วันที่ 3 พฤษภาคม 2024

ลอยกระทงปีนี้!สุรินทร์ดึงคนพื้นที่เป็นนางแบบโชว์ศักยภาพเมืองผ้าไหม กระตุ้นท่องเที่ยวดันยอด OTOP

People Unity : สุรินทร์โชว์ศักยภาพเมืองผ้าไหม ใช้คนพื้นที่เป็นนางแบบจิตอาสาร่วมรณรงค์แต่งกายผ้าไทยหวังกระตุ้นท่องเที่ยวและเพิ่มยอดจำหน่าย OTOP ผ้าไหม

วันที่ 28 ต.ค.2562 สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดสุรินทร์ ร่วมกับชมรมถ่ายภาพสมัครเล่นเมืองช้าง จัดกิจกรรมถ่ายแบบเพื่อประชาสัมพันธ์รณรงค์นุ่งผ้าไหม โดยเชิญชวนชายหนุ่มหญิงสาวจากภาคส่วนต่างๆ มาเป็นนายแบบนางแบบจิตอาสา เช่น นางสาวสุรินทร์ ปี 2562 ลูกหลานกรรมกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี เครือข่าย OTOP และบุคลากรของาำนักงารพัฒนาชุมชน ร่วมเป็นแบบในการถ่ายทำภาพกิจกรรม

นายสรสาสน์ สีเพ็ง พัฒนาการจังหวัดสุรินทร์ เปิดเผยว่า จากนโยบายรัฐบาลที่มุ่งสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจฐานรากโดยใช้ศักยภาพของพื้นที่ในการสร้างรายได้ ซึ่งนายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน ได้ให้แนวทางทุกจังหวัดแต่งกายด้วยผ้าไทยทุกวัน เพื่อกระตุ้นยอดจำหน่าย OTOP ของแต่ละจังหวัด ประกอบกับแนวทางของนายไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ ที่ให้มีกิจกรรม “ถือตะกร้า นุ่งผ้าซิ่น หิ้วปิ่นโต” ทุกวันศุกร์ ดังนั้น สำนักงานพัฒนาชุมชนซึงรับผิดชอบในการส่งการผลิตการแปรรูปและการตลาด OTOP ผ้าไหม จึงได้จัดกิจกรรมผลิตสื่อเพื่อการประชาสัมพันธ์และรณรงค์ให้ชาวสุรินทร์และประชาชนทั่วไปได้หันมาสนใจสวมใส่ผ้าไหมหรือผ้าพื้นเมืองในโอกาสต่างๆ

“จังหวัดสุรินทร์มีศักยภาพสูงในการผลิตผ้าไหมคุณภาพเยี่ยม โดยประชาชนมีการทอผ้าไหมและผ้าพื้นเมืองอื่นๆ กระจายอยู่ในแทบทุกหมู่บ้าน แต่การตลาดยังมีข้อจำกัดอยู่ หากมีการประชาสัมพันธ์ให้เห็นถคงเสน่ห์ของการสวมใส่ผ้าไหม และรณรงค์ให้มีการสวมใส่อย่างกว้างขวางทั้งหน่วยงานภาครัฐ หรือทุกภาคส่วน ก็จะช่วยกระตุ้นการตลาดเพิ่มยอดจำหน่าย OTOP ผ้าไหมได้มากขึ้น” พัฒนาการจังหวัดสุรินทร์กล่าว

สำหรับกิจกรรมถ่ายภาพรณรงค์นุ่งผ้าไหมสุรินทร์ ครั้งนี้ใช้แนวคิดนุ่งผ้าไหมไปลอยกระทง สถานที่ถ่ายทำ ณ วัดบ้านระเภาว์ ตำบลท่าสว่าง อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ ส่วนนายแบบนางแบบใช้คนในพื้นที่ ประกอบด้วย พัฒนากร เจ้าหน้าที่กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี เจ้าหน้าที่ธุรการ ทายาทเครือข่ายกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี เครือข่าย OTOP Trader และนางสาวสุรินทร์ ปี 2562

ส.ส.แคนาดาสนใจฝึกสมาธิ เตรียมนิมนต์พระพุทธเปิดคอร์สที่บ้าน

People Unity : ส.ส.แคนาดาสนใจฝึกสมาธิ เตรียมนิมนต์พระพุทธเปิดคอร์สที่บ้าน ขณะที่ผลเลือกตั้งทั่วไปของประเทศแคนาดา “ทรูโด” อดีตนายกฯชนะไม่ขาด เตรียมตั้งรัฐบาลผสม ผลักดันนโยบายปลูกต้นไม้ 2 พันล้านต้นตามที่รับปากไว้กับ “เกรตา ธันเบิร์ก”

วันที่ 22 ตุลาคม 2562 สำนักข่าวต่างประเทศได้รายงานผลการเลือกตั้งทั่วไปของประเทศแคนาดาที่มีขึ้นเมื่อวันจันทร์ที่ 21 ตุลาคม 2562 จนกระทั้งเวลา 02.00 น. วันอังคารที่ 22 ตุลาคมตามเวลาท้องถิ่น หลังปิดการเลือกตั้งของหน่วยเลือกตั้งทั้ง 6 โซนเวลาทั่วประเทศ อันดับ 1 คือ พรรคลิเบอรัล ที่หัวหน้าพรรคคือนายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโด วัย 47 ปี ได้ 156 ที่นั่ง จากเขตเลือกตั้ง 338 เขต อันดับ 2 คือ พรรคคอนเซอร์เวทีฟ ที่หัวหน้าพรรคคือ แอนดรูว์ เชียร์ วัย 40 ปี คู่แข่งสำคัญของทรูโด พรรคของเขาได้ 122 ที่นั่ง มากกว่าการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาในปี 2558 ที่ได้ 95 ที่นั่ง

