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย นายแพทย์ปรีชา เปรมปรี รองอธิบดีกรมควบคุมโรค เป็นประธานเปิดการสัมมนาเพื่อติดตามความคืบหน้าของการให้บริการเพร็พในประเทศไทย เพื่อเทิดพระเกียรติ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ ซึ่งประเทศไทยมีประสบการณ์และพัฒนาการต่อสู้กับปัญหาเอดส์มายาวนานกว่า 30 ปี ทำให้ได้รับการยกย่องจากนานาประเทศ ว่าสามารถลดการแพร่ระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้สถานการณ์การแพร่ระบาดมีแนวโน้มลดลงมาอย่างต่อเนื่อง

นายแพทย์ปรีชา กล่าวว่า เพื่อเป็นการสานต่อความสำเร็จของโครงการในพระดำริของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ ทูตสันถวไมตรีของโครงการโรคเอดส์แห่งสหประชาชาติในการป้องกันเอชไอวีในภูมิภาคเอเซียและแปซิฟิค ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มโครงการ “เพร็พพระองค์โสมฯ” ซึ่งประเทศไทยได้แสดงเจตนารมณ์อย่างมุ่งมั่นที่จะยุติปัญหาเอดส์ ภายในปี 2573 ซึ่งมีเป้าหมายหลัก 3 ประการ คือ ลดจำนวนผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ ปีละไม่เกิน 1,000 ราย ลดการเสียชีวิตในผู้ติดเชื้อเอชไอวีปีละไม่เกิน 4,000 ราย และลดการเลือกปฏิบัติอันเกี่ยวเนื่องจากเอชไอวีและเพศสภาวะลง ร้อยละ 90 โดยมุ่งเน้นเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินมาตรการที่สำคัญ คือ ขยายและจัดชุดบริการป้องกันแบบผสมผสาน พัฒนารูปแบบบริการใหม่ที่มีประสิทธิภาพ เช่น Pre-exposure prophylaxis (PrEP) หรือยาป้องกันก่อนการสัมผัสเชื้อเอชไอวีมาเสริมในชุดบริการ จัดระบบบริการให้กลุ่มเป้าหมายเข้าถึงบริการป้องกันและดูแลรักษา รวมทั้งเสริมสร้างทัศนคติเชิงบวกให้แก่สังคม ในการอยู่ร่วมกับผู้ติดเชื้อ

ในปี 2561-2562 กรมควบคุมโรค ได้เตรียมความพร้อมให้กับหน่วยบริการเพร็พทั่วประเทศ โดยดำเนินงาน ดังนี้ จัดทำแนวทางการจัดบริการยาป้องกันก่อนการสัมผัสเชื้อเอชไอวีในประชากรที่มีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี ประเทศไทย ปี 2561 รวมถึงพัฒนาศักยภาพหน่วยบริการให้ครอบคลุมทั่วประเทศ เตรียมระบบบริการ เชื่อมโยงระบบภายในโรงพยาบาล โดยการอบรมแพทย์ เภสัชกร พยาบาลวิชาชีพ ในการจัดบริการเพร็พ ให้กับประชากรกลุ่มเสี่ยง และสื่อสาร ประชาสัมพันธ์ สร้างความรู้ความเข้าใจ ให้กลุ่มผู้รับบริการทราบข้อมูลและหน่วยบริการที่จัดบริการเพร็พ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม

นายแพทย์ปรีชา กล่าวอีกว่า เพร็พ ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี ร่วมกับการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์ พร้อมเชิญชวนให้ประชาชนร่วมกันดูแลสุขภาพตนเองและคนใกล้ตัว เพื่อหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงที่อาจทำให้ติดเชื้อเอชไอวี เช่น มีคู่นอนหลายคน และไม่สามารถใส่ถุงยางอนามัยได้ทุกครั้ง โดยกรมควบคุมโรค มีเป้าหมายให้คนไทย สามารถเข้ารับบริการเพร็พ ได้ฟรี ในหน่วยบริการสาธารณสุข ที่เข้าร่วมโครงการฯ ทั้งหมด 21 จังหวัด 51 หน่วยบริการทั่วประเทศ สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่กองโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โทร 02-590-3215 หรือที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422

สธ.เดินหน้าจัดตั้ง”สถาบันกัญชาทางการแพทย์”ทำหน้าที่วิจัย

People Unity : สธ.เดินหน้าจัดตั้ง “สถาบันกัญชาทางการแพทย์” ทำหน้าที่สนับสนุน ส่งเสริม วิจัย พัฒนา การใช้กัญชาทางการแพทย์ในโรงพยาบาล

