วันที่ 12 พฤษภาคม 2024

ด่วน!กรมบัญชีกลางผลิตบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบ 3 คาดแจกบัตรได้ต้นเดือน ก.ค.นี้

People Unity : กรมบัญชีกลางผลิตบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รอบ 3 สำหรับผู้มีสิทธิที่ลงทะเบียนรอบเพิ่มเติมโครงการไทยนิยม ยั่งยืน  คาดแจกบัตรได้ต้นเดือนกรกฎาคม 2562 ผู้มีสิทธิที่ยังไม่ได้รับบัตรสวัสดิการฯให้รีบติดต่อทีมไทยนิยม ยั่งยืน เพื่อตรวจสอบข้อมูลของตนเองให้ถูกต้องก่อนหมดสิทธิ

วันนี้ 25 มิถุนายน 2562 – นางญาณี แสงศรีจันทร์ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบการเงินการคลัง ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า กรมบัญชีกลางได้ผลิตบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ภายใต้โครงการไทยนิยม ยั่งยืน ในกลุ่มผู้พิการ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง หรือผู้ที่ไม่สามารถเดินทางมาลงทะเบียนได้ในปี 2560 มีผู้มีสิทธิที่ผ่านคุณสมบัติ จำนวนทั้งสิ้น 3,140,409 ราย ซึ่งได้ผลิตบัตรสวัสดิการฯแล้วจำนวน 3,121,307 ราย และได้แจกบัตรสวัสดิการฯให้แก่ผู้มีสิทธิซึ่งได้นำไปใช้จ่ายแล้ว จำนวน 3,046,447 ใบ คิดเป็นร้อยละ 97 ต่อบัตรที่ผลิต (ข้อมูล ณ วันที่ 22 พฤษภาคม 2562) ทั้งนี้ หากผู้มีสิทธิท่านใดที่ยังไม่ได้รับบัตรสวัสดิการฯ สามารถนำบัตรประจำตัวประชาชนตัวจริงไปแสดงตน เพื่อรับบัตรได้ที่สำนักงานคลังจังหวัด /กรุงเทพมหานคร ตามที่อยู่ปัจจุบันที่ได้ลงทะเบียนไว้ โดยจะขอให้ลงลายมือชื่อเพื่อเป็นหลักฐานยืนยันการรับบัตรสวัสดิการฯ ซึ่งผู้มีสิทธิสามารถรับได้ตั้งแต่บัดนี้ จนถึงวันที่ 20 ธันวาคม 2562 หากไม่มารับภายในวันดังกล่าวจะถือว่าสละสิทธิ์ หลังจากที่ผู้มีสิทธิที่มารับบัตรฯเรียบร้อยแล้ว จะเริ่มใช้สิทธิได้หลังจากรับบัตรไปแล้ว 2 วัน เนื่องจากต้องดำเนินการเปิดสิทธิของบัตร (Activate) เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ที่ไม่มีสิทธิแอบอ้างนำเงินในบัตรไปใช้

โฆษกกรมบัญชีกลาง กล่าวว่า ในการจัดทำบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ครั้งที่ 3 ประมาณ 19,000 ราย ซึ่งคาดว่า  จะดำเนินการผลิตแล้วเสร็จและแจกบัตรฯได้ภายในต้นเดือนกรกฎาคม 2562 นี้ ประมาณ 12,000 ราย ส่วนที่เหลือ  ยังไม่สามารถผลิตได้เนื่องจากผู้มีสิทธิบางรายมีข้อมูลไม่ครบถ้วน เช่น ไม่มีรูปภาพ เพราะยังไม่ได้ทำบัตรประจำตัวประชาชนแบบสมาร์ทการ์ด หรือกรณีข้อมูลที่ลงทะเบียนไว้ไม่ตรงกับข้อมูลจากทะเบียนราษฎร์ ดังนั้น ขอให้ผู้มีสิทธิบางรายที่ไม่แน่ใจว่าข้อมูลของตนถูกต้องหรือไม่ ไปติดต่อกับทีมไทยนิยม ยั่งยืน เพื่อดำเนินการแก้ไขข้อมูลให้ถูกต้อง ซึ่งหากพ้นกำหนดระยะเวลาที่ดำเนินการผลิตบัตรในครั้งนี้ อาจทำให้หมดสิทธิในการรับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ

ข่าวด่วน : กรมบัญชีกลางผลิตบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบ 3 คาดแจกบัตรได้ต้นเดือน ก.ค.นี้

People Unity : post 25 มิถุนายน 2562 เวลา 10.20 น.