เมื่อผลการเลือกตั้งออกมาเช่นนี้ทำให้นายทรูโดต้องจัดตั้งรัฐบาลร่วมกับพรรคพันธมิตรที่เป็นพรรคเล็กอย่างน้อย 1 พรรค โดยนายทรูโดกล่าวกับผู้สนับสนุนในนครมอนทรีออลเมื่อวันอังคารว่า ผลการเลือกตั้งแสดงให้เห็นว่าชาวแคนาดาปฏิเสธการแบ่งแยกและความคิดด้านลบ ปฏิเสธนโยบายตัดงบประมาณและรัดเข็มขัด และลงคะแนนเพื่อสนับสนุนแผนการที่ก้าวหน้าและการลงมือปฏิบัติที่เข้มแข็งในการแก้ไขการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ทั้งนี้ช่วยรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งนายทรูโดได้พบกับนางสาวเกรตา ธันเบิร์ก เยาวชนนักเคลื่อนไหวเพื่อสิ่งแวดล้อมชาวสวีเดน โดยรับปากว่าหากได้รับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีต่อจะมีนโยบายเพิ่มต้นไม้ให้ได้มากถึง 2 พันล้านต้น

ขณะเดียวกันเพจ “Bhante Saranapala” พระสงฆ์ชาวศรีลังกาที่เดินทางไปเผยแพร่พระพุทธศาสนาที่ประเทศแคนาดา ได้โพสต์ภาพขอแสดงความยินดีกับผู้ได้รับการเลือกตั้งเป็น ส.ส.ในพื้นที่ที่วัดตั้งอยู่ ซึ่งเป็นผู้ที่สนใจเกี่ยวกับการฝึกสมาธิและมีแผนเปิดฝึกที่บ้านของเขา

“จุรินทร์”โชว์ศก.ไทยสร้างสรรค์ เวทีPIMผู้แทนจากม.ชั้นนำทั่วโลก

People Unity : “จุรินทร์” เป็นประธานเปิดงานสัมนา PIM Annual Conference 2019 on Creative Economy เชื่อมั่นเศรษฐกิจสร้างสรรค์จะขยายตัวต่อเนื่องในตลาดโลก พร้อมการแข่งขันที่รุนแรงและไทยคือผู้เล่นสำคัญ

วันที่ 24 ตุลาคม 2562 เวลา 9.00 น. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานเปิดงานสัมนา PIM Annual Conference 2019 on Creative Economy โดยหัวข้อสัมมนาเรื่องเศรษฐกิจสร้างสรรค์นี้มีผู้เข้าร่วมงานสัมมนาจากมหาวิทยาลัยชั้นนําจากทั่วโลก ตั้งแต่วันที่ 23 ถึง 25 ตุลาคม 2562 โดยนายจุรินทร์กล่าวเปิดในเวลา 9.00 น. วันนี้ ที่โรงแรมเพนนินซูล่า

นายจุรินทร์ กล่าวว่า เศรษฐกิจสร้างสรรค์เป็นสาขาเศรษฐกิจที่มีส่วนในการสร้างเสริมการพัฒนาและความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจในระยะยาว หลอมรวมความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม และเทคโนโลยี เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มที่สูงขึ้นของสินค้าและบริการ ยกระดับค่าจ้าง พัฒนาทักษะแรงงาน เพิ่มเวลาว่างสำหรับพักผ่อน และที่สำคัญที่สุดคือ การขยายตัวและความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ และการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้ เนื่องจากจินตนาการและนวัตกรรมเป็นสิ่งเสริมสร้างเอกลักษณ์และความแปลกใหม่ให้กับสินค้าและบริการ

ในขณะที่เทคโนโลยีช่วยส่งเสริมการเข้าถึงองค์ความรู้ การมีส่วนร่วมทางสังคม และวัฒนธรรม นอกจากนี้ เนื่องจากคนส่วนใหญ่ในเศรษฐกิจสร้างสรรค์เป็นวิสาหกิจขนาดกลางและย่อม การส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์จึงมีส่วนช่วยในการสร้างโอกาสทางธุรกิจอย่างมากมายให้กับ SMEs ได้อย่างอัตโนมัติ แนวโน้มนี้เป็นที่รับรู้กันทั่วโลก ดังจะเห็นได้จากการที่ประเทศสำคัญหลายประเทศได้ประกาศตนเองว่าจะเป็นศูนย์กลางของเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของโลก

และจากรายงานล่าสุดของ UNCTAD ขนาดตลาดสินค้าเชิงสร้างสรรค์ของโลกขยายตัวขึ้นกว่าเท่าตัว จาก 2.08 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ในปี ค.ศ. 2002 เป็น 5.09 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2015 ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีที่สูงกว่าร้อยละ 7 ถึงแม้ว่าโลกจะประสบกับวิกฤติเศรษฐกิจหลายครั้งในช่วงเวลาดังกล่าว

นอกจากนี้ ในขณะที่ทวีปยุโรปเป็นผู้ส่งออกสินค้าเชิงสร้างสรรค์ที่ใหญ่ที่สุด แต่กลุ่มประเทศในเอเชียกำลังมีส่วนแบ่งการตลาดที่เพิ่มขึ้นโดยแค่จีนประเทศเดียวก็มีอัตราการขยายตัวของการส่งออกสินค้าและบริการเชิงสร้างสรรค์สูงถึงร้อยละ 14 ระหว่างปี พ.ศ. 2002 ถึง 2015 ปรากฏการณ์นี้เครื่องบ่งชี้ที่ชัดเจนว่ากลจักรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของโลกตั้งอยู่ที่เอเชีย

