วันที่ 16 กันยายน 2025

“แพทองธาร” เผย 12 ประเทศ หนุนการท่องเที่ยวโครงการ 6 countries 1 destination 

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 11 ตุลาคม 2567 นายกรัฐมนตรีพอใจภาพรวมการเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียนตลอด 3 วันที่ผ่านมา ได้ประชุมและหารือกว่า 20 วาระ

วันนี้ 11 ตุลาคม 2567 เวลา 14.30 น นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยถึงภาพรวมและผลสำเร็จในการเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 44 และ 45 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ณ นครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว

นายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากผู้นำอาเซียน ซึ่งไทยและสิงคโปร์ถือเป็นผู้นำใหม่ที่ได้เข้าร่วมประชุมในครั้งนี้  ที่ประชุมได้คุยหารือถึงภาพรวมของความร่วมมือ มุ่งเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจ แสวงหายุทธศาสตร์ความร่วมมือเพื่อการลงทุน  โดยในการประชุม 3 วันที่ผ่านมา ได้เข้าร่วมกว่า 20 การประชุม

นายกรัฐมนตรีกล่าวถึง ประเด็นสำคัญที่ได้มีการพูดถึงในเวทีอาเซียนอาทิ ความเชื่อมโยง การท่องเที่ยว โดยได้มีการหารือเพื่อให้เพิ่มเที่ยวบินตรงระหว่างกันมากขึ้น  ฟรีวีซ่า การบริหารจัดการน้ำ ซอฟต์พาวเวอร์ ความสัมพันธ์ระหว่างประชาชน-ประชาชน  รวมถึงความมั่นคงของมนุษย์  เช่น  ความมั่นคงทางอาหาร พลังงานสีเขียว

นายกรัฐมนตรียังกล่าวว่า ทุกประเทศยังเห็นพ้องถึงการรักษาอาเซียนให้เป็นภูมิภาคที่สงบสุข  สำหรับสถานการณ์ในเมียนมานั้น ไทยพร้อมเป็นพื้นที่ให้ทุกฝ่ายพูดคุยกัน เพื่อความสุขสงบและสันติภาพ ในภูมิภาคอาเซียนรวมกัน ซึ่งได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่ายเป็นอย่างดี

ในการหารือทวิภาคี 12 ประเทศ ทุกประเทศให้การสนับสนุนการท่องเที่ยว ในโครงการ 6 countries 1 destination  รวมไปถึงการแก้ปัญหา ข้ามพรมแดน  การบริหารจัดการน้ำ  การเปลี่ยนแปลงสภาพพูมิอากาศ โดยได้มีโอกาสหารือกับนายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย ได้พูดคุยการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยี ไทยอยากเรียนรู้ประสบการณ์ความรู้ความเชี่ยวชาญด้านการจัดการภัยพิบัติ โดยให้จัดตั้งคณะทำงานต่อไป สำหรับ ในปี 2568 นั้น ไทย-จีนจะครบรอบ 50 ปี โดยประกาศให้เป็น “ปีทอง” และจัดกิจกรรมตลอเทั้งปีเพื่อเฉลิมฉลองร่วมกันต่อไป

Advertisement

นายกฯ พบหารือ “ปูติน” พร้อมส่งเสริมความร่วมมือทุกมิติ โดยเฉพาะการท่องเที่ยว

People Unity News : 17 ตุลาคม 2566 สาธารณรัฐประชาชนจีน – นายกฯ หารือ ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ย้ำ เจตจำนงร่วมกันยกระดับความสัมพันธ์ไทย-รัสเซีย พร้อมส่งเสริม ความร่วมมือทุกมิติ โดยเฉพาะการท่องเที่ยว

เมื่อเวลา 18.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่นกรุงปักกิ่ง ซึ่งเร็วกว่าไทย 1 ชม.) ณ เรือนรับรองเตี้ยวหยูไถ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หารือทวิภาคีกับนายวลาดิมีร์ ปูติน (Mr. Vladimir Putin) ประธานาธิบดีแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย

โดยนายกรัฐมนตรี ยินดีที่ได้พบหารือกับประธานาธิบดีปูตินในวันนี้ (17 ต.ค.) เป็นโอกาสอันดีในการแสดงเจตจำนงร่วมกัน เพื่อยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับรัสเซียให้ใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น โดยรัสเซียถือเป็นมิตรประเทศที่มีความสัมพันธ์กับไทยมายาวนาน ทั้งสองฝ่ายเพิ่งฉลองครบรอบ 125 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างเมื่อปี 2565 ซึ่งนายกรัฐมนตรีเห็นว่าทั้งสองฝ่ายควรร่วมมือกันเพิ่มพูนความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างกันให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้นและเป็นรูปธรรม

ด้านประธานาธิบดีปูติน ชื่นชมความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดยาวนานระหว่างไทยกับรัสเซีย พร้อมทั้งเห็นว่า ทั้งสองฝ่ายควรเพิ่มพูนความร่วมมือระหว่างกันทั้งในกรอบทวิภาคีและพหุภาคีมากขึ้น โดยเฉพาะด้านวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว ซึ่งทั้งสองฝ่ายมีความสัมพันธ์ในระดับประชาชนที่แน่นแฟ้นอย่างมาก โดยปี 2567 (ค.ศ. 2024) จะเป็นปีแห่งการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวไทย-รัสเซีย นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวรัสเซียมาท่องเที่ยวยังประเทศไทยมากกว่า 1 ล้านคน และนายกรัฐมนตรีได้แจ้งว่า ที่ประชุม ครม. เมื่อวันที่16 ตุลาคม 2566 ที่ผ่านมามีมติเพิ่มวันพำนักให้ชาวรัสเซียจาก 30 วันเป็น 90 วัน ด้วย

สำหรับประเด็นการหารือที่ทั้งสองฝ่ายเห็นควรร่วมมือกัน ด้านการเมือง ทั้งสองฝ่ายมีการแลกเปลี่ยนด้านการศึกษาระหว่างบุคลากรสภาความมั่นคงของทั้งสองประเทศอย่างต่อเนื่อง

ด้านเศรษฐกิจ ทั้งสองฝ่ายเห็นควรเพิ่มการอำนวยความสะดวกทางการค้าระหว่างกันมากขึ้น โดยนายกรัฐมนตรีขอให้ฝ่ายรัสเซียส่งเสริมการค้าสินค้าเกษตรระหว่างกัน พร้อมทั้งเชิญชวนให้รัสเซียพิจารณาเพิ่มการลงทุนในไทย

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้เชิญประธานาธิบดีรัสเซีย เดินทางเยือนไทยซึ่งประธานาธิบดีรัสเซีย ตอบรับ โดยจะได้ร่วมกำหนดวันที่ทั้งสองฝ่ายสะดวกต่อไป