 

กระทรวงสาธารณสุขไฟเขียวให้ประชาชน 10 จว.ท่องเที่ยว ฉีดวัคซีนเข็ม 4 ได้ แต่ต้องรับเข็ม 3 ครบ 3 เดือนก่อน

People Unity News : กระทรวงสาธารณสุข ไฟเขียว ประชาชน 10 จังหวัดท่องเที่ยว ฉีดวัคซีนเข็ม 4 ย้ำ! ต้องรับเข็ม 3 ครบ 3 เดือนก่อน

24 ม.ค. 65 อัปเดตแผน “ฉีดวัคซีนโควิด” เข็มกระตุ้นให้แก่ประชาชนเพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันสำหรับผู้ที่เคยรับวัคซีนครบตามเกณฑ์แล้ว ล่าสุด กระทรวงสาธารณสุข กำหนดแผนการบริหารวัคซีนป้องกันโควิด-19 เดือน ก.พ. 65 ซึ่ง ศบค. เห็นชอบแผนการฉีดวัคซีนโควิดเข็ม 4 ให้กับประชาชนในพื้นที่ 10 จังหวัดท่องเที่ยวและจังหวัดที่พบการติดเชื้อสูง จากเดิมที่ให้ฉีดเฉพาะกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่ด่านหน้า และกลุ่มเสี่ยง

💉สำหรับวัคซีนเข็ม 4 ที่จะฉีดใช้นั้น

กรณีฉีดเข็ม 1 – 2 เป็นซิโนแวค เข็ม 3 เป็นแอสตราเซนเนก้า เข็ม 4 จะแนะนำเป็นแอสตราฯ

ขณะที่ คนที่ฉีดเข็ม 1 – 2 เป็นแอสตราฯ เข็ม 3 เป็นไฟเซอร์ เข็ม 4 จะแนะนำเป็นไฟเซอร์

ทั้งนี้ ประชาชนที่รับวัคซีนเข็ม 3 ไปแล้วเกิน 3 เดือน สามารถเข้ารับเข็ม 4 ได้ ซึ่งคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด/กรุงเทพมหานคร จะประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเข้ามารับเข็ม 4 โดยสามารถติดตามข้อมูลในจังหวัดของตน

สำหรับ 10 จังหวัดที่ประชาชนสามารถเข้ารับเข็ม 4 แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่

▶️ กลุ่มที่ 1 พื้นที่นำร่องการท่องเที่ยวที่เปิดรับผู้เดินทางเข้าราชอาณาจักร ได้แก่ ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี กระบี่ และพังงา

▶️ กลุ่มที่ 2 พื้นที่นำร่องการท่องเที่ยว หรือมีการระบาด ได้แก่ กรุงเทพฯ ชลบุรี สมุทรปราการ นนทบุรี กาญจนบุรี และ ปทุมธานี

Advertising

แนะฉีดวัคซีนเด็กอายุ 12-18 ปีที่มีโรคประจําตัวเสี่ยงติดโควิดในจังหวัดควบคุมสูงสุดและเข้มงวด

People Unity News : แนะผู้ปกครองในจังหวัดควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ที่มีเด็กอายุ 12-18 ปี มีโรคประจําตัวเสี่ยงอาการรุนแรงหากติดโรคโควิด-19 ให้รีบพาเด็กไปรับวัคซีน

17 ส.ค.64 นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทย ยังคงมีแนวโน้มการติดเชื้อที่เพิ่มสูงขึ้น เฉพาะกลุ่มเด็กและวัยรุ่นอายุ 12-18 ปี พบติดเชื้อรายใหม่ในสัปดาห์แรกเดือนสิงหาคม 7,787 คน และมีจำนวนการติดเชื้อรายใหม่ในสัปดาห์ที่ 2 เพิ่มขึ้นเป็น 8,733 คน คิดเป็นร้อยละ 12 ซึ่งจากข้อมูลดังกล่าวกลุ่มวัยเรียนวัยรุ่น จึงเป็นกลุ่มที่ต้องเฝ้าระวังการติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มมากขึ้น ล่าสุดราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทยมีคำแนะนำให้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ในเด็กและวัยรุ่นอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไปที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคโควิด-19 ในจังหวัดควบคุมสูงสุดและเข้มงวด กลุ่มผู้ป่วยเด็กที่มีโรคประจําตัวที่มีความเสี่ยงของโรคโควิด-19 ที่รุนแรง ได้แก่ โรคอ้วน โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไตวายเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง โรคมะเร็งและภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ โรคเบาหวาน และกลุ่มโรคพันธุกรรมรวมทั้งกลุ่มอาการดาวน์ เด็กที่มีภาวะบกพร่องทางระบบประสาทอย่างรุนแรง เด็กที่มีพัฒนาการช้า แต่ยังไม่แนะนำเรื่องการฉีดวัคซีนสำหรับเด็กทั่วไปที่แข็งแรงดีจนกว่าจะมีวัคซีนที่มากขึ้น

จากข้อมูลทะเบียนราษฎร์ประเทศไทยมีเด็กและวัยรุ่นอายุ 12-18 ปี 5,196,248 คน พบติดเชื้อโควิด-19 ตั้งแต่ 1 เมษายน–14 สิงหาคม 2564 จำนวน 41,832 คน คิดเป็นร้อยละ 0.8 ในจำนวนนี้เสียชีวิต 8 คน ทั้งหมดเป็นกลุ่มเด็กป่วยที่มีโรคประจำตัว เช่น พิการทางสมอง มะเร็ง และหัวใจ เป็นต้น