นายจุรินทร์ กล่าวด้วยว่า ประเทศไทยเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่โดดเด่นในตลาดเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของโลก ด้วยมูลค่าถึง 6.1 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณเกือบสองแสนล้านบาท มูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์เชิงสร้างสรรค์ของไทยสูงเป็นอันดับที่ 8 ของโลก เมื่อเทียบกับประเทศกำลังพัฒนาด้วยกัน และเป็นอันดับที่ 17 เมื่อเทียบกับทุกประเทศในโลก และได้ขยายตัวด้วยอัตราที่ก้าวกระโดดที่ร้อยละ 6.6 ต่อปี ระหว่างปี 2005 และ 2014 และเศรษฐกิจสร้างสรรค์มีสัดส่วนถึงร้อยละ 10-12 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของไทย ที่สำคัญไปกว่านั้น ประเทศไทยของเราเป็นที่รู้จักดีในเวทีโลกถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรม

ดังนั้น เศรษฐกิจสร้างสรรค์จึงถือเป็นสาขาเศรษฐกิจที่มีศักยภาพสำหรับประเทศเป็นอย่างยิ่ง และในการส่งเสริมการขยายตัวของเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ประเทศไทยจึงใช้ประโยชน์จากภูมิปัญญาและมรดกทางวัฒนธรรมของชาติ อาทิ อาหารไทย และหัตถกรรมไทย รวมทั้ง งานศิลปะ สื่อสร้างสรรค์ และงานออกแบบ ที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วในประเทศ โดยสำหรับไทย สินค้าส่งออกเชิงสร้างสรรค์ที่สำคัญ ได้แก่ อัญมณีและเครื่องประดับ ผลิตภัณฑ์ตกแต่งภายใน และสินค้าแฟชั่น เป็นต้น

“ผมมีความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจสร้างสรรค์จะยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่องในตลาดโลกที่มีการแข่งขันกันอย่างรุนแรง ที่การทำให้สินค้าและบริการมีความแปลกใหม่และโดดเด่น ได้กลายเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการอยู่รอดและขยายตัวของธุรกิจ” นายจุรินทร์ กล่าว

“จุรินทร์”มั่นใจ! ใช้แผนก.พาณิชย์รุก 10 ตลาดทั่วโลก รับมือตัด GSP

People Unity News : “จุรินทร์”มั่นใจ! ใช้แผนก.พาณิชย์รุก 10 ตลาดทั่วโลก รับมือตัด GSP เผย ครม.ศก.มอบ 3 กระทรวงเร่งหารือรับมือ

วันที่ 29 ตุลาคม 2562 ทำเนียบรัฐบาล นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ กรณีการตัดสิทธิทางภาษีหรือ GSP Generalized System of Preferences (ระบบการให้สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร)ว่า ที่ประชุมได้มีการหารือและได้รายงานระบุว่าจะมีผลกระทบประมาณ 1,500 ล้านบาท ถึง 1,800 ล้านบาท อย่างไรก็ตามก็ยังมีช่องทางให้สหรัฐได้ทบทวนโดยช่องทางที่จะทบทวนนั้นได้มอบหมายให้ทูตพาณิชย์ ได้ประสานกับทูตไทยประจำกรุงวอชิงตันและทูตแรงงานด้วย เพื่อที่จะหารือกับสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ หรือ USTR ซึ่งคงจะมีคำตอบกลับมาว่าจะต้องดำเนินการอย่างไรต่อไปในเร็วๆนี้

ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจวันนี้ มอบหมายให้ 3 กระทรวงได้หารือร่วมกันประกอบด้วย กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงแรงงาน และกระทรวงพาณิชย์ เพื่อหาลู่ทางในการยื่นขอให้สหรัฐทบทวน สำหรับทางออกในระยะยาวนั้น กระทรวงพาณิชย์เราก็ได้เตรียมการมาก่อนหน้านี้แล้ว โดยตั้ง กรอ.พาณิชย์ (กรรมการร่วมกระทรวงพาณิชย์กับภาคเอกชน) ทั้งสภาอุตสาหกรรม สภาหอการค้าไทย สมาคมธนาคารไทย และสมาคมผู้ส่งออกสินค้าออกทางเรือ ได้มีการเตรียมการสำหรับตลาดต่างๆทั่วโลกเพื่อเพิ่มมูลค่าการส่งออกซึ่งได้ข้อสรุปแล้วว่าเราจะร่วมมือกันจัดกับภาคเอกชน เร่งรัดการส่งออก บุกตลาดใน 10 กลุ่มตลาดใหญ่ ซึ่งปัจจุบันนั้นจะมีสหรัฐอเมริกา รวมอยู่ด้วยและมีจีน อินเดีย แอฟริกาใต้ เอเชียใต้ กลุ่มประเทศตะวันออกกลาง ญี่ปุ่น เกาหลี และอีกหลายตลาดรวมทั้งประเทศตุรกี เยอรมันในสหภาพยุโรป และอังกฤษด้วย

เตรียมแผนงานไว้แล้ว เร็วๆนี้จะนำทีมเอกชนและกระทรวงพาณิชย์ไปบุกตลาดที่ประเทศตุรกีและเยอรมัน และหลังจากนั้นคือ ตะวันออกกลางสำหรับประเทศที่มีประชากรมาก เช่น อินเดีย จีน สหรัฐ จะลงลึกไปในหลายมณฑล หรือรายรัฐ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา เราจะมีแผนงานเจาะลึกรายรับเพราะ แต่ละรัฐจะมีความต้องการสินค้าแตกต่างกันมีศักยภาพที่เป็น ตลาดนำเข้าสินค้า ของเราได้มากขึ้น แม้ว่าเราจะไม่ได้ GSP (ในประเทศเหล่านี้)ก็ตามเป็นสิ่งที่เราจะดำเนินการ ทั้งดำเนินการมาแล้วและจะดำเนินเดินหน้าต่อไป

