วันที่ 24 ตุลาคม 2025

เตือนเล่นน้ำทะเลช่วงนี้ ระวังมังกรทะเล (Blue Dragon) เป็นสัตว์มีพิษ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 22 สิงหาคม 2568 เตือนเล่นน้ำทะเลช่วงนี้ ระวังมังกรทะเล (Blue Dragon) สีสัน สวยงาม อย่าสัมผัส เป็นสัตว์มีพิษ พบมากหลังฝนตก

นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เตือนประชาชนและนักท่องเที่ยวระมัดระวัง ความปลอดภัยในการท่องเที่ยว โดย กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข และศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามันตอนบน (ศวอบ.) ได้รับแจ้งรายงานจากกลุ่มเครือข่ายและเจ้าหน้าที่ life guard ว่า พบเห็นมังกรทะเลสีน้ำเงิน (Blue Dragon) ถูกคลื่นซัดขึ้นชายฝั่งบริเวณหาดกะรน จังหวัดภูเก็ต ซึ่งเป็นสัตว์มีพิษจำพวกทากทะเลสีน้ำเงิน ชนิด Glaucilla sp. ที่มีพฤติกรรมการกินแมงกะพรุนที่มีพิษเป็นอาหาร โดยเฉพาะแมงกะพรุนหัวขวด (Bluebottle Jellyfish) ที่นำเข็มพิษของแมงกะพรุนมาสะสมไว้ในตัวเพื่อป้องกันตัวเอง หากสัมผัสหรือโดนจะเกิดอาการเจ็บปวดเหมือนโดนเข้มพิษของแมงกะพรุน มีอาการปวดแสบปวดร้อน ระคายเคืองผิวหนัง หรือผื่นแดง

นายอนุกูล กล่าวว่า เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจถึงความปลอดภัยในการท่องเที่ยว รัฐบาลขอย้ำเตือน ประชาชนและนักท่องเที่ยว หากพบมังกรทะเล (Blue Dragon) หรือหากลงเล่นน้ำทะเลแล้วมีอาการปวดแสบปวดร้อน ขอให้ปฏิบัติตามขั้นตอนต่อไปนี้ 1. รีบขึ้นจากน้ำทะเล และรีบขอความช่วยเหลือพร้อมโทรแจ้งหน่วยแพทย์ฉุกเฉิน 1669 2. ให้ผู้บาดเจ็บอยู่นิ่งๆ และห้ามขัดถูบริเวณที่สัมผัส เนื่องจากการเคลื่อนไหวอาจเป็นการกระตุ้นการสัมผัสพิษมากขึ้น 3. ใช้น้ำส้มสายชูความเข้มข้น 4 – 6% ที่ใช้ในครัวเรือนทั่วไป ราดบริเวณที่สัมผัสต่อเนื่องอย่างน้อย 30 วินาที (ห้ามราดด้วยน้ำจืด น้ำเปล่า หรือแอลกอฮอล์) เพื่อให้เข็มพิษหลุดเช่นเดียวกับโดนแมงกะพรุน 4. หากผู้บาดเจ็บหากอาการไม่ดีขึ้น ให้รีบนำผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว

“ความปลอดภัยในการท่องเที่ยวถือเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาการบาดเจ็บจากสัตว์มีพิษในทะเล เช่น หอยเม่น ปลากระเบน มังกรทะเลสีน้ำเงิน และแมงกะพรุนมีพิษชนิดต่าง ๆ ขอให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวสวมสัตว์เสื้อผ้ามิดชิดก่อนลงเล่นน้ำ และไม่ควรเล่นน้ำหลังฝนตก พร้อมทั้งสังเกตจุดวางน้ำส้มสายชูและป้ายแจ้งเตือน โดยหากมีการพบซากของมังกรทะเลสีน้ำเงิน และแมงกะพรุนอยู่ตามชายหาดขอให้งดเล่นน้ำ หรือลงเล่นน้ำในบริเวณปลอดภัย ที่เจ้าหน้าที่จัดไว้ให้เท่านั้น” นายอนุกูล กล่าว

นอกจากนี้ควรปฏิบัติตามคำเตือนของเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด อย่างไรก็ตาม หากมีข้อสงสัยหรือต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมสามารถติดต่อ สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422.-314

Advertisement

รมช.คลังเผยข้อดี “หวยเกษียณ” พ่อค้า-แม่ค้าแห่สนใจล้นหลาม

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 17 สิงหาคม 2568 กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) จัดกิจกรรม “ศุกร์ได้ลุ้น-สุขได้ออม กับหวยเกษียณ” ณ ตลาดมีนบุรี กรุงเทพฯ โดยมี ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมด้วย นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ นำคณะลงพื้นที่เดินตลาดมีนบุรีสร้างการรับรู้เกี่ยวกับ “สลาก กอช.” หรือ “หวยเกษียณ” โดยได้รับความสนใจจากพี่น้องประชาชนในตลาดอย่างล้นหลาม

