วันที่ 5 พฤศจิกายน 2025

“บิ๊กตู่”เปิดประชุมผู้นำธุรกิจอาเซียนครั้งที่ 5 ชูการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ 3 ด้านของไทย

People Unity : นายกรัฐมนตรีเป็นประธานและกล่าวปาฐกถาในโอกาสการประชุมผู้นำธุรกิจอาเซียน ครั้งที่ 5 “The Future of Thailand and ASEAN”

วันนี้ (21 มิถุนายน 2562) เวลา 09.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานและกล่าวปาฐกถาในโอกาสการประชุมผู้นำธุรกิจอาเซียน ครั้งที่ 5 “The Future of Thailand and ASEAN” ณ ห้อง Magnolia ballroom ชั้น 10 โรงแรม Waldorf Astoria กรุงเทพมหานคร โดยในการประชุมครั้งนี้มี นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พร้อมด้วยผู้แทนจากสถานเอกอัครราชทูต ผู้แทนองค์การระหว่างประเทศ หน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง และสื่อมวลชนกว่า 400 คน เข้าร่วมงาน

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติได้มาร่วมงานการประชุมผู้นำธุรกิจอาเซียน ครั้งที่ 5 และกล่าวปาฐกถาในหัวข้อ “The Future of Thailand and ASEAN” ที่สำนักข่าว Bloomberg จัดขึ้น ในช่วงเวลานี้ที่มีความสำคัญกับประเทศไทยเพราะจะเป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 34 ในช่วงสุดสัปดาห์นี้

นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงวิสัยทัศน์ของไทยว่ามีศักยภาพและความพร้อมในหลายด้านที่จะเดินหน้าไปสู่การพัฒนาพร้อมกับภูมิภาค ไทยได้ก้าวพ้นสถานการณ์ความไม่สงบ มีความปรองดอง และสามารถแก้ปัญหาคั่งค้างที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศหลายประการ ไทยได้ผ่านพ้นการเลือกตั้งทั่วไปตามกระบวนการประชาธิปไตยด้วยความเรียบร้อย เป็นไปตาม roadmap ที่กำหนด และนายกรัฐมนตรีมุ่งมั่นตั้งใจที่จะปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่ เพื่อสืบสานนโยบาย และการพัฒนาประเทศให้พัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้ระบุถึงดัชนีทางเศรษฐกิจต่างๆที่เป็นตัวบ่งชี้ว่า สถานการณ์ในประเทศดีขึ้นมาก เศรษฐกิจขยายตัวได้ร้อยละ 4.1 การลงทุนรวมขยายตัวร้อยละ 3.8 ซึ่งทั้งสองตัวชี้วัดนี้ถือเป็นอัตราที่สูงที่สูดในรอบ 6 ปี และมูลค่าการส่งออกอยู่ที่ระดับ 2.53 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสูงเป็นประวัติการณ์ ทั้งนี้ รัฐบาลไทยก็ให้ความสำคัญในการดูแลขั้นตอนกระบวนการในการทำธุรกิจ เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ซึ่งประเทศไทยได้ลำดับที่ดีขึ้นในการจัดอันดับความยากง่ายในการประกอบธุรกิจในปี 2561 ของธนาคารโลก

ประเทศไทยอยู่อันดับที่ 27 จากทั้งหมด 190 ประเทศ สูงขึ้นจากปีก่อนถึง 19 อันดับ และเป็นอันดับที่ 3 ในอาเซียน สำหรับภาคการท่องเที่ยวซึ่งเป็นส่วนที่มีความสำคัญกับประเทศก็เติบโตอย่างต่อเนื่อง นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาเยือนประเทศไทยถึง 38 ล้านคน ในปี 2561 เพิ่มขึ้น 2.9 ล้านคนจากปีก่อนหน้า และปีนี้คาดว่าเราจะได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวถึง 40 ล้านคน นอกจากนี้ ประเทศไทยยังมีนโยบายพัฒนาด้านเทคโนโลยี พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในประเทศให้เอื้อต่อการต่อยอดอุตสาหกรรมเดิม และรองรับอุตสาหกรรมใหม่ เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายการเป็นระเบียงเศรษฐกิจแห่งเอเชีย

อย่างไรก็ดี รัฐบาลส่งเสริมให้ประเทศไทยเข้มแข็งจากภายใน มีพื้นฐานทางเศรษฐกิจมั่นคงกระจายลงไปถึงระดับรากหญ้า โดยให้ภาคเอกชนไทย และอาเซียนเป็นจุดแข็งที่จะลดช่องว่าง สร้างการเติบโตไปสู่รากหญ้า ทั้งนี้ ผู้มีรายได้น้อย และ SMEs และช่วยให้สามารถเชื่อมโยงเข้ากับห่วงโซ่มูลค่าของโลกได้ ด้วยการน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มาเป็นเครื่องมือสำคัญในการสนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืน และช่วยสร้างภูมิคุ้มกันผลกระทบจากความท้าทายภายนอก ได้แก่ ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจการค้า ความขัดแย้งทางการค้า รวมทั้งความท้าทายจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ซึ่งรัฐบาลไทยเชื่อว่าเป็นหลักการที่สามารถนำไปปรับใช้ในบริบทการพัฒนาของอาเซียนได้ด้วย

ในส่วนของอาเซียนซึ่งมีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง เพราะตลาดขนาดใหญ่อันดับ 6 ของโลก มีประชากรกว่า 650 ล้านคน และอยู่ในตำแหน่งยุทธศาสตร์ระหว่างประเทศที่สำคัญ จึงช่วยเพิ่มศักยภาพของอาเซียนในการที่จะพัฒนาไปเป็นกลุ่มเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นลำดับที่ 4 ของโลกภายในปี 2573 รวมถึงจะเพิ่มอำนาจการต่อรองของภูมิภาคด้วย แม้ว่า ปัจจุบันโลกเผชิญกับความท้าทาย และการเปลี่ยนแปลงหลายด้าน รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและนวัตกรรม นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่า ประเทศไทยและอาเซียนมีศักยภาพสูงที่จะรับมือ และเป็นสนามการค้าการลงทุนที่มีเสถียรภาพ ตอบโจทย์นักลงทุนทั่วโลก

ไทยนำเสนอแนวคิดหลักของการเป็นประธานอาเซียนในปีนี้ คือ “ร่วมมือ ร่วมใจ ก้าวไกล ยั่งยืน” และมีเป้าหมายที่จะบรรลุความสำเร็จในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ 3 ด้าน ที่ไทยต้องการผลักดันให้เป็นรูปธรรมภายในปี 2562 ได้แก่ 1) การมุ่งสู่อนาคต คือ ความพร้อมในการเข้าสู่ยุคการปฏิวัติอุตสาหกรรม ครั้งที่ 4 2) การส่งเสริมความเชื่อมโยงทางการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว และระบบอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียวของอาเซียน และ 3) การสร้างความยั่งยืนในทุกมิติ เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจรากหญ้าให้ประชาชนอยู่ดีกินดี

ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีขอให้ภาคเอกชนมั่นใจและใช้ประโยชน์จากความพร้อมของไทย และอาเซียนทั้งทางเศรษฐกิจ และเสถียรภาพทางการเมืองที่นำไปสู่ความต่อเนื่องทางนโยบาย โดยนายกรัฐมนตรีได้อวยพรให้การจัดงานในวันนี้ประสบความสำเร็จตามที่หวังไว้ทุกประการ

ความสัมพันธ์ต่างประเทศ : “บิ๊กตู่” เปิดประชุมผู้นำธุรกิจอาเซียนครั้งที่ 5 ชูการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ 3 ด้านของไทย

People Unity : post 21 มิถุนายน 2562 เวลา 11.40 น.