ต่อคำถามที่ว่ามั่นใจขนาดไหนว่าเราจะต่อรองกับสหรัฐอเมริกาได้นั้น นายจุรินทร์ กล่าวว่า เราพยายามจะให้เขาเกิดความเข้าใจว่าบางเรื่องเราทำได้บางเรื่องทำไม่ได้ เช่น ให้ต่างด้าวตั้งสมาพันธ์แรงงานในประเทศ ซึ่งกระทรวงแรงงานได้พูดชี้แจงทำความเข้าใจว่า เราอยู่ในฐานะที่จะทำได้หรือไม่อย่างไร หรือข้อเสนออื่นๆ ซึ่งแต่ละกระทรวงหรือ แต่ละหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เป็นผู้ที่จะทำความเข้าใจ ว่าอะไรได้ หรือไม่ได้อย่างไร นี่คือสิ่งที่เราจะต้องทำ

“อนุทิน”ปลื้ม! ปิดจ็อบเซ็นสัญญารถไฟ 3 สนามบินสำเร็จ

People Unity : “อนุทิน”ปลื้ม! ปิดจ็อบเซ็นสัญญารถไฟ 3 สนามบินสำเร็จ ช่วยรักษาผลประโยชน์รัฐ ก่อนปล่อยมุก สบายใจไม่ต้องควักค่าทุบโฮปเวลล์เอง ขณะที่ “รฟท.-กลุ่มซีพี” พร้อมพันธมิตรลงนามสัญญาร่วมลงทุนเรียบร้อย

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งกำกับดูแลงานด้านคมนาคม โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก “อนุทิน ชาญวีรกูล” ระบุว่า
วันนี้ (24 ต.ค.62) จะมีการเซ็นสัญญาโครงการรถไฟฟ้า 3 สนามบิน ดอนเมือง สุวรรณภูมิ อู่ตะเภา ซึ่งเป็นโครงการสำคัญและมีผลต่ออนาคตการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี โครงการที่จะนำการลงทุนเข้าสู่ประเทศไทย จำนวนมาก และเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ประเทศไทย ก้าวไปข้างหน้าได้ เหมือนที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว เมื่อครั้งโครงการอีสเทิร์นซีบอร์ด เมื่อ 30 ปีที่แล้ว

ผมมีความสุขที่เป็นฟันเฟืองหนึ่งให้เกิดการลงนามในสัญญาวันนี้ได้ 1.สร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนทั่วโลก ที่เฝ้ารอดูการการเกิดขึ้นของโครงการนี้ 2.รักษาผลประโยชน์ของรัฐ ได้ ไม่น้อยกว่า 50,000 ล้านบาท 3.จะมีการลงทุนและการจ้างงานในโครงการนี้ มูลค่ามากกว่า 200,000 ล้านบาท และ การพัฒนาที่ดิน การก่อสร้างต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่อง ตลอดจนการจัดทำโครงการ โรงงานต่างๆ อีกมาก ซึ่งคาดว่า จะมีเม็ดเงินสะพัดไม่น้อยกว่า 1 ล้านล้านบาท ซึ่งจะทำให้ประชาชนมีงานทำ มีรายได้ เป็นการแก้ปัญหาปากท้องประชาชน ซึ่งเป็นปัญหาอันดับหนึ่งของประชาชน และประเทศไทย 4.โครงการนี้ จะเป็นการพลิกฟื้นเศรษฐกิจประเทศไทย ให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

ถ้าจำกันได้ ผมเคยพูดว่าผมจะสนับสนุนให้มีการลงนามในสัญญาโครงการนี้ให้ได้ โดยให้รัฐได้ประโยชน์สูงสุด หากผู้ที่ชนะการประมูล คือ CPH มีปัญหาอุปสรรคตรงไหน อย่างไร ผมจะพยายามแก้ไข และ เคลียร์ให้ได้มากที่สุด ภายใต้กรอบของกฎหมาย ซึ่งผมได้ทำตามที่พูดไว้แล้ว คือ จะมีการลงนามในสัญญาฉบับนี้ ในวันนี้แล้ว และมั่นใจว่าผมได้รักษาผลประโยชน์ของรัฐ ไว้ สำคัญที่สุด ทำทุกอย่างให้เป็นไปตามกรอบของกฎหมาย

ผมขอบคุณท่านนายกรัฐมนตรี ที่ริเริ่มโครงการนี้ และผู้ปฏิบัติทุกท่านที่ช่วยกันคิดหาแนวทางที่จะทำให้โครงการนี้เกิดขึ้น และ ขอบคุณ CPH ที่มีความตั้งใจ มีความมุ่งมั่นที่จะร่วมมือกันเพื่อพัฒนาประเทศไทยของเรา

สุดท้าย ที่สบายใจ คือ การลงนามสัญญาวันนี้ ผมไม่ต้องจ่ายเงินส่วนตัวทุบเสาตอม่อโฮปเวลล์ เพราะคู่สัญญาคือ การรถไฟแห่งประเทศไทย กับ CPH ตกลงกันได้แล้ว ขอบคุณที่สุดคือ ประชาชน และ สื่อมวลชน ที่ช่วยกันตรวจสอบ และสนับสนุน การทำงานของรัฐบาล

