วันที่ 21 เมษายน 2025

ประธานผู้แทนการค้าไทยหารือแคนาดา เสริมแกร่งนโยบาย ODOS พร้อมผลักดันโครงการวิจัย AI และควอนตัม

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 27 มีนาคม 2568 ประธานผู้แทนการค้าไทยหารือ MITACS แคนาดา เร่งขับเคลื่อนความร่วมมือด้านวิจัย นวัตกรรม และแลกเปลี่ยนนักวิชาการ เสริมความแข็งแกร่งนโยบาย ODOS พร้อมผลักดันโครงการวิจัย AI และควอนตัม

เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2568 ดร.นลินี ทวีสิน ประธานผู้แทนการค้าไทย พร้อมด้วยนายกัลยาณะ วิภัติภูมิประเทศ เอกอัครราชทูต ณ กรุงออตตาวา และคณะ ได้พบและหารือกับผู้บริหารขององค์กร MITACS เกี่ยวกับแนวทางส่งเสริมความร่วมมือด้านวิจัย พัฒนานวัตกรรม และการแลกเปลี่ยนนักวิจัยและนักศึกษาระหว่างไทยและแคนาดา

MITACS เป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรของแคนาดาที่มีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงภาคอุตสาหกรรมและสถาบันการศึกษาผ่านโครงการวิจัยร่วมระดับชาติและนานาชาติ โดยเฉพาะ Accelerate Program ที่เปิดโอกาสให้ภาคเอกชนร่วมออกแบบหัวข้องานวิจัยและรับนักวิจัยเข้าร่วมพัฒนาโครงการจริง ซึ่งช่วยสร้างทักษะและขีดความสามารถให้กับบุคลากรทั้งสองประเทศ

ดร. นลินี เผยเพิ่มเติมว่า MITACS ได้มีการจัดทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่าง MITACS กับที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (Council of University Presidents of Thailand) ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญในการเปิดโอกาสให้นักวิจัย นักศึกษา และคณาจารย์จากไทยสามารถเข้าร่วมโครงการวิจัยระดับนานาชาติในแคนาดาได้มากขึ้น โดยตั้งเป้าว่าจะเริ่มดำเนินการในปี 2569

ประธานผู้แทนการค้าไทยได้เน้นย้ำว่า แนวทางดำเนินงานของ MITACS สอดคล้องกับโครงการ One District One Scholarship (ODOS) ของรัฐบาลไทย ที่มุ่งส่งเสริมโอกาสทางการศึกษาระดับสากลให้กับเยาวชนไทยในทุกภูมิภาค โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล ความร่วมมือกับ MITACS จึงสามารถเป็นอีกหนึ่งช่องทางสำคัญในการสนับสนุนทุนการศึกษา ODOS และพัฒนาทุนมนุษย์ของไทยอย่างยั่งยืน ตลอดจนจะตอบสนองการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนต่อประชาชนระหว่างสองประเทศด้วย

ประธานผู้แทนการค้าไทยได้รับทราบว่า ขณะนี้มีคณาจารย์จากมหาวิทยาลัยของไทยร่วมกันนำเสนอหัวข้อวิจัยร่วมกับมหาวิทยาลัยในแคนาดาแล้วถึง 15 โครงการ ในหัวข้อ เทคโนโลยีควอนตัม (Quantum Computing) สำหรับหัวข้ออื่น ๆ ที่มีผู้สนใจประกอบด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI), การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความยั่งยืน

MITACS ยังเน้นบทบาทของตนในฐานะกลไกสนับสนุนนยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิกของแคนาดา โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนากำลังคน การส่งเสริมนวัตกรรม และการสร้างความเชื่อมโยงในระดับประชาชน (people-to-people connectivity) ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของไทยในการส่งเสริมการเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมและความร่วมมือด้านการศึกษาระดับโลก

การหารือครั้งนี้สะท้อนถึงความตั้งใจของรัฐบาลไทยในการสร้างความร่วมมือเชิงลึกกับพันธมิตรระหว่างประเทศ และการผลักดันนโยบายที่สร้างโอกาสให้เยาวชนไทยได้พัฒนาตนเองบนเวทีโลกให้ได้รับการยอมรับมากขึ้นอย่างแท้จริง

นายกรัฐมนตรีเนปาลเยือนไทยอย่างเป็นทางการ ครั้งแรกในรอบกว่า 60 ปี

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 27 มีนาคม 2568 นายกรัฐมนตรีแพทองธาร เตรียมให้การต้อนรับนายกรัฐมนตรีเนปาลเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ครั้งแรกในรอบกว่า 60 ปี นับตั้งแต่สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต พร้อมร่วมยกระดับความร่วมมือในหลากหลายมิติ อย่างรอบด้าน

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลเตรียมให้การต้อนรับ นายเค พี ศรรมะ โอลี นายกรัฐมนตรีเนปาล และภริยา โดยมีกำหนดการเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรัฐบาล (Official Visit) ระหว่างวันที่ 1-5 เมษายน 2568 นี้ ตามคำเชิญของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ถือเป็นการเยือนอย่างเป็นทางการครั้งแรกของนายกรัฐมนตรีเนปาลนับตั้งแต่ไทยกับเนปาล สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันปี 2502

โดยในวันพุธที่ 2 เมษายน 2568 นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร พร้อมคณะรัฐมนตรี จะให้การต้อนรับนายกรัฐมนตร เนปาล ที่ทำเนียบรัฐบาล ในพิธีการต้อนรับอย่างเป็นทางการ  รวมทั้งการหารือข้อราชการ การร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ การแถลงข่าวร่วม และนายกรัฐมนตรีแพทองธาร จะเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารกลางวันเพื่อเป็นเกียรติแก่นายกรัฐมนตรีเนปาล และภริยา

นายจิรายุ กล่าวว่า การเยือนอย่างเป็นทางการในครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่ทำให้ทั้งสองฝ่ายได้ร่วมหารือกัน เพื่อยกระดับความร่วมมืออย่างรอบด้านในหลายสาขา โดยเฉพาะด้านการค้าและการลงทุน เกษตรกรรม สาธารณสุข การท่องเที่ยว และอุตสาหกรรมบริการ รวมถึงแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับความท้าทายระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความร่วมมือภายใต้กรอบพหุภาคี

นอกจากนี้ ในวันศุกร์ที่ 4 เมษายน 2568 นายกรัฐมนตรีเนปาลจะเข้าร่วมการประชุมผู้นำบิมสเทค ครั้งที่ 6 ซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ

 

นายกฯ ไทย-ลาว หารือกระชับความร่วมมือทุกมิติ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 20 กุมภาพันธ์ 2568 ทำเนียบ – นายกฯ ไทย-ลาว หารือกระชับความร่วมมือปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์-ยาเสพติด ขอ สปป ลาว กำหนดหน่วยงานหลักประสานงานปราบอาชญากรรมทางเทคโนโลยีฯ กับ ตร.ไทย เสนอ แนวทางแก้ปัญหาหมอกควันข้ามแดน พร้อมขยายการค้าสู่เป้าหมายทวิภาคี 11,000 ล้านดอลลาร์ภายในปี 2027 ร่วมฉลอง 75 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูต ขอให้ลาวกำหนดหน่วยงานหลัก เพื่อประสานงานร่วมกับศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศของสำนักงานตำรวจแห่งชาติของไทย

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายสอนไซ สีพันดอน นายกรัฐมนตรี สปป ลาว ร่วมหารือข้อราชการเต็มคณะ ภายในตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล

โดยนายกรัฐมนตรี กล่าวยินดีต้อนรับนายกรัฐมนตรีนายสอนไซ สีพันดอน ในโอกาสครบรอบ 75 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-ลาว โดยเน้นย้ำถึงมิตรภาพและความร่วมมือที่ใกล้ชิดระหว่างสองประเทศ โดยไทยพร้อมส่งเสริมความร่วมมือที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นใน 3 ด้านหลัก ได้แก่ 1. การสร้างความมั่นคงชายแดนให้ปราศจากปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ เช่น ยาเสพติด การค้ามนุษย์ และ Online Scam 2.การส่งเสริมเศรษฐกิจเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนทั้งสองประเทศ และ 3.การเสริมสร้างสายสัมพันธ์อันพิเศษระหว่างประชาชนไทยและลาวให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น เพื่อให้ทั้งสองประเทศก้าวหน้าพร้อมกันอย่างยั่งยืน

ด้านนายกรัฐมนตรี สปป ลาว ยินดีที่ไทยและ สปป ลาว มีความสัมพันธ์ใกล้ชิด โดยเฉพาะในด้านภาษา วัฒนธรรม และประเพณีที่คล้ายคลึงกัน ซึ่งการเยือนครั้งนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญในการเริ่มต้นเฉลิมฉลองครบรอบ 75 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-ลาว พร้อมกล่าวแสดงความประทับใจต่อการต้อนรับที่อบอุ่นจากรัฐบาล และหวังว่า ไทยและ สปป.ลาวจะส่งเสริมการแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูงระหว่างกันอย่างต่อเนื่อง พร้อมสนับสนุนให้มีการประชุมร่วมกันอย่างสม่ำเสมอ เพื่อพัฒนาความร่วมมือในทุกด้าน

ด้านยาเสพติด ทั้งสองฝ่ายต่างมองเห็นถึงความสำคัญในการปราบปรามยาเสพติดในพื้นที่ชายแดน โดยเฉพาะการทำงานร่วมกันของหน่วยงานด้านความมั่นคงของไทย-ลาว ที่ได้มีการประชุมและสร้างแนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างเข้มงวด

นายกรัฐมนตรี ได้เสนอแนวทางเพิ่มเติม เช่น การแลกเปลี่ยนข่าวสารและขยายผลการสืบสวน และการสนับสนุนชุมชนปลอดยาเสพติดด้วยการปลูกพืชทดแทน รวมถึงส่งเสริมความร่วมมือระดับท้องถิ่น โดยเฉพาะระดับจังหวัด-แขวง

ด้านขบวนการคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงไทยและสปป ลาว เน้นย้ำถึงความสำคัญอย่างยิ่งกับการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่กระทบต่อความมั่นคงและประชาชนของทั้งสองประเทศ โดยไทยชื่นชมความสำเร็จของลาวในการกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในพื้นที่แขวงบ่อแก้วเมื่อปีที่ผ่านมา และเสนอให้มีการป้องกันไม่ให้ทรัพยากรต่าง ๆ ของทั้งสองประเทศถูกใช้ในทางที่ผิดเพื่อละเมิดกฎหมาย

ด้านนายกรัฐมนตรี สปป ลาว พร้อมประสานความร่วมมือกับไทยอย่างต่อเนื่องในการขจัดปัญหาทั้งยาเสพติด คอลเซ็นเตอร์ และความมั่นคงตามชายแดนอื่นๆ ต่อไป

ด้านหมอกควันข้ามแดน ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันว่าต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน โดยนายกรัฐมนตรี สปป ลาว ชื่นชมความร่วมมือไทย-ลาว ที่ได้เกิดผลเป็นรูปธรรม และขอบคุณฝ่ายไทยในการสนับสนุนอุปกรณ์และเทคโนโลยีในการตรวจสอบจุดความร้อน ส่งผลให้จุดความร้อนลดลง และหมอกควันความร้อนลดลง

นอกจากนี้ ไทยได้เสนอแนวทางขยายความร่วมมือเพิ่มเติม เช่น การจัดตั้งห้องปฏิบัติการติดตามสถานการณ์ไฟป่าและหมอกควัน รวมถึงการเชื่อมโยงฐานข้อมูลระหว่างกันเพื่อการแจ้งเตือนล่วงหน้า รวมทั้งการใช้เทคโนโลยีจาก GISTDA (จีสด้า) ของไทยในการสนับสนุนการตรวจวัดคุณภาพอากาศ

การค้าชายแดน ผู้นำทั้งสองประเทศได้แสดงความยินดีกับการเพิ่มขึ้นของมูลค่าการค้าทวิภาคีระหว่างกัน โดยในปีที่ผ่านมา มีมูลค่ากว่า 8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม ไทยและ สปป ลาว ขอให้มีการขยายเป้าหมายการค้า 11,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ออกไปจนถึงปี 2027

โดยนายกรัฐมนตรี ขอบคุณ สปป ลาว ที่ช่วยแก้ไขปัญหาการขนส่งสินค้าเกษตรผ่านแดน โดยเฉพาะผลไม้ ซึ่งทำให้การขนส่งราบรื่นและรวดเร็วขึ้น ในขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรี สปป ลาว ยังเห็นพ้องให้มีการพัฒนาความร่วมมือในด้านการค้าชายแดนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการลดการเผาในอุตสาหกรรมเกษตรที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนในทั้งสองประเทศ