จากนั้นในเวลา 18.30 น. นายกรัฐมนตรีเข้าร่วมงานเลี้ยงรับรองอาหารค่ำโดยนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีนและภริยาเป็นเจ้าภาพ ณ มหาศาลาประชาชน

Advertisement

นายกฯ ลั่นไทยมีศักดิ์ศรี ไม่ยอมให้ใครข่มขู่ ซัดกัมพูชาเล่นนอกกรอบข้อตกลง

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 16 มิถุนายน 2568 “แพทองธาร” นายกฯ ลั่นไทยมีศักดิ์ศรี-เข้มแข็ง ไม่ยอมให้ใครข่มขู่ กลั่นแกล้ง ซัดกัมพูชาเล่นสงครามข่าวสารนอกกรอบข้อตกลง ลั่นใครไม่เคารพกติกาจะไม่ถูกยอมรับจากทั่วโลก พร้อมตั้ง “บิ๊กเล็ก” หัวหน้าทีมเฉพาะกิจ ย้ำไม่รับเขตอำนาจศาลโลก ยอมรับสื่อสารออกสู่สาธารณะน้อย เพราะเคารพกรอบทวิภาคี เผยส่งข้อความถึง “ฮุน มาเนต” ดึงประชุม RBG จารึกเป็นลายลักษณ์อักษร

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังเรียกหน่วยงานความมั่นคงเข้าประชุมที่บ้านพิษณุโลก เพื่อติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา

โดยระบุว่าที่ประชุมวันนี้ได้มีการพูดถึงการประชุม JBC เมื่อวันที่ 14-15 มิถุนายนที่ผ่านมา ถือว่าเป็นผลสำเร็จที่ได้มีการพูดคุยกันและได้ยอมรับกรอบ ส่วนรายละเอียดเป็นไปตามที่กระทรวงการต่างประเทศได้แถลงการณ์ไปแล้ว

นอกจากนี้ที่ประชุมวันนี้ยังมีการพูดคุยกันในทุกระดับ ตั้งแต่หน้างาน มาจนถึงนายกรัฐมนตรี เป็นการพูดคุยติดต่อสื่อสารกันอย่างต่อเนื่อง และวันนี้ยังได้มีการตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจ เพื่อติดตามสถานการณ์ซึ่งเป็นทีมไทยแลนด์ หลังจากนี้จะให้พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นผู้นำทีม ติดตามข้อมูลข่าวสารและดำเนินการทั้งหมด

ส่วนเรื่อง ICJ หรือศาลโลก ประเทศไทยไม่ยอมรับเขตอำนาจศาลโลก ตอนนี้เราได้มีการตั้งทีมทำงานเช่นกัน เพื่อดูว่าเราจะปกป้องและตั้งรับอย่างไร และหาข้อมูลว่าเราจะสามารถปกป้องประเทศได้อย่างไร หรือตอบโต้อย่างไรได้บ้าง ซึ่งจะต้องมีกรอบในการทำงานนี้ โดยขณะนี้เรากำลังศึกษาในเรื่องข้อกฎหมาย รวมถึงประวัติศาสตร์ ยืนยันมีข้อมูลไว้ครบหมดแล้ว นี่เป็นความคืบหน้าของการประชุมในวันนี้

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่สมเด็จฯ ฮุน เซน ออกมาประกาศเตรียมปิดทุกด่านพนมแดน หากไทยยังไม่ยกเลิกมาตรการกำหนดเวลาเปิด-ปิดด่าน นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า จริงๆ แล้วเราไม่ได้ปิดด่าน เพียงแต่เรากำหนดเวลาเปิด-ปิด ซึ่งเปลี่ยนไปจากเดิมเมื่อมีการปะทะเกิดขึ้น ทางไทยได้ทราบจากเพจกลาโหมกัมพูชา ซึ่งได้มีการตกลงกันแล้ว และหลังมีการตกลงกันว่าจะปรับกำลังที่ประชุม สมช.ในวันนั้นก็ได้มอบอำนาจให้กองทัพประเมินสถานการณ์ว่าจะดำเนินการอย่างไรให้เข้ากับสถานการณ์ แต่หลังคุยกัน เพจกลาโหมกัมพูชาได้ออกมาบอกว่าจะไม่มีการถอยกำลัง เราจึงกำหนดเวลาเปิด-ปิดด่าน ซึ่งทางกัมพูชาก็มีการกำหนดเวลาเช่นกัน ต่างฝ่ายต่างกำหนดเวลา และตนอยากบอกว่าได้มีการพูดคุยกันมาตั้งแต่ 28 พฤษภาคม กับพลเอกฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา มีการตกลงเป็นความเห็นร่วมกันว่าเราต้องการสันติภาพ ให้เกิดขึ้นระหว่างสอง ประเทศ ไม่ต้องการความขัดแย้ง แต่ต้องการรักษาชีวิตประชาชนทั้ง 2 ประเทศ ไม่ต้องการเสียเลือดเนื้อของทหารด้วย นี่คือสิ่งที่เห็นตรงกัน ซึ่งคุยกันมาเรื่อยๆและตนก็พยายามคุยในกรอบ ของทวิภาคี นั่นคือกรอบการคุยระหว่างประเทศ ที่ทุกประเทศเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกัน เราต้องมีกรอบความเข้าใจที่ตรงกัน เพื่อให้เป็นไปตามกลไกระหว่างประเทศ แต่การคุยกันหลังไมค์ก็มีแน่นอน แต่สิ่งที่สื่อสารออกมาผ่านโซเชียลมีเดียที่นอกกรอบอยู่เรื่อยๆ เป็นการสื่อสารที่ไม่เป็นมืออาชีพ ทำให้เกิดความวุ่นวาย ทั้ลสิ่งที่คุยหลังไมค์และคุยอย่างเป็นทางการ ตนคิดว่าการสื่อสารแบบนี้ทำให้เกิดผลลบกับทั้ง 2 ประเทศ ซึ่งข้อความที่ทางกัมพูชาได้โพสต์ต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชน ทั้งไทยและกัมพูชา การที่จะประกาศถึงการปิดด่านหรือเรื่องใดๆ ทำให้เกิดผลกระทบต่อประะชาชนทั้ง 2 ประเทศ เรามีความห่วงใยทั้งเรื่องการค้าขาย การส่งผักผลไม้ หากมีการปิดด่านจะกระทบทั้งหมดอยู่แล้ว เราจึงไม่ได้ปิดด่าน แค่ปรับเวลา และตนได้แจ้งทางกัมพูชาแล้วว่าตนจะมีประชุมในวันนี้ก่อนเพื่อรายงานผลว่าเราจะดำเนินการอย่างไรต่อไป

