วันที่ 26 พฤศจิกายน 2025

รัฐบาลเร่งช่วยลูกหนี้ กยศ. ขยายเวลาตัดยอด ปรับโครงสร้างหนี้ถึง 24 พ.ค.นี้

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 18 พฤษภาคม  2568 เปิดเทอมแล้ว…รัฐบาลเร่งช่วยลูกหนี้ กยศ. ขยายเวลาตัดยอด ปรับโครงสร้างหนี้ถึง 24 พ.ค.นี้ แนะผู้กู้เข้าระบบลงทะเบียน เพื่อไม่พลาดสิทธิตามกฎหมายใหม่

วันนี้ (18 พฤษภาคม 2568) นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึง ความคืบหน้าในการดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้ใหม่ตาม พระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2566  ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อลดภาระของผู้กู้ และเปิดโอกาสให้สามารถชำระหนี้ได้อย่างเหมาะสม

โดยมาตรการใหม่นี้ถูกออกแบบให้เป็นผลดีต่อผู้กู้ยืมทุกคน ทั้งในเรื่องของอัตราดอกเบี้ย ค่าปรับ และเงื่อนไขการผ่อนชำระ  ซึ่งพบว่ายังมีผู้กู้จำนวนมากที่ยังไม่เข้ามาลงทะเบียนหรือดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้ตามสิทธิที่ได้รับ ส่งผลให้บางรายอาจต้องรับภาระทางการเงินเพิ่มขึ้น หากไม่ได้เข้าระบบตามเวลาที่กำหนด

กยศ. ได้ประกาศขยายระยะเวลาในการตัดยอดประจำเดือนพฤษภาคม 2568 จากเดิมวันที่ 17 เป็น 24 พฤษภาคม 2568 เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้กู้ที่ยังไม่ลงทะเบียน ได้เข้าระบบลงทะเบียนเพื่อขอคืนเงิน และปรับยอดหนี้ก่อนต้องจ่ายเงินเพิ่ม ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการถูกเรียกเก็บเงินเพิ่มหรือเกิดค่าปรับในอนาคต

“รัฐบาลขอความร่วมมือจากผู้กู้ กยศ. ทุกคน ให้เร่งดำเนินการภายในระยะเวลาที่ขยายออกไป จนถึงวันที่ 24 พฤษภาคม 2568 นี้ เพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์จากมาตรการปรับโครงสร้างหนี้ใหม่ และลดภาระทางการเงินของตนเองในระยะยาว หากผู้กู้ยืมไม่ชำระเงินคืนตามกำหนดจะทำให้เกิดภาระดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นและเกิดเบี้ยปรับจากการผิดนัดชำระหนี้ รวมถึงอาจถูกฟ้องร้องบังคับคดีตามกฎหมายอีกด้วย” นายอนุกูล กล่าว

Advertisement

นายจ้าง-สถานประกอบการ จ้างงานคนพิการ นำมาลดหย่อนภาษีได้ 2-3 เท่า

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 15 พฤษภาคม 2568 รัฐบาลมุ่งส่งเสริมผลักดันให้คนพิการมีงานทำ หนุนนายจ้าง สถานประกอบการ จ้างงานคนพิการ นำมาลดหย่อนภาษีได้ 2-3 เท่า

นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาล โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เดินหน้าผลักดันการมีงานทำของคนพิการ ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งเสริมให้คนพิการมีคุณภาพชีวิตที่ดีและมั่นคงในการดำรงชีวิตอย่างเท่าเทียม เป็นธรรม และไม่เลือกปฏิบัติต่อคนพิการ ตามกฎหมายมาตรา 33 , 34 และ 35 โดยกำหนดให้นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการและหน่วยงานของรัฐ รับคนพิการเข้าทำงาน ในอัตรา 100 : 1 (คนปกติ 100 คน ต่อคนพิการ 1 คน) เศษเกิน 50 คน ต้องจ้างเพิ่มอีก 1 คน เพื่อเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาศักยภาพคนพิการ และการส่งเสริมการจ้างงานคนพิการ

นายอนุกูล กล่าวว่า สำหรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีของนายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการที่รับคนพิการที่มีบัตรประจําตัวคนพิการเข้าทํางาน มีสิทธินําค่าใช้จ่ายที่จ้างคนพิการเข้าทํางาน มาเป็นรายจ่ายในการคํานวณกําไรสุทธิ เพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นจํานวน 2 เท่าของรายจ่ายที่ได้จ่ายไป กรณีการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นจํานวน 3 เท่าของรายจ่ายที่ได้จ่ายไป เมื่อจ้างคนพิการเข้าทํางานเกินกว่าร้อยละ 60 ของลูกจ้างในสถานประกอบการนั้น โดยมีระยะเวลาจ้างเกินกว่าหนึ่ง 180 วัน ในปีภาษี หรือรอบระยะเวลาบัญชีที่มีเงินได้

“หากนายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการ ไม่มีการรับคนพิการที่มีบัตรประจําตัวคนพิการเข้าทํางาน และไม่ส่งเงินเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ แต่มีการให้สัมปทาน จัดสถานที่จําหน่ายสินค้าหรือบริการ จัดจ้างเหมาช่วงงาน หรือจ้างเหมาบริการ ให้ฝึกงาน หรือจัดให้มีอุปกรณ์ หรือสิ่งอํานวยความสะดวก ล่ามภาษามือ หรือให้ความช่วยเหลืออื่นใดแก่คนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการ โดยค่าใช้จ่ายที่ได้จ่ายไปจริงซึ่งเกี่ยวข้องกับกิจการของตนเอง นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการนั้น มีสิทธินําค่าใช้จ่ายนั้นมาลงเป็นรายจ่ายในการคํานวณกําไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ แต่รายจ่ายดังกล่าวจะต้องไม่เกินจํานวนเงินที่ต้องจ่ายเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ” นายอนุกูล กล่าว

Advertisement

รัฐบาลย้ำนโยบายพัฒนาคน-พัฒนาชาติ ให้โอกาส นร.-นศ.ที่กู้เงิน กยศ.

