วันที่ 18 พฤษภาคม 2024

กระทรวงต่างประเทศชี้แจง เหตุผู้แทนไทยไปประชุม Belt and Road Forum ที่จีนจำนวนมาก

People Unity : ด่วน! กระทรวงการต่างประเทศ ชี้แจง ตามที่มีการสอบถามว่า ทำไมคณะผู้แทนไทยไปเข้าร่วมการประชุม Belt and Road Forum ครั้งที่ 2 ที่จีนเป็นจำนวนมาก

วันนี้ (27 เมษายน 2562) อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ชี้แจงว่า การประชุมข้อริเริ่มสายแถบหนึ่งเส้นทาง จัดขึ้นระหว่างวันที่ 25 – 27 เม.ย.2562 ตั้งแต่การประชุมระดับผู้เชี่ยวชาญ/ระดับสูง จำนวน 12 เวที ในลักษณะเวทีการหารือกลุ่มย่อย (Thematic Forum) ครอบคลุมประเด็นความเชื่อมโยงในทุกมิติ ตั้งแต่ด้านนโยบาย โครงสร้างพื้นฐาน การค้าการลงทุน เทคโนโลยีและนวัตกรรม ดิจิทัล จนถึงด้านการศึกษาและประชาชน โดยมีผู้แทนจาก 150 ประเทศ องค์การระหว่างประเทศ 29 องค์การ และภาควิชาการเอกชนจำนวนมาก ชาวต่างประเทศที่มาเข้าร่วมกว่า 5,000 คน สำหรับประเทศไทย ฝ่ายจีนได้เชิญรัฐมนตรีของไทยเข้าร่วมในเวทีต่างๆด้วย ได้แก่ รมว. กต. (เข้าร่วมเวที ความเชื่อมโยงด้านนโยบาย) รมว. คค. (เข้าร่วมเวทีการเชื่อมโยงด้านโครงสร้างพื้นฐาน) รมว. ดศ. (เข้าร่วมเวทีดิจิทัล) เลขาธิการ ป.ป.ช. (เข้าร่วมเวทีเกี่ยวกับการต่อต้านคอรัปชั่น) เลขาธิการ BOI (เข้าร่วมเวทีส่งเสริมการค้าการลงทุน) รวมทั้งผู้แทนหน่วยงานอื่นๆ ที่ได้รับเชิญเข้าร่วม อาทิ เวทีความเชื่อมโยงด้านนวัตกรรม การศึกษาและด้านประชาชน นอกจากนี้ ยังมีผู้แทนภาคประชาสังคมและภาคเอกชนไทยจำนวนมากได้รับเชิญให้เข้าร่วมการประชุมด้วย

ในการประชุมระดับผู้นำ นรม. ได้รับเชิญจาก ปธน. สี จิ้นผิง (สปป. จีน) เข้าร่วมการประชุมระดับผู้นำระหว่างวันที่ 26 – 27 เมษายน 2562 ประกอบด้วยการประชุมระดับสูง (High Level) และการประชุมผู้นำโต๊ะกลม (Roundtable) โดยในการประชุมครั้งนี้ มีผู้นำเข้าร่วมทั้งหมด 38 ประเทศ จากทุกทวีป รวมทั้งอาเซียน 10 ประเทศ เพื่อติดตามความคืบหน้าของความร่วมมือและโครงการต่างๆ ภายใต้ข้อริเริ่มฯ และเพื่อหารือถึงทิศทางความร่วมมือในอนาคต

ไทยให้ความสำคัญกับข้อริเริ่มฯ โดยถือเป็นยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนา โดยเฉพาะความเชื่อมโยง การพัฒนาอย่างยั่งยืน และการเน้นประชาชนเป็นศูนย์กลาง ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาของไทยที่ไทยผลักดันมาโดยตลอด โดยจีนถือเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่สำคัญที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันในทุกระดับ และในการเข้าร่วมครั้งนี้ นอกเหนือจากการแสดงถึงบทบาทของไทยในฐานะสะพานเชื่อมระหว่างภูมิภาครวมถึง BRI แล้ว ยังแสดงถึงบทบาทไทยในฐานะประธานอาเซียนด้วย

ข่าวด่วน : กระทรวงต่างประเทศชี้แจง เหตุผู้แทนไทยไปประชุม Belt and Road Forum ที่จีนจำนวนมาก

People Unity : post 27 เมษายน 2562 เวลา 19.50 น.

ด่วน! สมอ.คุมเข้มสินค้า 112 ชนิดขายทางออนไลน์ต้องมี มอก. ฝ่าฝืนจำคุก-ปรับ

People unity : สมอ.เชิญผู้ประกอบการร้านค้าออนไลน์หารือ แจ้งมาตรการคุมเข้มสินค้า 112 ชนิดขายทางออนไลน์ต้องมี มอก. ฝ่าฝืนจำคุก-ปรับ

27 กุมภาพันธ์ 2562 : นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมหารือผู้ประกอบการร้านค้าออนไลน์ว่า ปัจจุบันการจำหน่ายสินค้าออนไลน์ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย สามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว และสะดวก ขณะเดียวกันก็ลดต้นทุนการจำหน่ายให้กับผู้ประกอบการ และขยายโอกาสทางการค้า ด้วยข้อดีของการจำหน่ายสินค้าออนไลน์ที่ไม่ต้องมีหน้าร้านก็ขายสินค้าได้ ไม่ต้องเช่าพื้นที่ราคาแพง ประหยัดการจ้างงาน ไม่จำเป็นต้องมีพนักงานขายของ สามารถขายสินค้าได้ตลอด 24 ชม. มีการลงทุนน้อย สินค้าสามารถกระจายขายได้ไปทั่วโลก เจาะกลุ่มเป้าหมายลูกค้าได้หลากหลาย และสามารถชำระเงินได้หลากหลายช่องทางหลายระบบ เป็นต้น