วันที่ 28 ต.ค.2562 ที่สำนักปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์ธเนศ ดุสิตสุนทรกุล ว่าที่ผู้อำนวยการสถาบันกัญชาทางการแพทย์ ได้เปิดเผยว่า หลังจากสำนักปลัดกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข ได้จัดระดมความคิดวางแผนจัดตั้ง “สถาบันกัญชาทางการแพทย์” ขึ้น เพื่อความยั่งยืนกัญชาทางการแพทย์ไว้ในกระทรวงสาธารณสุข การจัดตั้ง สถาบันกัญชาทางการแพทย์ ทำหน้าที่สนับสนุน ส่งเสริม วิจัย พัฒนา การใช้กัญชาทางการแพทย์ในโรงพยาบาลกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้ประชาชนมีโอกาสเข้าถึงการใช้กัญชามากขึ้น เพราะปัจจุบันกัญชาได้รับความสนใจจากพี่น้องประชาชนเป็นจำนวนมากและสนใจปลูก แต่ไม่เข้าใจข้อกฎหมาย รวมไปถึงการขออนุญาติในการปลูก

ที่สำคัญที่สุดยังมีประชาชนไม่เข้าใจข้อกฏหมายพากันปลูกและถูกเจ้าหน้าที่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าไปจับกุม ประชาชนบางส่วนบางกลุ่มที่ยังไม่ขึ้นมามาบนดินยังแอบปลูกกัญชา ปัญหาเหล่านี้สำนักปลัดกระทรวงเป็นห่วงพี่น้องประชาชน โดยนายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มีคำสั่งถึงผู้มีส่วนเกี่ยวข้องให้ทำงานเร่งด่วนเพราะท่านห่วงพี่น้องประชาชนได้ใช้กัญชาอย่างถูกต้อง

วันนี้จึงได้มีการประชุมครั้งแรก เพื่อตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนให้พี่น้องประชาชนเข้าใจเรื่องของกัญชา มีองค์ความรู้เรื่องกัญชา ที่มีหลายหน่วยงานเข้ามาเป็นกรรมการและองค์กรภาคเอกชนมาระดมความคิด เพื่อก่อตั้งสถาบันกัญชาทางการแพทย์ โดยมีนายแพทย์สำเริง แหยงกระโทก กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ศาสตราจารย์ นายแพทย์ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา อาจารย์ประจำคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ดร.ภก.อนันต์ชัย อัศวเมฆิน คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลและเป็น ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย ม.รังสิต นายสุกษม อามระดิษ เลขานุการสมาคมแพทย์แผนไทยแห่งประเทศไทย และตัวแทนจากสภาเกษตรกรแห่งชาติ เข้าร่วมประชุม ซึ่งการระดมคนทำงานเพื่อให้เกิดสถาบันกัญชาทางการแพทย์ ทางคณะทำงานต้องการให้ประสบผลสำเร็จอย่างรวดเร็ว เพราะพี่น้องประชาชนรอเรื่องนี้อยู่

“บิ๊กป้อม”ถก กกท.และสมาคมกีฬาฯ ตั้งเป้าเป็นเจ้าเหรียญทองกีฬาซีเกมส์

People Unity : พล.อ.ประวิตรเรียกประชุม มอบนโยบาย กกท.และสมาคมกีฬาฯมุ่งความเป็นเลิศสู่ระดับนานาชาติ ตั้งเป้าเป็นเจ้าเหรียญทองกีฬาซีเกมส์

เมื่อ 28 ต.ค.2562 พล.ต.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผู้ช่วยโฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าเวลา 11.00น. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณรองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานคณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายการดำเนินงานด้านกีฬาร่วมกันระหว่างการกีฬาแห่งประเทศไทยกับสมาคมกีฬาแห่งประเทศไทยโดยมี รมว.การท่องเที่ยวและกีฬาเข้าร่วมประชุม ณ โรงแรมโกลเด้น ทิวลิป ซอฟเฟอริน กรุงเทพฯ

