วันที่ 17 พฤษภาคม 2024

วัดพระธรรมกายถวายสังฆทาน คณะสงฆ์ 323 วัด 4 จว.ใต้ ปีที่ 15 ครั้งที่ 148

People Unity News : วัดพระธรรมกายจัดพิธีถวายสังฆทานคณะสงฆ์ 323 วัด 4 จังหวัดชายแดนใต้ ปีที่ 15 ครั้งที่ 148

วันเสาร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ.2562 พระภาวนาธรรมวิเทศ ผู้แทนวัดพระธรรมกายและกัลยาณมิตรทั่วทั้งโลก ร่วมกับคณะสงฆ์จังหวัดยะลา หน่วยงานภาครัฐ – เอกชน และประชาชน จัดพิธีถวายสังฆทานแด่คณะสงฆ์ 323 วัด พิธีทำบุญอุทิศส่วนกุศลแด่ผู้วายชนม์จากเหตุการณ์ความไม่สงบ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และ 4 อำเภอในจังหวัดสงขลา) ปีที่ 15 ครั้งที่ 148 และพิธีมอบกองทุนหนุนแรงใจช่วยครูใต้ ปีที่ 12 ครั้งที่ 113 จำนวน 357 กองทุน ณ ศาลาการเปรียญ วัดพุทธภูมิ พระอารามหลวง จังหวัดยะลา

พิธีเริ่มเวลา 06.30 น. ประชาชนร่วมทำบุญตักบาตรพระ 100 รูป โดยมีพระราชปัญญามุนี เจ้าคณะจังหวัดยะลา เป็นประธานสงฆ์ นายสุริยา บุญพันธ์ ปลัดอาวุโสอำเภอเมืองยะลา รักษาการแทนนายอำเภอเมืองยะลา เป็นประธานฝ่ายฆราวาส จากนั้นเป็นพิธีมอบกองทุนหนุนแรงใจช่วยครูใต้ ปีที่ 12 ครั้งที่ 113 พิธีทำบุญอุทิศส่วนกุศลแด่ผู้วายชนม์ อันเนื่องมาจากเหตุการณ์ความไม่สงบ และพิธีถวายสังฆทานแด่คณะสงฆ์ 323 วัด 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยได้รับความเมตตาจากพระเดชพระคุณพระโพธาภิรามมุนี เจ้าคณะจังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส (ธรรมยุต) เจ้าอาวาสวัดยะลาธรรมาราม เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และ พ.ต.อ. ธนูศาตนันทน์ ชูสมทิวัตถ์ ผู้กำกับการ กองบังคับการ สืบสวนสอบสวนจังหวัดชายแดนใต้ เป็นประธานฝ่ายฆราวาส จากนั้นพระภาวนาธรรมวิเทศ กล่าวความในใจ พร้อมมอบเครื่องอุปโภคบริโภคช่วยเหลือทหาร ตำรวจ ผู้ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่เสี่ยงภัย

นายสำเริง ดิษฐวิชัย ครูโรงเรียนนิคมสร้างตนเองพัฒนาภาคใต้ จ.ยะลา กล่าวว่า “ตนสอนอยู่ในถิ่นทุรกันดารและเสี่ยงภัย การได้รับมอบกองทุนหนุนแรงใจช่วยครูใต้ ทำให้เกิดขวัญและกำลังใจในการที่จะปฏิบัติหน้าที่ การเป็นครูต้องทุ่มเท ต้องมีจิตเมตตา ชาวพุทธต้องมีความสามัคคีเป็นหนึ่งเดียวกัน ท้อได้แต่อย่าท้อถอย ถ้าเราสู้เราต้องชนะ”

พิธีถวายสังฆทานแด่คณะสงฆ์ 323 วัด 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และพิธีทำบุญอุทิศส่วนกุศลแด่ผู้วายชนม์จากเหตุการณ์ความไม่สงบ จัดขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ.2548 ณ วัดมุจลินทวาปีวิหาร จ.ปัตตานี ปัจจุบันจัดติดต่อกันเป็นปีที่ 15 ครั้งที่ 148 รวมมูลค่าความช่วยเหลือกว่า 416 ล้านบาท และจัดอย่างต่อเนื่องทุกเดือนจนกว่าเหตุการณ์จะสงบ ส่วนกองทุนหนุนแรงใจช่วยครูใต้ รวม 12 ปี มอบแล้วกว่า 30,000 กองทุน เป็นเงินกว่า 60 ล้านบาท

โฆษณา

“ประยุทธ์” สั่งการ พศ. เข้มวินัยสงฆ์

People Unity News : 8 พฤษภาคม 2565 นายกฯ ห่วงกระแสข่าววิพากษ์วิจารณ์พระสงฆ์ที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม สั่งการ พศ. เข้มวินัยสงฆ์

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แสดงความเป็นห่วงต่อกระแสข่าวที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงพระสงฆ์ที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ส่งผลต่อความศรัทธาของพี่น้องประชาชน สั่งการสำนักพระพุทธศาสนา กำชับสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด (พศจ.) เข้มงวดพระสงฆ์ให้ปฏิบัติตามหลักพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด

นายธนกร กล่าวว่า หน้าที่หลักของพระสงฆ์คือ การธำรงรักษา และเผยแผ่พระธรรมคำสอนของพระบรมศาสดาให้ยั่งยืนสืบไป ด้วยสังฆคุณอันยิ่งใหญ่นี้ พุทธศาสนิกชนจึงควรรู้จักการปฏิบัติตนต่อพระภิกษุสงฆ์ที่เหมาะสม หน้าที่หลักของพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ได้แก่ การศึกษาหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา แล้วปฏิบัติตาม พร้อมทั้งนำหลักคำสอนมาเผยแผ่แก่ประชาชน การจะปฏิบัติกิจใดๆก็ตามต้องไม่ละเลยการประพฤติในส่วนที่เรียกว่า “พรหมจรรย์” ซึ่งเป็นความประพฤติเพื่อความประเสริฐ เพื่อบรรลุถึงความสิ้นกิเลส โดยประพฤติให้เป็นไปตามพุทธบัญญัติและต้องเอื้อเฟื้อ ไม่ละเมิดพุทธอาณัติอันเป็นข้อห้ามมิให้ประพฤติ หรือเรียกว่าประพฤติให้เป็นไปตามพระธรรมวินัย