การประชุมในวันนี้ สมอ. ได้เชิญผู้ประกอบการจำหน่ายสินค้าออนไลน์กว่า 50 ราย อาทิ บริษัท เซ็ลทรัล เจดี คอมเมิร์ซ จำกัด บริษัท ช้อปปี้ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท ซีพีแลนด์ จำกัด บริษัท ทีวีไดเร็ก จำกัด (มหาชน) บริษัท ไฮ ช้อปปิ้ง จำกัด ฯลฯ และหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานอาหารและยา กรมการค้าภายใน กรมศุลกากร กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ฯลฯ  เพื่อหารือแนวทางในการคุ้มครองผู้บริโภคจากการซื้อ/ใช้สินค้าที่ สมอ. ควบคุม เนื่องจากปัจจุบันมีการซื้อขายสินค้าผ่านตลาดพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Commerce) กันอย่างแพร่หลาย โดยจากข้อมูลของสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) (สพธอ.) พบว่าในปี 2561 E-Commerce ขยายตัวเพิ่มขึ้น 8% และมีแนวโน้มจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ สมอ. ในฐานะหน่วยงานที่กำกับดูแล และคุ้มครองผู้บริโภคให้ปลอดภัยจากการใช้ผลิตภัณฑ์ จำเป็นต้องหามาตรการในการควบคุมสินค้าบน E-Commerce เพื่อให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่าสินค้าที่ซื้อผ่านเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชั่น เป็นสินค้าที่มีความปลอดภัยตามมาตรฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าที่เป็นมาตรฐานบังคับจำนวน 112 รายการที่ สมอ. ควบคุม โดยสามารถดูรายชื่อผลิตภัณฑ์ได้ที่ www.tisi.go.th ต้องมีความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ผู้ประกอบการที่จะจำหน่ายสินค้าดังกล่าวจะต้องจำหน่ายเฉพาะสินค้าที่มีเครื่องหมาย มอก. เท่านั้น หากฝ่าฝืนจะมีความผิดทางกฎหมาย สำหรับบทลงโทษในกรณีมีการทำหรือนำเข้าผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมโดยไม่ได้รับใบอนุญาต มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 1,000,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ สำหรับร้านค้าที่ไม่ปฏิบัติตามจะมีโทษ คือ จำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับตั้งแต่ 5,000 ถึง 50,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

เลขาธิการ สมอ. กล่าวเพิ่มเติมว่า “สมอ. ไม่ได้ห้ามให้ขายสินค้า สามารถขายได้ทุกอย่าง เพียงแต่มีสินค้าบางรายการที่มีกฎหมายควบคุมว่าจะต้องมีคุณภาพได้มาตรฐาน เนื่องจากเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของผู้บริโภค หากจะขายก็จะต้องขายเฉพาะสินค้าที่มีเครื่องหมาย มอก. เท่านั้น”

จากการสืบค้นข้อมูล พบว่าปัจจุบันมีผู้จำหน่ายสินค้าออนไลน์ที่เป็นสินค้ามาตรฐานบังคับอยู่เป็นจำนวนมาก สามารถเลือกซื้อสินค้าได้โดยง่าย และสะดวก ประกอบกับสินค้ามีราคาถูก จึงทำให้ร้านค้าออนไลน์ในลักษณะนี้เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งต้องมีความปลอดภัยต่อผู้บริโภค จึงขอแนะนำไปยังผู้บริโภคให้เลือกซื้อสินค้าด้วยความรอบคอบ สังเกตเครื่องหมายมาตรฐานทุกครั้งก่อนซื้อ เพื่อความมั่นใจและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินและอย่าได้หลงเชื่อซื้อผลิตภัณฑ์ที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน เมื่อใช้แล้วอาจเกิดอันตรายจากการใช้ผลิตภัณฑ์นั้นได้

ด่วน! สมอ.คุมเข้มสินค้า 112 ชนิดขายทางออนไลน์ต้องมี มอก. ฝ่าฝืนจำคุก-ปรับ

People unity : post 28 กุมภาพันธ์ 2562 เวลา 09.00 น.

กระทรวงเกษตรฯปลื้ม ครม.ไฟเขียว “ปลากัด” เป็นสัตว์น้ำประจำชาติ

People unity : กระทรวงเกษตรฯ ปลื้ม ครม.ไฟเขียวให้ “ปลากัด” เป็นสัตว์น้ำประจำชาติ มีเอกลักษณ์โดดเด่นสะท้อนความเป็นคนไทย

เมื่อวานนี้ (5 ก.พ. 2562) นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเข้าร่วมการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม. มีมติเห็นชอบให้ปลากัดไทยเป็นสัตว์น้ำประจำชาติ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมประมงเสนอ โดยการดำเนินงานที่ผ่านมา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ผลักดันเรื่องดังกล่าวมาเป็นเวลากว่าหนึ่งปี ซึ่งการเห็นชอบของที่ประชุม ครม. ในวันนี้นับว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก ที่ผ่านมาได้มีการประชุมคณะกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติ ครั้งที่2/2560 เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2560 โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) เป็นประธาน ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้ปลากัดเป็นสัตว์น้ำประจำชาติ ต่อมาในการประชุมคณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ ครั้งที่ 2/2561 เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2561 โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เป็นประธาน มีมติให้ปลากัดไทยเป็นสัตว์น้ำประจำชาติ และการประชุมคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2562 เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2562 โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เป็นประธาน มีมติให้ปลากัดไทยเป็นปลาประจำชาติ จนในวันนี้ได้ผ่านการเห็นชอบจาก ครม. เป็นขั้นตอนสุดท้ายเรียบร้อยแล้ว