พล.อ.ประวิตร กล่าวมอบนโยบายโดยเน้นย้ำให้สมาคมกีฬาฯ ซึ่งมีถึง 84 สมาคม จะต้องนำนโยบายด้านการกีฬาเพื่อไปใช้เป็นแนวทางกำหนดยุทธศาสตร์และแผนงานร่วมกับการกีฬาแห่งประเทศไทยทั้งนี้การกีฬาแห่งประเทศไทยถือเป็นองค์กรหลักในการ บูรณาการขับเคลื่อนเพื่อความเป็นเลิศสู่ระดับนานาชาติ ต่อยอดสู่ความเป็นอาชีพและสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ จะต้องมีแผนงานโครงการสอดคล้อง เชื่อมโยงกับแผนระดับชาติมุ่งเน้นด้านโครงสร้างและพัฒนาศูนย์ฝึกกีฬาแห่งชาติที่เป็นมาตรฐาน มีการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ รวมถึงการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์การกีฬา พัฒนาบุคลากรการจัดหาเครื่องมือ อุปกรณ์ให้เพียงพอและทันสมัย

พล.อ.ประวิตร ขอให้รมว.การท่องเที่ยวและกีฬาฯ กำชับและกำกับดูแล หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขับเคลื่อนงานในความรับผิดชอบไปสู่เป้าหมายที่กำหนดตามนโยบายของรัฐบาล อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อก้าวสู่เวทีระดับโลก และตั้งเป้าหมายเป็นเจ้าเหรียญทองกีฬาซีเกมส์ ครั้งนี้ให้ได้

สธ.เชิญชวนประชาชนร่วมสร้างกุศลบริจาคอวัยวะให้ชีวิตใหม่เพื่อนมนุษย์

People Unity News : กระทรวงสาธารณสุข เชิญชวนประชาชนร่วมสร้างกุศลบริจาคอวัยวะ ให้ชีวิตใหม่เพื่อนมนุษย์ ลดความพิการแก่ผู้ป่วยที่รอรับการปลูกถ่ายอวัยวะโดยผู้บริจาค 1 คนจะช่วยผู้ป่วยได้ถึง 8 คน

วันที่ 27 ต.ค.2562 นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับสภากาชาดไทย ได้จัดทำโครงการบริจาคอวัยวะเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสฉลองพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 รณรงค์ให้ประชาชนร่วมแสดงความจำนงบริจาคอวัยวะและดวงตา เพื่อช่วยชีวิตและลดความพิการแก่ผู้ป่วยที่รอรับการปลูกถ่ายอวัยวะ ซึ่งผู้บริจาค 1 คนจะช่วยผู้ป่วยได้ถึง 8 คน

นายแพทย์สุขุมกล่าวต่อว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทารวงสาธารณสุข ให้ความสำคัญในการดำเนินงานระบบบริจาคและปลูกถ่ายอวัยวะให้มีความเข้มแข็งพัฒนาระบบบริการสุขภาพ(Service Plan) สาขาการรับบริจาคและปลูกถ่ายอวัยวะ ร่วมมือกับสภากาชาดไทยจัดตั้งศูนย์รับบริจาคอวัยวะในโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไปทั่วประเทศ และพัฒนาทีมจัดเก็บอวัยวะในทุกเขตสุขภาพ เพื่อให้ประชาชนที่อยู่ในต่างจังหวัด มีโอกาสเข้าถึงบริการปลูกถ่ายอวัยวะที่มีประสิทธิภาพ รวดเร็ว โดยเฉพาะการปลูกถ่ายไตและดวงตา ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

“ผมและชาวกระทรวงสาธารณสุข ขอชื่นชม นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ที่ท่านเป็นต้นแบบที่ดีของผู้บริจาคอวัยวะ จิตอาสาช่วยเหลือขนส่งอวัยวะด้วยการขับเครื่องบินส่วนตัว และสนับสนุนงานบริจาคอวัยวะช่วยชีวิตผู้ป่วยที่รอความหวัง” นายแพทย์สุขุมกล่าว

ทั้งนี้ข้อมูล ณ วันที่ 30 กันยายน 2562 มีผู้ป่วยที่ลงทะเบียนรอรับการบริจาคอวัยวะจำนวน 6,311 ราย มีผู้ป่วยได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะจากผู้บริจาคเพียงร้อยละ 9.1 หรือผู้รอรับอวัยวะ 10 คน มีโอกาสได้อวัยวะ 1 คน เท่านั้น และผู้รอรับดวงตา 13,510 ราย ปัจจุบันสามารถปลูกถ่ายอวัยวะได้ปีละ 500 – 700 ราย และปลูกถ่ายกระจกตา ได้ปีละ 700 – 800 ราย ผู้มีจิตศรัทธาต้องการบริจาคอวัยวะและดวงตา ติดต่อได้ที่ศูนย์รับบริจาคอวัยวะ สภากาชาดไทย โทร. 02 256 4045, 02 256 4046 ในวันและเวลาราชการ และศูนย์ดวงตา สภากาชาดไทย โทร. 02 256 4039, 02 256 4040 ในวันและเวลาราชการ