ดร.เผ่าภูมิ กล่าวว่า การลงพื้นที่ตลาดมีนบุรีพบพ่อค้าแม่ค้า ประชาชนที่เดินจับจ่ายใช้สอยในครั้งนี้ เป็นการประชาสัมพันธ์สร้างความรู้ ความเข้าใจ เพื่อเตรียมความพร้อมของ “หวยเกษียณ” ซึ่งเป็นนวัตกรรมการออมที่ได้ประโยชน์สองต่อ ต่อแรกคือได้ลุ้นเงินล้านทุกสัปดาห์ ต่อที่สองคือทุกบาทที่ซื้อกลายเป็นเงินออม ทำให้การออมกลายเป็นเรื่องสนุกและได้ลุ้นล้านทุกศุกร์ ที่สำคัญเงินต้นไม่หาย และยังมีผลตอบแทนเพิ่มจากการลงทุน เพื่อให้คนไทยทุกคนมีอนาคตทางการเงินที่มั่นคงและมีความสุขในวัยเกษียณ

โดยมีรายละเอียด ดังนี้

  1. เป็นสลากขูดแบบดิจิทัล ใบละ 50 บาท เพื่อขายให้กับประชาชนทุกคนที่มีสัญชาติไทย และมีอายุ 15 ปี ขึ้นไป และซื้อได้ไม่เกิน 3,000 บาท ต่อเดือน
  2. สามารถซื้อหวยเกษียณได้ทุกวัน ออกรางวัลทุกวันศุกร์เวลา 17.00 น. ผู้ถูกรางวัลจะได้เงินรางวัลทันทีผ่านพร้อมเพย์ ซึ่งสามารถนำออกมาใช้ได้เลย โดยที่เงินค่าซื้อสลากทั้งหมดถูกเก็บเป็นเงินออมในบัญชีส่วนตัวของตนเอง แม้ว่าจะถูกรางวัลหรือไม่ก็ตาม
  3. รางวัลของ “ทุกวันศุกร์” กำหนดดังนี้

3.1. รางวัลที่ 1 (เป็นเลข 6 หลัก) รางวัล 1,000,000 บาท จำนวน 5 รางวัล

3.2. รางวัลที่ 2 (เป็นเลขหน้า 3 ตัว และเลขท้าย 3 ตัว) รางวัล 1,000 บาท จำนวน 10,000 รางวัล

3.3. รางวัลพิเศษ (แจ็คพอต) 1 รางวัล (ถ้ามี)

  1. หากในงวดใดที่รางวัลออกไม่หมด รางวัลที่ออกไม่หมดนั้นจะถูกทบยอดเป็นรางวัลพิเศษ (แจ็คพอต) ในงวดถัดไปทั้งหมดทันที
  2. “เงินค่าซื้อสลากทั้งหมดจะเป็นเงินออมของผู้ซื้อสลาก” ซึ่งจะนำเงินส่งเข้าบัญชีเงินออมรายบุคคลกับ กอช. และเมื่อผู้ออมอายุครบ 60 ปี จะคืนเงินทั้งหมดทุกบาท ทุกสตางค์ที่ซื้อสลากมาทั้งชีวิตบวกกับผลตอบแทนการลงทุนให้กับผู้ออม
  3. ประชาชนที่มีอายุเกิน 60 ปี ซื้อได้ด้วยด้วย แต่ต้องออมไว้ 5 ปี หลังจากวันที่ซื้อครั้งแรก และสามารถซื้อได้ไม่จำกัดรอบ ทุกรอบต้องออมไว้ 5 ปี
  4. หากเสียชีวิต เงินออมที่ซื้อหวยเกษียณทั้งหมดจะตกสู่ทายาทตามกฎหมายหรือบุคคลที่ผู้ซื้อระบุไว้

ซื้อหวย-เงินไม่หาย-กลายเป็นเงินออม ไปด้วยกันครับ

ฝากติดตามข่าวสารและกิจกรรมของกองทุนการออมแห่งชาติได้ที่ :

  • Facebook: กองทุนการออมแห่งชาติ-กอช.
  • แอปพลิเคชัน กอช.
  • LINE Official: @nsf.th
  • เว็บไซต์: www.nsf.or.th
  • สายด่วน กอช. 02-0499000 ได้ทุกวันจันทร์–ศุกร์ ตั้งแต่เวลา 08.30–17.30 น.

Advertisement

ชวนเที่ยวตามซีรีส์ดังระดับโลก “Alien: Earth” ถ่ายในไทย 7 จว.

