วันที่ 17 เมษายน 2024

ภาคท่องเที่ยวชื่นชมเป็นรัฐบาลแรกออกมาตรการฟรีวีซ่า

People Unity News : 13 กันยายน 2566 ภาคท่องเที่ยวเอกชนเฮ มาตรการฟรีวีซ่า โดยเฉพาะตลาดจีน อย่างสมาคมไทยธุรกิจท่องเที่ยว ชื่นชมเป็นรัฐบาลแรกที่ออกมาตรการฟรีวีซ่าให้จีน คิดเร็ว ทำเร็ว เชื่อดึงนักท่องเที่ยวจีนเข้าไทยเพิ่มกว่า 20%

นายศิษฎิวัชร ชีวรัตนพร นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) กล่าวว่า ต้องขอบคุณนายกรัฐมนตรี ที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวด้วยมาตรการฟรีวีซ่าสำหรับจีน ระหว่างวันที่ 25 กันยายน 2566 – 29 กุมภาพันธ์ 2567 เป็นการยกเว้นชั่วคราว เพราะถือว่าเป็นมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวที่ดีมาก และถือเป็นรัฐบาลแรกที่ทำนโยบายนี้ เพราะที่ผ่านมาเคยมีแต่งดค่าธรรมเนียมวีซ่า แต่วีซ่ายังต้องทำอยู่ แต่รัฐบาลนี้ไม่ต้องทำวีซ่า เพียงใช้พาสปอร์ต ถือว่านายกรัฐมนตรีคิดเร็ว ทำเร็ว ล่าสุดผู้ประกอบการท่องเที่ยวที่จีนสอบถามเข้ามาเยอะ เชื่อว่าจะได้นักท่องเที่ยวคุณภาพเข้ามามากขึ้น น่าจะมีลุ้นให้นักท่องเที่ยวจีนถึงเป้า 5 ล้านคนในปีนี้ ตอนนี้จีนเข้ามาราว 3 แสนคน/เดือน เชื่อว่ามาตรการฟรีวีซ่าชั่วคราว น่าจะดึงนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาเพิ่มได้ถึง 20% และจะได้กลุ่มนักท่องเที่ยวที่ตัดสินใจด่วนๆ อยากมาเที่ยวไทยเข้ามาได้เลย และเป็นกลุ่มที่มีกำลังจ่ายสูง รวมทั้งได้กรุ๊ปทัวร์คุณภาพเข้ามามากขึ้นด้วย พร้อมมองว่า การออกมาตรการฟรีวีซ่า เป็นการกระตุ้นอย่างดีกับตลาดจีน เพราะทำให้นักท่องเที่ยวจีนรู้สึกว่าประเทศไทยให้เกียรติ เพราะคนจีนถือเรื่องนี้เป็นสำคัญ ปัจจุบันตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนเข้าไทย จำนวน 2,284,281 คน และเดินทางเข้าไทยเป็นอันดับ 2

ขณะเดียวกัน รัฐบาลต้องเร่งแก้ปัญหาเรื่องข่าวลบ เพราะกระแสโซเชียลจีน หรือติ๊กต็อกจีนตอนนี้ ค่อนข้างเป็นไปในทิศทางลบว่ามาเมืองไทยไม่ปลอดภัยหลายๆ ด้าน เช่น หากมาไทยอาจจะเจอลักพาตัว ถูกขโมยไตไปขาย เจอหลอกลวงมากมาย ซึ่งการแก้ข่าวเร็วที่สุด คือ นายกรัฐมนตรีต้องเดินทางเยือนจีน เพื่อสร้างสัมพันธไมตรี และไปชี้แจงด้วยตัวเอง เพื่อสร้างความเชื่อมั่น เชิญอินฟลูเอนเซอร์ของจีนมาเที่ยวไทย และกลับไปสร้างภาพลักษณ์ที่ดีว่า เมืองไทยไม่ได้น่ากลัวอย่างที่มีข่าวลือ การแก้ปัญหาข่าวลบของไทยทางโซเชียลจีน คือหัวใจสำคัญ เพราะคนจีนดูเยอะและเข้าใจผิด

นอกจากนี้ มองว่า การที่รัฐบาลให้ฟรีวีซ่ากับคาซัคสถานด้วย ถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะนักท่องเที่ยวคาซัคสถานเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง พักโรงแรมระดับ 4 ดาว ถึง 5 ดาว การให้ฟรีวีซ่าจะเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวได้มากขึ้น ที่สำคัญสร้างความรู้สึกที่ดี เพราะคาซัคสถานติดกับรัสเซีย และรัสเซียก็ได้ฟรีวีซ่าเข้าไทย

Advertisement

การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พร้อมรับนโยบายรัฐบาล ลดค่าไฟ 

People Unity News : 8 กันยายน 2566 การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พร้อมรับนโยบายรัฐ ลดค่าไฟ-รับนักท่องเที่ยว

นายศุภชัย เอกอุ่น ผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) กล่าวว่า ในโอกาสครบรอบ 63 ปี สถาปนาการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค วันที่ 28 กันยายน 2566 PEA เดินหน้า ตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้เกิดความพึงพอใจทั้งด้านคุณภาพและบริการ ตอบสนองวิสัยทัศน์ “ไฟฟ้าอัจฉริยะ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน” (SMART ENERGY FOR BETTER LIFE AND SUSTAINABILITY) บริหารจัดการพลังงานไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพด้วยระบบไฟฟ้าอัจฉริยะ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อยู่คู่กับชุมชนอย่างยั่งยืน มุ่งเน้นการเป็นระบบดิจิทัลรองรับพลังงานสะอาด พลังงานแห่งอนาคตสู่ประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้า ขับเคลื่อนการส่งเสริมอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ รวมถึงรองรับการเติบโตของยานยนต์ไฟฟ้า สร้างสังคมสีเขียวสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน

“ตลอด 63 ปี PEA ดำเนินการตอบสนองความต้องการใช้ไฟฟ้าของประชาชน 74 จังหวัด ครอบคลุมผู้ใช้ไฟฟ้า 21 ล้านครัวเรือนให้มีไฟฟ้าใช้เพียงพอ แก้ไขปัญหาไฟตก-ไฟดับอย่างรวดเร็ว และนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพื่อบริการให้ทันเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น อีวี และพร้อมสนองตอบแนวโนโยบายของรัฐบาลหากชัดเจนเรื่องลดค่าไฟฟ้า ก็สามารถจัดทำบิลได้อย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับการพัฒนาระบบไฟฟ้า ให้มั่นคงเพียงพอ รองรับนักท่องเที่ยวที่รัฐบาลมีแผนส่งเสริมอย่างเต็มที่” นายศุภชัยกล่าว

สำหรับการขับเคลื่อนไฟฟ้าอัจริยะ วางไว้ด้วยแนวทาง 3 SMART ได้แก่ SMART ENERGY, SMART ENVIRONMENT, SMART MOBILITY ในการขับเคลื่อนไปสู่ DIGITAL GRID & GREEN ENERGY

1.SMART ENERGY PEA มุ่งเน้นให้เกิดนวัตกรรมด้านพลังงานใหม่และส่งเสริมการพัฒนาด้านพลังงาน รวมทั้งผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนมากยิ่งขึ้น เพื่อมุ่งสู่พลังงานสะอาดและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์

SMART GRID : ระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ นำเทคโนโลยีมาผสมผสานกับระบบไฟฟ้า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้ระบบไฟฟ้า โดยประเทศไทยวางแผนระยะยาว 20 ปี ตั้งแต่ปี 2558 – 2579 ที่ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและสื่อสารมาบริหารจัดการควบคุม การผลิต ส่ง และจ่ายพลังงานไฟฟ้า รองรับการเชื่อมต่อระบบผลิตไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานทางเลือกที่กระจายอยู่ทั่วไปมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งให้บริการกับผู้เชื่อมต่อกับโครงข่ายผ่านมิเตอร์อัจฉริยะ (AMI : ADVANCE METERING INFRASTRUCTURE) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มั่นคง ปลอดภัย เชื่อถือได้ มีคุณภาพตามมาตรฐานสากล

มิเตอร์อิเล็กทรอนิกส์ : PEA ดำเนินการสับเปลี่ยนทดแทนมิเตอร์จานหมุนให้ผู้ใช้ไฟฟ้าทั่วประเทศ จำนวนกว่า 19 ล้านราย ทั่วประเทศ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งมิเตอร์อิเล็กทรอนิกส์สามารถจดหน่วยในระยะไกลด้วยระบบ Bluetooth รูปลักษณ์ที่ทันสมัย หน้าจอแสดงผลแบบดิจิทัลอ่านค่าง่าย ชัดเจน แม่นยำ เก็บประวัติการใช้ไฟฟ้าได้ รองรับการซื้อขายไฟฟ้าในอนาคต

PEA SOLAR : ส่งเสริมการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ช่วยลดค่าไฟฟ้า ติดตั้งบนหลังคา (SOLAR ROOFTOP) มีขั้นตอนที่สะดวก รวดเร็ว ครบวงจร มีผู้เชี่ยวชาญด้านระบบไฟฟ้า มีสำนักงาน PEA ครอบคลุมทั่วประเทศ พร้อมให้คำแนะนำทุกขั้นตอน

PEA WISE ENERGY : ระบบกักเก็บพลังงานไฟฟ้าประสิทธิภาพสูง ประกอบด้วย ไฮบริดอินเวอร์เตอร์ และลิเธี่ยมแบตเตอรี่ เป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับแปลงพลังงานไฟฟ้าที่ได้จากแผงโซล่าเซลล์มาใช้เป็นไฟฟ้าภายในบ้านได้ตลอด 24 ชั่วโมง

PEA VOLTA : อำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้อีวีตามแนวคิด “ครอบคลุมทั่วไทย ชาร์จมั่นใจทุกเส้นทาง” ในปี 2566 จะมีสถานี 413 สถานี ครบ 75 จังหวัดทั่วประเทศ และเปิดบริการเครื่องอัดประจุยานยนต์ไฟฟ้าพิกัดสูง (EV SUPER CHARGE) ขนาด 360 kW ซึ่งเป็นเครื่องอัดประจุพิกัดสูงที่สุดในประเทศไทย (SUPER CHARGE) และให้บริการ Network Operator กรณีที่ผู้ประกอบการลงทุนในเครื่องอัดประจุ สามารถนำเครื่องอัดประจุดังกล่าวมาให้บริการผ่าน Platform PEA Volta รวมถึง การ Roaming ระหว่างเครือข่าย

DC Wallcharge : เครื่องอัดประจุไฟฟ้ากระแสตรงขนาด 25 kW เชื่อมต่อกับระบบบริหารจัดการ PEA VOLTA Platform เพื่อให้บริการอัดประจุไฟฟ้าให้กับยานยนต์ไฟฟ้าในรูปแบบการใช้งานในครัวเรือน ทำให้ประชาชนเป็นเจ้าของสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าได้ง่ายขึ้น มุ่งสู่การให้บริการกลุ่มลูกค้าใหม่หรือธุรกิจใหม่ โดยติดตั้งในพื้นที่สาธารณะ เช่น ส่วนกลางของหมู่บ้าน พื้นที่จอดรถในห้างสรรพสินค้า โรงงานอุตสาหกรรม หรืออาคารธุรกิจขนาดเล็ก เตรียมความพร้อมให้บริการสถานีอัดประจุไฟฟ้าข้ามโครงข่าย (EV ROAMING) ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน โดยผู้ใช้ยานยนต์ไฟฟ้า ไม่จำเป็นต้องลงทะเบียนใช้งานแอปพลิเคชัน