ประยุทธ์ ลงนามกฎบัตร BIMSTEC เสนอความเชื่องโยง 5 ด้าน บก-ทะเล-พลังงาน-ดิจิทัล-คน

People Unity News : ประยุทธ์ ลงนามกฎบัตรบิมสเทค พร้อมเสนอความเชื่องโยง 5 ด้าน “บก – ทะเล – พลังงาน – ดิจิทัล – คน” เร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจและเสริมสร้างเครือข่ายความใกล้ชิดระหว่างประชาชนและภาคธุรกิจ พร้อมเดินหน้าสู่ความมั่งคั่ง (Prosperous) ความยั่งยืน (Resilient and Robust) และการเปิดกว้าง (Open)

วันนี้ (30 มีนาคม 2565) เวลาประมาณ 10.35 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ร่วมการประชุมผู้นำความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลสำหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ (The Bay of Bengal Initiative for Multi-Sectoral Technical and Economic Cooperation : BIMSTEC) ครั้งที่ 5 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจัดขึ้นโดยศรีลังกา ผ่านระบบการประชุมทางไกล พร้อมผู้นำและผู้แทนสมาชิก BIMSTEC โดยในการประชุมครั้งนี้ทุกประเทศจะร่วมกล่าวถ้อยแถลงในการประชุม

นายโคฐาภยะ ราชปักษะ ประธานาธิบดีศรีลังกา ประธานจัดการประชุม กล่าวเปิดการประชุมระบุว่า เชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของบิมสเทค จะสามารถผ่านพ้นอุปสรรค และความท้าทายในโลกร่วมกัน บิมสเทคซึ่งมี ขนาดประชากร 1 ใน 5 ของประชากรโลก ได้ขยายความร่วมมืออย่างสำคัญ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เพื่อให้มีเศรษฐกิจ และสาธารณสุข ที่เข้มแข็งมากขึ้น สะท้อนได้จากหัวข้อหลักของการประชุมในครั้งนี้ “BIMSTEC- Towards a Resilient Region, Prosperous Economies, Healthy Peoples” หรือ “บิมสเทค มุ่งหน้าสู่อนุภูมิภาคที่ยืดหยุ่น มั่งคั่ง และประชาชนมีสุขภาพดี” โดยในวันนี้ จะมีการลงนามกฎบัตร ซึ่งเป็นกฎหมายสำคัญ ในการเสริมสร้างบทบาทขับเคลื่อนภูมิภาค

การเดินเรือชายฝั่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจของภูมิภาคจึงต้องร่วมมือกัน ต่อต้านการค้ามนุษย์ รวมทั้งศรีลังกายินดีส่งเสริม และเชื่อมั่นว่าบิมสเทคสามารถขับเคลื่อนการค้าการลงทุนในภูมิภาคได้ นอกจากนี้ ยินดีร่วมมือด้านการพัฒนาเทคโนโลยี และทรัพยากรมนุษย์ รวมทั้ง เห็นควรส่งเสริมการท่องเที่ยว ส่งเสริมมาตรการทางเศรษฐกิจในระยะสั้นและระยะยาว ส่งเสริมการเชื่อมโยงระหว่างประชาชน อีกทั้งต้องร่วมมือกันจัดการภัยพิบัติเพื่อเตรียมรับมือในอนาคต โดยศรีลังกามีกรอบแนวทางที่เน้นย้ำความยั่งยืน การลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ การใช้พลังงานหมุนเวียน ทั้งนี้ เชื่อมั่นว่า บิมสเทคจะบรรลุเป้าหมายสะท้อนเสียงของสมาชิกในเวทีโลก จึงขอให้ร่วมมือกันเพื่อประชาชนและประเทศของพวกเรา

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถ้อยแถลงในการประชุมว่า บิมสเทค ถือเป็นกรอบอนุภูมิภาคเดียวที่เชื่อมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กับเอเชียใต้ ซึ่งช่วงเวลาจากการประชุมครั้งที่ 4 ที่ผ่านมา สถานการณ์โลกมีความผันผวนทำให้การดำเนินงานยังไม่คืบหน้ามากนัก นายกรัฐมนตรีจึงได้ย้ำถึงความสำคัญในการประชุมครั้งที่ 5 ในวันนี้ เพื่อทบทวนการทำงานร่วมกันอีกครั้ง ทั้งนี้ ไทยในฐานะผู้ร่วมก่อตั้ง ขับเคลื่อนและเชื่อมโยงระหว่างกลุ่มประเทศกลุ่มประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียใต้ โดยในช่วงที่ไทยจะทำหน้าที่เป็นประธานบิมสเทค ตรงกับช่วงเวลาที่ไทยเป็นประธานเอเปค วาระปี ค.ศ. 2022 ไทยพร้อมส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่มีคุณภาพ โดยนำแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศของทุกประเทศมาเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ทั้งสองภูมิภาค ตามความต้องการ และบริบทของแต่ละกรอบความร่วมมือด้วย

การประชุมวันนี้เป็นหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์สำคัญของบิมสเทค ทุกประเทศสมาชิกเห็นชอบและลงนามในกฎบัตรบิมสเทค และเอกสารสำคัญอื่นๆ เพื่อเดินหน้าความร่วมมือต่อไปอย่างชัดเจนเป็นรูปธรรม ไทยเห็นว่าการค้าการลงทุนระหว่างประเทศสมาชิกยังมีศักยภาพอีกมาก ความเชื่อมโยงระหว่างกันจึงเป็นสิ่งสำคัญเร่งด่วน ซึ่งไทยในฐานะประเทศผู้นำสาขาความเชื่อมโยงมุ่งมั่นจะผลักดันปความเชื่อมโยงในสาขาต่อไปนี้

  1. ความเชื่อมโยงทางบก ขอบคุณประเทศสมาชิกที่สนับสนุนข้อเสนอของไทย ในการจัดทำแผนแม่บทว่าด้วยความเชื่อมโยงด้านคมนาคม (BIMSTEC Master Plan on Transport Connectivity) จนบรรลุผลสำเร็จ พร้อมหวังว่าจะร่วมกันผลักดันให้โครงการสำคัญต่างๆ (Flagship projects) ภายใต้แผนแม่บทฯนี้เกิดผลที่เป็นรูปธรรมต่อไป
  2. ความเชื่อมโยงทางทะเล นายกรัฐมนตรีเสนอให้เร่งรัดกระบวนการเพื่อให้สามารถลงนามร่างความตกลงการเดินเรือตามชายฝั่ง (BIMSTEC Coastal Shipping Agreement) ให้แล้วเสร็จ เพื่อความเชื่อมโยงระหว่างท่าเรือของประเทศรอบอ่าวเบงกอลอย่างมีประสิทธิภาพ
  3. ความเชื่อมโยงด้านพลังงาน นายกรัฐมนตรีเสนอให้เร่งรัดการดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งการเชื่อมโยงโครงข่ายระบบไฟฟ้าภายใต้บิมสเทค (Memorandum of Understanding for Establishment of the BIMSTEC Grid Interconnection)
  4. ความเชื่อมโยงด้านดิจิทัล นายกรัฐมนตรีเห็นควรส่งเสริมความเชื่อมโยงผ่านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่อำนวยความสะดวกด้านเทคโนโลยี และ
  5. ความเชื่อมโยงระหว่างประชาชน “คน” เป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินนโยบายต่างๆ ให้ยั่งยืนและสมดุล ปฏิสัมพันธ์ระหว่างประชาชนจะเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนสาขาความร่วมมือ และทำให้บิมสเทคเป็นประชาคมของทุกคนอย่างแท้จริง “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”