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 12 พฤษภาคม 2568 รัฐบาลย้ำนโยบายพัฒนาคน พัฒนาชาติ ต้องให้โอกาสนักเรียน นักศึกษา ที่กู้เงิน กยศ. ย้ำหนี้ลด-ผ่อนยาว-ไม่บีบคั้น ทยอยคืนเงินผู้จ่ายเกิน ขอเชิญรุ่นพี่กลับเข้าระบบ เพื่อประวัติและโอกาสที่ดีในอนาคต

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาหนี้สินของ กยศ. เพื่อให้นักเรียน นิสิต นักศึกษา สามารถเรียนจนจบการศึกษาเพื่อเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาชาติ ขณะนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ได้เดินหน้าการปรับโครงสร้างหนี้ใหม่ตาม พระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2566 สาระสำคัญคือ การตัดลำดับการชำระหนี้ใหม่เป็น “เงินต้น-ดอกเบี้ย-เบี้ยปรับ” แทนแบบเดิม พร้อมลดอัตราเบี้ยปรับจากสูงสุด 18% เหลือเพียง 0.5% ยืนยันผู้กู้ทุกคนจะเห็นยอดหนี้ลดลงทันที

การคำนวณหนี้แบบใหม่นี้ครอบคลุมผู้กู้ประมาณ 3.5 ล้านราย ขณะนี้ กยศ. ดำเนินการได้แล้วกว่า 2.3 ล้านราย หรือราว 70% ซึ่งผู้กู้สามารถตรวจสอบยอดหนี้ใหม่ได้ผ่านเว็บไซต์ www.studentloan.or.th สำหรับผู้กู้ที่เคยทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ก่อนการคำนวณหนี้แบบใหม่ แม้อาจเห็นยอดหนี้สูงขึ้นในช่วงแรก แต่ระบบจะปรับยอดหนี้ให้อัตโนมัติ หลังจากระบบใหม่แล้วเสร็จ

ทั้งนี้ กยศ. ยังอยู่ระหว่างการพัฒนาแอปพลิเคชันใหม่ เนื่องจากแอปพลิเคชัน “กยศ. Connect” ยังไม่สามารถรองรับระบบใหม่ได้อย่างสมบูรณ์ และเมื่อระบบใหม่แล้วเสร็จแล้ว ผู้กู้จะสามารถตรวจสอบยอดหนี้ที่แท้จริงได้ผ่านทางเว็บไซต์ www.studentloan.or.th

สำหรับระบบการหักเงินเดือนผ่านองค์กรนายจ้าง ที่ผ่านมา กยศ. ได้ดำเนินการหักเฉพาะยอดหนี้ปีปัจจุบัน ไม่รวมยอดหนี้ค้างในปีก่อนหน้า ซึ่งบางรายจะมียอดหนี้ค้างเก่า ทำให้ในเดือนเมษายน 2568 มีผู้กู้ที่ถูกหักเงินเดือนเพื่อชำระยอดหนี้ค้างเก่า จำนวน 490,225 ราย (510,716 บัญชี) และในเดือนพฤษภาคม อีกจำนวน 251,083 ราย (258,151 บัญชี)

ในส่วนของการรองรับผู้กู้ที่ได้รับผลกระทบจากการหักเงินเดือนเพิ่ม 3,000 บาทต่อบัญชี กยศ. มีแนวทางดูแลเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ 1.ผู้กู้ยืมเงินที่ได้ทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้กับ กยศ. ในเดือนพฤษภาคม 2568 จะต้องชำระตามยอดหนี้ที่ปรับโครงสร้างหนี้ใหม่ในงวดแรกด้วยตนเอง และต้องแจ้งให้นายจ้างทราบเพื่อจะได้ไม่ถูกหักเงินเดือนเพิ่มอีก 3,000 บาท ในเดือนนั้น ซึ่งนายจ้างจะเริ่มหักเงินเดือนตามสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ตั้งแต่งวดที่ 2 เป็นต้นไป

ผู้กู้ยืมเงินที่ยังไม่ได้ทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้และยังคงมียอดหนี้ค้างชำระ หากผู้กู้ยืมเงินไม่สามารถให้หักเงินเดือนเพิ่ม 3,000 บาท ในเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน 2568 จะต้องยื่นขอปรับลดจำนวนการหักเงินเดือนทางเว็บไซต์ กยศ. ภายในวันที่ 17 พฤษภาคม 2568 ซึ่งจะมีผลปรับลดจำนวนหักเงินเดือนเฉพาะเดือนพฤษภาคมนี้เท่านั้น หากดำเนินการไม่ทันสามารถยื่นขอปรับลดการหักเงินเดือนได้อีกครั้งในเดือนมิถุนายน 2568 โดยจะต้องยื่นขอปรับลดจำนวนการหักเงินเดือน ภายในวันที่ 14 มิถุนายน 2568 และ กยศ. จะแจ้งผลการพิจารณาให้ผู้กู้ยืมเงินทราบทาง SMS พร้อมแจ้งให้นายจ้างทราบในระบบ e-PaySLF ต่อไป