และวันนี้ตนได้ส่งข้อความถึงนายกรัฐมนตรีกัมพูชาเพื่อเสนอในจัดประชุม RBC เป็นการประชุมระดับกองทัพทั้ง 2 ประเทศ เพื่อพูดคุยกันว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อ ซึ่งตนได้เห็นข้อความที่ทางกัมพูชาโพสต์ในเฟซบุ๊คแล้ว เป็นสิ่งที่ไม่ได้อยู่ในกรอบ

เมื่อถามว่าจากปฏิกริยาหลังการประชุม JBC ที่ผ่านมา เหมือนกำลังใช้ทวิภาคีในการแก้ปัญหา ขณะที่กัมพูชากลับแสดงท่าทีไม่จริงใจที่จะคุยแบบทวิภาคี นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าที่ประชุม JBC เราประชุมด้วยกันทั้งคู่ ถือว่ายอมรับกรอบของ JBC เราคุยร่วมกัน ต้องการสันติภาพร่วมกัน จะทำอย่างไรได้บ้างสันติภาพจึงจะเกิดขึ้น ตนมองว่า JBC ไม่มีปัญหาอะไร เป็นไปตามแถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศ ในเนื้อความได้มีการชี้แจงทุกอย่างแล้ว ไม่ได้ติดขัดว่าจะพลิกล็อค

เมื่อถามว่าดูเหมือนทางกัมพูชากำลังเล่นสงครามด้านข่าวสาร นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าการสื่อสารแบบนี้ ไม่ได้เกิดผลดีกับทั้ง 2 ประเทศ การปล่อยข่าว หรือข่าวที่ออกมาในหลายๆครั้ง ก็เคยมีการตกลงกันแล้ว ว่าอย่าเพิ่งปล่อยข่าวออกมา เพราะเราต้องคุยกันก่อนว่าจะเอาอย่างไร เพราะคนที่อยู่หน้างานกับคนที่รับฟังข่าวสารเป็นคนละคนกัน เพราะฉะนั้นแล้ว เราทำอะไร ตัดสินใจอะไร หรือให้สัมภาษณ์อะไรออกไป ต้องเห็นใจคนหน้างานด้วยว่าตรงนั้นเป็นอย่างไร และเกิดอะไรขึ้นบ้าง และการที่เรากำหนดเวลาเปิด-ปิดด่านในตอนแรก เพราะพบว่ามีการติดตั้งอาวุธระยะไกล มีอาวุธหนักที่เริ่มออกมาเยอะขึ้น เพราะมีประชาชนที่อยู่บริเวณนั้นจำนวนมากทั้ง 2 ประเทศ การที่เอาอาวุธขนาดใหญ่ออกมาแบบนั้น หากเราไม่กำหนดเวลาแล้วเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา อาจเกิดความเสียหายได้

ส่วนจะทำอย่างไรให้โลกรู้ว่าไทยพยายามใช้กลไกทวิภาคีในการเจรจา นายกรัฐมนตรี ทุกอย่างมีการจารึกเป็นลายลักษณ์อักษร ทั้งการประชุม JBC หรือสิ่งที่ตนเสนอไปในตอนนี้ จะเป็นระดับ GBC หรือ RBC ก็ได้ ขอให้มาคุยกันแบบมีการบันทึก ไม่ใช่แค่คุยกันแล้วแยกย้าย แต่การพูดคุยทั้งหมดถูกจารึกเป็นลายลักษณ์อักษร โลกสามารถรับรู้ได้ว่าเราพูดคุยอะไรกันบ้าง และในช่วงบ่ายวันนี้กระทรวงการต่างประเทศได้เชิญทูตทั้งหมดในประเทศไทย เข้ามารับฟังการชี้แจง และก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 4 มิถุนายนที่ผ่านมา ได้มีการเชิญทูตกัมพูชา 2คน เข้ามาพูดคุยว่าเราต้องการทำอย่างไร รัฐบาลเคลื่อนไหวมาตลอด

“แต่สิ่งที่เราอาจจะทำน้อยกว่าเขา คือการสื่อสารออกสู่สาธารณะ เพราะเราเคารพในการเจรจาระหว่างประเทศ เราเคารพกรอบของทวิภาคี เราเคารพ เราให้เกียรติทั้ง 2 ประเทศ ว่าสิ่งที่คุย ควรเป็นสิ่งที่เป็นทางการ และอยู่ในกรอบของทวิภาคี นั่นคือสิ่งที่เมื่อทุกประเทศมีการติดต่อสื่อสารกัน ต้องยึดกรอบของทวิภาคีเป็นสิ่งสำคัญ แต่ถ้ามีการสื่อสารที่ไม่เป็นทางการเกิดขึ้นตลอดเวลาอย่างมากมาย เราก็ต้องบอกว่าจุดยืนของเราไม่เคยยั่วยุ หรือพูดเพื่อให้เกิดการปะทะใดๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ“ นายกรัฐมนตรี ระบุ

นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวว่า ตนเป็นนายกรัฐมนตรีถ้าอยู่ตรงนี้ และเกิดการปะทะกันอย่างรุนแรงบริเวณชายแดน นั่นแปลว่าตนต้องรับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หากตนต้องตกลงในการปะทะก็แปลว่าต้องมีการคุยกับทหาร ว่าพร้อมหรือไม่ เราอยู่ในสถานะไหน เขาอยู่ในสถานะไหน ไม่ใช่พอมีเรื่องแล้วจะจุดให้ไฟติดได้เลย นี่คือกรอบที่เราต้องยึด แต่แน่นอนว่าการปล่อยข่าวหรือข้อมูลที่ไม่เป็นทางการออกมา และส่งผลกระทบ ย่อมไม่ส่งผลดีต่อทั้ง 2 ประเทศ

ส่วนจะทำอย่างไรในเมื่อกัมพูชายังใช้สงครามข้อมูลข่าวสารในลักษณะนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ต้องชี้แจง คนไทย ประเทศไทย นายกรัฐมนตรีและกองทัพ ที่ประชุมในทุกวันนี้เห็นตรงกันในทุกส่วน กองทัพก็คิดเหมือนรัฐบาลว่าต้องปกป้องอธิปไตยของเราไว้ แต่ทำอย่างไร ให้ยืดระยะเวลาการปะทะ การเสียเลือดเนื้อออกไป แต่ยังคงรักษาอธิปไตยไว้ได้ นี่คือเสียงที่ตรงกันของรัฐบาลและกองทัพ