2.SMART ENVIRONMENT

PEA ให้ความสำคัญในการดำเนินการรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม มุ่งเน้นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ควบคู่ไปกับการพัฒนาและส่งเสริมโครงการที่ยกระดับคุณภาพชีวิตของสังคมและชุมชน โดยมีการให้บริการใน 2 รูปแบบคือ ESCO MODEL : การบริหารจัดการด้านพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ PEA เป็นผู้ลงทุน เพื่อช่วยลดต้นทุนพลังงานส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนและการอนุรักษ์พลังงานในหน่วยงานภาครัฐ สถาบันการศึกษา โรงพยาบาล รวมทั้งภาคเอกชนต่างๆ ทั่วประเทศ

EPC MODEL (Engineering Procurement and Construction) : การให้บริการติดตั้งโซลาร์เซลล์แบบเบ็ดเสร็จ ทั้งด้านการออกแบบทางวิศวกรรม การติดตั้งโครงสร้างระบบโซลาร์เซลล์ ซึ่งเจ้าของพื้นที่ลงทุนเอง ด้วยทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญ และอำนวยความสะดวกโดยร่วมกับพันธมิตรธนาคารจำนวน 6 แห่ง เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนในอัตราดอกเบี้ยพิเศษให้กับเจ้าของพื้นที่

3.SMART MOBILITY

PEA พัฒนาช่องทางดิจิทัลสำหรับบริการลูกค้าผ่านช่องทาง PEA Smart Plus และ PEA e-Service ตอบสนองพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป มุ่งเน้นให้บริการที่มีประสิทธิภาพด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย สะดวก ง่ายต่อการใช้งาน ได้แก่ PEA Smart Plus บริการครบจบใน APP เดียว อาทิ ชำระค่าไฟฟ้า ประวัติการใช้ไฟฟ้าย้อนหลัง แจ้งไฟฟ้าขัดข้อง ขอใช้ไฟฟ้า คำนวณค่าไฟฟ้า ตั้งค่าแจ้งเตือนค่าไฟฟ้า ตรวจสอบค่าไฟฟ้า เพิ่มการให้บริการรับชำระเงินผ่าน Application เช่น ค่าเช่าหม้อแปลง ค่าขยายเขต ค่าพาดสายสื่อสาร ค่าตรวจสอบและบำรุงรักษาหม้อแปลง เป็นต้น

PEA e-Service อำนวยความสะดวกในการให้บริการผ่านเว็บไซต์ www.pea.co.th อาทิ ขอรับใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ ชำระค่าไฟฟ้า ขอใช้ไฟฟ้า สอบถามประวัติการใช้ไฟฟ้า

PEA พร้อมขับเคลื่อนสู่องค์กรไฟฟ้าอัจฉริยะ พัฒนาองค์กรอย่างต่อเนื่องด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม มุ่งมั่นให้บริการพลังงานไฟฟ้าและธุรกิจเกี่ยวเนื่องครบวงจรและมีประสิทธิภาพ มั่นคง ปลอดภัย เชื่อถือได้ สร้างสังคมสีเขียวสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน

Advertisement

เอกชนเชื่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรัฐบาลเศรษฐา 1 น่าจะทำได้จริง

People Unity News : 5 กันยายน 2566 ภาคเอกชนมั่นใจแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจด้านต่างๆของรัฐบาลเศรษฐา 1 จะทำให้เศรษฐกิจกลับมาดีขึ้นในปีหน้าโตแน่ไม่ต่ำกว่า 5% ย้ำขอให้เดินหน้าเต็มที่ แม้จะเจอปัญหาภาคการส่งออกแต่เชื่อว่าหากร่วมมือทั้งภาครัฐและเอกชนเป็นทีมเดียวกันโอกาสส่งออกไทยปีหน้าก็จะกลับมาบวกเช่นกัน

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยกล่าวว่า ภาคเอกชนได้รับรู้และรับทราบถึงแนวทางปฏิบัติของรัฐบาลเศรษฐา 1 ที่จะประกาศใช้ในเร็ววันนี้ ไม่ว่าจะเป็นมาตรการด้านการท่องเที่ยว ผ่านมาตรการฟรีวีซ่าเพื่อดึงนักท่องเที่ยวสำคัญอย่างชาวจีนมาเที่ยวที่เมืองไทยที่จะสร้างรายได้ให้กับไทยหลายหมื่นล้านบาท รวมทั้งยังสร้างกิจกรรมให้กับภาคธุรกิจทั้งท่องเที่ยวและต่อเนื่องได้เป็นอย่างดี

นอกจากนี้ แนวทางลดค่าครองชีพให้กับประชาชนลดค่าน้ำมันและไฟฟ้ารวมทั้งอื่นๆลงเพื่อช่วยให้ผู้มีรายได้น้อยสามารถยืนต่อไปได้ และถึงแม้ภาคเอกชนมีความเป็นห่วงเกี่ยวกับโครงการดิจิตอลวอลเล็ต 1 หมื่นบาทต่อคนที่จะใช้เม็ดเงินมากกว่า 5 แสนล้านบาท แต่เห็นว่าแนวทางนี้รัฐบาลที่มาจากพรรคเพื่อไทยน่าจะสามารถดำเนินการได้สำเร็จ โดยโครงการนี้ถือเป็นสิ่งที่ผู้มีรายได้น้อยต้องการเพื่อดำรงชีพต่อไปได้ และหากรัฐบาลสามารถทำตรงนี้ได้สำเร็จพร้อมทั้งมีแนวทางบริหารประเทศที่ชัดเจนก็เชื่อว่านักลงทุนจากต่างประเทศจะหันกลับเข้ามาลงทุนในประเทศไทยแน่นอน