โลจิสติกส์และความเชื่อมโยง นายกรัฐมนตรี สปป.ลาวมองว่าการพัฒนาโลจิสติกส์และความเชื่อมโยงระหว่างไทย-ลาว โดยเฉพาะในด้านการคมนาคมทั้งทางบกและราง จะช่วยส่งเสริมบทบาทของทั้งสองประเทศ และยินดีกับการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 5 (บึงกาฬ-บอลิคำไซ) ซึ่งจะมีการเชื่อมกึ่งกลางสะพานเร็ว ๆ นี้ และจะมีพิธีเปิดในช่วงปลายปีนี้ ด้านนายกรัฐมนตรีหวังว่าจะร่วมกันพัฒนาการเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างไทย-ลาว-จีน ในอนาคต รวมทั้งการสร้างสะพานรถไฟแห่งใหม่ที่หนองคาย-เวียงจันทน์ เพื่อรองรับการขนส่งที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคตด้วย

ความสัมพันธ์ระดับประชาชน นายกรัฐมนตรี ยินดีในการร่วมเปิดตัวตราสัญลักษณ์เฉลิมฉลองครบรอบ 75 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-ลาว พร้อมสนับสนุนการจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองกว่า 20 โครงการตลอดปี โดยไฮไลต์สำคัญคือการมอบทุนการศึกษา 75 ทุนให้แก่ สปป.ลาว เพื่อสนับสนุนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และเยาวชน พร้อมกล่าวขอให้นายกรัฐมนตรี สปป ลาวช่วยดูแลนักธุรกิจและนักท่องเที่ยวไทยด้วย

ความร่วมมือระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศ นายกรัฐมนตรี แสดงความยินดีกับความสำเร็จของ สปป ลาว ในการทำหน้าที่ประธานอาเซียนเมื่อปีที่แล้ว และสนับสนุนให้ทั้งสองประเทศร่วมมือกันในกรอบอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงและอาเซียน นอกจากนี้ ยังเชิญนายกรัฐมนตรีลาวเข้าร่วมการประชุมสุดยอดความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง (MLC Summit) ที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพในปลายปีนี้

ช่วงท้าย นายกรัฐมนตรี สปป ลาว กล่าวแสดงความรู้สึกยินดีที่จะได้ร่วมเปิดตัวตราสัญลักษณ์เฉลิมฉลองการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-ลาวครบ 75 ปี ร่วมกับนายกรัฐตรีหลังจากนี้ รวมถึงขอบคุณรัฐบาลไทยที่ส่งเสริมความร่วมมือด้านการศึกษาและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และเยาวชน ให้แก่ สปป ลาว นอกจากนี้ ยังยินดีที่มีนักธุรกิจไทยและนักท่องเที่ยวไทยมีการลงทุนและเดินทางในประเทศลาวจำนวนมาก โดยสปป ลาว พร้อมยินดีดูแลนักคนไทยและนักลงทุนไทยพร้อมหวังว่าไทยจะดูแลนักท่องเที่ยวลาว รวมถึงแรงงานลาวในไทยเช่นกัน

Advertisement

นายกฯ ย้ำ หารืออาชญากรรมออนไลน์ไทย-จีน ช่วงเยือนจีน จะคืบหน้าแน่นอน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 4 กุมภาพันธ์ 2568 นายกฯ ย้ำ การหารือเรื่องอาชญากรรมออนไลน์ระหว่างไทย-จีน ช่วงเยือนจีน จะต้องมีความคืบหน้าอย่างแน่นอน

วันนี้ (4 กุมภาพันธ์ 2568) เวลา 12.00 น. ณ บริเวณโถงกลาง ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงประเด็นในการเดินทางเยือนประเทศจีนอย่างเป็นทางการ จะมีการพูดคุยถึงประเด็นความร่วมมือทางด้านอาชญากรรมออนไลน์ด้วยหรือไม่นั้นว่า  จะต้องมีการพูดคุยกันแน่นอน ซึ่งอาชญากรรมออนไลน์เป็นปัญหาของทั่วโลก ไม่ใช่แค่กับประเทศจีน ในส่วนนี้จะต้องมีการพูดคุย หาแนวทางโดยใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ ช่วยจัดการ และต้องอาศัยความร่วมมือซึ่งกันและกัน ปัญหาดังกล่าวทางประเทศจีนเล็งเห็นถึงปัญหาอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นในเรื่องของการขอความร่วมมือไม่น่าจะเป็นปัญหา และในช่วงบ่ายของวันนี้ นายหลิว จงอี ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงและสาธารณะ สาธารณรัฐประชาชนจีน จะเข้าพบนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมด้วย

ส่วนเรื่องของการที่ผู้ช่วยรัฐมนตรีจีนที่ได้เข้ามาพูดคุยอย่างไม่เป็นการนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เป็นการเดินทางมาแบบไม่เป็นทางการ รัฐบาลไม่ได้รับทราบหรือไปต้อนรับ เพราะการเดินทางมาครั้งนี้เป็นการเดินทางมาด้วยตัวเอง ทั้งนี้ กับประเทศจีนไม่ได้มีความเข้าใจผิด และไม่เป็นปัญหาแน่นอน และการเดินทางไปจีนครั้งนี้จะต้องมีความคืบหน้า เพราะปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ เป็นปัญหาของประเทศจีนด้วยเช่นกัน ไม่ใช่ปัญหาของประเทศไทยเพียงประเทศเดียว เพราะฉะนั้นการที่จะไปพูดคุยถึงเรื่องนี้ต้องได้รับความคืบหน้าอย่างแน่นอน

Advertisement

 

นายกฯสั่ง มท.เพิ่มความสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้อง จว.ของไทยกับเมือง-มณฑลของจีน จาก 38 คู่ เป็น 50 คู่

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 28 มกราคม 2568 นายกฯย้ำใน ครม. ทุกกระทรวงทำงบประมาณ 69 ต้องประหยัดและคุ้มค่าตรงความต้องการของประชาชน ส่วนโครงการสำคัญของประเทศต้องเร่งดำเนินการ ทั้งรถไฟความเร็วสูง อีสาน รางคู่ ภาคใต้ ขณะที่ ผลประชุมดาวอส ที่ประชุม ครม. ชื่นชมประเทศไทยได้อะไรมากกว่าที่คิด

วันนี้ (28 มกราคม 2568) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในการประชุม คณะรัฐมนตรีครั้งที่ 4 ประจำปี 2568 นายกรัฐมนตรี มีข้อสั่งการในการประชุม ดังนี้

