วันที่ 16 กันยายน 2025

ไทยไม่ยอมรับเขตอำนาจศาลโลก ย้ำขอใช้กรอบ JBC

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 5 มิถุนายน 2568 รัฐบาลออกแถลงการณ์กรณีไทย-กัมพูชา ยืนยันประเทศไทยไม่ยอมรับเขตอำนาจศาลโลกมาตั้งแต่ พ.ศ. 2503 จนถึงปัจจุบันแล้ว ย้ำขอใช้กรอบ JBC ในทุกระดับแก้ปัญหาระหว่างกัน

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ภายหลังเกิดแหตุการณ์ที่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมานั้น เวลา 16.30 น. รัฐบาลได้ออกแถลงการณ์กรณีดังกล่าว เป็นฉบับที่ 2 ดังนี้

นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ปะทะที่บริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ทั้งสองฝ่ายได้หารือและตกลงกันที่จะใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหา ได้แก่ คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Border Commission: JBC) คณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา (General Border Committee: GBC) และคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee: RBC) บนพื้นฐานของความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างไทย-กัมพูชา ซึ่งเป็นผลมาจากการหารือระหว่างผู้บัญชาการทหารบกของทั้งสองฝ่าย เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2568

ทั้งนี้ ตามที่กัมพูชาแสดงความตั้งใจที่จะใช้กลไกของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice: ICJ) นั้น

ประเทศไทยประกาศไม่ยอมรับในเขตอำนาจของ ICJ มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2503 จนถึงปัจจุบัน โดยทั้งสองฝ่ายมีกลไกทวิภาคีในการจัดการประเด็นปัญหาชายแดนอยู่แล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ได้ตกลงกันตั้งแต่แรก สิ่งที่สำคัญคือ ทั้งสองฝ่ายต้องแก้ไขปัญหาในบริเวณที่มีการกระทบกระทั่งกันเท่านั้น ไม่ขยายประเด็นปัญหาออกไป ซึ่งจะสร้างความซับซ้อนของปัญหามากขึ้น

ประเทศไทยไม่ต้องการเห็นฝ่ายใดได้รับความสูญเสียใดๆ และประเทศไทย-กัมพูชา มีกลไกเรื่องเขตแดนอยู่แล้ว ซึ่งกลไกดังกล่าว โดยเฉพาะการทำงานของ JBC ในช่วง 26 ปีที่ผ่านมา ก็มีความคืบหน้าในหลายพื้นที่อย่างเห็นได้ชัด ดังเช่นในกรณีของสะพานมิตรภาพไทย-กัมพูชา (บ้านหนองเอี่ยน ตำบลท่าข้าม อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว และบ้านสตึงบท ตำบลปอยเปต อำเภอโอโจรว จังหวัดบันเตียเมียนเจย) และการก่อสร้างสะพานข้ามพรมแดนแห่งใหม่ ไทย-กัมพูชา ที่บริเวณจุดผ่านแดนถาวรบ้านผักกาด จังหวัดจันทบุรี กับบ้านปรม จังหวัดไพลิน กัมพูชา

ทั้งนี้ ประเทศไทยมีความพร้อมที่จะเข้าร่วมการประชุม JBC ในวันที่ 14 มิถุนายน 2568 นี้ และหวังว่าฝ่ายกัมพูชาจะแสดงถึงความปรารถนาเช่นเดียวกันในการร่วมมือกับไทยในลักษณะที่สะท้อนเจตนารมณ์ร่วมกันของเราในสันติภาพ เสถียรภาพ และการเคารพซึ่งกันและกัน

Advertisement

นายกฯ เน้นความสำคัญเอกภาพของอาเซียนรับมือความท้าทายระดับโลก

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 26 พฤษภาคม 2568 “แพทองธาร” นายกฯ เน้นความสำคัญของความเป็นเอกภาพของอาเซียนในการรับมือกับความท้าทายระดับโลก ย้ำความร่วมมือจากอาเซียนสำคัญต่อการฟื้นฟูสถานการณ์ในเมียนมา ระบุไทยสนับสนุนการมีส่วนร่วมของมาเลเซียในการหาทางออกที่สร้างสรรค์

วันนี้ (26 พ.ค. 68) เวลา 10.30 น.ตามเวลาท้องถิ่น ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งเร็วกว่าประเทศไทย 1 ชั่วโมง นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 46 อย่างไม่เป็นทางการ ณ ห้อง Conference Hall 2 ชั้น 3 ศูนย์การประชุม Kuala Lumpur Convention Center (KLCC) กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย

นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 46 แบบไม่เป็นทางการ ผู้นำอาเซียนได้หารือสถานการณ์ในภูมิภาคและระดับโลกที่อยู่ในความสนใจของประเทศสมาชิก

สำหรับไทย นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การประชุมครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงที่โลกกำลังเผชิญความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ความเปราะบางทางเศรษฐกิจ และการแข่งขันระหว่างมหาอำนาจที่ทวีความรุนแรง ห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกเผชิญความเสี่ยง และความเชื่อมั่นในระบบพหุภาคีกำลังลดลง

นายกรัฐมนตรี เห็นว่า ท่ามกลางภาวะไม่แน่นอนและการแบ่งแยกที่เพิ่มขึ้น การส่งเสริมระบอบพหุภาคี เพื่อรักษาบทบาทเชิงยุทธศาสตร์และผลประโยชน์ของอาเซียนจึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยอาเซียนต้องหลีกเลี่ยงการถูกดึงเข้าไปในการแข่งขันในพื้นที่ขัดแย้ง แต่อาเซียนจะต้องขยายความร่วมมือ และทำหน้าที่เป็นสะพานที่สร้างความไว้วางใจ เพื่อให้แน่ใจว่าการเจรจาร่วมกันเหนือกว่าการแบ่งแยก และความร่วมมือระหว่างกันเหนือกว่าการเผชิญหน้า

นายกรัฐมนตรี เน้นย้ำว่า ต้องเสริมสร้างความเป็นศูนย์กลางและเอกภาพของอาเซียนให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เพื่อรักษาความสำคัญของกลไกที่นำโดยอาเซียน ในการส่งเสริมความร่วมมือทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก พร้อมกับเสริมสร้างความสมดุลในความสัมพันธ์กับมหาอำนาจ เพื่อสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจในเชิงยุทธศาสตร์ ผ่านการหารือกับทุกฝ่ายอย่างทั่วถึงและสร้างสรรค์ โดยไทยจะทำงานร่วมกับสมาชิกอาเซียนและพันธมิตรต่างๆ เพื่อให้แน่ใจว่าอาเซียนยังคงเป็นผู้เล่นระดับโลกที่มีความรับผิดชอบ และเป็นพันธมิตรที่น่าเชื่อถือสำหรับทุกฝ่าย