“ข้อเสนอเร่งด่วนด้านเศรษฐกิจของหอการค้าฯ ได้แก่ 1.การแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชน ผ่านนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ นโยบายลดค่าครองชีพ และลดต้นทุนภาคเอกชน 2.ส่งเสริมภาคการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจไทยในไตรมาสสุดท้ายและเป็นช่วงฤดูท่องเที่ยว และ 3. การเร่งเบิกจ่ายงบประมาณที่ยังค้างท่อ และเร่งจัดทำงบประมาณรายจ่าย 2567 เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการขับเคลื่อนแผนงานต่างๆ รวมทั้งเร่งสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุน ภายใต้การทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดระหว่างภาครัฐและเอกชน ผ่านกลไก กรอ. ทุกระดับ เพื่อผลักดัน GDP ปีนี้ให้สามารถเติบโตได้มากกว่า 3% และเป็นแรงส่งต่อให้ GDP ปีหน้าเติบโตได้ 5%” นายสนั่นกล่าว

ขณะที่ภาคการส่งออกของไทยในปีนี้ ยอมรับว่าปีนี้มีหลายปัจจัยที่กระทบทำให้ยอดการส่งออกของไทยไม่ดีนักและคาดว่าปีนี้ยอดส่งออกน่าจะติดลบประมาณ 2% แต่ในปี 67 เมื่อภาครัฐและเอกชนมาประชุมร่วมกันเพื่อเตรียมแผนการผลักดันการส่งออกแบบเจาะตลาดเชิงรุกโดยเฉพาะในกลุ่มตะวันออกกลาง อียูและตลาดใหม่ๆก็เชื่อว่าโอกาสตัวเลขการส่งออกไทยในปี 67 ก็จะมาเป็นบวกได้แน่นอนและขณะนี้อยู่ในระหว่างการนัดหมายพบกับนายภูมิธรรม เวชยชัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เพื่อจะได้กำหนดแนวทางร่วมกันผลักดันการส่งออกของไทยในปี 67 ได้ต่อไป

Advertisement

รัฐบาล เร่งแก้หนี้ครัวเรือน ไกล่เกลี่ยแพ่งสำเร็จ 53,030 เรื่อง

People Unity News : 19 สิงหาคม 2566 ทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาล เผยผลสำเร็จแก้ไขปัญหาหนี้สินครัวเรือน ดำเนินการไกล่เกลี่ยสำเร็จ ทางแพ่ง 53,030 เรื่อง ลดค่าใช้จ่ายประชาชน 6,887,960,640 บาท ทางอาญา 353 เรื่อง ลดต้นทุนภาครัฐ 27,044,036 บาท

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยผลสำเร็จการแก้ไขปัญหาหนี้สินครัวเรือน ตามนโยบายของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ว่า นับแต่พระราชบัญญัติการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท พ.ศ. 2562 มีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2562 รัฐบาล โดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม ได้ขับเคลื่อนการดำเนินงานตามกฎหมาย เพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินครัวเรือน ดังนี้ ฝึกอบรมผู้ไกล่เกลี่ย 2,708 คน ขึ้นทะเบียนผู้ไกล่เกลี่ย 4,656 คน เปิดหน่วยบริการไกล่เกลี่ย 1,963 แห่ง (หน่วยงานของรัฐ 82 แห่ง และศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน 1,881 แห่ง) ดำเนินการไกล่เกลี่ยสำเร็จ แบ่งเป็น ข้อพิพาททางแพ่ง 53,030 เรื่อง ลดค่าใช้จ่ายประชาชน 6,887,960,640 บาท ข้อพิพาททางอาญา 353 เรื่อง ลดต้นทุนภาครัฐ 27,044,036 บาท

นางสาวรัชดา กล่าวว่า ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ร่วมมือกับกรมบังคับคดีสำนักงานยุติธรรมจังหวัด ศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา และสถาบันการเงินจัดมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้สินครัวเรือน และยุติธรรมพบประชาชน ในพื้นที่ 76 จังหวัดทั่วประเทศ ดำเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทก่อนฟ้องให้แก่ประชาชนที่เป็นหนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา หนี้เช่าซื้อรถยนต์ หนี้สินข้าราชการ หนี้บัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคล จำนวน 45,958 ราย ไกล่เกลี่ยสำเร็จ 44,735 เรื่อง ทุนทรัพย์ที่ไกล่เกลี่ย 6,465 ล้านบาท ลดค่าใช้จ่ายประชาชน 5,810 ล้านบาท

“รัฐบาล มุ่งแก้ไขปัญหา บรรเทาความเดือนร้อนของพี่น้องประชาชน ให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และอำนวยความสะดวกให้ประชาชนเข้าถึงการแก้ไขปัญหา โดยได้จัดตั้งศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนให้ครอบคลุมระดับตำบล ปรับปรุงและพัฒนากฎหมายให้นำกระบวนการไกล่เกลี่ยมาใช้ก่อนฟ้องคดีต่อศาล เพิ่มทุนทรัพย์ทางแพ่งและความผิดทางอาญาให้ดำเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทได้มากขึ้น รวมถึงจัดตั้งหน่วยงานระดับกรมรองรับภารกิจไกล่เกลี่ยข้อพิพาทก่อนฟ้องคดีและหลังศาลพิพากษา ขอเชิญชวนประชาชนที่มีคดีพิพาทก่อนฟ้อง และหลังศาลมีคำพิพากษา ร่วมไกล่เกลี่ยหนี้สินครัวเรือน ตอบโจทย์การแก้ไขหนี้สิน หนี้ กยศ. หนี้บัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อรถยนต์ ร่วมกันหาทางออก ฝ่าวิกฤติ สร้างโอกาส ก้าวไปด้วยกัน โดยส่วนกลาง จัดขึ้นทุกวันเสาร์สัปดาห์ที่ 2 ของทุกเดือน ณ อาคารกระทรวงยุติธรรม (แห่งใหม่) ถนนแจ้งวัฒนะ หล้กสี่” นางสาวรัชดา ระบุ