“นายกรัฐมนตรี ขอให้ พศจ. เร่งประสานงานกับเจ้าคณะปกครองสงฆ์ในพื้นที่อย่างใกล้ชิด พร้อมลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง และหาแนวทางร่วมกันในการทำความเข้าใจต่อสังคมให้ถูกต้อง รวมถึงสอดส่องดูแล ให้พระภิกษุสงฆ์ปฏิบัติตามคำสั่งมหาเถรสมาคม เป็นตัวอย่างที่ดีแก่ประชาชน สร้างศรัทธา สร้างความเหลื่อมใส ร่วมกันทำนุบำรุงศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าต่อไป” นายธนกร กล่าว

Advertisement

รัฐบาลยันเตียงผู้ป่วยโควิด19 เพียงพอ เผยใน กทม. มี 20,652 เตียง ยังว่างอยู่ 7,905 เตียง

People Unity News : รัฐบาลยืนยันเตียงผู้ป่วยโควิด19 เพียงพอ ขยายเพิ่ม 1 พัน รองรับผู้ป่วยมีอาการ คุมเข้มการระบาดแคมป์คนงาน

วันนี้ (22 พ.ค.64) นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ผู้ติดเชื้อโควิด19 รายใหม่ ที่พบว่ามีเพิ่มขึ้นมากในพื้น กทม.และปริมณฑล นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในที่ประชุม ศบค. วันนี้ (22 พ.ค.) ได้ติดตามความพร้อมของจำนวนเตียงผู้ป่วยกลุ่มสีแดง (อาการหนัก) และเหลือง (มีอาการ) เพื่อให้มั่นใจว่ามีเพียงพอต่อการรองรับแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยมีอาการ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขรายงานว่า จากข้อมูลระบบ Co-ward ณ วันที่ 20 พ.ค. มีจำนวนเตียงทั้งหมดในโรงพยาบาล โรงพยาบาลสนาม และ Hospitel ในพื้นที่ กทม. จำนวน 20,652 เตียง ผู้ป่วยครองเตียง  61% ยังว่างอยู่ 7,905 เตียง ในพื้นที่เขตสุขภาพ 1-12 จำนวน 40,648 เตียง ผู้ป่วยครองเตียง 39% ว่างอยู่ 24,786 เตียง และหากแบ่งตามอาการความรุนแรง จากข้อมูลทั่วประเทศ มีผู้ป่วยครองเตียง ระดับสีแดง 69% ระดับสีเหลือง 54% และระดับสีเขียว 44%

ส่วนพื้นที่ กทม.และปริมณฑลซึ่งมีผู้ติดเชื้อโควิด19 เกินกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนผู้ติดเชื้อทั้งหมดทั่วประเทศ ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขได้มีแผนขยายจำนวนเตียงโรงพยาบาลบุษราคัมอีก 1 พันเตียง เพื่อรองรับผู้ป่วยมีอาการที่มีจำนวนเพิ่มขึ้น ในภาพรวมมีการบริหารจัดการที่ดี มีบุคลากรทางการแพทย์สลับเข้ามาดูแล  ใช้กล้องซีซีทีวีเพื่อติดตามดูแลผู้ป่วยด้วย และกระทรวงฯยังได้ประสานโรงพยาบาลเอกชนเพื่อเพิ่มจำนวนเตียงรองรับผู้ป่วยอาการหนักด้วย ซึ่งแนวทางการจัดการเตียงในทุกโรงพยาบาล หากผู้ป่วยอาการหนักมีอาการดีขึ้น ก็จะได้รับการส่งต่อไปรับการดูแลโรงพยาบาลกลุ่มสีเหลืองที่ดูแลผู้ป่วยอาการไม่มากต่อไป

สำหรับผู้ติดเชื้อโควิด19 ที่พบในกลุ่มแรงงานต่างด้าวเป็นคลัสเตอร์ กระจายอยู่ในแคมป์ก่อสร้างในหลายเขตของ กทม.นั้น คณะกรรมการโรคติดต่อ กทม. เห็นชอบแนวทางการควบคุมพื้นที่แคมป์คนงานก่อสร้าง เขตหลักสี่ โดย 1)ไม่ให้มีการเคลื่อนย้ายแรงงาน 2)จัดการดูแลสุขอนามัยของผู้ที่อยู่ในแคมป์ 3)ส่งมอบอาหาร 4)จัดทีมแพทย์ดูแลรักษาเบื้องต้นแก่ผู้ติดเชื้อที่อยู่ภายใน และ 5)หากพบผู้มีอาการป่วยจะนำส่งโรงพยาบาลต่อไป ส่วนการดูแลแคมป์คนงานก่อสร้างอื่นๆ จะแบ่งเป็น 2 ลักษณะคือ 1) แคมป์คนงานก่อสร้างที่อยู่ในพื้นที่เดียวกับสถานที่ก่อสร้าง หากพบผู้ติดเชื้อให้ดำเนินการควบคุมพื้นที่เช่นเดียวกับแคมป์คนงานเขตหลักสี่ โดยผู้ที่อยู่ภายในยังสามารถทำงานได้ตามปกติ และ 2) แคมป์คนงานก่อสร้างที่ไม่ได้อยู่พื้นที่เดียวกับสถานที่ก่อสร้าง ให้กักตัวผู้ที่ติดเชื้อในพื้นที่แคมป์ซึ่งเจ้าของต้องจัดให้เหมาะสม ภายใต้การดูแลของสำนักงานเขตและสำนักอนามัย และผู้ที่ไม่ติดเชื้อที่ต้องเดินทางไปทำงานจะต้องแจ้งเส้นทางการเดินทางต่อเขตต้นทางและปลายทาง โดยจะต้องไม่จอดหรือหยุดพักระหว่างทาง และปฏิบัติตามมาตรการอื่นๆที่กำหนดอย่างเคร่งครัด พร้อมกันนี้ สำนักอนามัยจะจัดทีมลงพื้นที่เสี่ยงเพื่อตรวจค้นหาผู้ป่วยเชิงรุก ต่อเนื่องจนถึงวันที่ 30 ก.ย. หมุนเวียน 6 กลุ่มเขต เพื่อลดการเดินทางของประชาชนให้ได้มากที่สุดด้วย