สำหรับประเด็นที่ส่งผลกระทบต่อภูมิภาค นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า อาเซียนต้องยืนหยัดเป็นเสียงเดียวกันในประเด็นสำคัญ และต้องยึดมั่นในค่านิยมหลักที่ปกป้องผลประโยชน์ร่วมกัน โดยเฉพาะ แนวทางร่วมกันของอาเซียนต่อนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ที่สร้างสรรค์และมีเอกภาพ

ส่วนประเด็นทะเลจีนใต้ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ทะเลจีนใต้ยังคงเป็นจุดตึงเครียดที่อาจกระทบต่อความมั่นคงของภูมิภาค ซึ่งประเทศไทยขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายหลีกเลี่ยงการกระทำที่ยั่วยุ และหาทางแก้ไขข้อพิพาทด้วยสันติวิธี โดยยึดหลักกฎหมายระหว่างประเทศ

สำหรับสถานการณ์ในตะวันออกกลางและยูเครน นายกรัฐมนตรีได้เรียกร้องให้มีการยุติการสู้รบทันที มีการคุ้มครองพลเรือนอย่างเต็มที่ รวมถึงการให้การช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอย่างไม่เลือกปฏิบัติ

ขณะที่สถานการณ์ในเมียนมา นายกรัฐมนตรี ย้ำถึงความสำคัญของการฟื้นฟูสถานการณ์ในเมียนมา โดยเน้นว่าความร่วมมือจากอาเซียนยังคงมีความสำคัญในการนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างสันติ ซึ่งไทยสนับสนุนการมีส่วนร่วมของมาเลเซียในการหาทางออกที่สร้างสรรค์ในเมียนมา และการส่งเสริมความร่วมมือในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากแผ่นดินไหว โดยประเทศไทยจะยังคงทำงานร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านของเมียนมาและประธานอาเซียน เพื่อส่งเสริมสันติภาพและความมั่นคงชายแดน และต่อสู้กับอาชญากรรมข้ามพรมแดน เพื่อเสริมสร้างความพยายามของอาเซียนในการดำเนินการตามฉันทามติ 5 ข้อ (Five-Point Consensus) พร้อมย้ำว่า การมีส่วนร่วมที่เพิ่มขึ้นในด้านความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในเมียนมาเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะในชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้ง และภัยพิบัติทางธรรมชาติ

“ประเทศไทยเชื่อว่าอาเซียนมีบทบาทสำคัญในการสร้างภูมิภาคที่สงบสุข มั่นคง และยั่งยืน โดยให้ทุกฝ่ายร่วมมือกัน ใช้ช่วงเวลาของความไม่แน่นอนนี้เป็นโอกาสในการนำพาอาเซียนไปข้างหน้า ด้วยความเอกภาพ ความชัดเจนในเป้าหมาย และความมุ่งมั่นในการรักษาบทบาทของอาเซียนในเวทีโลก” นายกรัฐมนตรี กล่าว

Advertisement

นายกฯ ย้ำเวที WHA78 ไทยเดินหน้ายุทธศาสตร์สุขภาพถ้วนหน้า

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 20 พฤษภาคม 2568 “แพทองธาร” นายกฯ ย้ำเวทีสมัชชาอนามัยโลก (WHA78) ไทยเดินหน้ายุทธศาสตร์สุขภาพถ้วนหน้า ชูสุขภาพคือรากฐานแห่งการพัฒนาอย่างยั่งยืน พร้อมใช้ดิจิทัลขับเคลื่อนระบบสาธารณสุข มุ่งเป้าสู่ SDGs

เวลา 16.20 น. ตามเวลาในประเทศไทย ซึ่งตรงกับเวลา 11.20 น. นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ณ สํานักงานองค์การสหประชาชาติ (Palais des Nations) นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาผ่านวิดีทัศน์ในที่ประชุมสมัชชาอนามัยโลก ครั้งที่ 78 (the 78th World Health Assembly : WHA78) โดยสรุปสาระสำคัญ ดังนี้

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ในช่วงเวลาที่ประชาคมโลกต้องเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน การกระชับความมุ่งมั่นร่วมกันในการขับเคลื่อนด้านสุขภาพและการพัฒนาอย่างยั่งยืนถือเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในขณะที่โลกกำลังเข้าใกล้ช่วงสุดท้ายของการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs)

นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่าสุขภาพเป็นรากฐานของศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญต่อการพัฒนา การเสริมสร้างระบบสุขภาพจึงเป็นสิ่งสำคัญต่อการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน และไม่เพียงแต่การมุ่งบรรลุเป้าหมายที่ 3 เท่านั้น แต่ยังรวมถึงเป้าหมายที่เกี่ยวข้องกับความยากจน การศึกษา ความเท่าเทียมทางเพศ และการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วย โดยประเทศไทยกำลังบูรณาการด้านสุขภาพให้สอดคล้องกับนโยบายทั้งหมด เพื่อสร้างสังคมที่มีความยืดหยุ่น

ประเทศไทยให้ความสำคัญกับระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติ ที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2545 โดยรัฐบาลได้ขยายการเข้าถึง ลดรายจ่ายได้มหาศาล และขณะนี้กำลังมุ่งหน้าสู่การพัฒนาระบบสุขภาพแบบบูรณาการ โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เป็นเครื่องมือในการเข้าถึงประชากรกลุ่มเปราะบาง และปรับปรุงความต่อเนื่องในการดูแลรักษา นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวถึงพลังของเทคโนโลยีในการบริหารจัดการโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) โดยเน้นการใช้ข้อมูลเพื่อการตรวจพบในระยะเริ่มต้น และการส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพที่ดีในวงกว้าง

ขณะเดียวกัน ประเทศไทยยังมุ่งยกระดับความพร้อมในการรับมือกับภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขและภัยพิบัติธรรมชาติ พร้อมทั้งการบูรณาการสุขภาพจิตให้เข้ากับกลยุทธ์การฟื้นฟูและความสามารถในการฟื้นตัว โดยประเทศไทยยินดีต่อความคืบหน้าในการเจรจาข้อตกลงว่าด้วยโรคระบาด ซึ่งสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของพหุภาคีในการสร้างโลกที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น

ในด้านปัจจัยแวดล้อมที่ส่งผลต่อสุขภาพ นายกรัฐมนตรีระบุว่า ประเทศไทยยังคงให้ความสำคัญกับการพัฒนาเมืองและธรรมาภิบาลแบบมีส่วนร่วม ซึ่งรัฐบาลภูมิใจที่กรุงเทพมหานคร เทศบาลเมืองสะเดา จังหวัดสงขลา เทศบาลเมืองบ้านสวน จังหวัดชลบุรี และเทศบาลตำบลคลองชะอุ่น จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้รับการยอมรับเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายเมืองสุขภาพดีขององค์การอนามัยโลก (WHO Healthy Cities Network)

ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำถึงความเชื่อมั่นอันแน่วแน่ของประเทศไทยต่อองค์การอนามัยโลก ซึ่งความร่วมมือที่ยั่งยืนระหว่างกัน มีรากฐานมาจากความเสมอภาค ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และวิสัยทัศน์ร่วมกันว่า “สุขภาพเป็นสินค้าสาธารณะระดับโลก” รวมถึงพร้อมสนับสนุนการปฏิรูประบบขององค์การอนามัยโลกและแสดงความมุ่งมั่นที่จะเดินหน้าบนเส้นทางนี้ร่วมกัน

อนึ่ง การประชุมสมัชชาอนามัยโลกครั้งที่ 78 เป็นเวทีขององค์การอนามัยโลก (WHO) ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในช่วงเดือนพฤษภาคม ณ นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยในปีนี้จัดระหว่างวันที่ 19-27 พฤษภาคม 2568 ภายใต้หัวข้อหลัก คือ “One World for Health” โดยมีผู้แทนจาก 194 ประเทศสมาชิกเข้าร่วม เพื่อกำหนดนโยบายด้านสุขภาพระดับโลก รวมถึงวางแนวทางการรับมือกับความท้าทายด้านสุขภาพระดับโลก เช่น โรคระบาด การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการสาธารณสุข โดยมุ่งหวังให้ทุกประเทศร่วมมือกันสร้างระบบสุขภาพที่ยั่งยืนและเท่าเทียมสำหรับประชาชนทั่วโลก

Advertisement

นายกฯเผยผลหารือกัมพูชา ทุกมิติประสบความสำเร็จ ปราบอาชญากรรมออนไลน์ คอลเซ็นเตอร์ ฝุ่นควัน และพัฒนาแรงงาน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 25 เมษายน 2568 มิตรภาพ ไทย-กัมพูชา 75 ปี รัฐบาลกัมพูชาให้การต้อนรับผู้นำไทยอย่างสมเกียรติ ด้านการหารือทุกมิติประสบความสำเร็จ ทั้งการร่วมมือปราบอาชญากรรมออนไลน์ คอลเซ็นเตอร์ ฝุ่นควัน และพัฒนาแรงงานร่วมกัน คาดกลางปีนี้ เปิดสะพานมิตรภาพแห่งใหม่ที่สระแก้วได้พร้อมจัดประชุมต่อเนื่องแก้ปัญหาในทุกมิติ

วานนี้ (24 เมษายน 2568) เวลา 10.15 น. ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งตรงกับเวลาในกรุงเทพฯ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีได้ให้สัมภาษณ์แก่สื่อมวลชนจากโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ถึงผลการเยือนราชอาณาจักรกัมพูชาอย่างเป็นทางการ ในโอกาสครบรอบ 75 ปี ความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการระหว่างไทย – กัมพูชา ระหว่างวันที่ 23 – 24 เมษายน 2568 นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปการให้สัมภาษณ์ดังนี้

นายกรัฐมนตรีได้กล่าวแสดงความประทับใจ ในการให้การต้อนรับอย่างสมเกียรติของรัฐบาลกัมพูชา รวมทั้งในปีนี้เป็นปีครบรอบ 75 ปี ความสัมพันธ์ไทย – กัมพูชาที่ทั้ง 2 ประเทศพร้อมสานความสัมพันธ์อันดีนี้ต่อไป

หลังจากพิธีต้อนรับอย่างเป็นทางการ ณ วิมานสันติภาพ  นายกรัฐมนตรีได้หารือร่วมกับสมเด็จฯ ฮุน มาแนด นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ในหลายประเด็นรวมถึงประเด็นกำแพงภาษีของสหรัฐอเมริกา ซึ่งไทยได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด จึงเห็นได้ว่าการที่ไทยเลือกติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดในทุกๆมิติ ว่ามีความเคลื่อนไหวและความต้องการเพิ่มเติมใดบ้างเพื่อเตรียมข้อมูลให้ดีที่สุดในการเจรจาต่อไป

“ที่ผ่านมายังไม่ถึง 30 วัน มีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมาก เชื่อว่าสหรัฐฯ เองมีการติดตามดูการตอบรับจากทั่วโลกด้วย เพราะเป็นเรื่องแปลกใหม่ที่ทุกฝ่ายต้องจับตาดูสถานการณ์ก่อน ทั้งนี้ ไทยมีการเตรียมข้อมูลอย่างรอบคอบ และดูว่าจะอะไรเพิ่มเติมได้บ้าง ในการหารือกับสมเด็จฯ ฮุน มาแนด นายกรัฐมนตรี ก็ได้หารือความร่วมมือในกรอบอาเซียน โดยมีแนวคิดว่าอาเซียนมีทรัพยากรที่โดดเด่นและมีจุดแข็งมากมาย อาเซียนจึงควรร่วมมือกันเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรอง โดยทั้งสองฝ่ายก็เคยพูดคุยกับผู้นำประเทศอาเซียน และเห็นตรงกันว่า การร่วมมือในกลุ่มอาเซียน จะเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ และเพิ่มอำนาจต่อรอง โดยไทยและกัมพูชาพร้อมร่วมมือกัน เพื่อรับมือกับประเด็นดังกล่าวไปด้วยกันอย่างเข้มแข็ง โดยต้องเป็นการต่อรองให้เข้มแข็งร่วมกัน แบบ win-win situation ที่ผ่านมาไทยได้ปรึกษากับทุกภาคส่วน รวมทั้งภาคเอกชน เพื่อติดตามความเคลื่อนไหวและดำเนินการอย่างรอบคอบ”

นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงความสำเร็จในการเยือนกัมพูชาครั้งนี้ว่า ผู้นำไทยและกัมพูชา ได้เป็นสักขีพยานในการลงนามความตกลงร่วมกัน 7 ฉบับ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน  อาทิการลงนามในความตกลง ในด้านสิ่งแวดล้อม การจัดการปัญหา PM2.5 และการไม่เผา   โดยในช่วงที่ผ่านมาได้มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และแนวปฏิบัติของไทยในประเด็นดังกล่าว รวมทั้งการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของทั้ง 2 ประเทศก็จะมีความร่วมกันอย่างใกล้ชิด และมีความร่วมมือในด้านการข่าว การแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน

นายจิรายุ กล่าวต่อไปว่า “โดยในช่วงกลางปีนี้ ผู้นำไทย-กัมพูชา จะเป็นประธานร่วมกันในพิธีเปิดสะพานมิตรภาพไทย – กัมพูชาแห่งแรก ที่บ้านหนองเอี่ยน ซึ่งอยู่ที่ตำบลท่าข้าม อำเภออรัญประเทศ ตรงข้ามกับ บ้านสตึงบท ตำบลปอยเปต จังหวัดบันเตียนเมียนเจย กัมพูชา อย่างเป็นทางการพร้อมทั้งจะจัดการประชุมร่วมกันกับนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการ (Joint Cabinet Retreat: JCR) ที่บริเวณชายแดนของไทย ที่จังหวัดสระแก้ว เพี่อติดตามความคืบหน้าในการหารือร่วมกัน ในครั้งนี้และติดตามความร่วมระหว่างไทย-กัมพูชา ในทุกประเด็นต่อไป”