Advertisement

สัปดาห์ที่แล้วจีนเที่ยวไทยร่วมแสนคน

People Unity News : 10 สิงหาคม 2566 รองโฆษกรัฐบาล เผยนายกฯ พอใจนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยต่อเนื่อง เฉพาะสัปดาห์ที่แล้วจีนมาร่วมแสน รัฐบาลเตรียมอำนวยความสะดวกลดขั้นตอนตรวจลงตรา จัดกิจกรรมดึงดูด สร้างความประทับใจ

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีที่นักท่องเที่ยวต่างชาติมาเยือนไทยจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงวันหยุดยาว 31 กรกฎาคม – 6 สิงหาคม 2566 เฉลี่ยวันละกว่า 8 หมื่นคน โดยยอดนักท่องเที่ยวสะสมแตะ 16 ล้านคนแล้ว พบ 5 ประเทศที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาไทยจำนวนสูงสุด ได้แก่ มาเลเซีย จีน เกาหลีใต้ อินเดีย และรัสเซีย ขอบคุณทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำงานสนับสนุนนโยบาย อำนวยความสะดวก กระตุ้นจำนวนนักท่องเที่ยว

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รายงานว่า ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 จนถึงปัจจุบัน เกิดการสร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้ว 663,862 ล้านบาท ซึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวจากจีนเป็นนักท่องเที่ยวที่เข้ามาไทยมากที่สุด จำนวน 95,581 คน รองลงมา ได้แก่ มาเลเซีย 73,810 คน เกาหลีใต้ 37,754 คน อินเดีย 27,707 คน และเวียดนาม 25,717 คน สะท้อนให้เห็นว่า ไทยยังคงเป็นจุดหมายสำคัญที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ

น.ส.รัชดา กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากจีน โดยกระทรวงการต่างประเทศได้เพิ่มความสะดวกในการขอรับการตรวจลงตราเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว ซึ่งได้ลดขั้นตอนเพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว โดยได้ปรับลดเอกสารประกอบการยื่นขอรับการตรวจลงตราประเภทท่องเที่ยว พร้อมกับลดระยะเวลาการพิจารณาการตรวจลงตราเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวไทย โดยเฉพาะจากกลุ่มนักท่องเที่ยวจีน ได้แก่ (1) ลดเอกสารประกอบการยื่นขอรับการตรวจลงตราประเภทท่องเที่ยวเหลือเพียง 6 รายการ ประกอบด้วย 1) หน้าหนังสือเดินทาง 2) รูปถ่าย 3) บัตรโดยสารเครื่องบิน 4) ที่พัก 5) เอกสารยืนยันที่อยู่ และ 6) หลักฐานทางการเงิน และ (2) ลดระยะเวลาการพิจารณาอนุมัติการตรวจลงตราจาก 14 วันทำการ เหลือ 7 วันทำการ

“กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย อยู่ระหว่างการจัดทำระบบเชื่อมโยงข้อมูลตรวจสอบเอกสารประกอบการขอรับการตรวจลงตรา ซึ่งจะช่วยให้การตรวจสอบและการพิจารณาอนุมัติการตรวจลงตรามีความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ รัฐบาลให้ความสำคัญกับการอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว ซึ่งทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลอย่างดี จนตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาไทยมีจำนวนเพิ่มขึ้น เป็นไปตามคาดการณ์ และแม้ในช่วงนอกฤดูกาล ก็ยังมีตัวเลขนักท่องเที่ยวที่น่าพอใจ จากการดำเนินนโยบายการจัดกิจกรรมสนับสนุนการท่องเที่ยวที่สอดรับกับความสนใจของนักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมถึงความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการนำเสนอความงดงามของประเทศ และไมตรีภาพที่มีต่อผู้มาเยือน ซึ่งจากผลการสำรวจของเว็บไซต์ด้านการท่องเที่ยวชั้นนำ ประเทศไทยอยู่ในความสนใจอันดับต้นของนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างต่อเนื่อง” รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว

Advertisement

พล.อ.ประยุทธ์​ ชมพรรณไม้เมืองหนาว จ.ระยอง ยันเดินหน้าทุกโครงการเพื่ออนาคต

People Unity News : 9 สิงหาคม 2566 นายกฯ ​ยิ้ม หลังชมพรรณไม้เมืองหนาว จ.ระยอง ยันเดินหน้าทุกโครงการเพื่ออนาคต ไม่มีเลือกที่รักมักที่ชัง บอก​ไม่ขอออกความเห็นการเมือง​ พ้อเป็นคนไม่สำคัญ​ ไม่ทราบเพื่อไทยประกาศสลายขั้ว ตั้งรัฐบาลพิเศษ

พล.อ.ประยุทธ์​ จันทร์โอชา​ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และคณะ เดินทางมายังโครงการนำพลังงานความเย็นเหลือใช้จากการเปลี่ยนสถานะของก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการปลูกพืชเมืองหนาว ต่อยอดด้านการเกษตรเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ที่อาคารนิทรรศน์พรรณพฤกษา อ.เมืองระยอง จ.ระยอง ซึ่งจุดนี้มีนายสาธิต​ ปิตุเตชะ​ รัฐมนตรี​ช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข​ ในฐานะรักษาการรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ​ร่วมคณะด้วย