ด้านความคืบหน้าในการคืนเงินให้ผู้กู้ที่จ่ายเกิน หลังคำนวณหนี้ตามกฎหมายใหม่นั้น ณ วันที่ 7 พฤษภาคม 2568 มีบัญชีที่มียอดชำระเกิน 286,362 บัญชี เป็นเงิน 3,399.13 ล้านบาท กยศ. คืนแล้ว 2,528 บัญชี เป็นเงิน 73.81 ล้านบาท และในเดือนพฤษภาคม 2568 จะคืนเงินเพิ่มเติมอีก 1,215 บัญชี เป็นเงิน 2.95 ล้านบาท และจะทยอยคืนทั้งหมดภายในเดือนกันยายน 2569

ทั้งนี้ ข้อมูล ณ เดือน เมษายน 2568 ระบุว่า จังหวัดที่มีผู้ค้างชำระสูงสุด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร (129,146 บัญชี), นครราชสีมา (78,816 บัญชี), นครศรีธรรมราช (77,687 บัญชี), ขอนแก่น (73,409 บัญชี) และเชียงใหม่ (63,346 บัญชี)

กลุ่มอายุที่ค้างชำระมากที่สุด คือ ช่วงวัยทำงาน 30-39 ปี (1,132,339 บัญชี) รองลงมาคือ อายุ 40-49 ปี (675,184 บัญชี), อายุ 20-29 ปี (356,209 บัญชี), อายุ 50-59 ( 25,906 บัญชี), มากกว่า 59 ปี (3,396 บัญชี)

อย่างไรก็ตาม หากผู้กู้ยืมเข้าทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ทั้งแบบสัญญากระดาษและแบบออนไลน์ จะได้รับสิทธิพิเศษโดยการปลดภาระผู้ค้ำประกันทันที พร้อมทั้งให้ผ่อนชำระหนี้เป็นรายเดือนได้นานถึง 15 ปี หรือไม่เกินอายุ 65 ปี นอกจากนี้ผู้กู้ยืมจะได้รับส่วนลดเบี้ยปรับ 100% เมื่อผู้กู้ชำระหนี้งวดสุดท้ายเสร็จสิ้น แต่หากผู้กู้ยืมผิดนัดชำระหนี้สะสมเกิน 6 งวด จะถือว่าสัญญาปรับโครงสร้างหนี้สิ้นสุดลงและผู้กู้ยืมจะไม่ได้รับส่วนลดเบี้ยปรับดังกล่าว

สำหรับผู้กู้บางรายประสบปัญหาในการเข้าระบบปรับโครงสร้างหนี้ออนไลน์ เช่น อินเทอร์เน็ตช้า มือถือสเปกต่ำ หรือขั้นตอนยืนยันตัวตนในระบบ ThaiD ใช้เวลานาน ขอให้ผู้กู้ติดตั้งและยืนยันตัวตนในแอปพลิเคชัน ThaiD ให้เรียบร้อยล่วงหน้า เพื่อป้องกันความล่าช้าในการปรับโครงสร้างหนี้ออนไลน์

นอกจากนี้ กยศ. ยังมีมาตรการลดหย่อนหนี้เพื่อจูงใจให้ผู้กู้ยืมชำระเงินคืน เพื่อให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้กู้ยืมที่อยู่ระหว่างระยะเวลาปลอดหนี้ และผู้กู้ยืมที่อยู่ระหว่างการชำระหนี้ที่ กยศ. ยังไม่ฟ้องคดี โดยจะได้รับส่วนลดต้นเงิน 5-10% และส่วนลดเบี้ยปรับ 100% เมื่อชำระหนี้ปิดบัญชีในคราวเดียว โดยผู้กู้ยืมสามารถตรวจรายละเอียดและลงทะเบียนขอรับสิทธิได้ที่ www.studentloan.or.th ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม-31 พฤษภาคม 2568

“กยศ. เป็นเครื่องมือสำคัญในการส่งเสริมโอกาสทางการศึกษาให้กับเยาวชนไทย โดยเฉพาะผู้ที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ด้วยอัตราดอกเบี้ยต่ำเพียง 1% ต่อปี และไม่ต้องมีผู้ค้ำประกัน ผู้กู้สามารถเริ่มชำระหนี้หลังจบการศึกษา 2 ปี และผ่อนชำระได้นานถึง 15 ปี

สำหรับผู้ที่ต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่ อีเมล์ : self-debt@studentloan.or.th, LINE กยศ.หักเงินเดือน https://lin.ee/oecrHbM, LINE กยศ.องค์กรนายจ้าง https://lin.ee/HwgODCW

รัฐบาลขอเชิญชวนผู้กู้ กยศ.ทุกท่านที่เคยได้รับโอกาสทางการศึกษาให้หันกลับมาชำระหนี้ตามกำลัง เพื่อร่วมกันส่งต่อโอกาสให้รุ่นน้องได้เรียนต่ออย่างทั่วถึง และขอย้ำว่า กยศ. ไม่มีนโยบายกดดันหรือฟ้องร้องหากไม่จำเป็น แต่ขอเพียงให้ทุกคนกลับเข้าระบบ มาช่วยกันรักษาระบบที่เปิดโอกาสทางการศึกษาให้กับสังคมไทยให้คงอยู่ต่อไป” นางสาวศศิกานต์ ระบุ