สำหรับสาระสำคัญของการเสนอให้ปลากัดเป็นสัตว์น้ำประจำชาติ ประกอบด้วย 3 ด้าน คือ 1. ด้านวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์  เป็นที่ทราบกันดีว่า คนไทยรู้จัก คุ้นเคย และมีความผูกพันกับปลากัดมาตั้งแต่โบราณ ซึ่งมีหลักฐานยืนยัน และเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2556 กระทรวงวัฒนธรรมได้ประกาศขึ้นทะเบียนให้ปลากัดเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติ 2. ด้านความเป็นเจ้าของ และความมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว “ปลากัดไทย” ที่เสนอให้เป็นสัตว์น้ำประจำชาติ ชื่อวิทยาศาสตร์ Betta splendens ชื่อสามัญ “Siamese Fighting Fish” หรือ “Siamese Betta” มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทย เป็นสายพันธุ์ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น จนเป็นที่รู้จัก และได้รับการยอมรับกันอย่างกว้างขวางในระดับสากล ชื่อ Siamese จึงเป็นเครื่องสะท้อนอย่างชัดเจนว่า ปลากัดไทยนั้นเป็นเครื่องพิสูจน์ความเป็นเจ้าของได้ อีกทั้งไทยเป็นแหล่งอ้างอิงมาตรฐานหลักของปลากัดอีกด้วย และ 3. ด้านประโยชน์ใช้สอย ปลากัดไทยได้ก่อให้เกิดประโยชน์ใช้สอยในหลายประการ โดยเฉพาะด้านการส่งเสริมการเพาะเลี้ยง และการสร้างนวัตกรรมด้านการเพาะพันธุ์ ซึ่งนําไปสู่การค้าเชิงพาณิชย์และก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล ข้อมูลส่งออกปลากัดไทยกว่า 95 ประเทศ ปริมาณการส่งออกระหว่างปี 2556 – 2560 ประมาณ 20.85 ล้านตัว/ปี มูลค่าไม่ต่ำกว่า 115.45 ล้านบาท/ปี หรือ 5.42 บาท/ตัว และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นทุกปี ปัจจุบันมีการเลี้ยงปลากัดไทยทั่วโลก โดยด้านพันธุศาสตร์นั้น ชื่อของปลากัดจีน ปลากัดมาเลย์ และปลากัดอินโด แม้จะมีชื่อเรียกที่แตกต่างกันไป แต่มีที่มาจากสายพันธุ์เดียวกับปลากัดป่าของไทยทั้งสิ้น โดยจังหวัดนครปฐมเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุด ปัจจุบันความนิยมของปลากัดไทยประเภทกัดเก่งนั้นลดลงมาก ขณะที่ได้รับความสนใจในด้านการพัฒนาสายพันธุ์เน้นที่ความสวยงาม ทําให้มีการเพาะเลี้ยงทั่วประเทศ มีการขึ้นทะเบียนเกษตรกรกับกรมประมง จํานวน 1,500 ราย เกษตรกรที่เพาะเลี้ยงปลากัดไทยมีการกระจายทั่วพื้นที่ของประเทศไทยจํานวน 500 ราย และมีผู้ที่เลี้ยงรายย่อย ผู้ชื่นชอบการเลี้ยงปลากัดไทยมากกว่า 100,000 ราย ซึ่งปลากัดไทยสามารถสร้างอาชีพที่มั่นคงให้กับชุมชนได้ รวมทั้งมีการเพาะเลี้ยงปลากัดเพื่อเอาไว้กัดแข่งขันเป็นกีฬา หรือนิยมเลี้ยงไว้ดูเล่นเพื่อความเพลิดเพลิน รวมถึงมอบเป็นของขวัญในวันพิเศษ และยังสามารถนําไปใช้เป็นสัญลักษณ์ของไทย ตลอดจนนําไปใช้ประกอบสินค้าและผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพื่อสะท้อนความเป็นไทยได้

นายกฤษฎา กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ปลากัดไทยมีความเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นด้านพฤติกรรมการต่อสู้ นับเป็นสัตว์น้ำเพียงชนิดเดียวของไทยที่มีลักษณะดังกล่าว เหมาะกับการเป็นสัตว์น้ำประจำชาติเนื่องจาก คล้ายกับลักษณะของคนไทยที่รักและหวงแหนชาติ ปกป้องแผ่นดินจากข้าศึก สู้รบอย่างกล้าหาญ แม้ปลากัดไทยจะมีลักษณะดุดัน แต่ในยามสงบ กลับอ่อนโยน นุ่มนวลสอดคล้องกับนิสัยคนไทย เหมือนส่วนหนึ่งของเนื้อเพลงชาติ “ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด”

“กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ขอขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงกลุ่มคนเลี้ยงปลากัดที่ร่วมผลักดันข้อเสนอดังกล่าวนี้ รวมทั้งนักวิชาการสาขาต่างๆ ที่ร่วมสนับสนุนข้อมูลจนผ่านการพิจารณาและได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ ซึ่งในวันนี้ ครม. ก็ได้มีมติเห็นชอบให้ปลากัด เป็นสัตว์น้ำประจำชาติเรียบร้อยแล้ว ถือเป็นความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากที่ผ่านมาได้มีการขับเคลื่อนกันอย่างเต็มที่เนื่องจากปลากัดเป็นสัตว์ที่มีเอกลักษณ์ มีถิ่นฐานอยู่ในประเทศไทย มีความผูกพันทางด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม และมีผลประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ มีการพัฒนาพันธุ์เพื่อการค้า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ยืนยันจะผลักดันเรื่องต่างๆที่เกี่ยวข้องกับปลากัดไทยให้เดินหน้าต่อไปในหลากหลายมิติยิ่งขึ้น อาทิ การค้าออนไลน์ การร่วมมือกับหน่วยงานอื่นๆ เช่น บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ที่สนับสนุนธุรกิจสัตว์น้ำสวยงามด้วยระบบการขนส่งปลากัดภายในประเทศ ผลักดันและสนับสนุนให้เกิดความรวดเร็วและมีความปลอดภัยไปจนถึงมือลูกค้า ตลอดจนร่วมมือกับธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือเอสเอ็มอีแบงก์เพื่อพัฒนาแผนธุรกิจปลากัดไทย” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าว

ข่าวด่วน : กระทรวงเกษตรฯปลื้ม ครม.ไฟเขียว “ปลากัด” เป็นสัตว์น้ำประจำชาติ

People unity : post 6 กุมภาพันธ์ 2562 เวลา 11.20 น.

เผยพระครูที่ถูกกราดยิงเสียชีวิตเป็นมิตรกับมุสลิมและเชื่อมชาวพุทธ-มุสลิมในพื้นที่มาต่อเนื่อง

People unity : จากเหตุการณ์เศร้าสลด ที่สะเทือนจิตใจชาวพุทธอีกครั้ง และทำให้สถานการณ์ความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ตกอยู่ในภาวะร้อนระอุและอึมครึมมากยิ่งขึ้น ซึ่งได้เกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 20.30 น. ของวันนี้ (18 ม.ค.2562) ได้มีคนร้ายจำนวนกว่า 10 คน แต่งกายชุดดำคล้ายทหาร ขี่รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะ บุกเข้าไปภายในวัดรัตนานุภาพ หรือ วัดโคกโก ซึ่งตั้งอยู่บ้านโคกโก ม.2 ต.โต๊ะเด็ง อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส แล้วกระจายกำลังกันใช้อาวุธปืนสงครามยิงถล่มใส่กุฏิพระ ส่งผลทำให้ พระครูประโชติรัตนานุรักษ์ เจ้าคณะอำเภอสุไหงปาดี และเป็นเจ้าอาวาสวัดรัตนานุภาพ มรณภาพลงพร้อมพระลูกวัดรวม 3 รูป และมีพระลูกวัดได้รับบาดเจ็บอีก 1 รูป

สำนักข่าวออนไลน์ People unity ได้รับทราบข้อมูลจากเฟซบุ๊คของ ดร.พัทธ์ธีรา นาคอุไรรัตน์ อาจารย์ประจำสถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญและมีบทบาทในพื้นที่ด้านการสร้างสันติสุขและความสงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งได้โพสต์ข้อความเปิดเผยว่า “พระครูประโชติรัตนานุรักษ์ หรือ ท่านสว่าง คือหลักใจของชาวพุทธ เป็นมิตรของมุสลิม เป็นคนในพื้นที่ เป็นคนที่แกแจ๊ะนายูกับมุสลิมที่อยู่รอบข้าง เป็นพระที่ทำงานเพื่อพัฒนาสันติภาพและเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างศาสนิกในพื้นที่มาอย่างต่อเนื่อง แต่วันนี้ สายสัมพันธ์ที่ท่านถักทอกำลังถูกแรงกระแทกอย่างหนัก”

ดร.พัทธ์ธีรา โพสต์อีกว่าข่าวที่ส่งเข้ามาและช็อคความรู้สึกมากที่สุดตั้งแต่ทำงานในชายแดนใต้มา คือวันนี้ที่ได้รับข่าวว่า พระครูประโชติรัตนานุรักษ์ หรือ ท่านสว่าง และท่านอู๊ด พระเลขาที่ช่วยงานท่านสว่างมาตลอด ถูกคนใจมาร ไม่ใช่มนุษย์ ไม่สมควรเรียกว่าเป็นนักรบ ผู้มีอุดมการณ์ใดๆทั้งสิ้นบุกยิงท่านถึงในวัดจนท่านมรณภาพ

#นักรบหรือคนมีอุดมการณ์ไม่ทำกับคนที่ไม่มีทางสู้ ไม่มีอาวุธ และที่สำคัญกับผู้ทรงศีล

เสียใจมากที่สุด จนไม่รู้จะพูดอะไรออกได้อีก

ได้แต่ขอกราบลาท่านด้วยความเคารพอย่างสุดหัวใจและจะจดจำความเมตตาที่ท่านมีให้เสมอมา

และขอเป็นกำลังใจให้พี่น้องชาวพุทธในนราธิวาส ในสามจังหวัด ให้ตั้งมั่นในความมีสติและตระหนักรู้ในสัจธรรมคำสอนของพุทธองค์ในยามที่จิตใจถูกทุบตีให้เจ็บช้ำสั่นคลอน

กราบท่านด้วยความเคารพและอาลัยอย่างที่สุด

พัทธ์ธีรา

18 มกราคม 2562″

ข่าวด่วน : เผยพระครูที่ถูกกราดยิงเสียชีวิตเป็นมิตรกับมุสลิม และเชื่อมชาวพุทธ-มุสลิมในพื้นที่มาต่อเนื่อง

People unity : post 18 มกราคม 2562 เวลา 23.50 น.

