วันที่ 20 พฤษภาคม 2024

ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 มีโอกาสหายป่วยสูงหรือไม่??

People Unity News : ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 มีโอกาสหายป่วยสูงหรือไม่??

ถ้าติดเชื้อไวรัสโควิด-19 มีโอกาสจะหายไหม?

Q: ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 มีโอกาสหายป่วยสูงหรือไม่ ??

A: ผู้ป่วยทั่วไปมีโอกาสหายจากโรคได้เอง สูงถึง 80 เปอร์เซ็นต์ แต่หากพบว่ามีอาการป่วยรุนแรง ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาโดยทันที

ข้อมูลจาก ศูนย์ข้อมูลมาตรการแก้ไขปัญหาจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019

COVID-19

โฆษณา

เตรียมตั้ง “กองบัญชาการตำรวจไซเบอร์” เพื่ออำนวยความยุติธรรมให้ประชาชน

People Unity News : โฆษก ตร. แจงตั้ง “ตำรวจไซเบอร์” เพื่ออำนวยความยุติธรรมให้ประชาชน

23 เมษายน 2563 พลตำรวจโท ปิยะ อุทาโย ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยถึงกระแสข่าวกรณีที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะมีการจัดตั้งหน่วยงานขึ้นมา เพื่อรับผิดชอบอาชญากรรมทางเทคโนโลยีครอบคลุมทั่วประเทศ ว่า จากสภาพปัญหาการขยายตัวของอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศในโลกยุคดิจิทัล ทำให้คดีอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสารสนเทศมีปริมาณเพิ่มขึ้น ทั้งคดีที่ส่งผลต่อความเดือดร้อนของประชาชนโดยตรง และคดีที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศ รัฐบาลภายใต้การนำของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี จึงได้มีนโยบายให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานเพื่อปกป้องประชาชน เยาวชน สังคมและประเทศชาติให้มีความปลอดภัย พลตำรวจเอก จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ  จึงได้มอบหมายให้ สำนักงานกำลังพล ไปทำการศึกษาและพิจารณาความเป็นไปได้ในการจัดตั้ง กองบัญชาการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ซึ่งจะเป็นหน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ตลอดจนมีวิธีการปฏิบัติงานเพื่อให้สามารถบริการประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

พลตำรวจโท ปิยะ กล่าวว่า ปัจจุบันคดีอาชญากรรมจำนวนมากกระทำผ่านเครือข่ายทางอินเตอร์เน็ต เช่น การฉ้อโกงหลอกขายสินค้าออนไลน์ , การหลอกให้โอนเงิน ,  Fake News , Roman Scam , การเข้าถึง โจมตีหรือทำลายข้อมูลคอมพิวเตอร์เพื่อเรียกค่าไถ่ เป็นต้น  ซึ่งคดีเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีความซับซ้อน การสืบสวนสอบสวนจำเป็นต้องดำเนินการโดยเร่งด่วน การเก็บพยานหลักฐาน การตรวจพิสูจน์ การวิเคราะห์แนวโน้มอาชญากรรม รวมถึงการพัฒนาระบบและบริหารจัดการองค์ความรู้ จำเป็นจะต้องมีบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน มีอุปกรณ์และเทคโนโลยีที่ทันสมัย ตลอดจนสามารถร่วมปฏิบัติหรือสนับสนุนการปฏิบัติของหน่วยงานอื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ บก.ปอท. ในปัจจุบัน มีขีดจำกัดในด้านกำลังพล ไม่สามารถรองรับคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยีที่มีแนวโน้มจำนวนคดีที่เกิดขึ้นสูงขึ้นในอนาคตได้

“ปัจจุบันสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงได้ร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และหน่วยงานต่างๆ ที่มีภารกิจด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ศึกษาและวิเคราะห์ความเป็นไปได้ในการจัดตั้ง กองบัญชาการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยจะพิจารณาถึงขีดความสามารถในการอำนวยความยุติธรรมและการให้บริการประชาชนเป็นหลัก ขอยืนยันกับพี่น้องประชาชนอีกครั้งว่า ไม่ได้ดำเนินการเพื่อปิดกั้นเสรีภาพในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารและการแสดงความคิดเห็นของประชาชนแต่อย่างใด แต่สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะมุ่งมั่นทุ่มเทและพัฒนาขีดความสามารถ เพื่อพิทักษ์ปกป้อง ประชาชน เยาวชน สังคม และประเทศชาติ ให้ปลอดภัยจากอาชญากรรมทางไซเบอร์ รวมถึงเป็นหลักประกันความยุติธรรมในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนที่มีมาตรฐานสากล” พลตำรวจโท ปิยะ กล่าว

โฆษณา

กรมธนารักษ์เริ่มใช้ราคาประเมินที่ดิน-สิ่งปลูกสร้างใหม่ 1 ม.ค. 66

People Unity News : 22 ธันวาคม 2565 กรมธนารักษ์เริ่มใช้บัญชีราคาประเมินที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้าง ตามพระราชบัญญัติการประเมินราคาทรัพย์สิน เพื่อประโยชน์แห่งรัฐ พ.ศ.2562 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 เป็นต้นไป โดยราคาประเมินที่ดินมีอัตราการเปลี่ยนแปลงราคาเพิ่มขึ้นเฉลี่ยทั้งประเทศประมาณร้อยละ 8.93 และราคาประเมินสิ่งปลูกสร้างเพิ่มขึ้นเฉลี่ยประมาณร้อยละ 6.21