รฟท.-กลุ่มซีพีพร้อมพันธมิตรลงนามสัญญาร่วมลงทุนเรียบร้อย

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีลงนามสัญญาร่วมลงทุนในโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสาม สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) ระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และบริษัท รถไฟความเร็วสูงสายตะวันออกเชื่อมสามสนามบิน จำกัด (กลุ่มกิจการร่วมค้าบริษัทเจริญโภคภัณฑ์โฮลดิ้ง จำกัด และพันธมิตร) และพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจเพื่อสนับสนุนโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบินระหว่างสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก การรถไฟแห่งประเทศไทย และบริษัท รถไฟความเร็วสูงสายตะวันออกเชื่อมสามสนามบิน จำกัด

นายวรวุฒิ มาลา รองผู้ว่าการกลุ่มธุรกิจการบริหารทรัพย์สิน รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการ รฟท. กล่าวว่า การลงนามสัญญาครั้งนี้ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทย ภายใต้การกำกับดูแลอย่างรัดกุมของคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก และนับเป็นครั้งแรกของรัฐบาลที่ได้ผลักดันโครงการรถไฟความเร็วสูงในรูปแบบการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP Net Cost) ที่มีมูลค่าสูงถึง 224,544 ล้านบาท โดยที่ประเทศไทยได้ประโยชน์สูงสุดจากข้อตกลงสัญญาสัมปทานโดยมีกรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ 119,425 ล้านบาท (มูลค่าปัจจุบัน) ปรากฎว่ากลุ่มเอกชนเสนอกรอบวงเงินที่รัฐร่วมลงทุน 117,226 ล้านบาท (มูลค่าปัจจุบัน) ส่งผลให้รัฐประหยัดค่าใช้จ่ายได้ถึง 2,200 ล้านบาท ภายใต้สัญญาร่วมลงทุน 50 ปี อีกทั้งทรัพย์สินทั้งหมดจะเป็นกรรมสิทธิ์ของรัฐเมื่อสิ้นสุดสัญญา

สำหรับโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน มีแนวเส้นทางเชื่อมโยงท่าอากาศยานสำคัญของประเทศ โดยเริ่มต้นที่ท่าอากาศยานดอนเมือง วิ่งตรงเข้าสู่สถานีกลางบางซื่อ ผ่านสถานีมักกะสัน เลี้ยวเข้าสู่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มุ่งหน้าต่อไปตามแนวทางรถไฟสายตะวันออก ผ่านแม่น้ำบางปะกง เข้าสู่สถานีฉะเชิงเทรา สถานีชลบุรี สถานีศรีราชา สถานีพัทยา และเข้าสู่ท่าอากาศยานอู่ตะเภาเป็นสถานีสุดท้าย ระยะทางรวม 220 กิโลเมตร (กม.) โดยขบวนรถสามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

ทั้งนี้ โครงการรถไฟความเร็งสูงเชื่อมสามสนามบิน คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในปี 2566 ซึ่งเมื่อแล้วเสร็จจะทำให้เกิดการพัฒนาเมืองโดยรอบสถานี นำความเจริญสู่ชุมชน เกิดการกระจายรายได้ให้ประชาชนในพื้นที่ได้มีที่ค้าขาย มีผลตอบแทนทางเศรษฐกิจประมาณ 650,000 ล้านบาท ถือเป็นกุญแจสำคัญในการยกระดับเศรษฐกิจไทยตามนโยบาย Thailand 4.0 นอกจากนี้ยังส่งผลให้เกิดการจ้างงานในช่วงก่อสร้างมากถึง 16,000 อัตรา และการจ้างงานในธุรกิจเกี่ยวเนื่องมากกว่า 100,000 อัตรา ใน 5 ปีข้างหน้า รวมทั้งเปิดโอกาสให้คนไทยได้เรียนรู้วิธีการทำงานในโครงการด้วยเทคโนโลยีสูงอย่างต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาสู่การเป็นบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญสูงและมีศักยภาพเพียงพอที่จะสามารถแข่งขันกับนานาประเทศได้

ให้ความสำคัญสภาฯ! “บิ๊กแดง”บินกลับด่วนเข้าแจงกมธ.มั่นคง ปมบรรยายพิเศษ

People Unity : ให้ความสำคัญสภาฯ! “บิ๊กแดง”บินกลับด่วนเข้าแจงกมธ.มั่นคง ปมบรรยายพิเศษ “แผ่นดินของเราในมุมมองด้านความมั่นคง”

วันที่ 21 ต.ค.2562 พลเอกอภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก พร้อมด้วยพลเอกสุนัย ประภูชะเนย์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก เดินทางเข้าชี้แจงต่อที่ประชุมคณะกรรมาธิการกิจการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทยยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ที่มีพลโทพงศกร รอดชมภู เป็นประธาน หลังเสร็จสิ้นภารกิจ ตรวจชายแดนไทย-เมียนมา ที่จังหวัดกาญจนบุรี หลังคณะกรรมธิการฯ มีมติ ให้เชิญผู้บัญชาการทหารบกมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นภายหลังเปิดเวทีบรรยายเรื่อง “แผ่นดินของเราในมุมมองด้านความมั่นคง” เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม ที่ผ่านมา