Advertisement

นายกฯเข้าพบสมเด็จฯ ฮุน เซน ย้ำความสัมพันธ์ไทย – กัมพูชาที่ใกล้ชิด

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 24 เมษายน 2568 นายกฯเข้าหารือสมเด็จฯ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ย้ำความสัมพันธ์ไทย – กัมพูชาที่ใกล้ชิด พร้อมเดินหน้าผลักดันความร่วมมือระหว่างกันให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว

วานนี้ (วันพุธที่ 23 เมษายน 2568) เวลา 16.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่นกรุงพนมเปญ ซึ่งเท่ากับกรุงเทพฯ) ณ วุฒิสภาราชอาณาจักรกัมพูชา (Senate House) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เข้าเยี่ยมคารวะสมเด็จอัคคมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน (Samdech Akka Moha Sena Padei Techo HUN SEN) ประธานวุฒิสภาและประธานองคมนตรีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา

ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญดังนี้

นายกรัฐมนตรีขอบคุณสมเด็จฯ ฮุน เซน สำหรับการเข้าเยี่ยมคารวะในวันนี้ และการต้อนรับที่อบอุ่น   และรู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ได้มาเยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการและได้เข้าพบหารือกับสมเด็จฯ ฮุน เซน ถือเป็นโอกาสอันดีในการแลกเปลี่ยนแนวความคิดและประสบการณ์ระหว่างกัน โดยไทยและกัมพูชามีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันมาอย่างยาวนาน ทั้งสองฝ่ายมีการแลกเปลี่ยนการเยือนในระดับสูงระหว่างกันอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งการเยือนในครั้งนี้ของนายกรัฐมนตรี ถือเป็นการเยือนกัมพูชาครั้งที่สองของนายกรัฐมนตรีไทย นับตั้งแต่สมเด็จฯ ฮุน มาแนด เข้ารับตำแหน่ง และยังเป็นส่วนหนึ่งของการฉลองโอกาสครบรอบ 75 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย – กัมพูชา

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีและสมเด็จฯ ฮุน เซน ได้หารือประเด็นความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างกัน โดยย้ำความมุ่งมั่นที่จะกระชับความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และพร้อมทำงานร่วมกับรัฐบาลกัมพูชาอย่างใกล้ชิด เพื่อเสริมสร้างสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองให้แก่ทั้งสองประเทศ ตลอดจนร่วมกันส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ทั้งในด้านการค้าและการลงทุน เพื่อรับมือกับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่มีความผันผวน

ในระยะต่อไป นายกรัฐมนตรีขอรับการสนับสนุนจากสมเด็จฯ ฮุน เซน ในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาต่อไป เพื่อยกระดับความเป็นอยู่ที่ดี ความปลอดภัย และความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประชาชนทั้งสองประเทศ ซึ่งสมเด็จฯ ฮุน เซน พร้อมให้การสนับสนุนและร่วมมือกับไทย เพื่อขับเคลื่อนความร่วมมือระหว่างกันต่อไป

ในตอนท้าย ทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นอื่น ๆ ต่อสถานการณ์ในภูมิภาค และเน้นย้ำความสำคัญของการกระชับความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนและกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจต่าง ๆ

Advertisement

นายกฯ เตรียมเยือนพนมเปญ ฉลองความสัมพันธ์ทางการทูตไทย – กัมพูชา ครบรอบ 75 ปี

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 20 เมษายน 2568 นายกรัฐมนตรีเตรียมเยือนกัมพูชา ตามคำเชิญอย่างเป็นทางการของรัฐบาลกัมพูชา ในโอกาสฉลองความสัมพันธ์ 75 ปี 23 – 24 เมษายน นี้

วันนี้ (วันที่ 20 เมษายน 2568) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีกำหนดการเยือนราชอาณาจักรกัมพูชาอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันพุธ 23 – พฤหัสฯ 24 เมษายน 2568 ณ กรุงพนมเปญ ตามคำเชิญของสมเด็จมหาบวรธิบดี ฮุน มาแนด (H.E. Samdech Moha Borvor Thipadei Hun Manet) นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา

ทั้งนี้  นายกรัฐมนตรีมีกำหนดการสำคัญในการเข้าร่วมพิธีต้อนรับอย่างเป็นทางการ ณ สำนักนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรกัมพูชา พร้อมหารือเต็มคณะร่วมกับนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีทั้งสองจะเป็นประธานในพิธีเปิดตราสัญลักษณ์ ครบรอบ 75 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย – กัมพูชา และเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามเอกสารสำคัญต่าง ๆ ร่วมกัน

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร  มีกำหนดการเข้าเยี่ยมคารวะสมเด็จอัคคมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน ประธานวุฒิสภาและประธานองคมนตรีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา สมเด็จมหารัฐสภาธิการธิบดี ควน โซะดารี ประธานรัฐสภาแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา และเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระบรมนาถนโรดม สีหมุนี พระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรกัมพูชา

“การเยือนในครั้งนี้ ถือเป็นการเยือนราชอาณาจักรกัมพูชาอย่างเป็นทางการครั้งแรกของนายกรัฐมนตรี และเป็นส่วนหนึ่งของการเฉลิมฉลองในโอกาสครบรอบ 75 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับกัมพูชา ซึ่งจะเป็นโอกาสในการขับเคลื่อนความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างทั้งสองประเทศให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น โดยเฉพาะความร่วมมือด้านความมั่นคง การแก้ปัญหาข้ามแดน เศรษฐกิจ ความร่วมมือเพื่อการพัฒนา และความสัมพันธ์ในระดับประชาชน รวมถึงการส่งเสริมความร่วมมือในระดับภูมิภาค” นายจิรายุกล่าว

Advertisement

ไทย-มาเลเซีย จับมือรับมือมาตรการภาษีสหรัฐฯ พร้อมเดินหน้าก่อสร้างสะพานโก-ลก แห่งที่ 2

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 18 เมษายน 2568 ไทย-มาเลเซีย จับมือรวมกันในระดับอาเซียนเพื่อรองรับมาตรการภาษีระดับสูงของสหรัฐ ฯ เดินหน้าก่อสร้างสะพานโก-ลก แห่งที่ 2 พร้อมตอกย้ำความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการเชื่อมโยงแนวชายแดน การแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนใต้

วานนี้ (วันพฤหัสบดีที่ 17 เมษายน 2568) เวลา 14.00 น. ณ ห้องสีงาช้าง ทำเนียบรัฐบาล นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้การต้อนรับดาโตะ เซอรี อันวาร์ อิบราฮิม (Dato’ Seri Anwar Ibrahim) นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในโอกาสการเยือนประเทศไทยเพื่อการเจรจาทำงาน (Working Visit) และหารือติดตามความคืบหน้าเกี่ยวกับความร่วมมือไทย-มาเลเซีย