วันนี้ (22 ธันวาคม 2565) ณ กรมธนารักษ์ นายจำเริญ โพธิยอด อธิบดีกรมธนารักษ์ เปิดเผยว่า ประธานคณะกรรมการประจำจังหวัดแต่ละจังหวัดได้มีการประกาศบัญชีราคาประเมินที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามพระราชบัญญัติการประเมินราคาทรัพย์สินเพื่อประโยชน์แห่งรัฐ พ.ศ. 2562 แล้ว ตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคม 2564 แต่เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในปัจจุบันยังคงส่งผลกระทบโดยรวมต่อภาวะเศรษฐกิจของประเทศ จึงให้เริ่มใช้บัญชีดังกล่าวในวันที่ 1 มกราคม 2566 เพื่อลดภาระกับประชาชนที่จะต้องนำราคาประเมินไปใช้เป็นฐานในการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง รวมทั้งภาษีอากรและค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม ซึ่งขณะนี้กรุงเทพมหานครและจังหวัดต่างๆ ได้ดำเนินการติดประกาศและเตรียมข้อมูลเผยแพร่แล้ว ดังนั้น ราคาประเมินใหม่จะใช้ตั้งแต่ 1 มกราคม 2566 ถึง 31 ธันวาคม 2569 โดยราคาประเมินที่ดินมีอัตราการเปลี่ยนแปลงราคาเพิ่มขึ้นเฉลี่ยทั้งประเทศ ประมาณร้อยละ 8.93 และราคาประเมินสิ่งปลูกสร้างเพิ่มขึ้นเฉลี่ยประมาณร้อยละ 6.21 เมื่อเทียบกับรอบบัญชีที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ซึ่งใช้มาเป็นระยะเวลา 7 ปี โดยที่กรุงเทพมหานคร มีอัตราการเปลี่ยนแปลงราคาประเมินที่ดินเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 2.76 และราคาประเมินสิ่งปลูกสร้างเพิ่มขึ้นเฉลี่ย ร้อยละ 4.60

นายจำเริญกล่าวต่อว่า สำหรับปีภาษี 2566 จะใช้ราคาประเมินที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง รอบบัญชี พ.ศ. 2566-2569 ไปใช้เป็นฐานในการคำนวณภาษีตามพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 ซึ่งจากข้อมูลที่ผ่านมามีจำนวนการจดทะเบียนซื้อขายเฉลี่ยปีละประมาณ 7 ล้านแปลง คิดเป็นร้อยละ 20 จากจำนวนแปลงที่ดินทั้งหมด และราคาดังกล่าวยังนำไปใช้ในการจัดเก็บภาษีตามพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งหากประชาชนที่เป็นเจ้าของที่ดินใช้ประโยชน์ที่ดินเป็นเกษตรกรรมหรือเป็นที่อยู่อาศัย (บ้านหลังหลัก) มีมูลค่าไม่เกิน 50 ล้านบาท จะได้รับการยกเว้นภาษี ซึ่งถือว่าประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้รับผลกระทบแต่จะได้รับผลกระทบกับประชาชนผู้ที่ถือครองที่ดินที่มีจำนวนมาก และมีบ้านมากกว่า 1 หลัง สำหรับผู้เช่าที่ราชพัสดุยังจะต้องจ่ายค่าภาษี ซึ่งไม่ได้รับการยกเว้น

ทั้งนี้ ประชาชนสามารถตรวจสอบราคาประเมินที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง รอบบัญชี พ.ศ. 2566-2569 ได้ที่เว็บไซต์กรมธนารักษ์ www.treasury.go.th หรือแอปพลิเคชัน TRD Property Valuation และสอบถามราคาประเมินที่ดิน โทร. 0 2270 0360 – 63 และ Call Center กรมธนารักษ์ โทร. 0 2059 4999

Advertisement

โฆษก ศบค. เผยทหารสหรัฐที่เข้าฝึกในไทย 110 นาย ทุกนายผ่านการตรวจและเข้ากักตัว

People Unity News : โฆษก ศบค. เผย ทหารต่างชาติที่เข้าฝึกในไทย 110 นาย ทุกนายผ่านการตรวจตามมาตรการของ ศบค. และเข้ากักตัวใน ASQ