Advertisement

เข้มรถรับ-ส่งนักเรียน ต้องผ่านการรับรองจากขนส่งจังหวัด

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 11 พฤษภาคม 2568 รัฐบาลเข้ม “รถรับ-ส่งนักเรียน” ต้องผ่านการรับรองจากสำนักงานขนส่งจังหวัด คนขับต้องมีใบอนุญาตมาแล้ว 3 ปี และต้องมีผู้ดูแลประจำรถ ละเลยโทษหนัก

นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ข้อมูลจากสภาองค์กรของผู้บริโภค รายงานสถิติอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับรถรับ-ส่งนักเรียน ช่วงปี 2565 – 2566 เกิดเหตุรวมเฉลี่ย 30 ครั้ง ขณะที่ปี 2567 เพียงปีเดียวเกิดเหตุมากถึง 40 ครั้ง และมีเด็กเสียชีวิตมากถึง 10 คน และตั้งแต่ต้นปี 2568 พบ เดือน ม.ค. – ก.พ. เกิดเหตุแล้วมากถึง 6 ครั้ง ในจำนวนนี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเดือน ก.พ. มากถึง 5 ครั้ง มีเด็กได้รับบาดเจ็บ 60 – 70 ราย

นายคารม กล่าวว่า จากการรวบรวมข้อมูลโดยสภาองค์กรของผู้บริโภคยังพบว่า รถรับ-ส่งนักเรียนส่วนใหญ่ยังเป็น “รถที่ไม่ได้ขออนุญาตจากนายทะเบียน” โดยจากข้อมูลของกรมการขนส่งทางบก ณ วันที่ 31 พ.ค. 2566 ระบุว่า มีรถยนต์ส่วนบุคคลและรถยนต์สาธารณะที่ได้รับอนุญาตให้ใช้เป็นรถรับส่งนักเรียนเพียง 3,342 คัน ขณะที่มีการประมาณการว่า มีรถรับ-ส่งนักเรียนมากกว่า 45,000 คัน ที่รับ-ส่งโดยไม่ได้ขออนุญาต หรือเท่ากับมีนักเรียนกว่า 540,000 คน (เปรียบเทียบรถรับ-ส่งนักเรียน 1 คัน บรรทุกนักเรียน 12 คน ตามกฎหมายกำหนด) ที่มีความเสี่ยงในการเดินทางด้วยรถรับ-ส่งนักเรียนที่ไม่มีมาตรการจัดการความปลอดภัย

รัฐบาลห่วงใยความปลอดภัยเด็ก นักเรียน เน้นย้ำให้ผู้ประกอบอาชีพรถรับ-ส่งนักเรียน ต้องดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎระเบียบของกรมการขนส่งทางบกที่ได้กำหนดมาตรฐานความปลอดภัยของรถรับส่งนักเรียน โดยอนุญาตให้นำรถที่จดทะเบียนเป็นรถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน แต่ไม่เกิน 12 คน ทั้งรถสองแถวและรถตู้มาใช้เป็นรถรับ-ส่งนักเรียนได้ ต้องมีการรับรองจากโรงเรียนหรือสถานศึกษา สำหรับมาตรฐานตามที่กรมการขนส่งทางบกกำหนด ดังนี้

ห้ามติดฟิล์มกรองแสงที่กระจกรอบคัน

ที่นั่งผู้โดยสารต้องยึดแน่นอย่างมั่นคงแข็งแรง และต้องไม่มีพื้นที่สำหรับนักเรียนยืน โดยรถสองแถวต้องมีประตูและที่กั้นป้องกันนักเรียนตก ส่วนรถตู้ต้องจัดวางที่นั่งเป็นแถวตอน ตามความกว้างของตัวรถเท่านั้น

รถที่รับส่งต้องผ่านการตรวจสอบจากสำนักงานขนส่งจังหวัดที่โรงเรียนหรือสถานศึกษาในสังกัดที่อยู่

มีเครื่องมือที่จำเป็นกรณีฉุกเฉิน อาทิ เครื่องดับเพลิง หรือค้อนทุบกระจก วัสดุภายในรถส่วนของผู้โดยสารต้องไม่มีส่วนแหลมคม

รถรับ-ส่งนักเรียนทุกคันต้องติดแผ่นป้ายพื้นสีส้ม มีข้อความตัวอักษรสีดำว่า “รถโรงเรียน” ติดอยู่ด้านหน้าและด้านท้าย พร้อมไฟสัญญาณ

ผู้ขับต้องมีใบอนุญาตขับรถยนต์สาธารณะต้องได้รับแล้วไม่น้อยกว่า 3 ปี และมีผู้ดูแลนักเรียนประจำอยู่ในรถ

เช็กชื่อนักเรียนทั้งขึ้นและลงพร้อมมีคนคอยดูแลนอกจากคนขับรถตลอดเส้นทาง

“ใกล้เปิดเทอม ปี 2568 นักเรียนจำนวนมากจำเป็นต้องใช้บริการรถรับ-ส่งไปโรงเรียน/สถานศึกษา ผู้ประกอบการรถบริการรับ-ส่งนักเรียน ต้องตรวจสอบสภาพรถและการบริการให้ได้มาตรฐานความปลอดภัย มีการรับรองการใช้รถจากโรงเรียน ตามมาตรฐานตามที่กรมการขนส่งกำหนด รวมทั้งขอให้สถานศึกษาทุกแห่ง ตรวจสอบความเรียบร้อยของโครงสร้างพื้นฐานทางการจราจรที่ปลอดภัยทั้งในสถานศึกษาและบริเวณโดยรอบ เช่น การติดตั้งไฟสัญญาณและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ ที่สามารถช่วยลดอุบัติเหตุได้อย่างมีประสิทธิภาพ ” นายคารม กล่าว