นายกรัฐมนตรีย้ำถึงความพร้อมของไทยที่จะสานต่อความสำเร็จของศรีลังกา โดยได้เสนอวิสัยทัศน์ในช่วงที่ไทยเป็นประธาน ภายใต้หัวข้อหลัก (theme) “Prosperous, Resilient and Robust, and Open BIMSTEC” หรือ โปรบิมสเทค (PRO BIMSTEC) ดังนี้

ประการแรก “ความมั่งคั่ง (Prosperous)” มิติด้านเศรษฐกิจ สนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจหลังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งเสริมธุรกิจแบบใหม่ที่ยั่งยืนและยืดหยุ่น มุ่งเน้นการพัฒนาความสามารถในการแข่งขันของวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดเล็กและขนาดย่อม

ประการที่สอง “ความยั่งยืน (Resilient and Robust)” มิติด้านความมั่นคง สนับสนุนความพร้อมในการเผชิญหน้ากับความท้าทายและวิกฤตในทุกรูปแบบ และสนับสนุนนโยบายในด้านการฟื้นตัว ซึ่งไทยพร้อมที่จะแบ่งปันโมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่ไทยใช้เป็นยุทธศาสตร์ชาติในการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด

ประการที่สาม “การเปิดกว้าง (Open)” มิติการมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่างๆ เน้นให้ประชาชนเป็นศูนย์กลาง และเปิดกว้างให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วม ซึ่งไทยมีแผนที่จะจัดทำเวทีพัฒนาความรู้กรอบบิมสเทค (BIMSTEC Knowledge Platform) เพื่อเป็นแพลตฟอร์มให้ประชาชนเข้าถึง และตระหนักรู้เกี่ยวกับความสำคัญของความร่วมมือบิมสเทค โดยนายกรัฐมนตรีแสดงความพร้อมในการส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในบิมสเทคที่ยั่งยืน มีคุณภาพ และเป็นมิตร กับสิ่งแวดล้อมควบคู่กันไปด้วย

โดยนายกรัฐมนตรีได้กล่าวยืนยันถึงความมุ่งมั่นของไทยที่จะขับเคลื่อนบิมสเทคไปข้างหน้าอย่างเข้มแข็งในทุกด้าน วาระการเป็นประธานบิมสเทคของไทยจะสอดคล้องกับแนวคิด “โปรบิมสเทค” เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน สมดุล และครอบคลุม

ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีได้ร่วมลงนามในกฎบัตรบิมสเทค (BIMSTEC Charter) ที่ถือเป็นเครื่องมือหลักในการดำเนินการภายใต้กรอบบิมสเทค โดยกำหนดวัตถุประสงค์ หลักการ กลไกการดำเนินงาน สิทธิและหน้าที่ของรัฐสมาชิก การบริหารจัดการ งบประมาณ และประเด็นอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง และเมื่อประเทศสมาชิกลงนามและให้สัตยาบันแล้วจะส่งผลให้กรอบบิมสเทคกลายเป็นองค์การระหว่างประเทศในระดับรัฐบาล (inter-governmental organization)

Advertisement

“วราวุธ” เผย “พลายศักดิ์สุรินทร์” อยู่ในพระบรมราชานุเคราะห์ทำคนไทยคลายใจหายกังวลเรื่องจะถูกส่งกลับ

People Unity News : 5 กรกฎาคม 2566 “วราวุธ” เผย “กัญจนา” พร้อมทีมแพทย์จะไปศรีลังกาอีกครั้งต้นเดือน ก.ย.นี้ ถ่ายทอดการดูแลรักษาพยาบาลช้าง ระบุ “พลายศักดิ์สุรินทร์” อยู่ในพระบรมราชานุเคราะห์ทำคนไทยคลายใจหายห่วง หวั่นต้องส่งกลับ

นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ขณะนี้กลุ่มแฟนคลับพลายศักดิ์สุรินทร์ และบรรดาคนรักช้าง มีความห่วงใย ช้างอีก 2 เชือกของไทยที่ยังอยู่ที่ประเทศศรีลังกาและสอบถามเข้ามาเป็นจำนวนมากต่อความเป็นไปได้ที่จะนำกลับมาประเทศไทยด้วยหรือไม่ ว่า ทางกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยจะส่งทีมสัตวแพทย์ไปพร้อมกับ น.ส. กัญจนา ศิลปอาชา ที่ปรึกษาคณะทำงานยุทธศาสตร์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมต้นเดือนกันยายนนี้ เพื่อดูแนวทางความร่วมมือในการทำงานระหว่างหน่วยงานของไทยและหน่วยงานของศรีลังกา ในการถ่ายทอดความรู้ เทคนิคเรื่องการดูแลรักษาพยาบาลช้าง เพราะศรีลังกาเป็นประเทศที่มีช้างเลี้ยงและช้างป่าจำนวนมาก

“สอดคล้องกับการที่มีคณะสัตวแพทย์ ของมหาวิทยาลัยเมืองแคนดี้ ประเทศศรีลังกา ซึ่งเป็นเมืองที่พลายประตูผาอยู่  ได้ติดต่อมายังกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยแสดงเจตจำนงว่ามีความพร้อมที่จะช่วยดูแลและแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับเรื่องการรักษาพยาบาลช้าง ดังนั้น จากนี้ไปการทำงานด้านสุขภาพช้างระหว่างไทยกับศรีลังกาจะมีความใกล้ชิดกันมากขึ้น” นายวราวุธ กล่าว

นายวราวุธ กล่าวว่า สำหรับประเด็นของพลายประตูผาเป็นเรื่องที่แตกต่างจากพลายศักดิ์สุรินทร์ เพราะพลายศักดิ์สุรินทร์อายุเพียง 30 ปี ยังหนุ่ม ขณะที่พลายประตูผาอายุเกือบ 50 ปีแล้ว ซึ่งสัตวแพทย์มีความเห็นว่าการเคลื่อนย้ายพลายประตูผาข้ามประเทศมีความเสี่ยงและเป็นอันตรายกับตัวช้างเอง วิธีที่ดีที่สุดคือให้ประตูผาได้รับการดูแลสุขภาพอย่างต่อเนื่องยั่งยืน ด้วยการทำโครงการความร่วมมือกันระหว่างไทยกับศรีลังกาในการแลกเปลี่ยนความรู้ บุคลากร เกี่ยวกับเรื่องการรักษาพยาบาลช้าง