นายกรัฐมนตรี ได้สรุปผลของประเทศไทยจากการร่วมประชุม World Economic Forum 2025 ที่เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ถือว่าเป็นการนำเอาศักยภาพของไทยในด้านต่าง ๆ ทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และวัฒนธรรม ไปโชว์ในเวทีโลกครั้งนี้ ซึ่งคณะรัฐบาล และผู้แทนประเทศไทยในทุกภาคส่วนได้มีโอกาสพบผู้นำระดับประเทศหลายประเทศ เช่น บังกลาเทศ ภูฏาน มอนเตเนโกร สวีเดน สวิตเซอร์แลนด์ อาร์เมเนีย รวมถึงผู้นำภาคเอกชน เช่น Google, Bayer, DP world, Coca-Cola, AstraZeneca และ AWS รวมๆ แล้วกว่า 20 รายการตลอดการประชุม 3 วัน ซึ่งประเทศไทยได้แสดงถึง ศักยภาพของไทย 3 ด้าน คือ

– Logistic hub of Asia โดยเชิญชวนนักลงทุนว่าประเทศไทยมีที่ตั้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ได้เปรียบ มีความมั่นคง และเป็นกลางทางการเมือง รัฐบาลจึงได้สานต่อโครงการ LandBridge รถไฟความเร็วสูง รถไฟรางคู่ รวมถึง Aviation hub ที่จะมีการสร้างสนามบินขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นการต่อยอดจากนโยบายในรัฐบาลนายกฯ นายเศรษฐา ทวีสิน โดยขอให้กระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนและเร่งรัดกระบวนการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ Landbridge เพื่อให้เกิดความชัดเจน ทั้งในเรื่องแผนงาน และกรอบระยะเวลาของโครงการต่อไป

– Kitchen of the World รัฐบาลได้มุ่งเน้นที่จะทำให้ประเทศไทยกลายเป็นแหล่งความมั่นคงทางอาหาร หรือ Food Security สู่การเป็น World Food storage เพราะไทยมีผลผลิตทางการเกษตรที่เพียงพอและมั่นคง ซึ่งจะเป็น soft power ที่สำคัญของไทย ขอให้ ประทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการต่างประเทศ จัดทำแผนร่วมกันเพื่อให้เกิดการส่งออกสินค้าเกษตรไทย และวัตถุดิบอาหารไทย ไปยังตลาดโลกเพิ่มมากขึ้นทั้งในแง่ปริมาณ และมูลค่าการส่งออก

– Green energy resources ประเทศไทยพร้อมในการผลักดันด้านพลังงานสะอาด รองรับการลงทุนจากบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก เช่น AWS, Google, Microsoft โดยพลังงานสะอาดถือเป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจลงทุน ขอให้ กระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งจัดทำแผน และแนวทางในการสร้างพลังงานสะอาด ที่เพียงพอต่อความต้องการของนักลงทุนจากต่างชาติ

นอกจากนั้น การเดินทางไปครั้งนี้ยังเป็นการเปิดโอกาสธุรกิจใหม่ๆ นายกรัฐมนตรีได้แนะนำให้ประเทศต่าง ๆ เห็นถึงศักยภาพที่มีอยู่ของประเทศไทย โดยได้มีการทำ Business Matching ที่จะให้บริษัทของไทย และต่างประเทศได้มีการร่วมทำธุรกิจ ตลอดจนหาแนวทางที่จะยกระดับศักยภาพของคนไทย Upskill / Reskill เพื่อรองรับ Future Industry ที่จะเกิดการลงทุนในไทย

นายกรัฐมนตรี กล่าวในที่ประชุมว่าผลสำเร็จที่เป็นรูปธรรมในการประชุมสำคัญระดับโลกครั้งนี้ คือ การลงนาม FTA Thai-EFTA ได้สำเร็จลุล่วงโดย กระทรวงพาณิชย์ ซึ่งจะทำให้การค้าการลงทุนของประเทศไทยกับประเทศอื่น ๆ มีศักยภาพที่เพิ่มขึ้น ขอให้ กระทรวงพาณิชย์ และ กระทรวงการต่างประเทศ เร่งรัดการเจรจา FTA ในเขตการค้าอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ETA Thai-EU ให้สำเร็จโดยเร็ว

สำหรับข้อสั่งการที่ 2  เป็นเรื่องครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทย-จีนขอให้ทุกกระทรวงดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามภารกิจของกระทรวง เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศให้แนบแน่นยิ่งขึ้น เช่น

– ให้ กระทรวงมหาดไทยพิจารณาสถาปนาความสัมพันธ์แบบเมืองพี่เมืองน้องระหว่างจังหวัดของไทยกับเมืองหรือมณฑลกับประเทศจีน ที่ปัจจุบันมีอยู่แล้วถึง 38 คู่ความสัมพันธ์ โดยเพิ่มเป็น 50 คู่ความสัมพันธ์

– ให้ กระทรวงคมนาคม พิจารณาเร่งรัดกรณีเส้นทางรถไฟความเร็วสูงเชื่อมระหว่างไทยและ สปป. ลาว ซึ่งเป็นประเด็นที่ประเทศจีนได้ร้องขอให้ดำเนินการมาเป็นระยะเวลานานแล้ว

– ให้ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจัด Promotion ส่งเสริมการท่องเที่ยว ไทย-จีน

ข้อสั่งการที่ 3 เรื่อง ปัญหา PM 2.5 ขอให้แต่ละกระทรวง นำเสนอว่ามีมาตรการอะไรบ้าง และขอย้ำกับทาง กระทรวงอุตสาหกรรม ในเรื่องอ้อย ซึ่งยังเห็นการเผาไร่อ้อยในบางพื้นที่ ขอให้ทาง กระทรวงอุตสาหกรรมกวดขันเรื่องนี้ และหามาตรการเพิ่มเติมเพื่อลดการเผา ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของ PM 2.5