Advertisement

ประกาศผ่อนคลายขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บางพื้นที่ในวันสำคัญทางศาสนา

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 9 พฤษภาคม 2568 โฆษกรัฐบาล เผยราชกิจจาฯ ประกาศห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 5 วัน สำคัญทางศาสนา ยกเว้น 5 กรณี-สถานที่ “โรงแรม -สนามบินระหว่างประเทศ-สถานบริการ-ย่านธุรกิจและกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยว” หนุน ปีท่องเที่ยวไทย มีผล 10 พ.ค.68

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า หลังจากที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ เมื่อเดือนมีนาคม 2568 เห็นชอบ ให้ผ่อนคลายการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บางพื้นที่ในวันหยุดพิเศษ 5 วันทางศาสนา ซึ่งนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่ากระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ ได้สรุปผลการพิจารณาในทุกมิติเพื่อดูความเหมาะสมกับโลกปัจุบัน และที่ประชุมได้เห็นชอบให้ผ่อนคลายการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งจากนั้นจะเป็นขั้นตอนในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งได้เผยแพร่ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ดังกล่าวในวันศุกร์ ที่9 พฤษภาคม 2568 ปรับปรุงประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง การกำหนดวันห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2567 เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพการณ์ปัจจุบัน โดยคำแนะนำของคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ

โดยประกาศดังกล่าวฉบับนี้ ยังห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในวันสำคัญทางศาสนา 5 วันเป็นการทั่วไปแต่ยกเว้นอนุญาตให้ขายได้เฉพาะ

(1) ในอาคารที่ให้บริการแก่ผู้โดยสารภายในสนามบินที่ให้บริการเที่ยวบินระหว่างประเทศ

(2) ในสถานบริการตามกฎหมายว่าด้วยสถานบริการ

(3) ในสถานประกอบการที่เปิดให้บริการในลักษณะที่คล้ายกับสถานบริการที่ตั้งอยู่ในพื้นที่หรือบริเวณที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว ทั้งนี้ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขประกาศกำหนด โดยคำแนะนำของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

(4) ในโรงแรมตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรม

(5) ในสถานที่ซึ่งใช้จัดกิจกรรมพิเศษระดับชาติหรือนานาชาติ และมีคนจำนวนมากไปทำกิจกรรมร่วมกัน ตามรายชื่อสถานที่ ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขประกาศกำหนด โดยคำแนะนำของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

ทั้งนี้ผู้ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตามในข้างต้น จะต้องจัดให้มีการคัดกรองและมาตรการที่จำเป็น เพื่อการรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคม ความปลอดภัยของประชาชน และการจำกัดการเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของเด็กและเยาวชนตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด

“การออกประกาศดังกล่าว เพื่อให้สอดคล้องกับประกาศนโยบายของรัฐบาลที่ให้ปี 2568 เป็นปีแห่งการท่องเที่ยวไทย Amazing Thailand Grand Tourism and Sports year 2025 ซึ่งจะเป็นประโยชน์โดยตรงต่อผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ส่งผลให้สามารถจัดกิจกรรมการท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี ทั้งนี้ ช่วงที่ผ่านมา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการศึกษาถึงความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในการแก้ไขและปรับปรุงกฎหมายดังกล่าว โดยได้คำนึงถึงความสงบเรียบร้อยของสังคม ความปลอดภัยของประชาชนเป็นสำคัญ” นายจิรายุ ระบุ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป (มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 พฤษภาคม 2568 เป็นต้นไป) พร้อมให้ยกเลิกประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดวันห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์พ.ศ. 2567 ลงวันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2567 และห้ามผู้ใดขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันอาสาฬหบูชา วันเข้าพรรษา และวันออกพรรษา ยกเว้นการขายในกรณีข้างต้น

สำหรับประกาศฉบับนี้มีผลบังคับใช้ก่อนถึงวันวิสาขบูชา ที่จะมาถึงในวันที่ 11 พฤษภาคม 2568

Advertisement

ลุยปราบ “บุหรี่ไฟฟ้า” ขันนอต จนท.คุมเข้ม

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 5 พฤษภาคม 2568 “จิรายุ” ชี้ ยังมีพวก “2-3 ดาวมงกุฎครอบ” ไม่สนใจนโยบายรัฐบาลปราบ “บุหรี่ไฟฟ้า” แถมอ้างว่าเคลียร์ผู้ใหญ่แล้ว ย้ำต้องขันนอต หลังพบผู้ค้าบุหรี่ไฟฟ้าปรับรูปแบบจากรุ่นสูบจากปากมาเป็นสูบทางจมูก คล้ายยาดมและของเล่น เร่งจับกุมอย่างต่อเนื่อง

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ปัจจุบันแม้นายกรัฐมนตรีจะมีข้อสั่งการในที่ประชุม เรื่องการแก้ไขปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าไปแล้ว ซึ่งได้รับความร่วมมือจากทุกส่วนราชการเป็นอย่างดี ซึ่งจากผลการดำเนินงานปราบปรามอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ส่งผลให้ร้านค้าที่เปิดขายบุหรี่ไฟฟ้าอย่างโจ่งครึ่ม ปัจจุบันไม่มีแล้ว แต่ยังพบว่ามีการลักลอบใช้วิธีการขายทั้งทางโซเชียลมีเดียและแบบไดเร็คเซลล์คือการขายตรงระหว่างคนขายกับคนซื้อ ทำให้ผู้เสพต้องไปซื้อด้วยตัวเอง ซึ่งในปัจจุบันยังพบว่ามีการลักลอบนำเข้าและจำหน่ายอยู่