โฆษณา

ศรัทธาล้น! ทอดกฐินสามัคคีวัดมหาจุฬาลงกรณราชูทิศ “ม.สงฆ์ มจร”

People Unity : ศรัทธาล้น! ทอดกฐินสามัคคีวัดมหาจุฬาลงกรณราชูทิศ “ม.สงฆ์ มจร” สมทบทุนสร้างศาสนสถาน พระสงฆ์นานาชาติจากจตุรทิศประกอบสังฆกรรม อธิการบดีเผยเป็นจิ๊กซอตัวสุดท้ายที่แสดงออกถึงการเป็นศูนย์กลางของการศึกษาพระพุทธศาสนาโลก

วันที่ 26 ต.ค.2562 ที่ผ่านมา พระราชปริยัติกวี,ศ.ดร. อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) เป็นประธานในพิธีถวายผ้าพระกฐินสามัคคีที่วัดมหาจุฬาลงกรณราชูทิศ มจร อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา มียอดบริจาคร่วมทั้งสิ้นประมาณ 12 ล้านบาท

พระราชปริยัติกวี ได้พูดถึง มจร และวัดไว้ว่า มหาวิทยาลัยมีนโยบายให้ มจร เป็นมหาวิทยาลัยสีเขียว เป็นแหล่งศึกษา ปฏิบัติ เผยแผ่ กราบไว้บูชา สักการะ และเป็นศูนย์การศึกษาพระพุทธศาสนาระดับโลก ซึ่งวัดมหาจุฬาลงกรณราชูทิศ ถือเป็นจิ๊กซอตัวสุดท้าย ที่แสดงออกให้เห็นถึงการเป็นศูนย์กลางของการศึกษาพระพุทธศาสนาโลก

“มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย สร้างขึ้นเพื่อดูแลด้านวิชาการ ส่วนวัดมหาจุฬา ได้สร้างขึ้นเพื่อดูแลด้านวิชาชีวิต เนื่องจากเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างบัณฑิตพันธุ์ใหม่ ด้านสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ ซึ่งมหาวิทยาลัย และวัด ต้องรวมเป็นอนึ่งอันเดียวกัน” อธิการบดี มจร กล่าว

ขณะที่พระเทพปวรเมธี,รศ.ดร. รองอธิการบดีฝ่ายบริหาร มจร ได้กล่าวถึงความเป็นมาของการสร้างศาลาการเปรียญซึ่งใช้เป็นที่ประกอบพิธีทางศาสนาว่า ที่มาของการสร้างวัดมหาจุฬาลงกรณราชูทิศได้ดำเนินตามนโยบายพระพรหมบัณฑิต,ศ.ดร.กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร สมัยดำรงตำแหน่งอธิการบดี การสร้าง มจร ต้องสร้างวัดอยู่ภายในมหาวิทยาลัย ซึ่งประชากรส่วนใหญ่เป็นพระสงฆ์ จึงจำเป็นต้องทำสังฆกรรม ต้องมีที่อยู่จำพรรษา จึงเป็นนโยบายหลัก ต้องสร้างวัดในมหาวิทยาลัย จากนั้น ได้รับความเมตตาโดยพระพรหมมังคลาจารย์ หลวงพ่อปัญญา ได้ทำการสร้างอุโบสถ์กลางน้ำแต่ว่าสร้างเสร็จแล้ว ยังไม่ได้ดำเนินการยกเป็นวัด เนื่องจากยังสร้างอาคารต่างๆในมหาวิทยาลัยไม่สมบูรณ์ ต้องสร้างมหาจุฬาให้เกือบสมบูรณ์ก่อนจึงค่อยสร้างวัด การสร้างมหาจุฬา

พระเทพปวรเมธี กล่าวต่อว่า บัดนี้ มจร เกือบจะครบเสร็จสมบูรณ์แล้ว สิ่งต่อไปที่จะทำคือการปลูกต้นไม้เป็นพื้นที่สีเขียว จากนั้นจึงดำเนินการสร้างวัด โดยขออนุมัติจากสภามหาวิทยาลัย ด้วยพื้นที่ 53 ไร่เศษ และเสนอมหาเถรสมาคมให้ความเห็นชอบ ก็จะเป็นวัดที่สมบูรณ์ ถูกต้องตามกฎหมายในเร็วๆนี้