พ่อแม่ ผู้ปกครองที่ดูแลเด็กและวัยรุ่นอายุ 12-18 ปี ที่เป็น 7 กลุ่มโรคเสี่ยง และมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อได้ง่าย สามารถให้เด็กเข้ารับบริการฉีดวัคซีนตามที่ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทยแนะนำได้ โดยสอบถามและประสานนัดหมายกับสถานพยาบาลหรือโรงพยาบาลที่ประกาศให้บริการ

Advertising

 

สพฐ. แจงปรับปรุงหนังสือเรียนทันตามกำหนด ปีการศึกษา 2567 เผยทันสมัยเหมาะสมกับสภาพสังคมปัจจุบัน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 1 มีนาคม 2567 สพฐ. แจงปรับปรุงหนังสือเรียนทันตามกำหนดเวลา เนื้อหาทันสมัยไม่ตกยุค

นางเกศทิพย์ ศุภวานิช โฆษกสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (โฆษก สพฐ.) เปิดเผยว่า ตามที่ปรากฏบนสื่อออนไลน์ กรณีองค์การค้าของ สกสค. ไม่สามารถจัดซื้อจัดจ้างการจัดพิมพ์หนังสือเรียน ปีการศึกษา 2567 ได้ เนื่องจากปีนี้ สำนักวิชาการและมาตรฐาน สพฐ. ได้มีการตรวจต้นฉบับเนื้อหาหนังสือแบบเรียน และส่งให้ทางองค์การค้าฯ ค่อนข้างล่าช้ากว่าปีที่ผ่านมา ทำให้ไม่สามารถใช้วิธีประกวดราคาผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์หรือ e-bidding ได้ทันนั้น

นางเกศทิพย์ กล่าวว่า ในประเด็นดังกล่าว ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการ กพฐ. ได้รับทราบและสั่งการให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น พบว่า ทางสำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา (สวก.) ร่วมกับองค์การค้าของ สกสค. และสำนักพิมพ์เอกชน ได้ประชุมพิจารณาแนวทางการปรับปรุงสื่อการเรียนรู้ ร่วมกันตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2566 และมีมติ ให้ปรับปรุงหนังสือเรียนทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ ให้เสร็จสิ้นในเวลา 3 ปี ประกอบด้วย 1) ระดับชั้น ป.1 ป.4 ม.1 และ ม.4 หรือ ม.4-6 ที่จัดทำเป็นช่วงชั้น ปี 2567 2) ระดับชั้น ป.2 ป.5 ม.2 และ ม.5 ปี 2568 และ 3) ระดับชั้น ป.3 ป.6 ม.3 และ ม.6 ปี 2569 โดยที่ประชุมมีมติ กำหนดเวลาในการปรับปรุงสื่อการเรียนรู้และการส่งเข้าตรวจประเมินคุณภาพ ได้แก่ 1) สื่อการเรียนรู้ต้นแบบ ฉบับกระทรวงศึกษาธิการ กำหนดระยะเวลาตั้งแต่ เมษายน 2566 – กุมภาพันธ์ 2567 2) สื่อการเรียนรู้สำนักพิมพ์เอกชน กำหนดระยะเวลา รอบที่ 1 ภายในเดือนพฤษภาคม 2566 รอบที่ 2 ภายในเดือนสิงหาคม 2566 และรอบที่ 3 ภายในเดือนพฤศจิกายน 2566 และกำหนดการส่งรายชื่อหนังสือเรียนลงในบัญชีกำหนดสื่อการเรียนรู้ฯ รอบที่ 1 วันสุดท้าย คือ วันที่ 12 มกราคม 2567 รอบที่ 2 วันสุดท้าย คือ วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2567 และรอบอื่น ๆ เป็นก่อนวันศุกร์สุดท้ายของเดือน โดย สพฐ. อนุมัติให้เพิ่มรอบเพิ่มเติม วันสุดท้าย คือ วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567

สำหรับการดำเนินการปรับปรุงสื่อของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนั้น สำหรับ สสวท. และองค์การค้าฯ ได้ดำเนินการในส่วนของ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สามารถขึ้นได้ทันรอบ ที่ 1 และกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ สามารถขึ้นได้ทันรอบ ที่ 2 ทางด้าน สถาบันภาษาไทย สวก. ได้ดำเนินการในส่วนของ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สามารถขึ้นได้ทันรอบเพิ่มเติม ในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567 ขณะที่กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ และกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ที่มีแนวโน้มจะดำเนินการไม่ทันตามกำหนดนั้น องค์การค้าฯ กับ สพฐ. ก็ได้เร่งรัดการดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง และสามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จ ส่งลงในบัญชีกำหนดสื่อการเรียนรู้ สวก. ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2567 ทันการจำหน่ายในวันที่ 1 มีนาคม 2567 เป็นต้นไป