ทันทีที่ พล.อ.ประยุทธ์ และคณะ เดินทางมาถึง ได้ทักทายสื่อมวลชน โดยระบุว่า​มีความสุขจริงๆ เย็นดีเหลือเกิน​ มิน่าไม่เห็นเลยพวกนี้ ซึ่งภายในอาคารมีการควบคุมอุณหภูมิอยู่ที่ 15 องศาเซลเซียส​ จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ได้ขึ้นไปบริเวณห้องรับฟังบรรยายสรุปการดำเนินการ​ ก่อนจะลงมาร่วมถ่ายรูปกับดอกไม้ภายในอาคาร

หลังจากนั้น พล.อ.ประยุทธ์​ ได้ให้​สัมภาษณ์​ถึงการลงพื้นที่ตรวจราชการในครั้งนี้ว่า ตนได้รับรายงานมาโดยตลอด ซึ่งทั้งหมดเป็นความร่วมมือร่วมใจของเราที่ทำกันมาหลายปีด้วยกันตั้งแต่รัฐบาลที่ผ่านมาครั้งแรก เพราะเราคิดว่าจะทำอย่างไรให้ประเทศไทยเดินหน้าไปได้ ซึ่งต้องส่งเสริมการลงทุนทั้งในและต่างประเทศให้มีความพร้อม เลยต้องเตรียมโครงสร้างพื้นฐานทั้งทางบก ทางเรือ​ ทางอากาศ ให้พร้อม เพราะจะเป็นแรงจูงใจให้ต่างประเทศเข้ามาลงทุน จากการดำเนินการมีความก้าวหน้าไปมาก​ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราจะต้องพัฒนาและเข้าใจร่วมกัน และตนไม่อะไรกับใครเลย เพียงแต่ขอความเข้าใจว่าจะต้องเดินหน้าประเทศกันไปอย่างไร​ เพื่อเดินหน้าสู่อนาคต​

“ตนถึงบอกว่าวันนี้ต้องมีอดีต ปัจจุบัน และอนาคต อดีตไม่ดีก็อย่าทำ อะไรที่ดีทำซะ ทำต่อเนื่อง ทำต่อไป ปัจจุบันคือทำให้คนรุ่นหลังเพื่ออนาคต ซึ่งใครมีหน้าที่ตรงนี้ก็ต้องมองทั้ง 3 อย่าง เราเลือกที่รัก​มักที่ชัง​ใครไม่ได้ เพราะคนไทยทั้งหมด 70 ล้านคน เพราะฉะนั้นเราต้องทำให้เขาทั้งหมด ไม่ว่าจะมากจะน้อยก็แล้วแต่ศักยภาพที่เรามีอยู่​ พร้อมขอสื่อมวลชนอย่าถามเลยเรื่องเก่าๆ​ เรื่องในอดีต​ ตนยังไม่ตอบ วันนี้พูดถึงอนาคตแล้ว” นายกรัฐมนตรี กล่าว

เมื่อสื่อมวลชนถามว่าแล้วปัจจุบันเป็นอย่างไร พล.อ.ประยุทธ์​ ถามกลับสื่อมวลชนว่า “ปัจจุบันคืออะไร การเมือง”

เมื่อถามถึงกรณีที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้แต่ละกระทรวงเตรียมเอกสารส่งต่อให้รัฐบาลใหม่​ พล.อ.ประยุทธ์ ระบุว่า “ก็ใช่​ ต้องส่งเขาไง นี่แหละคือคำว่าส่งต่อ”

ทั้งนี้ หากโครงการอะไรจะเดินได้ การเมืองจะต้องนิ่งด้วยใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์​ กล่าวพร้อมชี้นิ้วมายังสื่อมวลชน “บอกเขาสิ บอกการเมืองเขา ตนไม่ใช่ตอนนี้”

ส่วนที่พรรคเพื่อไทยประกาศชูข้อเสนอตั้งรัฐบาลพิเศษสลายขั้วการเมือง เพื่อแก้วิกฤติการเมืองกว่า 20 ปีที่ผ่านมา ถือว่าเป็นนิมิตรหมายที่ดีใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ ถามกลับสื่อว่า “มีหรือ มีที่ไหน​ ไม่รู้สิ ก็แล้วแต่​ นึกถึงประเทศชาติ​ ประชาชน​ก็แล้วกัน​ จะทำอะไรก็ทำได้ทั้งหมดแหละ”

พร้อมย้ำว่า ตนไม่มีความเห็นไง ทำไมต้องมีความเห็นด้วยจ๊ะ สื่อมวลชนจึงกล่าวว่าเพราะนายกฯ เป็นคนสำคัญ พล.อ.ประยุทธ์​ ชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง พร้อมระบุว่า “อย่าคิด ฉันเป็นคนไม่สำคัญ ให้ไปฟังเพลงดูสิ เพลงคนไม่สำคัญ​“ ก่อนเดินออกจากวงสัมภาษณ์

ผู้สื่อข่าวยังถามว่าตกลง พล.อ.ประยุทธ์ สำคัญหรือไม่สำคัญ นายกรัฐมนตรีได้กล่าว​ระหว่างเดินว่า​ “ถามอยู่ได้​ เดี๋ยวก็พลาดจนได้แหละ”

ก่อนที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะเดินทางกลับ ผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามว่าแต่แฟนคลับยังเห็นว่านายกฯ เป็นคนสำคัญ พล.อ.ประยุทธ์ เอามือป้องปาก และพูดว่า “เหรอ ทีตอนนี้เห็นว่าสำคัญขึ้นมาเชียวล่ะ” จากนั้นได้ก้าวขึ้นไปนั่งบนรถ และกล่าวอีกว่า “วันนี้มาทั้งวันไม่เหนื่อย แต่เหนื่อยกับคำถามสื่อที่ถามกันนี่แหละ” จากนั้นได้ยิ้มอย่างอารมณ์ดี และส่งสัญลักษณ์ I love you และ Mini Heart ก่อนเดินทางกลับ