“นายกรัฐมนตรีห่วงใยและติดตามการดำเนินการในพื้นที่ กทม.และจังหวัดโดยรอบอย่างใกล้ชิด ยืนยันดูแลทุกชีวิตให้ดีที่สุด ไม่อยากให้เกิดความสูญเสีย มั่นใจแนวทางที่สาธารณสุข กทม.และหน่วยงานต่างๆที่ร่วมกันดำเนินการอยู่นี้ครอบคลุมการเร่งค้นหาผู้ป่วยเชิงรุก การดำเนินการฉีดวัคซีน จะสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้”  นางสาวรัชดากล่าว

Advertising

องคมนตรีเปิดศูนย์ส่งเสริมสุขภาพอัจฉริยะ”สถานีใส่ใจ”ในปั๊ม ปตท.สระแก้ว

People Unity News : องคมนตรี เปิดศูนย์ส่งเสริมสุขภาพอัจฉริยะ “สถานีใส่ใจ” ในปั๊มน้ำมัน ปตท. จ.สระแก้ว ดูแลสุขภาพประชาชนเบื้องต้น ลดความแออัดผู้รับบริการในโรงพยาบาล

เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2562 ที่ จ.สระแก้ว ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์เกษม วัฒนชัย องคมนตรี ในฐานะประธานกรรมการมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช พร้อมด้วยนายแพทย์ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ กรรมการมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์พิศิษฐ์ ศรีประเสริฐ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข หัวหน้ากลุ่มงานภารกิจด้านสนับสนุนงานบริการสุขภาพ นายแพทย์วันชัย สัตยาวุฒิพงศ์ กรรมการและผู้ช่วยเลขาธิการมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช นายแพทย์ภูวดล กิตติวัฒนาสาร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว นางสาว อรนุช ไวนุสิทธิ์ ประธานกรรมการมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช สาขาสระแก้ว นายวิทวัส สวัสดิ์-ชูโต ประธานเจ้าหน้าที่เทคโนโลยีและวิศวกรรม บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และนายพัฒนเศรษฐ์ จังคศิริ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) เปิดศูนย์ดูแลสุขภาพ “สถานีใส่ใจ” ( Smart Preventive Healthcare )ให้บริการส่งเสริม ป้องกันสุขภาพอัจฉริยะ เพิ่มช่องทางการนัดหมายแพทย์และรับยา ลดแออัดโรงพยาบาล ในปั๊มน้ำมัน ปตท. อ.เมือง จ.สระแก้ว

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์เกษม กล่าวว่า โครงการศูนย์ส่งเสริมสุขภาพอัจฉริยะในปั๊มน้ำมัน ปตท. ภายใต้ชื่อ “สถานีใส่ใจ” เป็นความร่วมมือระหว่างบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) มูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช และรพร.สระแก้ว เพื่อเฉลิมพระเกียรติในหลวงรัชกาลที่ 10 ตลอดจนสนองพระราชปณิธานในการดูแลประชาชน ให้ได้รับความรู้และการรักษาพยาบาลโดยนำเอาเทคโนโลยีใหม่ มาใช้ประโยชน์ในการส่งเสริมดูแลสุขภาพเบื้องต้น และให้ความรู้กับประชาชน รวมถึงเป็นช่องทางพบแพทย์ และรับยา เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการตรวจสุขภาพเบื้องต้นได้ทั่วถึง ลดความแออัดโรงพยาบาล ปัจจุบันนำร่อง 2 แห่ง คือ รพร.สระแก้ว และรพร.บ้านดุง เน้นการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค

สำหรับศูนย์ดูแลสุขภาพ “สถานีใส่ใจ” แห่งนี้ เปิดให้บริการจันทร์-ศุกร์ เวลา08.00-17.00 น. มีพยาบาลจาก รพร.สระแก้วมาประจำ มีบริการ 5 ด้าน ได้แก่ 1.บริการตรวจสุขภาพ วัดความดัน ชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง ใช้ระบบคอมพิวเตอร์ช่วยวิเคราะห์ภาวะสุขภาพ 2.บริการระบบปรึกษาแพทย์ทางไกลระหว่างศูนย์ดูแลสุขภาพฯกับแพทย์ที่ รพร.สระแก้ว ( Tele medicine ) เพื่อให้ผู้ป่วยปรึกษากับแพทย์ที่โรงพยาบาลได้ด้วยตัวเอง 3.บริการตู้จำหน่ายยาสามัญประจำบ้าน 4.บริการล็อกเกอร์เก็บยา สามารถแจ้งให้รพร.สระแก้วส่งยามาไว้ที่ล็อกเกอร์สถานีใส่ใจได้ และ 5.บริการแอปพลิเคชัน “ใส่ใจ” สำหรับใช้นัดหมายแพทย์

ขอเชิญชวนประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งประชาชนที่มาใช้บริการที่ปั๊มน้ำมัน สามารถเข้ารับบริการได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย

ศธ.คลอดหลักสูตรลูกเสือมัคคุเทศก์ นำร่องอบรม 8 จังหวัดภาคเรียนที่2

People Unity : ศธ.คลอดหลักสูตรลูกเสือมัคคุเทศก์ เดินหน้าพร้อมจัดอบรม 8 จังหวัดนำร่อง รับภาคเรียนที่ 2/62

ดร.กนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยความก้าวหน้าของการจัดทำหลักสูตรเพื่อฝึกอบรมให้กับลูกเสือที่เข้าร่วม “โครงการลูกเสือมัคคุเทศก์”ภายหลังจากสำนักงานลูกเสือแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ ร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการลูกเสือมัคคุเทศก์” (Guide Scout) เมื่อวันที่ 17 กันยายน ที่ผ่านมา ณ โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย โดยสำนักงานลูกเสือแห่งชาติ ได้ตั้งคณะทำงานขึ้นเพื่อจัดทำหลักสูตรลูกเสือมัคคุเทศก์ ร่วมกับหน่วยงานทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ได้หลักสูตรที่ครอบคลุมการสร้างสมรรถนะ ความรู้ และทักษะต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการเป็นลูกเสือมัคคุเทศก์ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ให้ได้มากที่สุด

รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ขณะนี้สำนักงานลูกเสือแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ ได้ร่วมกับกรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จัดทำหลักสูตร คู่มือ สื่อฝึกอบรม และอบรมแกนนำลูกเสือมัคคุเทศก์เสร็จเรียบร้อยแล้ว พร้อมนำไปจัดอบรมให้กับลูกเสือที่เข้าร่วมโครงการลูกเสือมัคคุเทศก์ รวมจำนวนทั้งสิ้น 425 คน ใน 8 จังหวัดนำร่อง ได้แก่จังหวัดปราจีนบุรี พัทลุง เชียงใหม่ เลย สุโขทัย นครราชสีมา พระนครศรีอยุธยา และบุรีรัมย์

โดยการจัดอบรมโครงการลูกเสือมัคคุเทศก์ จะเริ่มขึ้นในช่วงปลายเดือนตุลาคม 2562 จนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2563 ซึ่งหลักสูตรประกอบด้วย การชี้แจงทำความเข้าใจ การให้ความรู้ ตลอดจนการฝึกปฏิบัติจริง รวมระยะเวลาทั้งสิ้น 60 ชั่วโมง แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่

ระยะที่ 1 ก่อนการฝึกอบรม จำนวน 13 ชั่วโมง สำหรับการศึกษาค้นคว้าจัดทำข้อมูลและเรียงความเกี่ยวกับบ้านเกิด

ระยะที่ 2 การฝึกอบรมเป็นเวลา 4 วัน จำนวน 27 ชั่วโมง เน้นการชี้แจงทำความเข้าใจเกี่ยวกับความเป็นมาของโครงการ การให้ความรู้ด้านวิชาการ 10 หน่วยเรียนรู้
ทั้งหลักการมัคคุเทศก์ การสื่อสาร ความรู้พื้นฐานของพื้นที่และพื้นที่ข้างเคียง จิตวิทยาการให้บริการ การเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ และจิตอาสาของลูกเสือมัคคุเทศก์ ตลอดจนกระบวนการค้นหาเรื่องราวและเรื่องเล่าของท้องถิ่น การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว และการใช้เทคโนโลยีเพื่อการมัคคุเทศก์

ระยะที่ 3 คือการฝึกปฏิบัติในสถานที่ท่องเที่ยว เป็นเวลา 20 ชั่วโมง ซึ่งกำหนดจัดกิจกรรม “Kick Off การฝึกประสบการณ์ลูกเสือมัคคุเทศก์” ในพื้นที่ 8 จังหวัดนำร่องในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2563 ด้วย

รมช.ศึกษาธิการ กล่าวเพิ่มเติมว่า ภายหลังการฝึกอบรมจะจัดให้มีพิธีมอบเครื่องหมายลูกเสือมัคคุเทศก์ (Badge) และมอบวุฒิบัตรแก่ผู้ผ่านหลักสูตร เพื่อนำไปใช้รับรองและเทียบประสบการณ์ (สะสมเครดิต) ที่จะเป็นประโยชน์ในการเรียนต่อระดับอุดมศึกษา การประกอบอาชีพมัคคุเทศก์ หรือการมีโอกาสได้เป็นตัวแทนลูกเสือไทยเข้าร่วมโครงการของสำนักงานลูกเสือในเวทีระดับนานาชาติในอนาคต

“ขณะเดียวกัน สำนักงานลูกเสือแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ และกรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จะจัดให้มีการนิเทศการฝึกประสบการณ์ของลูกเสือมัคคุเทศก์ในทุกจังหวัดนำร่อง เพื่อรวบรวมและวิเคราะห์ผลการประเมิน นำไปสู่การปรับปรุง แก้ไข และพัฒนาหลักสูตรให้ดียิ่งขึ้น พร้อมใช้เป็นต้นแบบในการขยายผลการฝึกอบรมลูกเสือมัคคุเทศก์ในทุกพื้นที่ทั่วประเทศต่อไป” รมช.ศึกษาธิการ กล่าว

“อนุทิน”เปิดคลีนิคกัญชารพ.สุรินทร์ ให้ชาวบ้านร่วมปลูกได้แล้ว

People Unity News : “อนุทิน”เปิดคลีนิคกัญชารพ.สุรินทร์ เผยประชาชนปลูกได้ แต่ต้องร่วมมือกับโรงพยาบาล และใช้เพื่อการแพทย์ เล็งใช้ “หมอออนไลน์” ทำงานร่วม “อสม.” ดูแลสุขภาพประชาชนทั่วประเทศ

เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2562 ที่ ร.พ.สุรินทร์ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ ฝ่ายปกครอง คณะผู้บริหารของกระทรวงสาธารณสุข และ ส.ส.พรรคภูมิใจไทย ได้ทำพิธีเปิดคลีนิคกัญชาทางการแพทย์ หลังเสร็จพิธี นายอนุทิน กล่าวว่า
เรื่องกัญชาทางการแพทย์ ได้คลายกฎระเบียบไปมากแล้ว ประชาชนสามารถปลูกกัญชาได้ แต่ต้องไปรวมตัวกันเป็นวิสาหกิจชุมชน และปลูกร่วมกับโรงพยาบาล ให้โรงพยาบาลสกัดสารในกัญชามาใช้ประโยชน์

“พันธุ์ที่ปลูกจะต้องได้รับจากภาครัฐ เพราะเป็นพันธุ์ที่ปลูกง่าย ให้สารสำคัญครบ การปลูก และใช้ เป็นไปเพื่อการรักษาผู้ป่วย โดยเฉพาะใช้รักษาอาการซึมเศร้า เบื่ออาหาร และผู้ป่วยมะเร็งระยะประคับประคอง ให้กินอิ่ม นอนหลับ แต่ห้ามนำมาใช้เพื่อความบันเทิง เพราะกฎหมายยังไม่อนุญาต สำหรับแพทย์แผนไทย เราเปิดช่องให้ใช้กัญชาเพื่อการรักษาโรคได้ แต่หมอพื้นบ้านต้องมาลงทะเบียนกับทางกระทรวง ขณะที่ยาสูตรกัญชาก็ต้องลงทะเบียนเช่นกัน” นายอนุทิน กล่าว