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 16 สิงหาคม 2568 รัฐบาลชวนเที่ยว “ตามซีรีส์ ดังระดับโลก Alien: Earth” หลังยกกองถ่ายในไทย 7 จว. ปลุกกระแสท่องเที่ยว-สร้างรายได้กว่า 2,800 ล้านบาท ดันไทยสู่ศูนย์กลางถ่ายทำหนังระดับโลก

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาล โดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เชิญชวนแฟนซีรีส์ และนักท่องเที่ยว “ตามรอย” สถานที่ถ่ายทำซีรีส์ฟอร์มยักษ์ Alien: Earth ซึ่งเลือกประเทศไทยเป็นโลเคชั่นหลัก 7 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร พังงา กระบี่ นครปฐม สุราษฎร์ธานี ประจวบคีรีขันธ์ และสมุทรปราการ โดยซีรีส์เริ่มออกอากาศตอนแรกพร้อมกันทั่วโลกทาง Disney+ เมื่อวันที่ 13 สิงหาคมที่ผ่านมา

การถ่ายทำครั้งนี้ไม่เพียงสะท้อนศักยภาพของสถานที่และสตูดิโอไทยที่ได้มาตรฐานระดับสากล แต่ยังสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล ด้วยงบลงทุนกว่า 2,800 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ของการถ่ายทำหนังต่างประเทศในไทย และก่อให้เกิดการจ้างงานรวม 24,787 ราย แบ่งเป็นทีมงานในธุรกิจภาพยนตร์ 13,942 ราย เช่น นักแสดงสมทบ ทีมกำกับภาพ ทีมควบคุมเสียง ทีมจัดแสง ทีมฝ่ายศิลป์ และทีมงานเบื้องหลังอื่น ๆ และทีมงานในธุรกิจเกี่ยวเนื่อง 10,845 ราย เช่น ธุรกิจรถเช่า โรงแรม ร้านอาหาร และบริการสนับสนุนอื่น ๆ

ทั้งนี้ ความสมบูรณ์ของทรัพยากร ความหลากหลายของสถานที่ถ่ายทำ ทีมงานมืออาชีพ และสตูดิโอมาตรฐานสากล ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้ Alien: Earth เลือกประเทศไทยเป็นโลเคชันหลัก และตอกย้ำศักยภาพอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยในทุกมิติ ทั้งด้านสถานที่ ทีมงานฝีมือ และบริการสนับสนุนครบวงจร ซึ่งผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็น “HUB” การถ่ายทำระดับนานาชาติที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก

“รัฐบาลยืนยันเดินหน้ายกระดับมาตรฐานการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมภาพยนตร์อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างรายได้ให้ประเทศ เพิ่มโอกาสจ้างงาน และเสริมภาพลักษณ์ไทยในเวทีโลกอย่างมั่นคงและยั่งยืน” นางสาวศศิกานต์ กล่าว

Advertisement

กลโกงแบบใหม่ ส่งคลิปนักข่าวแนบลิงก์หลอกให้กด

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 15 สิงหาคม 2568 ระวังกลโกงรูปแบบใหม่ ส่งคลิปนักข่าวแนบลิงก์หลอกให้กด สแกนคิวอาร์โค๊ด เตือนอย่ากด อย่าสแกน อันตราย มิจฉาชีพหลอกดูดเงิน

นายอนุกูล พฤกษนุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ด้วยปัจจุบันแก๊งมิจฉาชีพมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบกลโกงในการหลอกลวงประชาชนอยู่เสมอ แม้ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการกวดขัน ปราบปรามแก๊งมิจฉาชีพอย่างต่อเนื่อง แต่มิจฉาชีพยังใช้กลอุบายในรูปแบบต่าง ๆ ที่แยบยลทำให้ประชาชนหลงเชื่อ ตกเป็นเหยื่อสูญเสียข้อมูลส่วนตัวและสูญเสียเงิน รัฐบาลขอเน้นย้ำให้ประชาชน ระวังรูปแบบภัยอาชญากรรมรูปแบบต่าง ๆ มากยิ่งขึ้นเพื่อเป็นการเสริมสร้างเกราะป้องกันภัยให้ประชาชน จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ

นายอนุกูล กล่าวว่า จากข้อมูลของตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) พบพฤติการณ์การกระทำของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่มีการดูดคลิปวิดีโอของนักข่าว และผู้ประกาศข่าว ที่มีเนื้อหาเตือนภัยกลโกงมิจฉาชีพ รวมถึงการให้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับวิธีการขอรับเงินคืน กรณีได้รับความเสียหายจากการถูกหลอกลวง โดยแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้นำ QR Code ซึ่งอ้างว่าเป็น “ศูนย์ยื่นสิทธิเฉลี่ยทรัพย์” หรือ “ทนายที่ปรึกษาด้านกฎหมาย” มาแนบไว้ในคลิปดังกล่าว พร้อมแนบช่องทางการติดต่อผ่านทางแอปพลิเคชันไลน์ โดยระบุข้อความ “ให้ติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อขอยื่นสิทธิรับเงินคืน” ซึ่งการกระทำของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในลักษณะนี้ ทำให้ประชาชนหรือผู้ที่เห็นคลิปเข้าใจว่า ช่องทางดังกล่าวสามารถช่วยเหลือผู้เสียหายจากการถูกหลอกลวงได้จริง จนทำให้มีประชาชนหลายรายหลงเชื่อ สแกนคิวอาร์โค๊ดติดต่อเข้ากลุ่มไลน์ของมิจฉาชีพได้รับความเสียหาย