พลเอกอภิรัชต์ กล่าวว่า ตนให้ความสำคัญกับคณะกรรมาธิการฯชุดนี้ ซึ่งหลังจากที่ได้มีการส่งหนังสือเชิญตนผ่านทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ทางรัฐมนตรีญก็ได้พิจารณาและให้กองทัพบกจัดตามความเหมาะสม ซึ่งในวันนี้เมื่อช่วงเช้าตนได้มีภารกิจตรวจเยี่ยมหน่วยทหารชายแดนไทย-เมียนมา และมอบนโยบาย ที่จังหวัดกาญจนบุรี โดยตามกำหนดการจะเสร็จในช่วงบ่าย แต่ตนได้ยกเลิกภารกิจบางส่วนเพื่อบินกลับมา และได้เปลี่ยนเสื้อผ้าในรถยนต์ ทั้งนี้ยืนยันว่า พร้อมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและให้ความร่วมมือต่อที่ประชุมคณะกรรมาธิการฯ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทั้งนี้เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา พลเอกอภิรัชต์ได้มอบหมายให้พลเอกสุนัยเข้าชี้แจงแทน เนื่องจากติดภารกิจ ตรวจชายแดนไทย-เมียนมา ที่จังหวัดกาญจนบุรีในช่วงเช้า แต่พลโทพงศกรไม่อนุญาตให้พลเอกสุนัยชี้แจงเนื่องจากเห็นว่า การบรรยายดังกล่าวนั้นเป็นเรื่องเฉพาะตัวของผู้บัญชาการทหารบก จึงจำเป็นต้องให้ผู้บัญชาการทหารบก มาชี้แจง เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล และแลกเปลี่ยนความคิดเห็น กับกรรมาธิการฯ ด้วยตัวเอง พร้อมยืนยันว่า การเชิญผู้บัญชาการทหารบกมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันนี้ไม่ใช่การแทรกแซงการทำงาน แต่เป็นการแลกเปลี่ยนความเห็น และหากกรรมาธิการมีข้อสังเกตสำคัญ ก็จะเสนอให้ผู้บัญชาการทหารบก ไปพิจารณา ซึ่งจะดำเนินการหรือไม่ก็ได้

โดยการชี้แจงของพลเอกอภิรัชต์ต่อที่ประชุมกรรมาธิการฯ เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับกรรมาธิการนั้น เป็นการหารือแบบลับ ไม่อนุญาตให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าร่วมรับฟัง

อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ เฟซบุ๊ก”Wassana Nanuamได้โพสต์ข้อความโดยสรุปว่า” “บิ๊กแดง” ไม่ว่าง! บินตรวจชายแดน ส่ง”บิ๊กนัย” ผู้ช่วยผบ.ทบ.รบพิเศษ ไปพบกรรมาธิการ ความมั่นคงฯ แทน ทบ.ส่งหนังสือ ย้ำ ขอให้เกียรติ ผู้แทน ทบ. ด้วยกองทัพบก ได้ส่งหนังสือ ถึงคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐกิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎรว่า ตามที่ มีหนังสือถึงรมว.กลาโหมเพื่อเชิญ พลเอกอภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. ไปแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เรื่องความมั่นคงนั้น นับเป็นเรื่องที่ดีและถือเป็นการเพิ่มความเข้าใจ ระหว่างหน่วยงานด้านความมั่นคง กับคณะกรรมาธิการ รวมทั้งผู้ทรงคุณวุฒิ ทิซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อความมั่นคงของชาติ…………………….”

“ภท.”ชู”มนัญญา”หญิงแกร่งแบน 3 สารพิษจนสำเร็จ

People Unity : “ภท.”ชู”มนัญญา”หญิงแกร่ง ผนึกกำลัง “กษ.-สธ.” แบน 3 สารพิษจนสำเร็จ “อนุทิน” ขอบคุณทุกฝ่ายให้ความร่วมมือช่วยผลักดันนโยบาย “เศรษฐพงค์” ลั่น “ภูมิใจไทย”จะเดินหน้าทำงานหนักต่อไปเพื่อประโยชน์ปชช.

เมื่อวันที่ 26 ต.ค. พ.อ.ดร.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า หลังจากที่รัฐบาลได้เข้าทำงานมากว่า 4 เดือน เห็นได้ชัดเจนว่ารัฐบาลเดินหน้าทำงานอย่างหนัก เพื่อแก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชน โดยเฉพาะรัฐมนตรีในส่วนของพรรคภูมิใจไทย ต่างเดินหน้าทำงานในหน้าที่อย่างเต็มที่ เพื่อให้เกิดผลสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นกรณีของ น.ส.มนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่กำกับดูแลกรมวิชาการเกษตร ก็ได้ผนึกกำลังร่วมกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและรมว.สาธารณสุข ในการผลักดันแบนด์ 3 สารพิษได้เป็นผลสำเร็จ ซึ่งน.ส.มนัญญา ถือเป็นรัฐมนตรีผู้หญิงเพียงคนเดียวของพรรคภูมิใจไทย ที่ทำงานเดินหน้าต่อสู้ในสิ่งที่ถูกต้อง แม้จะเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ แต่เรียกได้ว่าเป็นหญิงแกร่งแห่งพรรคภูมิใจไทย สู้ไม่ทอยในเรื่องที่ถูกต้อง เพื่อประโยชน์ เพื่อชีวิตที่ดีกว่าของพี่น้องประชาชน

พ.อ.ดร.เศรษฐพงค์ กล่าวว่า นอกจากนี้ยังมีในส่วนของกระทรวงคมนาคมที่พรรคภูมิใจไทยกำกับดูแล โดยมีนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ เป็นรัฐมนตรีว่าการฯ ก็ได้มีการเซ็นสัญญาโครงการรถไฟฟ้า 3 สนามบิน ดอนเมือง สุวรรณภูมิ อู่ตะเภา ซึ่งเป็นโครงการสำคัญและมีผลต่ออนาคตการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี เป็นโครงการที่จะนำการลงทุนเข้าสู่ประเทศไทยจำนวนมาก และเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ประเทศไทย ก้าวไปข้างหน้าได้ ตนจึงอยากให้พี่น้องประชาชาชนได้เห็นถึงความตั้งใจในการทำงานของพรรคภูมิใจไทย เราสัญญาว่าบุคลากรของพรรคภูมิใจไทยทุกคน จะเดินทำงานหนัก อย่างไม่ย่อท้อ เพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชนต่อไป