“ทาง สพฐ. ได้กำชับหน่วยงานในสังกัดให้ดำเนินการในเรื่องดังกล่าวอย่างรอบคอบ เพราะเป็นประโยชน์ของเด็กและเยาวชนที่จะได้เรียนรู้อย่างถูกต้อง ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน และได้ปรับเนื้อหาให้ทันสมัยเหมาะสมกับสภาพสังคมปัจจุบัน ซึ่งทาง สวก. ก็ได้ดำเนินการปรับปรุงสื่อการเรียนรู้และส่งเข้าตรวจประเมินคุณภาพ ตามกรอบระยะเวลาที่ได้กำหนดไว้ ตามมติที่ประชุมร่วมกันระหว่าง สพฐ. องค์การค้าฯ และสำนักพิมพ์เอกชน อย่างครบถ้วน ส่วนการจัดพิมพ์ขององค์การค้าฯ สพฐ. ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการจัดพิมพ์ดังกล่าว และหวังว่าจะสามารถดำเนินการได้ทันสำหรับการเปิดภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 นี้” โฆษก สพฐ. กล่าว

Advertisement

นายกฯ สั่งย้ำเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำลุ่มน้ำเจ้าพระยา เตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ทุกด้าน

People Unity News : 8 ตุลาคม 2565 โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ย้ำจังหวัด-หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในลุ่มน้ำเจ้าพระยา เฝ้าระวังระดับน้ำบริเวณแม่น้ำเจ้าพระยา เตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ในทุกด้าน แจ้งเตือนประชาชนให้ทราบอย่างทันท่วงที

นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ติดตามสถานการณ์น้ำทั่วประเทศอย่างใกล้ชิดรวมถึงสถานการณ์น้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยา ซึ่งขณะนี้มีน้ำหลากจากทางตอนเหนือไหลลงแม่น้ำเจ้าพระยาเพิ่มมากขึ้น ซึ่งล่าสุด สถานการณ์ระดับน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยาอยู่ที่ +17.64 เมตร จากระดับทะเลปานกลาง ซึ่งสูงกว่าระดับเก็บกัก 1.14 (+16.50 เมตร จากระดับทะเลปานกลาง) ทั้งนี้ เพื่อรักษาเสถียรภาพความมั่นคงของบานระบายน้ำและตัวเขื่อนเจ้าพระยา กรมชลประทานจำเป็นต้องควบคุมระดับน้ำด้านเหนือเขื่อนเจ้าพระยา ให้อยู่ในเกณฑ์ +17.60 เมตร จากระดับทะเลปานกลาง ซึ่งจะส่งผลทำให้ปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มขึ้นอยู่ในอัตรามากกว่า 2,900-3,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ตั้งแต่วันที่ 8 ตุลาคม 2565 รวมทั้งกรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ และสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) ได้คาดการณ์ระดับน้ำทะเลหนุน ซึ่งส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณกองบัญชาการกองทัพเรือ กรุงเทพมหานคร ป้อมพระจุลจอมเกล้าฯ จังหวัดสมุทรปราการ และพื้นที่ใกล้เคียง จะเพิ่มสูงขึ้นกว่าปกติด้วย โดยระดับน้ำจะมีความสูงประมาณ 1.90-2.20 เมตร จากระดับทะเลปานกลาง ในช่วงวันที่ 8-13 ตุลาคม 2565

นายอนุชา กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีห่วงใยประชาชนที่อยู่ในบริเวณพื้นที่จังหวัดลุ่มน้ำเจ้าพระยาที่อาจได้รับผลกระทบจากระดับน้ำบริเวณแม่น้ำเจ้าพระยาที่เพิ่มขึ้น ตั้งแต่บริเวณพื้นที่ด้านท้ายเขื่อนเจ้าพระยา อำเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาท อำเภออินทร์บุรี อำเภอเมืองสิงห์บุรี และอำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี อำเภอป่าโมก และอำเภอไชโย คลองโผงเผง จังหวัดอ่างทอง คลองบางบาล อำเภอเสนา และอำเภอผักไห่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งระดับน้ำจะเพิ่มสูงขึ้นประมาณ 0.10-0.15 เมตร รวมทั้งบริเวณตั้งแต่อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จังหวัดปทุมธานี จังหวัดนนทบุรี กรุงเทพมหานคร และจังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งระดับน้ำจะเพิ่มสูงขึ้นจากเดิมประมาณ 0.15-0.30 เมตร