เล็งใช้ “หมอออนไลน์” ทำงานร่วม “อสม.” ดูแลสุขภาพ
นายอนุทิน ยังกล่าวเรื่องการยกระดับ อสม.ระบุว่า ได้มอบหมายให้นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพกระทรวงสาธารณสุข หรือ สบส.ดูแลเรื่องการพัฒนาศักยภาพของ อสม.โดยแลกกับผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจจะเป็นตัวเงิน หรือสวัสดิการ ที่ต้องหารือกันต่อไป

ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขให้ความสำคัญกับ อสม.เพราะแพทย์ พยาบาล มีจำกัด จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจาก อสม. โดยหวังเห็น อสม.มีความสามารถดูแลผู้ป่วยชั้นปฐมภูมิได้ ไม่ใช่แค่นำออกกำลังกาย แต่ท่านต้องมีความเข้าใจในเรื่องการดูแลสุขภาพประชาชนขั้นพื้นฐาน ซึ่งด้วยศักยภาพ สามารถทำได้ดีแน่นอน
ขอยกตัวอย่างเมื่อครั้งไปตรวจเยี่ยมกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ไปดูการสาธิตวิธีตรวจสอบสารตกค้างในพืชผักผลไม้ และผู้ที่มาสาธิตไม่ใช่หมอ พยาบาล นักวิทยาศาสตร์ แต่เป็น อสม.ซึ่งทำอย่างชำนาญ พร้อมอธิบายข้อมูลทั้งหมดอย่างครบถ้วน นี่คือคุณค่าของ อสม. ที่ต้องนำมาใช้ประโยชน์ ที่อยากเห็นคือ ในเมื่อเรามีเทคโนโลยีการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ และมี อสม.กระจายอยู่ทั่วประเทศ หากประชาชนมีอาการเจ็บป่วย ยังไม่ต้องไปหาหมอในตัวเมือง แต่ให้ อสม.คัดกรองก่อน อสม.ต้องสื่อสารกับแพทย์ ให้แพทย์ดูอาการเบื้องต้นให้ หมอ ต้องเป็น “หมอออนไลน์” ดูว่าผู้ป่วยมีแนวทางอย่างไร ต้องไป รพ.สต. ใกล้บ้าน หรือโรงพยาบาลศูนย์ เพื่อลดภาระในการเดินทางของผู้ป่วย และลดความแออัดในโรงพยาบาลศูนย์

“ผมมั่นใจว่าปีหน้าเรื่องการยกระดับ อสม. เราจะเห็นความเป็นรูปธรรมแน่นอน พี่น้อง อสม.ต้องพิสูจน์คุณค่าของตัวเอง อย่าท้อถอย ผมเป็นกำลังใจให้”

สสส. ยก”ตำบลชมภูโมเดล” ต้นแบบพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ด้วย”สุนทรียสนทนา”

People Unity News : สสส. ยก”ตำบลชมภูโมเดล” ต้นแบบพื้นที่บูรณาการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ สร้างงาน-รายได้ ฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการโดยชุมชน ผลิตนักสร้างเสริมสุขภาวะคนพิการในชุมชน ขยายผลสู่ 5 จังหวัดภาคเหนือ พร้อมเดินหน้านำร่อง “ธนาคารเวลา”  

วันที่ 15 พ.ย. 2562 ที่ศูนย์บริการคนพิการตำบลชมภู ต.ชมภู อ.สารภี จ.เชียงใหม่ นายพิทยา จินาวัฒน์ ประธานกรรมการบริหารแผน คณะที่ 2 สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) พร้อมด้วยผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการกำกับทิศทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ คณะกรรมการกำกับทิศทางการขับเคลื่อนการสร้างเสริมสุขภาพคนพิการ และคณะกรรมการกำกับทิศทางการจัดสภาพแวดล้อมและพัฒนาบริการสาธารณะตามแนวคิดการออกแบบเพื่อทุกคน นำคณะสื่อมวลชนลงพื้นที่ศึกษาเรียนรู้สุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ “การสร้างเสริมสุขภาวะผู้สูงอายุ คนพิการ และการปรับสภาพแวดล้อมเพื่อทุกคน” ภายใต้โครงการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการแบบมีส่วนร่วมระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ท้องถิ่น ชุมชน และคนพิการ โครงการพัฒนากลไกสร้างเสริมสุขภาวะสำหรับคนพิการที่มีงานทำและมีอาชีพ  โครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ: บูรณาการและยกระดับกลไกขับเคลื่อนการเข้าถึงโอกาสงานและอาชีพของคนพิการให้ดำเนินการได้อย่างยั่งยืน และ  โครงการประเมินความเป็นไปได้และถอดบทเรียนการดำเนินงานธนาคารเวลาในระดับชุมชน

ทพ.ศิริเกียรติ เหลียงกอบกิจ ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า จากข้อมูลการประมาณการผู้พิการในภาพรวมทั้งประเทศปี 2562 พบว่าประเทศไทยมีจำนวนผู้พิการประมาณ 2 ล้านคน หรือร้อยละ 3.01 โดย 3 อันดับแรกเป็นคนพิการทางการเคลื่อนไหวหรือร่างกาย รองลงมาคือคนพิการทางการได้ยิน และคนพิการทางการมองเห็น ซึ่งสสส.โดยแผนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะทำงานครอบคลุม 4 มิติ คือ ด้านการส่งเสริมสุขภาพ, ด้านเศรษฐกิจ, ด้านสังคมและการเรียนรู้ และด้านสภาพแวดล้อม เพื่อให้คนพิการทุกคนมีศักยภาพและสามารถทำงานหรืออยู่ร่วมกันกับคนปกติได้อย่างเท่าเทียมและเสมอภาคกัน