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  สรุปผลการหารือดังนี้ นายกรัฐมนตรีไทยและมาเลเซียยินดีต่อความสัมพันธ์และความร่วมมืออันยาวนานระหว่างไทย-มาเลเซีย  และยินดีที่ไทยและมาเลเซียสามารถลงนามความตกลงการก่อสร้างสะพานคู่ขนานข้ามแม่น้ำโก – ลก โดยจะเป็นโครงการที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งข้ามแดน รวมถึงกระตุ้นเศรษฐกิจและการค้าบริเวณชายแดนไทย-มาเลเซีย

นายกรัฐมนตรีขอบคุณมาเลเซียที่แสดงความห่วงใยต่อเหตุการณ์แผ่นดินไหวในไทย และกล่าวชื่นชมบทบาทของมาเลเซียในการประสานความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่เมียนมาอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ ไทยและมาเลเซีย ยังเห็นพ้องที่จะร่วมมือกันเพื่อช่วยเหลือกับเมียนมาในการจัดการกับปัญหาภัยพิบัติและความช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรมที่เกี่ยวข้อง จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้ ยังได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการมีปฏิสัมพันธ์กับเมียนมา และเชื่อว่าการมีส่วนร่วมของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะนำไปสู่พัฒนาการเชิงบวกในเมียนมาที่สอดคล้องกับฉันทามติ 5 ข้อของอาเซียน

สำหรับประเด็นจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ผู้นำทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องต่อการยุติการใช้การกระทำที่รุนแรง และส่งเสริมให้มีจัดการพบปะหารือระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูงของไทยและของกลุ่มที่เห็นต่างในเบื้องต้น (Pre-talk) โดยนายกรัฐมนตรียืนยันความมุ่งมั่นที่จะเดินหน้ากระบวนการพูดคุยเพื่อสันติสุขต่อไป และยังกล่าวชื่นชมมาเลเซียซึ่งมีบทบาทนำในองค์การความร่วมมืออิสลาม (OIC) หวังว่ามาเลเซียจะช่วยหารือร่างมติที่เกี่ยวข้องกับจังหวัดชายแดนใต้กับฝ่ายไทยก่อนนำเข้าสู่ที่ประชุม OIC เพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกันในเวทีระหว่างประเทศ ด้านมาเลเซียยืนยันจะไม่ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดใช้ประเทศเป็นที่หลบซ่อน และพร้อมให้ความร่วมมือตามกระบวนการยุติธรรมของไทย

โอกาสนี้  นายกรัฐมนตรีไทยและนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ยังได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่อนโยบายภาษีของสหรัฐฯ  ซึ่งทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องถึงความจำเป็นการดำเนินการในระดับประเทศและการยกระดับความร่วมมือในระดับภูมิภาค เพื่อรับมือกับมาตรการด้านภาษีจากสหรัฐฯ โดยหวังว่าประเทศในอาเซียนจะร่วมกันผลักดันในกรอบอาเซียน เพื่อหาทางออกที่เป็นประโยชน์ต่อทุกประเทศ

ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นายกรัฐมนตรีไทยและมาเลเซียได้ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีแลกเปลี่ยนความตกลงว่าด้วยการก่อสร้างสะพานคู่ขนานข้ามแม่น้ำโก-ลก เชื่อมระหว่างอำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส และเมืองรันเตาปันยัง รัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย โดยผู้แลกเปลี่ยนฝ่ายไทยคือ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กับ ดาโตะ อเล็กซานเดอร์ นันตา ลิงกี (Dato Sri Alexander Nanta Linggi) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงโยธาธิการมาเลเซีย

Advertisement

นายกฯ กล่าวถ้อยแถลงเวทีผู้นำ BIMSTEC เปิด “วิสัยทัศน์กรุงเทพฯ 2030″

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 4 เมษายน 2568 นายกฯ แพทองธาร กล่าวถ้อยแถลง วงประชุมผู้นำ BIMSTEC ครั้งที่ 6 เปิด “วิสัยทัศน์กรุงเทพฯ 2030″ กระชับความร่วมมือสร้างภูมิภาคที่เจริญรุ่งเรืองและเปิดกว้าง พัฒนาความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ พร้อมรับมือต่อภัยพิบัติของประชาชน กว่า 1,800 ล้านคน ในทุกประเทศสมาชิก ด้านผู้นำฯ ร่วมยืนสงบนิ่ง 1 นาที รำลึกถึงผู้เสียชีวิต-ผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุแผ่นดินไหวในเมียนมา

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมผู้นำความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลสำหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ (The Bay of Bengal Initiative for Multi-Sectoral Technical and Economic Cooperation : BIMSTEC) ครั้งที่ 6 พร้อมผู้นำและผู้แทนสมาชิก BIMSTEC จากอินเดีย เนปาล ภูฏาน ศรีลังกา เมียนมา บังกลาเทศ

โดยก่อนกล่าวถ้อยแถลงเปิดการประชุมฯ นายกรัฐมนตรี กล่าวแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุแผ่นดินไหวที่ประเทศเมียนมา ซึ่งส่งผลกระทบถึงประเทศไทยด้วย พร้อมขอให้ผู้เข้าร่วมประชุมยืนสงบนิ่งเป็นเวลา 1 นาที เพื่อรำลึกถึงผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติครั้งนี้

หลังจากนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวต้อนรับผู้นำและผู้แทนระดับสูงจากประเทศสมาชิกสู่การประชุมผู้นำ BIMSTEC ครั้งที่ 6 โดยเป็นความภาคภูมิใจของไทยในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม หลังจากที่ไม่ได้จัดการประชุมแบบพบหน้ากันมาเป็นเวลากว่า 7 ปี ซึ่งเป็นโอกาสสำคัญในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ และหารือแนวทางในการเสริมสร้างความร่วมมือและพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม ในกลุ่มสมาชิก BIMSTEC

ทั้งนี้ BIMSTEC เป็นกลุ่มประเทศที่มีประชากรรวมกันกว่า 1,800 ล้านคน หรือคิดเป็น 22% ของประชากรโลก และมี GDP รวมกันประมาณ 4.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ความร่วมมือนี้ถือเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและเสริมสร้างความมั่นคงในภูมิภาค ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองอย่างยั่งยืนในอนาคต

สำหรับประเด็นสำคัญที่นายกรัฐมนตรีได้เสนอในที่ประชุมคือ “วิสัยทัศน์กรุงเทพฯ 2030” ซึ่งเป็นกรอบความร่วมมือ ที่จะนำประเทศสมาชิก BIMSTEC ไปสู่อนาคตที่มีความเจริญรุ่งเรือง ยืดหยุ่น และเปิดกว้าง วิสัยทัศน์นี้ถูกออกแบบเพื่อสร้างความแข็งแกร่ง ส่งเสริมความเชื่อมโยง และการเสริมสร้างศักยภาพในการรับมือกับปัญหาระดับโลก