“หน่วยข่าวรายงานว่า ยังมีหลายจังหวัดโดยเฉพาะรอบกรุงเทพมหานคร เป็นเจ้าหน้าที่ระดับ 2-3 ดาวมีมงกุฎครอบ อ้างว่าเคลียร์ผู้ใหญ่แล้วยังเปิดขายอยู่ในพื้นที่ได้ รัฐบาลขอยืนยันว่าที่ผ่านมาไม่ว่าจะมีตำแหน่งใหญ่โตแค่ไหน หากเข้าไปพัวพันมีส่วนเกี่ยวข้องรัฐบาลจะดำเนินการตามกฎหมายทันที โดยได้กำชับให้สืบสวนเพื่อหาบุคคลมีสี และผู้มีอิทธิพลที่แอบอ้างผู้หลักผู้ใหญ่ ทั้งนี้หน่วยเฉพาะกิจอยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูลเพื่อดำเนินการหากลงพื้นที่จับกุมแล้ว เจ้าหน้าที่ในท้องที่จะอ้างว่าไม่รู้ไม่ได้” นายจิรายุ กล่าว

นายจิรายุ กล่าวต่อไปว่า ปัจจุบันผลิตภัณฑ์บุหรี่ไฟฟ้าล้ำหน้าพัฒนาไปไกลจาก Gen 5 Toy pod ที่ใช้ปากสูบ ไปเป็นบุหรี่ Gen 6 หน้าใหม่ที่แตกต่างจากบุหรี่ทุกรุ่นที่ผ่านมา คือ “พอดจมูก” หรือบุหรี่ไฟฟ้าที่สูบทางจมูก แทนการสูดควันทางปาก โดยบุหรี่ Gen6 “พอดจมูก” นี้ ถูกพัฒนามาเพื่อให้สูบทางจมูกทดแทนการสูบทางปาก บางรุ่นสามารถสูบได้ทั้งสองทางเพียงเปลี่ยนหัว เป็นบุหรี่ไฟฟ้าแบบใช้แล้วทิ้ง ชาร์จได้ ขนาดเล็ก บางรุ่นหน้าตาคล้ายยาดมสองหัว บางรุ่นมีสายคล้องคอ มีนิโคติน 5 % กลิ่นรสถูกพัฒนาให้มีความหลากหลาย โดยกลุ่มผู้ลักลอบขายจะโฆษณาว่ารุ่น Gen6 นี้ปลอดภัยกว่าบุหรี่ไฟฟ้าชนิดสูบทางปากนั้น ทางการแพทย์ระบุชัดเจน พอดจมูกยังคงมีนิโคตินสูงถึง 5% ทำให้เสพติดได้ ไม่ว่าจะเป็นการสูบทางใด นิโคตินยังคงก่อการเสพติด ทำร้ายร่างกายได้เสมอ จึงขอเตือนภัยพ่อแม่ผู้ปกครอง สถาบันการศึกษาและเยาวชน ควรรู้เท่าทันอันตรายบุหรี่ไฟฟ้าที่ปัจจุบันถูกผลิตในรูปลักษณ์ที่ลวงตามากยิ่งขึ้น จนดูไม่ออกว่าเป็นผลิตภัณฑ์ยาสูบ ยิ่งพอดจมูกหน้าตาและหัวสูบบางรุ่นดูคล้ายยาดม กลิ่นรสหอมหวาน บรรจุภัณฑ์น่ารักเหมือนกล่องของเล่น จึงขอเตือนไม่ให้เยาวชนริลอง เนื่องจากนิโคตินก่อการเสพติดและก่อโรคปอดอักเสบได้ และถึงตายได้ ทั้งนี้รัฐบาลขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกัน กวดขันการนำเข้าทุกด่านชายแดน รวมทั้งฝ่ายปราบปรามต้องเร่งดำเนินการจับกุมอย่างต่อเนื่องตามนโยบายของรัฐบาล

Advertisement

 

เช็กด่วน..!! เริ่มแล้วรัฐบาลมอบเงินสงเคราะห์บุตรอัตราใหม่ ของผู้ประกันตน ม.33 และ 39

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 1 พฤษภาคม 2568 เช็กด่วน..!! เริ่มแล้วรัฐบาลมอบเงินสงเคราะห์บุตรอัตราใหม่ ของผู้ประกันตน ม.33 และ 39 ย้ำเน้นยกระดับคุณภาพชีวิตผู้ประกันตน

วันนี้ (1 พฤษภาคม 2568) นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามนโยบายรัฐบาลในการปรับเพิ่มเงินสงเคราะห์บุตรจาก 800 บาทเป็น 1,000 บาทต่อเดือนต่อคน ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 เป็นต้นไป และเริ่มจ่ายงวดแรกในวันที่ 30 เมษายนนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จของรัฐบาลที่มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนในทุกกลุ่มอย่างเป็นรูปธรรม

โดยผู้ประกันตนมาตรา 33 และมาตรา 39 ที่มีบุตรอายุตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 6 ขวบ มีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์บุตรเดือนละ 1,000 บาท ต่อคน ต่อเดือนได้คราวละไม่เกิน 3 คน มาตรการนี้เป็นผลสืบเนื่องจากการที่รัฐบาลให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาโครงสร้างประชากรของประเทศ ที่อัตราการเกิดลดลง ขณะที่ประชากรสูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยการปรับเพิ่มเงินสงเคราะห์บุตรไม่เพียงช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ประกันตน แต่ยังสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมการเกิดและเติบโตอย่างมีคุณภาพของเด็กทุกคนอย่างเท่าเทียม และยกระดับคุณภาพชีวิตในระยะยาว