3 ส.ค. 63 เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงสถานการณ์ประจำวัน และมาตรการในการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ว่า สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของโลก มีผู้ป่วยติดเชื้อรวม 18.2 ล้านกว่าคน เฉลี่ยวันละประมาณ 2 แสนถึง 2.8 แสนคน ช่วงเวลา 3-4 วันมีผู้ป่วย 1 ล้านคน ถือว่าเป็นตัวเลขที่ยังเป็นวิกฤตของโลก ซึ่งก่อนหน้านี้ต้องใช้เวลาเป็นสิบวันกว่าจะมีผู้ป่วย 1 ล้านคน ขณะนี้จำนวนผู้เสียชีวิตรวมของโลกเพิ่มขึ้นอีก 4,000 กว่าคน รวมจำนวนผู้เสียชีวิตทั้งโลก 6.9 แสนกว่าคน คาดพรุ่งนี้จะถึง 7 แสนคน โดยสหรัฐอเมริกาเป็น อันดับ 1 รองลงมาคือบราซิล อินเดีย รัสเซีย และแอฟริกาใต้ ส่วนประเทศไทยอยู่อันดับที่ 110 เท่ากับวานนี้ ด้านตัวเลขผู้ป่วยใหม่ของประเทศในเอเชีย ได้แก่ อินโดนีเซีย 1,519 ราย ฟิลิปปินส์ 4,900 ราย คูเวต 463 ราย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 239 ราย สิงคโปร์ 313 ราย บาห์เรน 346 ราย เวียดนาม มีผู้ป่วยใหม่ 31 ราย และมีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 6 ราย

โฆษก ศบค. รายงานว่า จำนวนคนไทยที่เดินทางกลับจากต่างประเทศวันนี้ มีผู้เดินทางกลับรวม 207 คน วันพรุ่งนี้ 201 คน และรายงานเพิ่มเติมเกี่ยวกับเที่ยวบินที่นำทหารสหรัฐอเมริกาเข้ามาฝึกในไทย วันนี้จะเดินทางจากกวม 71 นาย และจากโยโกตา 32 นาย และพรุ่งนี้จะเดินทางเข้ามาอีก 7 นาย โดยทหารทุกนายผ่านการตรวจตามมาตรการของ ศบค. และเข้ากักตัวในสถานกักตัวทางเลือก หรือ ASQ

Advertising

การประปาฯ-กรมชลประทาน เฝ้าระวังน้ำทะเลหนุนรอบใหม่ 5-15 พ.ค.นี้

Wash your hands with clean water from the faucet.

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 6 พฤษภาคม 2567 ปทุมธานี – กปน.-กรมชลประทาน เตรียมแผนรับมือน้ำทะเลหนุนรอบใหม่วันที่ 5-15 พ.ค.นี้ หลังช่วงปลายเดือน เม.ย. ทำให้น้ำเค็มเกินมาตรฐาน ส่งผลให้น้ำประปาอาจมีรสชาติเปลี่ยนแปลงบ้าง มั่นใจทุกขั้นตอนผลิตน้ำประปาที่ต้นสถานีสูบน้ำดิบสำแลถึงผลิต 3 แห่ง น้ำประปามีคุณภาพสูง ขอให้ประชาชนสบายใจ และขอให้ตามข้อมูลคุณภาพน้ำสม่ำเสมอ

นายรักษ์ศักดิ์ สุริยหาร รองผู้ว่าการการประปานครหลวง (กปน.) รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการ กปน.กล่าวว่า จากปัญหาภัยแล้งและสภาพอากาศร้อนจัดที่เกิดขึ้น กปน. ได้ติดตามสถานการณ์น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาใกล้ชิด โดยที่ผ่านมา ได้เกิดภาวะน้ำทะเลหนุนถึงจุดรับน้ำดิบเข้าคลองประปาของ กปน. บริเวณสถานีสูบน้ำดิบสำแล อ.เมือง จ.ปทุมธานี ในบางช่วงเวลา ซึ่ง กปน. ได้ประสานความร่วมมือกับกรมชลประทาน ในการผลักดันน้ำเค็มให้ไกลบริเวณสถานีสูบน้ำดิบสำแล เพื่อให้ลูกค้าได้รับผลกระทบน้อยที่สุด และหากการระบายน้ำยังอยู่ในอัตราคงที่ อาจส่งผลให้น้ำประปามีรสชาติเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในบางช่วงเวลา ในบางพื้นที่ของกรุงเทพมหานคร นนทบุรี และสมุทรปราการ

ทั้งนี้ หลังค่าความเค็มที่บริเวณสถานีสูบน้ำดิบสำแล อำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี จากภาวะน้ำทะเลหนุนสูงช่วงในช่วงวันที่ 25-30 เมษายนที่ผ่ามา เกินมาตรฐานที่ 0.50 กรัมต่อลิตรบางช่วงเวลานั้น ทั้งกรมชลประทานและ กปน.เฝ้าติดตามใกล้ชิด แต่ขณะนี้เริ่มคลี่คลายลงไปมากแล้ว แต่ยังคงต้องเฝ้าระวังน้ำทะเลหนุนสูงอีกรอบในช่วงวันที่ 5-15 พฤษภาคมนี้ อาจทำให้บริเวณสถานีสูบน้ำดิบสำแลมีน้ำเค็มเกินมาตรฐานอีกขึ้นมาได้ และล่าสุดในเวลา 06.00 น. วันที่ 5 พ.ค. ค่าน้ำอยู่ที่ 0.27 กรัมต่อลิตร เท่ากับวานนี้ ตลอดทั้งวันของเมื่อวานนี้ ถือว่าไม่เกินค่ามาตรฐานที่ 0.50 กรัมต่อลิตรแต่อย่างใด