การสร้างวัดนั้น ไม่ได้แยกโฉนดที่ดินจากวัดมหาจุฬาฯและจำเป็นจะต้องขออนุมัติจากสภามหาวิทยาลัย ในการสร้างวัด เพราะไม่ต้องการให้วัดแยกส่วนกับมหาวิทยาลัย ที่ดินได้มาจากผู้บริจาคสร้างวัด 15 ไร่ คือคุณทองเล็ก ไม้ตราวัฒนา

การสร้างศาลาการเปรียญในครั้งนี้ อาคารมีชื่อว่า ศาลาการเปรียญ ดร.อุไรศรี คนึงสุขเกษม ซึ่งมีที่มาของชื่อวัดมหาจุฬาลงกรณราชูทิศ แห่งนี้ ความหมายคือ สร้างวัดขึ้นเพื่ออุทิศถวายล้นเกล้ารัชกาลที่ 5

ศาลาหลังนี้มีต้นแบบอาคาร จากวัดนวมินทราชูทิศ ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งสามารถใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย ได้รับการออกแบบโดย ศ.สมศักดิ์ ธรรมเวชวิถี และมี ดร.อุไรศรี เป็นเจ้าภาพในการสร้างศาลาหลังนี้ งบประมาณการก่อสร้างแล้วเสร็จทั้งสิ้น 77 ล้าน มีระบบสาธารณูปโภคครบ สายไฟลงใต้ดิน และมี รศ.ดร.อุไรวรรณ เป็นเจ้าภาพสร้างหมู่กุฏิเจ้าอาวาส น้องสาวด้วยงบประมาณ 12 ล้านบาท ส่วนหมู่กุฏิ คือแม่ชีทองสุข นามเจ็ดสีและคณะงบประมาณ 12 ล้านบาทเช่นกัน จากนั้นจะจัดพื้นที่สีเขียวเป็นลานธรรม เพื่อตอบสนองพันธกิจ ด้านงานบริการวิชาการด้านพระพุทธศาสนาแก่สังคม

พระเทพปวรเมธี กล่าวด้วยว่า ต่อมาดร.อุไรศรี คนึงสุขเกษม เจริญศรัทธาจึงได้ขอเป็นเจ้าภาพ สร้างพระพุทธนิมิตองค์ใหญ่ สูง 198 นิ้ว หน้าตัก 129 นิ้ว สร้างถวายไว้เป็นอนุสรณ์ ให้ได้กราบไหว้บูชา งบประมาณ สร้างพระพุทธรูป และ เครื่องใช้ในวัด จำนวน 5 ล้านบาท และคุณอริสา จะสร้างสะพานเชื่อมที่สระน้ำ ที่สามารถถ่ายภาพ เป็นแลนด์มาร์คของมหาวิทยาลัยและวัดได้ หมู่กุฏิจะขุดสระล้อมรอบ และส่วนสุดท้ายที่กำลังจะสร้างคือรั้วรอบบริเวณวัดมหาจุฬาลงกรณราชูทิศ ล็อกละ 3 หมื่นห้าพันบาท ยังรับเจ้าภาพ กำแพงหน้าวัด และประตูหน้าวัดเป็นทางเข้า หน้าอุโบสถ์กลางน้ำ เป็นลานธรรม นั่งสมาธิ สวดมนต์ เจริญศรัทธา นี่คือ ที่มาคร่าวๆ ของการสร้างวัดมหาจุฬาลงกรณราชูทิศ

ก.อุดมศึกษาฯลุยทำแผน”สมาร์ทฟาร์มเมอร์เครือข่ายม.ราชภัฏลำปาง-สสน.

People Unity : “องอาจ ปัญญาชาติรักษ์” ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุดมศึกษาฯ ลุยทำแผน”สมาร์ทฟาร์มเมอร์เครือข่ายม.ราชภัฏลำปาง-สสน.

วันที่ 26 ต.ค.2562 นายองอาจ ปัญญาชาติรักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม ประชุมทำแผนปฏิบัติการกับกลุ่มเครือข่ายมหาวิทยาลัยในจังหวัดลำปาง และสถาบันสารสนเทศและทรัพยากรน้ำ (สสน.) เพื่อพัฒนา “สมาร์ทฟาร์มเมอร์” ด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