“การทำเช่นนี้จะสามารถแก้ไขปัญหาการดูแลช้างระยะยาวในประเทศศรีลังกาได้ และเชื่อว่า จะทำให้พี่น้องประชาชนคนไทยคลายความห่วงกังวลต่อช้างไทยที่ยังอยู่ในศรีลังกาได้ ซึ่งโครงการแลกเปลี่ยนดังกล่าวอาจทำ MOU ขึ้น ซึ่งต้องให้กรมอุทยานฯ และองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (ออป.) เป็นผู้ลงนามร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของประเทศศรีลังกา เพื่อทำความตกลงแลกเปลี่ยน เทคโนโลยี และความรู้ทางการแพทย์เกี่ยวกับการดูแลช้าง ซึ่งแนวทางนี้จะทำให้การดูแลช้างเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและต่อเนื่องยาวนาน” นายวราวุธ กล่าว

นายวราวุธ กล่าวว่า สำหรับพลายศรีณรงค์ จากการที่ น.ส.กัญจนาได้ไปเยี่ยมมาด้วยตัวเอง ได้เห็นว่ามีสภาพความเป็นอยู่ที่ดี สุขภาพปกติดีอยู่ และการเดินทางไปศรีลังกาในต้นเดือนกันยายนนี้ น.ส.กัญจนาจะไปเยี่ยมพลายศรีณรงค์อีกครั้ง นายวราวุธ กล่าวว่า ได้รายงานให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ทราบรายละเอียดเรื่องการนำพลายศักดิ์สุรินทร์กลับไทย รวมทั้งกรณีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้รับพลายศักดิ์สุรินทร์ไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ เป็นที่ปลื้มปิติของชาวกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  ทีมงานทุกคนและปวงชนชาวไทย ต้องขอขอบคุณนายกรัฐมนตรีที่ได้อนุมัติและช่วยสนับสนุนการดำเนินงานของกระทรวง ทส.จนทุกอย่างราบรื่น ซึ่งการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระมหากรุณาธิคุณรับพลายศักดิ์สุรินทร์ไว้พระบรมราชานุเคราะห์ ทำให้ความกังวลเรื่องที่จะต้องส่งพลายศักดิ์สุรินทร์กลับศรีลังกาหรือไม่นั้นหายไป ส่วนทีมแพทย์จะรักษาอาการบาดเจ็บของพลายศักดิ์สุรินทร์อย่างเต็มที่

Advertisement

ประธานผู้แทนการค้าไทยหารือแคนาดา เสริมแกร่งนโยบาย ODOS พร้อมผลักดันโครงการวิจัย AI และควอนตัม

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 27 มีนาคม 2568 ประธานผู้แทนการค้าไทยหารือ MITACS แคนาดา เร่งขับเคลื่อนความร่วมมือด้านวิจัย นวัตกรรม และแลกเปลี่ยนนักวิชาการ เสริมความแข็งแกร่งนโยบาย ODOS พร้อมผลักดันโครงการวิจัย AI และควอนตัม

เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2568 ดร.นลินี ทวีสิน ประธานผู้แทนการค้าไทย พร้อมด้วยนายกัลยาณะ วิภัติภูมิประเทศ เอกอัครราชทูต ณ กรุงออตตาวา และคณะ ได้พบและหารือกับผู้บริหารขององค์กร MITACS เกี่ยวกับแนวทางส่งเสริมความร่วมมือด้านวิจัย พัฒนานวัตกรรม และการแลกเปลี่ยนนักวิจัยและนักศึกษาระหว่างไทยและแคนาดา

MITACS เป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรของแคนาดาที่มีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงภาคอุตสาหกรรมและสถาบันการศึกษาผ่านโครงการวิจัยร่วมระดับชาติและนานาชาติ โดยเฉพาะ Accelerate Program ที่เปิดโอกาสให้ภาคเอกชนร่วมออกแบบหัวข้องานวิจัยและรับนักวิจัยเข้าร่วมพัฒนาโครงการจริง ซึ่งช่วยสร้างทักษะและขีดความสามารถให้กับบุคลากรทั้งสองประเทศ

ดร. นลินี เผยเพิ่มเติมว่า MITACS ได้มีการจัดทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่าง MITACS กับที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (Council of University Presidents of Thailand) ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญในการเปิดโอกาสให้นักวิจัย นักศึกษา และคณาจารย์จากไทยสามารถเข้าร่วมโครงการวิจัยระดับนานาชาติในแคนาดาได้มากขึ้น โดยตั้งเป้าว่าจะเริ่มดำเนินการในปี 2569

ประธานผู้แทนการค้าไทยได้เน้นย้ำว่า แนวทางดำเนินงานของ MITACS สอดคล้องกับโครงการ One District One Scholarship (ODOS) ของรัฐบาลไทย ที่มุ่งส่งเสริมโอกาสทางการศึกษาระดับสากลให้กับเยาวชนไทยในทุกภูมิภาค โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล ความร่วมมือกับ MITACS จึงสามารถเป็นอีกหนึ่งช่องทางสำคัญในการสนับสนุนทุนการศึกษา ODOS และพัฒนาทุนมนุษย์ของไทยอย่างยั่งยืน ตลอดจนจะตอบสนองการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนต่อประชาชนระหว่างสองประเทศด้วย

ประธานผู้แทนการค้าไทยได้รับทราบว่า ขณะนี้มีคณาจารย์จากมหาวิทยาลัยของไทยร่วมกันนำเสนอหัวข้อวิจัยร่วมกับมหาวิทยาลัยในแคนาดาแล้วถึง 15 โครงการ ในหัวข้อ เทคโนโลยีควอนตัม (Quantum Computing) สำหรับหัวข้ออื่น ๆ ที่มีผู้สนใจประกอบด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI), การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความยั่งยืน

MITACS ยังเน้นบทบาทของตนในฐานะกลไกสนับสนุนนยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิกของแคนาดา โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนากำลังคน การส่งเสริมนวัตกรรม และการสร้างความเชื่อมโยงในระดับประชาชน (people-to-people connectivity) ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของไทยในการส่งเสริมการเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมและความร่วมมือด้านการศึกษาระดับโลก

การหารือครั้งนี้สะท้อนถึงความตั้งใจของรัฐบาลไทยในการสร้างความร่วมมือเชิงลึกกับพันธมิตรระหว่างประเทศ และการผลักดันนโยบายที่สร้างโอกาสให้เยาวชนไทยได้พัฒนาตนเองบนเวทีโลกให้ได้รับการยอมรับมากขึ้นอย่างแท้จริง

ไทย-จีนเสริมสร้างสัมพันธ์ครั้งประวัติศาสตร์ในโอกาสประธานาธิบดีจีนเยือนไทยในรอบ 11 ปี

People Unity News : 19 พฤศจิกายน 2565 ทำเนียบรัฐบาล นายกฯ ต้อนรับประธานาธิบดีจีนเยือนไทยในรอบ 11 ปี กระชับความร่วมมือรอบด้าน เพื่อประชาชนทั้งสองประเทศ ประธานาธิบดีจีนชื่นชมไทยเป็นเจ้าภาพเอเปค พร้อมร่วมมือเพื่อส่งเสริมภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกให้เจริญรุ่งเรือง