“นายกรัฐมนตรีขอให้จังหวัดในพื้นที่ดังกล่าว และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เตรียมความพร้อมรับมือในทุกด้าน เพื่อดูแลช่วยเหลือประชาชนให้ทันต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะให้ติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด ตรวจสอบความมั่นคงอาคารป้องกันริมแม่น้ำและเสริมคันบริเวณจุดเสี่ยงที่เป็นพื้นที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำ รวมทั้งเตรียมเครื่องจักร เครื่องมือ เพื่อบูรณาการความพร้อมให้ความช่วยเหลือและบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนได้ทันที ขณะเดียวกันให้มีการปรับแผนบริหารจัดการน้ำ อ่างเก็บน้ำ เขื่อนระบายน้ำ รวมทั้งใช้พื้นที่ลุ่มต่ำเป็นแก้มลิงหน่วงน้ำและรองรับน้ำหลาก เพื่อบริหารจัดการน้ำให้สอดคล้องกับสถานการณ์ สำหรับเขื่อนเจ้าพระยา จังหวัดชัยนาท ขอให้บริหารจัดการน้ำโดยใช้ระบบชลประทานในการนำน้ำเข้าคลองต่างๆ ทั้งด้านฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาให้ได้มากที่สุด ตามศักยภาพคลองชลประทานในแต่ละช่วงเวลาที่สามารถรองรับได้ ส่วนพื้นที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณด้านเหนือเขื่อนเจ้าพระยาในเขตจังหวัดชัยนาทและอุทัยธานี ให้เตรียมป้องกันระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาเอ่อล้นเข้าท่วมพื้นที่ และสิ่งสำคัญคือ การประชาสัมพันธ์ข้อมูลเพื่อแจ้งเตือนประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ริมน้ำนอกแนวคันกั้นน้ำ แนวเขื่อนชั่วคราวในบริเวณที่ไม่มีแนวป้องกันน้ำถาวร และพื้นที่จุดเสี่ยงบริเวณที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำให้รับทราบล่วงหน้า เพื่อประชาชนในพื้นที่ดังกล่าวสามารถเตรียมความพร้อมรับมือได้กับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นได้ทันท่วงที” นายอนุชา กล่าว

Advertisement

กกต.มีมติเอกฉันท์ เสนอศาล รธน.วินิจฉัยยุบพรรคก้าวไกล

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 12 มีนาคม 2567 กกต.มีมติเอกฉันท์ส่งศาล รธน.ยุบพรรคก้าวไกล และตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรค ปมแก้ ม.112 เข้าข่ายล้มล้างการปกครอง

มีรายงานว่าที่ประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติเอกฉันท์เสนอเรื่องพร้อมความเห็นให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคก้าวไกล และตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรค จากกรณีก่อนหน้านี้ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์วินิจฉัยว่าการกระทำของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกล ที่เสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 แล้วใช้เป็นนโยบายในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยก่อนที่ที่ประชุมจะมีมติดังกล่าวได้มีการพิจารณาผลการศึกษาคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญฉบับที่

ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และความเห็นที่สำนักงาน กกต.เสนอว่าการกระทำของพรรคก้าวไกลเข้าข่ายเป็นความผิดมาตรา 92(1) พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560

Advertisement

ฮามาสปล่อยตัวประกันคนไทยเพิ่มอีก 3 คน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 27 พฤศจิกายน 2566 กลุ่มฮามาสปล่อยตัวประกันกลุ่มที่ 3 ที่ลักพาตัวมาจากอิสราเอล จำนวน 17 คน ในจำนวนนี้เป็นคนไทย 3 คน แลกเปลี่ยนกับนักโทษชาวปาเลสไตน์

กลุ่มฮามาสปล่อยตัวประกันกลุ่มที่ 3 ที่ลักพาตัวมาจากอิสราเอล จำนวน 17 คน ในจำนวนนี้เป็นคนไทย 3 คน แลกเปลี่ยนกับนักโทษชาวปาเลสไตน์

เมื่อวานนี้ (26 พ.ย.) ซึ่งเป็นวันที่ 3 ของข้อตกลงพักรบในฉนวนกาซา ระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส ทั้งสองฝ่ายยังคงปฏิบัติตามเงื่อนไขข้อตกลงด้วยการปล่อยตัวประกันและนักโทษตามที่ตกลงกันไว้ โดยกองทัพอิสราเอลแถลงว่ากลุ่มฮามาสได้ปล่อยตัวประกันชุดที่ 3 รวม 17 คน แบ่งเป็นชาวอิสราเอล 13 คน รวมทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ซึ่งบางคนในนี้เป็นบุคคลสองสัญชาติ นอกจากนี้ยังปล่อยตัวแรงงานชาวไทยอีก 3 คน และชาวรัสเซีย 1 คน

ต่อมาสื่ออิสราเอลรายงานว่า ตัวประกันชาวรัสเซียถือสัญชาติอิสราเอลด้วย จึงทำให้มีตัวประกันชาวอิสราเอลได้รับการปล่อยตัวชุดที่ 3 จำนวน 14 คน ขณะที่ฝ่ายอิสราเอลปล่อยนักโทษชาวปาเลสไตน์จากเรือนจำเพิ่ม 39 คน

กลุ่มฮามาส แถลงด้วยว่า ตัวประกันกลุ่มหลังที่ได้รับการปล่อยตัวคือแรงงานไทย 3 คน และอีกคนเป็นคนสองสัญชาติ อิสราเอล-รัสเซียนั้น ได้รับการปล่อยตัวนอกเงื่อนไขข้อตกลงหยุดยิงกับอิสราเอล ซึ่งก่อนหน้านี้ข่าวระบุว่าอิหร่านและตุรกีช่วยเจรจาช่วยเหลือปล่อยตัวประกันคนไทย ขณะที่คนสองสัญชาติ อิสราเอล-รัสเซีย ได้รับการปล่อยตัวตามความพยายามประสานช่วยเหลือของประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย

ส่วนการพักรบสองวันแรก เมื่อวันที่ 24 และ 25 พฤศจิกายนที่ผ่านมา กลุ่มฮามาสปล่อยตัวประกันชาวอิสราเอลแล้วรวม 26 คน แรงงานไทย 14 คน และฟิลิปปินส์ 1 คน ส่วนอิสราเอลปล่อยนักโทษชาวปาเลสไตน์จากเรือนจำรวมแล้ว 78 คน

มีรายงานว่า กลุ่มฮามาสแถลงต้องการให้มีการขยายข้อตกลงพักรบชั่วคราวกับอิสราเอล หลังจากข้อตกลงปัจจุบันที่มีกำหนด 4 วัน จะสิ้นสุดลงในวันนี้ (27 พ.ย.) ตามเวลาท้องถิ่น เพื่อพยายามเพิ่มจำนวนตัวประกันที่ได้รับการปล่อยตัว แหล่งข่าวบอกว่าฮามาสอยากขยายข้อตกลงพักรบออกไป 2-4 วัน และจะปล่อยตัวประกันเพิ่มอีก 20-40 คน หรือวันละ 10 คน

ในเรื่องนี้ นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอล บอกว่าถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะจะมีตัวประกันได้รับอิสรภาพเพิ่ม โดยเฉพาะตัวประกันเด็กที่เชื่อว่ายังมีอีกหลายคนที่ถูกฮามาสจับไป อย่างไรก็ดี หากผ่านพ้นข้อตกลงพักรบ 4 วัน และไม่มีการขยายเพิ่ม กองทัพอิสราเอลจะเดินหน้าปฏิบัติการทางทหารเต็มรูปแบบในฉนวนกาซาต่อไปทันที เพื่อจุดมุ่งหมายสูงสุด คือการกวาดล้างกลุ่มฮามาสให้สิ้นซาก

Advertisement

กรมอุตุฯ เตือนไทยตอนบนรับมือ “พายุฤดูร้อน”

People Unity News : 12 มีนาคม 2566 กรมอุตุฯ เตือนไทยตอนบนเฝ้าระวัง “พายุฤดูร้อน” ฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตก รวมถึงอาจมีฟ้าผ่าเกิดขึ้นได้

กรมอุตุนิยมวิทยา เผยบริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางจากประเทศจีนแผ่ปกคลุมประเทศจีนตอนกลางแล้ว คาดว่าจะแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้ในวันนี้ ส่งผลทำให้ลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงใต้ที่พัดนำความชื้นจากทะเลจีนใต้และอ่าวไทยเข้ามาปกคลุมประเทศไทยตอนบนมีกำลังแรงขึ้น ประกอบกับคลื่นกระแสลมฝ่ายตะวันตกจากประเทศเมียนมาจะเคลื่อนเข้าปกคลุมภาคเหนือ ในขณะที่ประเทศไทยตอนบนมีอากาศร้อน ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวจะมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้น โดยมีลักษณะของพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตก รวมถึงอาจมีฟ้าผ่าเกิดขึ้นได้ ขอให้ประชาชนระวังอันตรายจากพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตก รวมถึงอันตรายจากฟ้าผ่าที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ สิ่งปลูกสร้างและป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง สำหรับเกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรไว้ด้วย

สำหรับลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงใต้ยังคงพัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามัน ทำให้ภาคใต้มีฝนฟ้าคะนองบางแห่งเกิดขึ้นได้

ฝุ่นละอองในระยะนี้ ประเทศไทยตอนบนมีแนวโน้มการสะสมฝุ่นละออง/หมอกควันปานกลางถึงมาก เนื่องจากลมที่พัดปกคลุมมีกำลังอ่อนถึงปานกลางและการระบายอากาศไม่ดี

Advertisement

กรมวิทย์ฯ พบยาเสพติดตัวใหม่ ระบาดภาคใต้

People Unity News : 30 สิงหาคม 2566 กรมวิทย์ฯ พบยาเสพติดตัวใหม่ ระบาดในพื้นที่ภาคใต้ สวมและดัดแปลงสูตรโครงสร้างทางเคมีเดิม จนกลายเป็น “ฟลูอัลปราโซแลม” ห่วงรับไปหลับนานมากกว่า 6-14 ชม. ยาวกว่ายาเสียสาว อาจทำให้วูบ หมดสติ เสียชีวิต

นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ แถลงเตือนภัย สารเสพติดตัวใหม่ดัดแปลงสูตรโครงสร้างทางเคมี กลายเป็นฟลูอัลปราโซแลม ที่มีชื่อทางการค้า Erimin5 ว่า สืบเนื่องมาจากมีผู้ส่งตัวอย่างยามาให้ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 12 จ.สงขลา ตรวจสอบ “ยา” ที่มีลักษณะ เป็นเม็ดกลมแบนสีส้ม มีอักษรเลข 5 และมีอักษรจีน เดิมสูตรโครงสร้างยานี้ คล้ายกลุ่มยานอนหลับ หรือ ยาเสียสาว อยู่ในกลุ่มเบนโซไดอะเซปีน แต่พบว่ามีการดัดแปลงสูตร ทำให้กลายเป็น ฟลูอัลปราโซแลม จัดเป็นยาเสพติดอันดับที่ 27 โดยตัวยาที่พบ ไม่มีที่มาที่ไปชัดเจน แต่เมื่อรับประทานเข้าไปจะออกฤทธิ์นาน 6-14 ชม. หรือ หลับเป็นวัน หรือ อาจทำให้เกิดหมดสติ วูบได้ หากไม่รู้ว่ารับประทานก็เสี่ยงได้รับอันตราย