นายองอาจ กล่าวว่า จากที่ รมว กระทรวง อว. มีนโยบายการพัฒนา “สมาร์ทฟาร์มเมอร์” วันนี้ได้มีโอกาสขึ้นรูปแผนการพัฒนาเกษตรกรไปสู่สมาร์ทฟาร์มเมอร์ ทั้งในส่วนของพืชสัตว์เศรษฐกิจยุคปัจจุบัน และยุคใหม่ เช่น ไผ่ กัญชง ซึ่งนอกจากการขยายผลจากของเดิม ยังจะต้องมีแผนในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางการเกษตร การรับรองคุณภาพ การวิจัยความรู้ก่อนและหลังการเก็บเกี่ยว การศึกษาตลาดในรูปแบบต่างๆ การขนส่งผลิตภัณฑ์ การบริหารจัดการที่ครบทั้งห่วงโซ่และจะต้องเตรียมแผนการพัฒนาเกษตรกรต่อไป

“รมว. กระทรวง อว. ได้ตั้งงบประมาณสำหรับการพัฒนา Smart Farmer ไว้ 500 ล้านบาท ในปี 2563 ซึ่งแนวทางคือ ให้ทุกภาคส่วนของกระทรวงที่มีทั้ง สถานบันวิจัยต่างๆ เช่น สวทช วว วศ รวมผลังกับมหาวิทยาลัยในพื้นที่ พัฒนากลุ่มเกษตรกรเป้าหมาย โดยตั้งเป้าอย่างเป็นรูปธรรมที่ 500 กลุ่มภายใน 6 เดือน และเพิ่มรายได้จากการพัฒนาการผลิต ลดต้นทุน เพิ่มมูลค่า อย่างใน 20% รวมทั้งจะดึงเอาพลังและองค์ความรู้ของนักศึกษาลงไปช่วยแก้ไขปัญหาทางการ เกษตรในพื้นที่จริงอีกด้วย”

“สาธิต”มอบนโยบายระบบแพทย์ฉุกเฉินรับท่องเที่ยวไฮซีซั่นกระบี่

People Unity : “สาธิต”รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข มอบนโยบายให้ระบบการแพทย์ฉุกเฉินทางทะเลจังหวัดกระบี่ พร้อมดูแลนักท่องเที่ยวช่วงไฮซีซั่น ตุลาคม – พฤษภาคม

วันที่ 26 ต.ค.2562 ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลกระบี่ จังหวัดกระบี่ ว่า กระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายในการพัฒนาระบบบริการสาธารณสุขทางทะเลและพื้นที่เกาะ 23 จังหวัดชายทะเล เพื่อดูแลประชาชนและนักท่องเที่ยวที่มีประมาณ 35 ล้านคนต่อปี ทั้งการส่งเสริมสุขภาพ การป้องกัน รักษา ฟื้นฟูสภาพ รวมทั้งจัดบริการพิเศษทางสุขภาพ หรือพรีเมี่ยม เซอร์วิสในพื้นที่ท่องเที่ยวทางทะเล สร้างรายได้ เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจประเทศ บูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ

กองทัพ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จัดระบบการแพทย์ฉุกเฉินทางทะเล (Maritime ECS : Maritime Emergency Care System) พัฒนาศักยภาพหน่วยบริการให้สามารถดูแลผู้บาดเจ็บ/ป่วยฉุกเฉินทางทะเล และโรคที่พบบ่อย และสร้างอาสาสมัครสาธารณสุขทางทะเล /ทีมกู้ชีพทางทะเล เพื่อให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวทางทะเลร้อยละ 80 ได้รับการดูแลให้มีความปลอดภัยหากเจ็บป่วย/ฉุกเฉินทางทะเล เสียชีวิตจากเหตุฉุกเฉินลดลงร้อยละ 25 การเจ็บป่วยจากโรคที่พบบ่อยลดลงร้อยละ 30 สร้างรายได้จากการลงทุนบริการระดับพรีเมียมปีละ 70 ล้านบาท และความเชื่อมั่นของประเทศอยู่ในอันดับ 1 ของอาเซียนภายในปี 2564

“ขอชื่นชมจังหวัดกระบี่ที่มีความพร้อมดูแลนักท่องเที่ยวและประชาชนในช่วงไฮซีซั่น ตุลาคม – พฤษภาคม ร่วมมือกับหน่วยงานทั้งภาครัฐ และสถานพยาบาลเอกชน ดำเนินการจัดระบบการแพทย์ฉุกเฉินช่วยเหลือส่งต่อผู้ป่วยทางทะเลที่มีประสิทธิภาพ มีระบบการปรึกษาแพทย์กับโรงพยาบาลแม่ข่าย ระหว่างการนำส่งบนเรือ Ambulance จนถึงโรงพยาบาล สร้างมาตรฐานการดูแลประชาชนพื้นที่เกาะ ห่างไกล และสร้างความมั่นใจแก่นักท่องเที่ยว” ดร.สาธิตกล่าว