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้การต้อนรับ นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในโอกาสเยือนไทย ในห้วงการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ผู้นำทั้งสองได้ร่วมกันหารือถึงการกระชับความสัมพันธ์และความร่วมมือ โดยฝ่ายไทยมีรัฐมนตรีหลายคนเข้าร่วม อาทิ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข

นายกรัฐมนตรี รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ต้อนรับประธานาธิบดีจีนเยือนไทยครั้งนี้ นับเป็นการเยือนไทยในรอบ 11 ปี และเป็นการเยือนครั้งแรกนับตั้งแต่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ทำให้การเยือนครั้งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อกำหนดทิศทางความเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์อย่างรอบด้านที่ครบรอบ 10 ปีในปีนี้ และมุ่งไปสู่การฉลองครบรอบ 50 ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตในปี 2568

ประธานาธิบดีจีน กล่าวว่า มิตรภาพจีน-ไทยสืบทอดกันมาหลายพันปี ประชาชนมีความสัมพันธ์เหมือนพี่น้องกัน จีนพร้อมร่วมมือกันสรรค์สร้างความเจริญรุ่งเรืองและอนาคตร่วมกัน เปิดศักราชใหม่ของความร่วมมือ เพื่อผลประโยชน์ให้แก่ประชาชนของทั้งสองประเทศ ในโอกาสนี้ ประธานาธิบดีจีนแสดงความยินดีกับนายกรัฐมนตรีและประเทศไทยที่ได้จัดการประชุมเอเปคด้วยความสำเร็จ แสดงให้เห็นว่าภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกมีความสร้างสรรค์ สามัคคี และปรองดอง พร้อมพัฒนาเพื่อความเจริญรุ่งเรืองของภูมิภาค

นายกรัฐมนตรีเสนอให้เสริมสร้างปฏิสัมพันธ์และหารือยุทธศาสตร์ในระดับสูงอย่างสม่ำเสมอ และกระชับความร่วมมือในด้านความมั่นคง โดยเฉพาะด้านความมั่นคงทางไซเบอร์ อาชญากรรมข้ามชาติ ยาเสพติด การค้ามนุษย์ การหลอกลวงทางโทรศัพท์ ซึ่งจีนยินดีร่วมมือกับไทย เพื่อผลประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศ รวมถึงต่อภูมิภาคโดยรวม ซึ่งประธานาธิบดีจีนยินดีร่วมมือเพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ซึ่งทั้งสองประเทศควรปฏิบัติตามแผนปฏิบัติการร่วมว่าด้วยความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ไทย – จีน ระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2565-2569) เพื่อผลักดันและบูรณาการความร่วมมือในหลายหลายมิติให้ได้ผลเป็นรูปธรรม

ไทยและจีนเห็นพ้องการเพิ่มพูนมูลค่า และอำนวยความสะดวกทางการค้าด้านต่างๆ โดยเฉพาะสินค้าเกษตรและผลไม้ พร้อมทั้งส่งเสริมการลงทุน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมดิจิทัล ยานยนต์ไฟฟ้า และอุตสาหกรรมสีเขียวเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีจีน ยังขอให้ทั้งสองฝ่ายใช้ประโยชน์จากความตกลง RCEP และส่งเสริมความเชื่อมโยงด้านโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะการเชื่อมโยงทางราง รวมถึงการดำเนินการโครงการรถไฟไทย-จีน ให้เป็นไปตามที่กำหนด

ประธานาธิบดีจีน เห็นว่าทั้งสองฝ่ายควรต่อยอดความร่วมมือแบบดั้งเดิมทั้งเรื่องการลงทุน การค้า การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และเศรษฐกิจดิจิทัล รถยนต์พลังงานทดแทน พร้อมชื่นชมนายกรัฐมนตรีที่มองว่า ควรจะเร่งความร่วมมือสามฝ่ายไทย-จีน-ลาว ในเรื่องการเชื่อมโยงระบบรถไฟ โดยไทยและจีนควรส่งเสริมการเชื่อมโยงตั้งแต่ EEC ของไทยไปยังรถไฟจีน-ลาว ต่อไปจนถึงมณฑลยูนนานของจีน และเชื่อมไปยังเส้นทางขนส่งสินค้าทางบกและทางน้ำสายใหม่ของจีน สำหรับในขั้นต่อไปจีนหวังว่า จะมีการเชื่อมโยงทั้งโครงสร้างพื้นฐาน ระบบโลจิสติกส์ และระบบศุลกากรเพื่อขยายการขนส่งสินค้าเกษตรที่สำคัญของไทย เช่น ทุเรียนและมังคุด

ประธานาธิบดีจีน ยินดีแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในเรื่องการลดความยากจนและการพัฒนาชนบทให้ไทย โดยรัฐบาลจีนมีหน้าที่สำคัญในการยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนจีนให้เจริญรุ่งเรืองอย่างรอบด้านโดยมีอัตลักษณ์ของจีน ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีของไทย

นายกรัฐมนตรีได้ขอบคุณจีนที่อนุญาตให้นักศึกษาไทยทยอยกลับไปศึกษาต่อในจีนได้ รวมทั้งพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวจีนกลับมาเที่ยวไทยอีกครั้ง ซึ่งประธานาธิบดีจีน กล่าวว่า จีน จีนส่งเสริมให้ประชาชนของทั้งสองฝ่ายเดินทางไปมาหาสู่กันได้ หากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลง

หลังจากการหารือเต็มคณะ ทั้งสองฝ่ายได้ประกาศเอกสารความร่วมมือและความตกลงที่มีการลงนามในช่วงการเยือน จำนวน 5 ฉบับ ได้แก่

(1) แผนปฏิบัติการร่วมว่าด้วยความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ไทย – จีน ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ฉบับที่4 (พ.ศ. 2565-2569)

(2) แผนความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วย การร่วมกันส่งเสริมเส้นทางเศรษฐกิจสายไหมและเส้นทางสายไหมทางทะเลแห่งศตวรรษที่ 21

(3) บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ระหว่างกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงพาณิชย์แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน

(4) บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางวิชาการ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งราชอาณาจักรไทย และสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน และ

(5) บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการก่อตั้งคณะทำงานความร่วมมือด้านการลงทุนและเศรษฐกิจระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงพาณิชย์แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน

จากนั้น ประธานาธิบดีจีนได้ลงนามในสมุดเยี่ยมและชมของที่ระลึก ณ บริเวณโถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล และนายกรัฐมนตรีได้เป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารกลางวันเพื่อเป็นเกียรติแก่ประธานาธิบดีจีน และภริยา ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล

Advertisement

ไทยรับคำเชิญ “อันวาร์” ถกปัญหาชายแดน “ภูมิธรรม” นำทีมไทยแลนด์เจรจา

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 27 กรกฎาคม 2568 รัฐบาลยืนยัน “อันวาร์” ประธานอาเซียน เชิญผู้นำไทยถกปัญหาไทย-กัมพูชา “ภูมิธรรม” นำทีมไทยแลนด์เจรจา ย้ำไม่มีการเจรจาเรื่องแผนที่ ยืนยันการรักษาอธิปไตยของประเทศแม้ตารางนิ้วเดียวก็ให้ใครไม่ได้

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ. ทก.) เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยได้รับคำเชิญจากนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเชีย ในฐานะประธานอาเชียน ให้เดินทางไปร่วมหารือ แนวทางสันติภาพในภูมิภาคนี้ ในวันพรุ่งนี้ (จันทร์ที่ 28 กรกฎาคม 2568) ณ ทำเนียบนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย กรุงกัวลาลัมเปอร์ โดยคณะจะออกเดินทางจากกองทัพอากาศเวลาประมาณ 10.30น และเข้าหารือ เวลา 15.00 น.ตามเวลาประเทศมาเลเซีย

คณะของทีมไทยแลนด์นำโดยนายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาราชการนายกรัฐมนตรี นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม นายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรีและตนในฐานะกรรมการ ศบ.ทก.