นพ.พิเชฐ บัญญัติ รองอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า เดิมกลุ่มยา Erimin5 เคยใช้ในไทย แต่มีการยกเลิกในปี 2556 และในขณะนั้น ยังไม่มีการดัดแปลงตัวยาภายใน ไนเมตาซีแพม แต่เมื่อมีการดัดแปลงสูตรโครงสร้างทางเคมี เสริมสารอื่นลงไปทำให้ตัวยาเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย จนกลายเป็นฟลูอัลปราโซแลม มีฤทธิ์กดประสาททำให้ง่วงนอน หากไม่ระมัดระวัง มีการลักลอบนำไปใช้ หรือนำไปใช้เกินขนาดก็อาจเสียชีวิตได้

Advertisement

ดีเดย์ 17 ก.ย.นี้ เริ่มขายสลาก L6 101 ล้านฉบับ เป็นดิจิทัล 21 ล้านฉบับ แบบใบ 80 ล้านฉบับ

People Unity News : 11 กันยายน 2566 สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เริ่มขายตัวสลาก L6 17 ก.ย.นี้  รวม 101 ล้านฉบับ แบ่งเป็นแบบดิจิทัล 21 ล้านฉบับ ผ่านแอปเป๋าตัง และแบบใบอีก 80 ล้านฉบับ จากนั้นจะเพิ่มแบบดิจิทัลเป็น 30 ล้านฉบับ ภายในสิ้นปี ซึ่งจะทำให้มีเงินรางวัลสูงสุด 180 ล้านบาท ส่วนสลาก N3 มาแน่ภายในเดือนกันยายนปีหน้า เล็งออกรางวัลทุกสัปดาห์สู้หวยใต้ดิน-หวยประเทศเพื่อนบ้าน

พันโทหนุน ศันสนาคม ผอ.สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เปิดเผยความคืบหน้าการออกสลากกินแบ่งรัฐบาลแบบใหม่คือ สลากกินแบ่งรัฐบาลหกหลัก (Lottery 6 : L6) ว่า จะเริ่มจำหน่ายงวดแรกงวดประจำวันที่ 1 ตุลาคม 2566 (เริ่มขาย 17 กันยายน 2566) โดยเป็นแบบใบ (มีการพิมพ์สลาก) จำนวน 80 ล้านฉบับ และแบบดิจิทัล (ไม่มีการพิมพ์สลาก) จำนวน 21 ล้านฉบับ รวมเป็นจำนวน 101 ล้านฉบับ  โดยสลาก L6 ทั้งแบบใบ และแบบดิจิทัล เป็นแบบกำหนดหมายเลขไว้ล่วงหน้า รูปแบบเดียวกับที่สำนักงานสลากฯ ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน แต่ทั้ง 2 แบบ จะถูกแยกจากกันชัดเจน

แบบใบ มีลักษณะรายละเอียดเหมือนเดิมทุกอย่าง ผู้ซื้อซื้อเป็นใบ (มีการพิมพ์สลาก) และนำใบสลากไปขึ้นเงินรางวัลซึ่งบนสลากจะระบุข้อความ L6 แบบใบ

ส่วนแบบดิจิทัล จะเป็นสลากดิจิทัลในแอปเป๋าตัง รูปแบบคล้ายกับสลากใบทุกอย่าง มีข้อความกำกับบนสลากว่า L6 แบบดิจิทัล แต่สำนักงานสลากจะไม่พิมพ์เป็นใบออกมาจำหน่าย ส่วนการขึ้นรางวัลก็สามารถขึ้นได้ 3 ช่องทาง 1.ผ่านวอลเล็ต 2.ผ่านบัญชีธนาคารกรุงไทย และ 3.ขึ้นรางวัลที่สำนักงานสลากฯ  ทุกรางวัล (จากเดิมรางวัลที่ 1 ต้องไปขึ้นรางวัลที่สำนักงานสลากเท่านั้น) นอกจากนี้ยังสามารถเก็บไว้รอขึ้นรางวัลได้นาน 2 ปี เช่นเดียวกับสลากแบบใบ สำนักงานสลากฯเตรียมเปิดตัวอย่างสลากทั้ง 2 แบบครั้งแรก ในวันออกสลากงวด 16 กันยายน 2566 และจะเริ่มขายในวันที่ 17 กันยายน 2566 (งวดออกรางวัล 1 ตุลาคม 2566)