ภาพจาก : มติชน

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรับสั่งให้จัดระบบการทำงานช่วยเหลือ 13 ชีวิตที่ติดอยู่ในถ้ำให้เรียบร้อย

People unity news online : 27 มิถุนายน 2561 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีกระแสรับสั่งจัดระบบการทำงานช่วยเหลือ 13 ชีวิตที่ติดอยู่ในถ้ำหลวงให้เรียบร้อย กันผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าไป

พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ได้รับข่าวจากราชเลขานุการส่วนพระองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงติดตามการช่วยเหลือ 13 ชีวิตที่สูญหายในถ้ำหลวง ขุนน้ำนางนอน จังหวัดเชียงราย และมีกระแสรับสั่งให้จัดระบบในการทำงาน โดยเฉพาะคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับแผนปฏิบัติการควรรอให้กำลังใจอยู่ด้านนอกเพื่อให้เจ้าหน้าที่ทำงานได้สะดวกมากขึ้น ส่วนความคืบหน้าการเข้าให้การช่วยเหลือนั้น ทุกฝ่ายยังคงทำงานอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแบ่งการทำงานเป็น 2 ส่วน คือ การสูบน้ำออกจากถ้ำ และอีกส่วนหน่วยซีลจะยังคงเข้าไปปฏิบัติหน้าที่เพื่อหาช่องทางเข้าไปด้านในให้ได้มากที่สุด ซึ่งวันนี้มีแผนและตั้งเป้าว่าจะดำน้ำเข้าไปในถ้ำเป็นระยะ โดยใช้เชือกวางเป็นแนวนำทาง ให้ชุดต่อไปได้เข้าไปผลัดเปลี่ยน และเข้าถึงตัวเด็กให้เร็วที่สุด ส่วนเมื่อพบแล้วจะนำตัวทั้งหมดออกมาอย่างไร จะประเมินสถานการณ์อีกครั้ง ขณะเดียวกันชุดปฏิบัติการด้านนอก ก็ได้เตรียมความพร้อมต่อเนื่อง โดยเฉพาะการนำเฮลิคอปเตอร์บินขึ้นไป เพื่อให้เจ้าหน้าที่โรยตัวเข้าไปในปล่องถ้ำที่ค้นพบเมื่อวาน รวมทั้งมีการจัดชุดเดินเท้าเข้าไปในป่าให้มากที่สุดด้วย เพราะจากการตรวจสอบพบว่า ภายในถ้ำมีอากาศหมุนเวียนถ่ายเทตลอด จึงเป็นไปได้ว่าทางเข้าไปในถ้ำมีช่องทางอื่นอีก ยืนยันพร้อมรับทุกข้อเสนอ ทุกคนทุกฝ่ายในการหาแนวทางช่วยเหลือ และเชื่อว่าวันนี้จะได้รับข่าวดีตามที่ทุกคนตั้งความหวังไว้ว่าทุกคนจะปลอดภัยออกมา และส่วนตัวมั่นใจทุกคนจะสามารถเอาชีวิตรอดได้ เพราะเป็นนักกีฬาและเคยเข้าไปในถ้ำมาก่อน

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ยังขอความร่วมมือสื่อมวลชนที่ปฏิบัติงานและนำเสนอข่าว ควรคำนึงและไตร่ตรองความถูกต้องและความรู้สึกครอบครัวผู้สูญหาย โดยเฉพาะการใช้คำถามที่สร้างสรรค์ และสิ่งสำคัญต้องไม่ขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่

People unity news online : post 27 มิถุนายน 2561 เวลา 13.50 น.

สรรพากรเตือนอย่าหลงเชื่อข่าวเก็บภาษีวัดและพระ

People unity news online : เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2561 กรมสรรพากรออกประกาศเตือนอย่าหลงเชื่อข่าวสรรพากรเก็บภาษีวัดและพระ

ตามที่ได้มีการแชร์ข้อความในสื่อสังคมออนไลน์ ว่ากรมสรรพากรจะเก็บภาษีจากวัด และต้องการให้พระทุกรูปเสียภาษีผ่านบัญชีกลางของวัดนั้น

กรมสรรพากร ขอเรียนว่า

1.วัดมิได้เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามประมวลรัษฎากร จึงไม่มีหน้าที่ในการเสียภาษี ดังนั้น รายได้ที่วัดได้รับจึงไม่มีภาระภาษี และกรมสรรพากรไม่มีความจำเป็นต้องตรวจสอบรายได้หรือตรวจสอบการเสียภาษีของวัดแต่อย่างใด

2.กรมสรรพากรได้จัดทำระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ (e-Donation) เพื่ออำนวยความสะดวกให้วัดและผู้บริจาคเงินที่ประสงค์จะใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเท่านั้น โดยเมื่อวัดกรอกข้อมูลการรับบริจาคบนระบบของกรมสรรพากรแล้ว วัดจะไม่มีภาระในการจัดทำใบอนุโมทนาบัตร รวมถึงผู้เสียภาษีก็ไม่ต้องเก็บหลักฐานการบริจาคเงินเพื่อเป็นหลักฐานในการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้

3.ในส่วนของวัดที่มีการรับบริจาคผ่าน QR Code เป็นการให้บริการของธนาคารแก่วัดตามความสมัครใจของวัด ซึ่งไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกับกรมสรรพากร

4.สำหรับการกำหนดให้วัดต้องจัดทำบัญชี ลงบัญชีรายรับ รายจ่าย หรือรายการต่างๆนั้น มิได้อยู่ในการกำกับดูแลของกรมสรรพากร และกรมสรรพากรก็มิได้มีนโยบายให้วัดต้องจัดทำบัญชีดังกล่าวแต่อย่างใด กรมสรรพากรขอเรียนยืนยันว่ากรมสรรพากรไม่มีนโยบายที่จะจัดเก็บภาษีจากวัดหรือพระภิกษุสงฆ์แต่อย่างใด

ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัยสอบถามข้อมูลได้ที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่ทั่วประเทศ หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร โทร.1161

People unity news online : post 18 มิถุนายน 2561 เวลา 10.00 น.