ทั้งนี้ ได้รับแจ้งว่า ประธานอาเซียนได้เชิญผู้แทนรัฐบาลกัมพูชา โดยนายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา จะเดินทางมาหารือด้วยตนเอง

นายจิรายุ กล่าวต่อว่า ตามที่สื่อไทยบางสื่อนำเสนออ้างแหล่งข่าวว่าการไปเจรจาครั้งนี้ ไทยจะยอมใช้แผนที่ 1:200,000 ตามกัมพูชา เพื่อหยุดยิงนั้น ไม่เป็นความจริง และเป็นไปไม่ได้แม้แต่น้อย รัฐบาลไทยยึดแผนที่ 1: 50,000 มาตลอด

“ไม่มีรัฐบาลไหน หรือใครคนใดจะยอมขายชาติตนเอง การเสนอข้อมูลเช่นนี้ต้องระมัดระวังอย่างมากในขณะที่ชาติมีภัยคุกคาม ทั้งนี้ การเจรจาจะรับฟังแนวทางเพื่อนำไปสู่การตัดสินใจ และการนำสันติภาพกลับคืนมา โดยรัฐบาลไทย ยืนยันปกป้องอธิปไตย บูรณาภาพของดินแดนไทยทุกตารางนิ้ว นายจิรายุ กล่าว

Advertisement

“ประเสริฐ” โต้ รมต.โทรคมนาคมกัมพูชา ชี้ชัด กัมพูชาศูนย์กลางอาชญากรรมแก๊งคอลเซ็นเตอร์

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 25 มิถุนายน 2568 “ประเสริฐ” โต้ รัฐมนตรีโทรคมนาคมกัมพูชา ชี้ชัด กัมพูชาศูนย์กลางอาชญากรรมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ปัด ไม่เกี่ยวกับไทย นักท่องเที่ยวจีนไม่เข้าประเทศ เตรียมขอความร่วมมือนานาชาติตอบโต้กัมพูชา

นายประเสริฐ จันทรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี นายเจีย วันเดธ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงไปรษณีย์ และโทรคมนาคมแห่งกัมพูชา ตอบโต้ไทยกล่าวหาว่ากัมพูชาเป็นศูนย์กลางอาชญากรรมข้ามชาติ แก๊งคอลเซนเตอร์ ว่า เป็นการแก้ต่างของกัมพูชา เพราะรายงานของความมั่นคง ฝ่ายต่างประเทศยืนยันชัดเจนว่าศูนย์กลางอาชญากรรมอยู่ที่กัมพูชา และ รายงานข่าวความมั่นคงของไทยก็ชี้ชัดว่าศูนย์ปฎิบัติการณ์แก๊งคอลเซนเตอร์ อยู่ในกัมพูชา และย้ายไปที่ปอยเปต

เมื่อถามว่าประเด็นที่นายเจีย กล่าวอ้าง เพราะไทยไปกล่าวอ้างในลักษณะนี้ทำให้นักท่องเที่ยวจีน เข้ามาท่องเที่ยวในภูมิภาคลดลง นายประเสริฐ กล่าวว่า ไม่จริง เป็นข้อกล่าวหาที่ปราศจากเหตุผล เพราะไทยเป็นประธานปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์ในระดับอาเซียน และที่นักท่องเที่ยวจีนไม่เข้าประเทศกัมพูชา เป็นเพราะนักท่องเที่ยวจีนคุยกันเอง ไม่ได้เกี่ยวกับไทย

ส่วนไทยจะตอบโต้อย่างไรกับข้อกล่าวหาของรัฐมนตรีไปรษณีย์และโทรคมนาคมแห่งกัมพูชา นายประเสริฐ กล่าวว่า คงจะต้องหาความร่วมมือกับประเทศอื่นๆในการปราบปราม เพราะข้อเท็จจริงก็ปรากฎชัดว่าปอยเปตและเมืองสำคัญของกัมพูชาเป็นแหล่งของคอลเซนเตอร์ใช้เป็นฐาน เพราะสังเกตุจากการเข้มงวดด่านชายแดนต้นเดือนมิถุนายน การใช้โซเชียลแพลตฟอร์มต่างๆลดลงเป็นจำนวนมาก คนเข้าออกด่านลดลง ส่งผลในสถิติอาชญากรรมลดลงไปด้วย

ส่วนที่วันนี้ มีการปล่อยข่าวไทยจะเปิดด่านชายแดนวันที่ 24-25 มิถุนายนนี้ นั้น นายประเสริฐ ไม่ขอแสดงความเห็นเพราะเป็นอำนาจฝ่ายความมั่นคง และเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เพราะสถานการณ์ตอนนี้ฝ่ายความมั่นคงจับตาตลอด ส่วนที่นักพนันและคนที่ไปทำงานเป็นแก๊งคอลเซนเตอร์ กระทรวงดีอีเอสได้รับมอบหมายให้ดูเรื่องบัญชีม้า หากมีการกดเงิน หรือเอาเงินออกในรูปแบบอื่นเป็นจำนวนมากจะตรวจสอบได้ทันที และยอมรับว่าช่วงที่ผ่านมามีการกดเงินที่ด่านชายแดน สระแก้วมากกว่าในจุดอื่น ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ติดตามบัญชีมาแล้ว และแก๊งคอลเซนเตอร์ในตอนนี้ใช้รูปแบบเดิมคือหลอกให้กดเงินสดออกแทนการโอนเงิน

Advertisement

นายกฯ เดินทางเยือนฝรั่งเศส-อิตาลี-ญี่ปุ่น

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 15 พฤษภาคม 2567 ทำเนียบ – นายกฯ เตรียมนำคณะนักธุรกิจไทยร่วมงาน Thailand-France Business Forum พบ ปธน.ฝรั่งเศส -เยือนอิตาลีอย่างเป็นทางการ และร่วมปาฐกถา Nikkei Forum Future of Asia ครั้งที่ 29

นางรัดเกล้า อินทวงศ์  สุวรรณคีรี  รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันนี้ (15 พ.ค.) เวลา 23.30 น. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี จะออกเดินทางจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ไปยังกรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส โดยใช้เวลาเดินทางประมาณ 12 ชม.  และจะเดินทางถึงกรุงปารีส วันพรุ่งนี้ (16 พ.ค.) เวลา 07.10 น. ตามเวลาท้องถิ่นกรุงปารีส ซึ่งช้ากว่ากรุงเทพฯ 5 ชั่วโมง