ทั้งนี้ การติดตามโดยกรมชลประทานได้ประสานกับการประปานครหลวงจะลดการสูบน้ำเข้าระบบช่วงที่ค่าความเค็มเกินเกณฑ์มาตรฐาน หากช่วงที่ไม่เกินมาตรฐานให้เพิ่มปริมาณการสูบเข้าระบบ เพื่อเจือจางไม่ให้เกิดความเปลี่ยนแปลงด้านรสชาติของน้ำประปาที่ส่งเลี้ยงพื้นที่กรุงเทพมหานคร นนทบุรี และสมุทรปราการ หากช่วงน้ำทะเลหนุน แต่หากมีความเค็มเกินมาตรฐาน กปน.จะแจ้งข่าวสารให้ประชาชนทราบ อาจทำให้น้ำประปามีรสชาติเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยช่วงเวลาบางพื้นที่ของกรุงเทพมหานคร นนทบุรี และสมุทรปราการ ดังนั้น กปน. ขอความร่วมมือประชาชนกรุงเทพมหานคร นนทบุรี และสมุทรปราการ ติดตามข้อมูลคุณภาพน้ำจาก กปน. อย่างสม่ำเสมอ และร่วมกันใช้น้ำอย่างประหยัด เพื่อรักษาทรัพยากรน้ำอันมีค่า พร้อมรับมือกับปริมาณน้ำที่น้อยลงในปีนี้

อย่างไรก็ตาม เพื่อสร้างความมั่นใจต่อการบริโภคน้ำดื่ม น้ำใช้ แก่ประชาชน กปน. โดยสถานีสูบน้ำดิบสำแล ตั้งอยู่ในตำบลบ้านกระแชง อำเภอเมืองจังหวัดปทุมธานี เป็นจุดเริ่มต้นของการรับน้ำดิบจากแม่น้ำเจ้าพระยา ด้านคลองประปาฝั่งตะวันออก ก่อนเข้าสู่กระบวนการผลิตและนำจ่ายภาคครัวเรือนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร 100% อยู่ห่างจากกรุงเทพมหานคร 41 กิโลเมตรไกลจากปากอ่าวไทย 90 กิโลเมตรมีปริมาณการสูบน้ำดิบประมาณ 3.8 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน ซึ่งระบบการผลิตและสูบน้ำประปานั้น เริ่มจากการดึงแหล่งน้ำดิบจากแม่น้ำเจ้าพระยาเข้าสู่การคัดกรองภายในจนได้น้ำดิบผ่านออกทางคลองประปาฝั่งตะวันออกระยะทาง 30.5 กิโลเมตร เข้าสู่ระบบผลิตที่ผลิตน้ำบางเขน โรงผลิตน้ำสามเสนและโรงผลิตน้ำธนบุรี ก่อนส่งต่อสถานีจ่ายน้ำฝั่งตะวันออกสู่สำนักงานประปาสาขาและไปยังภาคครัวเรือนให้ประชาชนได้ใช้กัน

ทัังนี้ ทุกขั้นตอน ก่อนจะส่งน้ำดิบเข้าสู่คลองชลประทานทุกระบบมีการจัดการที่ดีมากทั้งการติดตั้งประตูตะแกรงดักจับขยะถึง 3 ชั้น มีการตรวจสอบคุณภาพน้ำเป็นประจำ มีระบบหมุนเวียนน้ำ โดยใช้ปลาตะเพียนขาวอายุประมาณ 3 เดือน เป็นตัวทดสอบ ซึ่งปลาตะเพียนขาวเป็นสัตว์ที่ไวต่อสารเคมีและสิ่งเจือปนในน้ำ หากพบผิดปกติทางเจ้าหน้าที่จะเร่งนำตัวอย่างน้ำเข้าตรวจสอบทันที ดังนั้น การใช้ปลาตะเพียนขาว จะมีการเปลี่ยนยกชุดทุกๆ 1 เดือน และภายในสถานีมีเครื่องผลิตน้ำดิบถึง 9 เครื่อง เพื่อให้การผลิตประปาเพียงพอและทันต่อการบริโภคของประชาชน โดยทุกขั้นตอนคำนึงถึงคุณภาพและความสะอาดเป็นหลัก เพื่อมอบสิ่งที่ดีและความสะอาดให้กับประชาชนชาวกรุงเทพมหานคร

ที่สำคัญ สถานีแห่งนี้อยู่ระหว่างก่อสร้างเพิ่มเติมประตูป้องกันน้ำท่วมและกำแพงสูงโดยรอบเพื่อป้องกันในแต่ละปีเมื่อถึงรอบน้ำเยอะจนทำให้แม่น้ำเจ้าพระยามีน้ำสูงและท่วมโดยรอบบริเวณได้ ซึ่งประตูป้องกันน้ำท่วมนี้ คาดว่าจะแล้วเสร็จในปีหน้า นอกจากเป็นประตูป้องกันน้ำท่วมแล้ว จะใช้ควบคู่ในช่วงปกติหากเวลาใดน้ำทะเลหนุนสูงและมีความเค็มเกินมาตรฐานจะปิดประตูป้องกันน้ำท่วมชั่วคราวเพื่อลดปัญหาน้ำเค็มเข้ามาในสถานีแห่งนี้ได้ พร้อมทั้งมีแผนขยายพื้นที่เก็บน้ำภายในสถานีหากช่วงเวลาน้ำทะเลหนุนมีความเค็มภายนอกนานจะได้ปล่อยน้ำที่ไม่เกินค่ามาตรฐานไปยัง 3 สถานีผลิตน้ำสะอาดได้ต่อไป