รัฐเตรียมปล่อยน้ำลง 12 ทุ่งเจ้าพระยาตอนล่าง 10 จว. ดีเดย์ 1 พ.ค.นี้ ทำให้เพาะปลูกเร็วขึ้น

People unity news online : รัฐเตรียมปล่อยน้ำลง 12 ทุ่งเจ้าพระยาตอนล่าง 10 จว. ดีเดย์ 1 พ.ค.นี้ สานต่อแนวทางเลื่อนเพาะปลูกเร็วขึ้น ลดความเสียหายผลผลิต พร้อมใช้พื้นที่ช่วยชะลอน้ำท่วม ชี้เกษตรกรพึงพอใจ

ในวันที่ 1 พ.ค.นี้ รัฐบาลจะเริ่มส่งน้ำเข้าพื้นที่ 12 ทุ่งลุ่มต่ำ ลุ่มเจ้าพระยาตอนล่าง ครอบคลุม 10 จังหวัดท้ายเขื่อนเจ้าพระยา ได้แก่ จ.นครสวรรค์ ชัยนาท ลพบุรี สระบุรี สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี ปทุมธานี และนนทบุรี รวมพื้นที่ 1.15 ล้านไร่ เพื่อให้พี่น้องเกษตรกรได้เตรียมการเพาะปลูกข้าวเร็วขึ้น 1 เดือน ซึ่งประสบผลสำเร็จมากในปีที่แล้ว

“รัฐบาลออกมาตรการแก้ไขปัญหาผลผลิตทางการเกษตรได้รับความเสียหายจากภาวะน้ำท่วมทุกปี โดยเลื่อนปฏิทินการเพาะปลูก และใช้พื้นที่ 12 ทุ่งเป็นแก้มลิงธรรมชาติชั่วคราวสำหรับพักชะลอน้ำรองรับน้ำหลากหลังเก็บเกี่ยวแล้วเสร็จช่วงเดือน ก.ย. โดยปีที่ผ่านมาเกษตรกรในพื้นที่ได้รับประโยชน์และให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ทั้งๆที่มีปริมาณฝนตกสะสมใกล้เคียงกับปี 2554 แต่ไม่เกิดความเสียหายเท่ากับปี 2554”

สำหรับมาตรการครั้งนี้ถือเป็นปีที่ 2 ต่อเนื่องจากปีก่อน โดยสามารถรองรับน้ำไว้ได้มากถึง 1.5 พันล้าน ลบ.ม. ซึ่งเท่ากับเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ 2 เขื่อน ช่วยลดผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วมพื้นที่ชุมชนตามแนวริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา เขตเศรษฐกิจตอนล่าง กรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยดำเนินการควบคู่กับการปรับปรุงเสริมคันกั้นน้ำให้มั่นคงแข็งแรง เพื่อป้องกันไม่ให้ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ได้รับผลกระทบ และไม่เป็นอุปสรรคต่อการสัญจร

นอกจากนี้ พื้นที่แก้มลิงก่อให้เกิดอาชีพประมง เป็นแหล่งอาหารโปรตีนให้ประชาชนในพื้นที่มีรายได้เสริม รวมทั้งทำให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ของดิน ช่วยตัดวงจรการแพร่ระบาดโรคพืชและแมลงต่างๆได้ดี โดยพบว่าชาวนาที่ปลูกข้าวนาปรังได้ผลผลิตอยู่ในเกณฑ์สูง

ทั้งนี้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกร โดยรับทราบปัญหาผลผลิตทางการเกษตรถูกน้ำท่วมเสียหายเป็นประจำ จึงได้สั่งการให้แก้ไขอย่างเร่งด่วน โดยได้ออกมาตรการเลื่อนเวลาการปลูกข้าวจากเดือน มิ.ย. เป็นเดือน พ.ค ซึ่งช่วยลดความเสียหายได้มาก พร้อมทั้งกำชับให้ขยายผลไปยังพื้นที่ลุ่มน้ำอื่นทั้งในภาคใต้ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ด้วย

นายกฯ เน้นย้ำอยากให้พี่น้องเกษตรกรมีความสามัคคีและร่วมมือกัน เพาะปลูกหรือทำการเกษตรอย่างพร้อมเพรียงกัน เมื่อถึงเวลาเปิดปิดน้ำ ซึ่งนอกจากจะเกิดผลดีต่อพี่น้องเกษตรกรโดยตรงแล้ว ยังช่วยลดผลกระทบจากน้ำท่วมในพื้นที่ภาคกลางอีกด้วย

People unity news online : post 29 เมษายน 2561 เวลา 15.10 น.