สำหรับการจ่ายเงินสงเคราะห์บุตร 2568 จะโอนเข้าบัญชีธนาคารให้ผู้ประกันตน ทุก ๆ สิ้นเดือน ซึ่งอัตราใหม่ 1,000 บาท  ตามหลักเกณฑ์เงื่อนไขการจ่ายเงินสงเคราะห์บุตร มีดังนี้

– สิทธิในเดือนมกราคม จะได้รับเงินในเดือนเมษายน

– สิทธิในเดือนกุมภาพันธ์ จะได้รับเงินในเดือนพฤษภาคม

– สิทธิในเดือนมีนาคม จะได้รับเงินในเดือนมิถุนายน

– สิทธิในเดือนเมษายน จะได้รับเงินในเดือนกรกฎาคม

– สิทธิในเดือนพฤษภาคม จะได้รับเงินในเดือนสิงหาคม

– สิทธิในเดือนมิถุนายน จะได้รับเงินในเดือนกันยายน

– สิทธิในเดือนกรกฎาคม จะได้รับเงินในเดือนตุลาคม

– สิทธิในเดือนสิงหาคม จะได้รับเงินในเดือนพฤศจิกายน

– สิทธิในเดือนกันยายน จะได้รับเงินในเดือน ธันวาคม

– สิทธิในเดือนตุลาคม จะได้รับเงินในเดือนมกราคม (ปีถัดไป)

– สิทธิในเดือนพฤศจิกายน จะได้รับเงินในเดือนกุมภาพันธ์ (ปีถัดไป)

– สิทธิในเดือนธันวาคม จะได้รับเงินในเดือนมีนาคม (ปีถัดไป)

“ความสำเร็จครั้งนี้เป็นผลจากการบูรณาการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วน ทั้งนายจ้าง ผู้ประกันตน และภาครัฐ ซึ่งต่างเห็นชอบให้ปรับเพิ่มเงินสงเคราะห์บุตร อายุ 0–6 ปี สำหรับผู้ประกันตนตามมาตรา 33 และ 39 จากเดิม 800 บาท เป็น 1,000 บาทต่อเดือน รัฐบาลให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการเกิด และการเติบโตอย่างมีคุณภาพของเด็กทุกคนอย่างเท่าเทียม จนนำไปสู่การประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับใหม่ และเกิดผลเป็นรูปธรรมในวันนี้ สำหรับประชาชนที่มีต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการได้รับเงินสงเคราะห์บุตรของสำนักงานประกันสังคม สามารถติดต่อสอบถามได้ผ่านทาง เพจ Facebook “สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน” หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.sso.go.th” นางสาวศศิกานต์  ระบุ

Advertisement

“ประเสริฐ” ระบุ พ.ร.ก.ไซเบอร์ ตัดวงจรมิจฉาชีพ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 30 เมษายน 2568 ทำเนียบ – “ประเสริฐ” ระบุ พ.ร.ก.ไซเบอร์ ตัดวงจรมิจฉาชีพ เตรียมออกระเบียบเพิ่ม เปิดบัญชีธนาคารต้องยากขึ้น-ส่ง SMS ต้องเป็นไปตามแนวทางที่กำหนด

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ให้สัมภาษณ์กรณี การประกาศใช้ พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และพ.ร.ก.การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล เมื่อวันที่ 12 เม.ย. มีผลอย่างไรบ้าง ว่า ดี ตัวเลขการปราบปรามการหลอกลวงดีขึ้นอย่างมีนัย เพราะเราได้ตัดวงจรเรื่องการเงินการสื่อสารของมิจฉาชีพให้ทำงานยากขึ้น โดยหลังจากกฎหมายประกาศไปแล้ว เราได้เรียกหน่วยวงานที่เกี่ยวข้องตามพ.ร.ก.มาพูดคุยเพื่อดำเนินการตามกฎหมาย โดยหลังจากนี้เตรียมออกระเบียบในทางปฏิบัติอีกหลายฉบับ เช่น การเปิดบัญชีธนาคารต้องยากขึ้น การส่งข้อความผ่านระบบโทรศัพท์มือถือ ต้องเป็นไปตามแนวทางที่กำหนด เพื่อให้ พ.ร.ก.มีผลบังคับใช้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยทั้งพ.ร.ก.ฉบับนี้จะเข้าสู่สภาฯในวันที่ 28 พ.ค. เพื่อให้สภาฯรับรอง จากนั้นจะมีการพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณปี 68 ต่อไป

Advertisement

รัฐบาลเผย 3 เดือน ปิดเว็บพนันออนไลน์แล้ว 29,185 URL

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 27 เมษายน 2568 รัฐบาลเดินหน้ากวาดล้างพนันออนไลน์ สถิติ 3 เดือน ปิดแล้ว 29,185 URL จับผู้กระทำความผิด 4,627 ราย เตือนหากมีเอี่ยวระวังติดคุก

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลโดย กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้ดำเนินการเฝ้าระวังและติดตาม ปราบปรามการกระทำความผิดที่เป็นอาชญากรรมออนไลน์อย่างต่อเนื่อง ข้อมูลล่าสุด (1 มกราคม – 31 มีนาคม 2568) ได้ดำเนินการปิดกั้นโซเชียลมีเดีย เพจ และเว็บไซต์ URLs ที่เกี่ยวข้องกับพนันออนไลน์แล้ว 29,185 URL ทั้งนี้ สามารถจับกุมผู้กระทำผิดและผู้ที่เกี่ยวข้องกับคดีพนันออนไลน์ได้ จำนวน 4,627 ราย