นายอนุกูล กล่าวว่า ขอประชาสัมพันธ์เตือนภัยประชาชน หากพบคลิปในลักษณะข้างต้น อย่าหลงเชื่อสแกน QR code หรือ แอดไลน์ใดๆ ทั้งสิ้น เนื่องจากช่องทางดังกล่าวเป็นกลวงที่มิจฉาชีพสร้างขึ้นมาเพื่อหลอกลวงซึ่งจะนำไปสู่การหลอกให้โอนเงินจนทำให้ได้รับความเสียหาย ขอแนะนำประชาชนที่ต้องการขอรับเงินคืนในกรณีที่ได้รับความเสียหายจากการถูกหลอกลวง ขอให้ท่านตรวจสอบข้อมูลก่อนว่า คดีมีสิทธิยื่นเฉลี่ยทรัพย์คืนหรือไม่ โดยสามารถเข้าไปตรวจสอบได้ที่ เว็บไซต์ www.amlo.go.th สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ป.ป.ง. หากพบว่ามีสิทธิในการขอเฉลี่ยทรัพย์คืนตามข้างต้น ให้ติดต่อและดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ ป.ป.ง. โดยตรง หรือติดต่อผ่านเว็บไซต์ของ ป.ป.ง. เท่านั้น สำหรับประชาชนท่านใดที่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพทางออนไลน์ หรือต้องการปรึกษาปัญหาอาชญากรรมทางไซเบอร์ สามารถโทรติดต่อได้ที่ ศูนย์ AOC 1441

Advertisement

“ถนนทรงวาด” สู่แลนด์มาร์กใหม่ใจกลางกรุง

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 13 สิงหาคม 2568 ไทยแลนด์น่าเที่ยว “ถนนทรงวาด” สู่แลนด์มาร์กใหม่ใจกลางกรุง รัฐ-เอกชนจับมือยกระดับพื้นที่ ดึงดูดนักท่องเที่ยวด้วยงานศิลป์ไฟและดิจิทัล วันนี้-17 ส.ค.68

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ผยว่า รัฐบาล โดยกระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับผู้บริหารกรุงเทพมหานคร และกลุ่ม Made in Song Wat เพื่อหารือแนวทางส่งเสริมประชาสัมพันธ์ให้ถนนทรงวาด ย่านการค้าเก่าของกรุงเทพฯ กลายเป็น “Old Soul, New Style – ทรงวาดย่านนี้ มีดีทุกยุค” ภายใต้แนวคิด “ไทยทำ ไทยใช้ ไทยช่วยไทย ไทยเที่ยวไทย” เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความคึกคักให้กับย่านการค้าเก่า

ถนนทรงวาด เป็นย่านการค้าเก่าแก่กว่า 100 ปี ตั้งแต่รัชกาลที่ 5 มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมทั้งไทย (วัด) จีน (ศาลเจ้า) และอิสลาม (มัสยิดโบราณ) อีกทั้งยังเป็นที่ตั้งของร้านอาหาร คาเฟ่ และแกลเลอรีของผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ผสมผสานรูปแบบการค้าดั้งเดิมกับสมัยใหม่อย่างลงตัว

รัฐบาลจะขับเคลื่อนถนนทรงวาดสู่การเป็นแลนด์มาร์กและจุดเช็กอินสำคัญของกรุงเทพฯ ทั้งสำหรับนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติ โดยยกระดับโครงสร้างพื้นฐานให้ครบวงจร ตั้งแต่ปรับภูมิทัศน์ จัดห้องน้ำที่ได้มาตรฐาน เสริมระบบความปลอดภัย จัดระเบียบการจราจรและพื้นที่จอดรถ พร้อมจัดทำแผนที่แนะนำร้านค้า (Visitor Guide) และกำหนดให้ทุกร้านติดป้ายราคาสินค้าและบริการอย่างชัดเจน เพื่อสร้างความมั่นใจแก่ผู้บริโภคและรักษาความเป็นธรรมต่อผู้ประกอบการ

ทั้งนี้ ได้จัดกิจกรรมพิเศษ “Awakening Song Wat 2025” งานศิลปกรรมไฟและดิจิทัล 14 ชิ้น จัดแสดง 12 จุดตลอดแนวถนน ระหว่างวันที่ 8 – 17 สิงหาคม 2568 เวลา 17.00 – 23.00 น. เพื่อให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวมาสัมผัสเสน่ห์ถนนทรงวาดในยามเย็น

“รัฐบาลมุ่งยกระดับย่านการค้าเก่าให้มีชีวิตชีวา โดยผสานเสน่ห์ประวัติศาสตร์กับนวัตกรรมสมัยใหม่ เพื่อให้คนไทยและนักท่องเที่ยวทั่วโลกได้สัมผัสประสบการณ์ท่องเที่ยวที่มีคุณภาพและปลอดภัย พร้อมเดินหน้าพัฒนาพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญของประเทศให้เติบโตอย่างสมดุล และยั่งยืน” นางสาวศศิกานต์ กล่าว