ทั้งนี้ จังหวัดกระบี่เป็นหนึ่งในจังหวัดพื้นที่เขตสุขภาพพิเศษด้านสาธารณสุขทางทะเล เน้นบูรณาการเครือข่ายการช่วยเหลือประชาชนและนักท่องเที่ยวในภาวะวิกฤตฉุกเฉินทางทะเล ได้จัดตั้งหน่วยบริการทางการแพทย์ฉุกเฉินในพื้นที่อุทยานแห่งชาติทางทะเล/เกาะที่สำคัญ โดยมีระบบการช่วยเหลือ ณ จุดเกิดเหตุ ส่งทีมแพทย์ พยาบาล ณ พื้นที่เกาะ มีแนวทางการส่งต่อ การอบรมอาสาสมัครกู้ชีพ กู้ภัย ระบบการแจ้งเหตุจากจุดเกิดเหตุ ศูนย์สั่งการและระบบสั่งการทางการแพทย์เชื่อมโยงกับศูนย์ระดับภาคใต้ รวมทั้งการประสานงานหน่วยงานที่มีศักยภาพในการจัดระบบบริการทางการแพทย์ทางทะเล และระบบป้องกันไม่ให้เกิดเหตุหรือระบบแจ้งเตือน ณ จุดเกิดเหตุ

สธ.เชิญชวนประชาชน บริจาคโลหิตสร้างกุศล ช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์

People Unity : กระทรวงสาธารณสุข เชิญชวนประชาชนสร้างกุศล ช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ ด้วยการบริจาคโลหิตทุก 3 เดือน เพิ่มปริมาณโลหิตสำรองคงคลังพร้อมดูแลใช้รักษาผู้ป่วยทั่วประเทศ โดยเลือด 1 ถุงช่วยได้ 3 ชีวิต

วันที่ 26 ตุลาคม 2562 นายแพทย์รุ่งเรือง กิจผาติ ที่ปรึกษาระดับกระทรวง (นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ) และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า กระทรวงสาธารณสุข ร่วมมือกับศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย รณรงค์ขอประชาชนบริจาคโลหิตอย่างสม่ำเสมอทุก 3 เดือน หรือปีละ 4 ครั้ง เพื่อให้มีปริมาณโลหิตสำรองคงคลังอย่างน้อย 3,000 ยูนิต/วัน เพียงพอนำไปใช้รักษาผู้ป่วยทั่วประเทศ โดยเฉพาะกรณีผู้ป่วยฉุกเฉินและวิกฤต หรือสถานการณ์ต่างๆ อาทิ ภัยพิบัติทางธรรมชาติ เทศกาลต่างๆ ที่มีวันหยุดติดต่อกันหลายวัน ปีใหม่ สงกรานต์ ซึ่งจะมีความต้องการใช้โลหิตเพิ่มมากขึ้น โดยการบริจาคโลหิต 1 ครั้ง ใช้เวลาประมาณ 20 กว่านาที ได้เลือด 1 ถุง ประมาณ 350-450 มิลลิลิตร (ซี.ซี.) ขึ้นอยู่กับน้ำหนักของผู้บริจาค สามารถนำไปช่วยผู้ป่วยที่ต้องการเลือดได้ถึง 3 ชีวิต

นายแพทย์รุ่งเรืองกล่าวต่อว่า ผู้ที่สามารถบริจาคโลหิตได้จะต้องมีอายุระหว่าง 17 ถึง 70 ปีบริบูรณ์ (ผู้ที่มีอายุ 17 ปีต้องมีหนังสือยินยอมจากผู้ปกครอง) น้ำหนักตัว 45 กิโลกรัมขึ้นไป และมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอก่อนวันบริจาคโลหิต และไม่ต้องกังวลว่าจะเป็นอันตราย เพราะเป็นการสละโลหิตส่วนเกินที่ร่างกายยังไม่จำเป็นต้องใช้ โดยในร่างกายจะมีปริมาณโลหิตประมาณ 17-18 แก้วน้ำ แต่ใช้เพียง 15-16 แก้ว เมื่อบริจาคโลหิตออกไปไขกระดูกจะสร้างเม็ดโลหิตขึ้นมาทดแทนให้มีปริมาณโลหิตในร่างกายเท่าเดิม แต่หากไม่บริจาคเมื่อเม็ดโลหิตอายุประมาณ 3 เดือนก็จะหมดอายุและสลายตัว ขับออกจากร่างกายทางปัสสาวะ อุจจาระ