ข้อสั่งการเรื่องที่ 4  ให้ดำเนินการศึกษาเส้นทางรถไฟทางคู่ ช่วง อ.หาดใหญ่ไปยัง อ.สุไหงโกลกจากการที่นายกรัฐมนตรี ไปตรวจราชการ และมีการประชุมที่จังหวัดยะลา การรถไฟแห่งประเทศไทย ได้เสนอเส้นทางรถไฟทางคู่ ระยะที่สอง ซึ่งเป็นการดำเนินการ ต่อจากระยะที่หนึ่ง เพื่อเป็นการลดต้นทุนโลจิสติกส์ ทั้งในด้านการขนส่งสินค้าและผู้โดยสาร ซึ่งโครงการรถไฟทางคู่ระยะสองนั้น ขอให้การรถไฟฯ ดำเนินการศึกษาเพิ่มเติมในเส้นทางรถไฟทางคู่ ช่วงหาดใหญ่ไปยังสุไหงโกลก โดยขอให้สำนักงบประมาณช่วยสนับสนุนงบประมาณในการศึกษา และออกแบบเบื้องต้นตามที่จำเป็น และเหมาะสม เป็นไปตามกฎหมาย

ข้อสั่งการเรื่องที่ 5 เรื่อง การเสนอคำขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2569 ในวันนี้มีหน่วยรับงบประมาณที่เสนอคำขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2569 รายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีที่มีวงเงินตั้งแต่ 1000 ล้านบาทขึ้นไปเป็นจำนวนมาก ในขณะที่วงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 มีอยู่อย่างจำกัด และมีภาระหนี้ที่เกือบชนเพดาน ตลอดจนเกิดภาระหนี้ผูกพันข้ามปีเป็นจำนวนมาก

ดังนั้น เพื่อให้การจัดสรรงบประมาณมีประสิทธิภาพ และสามารถขับเคลื่อนนโยบายสำคัญของรัฐบาลได้อย่างเป็นรูปธรรม และเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนตามนโยบายที่ได้ให้ไว้ขอมอบหมาย ดังนี้

1.ให้รัฐมนตรี เจ้าสังกัดทุกท่านกำกับดูแลหน่วยรับงบประมาณให้จัดทำคำขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ คุ้มค่า และเกิดประโยชน์สุงสุดแก่ประชาชน รวมทั้ง พิจารณาจัดลำดับความสำคัญของโครงการให้สอดคล้องกับนโยบายสำคัญของรัฐบาลตลอดจนให้หน่วยรับงบประมาณที่มีเงินนอกงบประมาณ พิจารณานำเงินนอกงบประมาณ เงินรายได้ และเงินสะสม มาใช้ในการดำเนินภารกิจเป็นลำดับแรก

2.ให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 โดยให้ความสำคัญกับโครงการที่ขับเคลื่อนนโยบายสำคัญของรัฐบาล มีความจำเป็นเร่งด่วน สามารถแก้ไขปัญหาความเป็นอยู่ของประชาชน และสร้างความสามารถในการแข่งขันในระยะยาวของประเทศต่อไป

Advertisement

นายกฯ เตรียมคุย “สี จิ้นผิง” จับมือแก้คอลเซ็นเตอร์-ฝุ่นควัน หวังแก้ปัญหาสำเร็จเร็วขึ้น

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 28 มกราคม 2568 นายกฯ เตรียมคุย “ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง” จับมือแก้คอลเซ็นเตอร์-ฝุ่นควัน หวังให้ร่วมมือกันจะแก้ไขปัญหาสำเร็จเร็วขึ้น

วันนี้ (28 มกราคม 2568) เวลา 12.30 น. ณ บริเวณโถงกลาง ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการเดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนระหว่างวันที่ 5 – 8 กุมภาพันธ์ 2568 ว่า ประเด็นทางด้านการท่องเที่ยวตรุษจีน แก๊งคอลเซ็นเตอร์ถือเป็นหนึ่งในประเด็นที่จะมีการพูดคุยหารือนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีสาธารณรัฐประชาชนจีนในการเดินทางไปครั้งนี้  โดยคาดว่าทางประเทศจีนต้องการที่จะหารือในเรื่องดังกล่าวเช่นกัน ซึ่งในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและประเทศจีน มีความสัมพันธ์ร่วมกันแบบพี่น้องกันมาตลอด เพราะฉะนั้นในการเดินไปในครั้งนี้ เรื่องของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ฝุ่นควัน จะพูดคุยร่วมกัน รวมถึงการพูดคุยหารือเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ต่อไป เพราะปีนี้ประเทศไทยและประเทศจีนจะมีความสัมพันธ์ทางการทูตครบรอบ 50 ปี

ผู้สื่อข่าวถามว่าจำเป็นต้องขอความร่วมมือจากประเทศจีนให้ช่วยเรื่องโซเชียลปล่อยข่าวลือหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ ดีอี ได้หารือเรื่องนี้โดยตรงแล้ว และการที่เดินทางไปจีนครั้งนี้ เพื่อหารือขอความร่วมมือในเรื่องนี้อยู่แล้ว และจากการที่ได้ใช้ AI ทำการประชาสัมพันธ์และสร้างความเข้าใจเป็นภาษาจีนนั้น ได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดีและทางการจีน นั้นก็ได้แสดงความชื่นชมที่ได้ใช้ภาษาจีน

ส่วนประเด็นที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาต้องการให้นายกฯ ตั้งทีมงานเพื่อติดตามความคิดเห็นทางโซเชียลวต่อประเด็นปัญหาต่าง ๆ นั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในประเด็นดังกล่าว มีการตั้งการตั้งทีมมอนิเตอร์ว่าข่าวเท็จที่เกี่ยวกับประเทศไทยอยู่แล้ว โดยเป็นกลไกของกระทรวงดีอีอยู่แล้ว ที่ต้องปกป้องภาพลักษณ์ของประเทศ

เมื่อถามย้ำว่า จะนำประเด็นนี้ไปพูดคุยกับทางการจีนหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ความจริงแล้วการพูดคุยกับนายสี จิ้นผิง จะเป็นการพูดคุยกันในภาพรวม ส่วนเนื้อหาและรายละเอียดต้องให้กระทรวงดีอีเป็นคนไปพูดคุยต่อไป ซึ่งในส่วนของตนเองก็จะแสดงความห่วงใยในเรื่องคอลเซ็นเตอร์ และพูดคุยในหัวข้อหลัก

Advertisement

“มาริษ” – “ท่านทูตหาน” เปิดตัวตราสัญลักษณ์ฉลองสัมพันธ์ ไทย – จีน 50 ปี

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 20 พฤศจิกายน 2567 “มาริษ” จับมือ “ทูตหาน” เปิดตัวตราสัญลักษณ์ฉลองสัมพันธ์ 50 ปี ก้าวสู่ “ปีทองมิตรภาพไทย – จีน” ภายใต้ยุทธศาสตร์ผู้นำ ‘สี จิ้นผิง-แพทองธาร’

นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ​ ร่วมกับ นายหาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย พร้อมทั้งเจ้าหน้าที่จากกระทรวงการต่างประเทศ สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน สมาคมมิตรภาพไทย – จีน ภาคเอกชน ประชาชน และสื่อมวลชน ร่วมงานเปิดตัวตราสัญลักษณ์ 50 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย – จีน ณ สุราลัย ฮอลล์ ชั้น 7 ไอคอนสยามรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า ไทยกับจีนมีความร่วมมือกันมาตลอด 50 ปี ผ่านร้อน ผ่านหนาว ผ่านปัญหา ผ่านความยากลำบาก ช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาโดยตลอด ต่างฝ่ายต่างสนับสนุนให้เกิดความเจริญก้าวหน้าระหว่างกัน เปรียบเสมือนเป็นผู้ใกล้ชิด ญาติสนิท สมดังคำกล่าวที่พูดกันเสมอมาว่า “จีนไทยใช่อื่นไกล เป็นพี่น้องกัน” ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาความร่วมมือต่อไปอย่างใกล้ชิดในอนาคต เพื่อผลประโยชน์ร่วมกันทั้งสองประเทศ และสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกัน ปี 2568 จึงถือเป็นปีทองของไทยกับจีน มีการจัดเตรียมกิจกรรมมากมาย อาทิ การอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุวัดหลิงกวง กรุงปักกิ่ง มาประดิษฐานในไทย 73 วัน ตั้งแต่วันที่ 4 ธันวาคม 2567 ตลอดจนสร้างความตระหนักรู้กับประชาชนถึงมิตรภาพที่สำคัญระหว่างไทยกับจีนตลอด 50 ปี ผ่านตราสัญลักษณ์นี้

“ในการประชุมเอเปค ท่านประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ได้กล่าวกับนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ถึงสัมพันธ์ที่แนบแน่นระหว่างไทยกับจีนตลอด 50 ปีที่ผ่านมาว่า ทั้งสองประเทศมีสัมพันธ์พิเศษที่ไม่มีประเทศไหนมี ดังนั้น กระทรวงการต่างประเทศของไทยกับจีนจะขับเคลื่อนสัมพันธ์พิเศษระหว่างไทยและจีนก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและครอบคลุมทุกมิติ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าว

เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย กล่าวว่า เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง และนายกรัฐมนตรี แพทองธาร พบที่กรุงลิมา ประเทศเปรู และบรรลุฉันทามติใหม่ที่สำคัญ เกี่ยวกับการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างกัน ภายใต้การนำเชิงยุทธศาสตร์ของผู้นำทั้งสองประเทศ โดยในปีหน้า จีนกับไทยจะร่วมเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 50 ปี หรือปีทองแห่งมิตรภาพจีน – ไทย ซึ่งเป็นก้าวสำคัญของประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างจีน – ไทย และเป็นจุดเริ่มต้นครั้งใหม่ของความสัมพันธ์จีน – ไทย งานเปิดตัวตราสัญลักษณ์ฉลองครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์จีน – ไทยในวันนี้ ถือเป็นการเริ่มต้นของกิจกรรมเฉลิมฉลองมากมาย ทั้งนี้ ภายใต้สถานการณ์ระหว่างประเทศที่สับสนวุ่นวาย จีนจะยึดมั่นในเส้นทางการพัฒนาอย่างสันติ และจะส่งเสริมการพัฒนาที่มีคุณภาพสูง ที่ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางและการเปิดกว้างในระดับสูง ฝ่ายจีนจะสานต่อมิตรภาพที่ยาวนานระหว่างจีน – ไทย และส่งเสริมการสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันระหว่างจีน – ไทยอย่างแน่วแน่ สนับสนุนให้ไทยประสบความสำเร็จมากขึ้นในเส้นทางการพัฒนาประเทศของตนเอง และจะเป็นมิตรที่เชื่อถือได้ และพึ่งพาได้สำหรับประเทศไทยตลอด“ตราบใดที่เรายังคงรักษาปณิธานของการเป็นเพื่อนบ้านที่เป็นมิตรที่จริงใจต่อกัน และจับมือก้าวไปข้างหน้าด้วยกัน จีน – ไทย และประชาชนของทั้งสองประเทศ ก็จะสามารถมีอนาคตอันสดใสที่เต็มไปด้วยความเจริญรุ่งเรืองอย่างแน่นอน” เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย กล่าว

นอกจากนี้ ภายในงานยังมีการเสวนาโดยอธิบดีกรมเอเชียตะวันออก ผู้แทนจากสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย ผู้แทนจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และผู้แทนจากสมาคมมิตรภาพไทย – จีน ตลอดจนการประกาศความร่วมมือระหว่างกระทรวงการต่างประเทศและ POP MART INTERNATIONAL GROUP กิจกรรมร่วมกับนักแสดงชาวไทย นายชานน สันตินธรกุล และการแสดงชุด “ตอแบ๋ตั๋วะ” โดยคณะศิลปนาฏดุริยางค์ สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ด้วย

Advertisement

คณะผู้แทนไทยเตรียมพร้อม 10 ประเด็นการเจรจา COP29

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 18 พฤศจิกายน 2567 สาธารณรัฐอาเซอร์ไบจาน – คณะผู้แทนไทยเข้าร่วมประชุม COP29 อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมเตรียมพร้อม 10 ประเด็นเจรจานานาชาติสำหรับการประชุม High-level

นายพิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ในฐานะรองหัวหน้าคณะผู้แทนไทย ประชุมร่วมกับคณะผู้แทนไทย เพื่อติดตามความก้าวหน้าผลการเจรจาในช่วงสัปดาห์แรก เตรียมพร้อมก่อนเข้าร่วมการประชุมระดับสูง (Resumed high-level segment) ของการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 29 (COP29) โดยนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทยจะนำคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมประชุมระหว่างวันที่ 19 – 20 พ.ย. 2567 ณ กรุงบากู สาธารณรัฐอาเซอร์ไบจาน