Advertisement

รัฐบาลเชิญชวนมอบของขวัญวันแม่ ด้วยงานฝีมือไทย ในงานศิลปาชีพประทีปไทย OTOP

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 9 สิงหาคม 2568 รัฐบาลเชิญชวนมอบของขวัญวันแม่ ด้วยงานฝีมือไทย ในงานศิลปาชีพประทีปไทย OTOP 9-17 ส.ค.นี้ ณ อาคารชาเลนเจอร์ 1-3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า งานศิลปาชีพประทีปไทย OTOP หลอมดวงใจ ด้วยพระบารมี ภายใต้แนวคิด “จากสองมือคนไทย…สู่หัวใจคนทั้งโลก (From Hand To Heart)” งานโอทอปสุดยิ่งใหญ่ของประเทศ กลับมาปรากฏตัวอีกครั้งตั้งแต่วันที่ 9-17 สิงหาคม 2568 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 1-3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี

วัตถุประสงค์ของการจัดงานดังกล่าวเพื่อสืบสานพระราชปณิธานและพระเมตตาของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ทรงส่งเสริมอาชีพและภูมิปัญญาชาวบ้านผ่านโครงการศิลปาชีพ จนส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ OTOP เป็นที่รู้จักในวงกว้าง และสามารถต่อยอดไปสู่ระดับสากล คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมงานไม่น้อยกว่า 100,000 คน มียอดเงินสะพัดไม่ต่ำกว่า 600 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยกระจายรายได้สู่ชุมชน และกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ

สำหรับกิจกรรมภายในงานประกอบด้วย 1) นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 และสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง 2) การจัดแสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของศูนย์ศิลปาชีพ 3) การจัดแสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย 4) โซนนิทรรศการ กิจกรรม และการจำหน่ายสินค้าของหน่วยงานภาคี 5) โซน OTOP Trader จังหวัด และ OTOP Trader ประเทศไทย 6) โซนแสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ OTOP 3-5 ดาว รวมกว่า 2,000 บูธ และ OTOP ชวนชิมกว่า 160 ร้านค้าทั่วประเทศ นอกจากนี้ยังมีโซน Highlight ได้แก่ โซนศิลปิน OTOP โซนผ้าไทยใส่ให้สนุก ประกอบด้วยนิทรรศการผ้าไทย First Lady นิทรรศการเส้นไหมและเส้นใยธรรมชาติ โซนพลิกโฉม OTOP ไทยสู่โลกออนไลน์ และ Modern Trade

นอกจากนี้ภายในงานมีจัดโซน “Studio OTOP live streaming” เป็นพื้นที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์ OTOP ผ่านช่องทางการทำตลาดออนไลน์ และมุมเรียนรู้การทำการตลาดออนไลน์ผ่าน e-Commerce platform คือ Learn Live, Rich ให้ผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP เรียนรู้กระบวนการทำการตลาดออนไลน์อีกด้วย

“รัฐบาลเชิญชวนคนไทยร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยสนับสนุนการสร้างโอกาส สร้างอาชีพ และสร้างรายได้ ให้พี่น้องผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP ภายในงานศิลปาชีพประทีปไทย OTOP หลอมดวงใจ ด้วยพระบารมี ภายใต้แนวคิด “จากสองมือคนไทย…สู่หัวใจคนทั้งโลก (From Hand To Heart)” นางสาวศศิกานต์ กล่าว

Advertisement

รัฐบาลมอบทุน ODOS ต่อเนื่อง หนุนพัฒนาคนในทุกช่วงวัย

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 6 สิงหาคม 2568 ผลักดันพัฒนาคนในทุกช่วงวัย รัฐบาลมอบทุน ODOS ต่อเนื่อง สร้าง “สะพานโอกาส” ปูรากฐานประเทศให้มีแรงงานทักษะ คุณภาพสูง ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างอนาคตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน

นางสาวธีราภา ไพโรหกุล รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง เปิดเผยว่า รัฐบาลให้ความสำคัญในเรื่อง “ทุนมนุษย์” ซึ่งเป็นรากฐานที่สำคัญของการพัฒนาประเทศ เดินหน้าเร่งผลักดันให้เกิดการพัฒนาคนไทยทุกช่วงวัยอย่างเต็มกำลังและความสามารถ โดยเฉพาะด้านการศึกษา รัฐบาลได้ดำเนินการโครงการ “ทุนการศึกษาเพื่อขยายโอกาสและพัฒนาประเทศ (ODOS)” ลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงการศึกษา ส่งเสริมการเติบโตและพัฒนาทักษะวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีของเด็กทุกคนอย่างมีคุณภาพและเท่าเทียม โดยให้ทุนการศึกษานักเรียนที่มีผลการเรียนดี มีความประพฤติดี แต่ขาดแคลนโอกาส ให้ได้รับการศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้นในสาขาที่สอดคล้องกับความต้องการของประเทศ