ส่วนประเด็นการปิดกั้นเว็บไซต์ URLs พนันออนไลน์ การดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดและเกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ในตระกูล 888 . bet รวมที่เปลี่ยนชื่อข้างหน้าหรือข้างหลังนั้น ได้ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2565 โดยปิดกั้นไปแล้วจำนวน 200 URLs และอยู่ระหว่างรอคำสั่งศาลอีก 118 URLs

“การพนันออนไลน์ไม่เพียงแต่ทำให้สูญเสียทรัพย์สิน แต่ยังเสี่ยงต่อการถูกหลอกลวง สูญเสียข้อมูลส่วนบุคคล และถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย ซึ่งการยุ่งเกี่ยวกับการพนันออนไลน์ในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้จัดให้เล่น ผู้เล่นหรือผู้ที่เผยแพร่ข้อความ (ประกาศชักชวน) นั้น มีความผิดตาม พ.ร.บ.การพนัน ซึ่งโทษตามมาตรา 12 จำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากพบเห็นการเชิญชวน หรือมีส่วนเกี่ยวข้องในลักษณะใดก็ตาม ขอให้หลีกเลี่ยงทันที หรือแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันสร้างสังคมปลอดภัยและปราศจากการพนัน” นางสาวศศิกานต์ กล่าว

Advertisement

 

“ศุภมาส” เผย อว. จ่อหารือ ตรวจเข้ม นศ.ต่างชาติใช้วีซ่าเรียนลอบทำงาน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 22 เมษายน 2568 “ศุภมาส” เผย อว. เตรียมหารือ สตม. 23 เม.ย.นี้ กำหนดแนวทางเข้ม ตรวจนักศึกษาต่างชาติใช้วีซ่าเรียนลอบทำงานในไทย หากพบสถานศึกษาใดมีส่วนรู้เห็น จะดำเนินการตามกฎหมายเด็ดขาด

เมื่อวันที่ 22 เม.ย. 2568 น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รมว.อุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เปิดเผยถึงการดำเนินการตรวจสอบกรณีที่มีข่าวว่าคนจีนได้วีซ่านักเรียนมาทำงานในไซต์งานก่อสร้างต่างๆ ของไทย โดยมีมหาวิทยาลัยบางแห่งเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง ว่าขณะนี้ตนได้สั่งการให้กระทรวง อว. มีหนังสือถึงวิทยาลัยสงฆ์ลำพูน มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย (มจร.) และมหาวิทยาลัยเอกชนที่มีทุนจีนถือหุ้นทั้ง 3 แห่ง ให้รายงานข้อมูลนักศึกษาจีนที่มาเรียน ทั้งจำนวนสาขาที่เรียน เวลาที่ใช้เรียนจนจบการศึกษา และวีซ่านักเรียนที่ได้รับ โดยขอให้ส่งรายละเอียดทั้งหมดมายังกระทรวง อว. ภายใน 1 สัปดาห์ นอกจากนี้สิ่งที่กระทรวง อว. กำลังจะดำเนินการควบคู่กัน คือ การทำงานร่วมกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) โดยตนได้มอบหมายให้ น.ส.สุชาดา ซาง แทนทรัพย์ เลขานุการ รมว.อว. เป็นผู้แทนร่วมหารือกับ สตม. ในวันที่ 23 เมษายน นี้ ที่กระทรวง อว. เพื่อกำหนดแนวทางการตรวจสอบและติดตามนักศึกษาต่างชาติที่เดินทางเข้ามาศึกษาในประเทศไทยอย่างเข้มงวดมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะกรณีที่มีข้อสงสัยว่านักเรียนต่างชาติใช้วีซ่านักเรียนเป็นช่องทางในการเข้ามาทำงานผิดกฎหมาย

น.ส.ศุภมาส กล่าวต่อว่า การหารือร่วมกับ สตม. ในครั้งนี้ จะเป็นการบูรณาการข้อมูลระหว่างกระทรวง อว. กับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เพื่อให้สามารถตรวจสอบสถานะและพฤติกรรมของนักศึกษาต่างชาติได้อย่างเป็นระบบ และหากพบว่าสถานศึกษาใดมีส่วนรู้เห็นหรือปล่อยปละละเลยให้เกิดการใช้สถานะนักศึกษาในทางที่ไม่ถูกต้อง ก็จะดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเด็ดขาด

“กระทรวง อว. ยืนยันว่า ไม่ได้นิ่งนอนใจต่อกรณีที่เกิดขึ้น และจะเร่งดำเนินการให้เกิดความชัดเจนโดยเร็ว เพื่อรักษาความน่าเชื่อถือของระบบการอุดมศึกษาไทย และไม่ให้ประเทศไทยถูกใช้เป็นช่องทางในการลักลอบเข้ามาทำงานโดยผิดกฎหมาย” รมว.อว. กล่าว

ทั้งนี้ กระทรวง อว. จะเร่งจัดทำฐานข้อมูลกลางของนักศึกษาต่างชาติในประเทศไทย เพื่อใช้ประกอบการตรวจสอบกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงเตรียมทบทวนนโยบายและมาตรการในการรับนักศึกษาต่างชาติให้รัดกุมมากยิ่งขึ้นในอนาคต

Advertisement

Verified by ExactMetrics