“ใครจะปล่อยว่าข่าวว่า โห ตีกัน ยืนยันว่าไม่เคยตีกัน ตอนนี้ทั้งกองทัพ และรัฐบาล เห็นตรงกันว่าจะทำอย่างไร ดิฉันก็ให้เกียรติกองทัพเสมอ เพราะเป็นคนหน้างานและรู้เรื่องอาวุธทุกอย่าง ดิฉันคุยหลังไมค์อย่างไรก็เช็คกับกองทัพทุกครั้ง ว่าจะเดินอย่างไรแล้วจะเกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศ นี่คือสิ่งที่ทำเสมอกองทัพก็เช่นกัน ได้ปรึกษากับรัฐบาลตลอดว่าอะไรทำได้ หรือไม่ได้ ดิฉันขอย้ำอีกครั้งว่ารัฐบาลกับกองทัพ ไม่เคยมีปัญหาและขอให้ทุกคนช่วยกันซัพพอร์ตกองทัพและรัฐบาลให้เป็นหนึ่งเดียสกัน เพราะวันนี้เราไม่ได้ต่อสู้กันเอง เรารักษาอธิปไตยของเราไว้ เราพูดในข้อความที่ตรงกัน และสามารถพูดได้ว่าประเทศไทยเป็นปึกแผ่น”

ช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีพูดด้วยน้ำเสียงขึงขัง ว่า “เราจะไม่ยอมให้ใครมากลั่นแกล้ง ใส่ร้าย หรือขู่ เราก็เป็นประเทศที่มีศักดิ์ศรีเช่นกัน เราก็เป็นประเทศที่แข็งแรงเช่นกัน จุดนี้จะทำให้ทุกคนรู้ว่าถ้าไม่เคารพกฎกติกา ก็จะไม่ถูกยอมรับโดยทั่วโลก”

Advertisement

 

ไทยย้ำจุดยืนช่วยเหลือตัวประกันในกาซา

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 20 มิถุนายน 2567 ทำเนียบ – “รัดเกล้า” เผย ถ้อยแถลงร่วมเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวประกันในกาซา เพิ่มชื่อประเทศที่ร่วมสนับสนุนรวมเป็นจำนวน 18 ประเทศ

นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2567 ครม. ได้มีมติเห็นชอบร่างถ้อยแถลงร่วมเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวประกันในกาซา (Joint Statement Calling for the Release of the Hostages Held in Gaza) ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวประกันทุกคนที่เหลืออยู่ในกาซาซึ่งถูกควบคุมตัวมาแล้ว 200 วัน การอำนวยความสะดวกในการส่งมอบความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมที่จำเป็นเพิ่มเติมในกาซาอย่างทั่วถึง และการสนับสนุนความพยายามในการไกล่เกลี่ยที่ดำเนินอยู่เพื่อนำพลเมืองกลับสู่มาตุภูมิ ตลอดจนนำสันติภาพและเสถียรภาพมาสู่ภูมิภาค โดยกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) ได้เผยแพร่ถ้อยแถลงร่วมฯ พร้อมกับประเทศอื่นๆ ที่ร่วมสนับสนุนแล้วเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2567

ทั้งนี้ ได้มีการปรับถ้อยคำในส่วนชื่อของถ้อยแถลงร่วมฯ เพื่อให้เกิดความชัดเจนว่าเป็นถ้อยแถลงในระดับผู้นำ และเพิ่มชื่อประเทศที่ร่วมสนับสนุนรวมจำนวน 18 ประเทศ (จากเดิมที่มี 15 ประเทศ) ได้แก่ บราซิล โคลอมเบีย และโปรตุเกส รวมทั้งปรับเพิ่มถ้อยคำในเนื้อหาถ้อยแถลงร่วมฯ ให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่ได้มีการจับตัวประกันในกาซาเป็นเวลายาวนานกว่า 200 วัน และให้ครอบคลุมถึงความห่วงกังวลของประชาคมระหว่างประเทศเกี่ยวกับความปลอดภัยของพลเรือนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ ซึ่งการปรับเปลี่ยนถ้อยแถลงร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบไว้

กระทรวงการต่างประเทศ ภายใต้การนำของนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แจ้งว่า การสนับสนุนถ้อยแถลงร่วมฯ ร่วมกับผู้นำอีก 17 ประเทศ เป็นการย้ำจุดยืนของประเทศไทยที่ให้ความสำคัญสูงสุดกับการช่วยเหลือตัวประกันในฉนวนกาซา โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวประกันชาวไทย โดยรัฐบาลจะดำเนินการอย่างเต็มที่และทุกวิถีทาง รวมทั้งการดำเนินการร่วมกับมิตรประเทศเพื่อให้มีการปล่อยตัวประกันโดยเร็วที่สุด ทั้งนี้ กต. จะติดตามสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับตัวประกันอย่างใกล้ชิดต่อไป

Advertisment

ไทย-มาเลเซีย จับมือรับมือมาตรการภาษีสหรัฐฯ พร้อมเดินหน้าก่อสร้างสะพานโก-ลก แห่งที่ 2

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 18 เมษายน 2568 ไทย-มาเลเซีย จับมือรวมกันในระดับอาเซียนเพื่อรองรับมาตรการภาษีระดับสูงของสหรัฐ ฯ เดินหน้าก่อสร้างสะพานโก-ลก แห่งที่ 2 พร้อมตอกย้ำความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการเชื่อมโยงแนวชายแดน การแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนใต้

วานนี้ (วันพฤหัสบดีที่ 17 เมษายน 2568) เวลา 14.00 น. ณ ห้องสีงาช้าง ทำเนียบรัฐบาล นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้การต้อนรับดาโตะ เซอรี อันวาร์ อิบราฮิม (Dato’ Seri Anwar Ibrahim) นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในโอกาสการเยือนประเทศไทยเพื่อการเจรจาทำงาน (Working Visit) และหารือติดตามความคืบหน้าเกี่ยวกับความร่วมมือไทย-มาเลเซีย

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  สรุปผลการหารือดังนี้ นายกรัฐมนตรีไทยและมาเลเซียยินดีต่อความสัมพันธ์และความร่วมมืออันยาวนานระหว่างไทย-มาเลเซีย  และยินดีที่ไทยและมาเลเซียสามารถลงนามความตกลงการก่อสร้างสะพานคู่ขนานข้ามแม่น้ำโก – ลก โดยจะเป็นโครงการที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งข้ามแดน รวมถึงกระตุ้นเศรษฐกิจและการค้าบริเวณชายแดนไทย-มาเลเซีย