ด้านความเจริญรุ่งเรืองของ BIMSTEC นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงศักยภาพทางเศรษฐกิจของ BIMSTEC ด้วยจำนวนประชากร รวมกันเกือบ 1 ใน 4 ของประชากรโลก การค้าภายใน BIMSTEC อยู่ที่ประมาณ 6% จึงเสนอให้สมาชิกเร่งผลักดันการจัดทำ BIMSTEC FTA ซึ่งจะเป็นกุญแจสำคัญในการปลดล็อกศักยภาพทางเศรษฐกิจ การค้า

นอกจากนี้ การลงนามความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการขนส่งทางทะเล จะเป็นการเชื่อมโยงเส้นทางการค้าทางทะเลที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ขณะที่โครงการแลนด์บริดจ์ของไทย จะช่วยเสริมการเชื่อมโยงระหว่างอ่าวไทยกับอ่าวเบงกอลด้วย

ทั้งนี้ประเทศไทยยังมุ่งมั่นร่วมมือกับทุกฝ่ายเพื่อเร่งรัดการก่อสร้างทางหลวงสำคัญระหว่างประเทศที่จะเชื่อมโยงประเทศไทยไปยัง เมียนมาจนถึงอินเดียให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ซึ่งแผ่นดินไหวครั้งล่าสุดได้ส่งผลกระทบต่อความคืบหน้าของโครงการนี้ นอกจากนี้สันติภาพ ความมั่นคง ความปลอดภัน และเสถียรภาพ ตามเส้นทางดังกล่าวยังมีความสำคัญต่อความสำเร็จของโครงการ ซึ่งไทยพร้อมทำงานร่วมกับประเทศสมาชิกเพื่อเผชิญกับความท้าทายเหล่านี้

นอกจากนี้ BIMSTEC จำเป็นต้องเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและความสามารถทางเทคโนโลยี โดยใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น AI และการเชื่อมต่อทางดิจิทัล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการปัญหาเร่งด่วน และเตรียมความพร้อมของภูมิภาคในการรับมือกับความท้าทายในปัจจุบันและอนาคต

ด้านความยืดหยุ่น ความท้าทายระดับโลก เช่น มลพิษทางอากาศ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และโรคระบาด ทำให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการเสริมสร้างความยืดหยุ่นของระบบสาธารณสุขและห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาค เพื่อตอบสนองต่อความท้าทายเหล่านี้ ไทยได้เสนอจัดตั้ง “ศูนย์ความเป็นเลิศด้านเวชศาสตร์เขตร้อน” ของ BIMSTEC

ส่วนเหตุการณ์แผ่นดินไหวสะท้อนถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการเสริมสร้างความร่วมมือระดับภูมิภาคเพื่อจัดการภัยพิบัติในกลุ่ม BIMSTEC ซึ่งไทยสนับสนุนข้อเสนอของอินเดียในการจัดตั้ง “ศูนย์จัดการภัยพิบัติ BIMSTEC” เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการตอบสนองต่อภัยธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการพัฒนาระบบเตือนภัย พร้อมสนับสนุนการจัดการประชุมกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านความร่วมมือการจัดการภัยพิบัติของ BIMSTEC ครั้งที่ 2 เพื่อเสริมสร้างความยืดหยุ่นต่อภัยธรรมชาติ

โอกาสนี้ ไทยยังเน้นย้ำถึงการแก้ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ เช่น การค้ามนุษย์ การค้ายาเสพติด และอาชญากรรมทางไซเบอร์ โดยขอความร่วมมือจากประเทศสมาชิกในการดำเนินการตามอนุสัญญา BIMSTEC ว่าด้วยการต่อต้านการก่อการร้าย อาชญากรรมข้ามชาติ และการค้ายาเสพติด เพื่อยกระดับความมั่นคงในภูมิภาคและความยืดหยุ่นพร้อมต่อการตอบสนองต่อภัยพิบัติ

นายกรัฐมนตรี เน้นย้ำว่า การมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งในระบบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาค SMEs จะมีบทบาทสำคัญในอนาคตของ BIMSTEC โดยประเทศไทยได้เสนอจัดตั้งสภาที่ปรึกษาธุรกิจ BIMSTEC (BIMSTEC Business Advisory Council) เพื่อเสริมสร้างเครือข่ายระหว่างภาคธุรกิจ สนับสนุนการเติบโตของธุรกิจ และเพิ่มความยืดหยุ่นและความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของภูมิภาคในระยะยาว พร้อมเน้นย้ำความสำคัญของการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในสังคม รวมถึงชุมชนที่ถูกมองข้าม ผู้หญิง และเยาวชน โดยยกตัวอย่างการจัดงาน “BIMSTEC Young Gen Forum” ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 3 เมษายน ที่ ICONSIAM กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นเวทีสำหรับผู้นำธุรกิจรุ่นใหม่ในการแลกเปลี่ยนแนวคิดและเสริมสร้างศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ

นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนใน BIMSTEC โดยการส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในภูมิภาค การสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน และการพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวที่เชื่อมโยงสถานที่สำคัญระหว่างประเทศสมาชิก ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจร่วมกัน และเน้นย้ำถึงบทบาทของ BIMSTEC ในการส่งเสริมสันติภาพและความมั่งคั่งร่วมกัน โดยประเทศไทยในฐานะประธานปัจจุบันของกรอบ Asia Cooperation Dialogue (ACD) มุ่งมั่นที่จะสร้างความร่วมมือระหว่าง BIMSTEC กับเวทีระหว่างประเทศอื่น ๆ เพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน สันติภาพ และเสถียรภาพในภูมิภาค

ช่วงท้ายที่ประชุมฯ ได้ร่วมกันรับรองปฏิญญาการประชุมผู้นำบิมสเทคครั้งที่ 6 นอกจากนี้ ยังมีการประกาศให้บังกลาเทศเป็นประธาน BIMSTEC ลำดับถัดไป ซึ่งนายกรัฐมนตรีมั่นใจว่าบังกลาเทศจะนำพา BIMSTEC ไปสู่ความสำเร็จและความเจริญรุ่งเรืองในอนาคต

Advertisement

นายกฯ หารือทวิภาคีนายกฯ ภูฏาน กระชับความร่วมมือท่องเที่ยว-การศึกษา-กรอบพหุภาคี

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 3 เมษายน 2568 ทำเนียบ – นายกรัฐมนตรี หารือ ทวิภาคีนายกรัฐมนตรีภูฏาน กระชับความร่วมมือของสองประเทศ ด้านการท่องเที่ยว -การศึกษา และกรอบพหุภาคี ขณะที่นายกฯ ภูฏาน ชื่นชมไทยบริหารจัดการภัยพิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เข้าพบหารือ ดาโช เชริง โตบเกย์ นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรภูฏาน ในโอกาสเยือนไทยเพื่อเข้าร่วมประชุมผู้นำบิมสเทค