ประชาชนสามารถติดตามคุณภาพน้ำประปารายวันได้ ผ่านช่องทางการติดต่อออนไลน์ ตลอด 24 ชั่วโมง ทั้ง Facebook / Line / X และ Instagram : @MWAthailand และสามารถติดตามค่าคุณภาพน้ำต่าง ๆ แบบเรียลไทม์ได้ทาง http://twqonline.mwa.co.th และแอปพลิเคชัน MWA onMobile ได้

Advertisement

อุตุฯ เผยไทยตอนบนฝนฟ้าคะนอง ระวังลมแรงบางพื้นที่

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 22 เมษายน 2567 กรมอุตุฯ เผยประเทศไทยมีอากาศร้อนถึงร้อนจัด ส่วนไทยตอนบนมีฝนฟ้าคะนองกับมีลมกระโชกแรงบางพื้นที่ ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรง ภาคใต้ตอนล่างมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่ง กรุงเทพฯ-ปริมณฑล อากาศร้อนจัด

กรมอุตุนิยมวิทยาพยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า ความกดอากาศต่ำเนื่องจากความร้อนปกคลุมประเทศไทยตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีอากาศร้อนถึงร้อนจัดโดยทั่วไป กับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน ขอให้ประชาชนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนถึงร้อนจัด โดยหลีกเลี่ยงการทำงานหรือการประกอบกิจกรรมในที่โล่งแจ้งเป็นระยะเวลานานไว้ด้วย

ขณะที่มีลมตะวันตกเฉียงใต้และลมใต้พัดปกคลุมประเทศไทยตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีฝนฟ้าคะนอง กับมีลมกระโชกแรงเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรงในระยะนี้ไว้ด้วย

สำหรับลมตะวันตกและลมตะวันตกเฉียงเหนือพัดปกคลุมทะเลอันดามันและภาคใต้ ประกอบกับมีลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมอ่าวไทยตอนล่าง ทำให้ภาคใต้ตอนล่างมีฝนเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักบางแห่ง คลื่นลมบริเวณทะเลอันดามัน มีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง คลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย

กรุงเทพฯ และปริมณฑล อากาศร้อนถึงร้อนจัดโดยทั่วไป กับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน อุณหภูมิต่ำสุด 29-30 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 37-41 องศาเซลเซียส

Advertisement

อุตุฯ เผยภาคกลาง-ตะวันออก-ใต้ ฝนตกหนักบางแห่ง กทม.ฟ้าคะนอง 60%

People Unity News : 8 พฤศจิกายน 2566 กรมอุตุฯ เผยบริเวณภาคกลาง กทม.-ปริมณฑล ภาคตะวันออก และภาคใต้ มีฝนตกหนักบางแห่ง ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนตกสะสม

กรมอุตุนิยมวิทยาพยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า บริเวณความกดอากาศสูงที่ปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้มีกำลังอ่อนลง ทำให้บริเวณดังกล่าวมีหมอกในตอนเช้า ขณะที่ลมตะวันออกที่พัดปกคลุมภาคตะวันออก อ่าวไทย และภาคใต้ มีกำลังแรงขึ้น ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณภาคกลาง กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก และภาคใต้ มีฝนตกหนักบางแห่ง ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนตกสะสม รวมทั้งเพิ่มความระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองในระยะนี้ไว้ด้วย

สำหรับคลื่นลมบริเวณอ่าวไทย และทะเลอันดามัน มีกำลังอ่อน โดยมีคลื่นต่ำกว่า 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย

กรุงเทพฯ และปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่ กับมีฝนตกหนักบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-35 องศาเซลเซียส

Advertisement

ธนาคารรัฐออกประกาศแจ้งเวลาให้บริการหลัง ศบค. มีมติให้ 10 จังหวัดเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุด

People Unity News : สมาคมสถาบันการเงินของรัฐ ออกประกาศมาตรการรองรับการให้บริการลูกค้า ขานรับแผนการยกระดับมาตรการป้องกันโควิด-19 ของ ศบค.

10 ก.ค.64 ตามที่การประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2564 ได้มีมติ เห็นชอบให้ยกระดับมาตรการป้องกันควบคุมโรคโควิด-19 สำหรับ 10 จังหวัดในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร ปัตตานี นราธิวาส ยะลา สงขลา โดยจำกัดการเคลื่อนย้ายและการรวมกลุ่มของบุคคลขั้นสูงสุด รวมถึงกำหนดเวลาการออกนอกเคหะสถาน เพื่อให้สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ให้เท่าทันต่อสถานการณ์นั้น

สมาคมสถาบันการเงินของรัฐ (สงร.) และธนาคารสมาชิกทุกแห่ง ประกอบด้วย ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) พร้อมที่จะให้บริการลูกค้าประชาชนอย่างต่อเนื่องภายใต้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยในส่วนของการให้บริการ ณ ที่ทำการสาขาทุกแห่งของธนาคารนั้น ยืนยันว่า ยังให้ความสำคัญกับมาตรการรองรับการให้บริการแก่ลูกค้า ตามแนวทางของกระทรวงสาธารณสุข และหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง ดังนี้