Advertisement

นายกฯ สั่งเหล่าทัพ-ตร.จัดการแก๊งค้าน้ำมันเถื่อน-น้ำมันเขียว

People Unity News : 22 กรกฎาคม 2566 นายกฯ สั่งเหล่าทัพ-ตำรวจ จัดการขบวนการค้าน้ำมันเถื่อน-น้ำมันเขียว ทะลักลอบขนถ่ายทางทะเล และนำเข้าจากมาเลเซีย สอบเส้นทางการเงิน เชื่อมีผลกระทบราคาน้ำมัน

พันเอก จิตนาถ ปุณโณทก รองโฆษกกระทรวงกลาโหม แถลงภายหลังการประชุมสภากลาโหมว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้กําชับ ผบ.เหล่าทัพ โดยเฉพาะตำรวจ เข้าไปดูแลเด็ดขาดขบวนการค้าน้ำมันเถื่อน ทั้งน้ำมันเขียว ที่มีการขนถ่ายทางทะเล รวมทั้งน้ำมันลักลอบนำเข้าจากมาเลเซีย และน้ำมันภายในประเทศที่หมุนออกและเข้าภายในประเทศ จึงมีผลต่อราคาพลังงานและระบบภาษีในภาพรวม พร้อมขอให้ ผบ.ตร. จัดการกับขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง โดยลงลึกเส้นทางการเงินกับผู้เกี่ยวข้อง และหากมีข้าราชการเข้าไปเกี่ยวข้อง ขอให้ดําเนินการขั้นเด็ดขาดและให้เห็นผลโดยเร็ว

Advertisement

รัฐบาลเตรียมแผนกระจายสินค้าไปยังตลาดจีนเป็นรายมณฑล

People Unity News : 16 กรกฎาคม 2566 นายกฯ เชื่อมั่นทุกการทำงานที่ผ่านมาส่งผลให้ไทยครองอันดับ 1 ส่งออกผลไม้ไทยไปจีน มีส่วนแบ่งในตลาดผลไม้ของจีนถึงร้อยละ 41.3 รัฐบาลเตรียมแผนกระจายสินค้าไปยังตลาดจีนเป็นรายมณฑล

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีที่ได้รับทราบว่า ไทยเป็นแหล่งนำเข้าผลไม้อันดับ 1 ของจีน และมีส่วนแบ่งในตลาดผลไม้ของจีนถึงร้อยละ 41.3 สะท้อนศักยภาพสินค้าไทย พร้อมแนะผู้ประกอบการคงคุณภาพ มาตรฐานของผลไม้ เตรียมความพร้อมเพื่อส่งออกไปยังตลาดจีนในรายมณฑล รวมถึงตลาดอื่น ๆ ที่น่าสนใจเพิ่มเติม

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เผยว่า ไทยถือเป็นอันดับ 1 ในการส่งออกผลไม้ไปยังจีน โดยในปี 2565 ไทยมีส่วนแบ่งในตลาดผลไม้ของจีนถึงร้อยละ 41.3 ซึ่งปัจจุบันสำนักงานศุลกากรจีน (GACC) อนุญาตให้นำเข้าผลไม้จากไทยกว่า 22 ชนิด ได้แก่ มะขาม น้อยหน่า มะละกอ มะเฟือง ฝรั่ง เงาะ ลองกอง ละมุด เสาวรส ส้มเปลือกล่อน ส้ม ส้มโอ สับปะรด กล้วย มะพร้าว ขนุน ลำไย ทุเรียน มะม่วง ลิ้นจี่ มังคุด และชมพู่ โดยผลไม้สดที่ไทยครองตลาดสำคัญในจีน ได้แก่ ทุเรียน ส่วนแบ่งการตลาดร้อยละ 95.3 ลำไย ร้อยละ 99.3 มังคุด ร้อยละ 86.8 มะพร้าว ร้อยละ 69.2 น้อยหน่า ร้อยละ 100 ชมพู่ ร้อยละ 100 และเงาะ ร้อยละ 82.4

ด้วยนโยบายการทำงานเชิงรุกของรัฐบาล จุดเด่นทางด้านคุณภาพและรสชาติของผลไม้ไทย ทำให้ผลไม้ไทยมีส่วนแบ่งทางการตลาด และเป็นที่ต้องการในต่างประเทศอย่างมาก ถือเป็นโอกาสสำคัญของเกษตรกรและผู้ประกอบการของไทยในการพัฒนาคุณภาพ กระบวนการผลิต การจัดการเพื่อการส่งออกผลไม้ไทย รวมถึงรัฐบาลผลักดันนโยบายการกระจายตลาด ลดความเสี่ยงในการพึ่งพาตลาดเดียว โดยกระจายตลาดส่งออกผลไม้ไปยังตลาดใหม่ ๆ ที่มีกำลังซื้อ และขยายตลาดลงสู่ระดับมณฑลของจีนให้มากขึ้น ซึ่งจะมีส่วนช่วยให้ผลไม้ไทยเข้าสู่ตัวเมืองชั้นในของจีนมากขึ้น

“โดยนายกรัฐมนตรีเน้นย้ำให้รักษาคุณภาพ มาตรฐานด้านสุขอนามัย ความปลอดภัย และคุณภาพของผลไม้ โดยสั่งการอย่างต่อเนื่องให้ส่งเสริมและผลักดันการส่งออกสินค้าทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ พร้อมส่งเสริมผู้ประกอบการไทยเพื่อหาช่องทางการส่งออกที่มีศักยภาพเพิ่มเติม ให้สอดรับกับความต้องการของผู้บริโภค เพื่อนำเสนอสินค้าไทยให้เป็นที่รู้จัก เพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาด และเพิ่มมูลค่าทางการค้าให้กับประเทศต่อไป” นางสาวรัชดา กล่าว