ทพ.ศิริเกียรติ กล่าวต่อว่า สำหรับการดำเนินงานพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการตำบลชมภู อ.สารภี จ.เชียงใหม่ สสส.ได้ให้การสนับสนุนมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2558 จนถึงปัจจุบัน ผ่านการดำเนินกิจกรรมภายใต้โครงการต่างๆของสสส. อาทิ  “โครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ: บูรณาการและยกระดับกลไกขับเคลื่อนการเข้าถึงโอกาสงานและอาชีพของคนพิการให้ดำเนินการได้อย่างยั่งยืน” เพื่อส่งเสริมและยกระดับให้คนพิการที่ได้รับการจ้างงานและการประกอบอาชีพ มีศักยภาพ มีสุขภาวะ สามารถใช้ชีวิตอย่างอิสระและพึ่งพาตนเองได้ โดยระหว่างปี 2561-2562 มีการจ้างงานและสนับสนุนอาชีพคนพิการต่อเนื่อง กว่า 4,000 อัตรา นอกจากนี้มีการพัฒนาศักยภาพคนพิการ รวมถึงผลิตนักสร้างเสริมสุขภาวะคนพิการในชุมชน (นสส) ภายใต้โครงการพัฒนากลไกสร้างเสริมสุขภาวะสำหรับคนพิการที่มีงานทำและมีอาชีพ และเน้นกระบวนการทำงานสร้างเสริมการมีส่วนร่วมในชุมชนผ่านโครงการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการแบบมีส่วนร่วมระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ท้องถิ่น ชุมชน และคนพิการ เพื่อให้การทำงานด้านการฟื้นฟู และพัฒนาศักยภาพของคนพิการ มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น จนเป็นต้นแบบ ขยายผลไปสู่พื้นที่ ในภาคเหนือ 5  จังหวัด ได้แก่เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง เชียงราย และแม่ฮ่องสอน จำนวน  17  พื้นที่

นายอนันต์ แสงบุญ ผู้ใหญ่บ้าน ม.4 ตำบลชมภู จ.เชียงใหม่ กล่าวว่า ตำบลชมภูมีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 9,676 ไร่มีประชากรทั้งหมด 7,215 คน เป็นคนพิการ 291 คนหรือร้อยละ 4 คนพิการส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุจำนวน 164 คน (ร้อยละ 56.4) รองลงมาอยู่ในวัยแรงงาน วัยรุ่น และวัยเด็กคิดเป็น ร้อยละ 38.8 ,2.7 และ2.1 ตามลำดับส่วนใหญ่เป็นคนพิการทางการเคลื่อนไหวคิดเป็นร้อยละ 71.1 ในการดำเนินงานพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการตำบลชมภูนั้น เดิมติดรูปแบบสังคมสงเคราะห์ คือตั้งรับงบประมาณและสิ่งของบริจาค ขาดการเสริมสร้างศักยภาพคนพิการที่ครบองค์รวมกาย จิต ปัญญา สังคม(สุขภาวะ) ขาดการรวมกลุ่มที่มีประสิทธิภาพ ขาดข้อมูลเกี่ยวกับคนพิการและบริบทต่างๆรอบด้าน ในเรื่องสิทธิการจ้างงาน

ภายหลังได้มีการปรับเปลี่ยนแนวคิดทำความเข้าใจเรื่องคนพิการโดยผ่านการทำกิจกรรมที่เรียกว่า “สุนทรียสนทนา” และการจำลองความพิการ ทำให้เครือข่ายได้ปรับมุมมองที่มีต่อคนพิการและปรับรูปแบบการทำงานพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เปลี่ยนจากการมองคนพิการเป็นเพียงผู้รับ กลายเป็นการสนับสนุนให้คนพิการมีความเข้มแข็งและมีความมั่นใจในตนเองจนสามารถลุกขึ้นมาทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่ไปกับเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานต่างๆในชุมชน สามารถสร้างความเข้มแข็งให้กับคนพิการ จนสามารถรวมกลุ่มกันตั้งเป็นศูนย์บริการคนพิการ ต.ชมภู อ.สารภี จ.เชียงใหม่และกำลังเข้าสู่การจดทะเบียนเป็นศูนย์บริการคนพิการทั่วไปของกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.)

นอกจากนี้ ศูนย์บริการคนพิการยังได้ดำเนินการด้านอีกอื่นๆได้แก่ ธนาคารเวลา เป็นหน่วยจัดการร่วม สสส.ระดับพื้นที่(Node)เพื่อขยายงาน CBR ในพื้นที่อื่นๆต่อไป และร่วมกับโครงการอื่นๆของสสส.ในการพัฒนานักสร้างเสริมสุขภาวะคนพิการ(นสส.)และร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ในการดำเนินงานปรับสภาพบ้านคนพิการและผู้สูงอายุอีกด้วย

นางมัลลิกา ตะติยาพรพันธ์ ผู้อำนวยการ รพ.สต. ต.บ้านพญาชมพู กล่าวว่า ตำบลชมภูมีการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการโดยใช้กระบวนการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการโดยชุมชน CBID (Community-based Inclusive Development) พัฒนาด้านสาธารณสุข ด้านการศึกษา การเลี้ยงชีพ  ด้านสังคมและการเสริมพลังไปพร้อมๆกันในคนพิการและครอบครัวคนพิการ มีการพัฒนาองค์ความรู้ที่เหมาะสมโดยเฉพาะความรอบรู้ที่เป็นปัจจัยกำหนดความเข้าใจด้านสุขภาพ โดยมีเครือข่ายของนักสร้างเสริมสุขภาวะในชุมชน(นสส.) เป็นผู้ถ่ายทอดองค์ความรู้ให้กับคนในชุมชน มุ่งเน้นเป้าหมาย “ป้องกันความพิการ” ใช้วิธีมองปัญหาแบบรอบด้านและส่งเสริมป้องกันความพิการในผู้ที่มีความเสี่ยง ทั้งกลุ่มแม่และเด็ก หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเบาหวาน และผู้ป่วยความดัน

จัดสัมมนาบริการเพร็พเทิดพระเกียรติพระองค์เจ้าโสมสวลี

People Unity : กรมควบคุมโรค ร่วมกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และสภากาชาดไทย จัดสัมมนาเพื่อติดตามความคืบหน้าของการให้บริการเพร็พในประเทศไทย เพื่อเทิดพระเกียรติ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ เนื่องในโอกาสทรงดำรงตำแหน่ง UNAIDS Goodwill Ambassador for HIV Prevention for Asia and the Pacific ระหว่างวันที่ 28-29 ตุลาคม 2562 ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย

วันที่ 28 ต.ค.2562 ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย นายแพทย์ปรีชา เปรมปรี รองอธิบดีกรมควบคุมโรค เป็นประธานเปิดการสัมมนาเพื่อติดตามความคืบหน้าของการให้บริการเพร็พในประเทศไทย เพื่อเทิดพระเกียรติ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ ซึ่งประเทศไทยมีประสบการณ์และพัฒนาการต่อสู้กับปัญหาเอดส์มายาวนานกว่า 30 ปี ทำให้ได้รับการยกย่องจากนานาประเทศ ว่าสามารถลดการแพร่ระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้สถานการณ์การแพร่ระบาดมีแนวโน้มลดลงมาอย่างต่อเนื่อง

นายแพทย์ปรีชา กล่าวว่า เพื่อเป็นการสานต่อความสำเร็จของโครงการในพระดำริของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ ทูตสันถวไมตรีของโครงการโรคเอดส์แห่งสหประชาชาติในการป้องกันเอชไอวีในภูมิภาคเอเซียและแปซิฟิค ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มโครงการ “เพร็พพระองค์โสมฯ” ซึ่งประเทศไทยได้แสดงเจตนารมณ์อย่างมุ่งมั่นที่จะยุติปัญหาเอดส์ ภายในปี 2573 ซึ่งมีเป้าหมายหลัก 3 ประการ คือ ลดจำนวนผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ ปีละไม่เกิน 1,000 ราย ลดการเสียชีวิตในผู้ติดเชื้อเอชไอวีปีละไม่เกิน 4,000 ราย และลดการเลือกปฏิบัติอันเกี่ยวเนื่องจากเอชไอวีและเพศสภาวะลง ร้อยละ 90 โดยมุ่งเน้นเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินมาตรการที่สำคัญ คือ ขยายและจัดชุดบริการป้องกันแบบผสมผสาน พัฒนารูปแบบบริการใหม่ที่มีประสิทธิภาพ เช่น Pre-exposure prophylaxis (PrEP) หรือยาป้องกันก่อนการสัมผัสเชื้อเอชไอวีมาเสริมในชุดบริการ จัดระบบบริการให้กลุ่มเป้าหมายเข้าถึงบริการป้องกันและดูแลรักษา รวมทั้งเสริมสร้างทัศนคติเชิงบวกให้แก่สังคม ในการอยู่ร่วมกับผู้ติดเชื้อ

ในปี 2561-2562 กรมควบคุมโรค ได้เตรียมความพร้อมให้กับหน่วยบริการเพร็พทั่วประเทศ โดยดำเนินงาน ดังนี้ จัดทำแนวทางการจัดบริการยาป้องกันก่อนการสัมผัสเชื้อเอชไอวีในประชากรที่มีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี ประเทศไทย ปี 2561 รวมถึงพัฒนาศักยภาพหน่วยบริการให้ครอบคลุมทั่วประเทศ เตรียมระบบบริการ เชื่อมโยงระบบภายในโรงพยาบาล โดยการอบรมแพทย์ เภสัชกร พยาบาลวิชาชีพ ในการจัดบริการเพร็พ ให้กับประชากรกลุ่มเสี่ยง และสื่อสาร ประชาสัมพันธ์ สร้างความรู้ความเข้าใจ ให้กลุ่มผู้รับบริการทราบข้อมูลและหน่วยบริการที่จัดบริการเพร็พ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม

นายแพทย์ปรีชา กล่าวอีกว่า เพร็พ ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี ร่วมกับการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์ พร้อมเชิญชวนให้ประชาชนร่วมกันดูแลสุขภาพตนเองและคนใกล้ตัว เพื่อหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงที่อาจทำให้ติดเชื้อเอชไอวี เช่น มีคู่นอนหลายคน และไม่สามารถใส่ถุงยางอนามัยได้ทุกครั้ง โดยกรมควบคุมโรค มีเป้าหมายให้คนไทย สามารถเข้ารับบริการเพร็พ ได้ฟรี ในหน่วยบริการสาธารณสุข ที่เข้าร่วมโครงการฯ ทั้งหมด 21 จังหวัด 51 หน่วยบริการทั่วประเทศ สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่กองโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โทร 02-590-3215 หรือที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422

รู้ไว้!! ประกันสังคม แจ้งสิทธิประโยชน์ผู้ประกันตน “เกษียณ” และเพิ่มสิทธิประโยชน์ใหม่แก่ทายาท

People Unity News : 26 มี.ค. 65 สำนักงานประกันสังคม แจงสิทธิประโยชน์ หลังผู้ประกันตนเกษียณ หลักประกันดูแลคุณภาพชีวิตในวัยชราภาพ รวมถึงการปรับเพิ่มสิทธิประโยชน์ใหม่แก่ทายาท

กองทุนประกันสังคมกรณีชราภาพ (เริ่มจัดเก็บ 31 ธ.ค. 2541) คิดร้อยละ 3 ของฐานเงินเดือน (หากจ่ายเงินสมทบในอัตราสูงสุดที่ 750 บาท/เดือน จะถูกหักเงินเป็นเงินออมชราภาพ 450 บาท) เงินออมชราภาพที่ได้รับแบ่งออกเป็น 2 แบบ (ขึ้นอยู่กับระยะเวลาส่งเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม)

💵 เงินบำเหน็จ (เงินที่จ่ายเป็นก้อนใหญ่ครั้งเดียว)

🔘 หากจ่ายเงินสมทบไม่ถึง 180 เดือน หรือ 15 ปี จะได้รับเป็นเงินบำเหน็จชราภาพ แบ่งเป็น 2

กรณีคือจ่ายเงินสมทบน้อยกว่า 12 เดือน หรือ 1 ปี จะได้รับเงินก้อนเท่ากับเงินที่ผู้ประกันตนจ่ายสมทบมาทั้งหมดคืนกลับไป

🔘 กรณีจ่ายสมทบมากกว่า 12 เดือน แต่ไม่ถึง 180 เดือน หรือ 15 ปี จะได้รับเงินเป็นเงินก้อนเท่ากับเงินที่ผู้ประกันจ่ายสมทบ บวกกับเงินที่นายจ้างสมทบให้อีก และบวกกับผลประโยชน์ตอบแทนที่ประกันสังคมกำหนด