โดยนายกรัฐมนตรี กล่าวชื่นชมต่อการเตรียมการของภูฏาน สำหรับการเสด็จพระราชดำเนินเยือนภูฏานนอย่างเป็นทางการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ซึ่งการเสด็จเยือนครั้งนี้ถือเป็นหมุดหมายสำคัญในประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ไทย-ภูฏาน ซึ่งเจ้าหน้าที่ไทยและภูฏาน พร้อมประสานงานอย่างใกล้ชิดเพื่อให้การเสด็จเยือนเป็นไปอย่างสมพระเกียรติ โดยนายกรัฐมนตรีภูฏาน เน้นย้ำว่า รัฐบาลและประชาชน ภูฏาน พร้อมถวายการต้อนรับอย่างสมพระเกียรติ รวมถึงจะมีการจัดงานเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ไทย-ภูฏานตลอดปีนี้

ขณะที่นายกรัฐมนตรีภูฏาน แสดงความห่วงใยต่อเหตุการณ์แผ่นดินไหว โดยสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งภูฏานนได้ทรงส่งความห่วงใยและกำลังใจมายังรัฐบาลและประชาชนไทย โดยนายกรัฐมนตรีภูฏาน ยังชื่นชมการบริหารจัดการสถานการณ์ของรัฐบาลที่มีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ทำให้สามารถลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้ รวมถึงมาตรฐานการก่อสร้างของไทยที่สามารถทนทานต่อแรงสั่นสะเทือนได้อย่างดี สะท้อนถึงความพร้อมของไทยในการรับมือภัยพิบัติทางธรรมชาติ

สำหรับประเด็นการหารือ ในด้านการค้าและความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ผู้นำทั้งสองประเทศ เห็นพ้องถึงศักยภาพของความตกลงการค้าเสรีไทย-ภูฏาน ที่เพิ่งบรรลุการเจรจาในระยะเวลาเพียง 9 เดือน และจะลงนามหลังจากการหารือนี้ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการค้าการลงทุน โดยไทยสนใจลงทุนในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เมืองอัจฉริยะ และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลในภูฏาน

ด้านการพัฒนา นายกรัฐมนตรีภูฏานขอบคุณความร่วมมือและการสนับสนุนจากรัฐบาลไทยในการส่งเสริมการนำนโยบาย “หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์” (OTOP) ของไทย มาวางแนวทางปรับใช้ในโครงการ “One Gewog, One Product” (OGOP) โดยทั้งสองฝ่ายเชื่อมั่นว่านโยบายนี้จะช่วยพัฒนาศักยภาพของชุมชนและเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นของภูฏานให้เข้าถึงตลาดได้มากขึ้น

ส่วนด้านการท่องเที่ยว นายกรัฐมนตรีไทยและภูฏาน เห็นพ้องสนับสนุนนโยบาย “Two Kingdoms, One Destination” เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวร่วมกันระหว่างไทยและภูฏาน โดยนายกรัฐมนตรียังได้เชิญชวนภูฏานเข้าร่วมงานส่งเสริมการท่องเที่ยว “Thailand Travel Mart Plus” ที่จังหวัดเชียงใหม่ในเดือนมิถุนายน 2568 ซึ่งเป็นงานสำคัญที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวจากทั่วโลกได้พบปะและสร้างเครือข่ายความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว

ด้านการศึกษาและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ นายกรัฐมนตรี ยืนยันถึงความพร้อมในการให้ทุนการศึกษาและส่งเสริมการแลกเปลี่ยนบุคลากรระหว่างไทยและภูฏาน โดยเฉพาะในสาขาเทคโนโลยีขั้นสูง และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งเป็นทักษะสำคัญในโลกยุคดิจิทัล นอกจากนี้ รัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนการฝึกอบรมและการพัฒนาทักษะแก่เยาวชนไทยในอุตสาหกรรมการบริการ อาหาร และสุขภาพ เพื่อให้คนไทยสามารถเข้าถึงโอกาสทางเศรษฐกิจมากขึ้น

ด้านความร่วมมือระดับภูมิภาคและพหุภาคี นายกรัฐมนตรีภูฏาน กล่าวชื่นชมการเป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอด BIMSTEC ครั้งที่ 6 ของไทย และภูฏาน พร้อมสนับสนุนไทยในเวทีระหว่างประเทศ ทั้งนี้ ผู้นำทั้งสองเชื่อว่าการปะชุมผู้นำบิมสเทคครั้งนี้จะช่วยเสริมสร้างความร่วมมือภายใน BIMSTEC และเกิดประโยชน์ต่อประชาชนในภูมิภาคอย่างเป็นรูปธรรม

จากนั้น เวลา 14.00 น. นายกรัฐมนตรีไทยและภูฏาน ได้ร่วมเป็นสักขีพยานในการลงนามความตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย-ภูฏาน ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศในระยะยาว

Advertisement

ไทย – อินเดีย ยกระดับความสัมพันธ์สู่หุ้นส่วนยุทธศาสตร์ ลงนาม MOU 6 ฉบับ ผลักดันเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 3 เมษายน 2568 ทำเนียบรัฐบาล – ไทย – อินเดีย ยกระดับความสัมพันธ์สู่หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ ลงนามบันทึกความเข้าใจ 6 ฉบับ กระชับความร่วมมือผลักดันเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน พัฒนาความเชื่อมโยงระดับภูมิภาค

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ นายนเรนทร โมที (H.E. Mr. Narendra Modi) นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐอินเดีย เป็นสักขีพยานในพิธีลงนามปฏิญญาและแลกเปลี่ยนบันทึกความเข้าใจระหว่างประเทศไทยและอินเดีย จำนวน 6 ฉบับ ดังนี้

1) ปฏิญญาร่วมว่าด้วยการสถาปนาความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ไทย-อินเดีย (Joint Declaration on the Establishment of Thailand-India Strategic Partnership)

2) บันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และกระทรวงอิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยีสารสนเทศอินเดีย ว่าด้วยความร่วมมือด้านเทคโนโลยีดิจิทัล (MOU Between The Ministry Of Digital Economy And Society And The Ministry Of Electronics And Information Technology Of India On Cooperation In The Fields Of Digital Technologies)

3) บันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงท่าเรือ การขนส่ง และเส้นทางน้ำ ของอินเดีย และกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ว่าด้วยการพัฒนาโครงการศูนย์มรดกทางทะเลแห่งชาติ เมืองโลธาล รัฐคุชราต (MOU Between Sagarmala Division, Ministry Of Ports, Shipping And Waterways, Government Of India And The Fine Arts Department, Ministry Of Culture For Development Of National Maritime Heritage Complex (NMHC), At Lothal, Gujarat)