ธ.ออมสินเปิดรับเงินฝากจากผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ให้ดอกเบี้ยสูง 3 % ต่อปี

People unity news online : ธนาคารออมสิน นำเสนอ “เงินฝากเผื่อเรียกพิเศษสวัสดิการแห่งรัฐ” มุ่งประชาชนฐานรากผู้มีรายได้น้อยให้ออมเงิน หนึ่งในมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ดอกเบี้ยสูง 3.00% ต่อปี ในระยะเวลาฝาก 5 ปี ยกเว้นภาษี กำหนดวงเงินรับฝากรวม 6,000 ล้านบาท เปิดรับฝากตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ทุกสาขาทั่วประเทศ

19 เมษายน 2561 นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ตามที่ธนาคารออมสินได้มีมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รวม 3 มาตรการ 10 โครงการ โดยธนาคารออมสินได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2561 อาทิ มหาวิทยาลัยประชาชน โครงการพัฒนาและยกระดับผู้ประกอบการแฟรนไชส์ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ สินเชื่อธุรกิจแฟรนไชส์ เป็นต้น ล่าสุดนี้ ธนาคารฯได้ดำเนินการในมาตรการที่ 2 ว่าด้วยเรื่องเงินฝาก ด้วยการเปิดรับฝาก “เงินฝากเผื่อเรียกพิเศษสวัสดิการแห่งรัฐ” เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ผู้มีรายได้น้อยมีเงินเก็บออมไว้ใช้จ่ายยามจำเป็น อัตราดอกเบี้ย 3.00% ต่อปี ในระยะเวลาฝาก 5 ปี ยกเว้นภาษี เปิดรับฝากตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ณ สาขาของธนาคารออมสินทุกแห่งทั่วประเทศ

ทั้งนี้ ผู้ฝากต้องเป็นบุคคลธรรมดาที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ฝากได้เพียง 1 บัญชี โดยการฝากแต่ละครั้งไม่ต่ำกว่า 100 บาท และไม่เกิน 1,000 บาท ฝากเงินทุกเดือน ยอดเงินฝากแต่ละเดือนเพิ่มขึ้นไม่เกิน 1,000 บาท ห้ามขาดฝากในระยะเวลาฝาก 5 ปี เมื่อครบ 5 ปี ต้องมียอดเงินฝากคงเหลือไม่เกิน 60,000 บาท ถอนเงินเท่าใดก็ได้ตามเงื่อนไขของช่องทางที่ใช้บริการ ลงรับดอกเบี้ยในวันที่ครบระยะเวลาฝาก 5 ปี โดยมีวงเงินรับฝากจำนวน 6,000 ล้านบาท เป้าหมายจำนวนผู้ฝากไม่น้อยกว่า 100,000 ราย

“ธนาคารออมสิน ในฐานะสถาบันการเงินของรัฐ ดำเนินภารกิจสำคัญคือ ส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากด้วยการเป็นแหล่งเงินทุนเพื่อการพัฒนาอาชีพ ยกระดับคุณภาพชีวิต รวมถึงมุ่งมั่นทำหน้าที่ส่งเสริมการออม ด้วยการนำเสนอรูปแบบการออมผ่านผลิตภัณฑ์เงินฝากที่หลากหลาย เพื่อสนับสนุนภาคการออมอย่างยั่งยืน” นายชาติชาย กล่าว

People unity news online : post 20 เมษายน 2561 เวลา 01.10 น.

กรมทางหลวงเผย 8 เส้นทางอันตราย ทางตรงยาว เสี่ยง “หลับใน” มากที่สุด

People unity news online : กรมทางหลวงเผย 8 สายทางที่ผู้ขับขี่มีโอกาสหลับในมากที่สุด เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ พร้อมแนะนำให้แวะพักที่จุดบริการกรมทางหลวง

นายธานินทร์ สมบูรณ์ อธิบดีกรมทางหลวง (ทล.) กระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ทล. เตรียมความพร้อมอำนวยความสะดวก ปลอดภัย เพื่อรองรับการเดินทางของประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2561 ภายใต้นโยบาย One Transport รวมทั้งมอบให้สำนักทางหลวงและแขวงทางหลวงในพื้นที่ติดตั้งป้ายเตือน “ง่วงหยุดพัก” และจุดบริการประชาชนเพิ่มเติมในจุดที่เกิดอุบัติเหตุบนสายทางที่เกิดจากการหลับในของผู้ขับขี่มีสาเหตุเกิดจากความเหนื่อยล้า ประกอบกับเป็นทางตรงระยะยาว จากสถิติของสำนักอำนวยความปลอดภัย ทล. พบว่า ทางหลวงที่ผู้ขับขี่หลับในและเกิดอุบัติเหตุ จำนวน 8 สายทาง ดังนี้

– ทางหลวงหมายเลข 1 ตอนพาน – สันทรายหลวง ระหว่าง กม. ที่ 916 – 922 ระยะทางประมาณ 6 กิโลเมตร ในพื้นที่ จ.เชียงราย

– ทางหลวงหมายเลข 323 ตอนแยกปากกิเลน – น้ำตกไทรโยคใหญ่ ระหว่าง กม. ที่ 110 – 115 ระยะทางประมาณ 5 กิโลเมตร ในพื้นที่ จ.กาญจนบุรี

– ทางหลวงหมายเลข 1 ตอนวังม่วง – แม่เชียงรายบน ระหว่าง กม. ที่ 535 – 540 ระยะทางประมาณ 5 กิโลเมตร ในพื้นที่ จ.ตาก

– ทางหลวงหมายเลข 4 ตอนน้ำรอด – พ่อตาหินช้าง ระหว่าง กม. ที่ 415 – 425 ระยะทางประมาณ 10 กิโลเมตร ในพื้นที่ จ.ชุมพร

– ทางหลวงหมายเลข 224 ตอนพะโค – หนองสนวน ระหว่าง กม. ที่ 90 – 95 ระยะทางประมาณ 5 กิโลเมตร ในพื้นที่ จ.นครราชสีมา

– ทางหลวงหมายเลข 402 ตอนหมากปรก – เมืองภูเก็ต ระหว่าง กม. ที่ 30 – 35 ระยะทางประมาณ 5 กิโลเมตร ในพื้นที่ จ.ภูเก็ต