1.ธนาคารอาจพิจารณาปิดให้บริการสาขาบางแห่งตามความจำเป็น โดยเฉพาะในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดทั้ง 10 จังหวัด  เป็นการชั่วคราว ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรสาคร นครปฐม สมุทรปราการ สงขลา ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส ซึ่งลูกค้าสามารถตรวจสอบสาขาที่ปิดให้บริการชั่วคราวได้ตามประกาศที่ทาง website ของแต่ละธนาคาร

2.กำหนดเวลาเปิดทำการสาขาทั้งประเทศ ตั้งแต่วันที่ 10 กรกฎาคม 2564 ดังนี้

สาขาในห้าง/สาขาที่เปิดให้บริการไม่เกิน 17.00 น. จะยังคงเปิดให้บริการเวลาไม่เกิน 17.00 น.

สาขาอื่นๆ เปิดให้บริการเวลาไม่เกิน 15.30 น.

สาขาใน 3 จังหวัดภาคใต้ ประกอบด้วย ยะลา นราธิวาส และปัตตานี เปิดให้บริการเวลาไม่เกินเวลา 15.00 น.

จำกัดช่องให้บริการและจำนวนลูกค้าในสาขา เพื่อเว้นระยะห่างทางสังคม และลดความแออัด

กรณีสาขามีพนักงานหรือลูกค้าติดเชื้อ ให้ปฏิบัติ ดังนี้

ให้แต่ละธนาคารปิดบริการสาขาที่มีผู้ติดเชื่อเป็นการชั่วคราว เพื่อทำความสะอาด/ฆ่าเชื้อ และกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งเมื่อดำเนินการเสร็จ

พนักงานที่สัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วย ให้ตรวจหาเชื้อ/และกักตัวเองในที่พักทันที ตามระยะเวลาที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด

จัดให้มีพนักงานปฏิบัติงานทดแทน และต้องเป็นพนักงานที่ไม่เกี่ยวข้องหรือสัมผัสเชื้อ

ทั้งนี้ มาตรการรองรับการให้บริการลูกค้าในที่ทำการสาขา จัดทำขึ้นเพื่อความปลอดภัยของลูกค้าและพนักงาน รองรับความต้องการของลูกค้าที่ประสงค์เข้ามาทำธุรกรรมสำคัญต่างๆ ที่สาขาของธนาคาร อาทิ การฝาก/ถอน/โอนเงิน ชำระสินเชื่อ หรือค่าบริการต่างๆ ธุรกรรมด้านสินเชื่อ และการทำนิติกรรม ขณะเดียวกันลูกค้ายังสามารถใช้บริการสำคัญของธนาคารเพิ่มเติมที่ตู้อิเล็กทรอนิกส์ เช่น ตู้ ATM ซึ่งธนาคารทุกแห่งได้เตรียมสำรองธนบัตรไว้อย่างเพียงพอ รวมถึงการให้บริการผ่าน Application Mobile Banking ของแต่ละธนาคาร เพื่อลดการเดินทาง ลดความเสี่ยง และการสัมผัสธนบัตร เพื่อให้ความร่วมมือกับภาครัฐในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ต่อไป

อย่างไรก็ตาม มาตรการที่สถาบันการเงินของรัฐ และธนาคารสมาชิกทุกแห่งมีออกมาในขณะนี้นั้น เป็นเพียงมาตรการเบื้องต้นที่จะช่วยดูแลลูกค้าประชาชนให้ได้รับความสะดวกในการใช้บริการอย่างเต็มที่ โดยจากนี้ไปธนาคารสมาชิกแต่ละแห่ง พร้อมจะมีมาตรการที่เข้มข้นมากขึ้น เพื่อดูแลให้ลูกค้าประชาชนได้รับความปลอดภัยและสะดวกสบายใจการใช้บริการทางการเงินกับธนาคารทุกแห่งให้มากที่สุดต่อไป

Advertising

 

วันนี้ ปชช.ใช้คนละครึ่งเฟส 5 ได้แล้ว

People Unity News : 1 กันยายน 2565 รัฐบาลชวนประชาชนใช้สิทธิ “คนละครึ่ง เฟส 5” ตั้งแต่วันนี้ ถึง 31 ต.ค. แนะผู้ใช้สิทธิทั้งรายเก่า รายใหม่เร่งลงทะเบียน

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  กล่าวเชิญชวนประชาชนผู้มีสิทธิในโครงการ “คนละครึ่ง เฟส 5” ซึ่งเริ่มใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 ต.ค. 65  โดยรัฐร่วมจ่ายร้อยละ 50 ไม่เกิน 150 บาท/คน/วัน  ไม่เกิน 800 บาทต่อคน ตลอดระยะเวลาโครงการฯ สำหรับประชาชนรายใหม่ที่ไม่เคยใช้สิทธิ์หรือไม่เคยยืนยันตัวตน ขอให้เร่งยืนยันตัวตนก่อนใช้สิทธิ์ครั้งแรก โดยใช้บัตรประชาชนยืนยันตันตนที่ตู้เอทีเอ็ม สีเทา ของธนาคารกรุงไทย หรือธนาคารกรุงไทยฯ ทุกสาขา หรือผ่านแอปพลิเคชั่น Krungthai NEXT ซึ่งผู้มีสิทธิรายใหม่และรายเดิมจะต้องใช้สิทธิครั้งแรกผ่านเป๋าตังภายในวันพุธที่ 14 กันยายน 2565 เวลา 22.59 น. เพื่อไม่ให้ถูกตัดสิทธิ์