“ท่านอนุทิน ฝากขอบคุณทุกคน ทุกหน่วยงาน รวมถึงรัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทยทุกคน ที่ให้ความร่วมมือในการทำงานผลักดันนโยบายที่เป็นประโยชน์ ให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรมและประสบความสำเร็จอย่างดี ซึ่งผลงานที่ออกมา ไม่ใช่เป็นของพรรคภูมิใจไทยเท่านั้น แต่ถือเป็นผลงานของรัฐบาลด้วย เพราะทุกนโยบายที่จะสำเร็จได้ ลำพังเพียงพรรคภูมิใจไทยพรรคเดียวไม่อาจทำให้สำเร็จได้ ต้องได้แรงสนับสนุนจากรัฐบาลด้วย ดังนั้นผลงานที่ออกมาต้องให้เครดิตกับทุกคนในรัฐบาล” โฆษกพรรคภูมิใจไทย กล่าว

“ประภัตร”แนะเร่งขึ้นทะเบียนปุ๋ยอินทรีย์ สารชีวภาพกำจัดศัตรูพืชสูตรโครงการหลวง

People Unity : “ประภัตร” ออกโรงหาสารทางเลือกทดแทน 3 สารพิษเกษตรให้ชาวไร่ชาวนา แนะหน่วยงานเร่งขึ้นทะเบียนปุ๋ยอินทรีย์ สารชีวภาพกำจัดศัตรูพืชสูตรโครงการหลวง และสูตรภูมิปัญญาชาวบ้าน ให้จบรู้ผลใน3-7วันนี้ ลั่นไม่กระทบต้นทุนทำเกษตร

เมื่อวันที่ 23 ต.ค.2562 นายประภัตร โพธสุธน รมช.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงกรณีการแบน 3 สารเคมี คลอร์ไพรีฟอส พาราควอต ไกลโฟเซต ยกระดับเป็นวัตถุอันตรายประเภท 4 โดยห้าม จำหน่าย ผลิต ครอบครอง นำเข้า ส่งออก ให้มีผลวันที่ 1 ธ.ค.นี้ทันทีว่าคนไทยส่วนใหญ่เห็นว่าสาร 3 ตัวมีอันตรายต่อร่างกาย ตนเห็นด้วยที่ยุติการใช้สารเคมี โดยกระทรวงเกษตรฯทุกคนเห็นด้วยเราสนับสนุนการแบนสารครั้งนี้ กระทรวงเกษตรฯจะร่วมมือกับทุกฝ่ายแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรเพราะต้องยอมรับว่าเกษตรกรบางส่วน ยังเคยชินกับการใช้สารเคมี ดังนั้นการปรับเปลี่ยนให้มาใช้สารทางเลือกในการทำเกษตรปลอดภัย จะต้องทำให้เกษตรกรเกิดความเชื่อถือในสารชีวภัณฑ์ตัวใหม่ ที่เป็นอินทรีย์ มาทดแทน โดยจะไม่ทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้นไม่ให้เป็นภาระกับชาวไร่ชาวนา

“ชาวไร่ ชาวนา บางส่วนยังติดการใช้สารเคมี เพราะเคยใช้อะไร ที่หาง่าย ฉีดแล้วหญ้า แมลง ตายทันที ถ้ามาใช้ตัวใหม่ศัตรูพืชตายช้าลง ก็ยังอยากใช้ตัวเดิม ซึ่งการแบน3สารในครั้งนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของประเทศ ขอให้ทุกฝ่ายจะต้องมาพูดกันช่วยกัน หันหน้ามาช่วยกัน ทำให้เกษตรกรฐานราก ให้อยู่ได้ เพราะเกษตรกรเป็นฐานใหญ่ของประเทศ ใครมีข้อคิดเห็นดีๆมาเสนอได้ ซึ่งสารทดแทน มีมากหลายอย่าง สิ่งสำคัญต้องทำให้เกษตรกร เชื่อถือ ในผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ที่อาจกำจัดศัตรูพืชได้ช้ากว่า3สาร ซึ่งต้องหาทางเลือก ทางออกทำเกษตรที่มีความปลอดภัยต่อร่างกายมนุษย์และสิ่งแวดล้อม ถึงเวลาที่ทุกภาคส่วนต้องคิดทำสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อคนไทย ไม่ให้แผ่นดินไทย เต็มไปด้วยสารพิษ เป็นที่ทิ้งสารเคมีที่ต่างประเทศ แต่มีเพียงคนกลุ่มเดียวได้ผลประโยชนมหาศาลจากการเอาเปรียบคนไทยมาตลอด ซึ่งจากนี้กรมวิชาการเกษตร ต้องเปิดรับการขึ้นทะเบียน ให้กับสารทดแทน สารชีวภัณฑ์ ที่คิดค้นโดยคนไทย นำภูมิปัญญาชาวบ้าน มาขึ้นทะเบียนสูตรต่างๆไว้ ทั้งปุ๋ยอินทรีย์ สารชีวภาพ วีธีการทำเกษตรปลอดสาร ที่ใช้ทำในโครงการหลวง ของในหลวงรัชกาลที่9 พระองค์ทรงทำต้นแบบไว้มากมายให้คนไทย” นายประภัตร กล่าว