นายแพทย์รุ่งเรืองกล่าวต่อไปว่า ข้อมูลของสภากาชาดไทยพบว่า ปริมาณสำรองเลือดในคลังของศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องเนื่องจากมีผู้บริจาคลดลง จากปกติต้องได้รับโลหิตบริจาคตามเป้าหมายคือ 2,000 – 2,500 ยูนิตต่อวัน แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 1,500 – 1,700 ยูนิตต่อวัน จึงเกิดการขาดแคลนสะสม จนทำให้ปริมาณโลหิตคงคลังลดน้อยลงจนถึงขณะนี้ จึงขอเชิญชวนประชาชนร่วมสร้างกุศลได้ทุกวัน หรือใช้โอกาสวันเกิด วันครบรอบโอกาสสำคัญ ร่วมบริจาคโลหิตได้ที่โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไปทั่วประเทศ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ถนนอังรีดูนังต์ และหน่วยเคลื่อนที่รับบริจาคโลหิตทุกแห่ง ส่วนภูมิภาคบริจาคได้ที่ภาคบริการโลหิตแห่งชาติในแต่ละจังหวัด

กรมควบคุมโรคเผยกรุงเทพฯผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตมากที่สุดรอบสัปดาห์

People Unity : กรมควบคุมโรคเผยแพร่”พยากรณ์โรคและภัยสุขภาพรายสัปดาห์” กรุงเทพฯผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตมากที่สุด

วันที่ 26 ต.ค.2562 นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดเผยว่า จากการเฝ้าระวังของกรมควบคุมโรค สถานการณ์อุบัติเหตุทางถนนของประเทศไทย จากศูนย์ข้อมูลอุบัติเหตุเพื่อเสริมสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนน (ข้อมูล ณ วันที่ 24 ตุลาคม 2562) พบผู้ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางถนน 737,464 ราย และเสียชีวิต 13,291 ราย ส่วนจังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตมากที่สุด คือ กรุงเทพฯ รองลงมาคือชลบุรี นครราชสีมา เชียงใหม่ และสมุทรปราการ ตามลำดับ สำหรับปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุ นอกจากตัวผู้ขับขี่และยานพาหนะแล้ว ยังมีปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมด้วย เช่น ฝนตก ถนนลื่น ทัศนวิสัยไม่ดี

อธิบดีกรมควบคุมโรคระบุอีกว่า การพยากรณ์โรคและภัยสุขภาพประจำสัปดาห์นี้ คาดว่าในช่วงนี้มีโอกาสจะพบอุบัติเหตุทางถนนอย่างต่อเนื่อง เพราะประเทศไทยเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว ประชาชนมักเดินทางท่องเที่ยวตามภูเขาสูง โดยเฉพาะทางภาคเหนือ ซึ่งในช่วงเช้าอาจมีหมอกลงจัด ทำให้ทัศนวิสัยในการมองเห็นลดลงได้ ประกอบกับในบางพื้นที่ยังมีฝนตก อาจทำให้ถนนลื่น เสี่ยงเกิดอุบัติเหตุได้เช่นกัน กรมควบคุมโรค จึงขอแนะนำให้ประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนน ใช้หลักการป้องกันการบาดเจ็บ ตามหลัก 3ม. 2ข. 1ร. ได้แก่ 3ม. (เมาไม่ขับ สวมหมวกนิรภัย มอเตอร์ไซค์ปลอดภัย) 2ข. (คาดเข็มขัดนิรภัย พกใบขับขี่ติดตัวเสมอ) และ 1ร. (ขับขี่ไม่เร็ว) หากผู้ขับขี่รู้สึกเกิดความอ่อนล้า อย่าฝืนขับ ควรพักงีบหลับอย่างน้อย 15 นาที และหลีกเลี่ยงการโดยสารบนกระบะท้าย กรณีมีความจำเป็นต้องโดยสารให้มีหลังคาปกปิด และมีที่นั่งสองแถวที่มั่นคงแข็งแรง ไม่นั่งห้อยโหนหรือยืนกระบะท้าย ตรวจสอบสมรรถนะรถและสภาพความปลอดภัยอย่างสม่ำเสมอ ใช้ความเร็วตามที่กฎหมายกำหนด ขับขี่รถยนต์ตามกฎจราจร และเว้นระยะห่างขณะขับตามรถคันหน้าให้มากกว่าปกติเป็น 2 เท่า โดยเฉพาะช่วงฝนตกหรือหมอกลงจัด เพื่อลดอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นได้

Verified by ExactMetrics