4) บันทึกความเข้าใจระหว่างบริษัท National Small Industries Corporation Ltd. (NSIC) แห่งอินเดีย และสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (MOU Between National Small Industries Corporation Ltd. (NSIC), The Republic Of India And Office Of Small And Medium Enterprises Promotion (OSMEP), The Kingdom Of Thailand

5) บันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงการพัฒนาภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย และกระทรวงการต่างประเทศ ว่าด้วยความร่วมมือด้านหัตถกรรมและการพัฒนาชุมชนช่างฝีมือ (MOU Between The Ministry Of Development Of North Eastern Region Of The Republic Of India And The Ministry Of Foreign Affairs On Cooperation In Artisanal Crafts And Development Of Artisanal Communities)

6) บันทึกความเข้าใจระหว่างบริษัท North Eastern Handicrafts & Handlooms Development Corporation Ltd (NEHHDC) ของอินเดีย และสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA) (MOU between North Eastern Handicrafts & Handlooms Development Corporation Ltd (NEHHDC) of India and Creative Economy Agency (CEA) of Thailand)

จากนั้น นายกรัฐมนตรีไทยและอินเดียร่วมพิธีมอบพระไตรปิฏกสากล ฉบับสัชฌายะ พร้อมแถลงข่าวร่วมกัน

โดยนายกรัฐมนตรี กล่าวในนามรัฐบาลและประชาชนไทย ยินดีที่ได้ต้อนรับนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐอินเดียและคณะ ในโอกาสเดินเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ และเข้าร่วมการประชุมผู้นำบิมสเทค ครั้งที่ 6 ซึ่งไทยเป็นเจ้าภาพ โดยทั้งสองฝ่ายได้บรรลุเป้าหมายในการยกระดับความสัมพันธ์เป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์อย่างเป็นทางการ ซึ่งก้าวสำคัญนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่เข้มแข็งและมีพลวัตระหว่างสองประเทศเท่านั้น แต่ยังแสดงถึงความมุ่งมั่นในการเป็นพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์เพื่อการเติบโต ความก้าวหน้า และความเจริญรุ่งเรืองของทั้งสองประเทศและของภูมิภาค รวมทั้งสองฝ่ายยังเป็นสักขีพยานการลงนามในบันทึกความเข้าใจจำนวนหลายฉบับ ครอบคลุมความร่วมมือในด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและดิจิทัล วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม การพัฒนา การศึกษา และวัฒนธรรม สะท้อนความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม

ผู้นำทั้งสองยังได้ตกลงที่จะเสริมสร้างความร่วมมือทางการเมืองและความมั่นคงผ่านการแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูง ความร่วมมือทางอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศ การซ้อมรบร่วม และการแบ่งปันแลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติที่ดีในการรับมือกับภัยคุกคามทั้งรูปแบบเดิมและรูปแบบใหม่

ในด้านเศรษฐกิจ อินเดียเป็นประเทศคู่ค้าอันดับ 1 ของไทยในภูมิภาคเอเชียใต้ โดยเมื่อปี 2567 มีมูลค่าการค้าระหว่างกันกว่า 17,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งนายกรัฐมนตรีเสนอให้ร่วมกันเจรจาปรับปรุงความตกลงการค้าเสรีไทย-อินเดีย และอาเซียน-อินเดียให้ครอบคลุมมากขึ้น รวมไปถึงการอำนวยความสะดวกในการลงทุนระหว่างกัน

ขณะเดียวกันนายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีอินเดีย ได้แสดงความเสียใจ อย่างต่อการสูญเสียในเหตุการณ์แผ่นดินไหวในเมียนมาเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ในฐานะประเทศเพื่อนบ้านของเมียนมาได้ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่เมียนมาโดยเร่งด่วนแล้ว และในระยะต่อไป ทั้งสองประเทศจะร่วมมือกันเพื่อฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัยอย่างยั่งยืนต่อไป

ผู้นำทั้งสองได้หารือถึงการพัฒนาเส้นทางพุทธศาสนา (Buddhist Circuit) ให้ขยายครอบคลุมถึงรัฐสำคัญอื่น ๆ โดยเฉพาะรัฐคุชราต ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงสถานที่สำคัญกับประเทศไทยและประเทศอื่น ๆ ในบิมสเทค ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมา การท่องเที่ยวระหว่างไทยและอินเดียมีความก้าวหน้าอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีมาตรการอำนวยความสะดวกด้านการตรวจลงตราให้แก่นักท่องเที่ยวทั้งสองฝ่าย ซึ่งได้สนับสนุนการเพิ่มความถี่ของเที่ยวบินและการเปิดเส้นทางบินใหม่ไปยังเมืองน่าเที่ยวของทั้งสองประเทศ นอกจากนี้ ไทยและอินเดียยังเห็นพ้องที่จะจัดตั้งกลไกการหารือระหว่างกรมการกงสุล เพื่อการคุ้มครองดูแลคนชาติของกันและกันด้วย

ผู้นำทั้งสองฝ่ายยังได้แลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์และความร่วมมือในระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในเวทีพหุภาคีต่าง ๆ ซึ่งรวมไปถึงบิมสเทค อาเซียน BRICS และ OECD โดยประเทศไทยพร้อมทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมโยงระหว่างกรอบความร่วมมือที่ไทยเป็นสมาชิกทั้งในระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศ

ช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การเยือนไทยในครั้งนี้ของนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐอินเดียและการประกาศยกระดับความสัมพันธ์ไทย-อินเดียเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ ไม่เพียงแต่เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับความสัมพันธ์อันยาวนานของทั้งสองประเทศเท่านั้น แต่ยังเป็นหมุดหมายสำคัญที่จะปูรากฐานความร่วมมืออันลึกซึ้งยิ่งขึ้นระหว่างกันต่อไป

ด้านนายกรัฐมนตรีอินเดีย กล่าวแสดงความขอบคุณต่อรัฐบาลไทยสำหรับการต้อนรับอย่างอบอุ่น พร้อมแสดงความเสียใจต่อผู้เสียชีวิตจากเหตุแผ่นดินไหว โดยเน้นย้ำถึงสายสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมและศาสนาระหว่างอินเดียและไทย โดยเฉพาะอิทธิพลของพุทธศาสนาและวัฒนธรรม รวมถึงความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การค้า เทคโนโลยี และความมั่นคง โดยอินเดียได้ให้บริการ Free Visa แก่ชาวไทยและร่วมมือกับไทยในประเด็นอาชญากรรมข้ามชาติ รวมทั้งทั้งสองประเทศยังยืนยันจุดยืนร่วมกันต่อเสถียรภาพในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ที่เสรี เปิดกว้าง ครอบคลุม และยึดหลักกฎหมาย ทั้งนี้ อินเดียพร้อมเข้าร่วมการประชุม BIMSTEC ในวันพรุ่งนี้ ซึ่งประเทศไทยในฐานะประธานได้ผลักดันความร่วมมือในภูมิภาคอย่างแข็งขัน

Advertisement

Verified by ExactMetrics