สำหรับความก้าวหน้าผลการเจรจาในสัปดาห์แรกของการประชุม COP29 มีประเด็นสำคัญ 10 ประเด็น ดังนี้ 1) เป้าหมายทางการเงินครั้งใหม่ (New Collective Quantified Goal: NCQG) เพื่อระบุจำนวนเงินต่อปีที่ชัดเจนความโปร่งใสของการสนับสนุน และการเข้าถึงได้ง่ายของประเทศกำลังพัฒนา 2) การทบทวนสถานการณ์และการดำเนินงานระดับโลก (Global Stocktake) เพื่อจัดทำในครั้งที่ 2 และเชื่อมโยงข้อมูลไปสู่การจัดทำ NDC 2035 และการเสริมสร้างศักยภาพของประเทศสมาชิก 3) การกำหนดตัวชี้วัดเพื่อขับเคลื่อนการปรับตัวต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศตามเป้าหมายระดับโลก 4) การเร่งสร้างกติกาและกลไกดำเนินงานของกองทุนจัดการความสูญเสียและความเสียหาย (Loss and Damage Fund) 5) การหาข้อสรุปให้เกิดความร่วมมือและกลไกที่เอื้ออำนวยการดำเนินงานระหว่างภาคีด้านคาร์บอนเครดิตภายใต้ความตกลงปารีส 6) การสร้างช่องทางออนไลน์เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานภาคเกษตรด้านวิชาการและสนับสนุนทางการเงิน 7) การเสริมพลังเครือข่ายขับเคลื่อนการดำเนินงานให้เป็นไปตามเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของแต่ละประเทศ (Action for Climate Empowerment: ACE 8) การกำหนดสาระของรายงานผลความคืบหน้าการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายสองปี ที่ประเทศกำลังพัฒนาจะต้องจัดส่งภายในสิ้นปี ค.ศ. 2024 9) การขับเคลื่อนศักยภาพลดก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้น โดยเร่งถ่ายทอดเทคโนโลยีและสนับสนุนทางการเงินจากประเทศพัฒนาแล้ว และ 10) การสร้างกลไกขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม โดยคำนึงถึงผลกระทบที่เกิดจากมาตรการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ทั้งนี้ คณะผู้แทนไทยจะติดตามประเด็นต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะประเด็นที่มีผลกระทบกับประเทศไทยซึ่งจะเชื่อมโยงกับการจัดทำนโยบาย การดำเนินงาน และการรับการสนับสนุนด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

Advertisement

ไทยรับมอบ 4 วัตถุโบราณบ้านเชียง อายุกว่า 3,500 ปี

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 17 พฤศจิกายน 2567 ประเทศไทยรับมอบ 4 วัตถุโบราณบ้านเชียง อายุกว่า 3,500 ปี ย้ำความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยและสหรัฐ

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาล โดยกระทรวงวัฒนธรรมรับมอบโบราณวัตถุบ้านเชียง 4 ชิ้น จากสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทย ณ พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ประกอบด้วย ภาชนะดินเผา กำไลข้อมือ และลูกกลิ้งทรงกระบอกสองชิ้นที่ยังไม่ทราบการใช้งานที่แน่ชัด โดยวัตถุโบราณดังกล่าว มีลวดลายเขียนสีแดงที่เป็นเอกลักษณ์ของเครื่องปั้นดินเผาจากแหล่งโบราณคดีบ้านเชียง จ.อุดรธานี ที่ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก และได้รับยกย่องว่าเป็นศูนย์กลางของวิวัฒนาการทางวัฒนธรรม สังคม และเทคโนโลยีของมนุษย์ ยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่มีอายุกว่า 3,500 ปี

“พิธีการส่งคืนโบราณวัตถุบ้านเชียงพิธีครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการแสดงออกถึงการให้ความสำคัญต่อแหล่งที่มาของโบราณวัตถุแล้ว ถือเป็นความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศไทยและสหรัฐอเมริกาที่ดำเนินความร่วมมือทางด้านวัฒนธรรมมาต่อเนื่อง ต่อจากการส่งคืนโบราณวัตถุประติมากรรมสำริดรูปพระศิวะ (The Standing Shiva) หรือ โกลเด้นบอย เมื่อเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งการนำวัตถุโบราณ ที่ห่างไกลจากประเทศไทย ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย โดยเฉพาะสถานทูตสหรัฐที่ติดต่อและส่งคืนวัตถุโบราณล้ำค่าชิ้นนี้ รวมถึงหน่วยงานทุกฝ่ายที่ให้ความร่วมมือโดยเฉพาะองค์การยูเนสโก” นางสาวศศิกานต์ ระบุ

นางสาวศศิกานต์ กล่าวว่า คณะกรรมการติดตามโบราณวัตถุในต่างประเทศ และได้วางแนวทางติดตามวัตถุโบราณคืนสู่ประเทศไทยทุก ๆ สามเดือน และได้รับแจ้งว่าสหรัฐจะส่งคืนโบราณสถานให้ไทยอีก 2 ชิ้น เป็นประติมากรรมรูปเคารพในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการตรวจพิสูจน์ และภายหลังการรับมอบโบราณวัตถุทั้ง 4 ชิ้น จะมีการจัดแสดงให้ผู้สนใจได้เข้าชมยังพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติต่อไป

Advertisement

นายกฯ ภูมิใจความสำเร็จหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 16 พฤศจิกายน 2567 เปรู – นายกฯ ประชุม APEC CEO Summit ภูมิใจความสำเร็จหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ทำให้คนไทยเข้าถึงบริการราคาถูก-เท่าเทียม ย้ำ ระบบสาธารณสุขเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน เดินหน้าใช้ประโยชน์นวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัล พร้อมขอความร่วมมือเอเปคสนับสนุนการสร้างระบบที่ยั่งยืน ยืดหยุ่น และครอบคลุมทุกช่วงวัย

เวลา 15.40 น. ของวันที่ 15 พฤศจิกายน 2567 ตามเวลาท้องถิ่นของกรุงลิมา ซึ่งช้ากว่าประเทศไทย 12 ชั่วโมง ณ เดอะ แกรนด์ เนชั่นนอล เทียร์เตอร์ ออฟ เปรู กรุงลิมา สาธารณรัฐเปรู นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวถ้อยแถลงในการประชุมสุดยอดผู้นำภาคเอกชนของเอเปค (the APEC CEO Summit) ว่า รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ เพราะสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีถือเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้นๆ และเกี่ยวพันโดยตรงกับความท้าทายและโอกาสทางเศรษฐกิจในทุกด้านที่ต้องเผชิญ