โดยรัฐบาลเตรียมจัดทุน ODOS กว่า 7,200 ทุน ใช้งบประมาณราว 4,500 ล้านบาท เริ่มดำเนินโครงการตั้งแต่ปีงบประมาณ 2568 – 2576 แบ่งออกเป็น 3 ทุน ประกอบด้วย 1) ทุนการศึกษาระดับ ม. ปลาย และ ปวช. ในประเทศเป็นทุนให้เปล่า 4,800 ทุน วงเงิน 990.14 ล้านบาท 2) ทุนการศึกษาระดับ ปวส. และระดับ ป.ตรี ในต่างประเทศ จำนวน 200 ทุน วงเงิน 2,609.31 ล้านบาท (ศึกษาต่อในสหรัฐอเมริกา 60 ทุน สหราชอาณาจักร 50 ทุน และออสเตรเลีย 90 ทุน) (เป็นทุนการศึกษาต่อเนื่องจากทุนประเภทที่ 1) และ 3) ทุนการศึกษาระดับ ป.ตรี ในประเทศ (เป็นทุนการศึกษาต่อเนื่องจากทุนประเภทที่ 1) จำนวน 2,200 ทุน วงเงิน 1,000 ล้านบาท

และในปีนี้ โครงการ ODOS รุ่นที่ 3 รัฐบาลได้จัดสรรทุนเพิ่มเติม 1,200 ทุน ระดับมัธยมศึกษาปีที่ 4 และระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพปีที่ 1 ครอบคลุมโรงเรียน 602 แห่งทั่วประเทศ ที่มีความพร้อมด้าน STEM และภาษาอังกฤษ โดยใช้กลไกระดมทุนผ่านสลากการกุศล ภายใต้วงเงินไม่เกิน 1,000 ล้านบาท ซึ่ง ODOS รุ่นที่ 1 ที่ผ่านมาเปิดรับสมัครเมื่อเดือนกรกฎาคม 2568 มีผู้สมัครยืนยันสิทธิ์แล้วกว่า 1,718 ราย และในจำนวนนี้มากถึง 47.56% เป็นนักเรียนจากครัวเรือนยากจนและยากจนพิเศษ และอีก 52.44% เป็นนักเรียนจากครัวเรือนรายได้น้อยไม่เกิน 12,000 บาทต่อปี และผลการดำเนินงานของทุน ODOS รุ่นที่ 1 มีผู้รับทุนรวมทั้งสิ้น 1,200 คน โดยในรุ่นที่ 3 นี้ คือ ‘สะพานเชื่อมโอกาส’ เพื่อให้เด็กทุกคนที่ขาดแคลน สามารถเข้าเรียนต่อระดับอุดมศึกษาได้อย่างเต็มศักยภาพ

ทั้งนี้ “ทุน ODOS รุ่น 3” ได้ขยายเวลารับสมัครจากเดิมวันที่ 8 สิงหาคม 2568 เป็นวันที่ 15 สิงหาคม 2568 เวลา 17.00 น. ผ่านเว็บไซต์ กสศ. https://scholarshipreg.eef.or.th เพื่อเปิดโอกาสเพิ่มเติมให้กับนักเรียนและสถานศึกษา โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์สู้รบบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา และพื้นที่ประสบภัยธรรมชาติ ซึ่งอาจเผชิญข้อจำกัดในการดำเนินการเสนอชื่อได้ทันตามกำหนดเวลาเดิม

“รัฐบาลมุ่งให้โครงการ ODOS สร้างโอกาส และกระจายไปในทุกอำเภอ ซึ่งโดยวัตถุประสงค์ เนื้อหา และการดำเนินการของโครงการถือเป็นทุนที่ตอบโจทย์ การแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ และให้โอกาสทางการศึกษาอย่างแท้จริง เพื่อพัฒนาประเทศมีความต่อเนื่องและยั่งยืน สอดคล้องกับสถานการณ์โลก และเป็นความมุ่งมั่นของรัฐบาลที่จะทำให้ เด็ก และเยาวชนของไทย มีศักยภาพที่ไม่แพ้ชาติใดในโลก” นางสาวธีราภา กล่าว

Advertisement

ครม.อนุมัติร่างผลิตภัณฑ์อุตฯ กระดาษสัมผัสอาหาร-ปรุงอาหารด้วยความร้อน ต้องมีมาตรฐาน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 5 สิงหาคม 2568 ครม. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกระดาษสัมผัสอาหารต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. …. และร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกระดาษสัมผัสอาหารสำหรับปรุงอาหารด้วยความร้อนต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. ….