นายกรัฐมนตรีขอบคุณมาเลเซียที่แสดงความห่วงใยต่อเหตุการณ์แผ่นดินไหวในไทย และกล่าวชื่นชมบทบาทของมาเลเซียในการประสานความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่เมียนมาอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ ไทยและมาเลเซีย ยังเห็นพ้องที่จะร่วมมือกันเพื่อช่วยเหลือกับเมียนมาในการจัดการกับปัญหาภัยพิบัติและความช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรมที่เกี่ยวข้อง จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้ ยังได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการมีปฏิสัมพันธ์กับเมียนมา และเชื่อว่าการมีส่วนร่วมของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะนำไปสู่พัฒนาการเชิงบวกในเมียนมาที่สอดคล้องกับฉันทามติ 5 ข้อของอาเซียน

สำหรับประเด็นจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ผู้นำทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องต่อการยุติการใช้การกระทำที่รุนแรง และส่งเสริมให้มีจัดการพบปะหารือระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูงของไทยและของกลุ่มที่เห็นต่างในเบื้องต้น (Pre-talk) โดยนายกรัฐมนตรียืนยันความมุ่งมั่นที่จะเดินหน้ากระบวนการพูดคุยเพื่อสันติสุขต่อไป และยังกล่าวชื่นชมมาเลเซียซึ่งมีบทบาทนำในองค์การความร่วมมืออิสลาม (OIC) หวังว่ามาเลเซียจะช่วยหารือร่างมติที่เกี่ยวข้องกับจังหวัดชายแดนใต้กับฝ่ายไทยก่อนนำเข้าสู่ที่ประชุม OIC เพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกันในเวทีระหว่างประเทศ ด้านมาเลเซียยืนยันจะไม่ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดใช้ประเทศเป็นที่หลบซ่อน และพร้อมให้ความร่วมมือตามกระบวนการยุติธรรมของไทย

โอกาสนี้  นายกรัฐมนตรีไทยและนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ยังได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่อนโยบายภาษีของสหรัฐฯ  ซึ่งทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องถึงความจำเป็นการดำเนินการในระดับประเทศและการยกระดับความร่วมมือในระดับภูมิภาค เพื่อรับมือกับมาตรการด้านภาษีจากสหรัฐฯ โดยหวังว่าประเทศในอาเซียนจะร่วมกันผลักดันในกรอบอาเซียน เพื่อหาทางออกที่เป็นประโยชน์ต่อทุกประเทศ

ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นายกรัฐมนตรีไทยและมาเลเซียได้ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีแลกเปลี่ยนความตกลงว่าด้วยการก่อสร้างสะพานคู่ขนานข้ามแม่น้ำโก-ลก เชื่อมระหว่างอำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส และเมืองรันเตาปันยัง รัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย โดยผู้แลกเปลี่ยนฝ่ายไทยคือ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กับ ดาโตะ อเล็กซานเดอร์ นันตา ลิงกี (Dato Sri Alexander Nanta Linggi) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงโยธาธิการมาเลเซีย

Advertisement

นายกฯ สั่ง 7 มาตรการ รับมือผลกระทบชายแดนไทย-กัมพูชา

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 24 มิถุนายน 2568 นายกฯ ระบุสถานการณ์อิหร่าน-อิสราเอล ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก พร้อมสั่งการ 7 มาตรการ รับมือผลกระทบชายแดนไทย-กัมพูชา ในทุกด้าน ยันรัฐบาลไม่มีนโยบายตอบโต้ การเปิด-ปิดด่านชายแดน เพื่อหวังผลทางการเมือง

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี ว่า เนื่องด้วยสถานการณ์ต่างๆระหว่างประเทศจากสถานการณ์ความขัดแย้งของอิหร่านและอิสราเอล มีผลที่จะขยายวงกว้างออกไปและส่งผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจการเมือง สังคม และยังไม่มีกรอบระยะเวลาที่แน่นอนว่าจะจบเมื่อไหร่ ส่งผลต่อการเจรจาของหลายๆประเทศต่อนโยบาย รวมถึงการเจรจาภาษีทางการค้ากับสหรัฐฯ ด้วย จากเดิมที่กำหนดไว้ต้นเดือนกรกฎาคมนี้ ซึ่งทางฝ่ายไทยได้เริ่มเจรจาแล้วหนึ่งรอบ กับคณะทำงานของสหรัฐฯ ซึ่งจากนี้จะมีการแถลงเพิ่มเติม

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สถานการณ์ดังกล่าวย่อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของโลก รวมถึงประเทศไทยด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของปริมาณและราคาพลังงาน การเงิน การคมมนาคม การท่องเที่ยว ที่จะส่งผลต่อเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชน รวมถึงสถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชาที่ได้สั่งการให้คณะรัฐมนตรีทุกคนร่วมติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และเตรียมหามาตรการรองรับ เพื่อจะให้กระทบประชาชนน้อยที่สุด และขอยืนยันอีกครั้งว่าสถานการณ์เช่นนี้เสถียรภาพของรัฐบาลและความสามัคคีของคนในชาตินั้นสำคัญมาก จึงขอให้คณะรัฐมนตรีทุกคนทำงานใกล้ชิดกับประชาชนมากยิ่งขึ้น เพื่อสร้างความมั่นใจและแก้ไขปัญหาอย่างทันการ

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญ ด้านแรกคือ เรื่องของภัยคุกคามความมั่นคงของชาติ โดยเฉพาะอาชญากรรมข้ามประเทศ ซึ่งตามรายงานของสหประชาชาติที่เกี่ยวข้องกับปัญหาชายแดนไทยกัมพูชา ได้สั่งการให้ทุกฝ่ายต้องทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการและขอย้ำว่า รัฐบาลไม่ได้มีนโยบายในการตอบโต้ การเปิดปิดด่านชายแดนเพื่อหวังผลทางการเมือง แต่ได้คำนึงถึงผลกระทบต่อประชาชน และประเทศชาติเป็นสำคัญ โดยได้เตรียมมาตรการต่างๆ เพื่อช่วยเหลือประชาชนบริเวณชายแดนไว้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสินค้าเกษตร โดยได้สั่งการให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ว่าจะสามารถทำได้อย่างไรบ้าง ซึ่งมีมาตรการรองรับไว้อยู่แล้ว จากภาคเอกชนและภาครัฐด้วย

ด้านของความมั่นคงและพลังงานกระทรวงพลังงานกำหนดมาตรการการรับมือ สำหรับพลังงานสำรองและมาตรการช่วยเหลือประชาชนในหากมีภาวะการขาดแคลน รวมถึงราคาพลังงานที่สูงขึ้น ซึ่งต้องหามาตรการไว้

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ปัญหาเศรษฐกิจการเงินและปัญหาหนี้สินของประชาชน โดยให้กระทรวงการคลังกำหนดมาตรการและเป้าหมายที่ชัดเจนในการช่วยเหลือประชาชนและภาคธุรกิจในทุกระดับโดยเฉพาะการกระตุ้นเศรษฐกิจรากหญ้าของประเทศ