ประเทศไทยจึงเชื่อว่า ระบบสาธารณสุขถือเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน เพราะสุขภาพที่ดีจะเป็นรากฐานสำคัญของความมั่นคงของมนุษย์ และเป็นความมั่งคั่งที่แท้จริงทางเศรษฐกิจของไทย ด้วยเหตุนี้ ประเทศไทยจึงภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง ที่บรรลุเป้าหมายระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (Universal Health Coverage) หรือ UHC ตั้งแต่ปี 2545 ซึ่งทำให้คนไทยสามารถเข้าถึงบริการด้านสุขภาพที่ราคาไม่แพงและเท่าเทียมกันมายาวนานกว่า 22 ปี จึงสามารถพูดได้ว่า ปัจจุบันคนไทยมากกว่า 99% มีประกันสุขภาพแล้ว จึงเชื่อมั่นว่าเรื่องนี้จะช่วยแบ่งเบาภาระค่ารักษาพยาบาลสำหรับครอบครัวที่ประสบปัญหาได้อย่างแน่นอน

พร้อมย้ำว่า ปัจจุบันไทยและเขตเศรษฐกิจอื่นๆ กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างประชากร ส่งผลให้ประชากรมากกว่า 20% มีอายุมากกว่า 60 ปี และไทยจะเข้าสู่สังคมสูงวัยระดับสุดยอดภายในทศวรรษหน้า อันจะส่งผลให้กำลังแรงงานและประสิทธิภาพการผลิตลดลง ไทยจึงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาระบบ UHC เพื่อตอบสนองต่อความท้าทายที่เกิดขึ้นใหม่ในลักษณะที่ครอบคลุมและมีส่วนร่วม

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังได้กล่าวถึงการประกาศนโยบาย “30 บาท รักษาทุกที่” ซึ่งจะทำให้ระบบสาธารณสุขทั้งหมดเป็นระบบระเบียบ โดยใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีดิจิทัลในการให้บริการอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่การเข้าคิว การส่งต่อ การวินิจฉัยโรค การสั่งยา การบริการสุขภาพ เข้าถึงผู้คนทุกวัย รวมถึงประชากรสูงวัย ด้วยค่าใช้จ่ายประมาณ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ จึงขอใช้โอกาสนี้ขอบคุณบุคลากรทางการแพทย์ของไทยทุกคนสำหรับการบริการและความทุ่มเท เนื่องจากระบบการแพทย์ทางไกลช่วยให้เข้าถึงการดูแลสุขภาพจากที่บ้านได้ และเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพของไทยกับฐานข้อมูลของโรงพยาบาลมากกว่า 500 แห่ง ได้อย่างอย่างไร้รอยต่อ

ประเทศไทยจึงให้ความสำคัญต่อการส่งเสริมสุขภาพและการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน ผ่าน“แอปพลิเคชันสมุดบันทึกสุขภาพผู้สูงอายุ (Blue Book Application)” ซึ่งให้คำแนะนำด้านการดูแลสุขภาพกับผู้สูงอายุ และสนับสนุนให้ผู้สูงอายุติดตามสุขภาพและความเป็นอยู่อย่างจริงจัง เพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมแห่งสุขภาพที่ดี ตลอดจนสร้างระบบสุขภาพที่ยั่งยืน ยืดหยุ่น และครอบคลุมทุกมิติ

ด้วยเหตุนี้ อยากให้เอเปคสนับสนุนคนในทุกช่วงวัยใช้ชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี มีเป้าหมาย และเรียนรู้ซึ่งกันและกัน เนื่องจากประชากรผู้สูงอายุมีเพิ่มขึ้น เอเปคจึงควรมีบทบาทสำคัญในการสร้างการมีส่วนร่วมของผู้สูงอายุในการพัฒนาเศรษฐกิจสุขภาพ เพื่อให้แน่ใจว่าจะสามารถสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงประชากรศาสตร์ทั่วโลก โดยใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัลในการดูแลสุขภาพ เข้ามาช่วยสนับสนุนระบบให้มีความยืดหยุ่นและครอบคลุมทั่วทั้งภูมิภาค เพื่อให้ประชากรสูงวัยมีชีวิตที่ดีและยืนยาวขึ้น ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรี ยังสนับสนุนให้สภาที่ปรึกษาธุรกิจเอเปค หารือเพิ่มเติมเกี่ยวกับการส่งเสริมการจ้างงานสำหรับแรงงานสูงอายุ ซึ่งรวมถึงการฝึกอบรมทักษะใหม่และยกระดับทักษะด้วย

เนื่องจากเห็นว่า ความรู้ที่มีเกี่ยวกับสุขภาพ วิทยาศาสตร์อาหาร เทคโนโลยีชีวภาพ และนวัตกรรมการดูแลสุขภาพ เป็นเครื่องมือสำคัญในการชี้แนะให้ดูแลสุขภาพและความสมบูรณ์ของร่างกายได้ดีขึ้น และสามารถลดโอกาสการเกิดโรคร้ายแรงได้ ซึ่งจากแนวคิด the Care and Wellness Economy ที่ผสมผสานสุขภาพ การท่องเที่ยว และนวัตกรรม โดยเพิ่มการให้การบริการดูแลอย่างจริงใจนั้น เชื่อว่าจะสามารถมอบโอกาสมากมายที่สามารถส่งเสริมสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนในระยะยาวได้

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่าประเทศไทยจะส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์และบริการที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพอย่างแข็งขัน และเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมนี้ ด้วยโครงสร้างพื้นฐานด้านการดูแลสุขภาพที่แข็งแกร่ง สิ่งอำนวยความสะดวกทางการแพทย์ที่มีคุณภาพสูง มีผู้เชี่ยวชาญที่มีทักษะ และมีต้นทุนที่เอื้อมถึง ทั้งนี้รัฐบาลได้ให้นโยบาย กับคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ของไทย ให้มีมาตรการทางภาษีและมาตรการส่งเสริมการลงทุน ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ บริการด้านสาธารณสุข และการวิจัยทางคลินิก ให้กับนักลงทุนจากต่างประเทศอีกด้วย โดยที่ไทยพร้อมจะเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ในระดับภูมิภาคและระดับนานาชาติ เดินหน้าทำงานเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือกับภาคเอกชนระหว่างประเทศ และ มีส่วนร่วมกับเขตเศรษฐกิจเอเปค รวมถึงชุมชนธุรกิจเอเปคต่อไป เพื่อสร้างระบบนิเวศทางการแพทย์ที่สมบูรณ์ และเพื่อความเป็นอยู่ที่ดี ของประชาชนในภูมิภาคและพื้นที่อื่นๆ

Advertisement

Verified by ExactMetrics