“สำหรับความคืบหน้าการลงทะเบียนของประชาชนและผู้ประกอบการร้านค้า ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2565 เวลา 15.00 น. ประชาชนรายเดิมที่เคยใช้สิทธิโครงการฯระยะที่ 4 กดยืนยันสิทธิเข้าร่วมโครงการแล้วจำนวน 18.76 ล้านราย หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 71.41 ของจำนวนประชาชนรายเดิมทั้งสิ้น 26.27 ล้านราย ส่วนประชาชนรายใหม่ ได้ลงทะเบียนเข้าร่วมครบ 2.30 แสนรายแล้ว ในส่วนของผู้ประกอบการร้านค้า ณ วันที่ 30 สิงหาคม 2565 เวลา 23.00น. มีผู้ประกอบการร้านค้าลงทะเบียนเข้าร่วมสะสมแล้วทั้งสิ้น 426,328 ร้านค้า ทั้งนี้ ผู้ประกอบการ ร้านค้า ยังสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ จนกว่ากระทรวงการคลังจะประกาศปิดรับสมัคร” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  กล่าว

นายอนุชา กล่าวว่า โครงการคนละครึ่งเฟส 5 ใช้วงเงินรวม 21,200 ล้านบาท รัฐบาลมีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศ บรรเทาภาระค่าใช้จ่ายให้ประชาชน และช่วยเพิ่มสภาพคล่องและกระตุ้นรายได้ให้ร้านค้าและผู้ประกอบการรายย่อย ผ่านการใช้จ่ายค่าอาหาร เครื่องดื่ม สินค้าและบริการทั่วไป รวมถึงบริการขนส่งสาธารณะ จึงขอเชิญชวนให้ประชาชนใช้สิทธิวงเงิน ตามกรอบระยะเวลา เพื่อร่วมกันสนับสนุนเศรษฐกิจฐานราก เดินหน้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยทุกระดับให้ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง

Advertisement

กระทรวงเกษตรฯปลื้ม ครม.ไฟเขียว “ปลากัด” เป็นสัตว์น้ำประจำชาติ

People unity : กระทรวงเกษตรฯ ปลื้ม ครม.ไฟเขียวให้ “ปลากัด” เป็นสัตว์น้ำประจำชาติ มีเอกลักษณ์โดดเด่นสะท้อนความเป็นคนไทย

เมื่อวานนี้ (5 ก.พ. 2562) นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเข้าร่วมการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม. มีมติเห็นชอบให้ปลากัดไทยเป็นสัตว์น้ำประจำชาติ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมประมงเสนอ โดยการดำเนินงานที่ผ่านมา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ผลักดันเรื่องดังกล่าวมาเป็นเวลากว่าหนึ่งปี ซึ่งการเห็นชอบของที่ประชุม ครม. ในวันนี้นับว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก ที่ผ่านมาได้มีการประชุมคณะกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติ ครั้งที่2/2560 เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2560 โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) เป็นประธาน ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้ปลากัดเป็นสัตว์น้ำประจำชาติ ต่อมาในการประชุมคณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ ครั้งที่ 2/2561 เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2561 โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เป็นประธาน มีมติให้ปลากัดไทยเป็นสัตว์น้ำประจำชาติ และการประชุมคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2562 เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2562 โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เป็นประธาน มีมติให้ปลากัดไทยเป็นปลาประจำชาติ จนในวันนี้ได้ผ่านการเห็นชอบจาก ครม. เป็นขั้นตอนสุดท้ายเรียบร้อยแล้ว