“คณะกรรมการสำนักงานสลากมีมติ เพิ่มจำนวนสลาก L6 ไม่เกิน 110 ล้านฉบับ  ภายในสิ้นปี 2566  โดยจะเพิ่มเฉพาะแบบดิจิทัลเท่านั้น ส่วนแบบใบคงไว้ที่ 80 ล้านฉบับเท่าเดิม ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการตอบรับของผู้ซื้อ ว่าจะสามารถเพิ่มปริมาณสลากแบบดิจิทัลในแต่ละงวด ซึ่งคาดว่า จะเพิ่มงวดละ 1-2 ล้านฉบับ เมื่อถึงงวดสุดท้ายของปี 2566 สลาก L6 แบบดิจิทัลก็อาจจะมีถึง 30 ล้านฉบับ นั่นหมายความว่า จะมีสลากรางวัลที่ 1 มากถึง 30 ฉบับ เงินรางวัลสูง 180 ล้านบาท ส่วนสาเหตุที่เพิ่มเฉพาะแบบดิจิทัล เนื่องจากบอร์ดฯสำนักงานสลากเห็นว่า สลากดิจิทัลสามารถแก้ไขปัญหาสลากเกินราคาได้และได้รับการตอบรับจากประชาชนเป็นอย่างดี”  พันโทหนุน กล่าว

ส่วนสลากกินแบ่งรัฐบาลในปัจจุบัน จำนวน 100 ล้านใบต่องวด มีช่องทางจำหน่าย 2 ช่องทางคือ สลากใบที่ซื้อตามแผงจำนวน 80 ล้านฉบับ และ สลากใบที่ถูกแสกนเข้าระบบจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ จำนวน 20 ล้านฉบับ

ส่วนสลากกินแบ่งรัฐบาลตัวเลขสามหลัก (Numbers 3 : N3) จะเริ่มดำเนินการในปีงบประมาณ 2567 หรือ ก่อนเดือนกันยายน พ.ศ.2567 จะต้องมีสลาก N3 ออกมาจำหน่าย ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างพิจารณารายละเอียดปลีกย่อย วัตถุประสงค์หลักของสลาก N3 คือ เพื่อเป็นทางเลือกให้กับประชาชน และแก้ไขปัญหาสลากเกินราคา เพราะขายด้วยระบบดิจิทัล ไม่สามารถซื้อ-ขาย เกินราคาได้ นอกจากนี้ก็ยังเป็นการดึงเงินจากหวยใต้ดินให้กลับเข้ามาอยู่ในระบบมากขึ้น  เพราะซื้อครั้งเดียวสามารถลุ้นได้ถึง 4 รางวัล คือ 3 ตัวตรง/ 3ตัวสลับ (3ตัวโต๊ด)/  2ตัวตรง / และรางวัลแจ๊กพ็อต หรือรางวัลพิเศษ ที่เลือกจากคนที่ถูก 3 ตัวตรงมา 1 คน โดยรูปแบบการจ่ายเงินรางวัลเป็นแบบแปรผัน  ขึ้นอยู่กับจำนวนผู้ซื้อเลขนั้นๆ  โดยการจัดสรรเงินรางวัล กำหนด (1) ร้อยละ 60 เป็นเงินรางวัล (2)ไม่น้อยกว่าร้อยละ 23 เป็นรายได้แผ่นดิน (3)ไม่เกินกว่าร้อยละ 17 เป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงาน  กำหนดให้นำเงินที่จัดสรรไว้เป็นเงินรางวัลไปสมทบในงวดถัดไป แต่ไม่เกิน 1 งวด

ส่วนการขายก็ยังเป็นการขายผ่านตัวแทน เช่นเดียวกับ สลาก L6  ขณะที่ราคาสลาก N3 อาจจะอยู่ที่ 50 บาท หรือต่ำกว่านั้น ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนภายในไตรมาส 2 ของปีงบประมาณ 2567

“การออกสลาก N3 เป็นการเพิ่มทางเลือกให้ประชาชนซื้อสลากแบบถูกกฎหมายมากขึ้น เพราะผู้ซื้อสลากสามารถเลือกตัวเลขได้ตามความต้องการ เช่นเดียวกับหวยใต้ดิน ซึ่ง N3 จะช่วยดึงเงินเข้าให้มาในระบบได้มากขึ้น เนื่องจากราคาต่ำกว่าสลาก L6 อีกทั้งสลาก N3 มีรางวัลให้ลุ้นมากกว่าหวยใต้ดิน ซื้อ 1 ลุ้นได้ถึง 4 รางวัล และอาจจะมีการพิจารณาให้ออกรางวัลทุกสัปดาห์ ขณะที่ปัจจุบันหวยใต้ดิน – หวยประเทศเพื่อนบ้าน ที่ออกรางวัลถี่ บางประเภทออกทุกวัน ได้รับความนิยมสูง มีวงเงินเฉลี่ยกว่า 1.5 – 4 แสนล้านบาทต่อปี” พันโทหนุน กล่าว

สำหรับตัวแทนจำหน่าย N3 อาจจะมาจากผู้จำหน่าย N6 อยู่ก่อนแล้ว เนื่องจากสำนักงานสลากต้องการให้กลุ่มผู้ค้าที่อยู่ในระบบเดิมมีรายได้เท่ากับค่าแรงขั้นต่ำ

Advertisement

Verified by ExactMetrics