💵 เงินบำนาญ (ทยอยจ่ายเป็นรายเดือนไปตลอดชีวิต)

🔘 กรณีผู้ประกันตนจ่ายสมทบมากกว่า 180 เดือน มากกว่าหรือ 15 ปี จะติดต่อกันหรือไม่ก็ได้ ผู้ประกันตนจะได้รับเป็นเงินบำนาญชราภาพ หรือเงินรายเดือน ได้รับไปตลอดชีวิต คำนวนจากค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย (ฐานเงินเดือนสูงสุดที่คิดคือ 15,000 บาท) คูณกับร้อยละ 20 แต่หากผู้ประกันอายุ 55 ปี แต่ยังทำงานในระบบต่อเนื่อง จะได้รับเงินบำนาญเพิ่มอีกร้อยละ 1.5 ในทุกปี

*มีการปรับเพิ่มสิทธิประโยชน์กรณีผู้ประกันตนรับเงินบำนาญชราภาพไม่ถึง 60 เดือนแต่เสียชีวิตลง

-เดิมทายาทจะได้รับเพียง 10 เท่าของเงินบำนาญชราภาพรายเดือน

-ปรับใหม่เพื่อเป็นการประกันเงินชราภาพให้สิทธิผู้ประกันตนได้รับเงินเพิ่มขึ้น เช่น หากรับเงินบำนาญชราภาพเพียง 1 เดือน และได้เสียชีวิตลง เงินบำนาญอีก 59 เดือนทายาทได้รับไปทันที

🛑 เงื่อนไขการรับเงินบำเหน็จ หรือบำนาญชราภาพ จะได้รับต่อเมื่อมีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ และสิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตน

Advertising

ทบ.ปลื้มตรวจเลือกทหารปี 67 มีผู้สมัครใจ 38,160 คน มากกว่าปี 66 กว่า 2,500 คน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 13 เมษายน 2567 ทบ.ปลื้ม ตรวจเลือกทหารปี 67 มีผู้สมัครใจระบบออนไลน์ และร้องขอวันตรวจเลือกรวม 38,160 คน เผยมากกว่าปี 66 กว่า 2,500 คน

ร.อ.หญิง จุฑาพัชร เปรมบัญญัติ ผู้ช่วยโฆษกกองทัพบกเปิดเผยว่า กองทัพบกดำเนินการตรวจเลือกทหารกองเกินเข้ารับราชการทหารกองประจำการ ประจำปี 2567 ตั้งแต่ 1-12 เม.ย. (เว้น 6 เม.ย.) ปัจจุบันการตรวจเลือกฯ ได้เสร็จสิ้นแล้ว

โดยมีผู้สมัครใจร้องขอเข้าเป็นทหารกองประจำการในวันตรวจเลือกฯ 24,025 คน มีพื้นที่ที่มีคนสมัครใจเต็มจำนวน 5 แห่ง ได้แก่ อ.เกาะสีชัง จ.ชลบุรี, อ.นาทวี จ.สงขลา, อ.บางเลน จ.นครปฐม, อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี และเขตบางแค กรุงเทพฯ เมื่อรวมกับยอดผู้สมัครโดยวิธีร้องขอ (กรณีพิเศษ) ด้วยระบบออนไลน์ 14,135 คน แล้วจะได้จำนวนยอดผู้ที่สมัครใจเป็นทหารในปี 2567 ทั้งสิ้น 38,160 คน

เมื่อเทียบกับยอดสมัครใจในปี 2566 ที่มีจำนวน 35,617 คน (โดยแบ่งเป็นผู้สมัครใจร้องขอฯ ในวันตรวจเลือกฯ 25,461 คน และผู้สมัครใจด้วยระบบออนไลน์ 10,156 คน) ทำให้ในปีนี้มีจำนวนยอดผู้สมัครใจเป็นทหารกองประจำการสูงขึ้นกว่าปีที่แล้วถึง 2,543 คน นับเป็นผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมของกองทัพที่มีผู้ให้ความสนใจสมัครใจเข้าเป็นทหารในปริมาณที่สูงขึ้น สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงกลาโหมในการผลักดันให้เกิดการสมัครใจเป็นทหารกองประจำการให้มากที่สุด หรือจนถึงขั้นเป็นระบบสมัครใจโดยสมบูรณ์ในอนาคต

การตรวจเลือกทหารกองเกินเข้ารับราชการทหารกองประจำการที่ผ่านมา กองทัพบกขอขอบคุณชายไทยที่มีความรับผิดชอบให้ความร่วมมือเข้ารับการตรวจเลือกฯ และชายไทยที่สมัครใจเป็นทหารในวันตรวจเลือกฯ รวมทั้งเจ้าหน้าที่และส่วนราชการที่ให้การสนับสนุนในทุกพื้นที่ ปฏิบัติตามขั้นตอนและวิธีการตาม กฎ ระเบียบที่เกี่ยวข้อง อย่างถูกต้อง โปร่งใส ทำให้การตรวจเลือกฯ เป็นไปด้วยความเรียบร้อย

ทั้งนี้ ผู้บัญชาการทหารบก ได้สั่งการให้กรมการทหารช่างปรับปรุงโรงนอนหน่วยฝึกทหารใหม่ 366 แห่งทั่วประเทศ เพื่อให้มีระบบระบายความร้อนและเพิ่มการหมุนเวียนของอากาศ ด้วยการซ่อมและติดตั้งมุ้งลวดใหม่ ติดตั้งพัดลมขนาด 24 นิ้ว และติดตั้งสปริงเกอร์หลังคาเพื่อรดน้ำไล่ความร้อนออกจากเพดาน ทำให้ห้องนอนเย็น ซึ่งจะเสร็จพร้อมรับทหารใหม่ที่จะเข้าประจำการใน 1 พ.ค.67 เพื่อจะได้มีโรงนอนที่สะดวกสบาย น่าอยู่ และปลอดภัยรอต้อนรับทหารกองประจำการทุกนาย

Advertisement

Verified by ExactMetrics