การเดินทางในครั้งนี้ เป็นการเยือนสาธารณรัฐฝรั่งเศส ระหว่างวันที่ 15 – 16 พฤษภาคม 2567 ณ กรุงปารีส การเยือนสาธารณรัฐอิตาลีอย่างเป็นทางการ และกิจกรรมคู่ขนาน ระหว่างวันที่ 17 – 21 พฤษภาคม 2567 ณ เมืองมิลาน และกรุงโรม และการเข้าร่วมการประชุม Nikkei Forum Future of Asia ครั้งที่ 29 ระหว่างวันที่ 22 – 24 พฤษภาคม 2567 ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุว่า ในส่วนของการเดินทางเยือนสาธารณรัฐฝรั่งเศสเป็นการเยือนเพื่อนำคณะนักธุรกิจไทยร่วมงาน Thailand – France Business Forum ซึ่งเป็นผลสำเร็จจากการเดินทางเยือนฝรั่งเศสอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2567 เป็นการจัดงานส่งเสริมการค้าระหว่างกันและสนับสนุนให้ภาคเอกชนฝรั่งเศสเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้น

ในครั้งนี้นายกรัฐมนตรีจะพบหารือกับนายเอมานูว์แอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส เพื่อติดตามผลความร่วมมือระหว่างกัน โดยเฉพาะในด้านการค้าการลงทุน อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ และ soft power ตลอดจนร่วมกันผลักดันประเด็นสำคัญ โดยเฉพาะการยกระดับความสัมพันธ์ไทย – ฝรั่งเศส สู่ความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ ตามที่ระบุไว้ในแผนการ (Roadmap) การดำเนินความสัมพันธ์ไทย – ฝรั่งเศส ค.ศ. 2022 – 2024

ต่อจากนั้น นายกรัฐมนตรีจะเดินทางเยือนสาธารณรัฐอิตาลีอย่างเป็นทางการ พบหารือกับนางจอร์จา เมโลนี (H.E. Mrs. Giorgia Meloni) นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐอิตาลี เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับอิตาลี ซึ่งในปี 2567 จะครบรอบ 156 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน    พร้อมขยายความร่วมมือในสาขาที่ไทยและอิตาลีมีศักยภาพร่วมกัน ได้แก่ พลังงานหมุนเวียน การท่องเที่ยวเชิงกีฬา วิทยาศาสตร์การแพทย์และเภสัชกรรม และกลาโหม โดยนายกรัฐมนตรีจะผลักดันประเด็นสำคัญ เช่น การยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาของไทยในเขตเชงเกน และการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย – สหภาพยุโรป ให้สามารถสรุปภายในปี 2568 (ค.ศ. 2025)    รวมถึงประเด็นการรับแรงงานไทยที่เดินทางกลับจากอิสราเอลไปทำงานในอิตาลีในอนาคต โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีจะพบหารือกับนาย Attilio Fontana ผู้ว่าการแคว้นลอมบาร์เดีย ซึ่งเป็นแคว้นที่สำคัญที่สุดด้านเศรษฐกิจของอิตาลีด้วย

การเยือนในครั้งนี้จะเป็นโอกาสพบหารือภาคเอกชนรายใหญ่ระดับโลกของอิตาลี และ นาย Carlo Capasa ประธาน the National Chamber of Italian Fashion โดยจะเชิญชวนภาคเอกชนอิตาลีให้มาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมแฟชั่นและ Soft Power การเกษตรและอาหาร ยานยนต์ พลังงาน การเงินและพันธบัตร Sustainability Linked Bonds รวมถึงโครงการแลนด์บริดจ์

จากนั้น นายกรัฐมนตรี จะเดินทางต่อเนื่องไปยังกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เพื่อเข้าร่วมและกล่าวปาฐกถาในการประชุม Nikkei Forum Future of Asia ครั้งที่ 29 ซึ่งหัวข้อหลักในปีนี้ คือ Asian Leadership in an Uncertain World พร้อมจะเสนอให้เอเชียมีความร่วมมือสำคัญ ได้แก่ 1) การเชื่อมโยงด้านการค้าการลงทุนเพื่อเปิดโอกาสธุรกิจ 2) เสริมสร้างความยั่งยืนโดยเน้นเศรษฐกิจและพลังงานสีเขียว 3) การร่วมมือเพื่อเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัล และ 4) การปรับกระบวนทัศน์ของระบบพหุพาคีใหม่ เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจของเอเชีย และก้าวข้ามสถานการณ์โลกที่ผันผวน ท้าทาย

Advertisement

จากถูกติดธงแดง วันนี้ ICAO หนุนไทยเป็นศูนย์อบรมผู้ตรวจสอบด้านการบินของภูมิภาค

People Unity : ICAO พร้อมสนับสนุนไทยเป็นศูนย์การอบรมผู้ตรวจสอบด้านการบินของภูมิภาค

วันนี้ (26 กรกฎาคม 2562) เวลา 13.30 น. ณ ห้องโดมทอง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ดร.อลูมูยีหวา เบนาร์ด อลิว (Dr.Olumuyiwa Benard Aliu) ประธานคณะมนตรีองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (International Civil Aviation Organization: ICAO) และคณะเข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในโอกาสเดินทางเยือนไทย เพื่อเข้าร่วมการประชุม ICAO Global Aviation Cooperation Symposium (GACS) ครั้งที่ 3 ระหว่างวันที่ 22 – 24 กรกฎาคม 2562 ณ จังหวัดภูเก็ต

นายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับประธานคณะมนตรี ICAO และคณะ พร้อมทั้งขอบคุณ ICAO ที่ให้คำแนะนำและประสานงานทำให้การบินพลเรือนของไทยยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยสู่ระดับสากล การนี้นายกรัฐมนตรียินดีที่การประชุม GACS ครั้งที่ 3 ประสบความสำเร็จ ซึ่งเป็นโอกาสสำคัญในการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการบินระหว่างกัน และพัฒนาความร่วมมือในระดับภูมิภาคเพื่อรับมือกับความท้าทายต่างๆในอนาคต

ประธานคณะมนตรี ICAO ขอบคุณไทยที่ให้ความร่วมมือและสนับสนุนการจัดการประชุม GACS ครั้งที่ 3 เป็นอย่างดี พร้อมทั้งชื่นชมการดำเนินการของรัฐบาลไทยในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาด้านการบินพลเรือนอย่างต่อเนื่องและจริงจัง เพื่อให้เกิดความยั่งยืน ซึ่ง ICAO ยินดีสนับสนุนการดำเนินการดังกล่าวให้สำเร็จตามเป้าหมายที่ไทยตั้งไว้ ทั้งนี้ ICAO ขอให้ไทยรักษาระดับมาตรฐานความปลอดภัยด้านการบินให้ดียิ่งขึ้นไป พร้อมทั้งหวังว่าไทยจะสนับสนุนการดำเนินงานของสำนักงาน ICAO ประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ที่จัดตั้ง ณ กรุงเทพฯ ด้วย ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมการบินของภูมิภาค

ทั้งสองฝ่ายยินดีที่ความสัมพันธ์ระหว่างไทย – ICAO มีความใกล้ชิดมากขึ้น โดยไทยถือเป็นประเทศสมาชิกแรกเริ่มของ ICAO ซึ่งไทยยืนยันว่าจะพัฒนาระบบการกำกับดูแลการบินพลเรือนให้เป็นมาตรฐานสากล อย่างไรก็ตามยังมีข้อจำกัดเกี่ยวกับการพัฒนาผู้ตรวจสอบด้านการบิน (Inspector) ที่ยังขาดแคลน จึงจะร่วมมือกับ ICAO ในการฝึกฝนบุคลากร เพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์การอบรมผู้ตรวจสอบด้านการบินของภูมิภาค ซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่ทุกประเทศต่อไปในอนาคต

ความสัมพันธ์ต่างประเทศ : จากถูกติดธงแดง วันนี้ ICAO หนุนไทยเป็นศูนย์อบรมผู้ตรวจสอบด้านการบินของภูมิภาค

People Unity : post 26 กรกฎาคม 2562 เวลา 21.20 น.