นายประภัตร กล่าวว่ากรมวิชาการเกษตร ต้องเปิดรับการขอจดขึ้นทะเบียน สูตรปุ๋ย ยากำจัดศัตรูพืช ที่เป็นอินทรีย์ ทำในประเทศได้ผลดี ทุกวันนี้ทำใช้กันในชุมชนมีเป็นจำนวนมาก และต้องให้รู้ผลโดยเร็วภายใน3-7วัน เพื่อมาเป็นสารทางเลือกให้กับเกษตรกร รวมทั้งควรเปิดโอกาส ผู้ประกอบการ ผู้คิดค้น ที่มีสารทดแทน ใครมีของดี นำมาเข้าสู่ขั้นตอนทางวิชาการ และกรมวิชาการเกษตร ต้องบอกมาว่าไม่ให้ขึ้นทะเบียนเพราะอะไรใน 3-7วัน หากเครื่องมือตรวจสอบไม่พอ ตนจะขอให้เอกชน มาช่วยเพื่อการทดสอบจะได้รวดเร็วขึ้น เพราะชาวไร่ ชาวนา ต้องมีทางเลือกให้เขาโดยไม่กระทบต้นทุน ซึ่งตนเห็นว่าโครงการหลวง ทั่วประเทศ มีสารอินทรีย์ สูตรกำจัดวัชพืช แมลง ที่เกษตรกรสามารถทำได้เอง ให้หน่วยงานเข้าไปดู นำมาขึ้นทะเบียนโดยเร็วเพื่อให้นำทำเองใช้ได้อย่างแพร่หลาย ทั้งมีความปลอดภัยต่อผู้บริโภคและเกษตรกรอีกด้วย

“หม่อมเต่า”แจงยัน! ไทยคุ้มครองสิทธิแรงงาน ตามหลักมาตรฐานสากล

People Unity : “หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล”รมว.แรงงาน เผยกรณีสหรัฐฯตัดจีเอสพีไทย ยืนยันกระทรวงแรงงานและหน่วยงานเกี่ยวข้องบูรณาการคุ้มครองแรงงานยึดหลักสากลมาตลอด ทั้งการขจัดการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้ายที่สุดระดับความสำเร็จมากเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน การแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ด้านแรงงานโดยปรับสถานะเป็นเทียร์ 2 การคุ้มครองแรงงานในกิจการประมงและได้ปลดใบเหลืองไอยูยู

เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2562 หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยภายหลังการเป็นประธานการประชุมหารือร่วมกับ นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน และผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงแรงงานถึงกรณีที่สหรัฐอเมริกาจะตัดสิทธิพิเศษภาษีศุลกากรสินค้า (จีเอสพี) ของไทยในอีก 6 เดือน โดยอ้างว่าประเทศไทยไม่สามารถแก้ปัญหาแรงงานให้เป็นไปตามหลักสากลได้นั้น ณ ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน โดย รมว.แรงงาน ได้กล่าวถึงผลการดำเนินการคุ้มครองแรงงานของกระทรวงแรงงานเพื่อให้เป็นไปและสอดคล้องตามหลักมาตรฐานสากลว่า ที่ผ่านมา รัฐบาลโดยกระทรวงแรงงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ตระหนักและให้ความสำคัญในการดูแลคุ้มครองแรงงานทุกคน เพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์และความปลอดภัยในการทำงาน รวมทั้งอยู่บนพื้นฐานของหลักสิทธิมนุษยชนและความเสมอภาคเท่าเทียมกัน โดยทุกภาคส่วนได้บูรณาการการทำงานมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากผลการดำเนินงาน ทำให้ประเทศไทยอยู่ในระดับความสำเร็จมาก (Significant Advancement) ของสถานการณ์การขจัดการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้ายที่สุด ในปี 2560 เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน

ม.ร.ว.จัตุมงคล กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ กระทรวงต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ยังได้ปรับสถานการณ์ปราบปรามการค้ามนุษย์ของประเทศไทยจาก Tier 2 Watch List มาเป็นระดับ Tier 2 และสหภาพยุโรป หรืออียู ประกาศปลดใบเหลืองไอยูยู ในส่วนของการรับรองอนุสัญญาฯต่อไอแอลโอ กระทรวงแรงงานได้ให้สัตยาบันพิธีสารส่วนเสริมปี ค.ศ.2014 ส่วนเสริมอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 29 ว่าด้วยแรงงานบังคับ ค.ศ.1930 และแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ เพื่อบังคับใช้กฎหมาย การช่วยเหลือคุ้มครองผู้เสียหายจากแรงงานบังคับ และกำหนดบทลงโทษเกี่ยวกับการบังคับใช้แรงงานหรือบริการให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น รวมทั้งการยื่นจดทะเบียนให้สัตยาบันอนุสัญญาไอแอลโอ ฉบับที่ 188 ว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานภาคประมง ค.ศ.2007 ต่อไอแอลโอ เพื่อคุ้มครองแรงงานประมงให้ได้รับสิทธิด้านสุขภาพ ประกันสังคม และความปลอดภัยในการทำงาน โดยจะมีผลบังคับใช่ในวันที่ 18 พฤศจิกายนที่จะถึงนี้ ขณะเดียวกันยังได้พิจารณาให้สัตยาบันอนุสัญญาฯ ฉบับที่ 87 และ 98 เกี่ยวกับการรวมตัวตั้งเป็นสหภาพแรงงานและเจรจาต่อรอง ซึ่งขณะนี้กำลังปรับปรุงกฎหมายเสนอต่อคณะรัฐมนตรีและกฤษฎีกา รวมทั้งรับฟังความเห็นจากทุกฝ่าย

ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานจะทำงานอย่างใกล้ชิดกับองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) เพื่อให้การดูแลคุ้มครองแรงงานทุกคนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องตามหลักมาตรฐานสากลต่อไป

โฆษณา

Verified by ExactMetrics