ส่วนเรื่องของราคาพืชผล ให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตร เร่งหามาตรการแก้ไขเร่งด่วนโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของราคาข้าวที่ต้องเร่งสนับสนุนและมีมาตรการเยียวยาเกษตรกรให้แล้วเสร็จโดยเร็วและเรื่องของการลักลอบนำเข้าสินค้าเถื่อนของจากประเทศเพื่อนบ้านที่จะส่งผลกระทบให้ราคาพืชผลเกษตรบ้านเรานั้นตกต่ำ

ขณะที่ปัญหายาเสพติดให้กระทรวงกลาโหม บูรณาการการทำงานระหว่างผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้บัญชาการตำรวจทุกจังหวัด กำหนดมาตรการให้เป็นรูปธรรมเพื่อให้มีเป้าหมายที่ชัดเจนมากขึ้นและต่อเนื่องจากมาตรการซีลสต็อปเซฟ (Seal Stop Safe)

ส่วนการท่องเที่ยว ให้กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ปรับมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศ พร้อมเน้นย้ำมาตรการรักษาความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยวด้วย

ค่าแรงขั้นต่ำให้กระทรวงแรงงาน เร่งนำมาตรการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำมาพิจารณาเร่งด่วน เพื่อให้ทันการขึ้นค่าแรงในในช่วงเดือนกรกฎาคมนี้

Advertisement

ประธานาธิบดีเยอรมนี เยือนไทย เป็นครั้งแรกในรอบ 22 ปี 24 – 26 มกราคม

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 23 มกราคม 2567 โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ พร้อมให้การต้อนรับ หารือทวิภาคีประธานาธิบดีเยอรมนี เดินหน้ากระชับความสัมพันธ์สองประเทศ พร้อมผลักดันความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ร่วมกันในทุกมิติ

นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เตรียมให้การต้อนรับและหารือทวิภาคีกับ ดร. ฟรังค์-วัลเทอร์ ชไตน์ไมเออร์ (H.E. Dr. Frank-Walter Steinmeier) ประธานาธิบดีแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ในห้วงการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรัฐบาล (Official Visit) ระหว่างวันที่ 24 – 26 มกราคม 2567 ตามคำเชิญของนายกรัฐมนตรี โดยนายกรัฐมนตรีจะให้การต้อนรับประธานาธิบดีเยอรมนี ภริยาและคณะอย่างเป็นทางการ วันพฤหัสบดีที่ 25 มกราคม 2567 ณ ทำเนียบรัฐบาล

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีมีกำหนดพบหารือทวิภาคีกับประธานาธิบดีเยอรมนี พร้อมด้วยรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง เพื่อหารือแนวทางส่งเสริมความร่วมมือในสาขาที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน พร้อมทั้งร่วมหารือร่วมกับภาคเอกชนของเยอรมนี หลังจากนั้นนายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีเยอรมนี จะร่วมแถลงข่าว และภายหลังเสร็จสิ้น นายกรัฐมนตรีจะเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารกลางวันเพื่อเป็นเกียรติแก่ประธานาธิบดีเยอรมนี และภริยา พร้อมด้วยคณะผู้แทนเยอรมนี

นายชัย กล่าวว่า การเยือนครั้งนี้จะเป็นโอกาสการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างไทยกับเยอรมนีให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น โดยประธานาธิบดีเยอรมนี พร้อมคณะ จะเดินทางไปศึกษาดูงานในหลายภาคส่วนที่มีศักยภาพของไทย อาทิ โรงงานผลิตรถยนต์และยานยนต์ไฟฟ้า โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทุ่นลอยน้ำไฮบริด โครงการผลิตข้าวที่ยั่งยืนแบบครบวงจร อุทยานแห่งชาติผาแต้ม และพิพิธภัณฑ์ศิลปะไทยร่วมสมัย ซึ่งจะสนับสนุนให้เกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และความร่วมมือระหว่างกัน ทั้งในด้านการค้า การลงทุน พลังงาน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และอาชีวศึกษา

“นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่า การเยือนในครั้งนี้ จะเป็นโอกาสที่สำคัญของไทยและเยอรมนี ในการเสริมสร้างความเป็นพันธมิตร ขับเคลื่อนความร่วมมือระหว่างกันในทุกมิติให้มีความก้าวหน้า บนพื้นฐานของค่านิยมและผลประโยชน์ร่วมกัน เพื่อนำไปสู่การยกระดับความสัมพันธ์สู่ความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ (Strategic Partnership) ตลอดจนส่งเสริมภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นของไทยในเวทีระหว่างประเทศ” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว

สำหรับการเยือนในครั้งนี้ ถือเป็นการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการครั้งแรกของประธานาธิบดีฟรังค์-วัลเทอร์ ชไตน์ไมเออร์ นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง และเป็นการเยือนประเทศไทยในระดับประธานาธิบดีของเยอรมนีเป็นครั้งแรกในรอบ 22 ปี นับตั้งแต่การเยือนของประธานาธิบดีโยฮันเนส เรา เมื่อปี 2545 นอกจากนี้การเยือนในครั้งนี้ ยังถือเป็นการต้อนรับผู้นำรัฐจากต่างประเทศอย่างเป็นทางการครั้งแรกของรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน

ไทยหอบข้อมูลลุยฟ้องประชาคมโลก กัมพูชาละเมิดข้อตกลง

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ 3 กันยายน 2568 กต. เผย ไทยยังเดินหน้าหอบข้อมูลกัมพูชาละเมิดข้อตกลง ฟ้องประชาคมโลกต่อเนื่อง จี้ เขมรเลิกสร้างข่าวบิดเบือน อัดไม่สร้างสรรค์ บั่นทอนความเชื่อใจระหว่างกัน เป็นอุปสรรคการหาทางออกโดยสันติ

นางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองอธิบดีกรมสารนิเทศ และรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงว่า ประเด็นด้านการต่างประเทศเรื่องแรกการดำเนินการเชิงรุกของไทยในเวทีระหว่างประเทศ ซึ่งระหว่างวันที่ 26-28 ส.ค.ที่ผ่านมา นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.การต่างประเทศ เดินทางไปนครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อนำข้อมูลและหลักฐานเกี่ยวกับสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างไทยกับกัมพูชา โดยเฉพาะกรณีการวางทุ่นระเบิดในเขตแดนไทย ไปชี้แจงกับกลุ่มบุคคลต่างๆ ที่มีอิทธิพลต่อการส่งเสริมให้เกิดการปฏิบัติตามอนุสัญญาออตตาวา การเยือนครั้งนี้นอกจากได้ชี้แจงข้อเท็จจริงแล้ว ไทยยังยืนยันความมุ่งที่จะปฏิบัติตามพันธกรณีภายใต้อนุสัญญา และเป็นโอกาสให้เขาได้สอบถามเพื่อปรับความเข้าใจเรื่องต่างๆ ให้ได้เข้าใจถูกต้อง นอกจากนี้ รมว.การต่างประเทศ ยังได้ประกาศว่าไทยจะเข้าร่วมในโครงการรณรงค์ระดับโลกของเลขาธิการสหประชาชาติเรื่องการลดอาวุธเพื่อมนุษยธรรมและดำเนินการด้านทุ่นระเบิด และในเวลาเดียวกันเอกอัคราชทูตผู้แทนถาวรไทย ณ นครนิวยอร์ก ได้เข้าพบเลขาธิการสหประชาชาติอีกครั้งเพื่อนำส่งข้อมูลและหลักฐานเชิงประจักษ์เพิ่มเติมอีกครั้ง ต่อกรณีการวางทุ่นระเบิดของกัมพูชาที่มีทหารไทยบาดเจ็บถึง 6 ครั้ง และท่านยังติดตามการขอรับคำชี้แจงจากฝ่ายกัมพูชาต่อกรณีดังกล่าวผ่านเลขาธิการสหประชาชาติด้วย ทั้งนี้เพื่อนำกัมพูชากลับเข้าสู่การปฏิบัติตามพันธกรณีโดยสมบูรณ์และยุติการใช้ทุ่นระเบิดโดยทันที ไทยต้องการเก็บกู้ทุ่นระเบิดร่วมกับกัมพูชาภายใต้กลไกทวิภาคีและตามข้อตกลงหยุดยิง เพื่อคุ้มครองชีวิตและความปลอดภัยของประชาชนทั้งสองประเทศ

นางมาระตี กล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องการบิดเบือนข้อมูลข่าวสารตามที่ปรากฏรายงานข่าวของหนังสือพิมพ์ขแมร์ ไทม์ส อ้างกรณีที่ชาวกัมพูชาไม่สามารถเดินทางกลับภูมิลำเนาได้ว่าเป็นผลจากอาวุธที่ตกค้างของฝ่ายไทยจากการปะทะกันบริเวณชายแดนในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่บิดเบือนข้อเท็จจริง และการกระทำในพื้นที่สวนทางกับข้อกล่าวหาดังกล่าว โดยฝ่ายกัมพูชาเป็นฝ่ายที่ละเมิดข้อตกลงหยุดยิงมาโดยตลอด ทั้งด้วยการลอบวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคล การใช้โดรน การปลุกระดมประชาชน และล่าสุดยังพบการใช้ระเบิดแสวงเครื่องในฝั่งไทย และเร็วๆ นี้ มีรายงานจากนิตยสาร JANES ซึ่งเป็นนิตยสารด้านความมั่นคง นำเสนอว่าจากหลักฐานภาพถ่ายดาวเทียมพบการก่อตั้งฐานปฏิบัติการทางทหารในฝั่งกัมพูชาบริเวณชายแดนเป็นหลายเดือนก่อนเกิดเหตุการณ์ปะทะระหว่างกัน ซึ่งสอดคล้องกับท่าทีไทยที่ชี้แจงมาโดยตลอดว่าฝ่ายกัมพูชาริเริ่มการโจมตีในครั้งนี้

“ไทยห่วงกังวลต่อการเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนและการโฆษณาชวนเชื่อของฝ่ายกัมพูชาที่ทำอย่างเป็นระบบ ซึ่งสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) ได้หยิบยกขึ้นหารือกับรมว.การต่างประเทศ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาด้วย โดย OHCHR มองเป็นปัญหาระดับโลกเรื่องการโฆษณาชวนเชื่อ การกระทำดังกล่าวไม่เพียงบั่นทอนความไว้เนื้อเชื่อใจ ความไว้วางใจระหว่างกัน และยังเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการหาทางออกโดยสันติ ไทยจึงเรียกร้องให้กัมพูชายุติการกระทำที่ไม่สร้างสรรค์ในลักษณะนี้ เพื่อประโยชน์ของประชาชนทั้งสองประเทศและสันติภาพในภูมิภาค สุดท้ายนี้ไทยหวังเป็นอย่างยิ่งว่ากัมพูชาจะให้ความร่วมมือกับฝ่ายไทยในการร่วมเก็บกู้ทุ่นระเบิดและการปราบปรามการหลอกลวงทางออนไลน์ ทั้งนี้ไทยยังยืนยันท่าทีการแสวงหาทางออกร่วมกันกับกัมพูชาอย่างสันติ เพื่อให้สถานการณ์ชายแดนคลี่คลาย” นางมาระตี กล่าว

Advertisement

เอฟเอโอ ชื่นชมความก้าวหน้าการปฏิรูปภาคเกษตรของไทยด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม

People Unity News : เอฟเอโอ ชื่นชมความก้าวหน้าการปฏิรูปภาคเกษตรของไทยด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม ยืนยันพร้อมสนับสนุนไทยด้านเกษตรปลอดภัยอาหารปลอดภัยรับมือโควิด19

ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มอบหมาย นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วยรองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นางอุมาพร พิมลบุตร นายพิศาล พงศาพิชณ์ ตัวแทนหน่วยราชการในกระทรวง ให้การต้อนรับ นายจอง จิน คิม (Mr. Jong-Jin Kim) ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่ องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก และคณะ เข้าเยี่ยมคารวะในโอกาสเข้ารับตำแหน่งใหม่ ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมีการหารือครอบคลุมประเด็นความร่วมมืออย่างใกล้ชิด (Hand in Hand initiative) และความร่วมมือแบบหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนา (South-South Cooperative Programmed) การแลกเปลี่ยนข้อมูลทางวิชาการ และการสนับสนุนโครงการในการพัฒนาด้านการเกษตร ระหว่าง FAO กับประเทศไทยในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก รวมทั้งโครงการความร่วมมือด้านการเกษตรภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 (FAO/RAP) ในการประเมินผลกระทบของโรคที่มีต่อภาคการเกษตร (the COVID-19 country assessment of impact and response option on food system, food security and nutrition and livelihoods) โดย FAO มีโครงการสนับสนุนไทยในการแก้ไขปัญหาหลัง COVID และสนับสนุนโครงการความร่วมมือที่มีอยู่เดิมได้แก่ การลดการสูญเสียอาหาร (National Food loss baseline) การจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศด้านการวิจัยดินแห่งภูมิภาคเอเชีย (Center of Excellence on Soil Research in Asia : CESRA) และการขึ้นทะเบียนพื้นที่มรดกการเกษตรโลกที่จังหวัดพัทลุงและเพชรบุรี โดย FAO ชื่นชมความก้าวหน้าของการปฏิรูปภาคเกษตรของไทยและยืนยันว่า FAO ยินดีสนับสนุนพร้อมทั้งขยายความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับประเทศไทย

ทั้งนี้ นายอลงกรณ์ ได้เน้นย้ำถึงนโยบายปฏิรูปภาคเกษตรด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ การพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนเพื่อการผลิตอาหารปลอดภัย (Food Safety) การจัดตั้งศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (AIC) และศูนย์ความเป็นเลิศด้านเกษตร (Excellence center) ทั่วทั้งประเทศเป็นเครื่องยนต์ตัวใหม่ในการพัฒนาอย่างยั่งยืนและสอดคล้องกับแนวทางของ FAO เพื่อรับมือโจทย์สำคัญในด้านความมั่นคงทางอาหาร และความปลอดภัยทางอาหารและพร้อมขยายความร่วมมือระหว่างกระทรวงเกษตรฯกับ FAO ตามข้อเสนอที่ทั้ง 2 ฝ่ายได้ตกลงร่วมกัน

สำหรับการพบหารือของผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่ FAO เป็นผลสืบเนื่องมาจากการเดินทางเข้าร่วมประชุมความร่วมมือกับทาง FAO ที่สำนักงานใหญ่ที่กรุงโรมของที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรฯเมื่อปลายปีที่แล้ว ตามมาด้วยการเดินทางมาเยือนไทยของผู้อำนวยการใหญ่ FAO (นายฉู ตงหยู) เมื่อวันที่ 17 -18 กุมภาพันธ์ 2563 โดยหารือความร่วมมือกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี

Advertising

นายกฯต้อนรับเลขาธิการ OECD ย้ำไทยพร้อมเข้าเป็นสมาชิก เร่งปรับปรุงกฎระเบียบสู่มาตรฐานสากล

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 30 ตุลาคม 2567 รัฐบาล ต้อนรับเลขาธิการ OECD ย้ำไทยพร้อมเข้าเป็นสมาชิก เร่งปรับปรุงกฎระเบียบสู่มาตรฐานสากล ด้าน OECD ชื่นชมบทบาทไทยในอาเซียน พร้อมช่วยพลักดันนโยบายภาครัฐ ยกระดับการลงทุน-แข่งขัน-การศึกษา-สาธารณสุข-สิ่งแวดล้อม

วันนี้ (วันพุธที่ 30 ตุลาคม 2567) เวลา 11.00 น. ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายมาทีอัส คอร์มันน์ (Mr. Mathias Cormann) เลขาธิการองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organisation for Economic Co-operation and Development: OECD) เข้าเยี่ยมคารวะ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในโอกาสเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของกระทรวงการต่างประเทศ โดยสรุปสาระสำคัญ ดังนี้

นายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับเลขาธิการ OECD พร้อมขอบคุณสำหรับการสนับสนุนอย่างเต็มที่ในกระบวนการสมัครเข้าเป็นสมาชิก OECD ของไทย โดยยืนยันว่าไทยมีความมุ่งมั่นอย่างยิ่งที่จะเข้าเป็นสมาชิก OECD รวมทั้งย้ำความพร้อมของไทยในการเข้าเป็นสมาชิก OECD เพื่อเป็นพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์และหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดของ OECD อีกทั้งจะช่วยส่งเสริมความเชื่อมโยงในระดับภูมิภาคผ่านเวทีระหว่างประเทศ เช่น APEC และ ASEAN ซึ่งจะช่วยยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันและคุณภาพชีวิตของประชาชน ขณะเดียวกัน ไทยจะกลายเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าดึงดูดสำหรับภาคธุรกิจและการลงทุนจากประเทศสมาชิก OECD และนานาชาติมากขึ้น

ด้านเลขาธิการ OECD ยินดีอย่างยิ่งที่ไทยได้เข้าสู่กระบวนการเข้าเป็นสมาชิก OECD และชื่นชมประเทศไทยที่มีบทบาทสำคัญในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งทั้งสองฝ่ายมีความร่วมมือกันมายาวนานนับตั้งแต่ปี 2548 พร้อมยินดีที่จะทำงานร่วมกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยเพื่อสนับสนุนกระบวนการเข้าเป็นสมาชิก OECD ให้เป็นไปได้อย่างราบรื่น รวมทั้งเชื่อมั่นว่าการเข้าเป็นสมาชิก OECD จะสร้างประโยชน์อย่างมากให้แก่คนไทย ช่วยผลักดันการปฏิรูปประเทศ เสริมสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ และยกระดับมาตรฐานการครองชีพของประชาชน

โอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายย้ำถึงความสำคัญของการสร้างความร่วมมือที่แน่นแฟ้น เพื่อให้กระบวนการเข้าเป็นสมาชิก OECD นำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศไทยและสอดรับกับเป้าหมายระหว่างประเทศ โดยนายกรัฐมนตรียืนยันถึงความมุ่งมั่นของไทยที่จะร่วมมือกับทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาคเอกชน เพื่อให้การดำเนินงานสอดคล้องกับมาตรฐานสากลและเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมกล่าวเชิญและหวังว่า OECD จะพิจารณาเข้ามาจัดตั้งสำนักงานภูมิภาค (Regional Headquarter) ในประเทศไทย เพื่อส่งเสริมการพัฒนาและความร่วมมืออย่างใกล้ชิด ขณะที่เลขาธิการ OECD ยินดีที่จะให้คำแนะนำและสนับสนุนกระบวนการปรับปรุงนโยบายภาครัฐของไทย โดยเฉพาะในด้านการลงทุน การแข่งขัน การศึกษา สาธารณสุข และสิ่งแวดล้อม ให้สอดคล้องตามกรอบ OECD

อนึ่ง ประเทศไทยได้เข้าสู่กระบวนการหารือ (accession discussions) เพื่อเข้าเป็นสมาชิก OECD แล้วเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2567 ที่ผ่านมา โดยกระบวนการเข้าเป็นสมาชิก OECD มีทั้งหมด 3 ระยะ ซึ่งปัจจุบันไทยอยู่ในระยะที่ 2 โดยไทยและ OECD อยู่ระหว่างการหารือเพื่อร่วมกันจัดทำแผนการดำเนินการเพื่อปรับนโยบายและกฎระเบียบ (Initial Memorandum) ให้บรรลุเป้าหมายตามแผนการเข้าเป็นสมาชิก (Accession Roadmap) ต่อไป

Advertisement

Verified by ExactMetrics