เผยผลสำรวจคอรัปชั่นเอเชียล่าสุด กัมพูชา-อินโดนีเซีย-เวียดนามน่าเป็นห่วง ไทยเป็นบวก

People unity news online : รายงานสำรวจด้านปัญหาการคอรัปชั่นในเอเชีย ระบุว่า การฉ้อราษฎร์บังหลวงยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญของการพัฒนาของหลายประเทศในเอเชีย แม้ว่าโครงการต่อต้านการคอรัปชั่นในบางประเทศ เช่น ประเทศจีน จะสร้างแรงกระเพื่อมให้เกิดความตื่นตัวในเรื่องนี้มากขึ้นก็ตาม

รายงานสำรวจที่จัดทำโดยองค์กร Transparency International และศูนย์ Political and Economic Risk (PERC) ในฮ่องกง ซึ่งเปิดเผยออกมาเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2560 ชี้ว่า “การรับรู้และความตื่นตัวในปัญหาคอรัปชั่นเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในหมู่ชาวเอเชียในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา”

ถึงกระนั้นรายงานชิ้นนี้ระบุว่า ปัญหาการฉ้อราษฎร์บังหลวงยังคงเป็นปัญหาใหญ่ของหลายประเทศในเอเชีย

ผลสำรวจแสดงให้เห็นว่า สิงคโปร์ ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น คือประเทศที่ประสบปัญหาคอรัปชั่นในระดับต่ำ ขณะที่ กัมพูชา อินโดนีเซีย และเวียดนาม มีปัญหาคอรัปชั่นที่น่าเป็นห่วง

ในส่วนของจีน รายงานชี้ว่าดูเหมือนปัญหาการคอรัปชั่นเริ่มลดลงหลังจากประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ใช้นโยบายปราบปรามคอรัปชั่นในทุกระดับ แต่ PERC ก็ระบุว่ายังมีสิ่งที่ต้องทำอีกมาก เนื่องจากการคอรัปชั่นได้ครอบคลุมไปทั่วทั้งสังคมจีน

ขณะที่ Transparency International บอกว่า ชาวจีนเกือบ 3 ใน 4 เชื่อว่าระดับการฉ้อราษฎร์บังหลวงได้เพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ซึ่งรัฐบาลปักกิ่งก็ได้พยายามใช้มาตรการหลายอย่างในการปราบปราม เช่น การเพิ่มบทลงโทษสำหรับคดีฉ้อราษฎร์บังหลวงและรับสินบน และปรับแก้กฎหมายเกี่ยวกับการต่อต้านการแข่งขันอย่างไม่ยุติธรรม เป็นต้น

สำหรับอินเดียซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่มีปัญหาการคอรัปชั่นมากที่สุดจากการสำรวจครั้งนี้ รายงานชี้ว่าแม้ชาวอินเดียส่วนใหญ่ต่างเชื่อว่าไม่มีความก้าวหน้าในการแก้ปัญหาคอรัปชั่นมากนัก แต่ก็ได้ยกย่องแนวทางใหม่ๆในการแก้ปัญหาคอรัปชั่นของรัฐบาล นายนเรนธรา โมดี เช่น การยกเลิกใช้ธนบัตรมูลค่าสูงในอินเดีย

ทางด้านประเทศในเอเชียที่เศรษฐกิจกำลังขยายตัวรวดเร็ว เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย และกัมพูชา รายงานบอกว่าประชาชนยังมีความตื่นตัวน้อยเกี่ยวกับปัญหาคอรัปชั่น

รศ.ดร.ภวิดา ปานะนนท์ แห่งคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า “บรรดานักลงทุนในประเทศเหล่านี้ต่างยอมรับการคอรัปชั่นในระดับหนึ่ง ว่าเป็นต้นทุนหรือความเสี่ยงในการลงทุนในประเทศที่เศรษฐกิจกำลังเติบโตนี้”

อย่างไรก็ตาม รศ.ดร.ภวิดา ปานะนนท์ ให้ความเห็นว่า “ความมั่นใจของภาคธุรกิจนั้นจะลดลง หากไม่สามารถคาดเดาได้ว่าการฉ้อฉลหรือติดสินบนนั้นจะบานปลายไปถึงขั้นไหน”

ในส่วนที่เกี่ยวกับประเทศไทย รายงานสำรวจของ Transparency International และศูนย์ Political and Economic Risk (PERC) ชี้ว่า คนไทยส่วนใหญ่มองโครงการต่อต้านคอรัปชั่นของรัฐบาลชุดปัจจุบันในแง่บวก โดย 72% ของกลุ่มตัวอย่างเชื่อว่าปัญหาการคอรัปชั่นได้ลดลงภายใต้รัฐบาลชุดนี้ ขณะที่ 14% มองว่ามีการคอรัปชั่นเพิ่มขึ้น

โดย PERC ระบุว่า งานวิจัยของมหาวิทยาลัยหอการค้าได้สรุปไว้ว่า มูลค่าเงินสินบนที่องค์กรต่างๆ ให้กับเจ้าหน้าที่รัฐในประเทศไทย ได้ลดลงอยู่ที่ระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปี

ด้าน ดร.บัณฑิต นิจถาวร แห่งสถาบันกรรมการบริษัทไทย หรือ IOD และอดีตรองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า “ขณะนี้โครงการต่างๆในการต่อต้านการคอรัปชั่นมีความก้าวหน้าไปมาก ด้วยความร่วมมือของรัฐบาล ภาคธุรกิจและประชาชน”

ดร.บัณฑิต ระบุด้วยว่าปัญหาคอรัปชั่นในไทยเป็นปัญหาที่ฝังรากลึกและทำกันอย่างเป็นระบบ จึงต้องอาศัยทุกฝ่ายในการช่วยกันแก้ไขจัดการ

เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว รัฐบาลไทยได้จัดตั้งศาลพิเศษขึ้นมาดูแลคดีคอรัปชั่นโดยเฉพาะ และได้ตัดสินคดีใหญ่ๆไปแล้วหลายคดี รวมถึงคดีของอดีตผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จุฑามาศ ศิริวรรณ ที่ถูกตัดสินจำคุก 50 ปี และคดีผู้บริหารการบินไทยรับสินบนจากบริษัทผลิตเครื่องยนต์โรลล์สรอยซ์ของอังกฤษ ที่กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาคดีในขณะนี้ (ข่าวจากเว็บไซต์ voathai.com 4 เมษายน 2560 ผู้สื่อข่าว Ron Corben รายงานจากกรุงเทพฯ / ทรงพจน์ สุภาผล เรียบเรียง)

People unity news online : post 5 เมษายน 2560 เวลา 00.33 น.

Verified by ExactMetrics