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอ ดังนี้ 1) อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกระดาษสัมผัสอาหารต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. ….ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการควบคุมผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกระดาษสัมผัสอาหารต้องเป็นไปตามมาตรฐาน

2) อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกระดาษสัมผัสอาหารสำหรับปรุงอาหารด้วยความร้อนต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. …. ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการควบคุมผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกระดาษสัมผัสอาหารสำหรับปรุงอาหารด้วยความร้อนต้องเป็นไปตามมาตรฐาน

โดยการอนุมัติหลักการทั้งสองร่างดังกล่าว เพื่อให้มีคุณภาพและความปลอดภัยต่อผู้บริโภค ลดความเสี่ยงที่ผู้บริโภคอาจได้รับจากสารเคมีที่เป็นอันตราย และสารก่อมะเร็งที่อยู่ในกระดาษสัมผัสอาหาร รวมทั้งเพื่อป้องกันความเสียหายอันอาจจะเกิดแก่ประชาชน กิจการอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจของประเทศ (มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมใหม่)

ทั้งนี้ หลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกระดาษสัมผัสอาหารต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. … ระบุให้ มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กำหนดคุณลักษณะด้านควานความปลอดภัยของกระดาษ กระดาษแข็ง และภาชนะกระดาษที่ไม่ไม่ไล่สีในเนื้อกระดาษสำหรับใช้กับอาหารทั่วไปและอาหารบรรจุขณะร้อน (hot-fill) ทั้งที่สัมผัสอาหารโดยตรงและไม่สัมผัสอาหารโดยตรง ตามรายละเอียด ดังนี้ กระดาษสัมผัสอาหาร หมายถึง กระดาษ กระดาษแข็ง และภาชนะกระดาษ ที่มีวัตถุประสงค์สำหรับใช้ห่อหุ้ม บรรจุ รวบรวบรวม หรือรองรับอาหาร

ภาชนะกระดาษ หมายถึง ภาชนะซึ่งใช้บรรจุหรือรองรับอาหาร เช่น จาม ชาม ถาด ถ้วย กล่อง ถุง ที่ทำจากกระดาษหรือกระดาษแข็ง รวมถึง รวมภาชนะที่ทำจากเยื่อกระดาษ (molded pulp article) ภาชนะทำจากเยื่อกระดาษ หมายถึง ภาชนะที่เกิดจากการขึ้นรูปเยื่อกระดาษเป็นภาชนะแล้วนำไปทำให้แห้ง

สารเคมีในกระบวนการผลิด หมายถึง สารเคมีทุกชนิดที่ใช้การผลิต ใช้ปรับปรุงคุณสมสมบัติเดิมของกระดาษหรือเพิ่มคุณสมบัติใหม่ให้กับกระดาษ เช่น สารเดิมแต่งเชิงหน้าที่ (functional additive) และสารช่วยในกระบวนการผลิต (production aid) รวมถึงสารที่ช่วยเสริมการทำงานของสารเดิมแต่งเชิงหน้าที่ทำความสะอาดเครื่องจักรผลิตกระดาษสัมผัสอาหาร

ขณะที่ หลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกระดาษสัมผัสอาหารสำหรับปรุงอาหารด้วยความร้อนต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. …. ระบุให้ มาตรการผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กำหนดคุณลักษณะด้านความปลอดภัยของกระดาษ กระดาษแข็ง และภาชนะกระดาษที่ทำจากเยื่อบริสุทธิ์ผสมเส้นใยสังเคราะห์ไม่ใส่สีในเนื้อกระดาษ สำหรับใช้สัมผัสอาหาร เพื่อกรองของหลวร้อน อุ่นอาหาร หรือปรุงอาหาร ที่อุณหภูมิไม่เกิน 220 องศาเซลเซียส

Advertisement

เตือน “โรคไข้ดิน” อันตราย เกษตรกร-รับจ้างทั่วไปเสี่ยงมากสุด

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 1 สิงหาคม 2568 รัฐบาล เตือน “โรคไข้ดิน” อันตราย ป่วยแล้ว 2,036 ราย เสียชีวิต 92 ราย พบอาชีพเกษตรกรและรับจ้างทั่วไปเสี่ยงมากสุด โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคอีสาน เน้นย้ำประชาชนดูแลสุขภาพตามคำแนะนำของแพทย์

นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ช่วงฤดูฝน นอกจากโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจแล้ว ประชาชนยังต้องระมัดระวังโรคอื่นด้วย ซึ่งข้อมูลจากกรมควบคุมโรค รายงานว่ามีประชาชนป่วยเป็นโรคเมลิออยโดสิส หรือโรคไข้ดินแล้ว จำนวน 2,036 ราย เสียชีวิต 92 ราย อัตราป่วยตายอยู่ที่ 4.52% โดยผู้ป่วยพบมากในอาชีพเกษตรกร และรับจ้างทั่วไป พบผู้ป่วยได้ทั่วประเทศ แต่จะสูงสุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นเพศชาย อายุเฉลี่ย 58 ปี ผู้เสียชีวิตจะมีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน ไตวาย และพิษสุราเรื้อรัง ซึ่งผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูง หายใจหอบเหนื่อย โดยปัจจัยรับเชื้อเกิดจากการสัมผัสพื้นดิน พื้นน้ำโดยไม่สวมอุปกรณ์ป้องกัน