– ทางหลวงหมายเลข 4 ตอนปากท่อ – สระพัง ระหว่าง กม. ที่ 123 – 133 ระยะทางประมาณ 10 กิโลเมตร ในพื้นที่ จ.สมุทรสงคราม

– ทางหลวงหมายเลข 35 ตอนสะพานข้ามแม่น้ำท่าจีน – นาโคก ระหว่าง กม. ที่ 40 – 45 ระยะทางประมาณ 5 กิโลเมตร ในพื้นที่ จ.สมุทรสาคร

ทั้งนี้ ทล. ได้ติดตั้งป้ายเตือน “ง่วงหยุดพัก” ในจุดที่เหมาะสม เพื่อเตือนให้ผู้ใช้ทางที่ผ่านพื้นที่ดังกล่าวทราบว่า จุดดังกล่าวเป็นทางตรงระยะยาว มีโอกาสหลับในสูง และเป็นจุดที่ใกล้จะถึงจุดหมายของผู้ขับขี่ ทำให้ผู้ขับขี่ฝืนตัวเอง จึงขอให้หยุดพักเพื่อผ่อนคลาย โดยแนะนำให้หยุดพักที่จุดบริการ ทล. ซึ่งตั้งอยู่บนสายทางทุก 2 ชั่วโมง เนื่องจากมีความพร้อมในการรองรับทั้งที่พัก สิ่งอำนวยความสะดวก เครื่องดื่ม และข้อแนะนำต่างๆ ขอให้ประชาชนผู้ใช้ทางศึกษาเส้นทางก่อนออกเดินทาง ขับขี่ด้วยความระมัดระวัง พักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารแต่พอดี หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เคารพกฎจราจรอย่างเคร่งครัด และขอความร่วมมือปฏิบัติตามนโยบายของกระทรวงฯ “ขับรถช้า เปิดไฟหน้า คาดเข็มขัดนิรภัย” หากมีปัญหาเกี่ยวกับการเดินทางสามารถสอบถามได้ที่ สายด่วนกรมทางหลวง 1586 (โทรฟรี 24 ชั่วโมง)

People unity news online : post 16 เมษายน 2561 เวลา 08.19 น.

อากาศร้อนจัด สาธารณสุขเตือนอย่าดื่มเหล้าช่วงกลางวัน เสี่ยงเป็นฮีทสโตรก ช็อคเสียชีวิต

People unity news online : กระทรวงสาธารณสุข เตือนประชาชนหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ช่วงกลางวัน เสี่ยงเป็นโรคฮีทสโตรกจากสภาพอากาศร้อน ช็อค เสียชีวิตได้

นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ สภาพอากาศที่ร้อนจะทำให้อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้น และหากดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ท่ามกลางอากาศร้อนจัด จะมีความเสี่ยงเป็นโรคลมแดด โรคลมร้อน หรือฮีทสโตรก อาจเกิดอาการช็อกและเสียชีวิตได้หากไม่ได้รับการดูแลทันท่วงที จึงขอแนะนำประชาชนให้หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในตอนกลางวัน เนื่องจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะมีผลให้หลอดเลือดที่บริเวณผิวหนังขยายตัว ทำให้เกิดการระบายความร้อนออก มีการปรับเปลี่ยนอัตราและการหมุนเวียนของโลหิต  ปัสสาวะบ่อย ทำให้สูญเสียน้ำและเกลือแร่สูงกว่าผู้ที่ไม่ได้ดื่ม โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ คนอ้วน หรือผู้ที่พักผ่อนไม่เพียงพอ จะยิ่งมีความเสี่ยงมากขึ้น

นายแพทย์โอภาสกล่าวต่อว่า ในการป้องกันโรคฮีทสโตรก ทำได้โดยการดื่มน้ำสะอาดให้มากๆ และบ่อยๆ เนื่องจากน้ำจะเป็นตัวควบคุมอุณหภูมิของร่างกายให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ วิธีการสังเกตว่าร่างกายได้รับน้ำเหมาะสมเพียงพอหรือไม่ สามารถสังเกตง่ายๆจากสีของน้ำปัสสาวะ หากมีสีเหลืองจางๆ แสดงว่าได้รับน้ำเพียงพอ แต่ถ้ามีสีเหลืองเข้มคล้ายน้ำชา และปัสสาวะออกน้อยแสดงว่าได้รับน้ำไม่เพียงพอ จะต้องดื่มน้ำให้มากๆ  หากพบผู้มีอาการฮีทสโตรก มีอาการตัวร้อนจัดขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่มีเหงื่อออก กระหายน้ำมาก วิงเวียน ปวดศีรษะ มึนงง คลื่นไส้ หายใจเร็ว อาเจียน ให้รีบนำเข้าที่ร่ม อากาศถ่ายเทสะดวก ให้นอนราบยกเท้าทั้งสองข้างขึ้นสูงเพื่อเพิ่มการไหลเวียน ถอดเสื้อผ้าให้เหลือน้อยชิ้น คลายชุดชั้นใน และใช้ผ้าชุบน้ำเย็น น้ำแข็งประคบตามซอกคอ หน้าผาก รักแร้ ขาหนีบ ร่วมกับใช้พัดลมเป่า เพื่อระบายความร้อน ลดอุณหภูมิร่างกายให้เร็วที่สุด หากไม่หมดสติให้ดื่มน้ำเปล่ามากๆ และส่งผู้ป่วยไปที่โรงพยาบาล หรือโทรสายด่วน 1669

People unity news online : post 16 เมษายน 2561 เวลา 08.00 น.

Verified by ExactMetrics