สำหรับสาระสำคัญของการเสนอให้ปลากัดเป็นสัตว์น้ำประจำชาติ ประกอบด้วย 3 ด้าน คือ 1. ด้านวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์  เป็นที่ทราบกันดีว่า คนไทยรู้จัก คุ้นเคย และมีความผูกพันกับปลากัดมาตั้งแต่โบราณ ซึ่งมีหลักฐานยืนยัน และเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2556 กระทรวงวัฒนธรรมได้ประกาศขึ้นทะเบียนให้ปลากัดเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติ 2. ด้านความเป็นเจ้าของ และความมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว “ปลากัดไทย” ที่เสนอให้เป็นสัตว์น้ำประจำชาติ ชื่อวิทยาศาสตร์ Betta splendens ชื่อสามัญ “Siamese Fighting Fish” หรือ “Siamese Betta” มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทย เป็นสายพันธุ์ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น จนเป็นที่รู้จัก และได้รับการยอมรับกันอย่างกว้างขวางในระดับสากล ชื่อ Siamese จึงเป็นเครื่องสะท้อนอย่างชัดเจนว่า ปลากัดไทยนั้นเป็นเครื่องพิสูจน์ความเป็นเจ้าของได้ อีกทั้งไทยเป็นแหล่งอ้างอิงมาตรฐานหลักของปลากัดอีกด้วย และ 3. ด้านประโยชน์ใช้สอย ปลากัดไทยได้ก่อให้เกิดประโยชน์ใช้สอยในหลายประการ โดยเฉพาะด้านการส่งเสริมการเพาะเลี้ยง และการสร้างนวัตกรรมด้านการเพาะพันธุ์ ซึ่งนําไปสู่การค้าเชิงพาณิชย์และก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล ข้อมูลส่งออกปลากัดไทยกว่า 95 ประเทศ ปริมาณการส่งออกระหว่างปี 2556 – 2560 ประมาณ 20.85 ล้านตัว/ปี มูลค่าไม่ต่ำกว่า 115.45 ล้านบาท/ปี หรือ 5.42 บาท/ตัว และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นทุกปี ปัจจุบันมีการเลี้ยงปลากัดไทยทั่วโลก โดยด้านพันธุศาสตร์นั้น ชื่อของปลากัดจีน ปลากัดมาเลย์ และปลากัดอินโด แม้จะมีชื่อเรียกที่แตกต่างกันไป แต่มีที่มาจากสายพันธุ์เดียวกับปลากัดป่าของไทยทั้งสิ้น โดยจังหวัดนครปฐมเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุด ปัจจุบันความนิยมของปลากัดไทยประเภทกัดเก่งนั้นลดลงมาก ขณะที่ได้รับความสนใจในด้านการพัฒนาสายพันธุ์เน้นที่ความสวยงาม ทําให้มีการเพาะเลี้ยงทั่วประเทศ มีการขึ้นทะเบียนเกษตรกรกับกรมประมง จํานวน 1,500 ราย เกษตรกรที่เพาะเลี้ยงปลากัดไทยมีการกระจายทั่วพื้นที่ของประเทศไทยจํานวน 500 ราย และมีผู้ที่เลี้ยงรายย่อย ผู้ชื่นชอบการเลี้ยงปลากัดไทยมากกว่า 100,000 ราย ซึ่งปลากัดไทยสามารถสร้างอาชีพที่มั่นคงให้กับชุมชนได้ รวมทั้งมีการเพาะเลี้ยงปลากัดเพื่อเอาไว้กัดแข่งขันเป็นกีฬา หรือนิยมเลี้ยงไว้ดูเล่นเพื่อความเพลิดเพลิน รวมถึงมอบเป็นของขวัญในวันพิเศษ และยังสามารถนําไปใช้เป็นสัญลักษณ์ของไทย ตลอดจนนําไปใช้ประกอบสินค้าและผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพื่อสะท้อนความเป็นไทยได้

นายกฤษฎา กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ปลากัดไทยมีความเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นด้านพฤติกรรมการต่อสู้ นับเป็นสัตว์น้ำเพียงชนิดเดียวของไทยที่มีลักษณะดังกล่าว เหมาะกับการเป็นสัตว์น้ำประจำชาติเนื่องจาก คล้ายกับลักษณะของคนไทยที่รักและหวงแหนชาติ ปกป้องแผ่นดินจากข้าศึก สู้รบอย่างกล้าหาญ แม้ปลากัดไทยจะมีลักษณะดุดัน แต่ในยามสงบ กลับอ่อนโยน นุ่มนวลสอดคล้องกับนิสัยคนไทย เหมือนส่วนหนึ่งของเนื้อเพลงชาติ “ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด”

“กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ขอขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงกลุ่มคนเลี้ยงปลากัดที่ร่วมผลักดันข้อเสนอดังกล่าวนี้ รวมทั้งนักวิชาการสาขาต่างๆ ที่ร่วมสนับสนุนข้อมูลจนผ่านการพิจารณาและได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ ซึ่งในวันนี้ ครม. ก็ได้มีมติเห็นชอบให้ปลากัด เป็นสัตว์น้ำประจำชาติเรียบร้อยแล้ว ถือเป็นความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากที่ผ่านมาได้มีการขับเคลื่อนกันอย่างเต็มที่เนื่องจากปลากัดเป็นสัตว์ที่มีเอกลักษณ์ มีถิ่นฐานอยู่ในประเทศไทย มีความผูกพันทางด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม และมีผลประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ มีการพัฒนาพันธุ์เพื่อการค้า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ยืนยันจะผลักดันเรื่องต่างๆที่เกี่ยวข้องกับปลากัดไทยให้เดินหน้าต่อไปในหลากหลายมิติยิ่งขึ้น อาทิ การค้าออนไลน์ การร่วมมือกับหน่วยงานอื่นๆ เช่น บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ที่สนับสนุนธุรกิจสัตว์น้ำสวยงามด้วยระบบการขนส่งปลากัดภายในประเทศ ผลักดันและสนับสนุนให้เกิดความรวดเร็วและมีความปลอดภัยไปจนถึงมือลูกค้า ตลอดจนร่วมมือกับธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือเอสเอ็มอีแบงก์เพื่อพัฒนาแผนธุรกิจปลากัดไทย” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าว

ข่าวด่วน : กระทรวงเกษตรฯปลื้ม ครม.ไฟเขียว “ปลากัด” เป็นสัตว์น้ำประจำชาติ

People unity : post 6 กุมภาพันธ์ 2562 เวลา 11.20 น.

Verified by ExactMetrics