Advertisement

เกษตรกรนับพันบุกทำเนียบ ร้องนายกฯช่วย อ้าง ธ.ก.ส. ไม่ทำสัญญา

People Unity News : 11 กรกฎาคม 2566 เครือข่ายฟื้นฟูเกษตรกรนับพันเดินทาง บุกทำเนียบยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีติดตามมติ ครม. แก้หนี้ช่วยเหลือเกษตรกร หลังแบงค์รัฐไม่ทำสัญญา

ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศรอบนอกทำเนียบรัฐบาลในระหว่าง การประชุมคณะรัฐมนตรี ที่ตึกสันติไมตรี ได้มีกลุ่มเครือข่าย สมาชิกกองทุนฟื้นฟู และพัฒนาเกษตรกรภาคอีสานและภาคเหนือ รวมถึง เครือข่ายสมัชชาเกษตรกรรายย่อย กว่า 1,000 คนนำโดยนางนิสา คุ้มกลอง เดินเท้ามาจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อยื่น หนังสือร้องเรียน ถึงพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ผ่านศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ทำเนียบรัฐบาล 1111

ทั้งนี้ เพื่อขอให้ติดตาม มติคณะรัฐมนตรีที่เห็นชอบเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2565 ที่อนุมัติให้ 4 ธนาคารของรัฐ ประกอบด้วย ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารออมสิน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และธนาคาร sme เพื่อฟื้นฟูหนี้สิน โดยให้เกษตรกร ใช้หนี้เพียงครึ่งหนึ่งของเงินต้น โดยรัฐจะออกให้อีกครึ่งหนึ่ง แต่ปรากฏว่า จนถึงขนาดนี้ ธ.ก.ส. ไม่ยอมทำสัญญา กับเกษตรกร ตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว

Advertisement

ดันท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ผ่านแคมเปญ “Discover the New You”

People Unity News : 8 กรกฎาคม 2566 โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ส่งเสริมการผลักดันการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ผ่านแคมเปญ “Discover the New You” กระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวและการใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้าและบริการสินค้า คาดการณ์ยอดไม่น้อยกว่า 18 ล้านบาท ภายในกันยายน 2566 นี้

นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ส่งเสริมความร่วมมือในการจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ผ่านแคมเปญ “Discover the New You!” เพื่อประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ ส่งเสริมสินค้าและบริการ Health and Wellness ในรูปแบบใหม่ที่สร้างสรรค์ สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการผลักดันให้เกิดการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ที่มีความหลากหลายอย่างยั่งยืน ตอบโจทย์ความต้องการของนักท่องเที่ยวในยุคปัจจุบัน เชื่อมั่นแคมเปญนี้จะกระตุ้นการใช้จ่ายได้ตามคาดการณ์

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้จัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ในแคมเปญ “Discover the New You!” ร่วมกับผู้ประกอบการ Health and Wellness ชั้นนำทั่วประเทศ ทั้งโรงแรม รีสอร์ตสุขภาพ สปา ตลอดจนโรงพยาบาล คลินิกเฉพาะทางต่าง ๆ จำนวนกว่า 130 ราย โดยเป็นการดำเนินงานภายใต้โครงการ Amazing Thailand Health and Wellness New Chapters New Experience เพื่อร่วมกันออกแบบผลิตภัณฑ์สินค้าบริการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ ภายใต้แนวคิด Meaningful Wellness นอกจากนี้ ททท. ยังได้เชิญชวนผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยว และ Blogger Influencer เข้าร่วมกิจกรรม สร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพที่แตกต่างและหลากหลาย ดึงดูดความสนใจกลุ่มนักเดินทางสายสุขภาพที่กำลังเติบโตเป็นอย่างมาก โดยมีเส้นทางที่จะได้รับคัดเลือกให้ทำการส่งเสริมการขายในสื่อประชาสัมพันธ์ของพันธมิตร ผู้ประกอบการ และสื่อของโครงการฯ จำนวน 15 เส้นทาง ทั้งนี้ ททท. เชื่อมั่นและคาดการณ์ว่า กิจกรรมดังกล่าวจะกระตุ้นให้เกิดการเดินทางทั่วประเทศ ไม่น้อยกว่า 3,000 ราย และเกิดการใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้าและบริการท่องเที่ยวที่ร่วมโครงการฯ ไม่น้อยกว่า 18 ล้านบาท ภายในเดือนกันยายน 2566 นี้

ทั้งนี้ สำหรับนักท่องเที่ยวที่สนใจสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.discoverthenewyou.travel/

Facebook: www.facebook.com/thailanddiscoverthenewyou

Line Official Account: @tat-wellness.th และสามารถเลือกซื้อสินค้าและบริการเพื่อสุขภาพภายใต้โครงการได้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2566 เป็นต้นไป

“นายกรัฐมนตรีขอบคุณทุกความร่วมมือในการจัดกิจกรรมดังกล่าว นอกจากจะขานรับนโยบายของรัฐบาลในการผลักดันการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนแล้ว ยังตอบโจทย์การท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ที่เป็นกระแส และกำลังเติบโตอย่างมากในปัจจุบัน โดยนายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่า กิจกรรมนี้ จะช่วยดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ต้องการสัมผัสประสบการณ์การท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ ผลักดันตลาดการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของไทยให้เติบโต เพิ่มตัวเลขมูลค่าทางเศรษฐกิจ จากกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพและกำลังซื้อ” นายอนุชา กล่าว

Advertisement

Verified by ExactMetrics