ขณะที่ โรคเลปโตสไปโรสิส หรือไข้ฉี่หนู พบผู้ป่วยสะสม 1,895 ราย เสียชีวิต 25 ราย อัตราป่วยตาย 1.32% เป็นโรคที่พบมากในฤดูฝน เนื่องจากการลุยน้ำโดยไม่สวมอุปกรณ์ป้องกัน ซึ่งปีนี้พบผู้ป่วยสูงกว่าค่ามัธยฐาน 5 ปีย้อนหลัง โดยผู้ป่วยพบมากในอายุ 60 ปีขึ้นไป เช่นเดียวกับกลุ่มที่เสียชีวิต ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีน้ำท่วมหลายจังหวัด ขอให้ประชาชนป้องกันตนเองไม่ให้รับเชื้อ เลี่ยงการลุยน้ำ แช่น้ำ แต่ถ้าจำเป็นต้องสวมรองเท้าป้องกัน เป็นรองเท้าบู๊ทและสวมถุงมือ พร้อมทั้งล้างมือบ่อย ๆ

“รัฐบาล ห่วงใยสุขภาพพี่น้องประชาชน กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ ให้เฝ้าระวังติดตามและประเมินสถานการณ์โรค และภัยสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นในช่วงฤดูฝนและพื้นที่หลังน้ำลดอย่างต่อเนื่อง เพื่อจัดเตรียมแผนเผชิญเหตุ และสนับสนุนทีมเฝ้าระวังสอบสวนเคลื่อนที่เร็ว ร่วมปฏิบัติงานกับหน่วยงานในพื้นที่กรณีเกิดการระบาดของโรค รวมถึงเร่งสื่อสารประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ในการป้องกันโรคแก่ประชาชนในพื้นที่ที่ประสบปัญหาดังกล่าว ทั้งนี้ ประชาชนสามารรถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422” นายอนุกูล ระบุ

Advertisement

รัฐบาลเชิญชวนประชาชนแจ้งเตือนข่าวปลอม ภัยออนไลน์ เบาะแสยาเสพติด ผ่านแอปฯ “ทางรัฐ”

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 31 กรกฎาคม 2568 รัฐบาลเชิญชวนประชาชนแจ้งเตือนข่าวปลอม ภัยออนไลน์ เบาะแสยาเสพติด ผ่านแอปฯ “ทางรัฐ” ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยี

นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับปัญหาการหลอกลวงทางสื่อออนไลน์ และการแจ้งเตือนภัยจากการหลอกลวงทางสื่อออนไลน์และข่าวปลอม แก่ประชาชน โดยยกระดับการบรรเทาผลกระทบจากปัญหาการหลอกลวงทางสื่อออนไลน์และข่าวปลอมที่สร้างความเสียหายต่อประชาชน ผ่านแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้บริการแจ้งเตือนข่าวปลอม – ภัยออนไลน์ ได้สะดวก รวดเร็วมากยิ่งขึ้น

โดยมีบริการประกอบด้วย

1.บริการข้อมูลความรู้ด้านดิจิทัล ซึ่งประชาชนสามารถนำไปปรับใช้กับชีวิตประจำวัน เตรียมความพร้อมเข้าสู่การเป็นพลเมืองดิจิทัล

2.บริการข้อมูลข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับข่าวปลอม การแจ้งเตือนภัยจากการหลอกลวงทางสื่อออนไลน์ และข่าวปลอม

3.สนับสนุนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการนำระบบงานจัดเก็บข้อมูลแอปฯ Cyber Community Thailand ให้สามารถใช้บริการผ่านแอปฯ “ทางรัฐ” โดยมีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เหมาะสมในการเข้าถึงบริการของประชาชน และการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงาน

การให้ความรู้ด้านดิจิทัล การแจ้งเตือนข่าวปลอม และภัยออนไลน์ ผ่านแอปฯ “ทางรัฐ” ถือเป็นหนึ่งในช่องทางที่สามารถเข้าถึงประชาชนได้ทั่วประเทศ ซึ่งช่วยให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลในการป้องกันตัวเองจากภัยคุกคามทางออนไลน์ ลดความเสี่ยงการตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ และสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่ประชาชน สำหรับแอปฯ ทางรัฐ มีบริการภาครัฐกว่า 179 บริการ รวมถึงบริการประเภทแจ้งเรื่องร้องเรียนต่าง ๆ อาทิ ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล 1111 แจ้งเรื่องร้องทุกข์หรือแจ้งเบาะแสกับศูนย์ดำรงธรรม กระทรวงมหาดไทย 1567 การแจ้งเหตุคดีพิเศษ DSI 1202 หรือ แจ้งอายัดบัญชีธนาคาร เป็นต้น

นอกจากนี้ ประชาชนสามารถแจ้งข้อมูลเบาะแสข่าวผ่านแอปฯ “Cyber Community Thailand” เพื่อป้องกันภัยจากข่าวปลอม และจากการหลอกลวงทางสื่อออนไลน์ และร่วมกันแก้ไขปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยดาวน์โหลดแอปฯ “ทางรัฐ” และแอปฯ “Cyber Community Thailand” ผ่านทาง App Store สำหรับผู้ใช้ iOS และ Google Play Store สำหรับผู้ใช้ Android”

Advertisement

Verified by ExactMetrics