วันที่ 27 เมษายน 2024

“รัฐบาล”แนะอย่าหลงเชื่อซื้อผลิตภัณฑ์สุขภาพมีส่วนผสมกัญชา

People Unity News : “รัฐบาล” เป็นห่วงประชาชน แนะอย่าหลงเชื่อซื้อผลิตภัณฑ์สุขภาพมีส่วนผสมกัญชา เตือนนำเข้าประเทศผิดกฎหมาย ย้ำใช้ “กัญชา” ทางการแพทย์เท่านั้น

วันที่ 23 พฤศจิกายน 2562 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากกรณีที่มีข่าวผลิตภัณฑ์เยลลี่ที่มีส่วนผสมของกัญชานั้น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) กระทรวงสาธารณสุข โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มีความเป็นห่วงประชาชน โดยทาง อย.ได้ออกมาเน้นย้ำกรณีกัญชาหรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกัญชา ถือเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 ห้ามผลิต นำเข้า จำหน่าย ครอบครอง หรือส่งออก และไม่สามารถซื้อขายผ่านทางออนไลน์ได้ หากพบการนำเข้าไม่ว่าจะนำเข้ามาด้วยตนเอง หรือสั่งซื้อผ่านทางออนไลน์ จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 500,000 บาท ส่วนผู้จำหน่ายและผู้ครอบครอง จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ รวมทั้งผู้โฆษณาขายผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกัญชาจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับตั้งแต่ 20,000 – 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

น.ส.ไตรศุลี กล่าวต่อส่า สำหรับการตรวจสอบการนำเข้ามีมาตรการดูแลอย่างเข้มงวด ตั้งแต่นำเข้าทางช่องทางปกติ การนำติดตัวผู้โดยสารเข้ามาในประเทศ และการสั่งซื้อทางออนไลน์จะมีด่านอาหารและยาและด่านศุลกากรตรวจสอบผลิตภัณฑ์สุขภาพต้องสงสัย หากพบผลิตภัณฑ์ผิดกฎหมายเนื่องจากมีส่วนผสมของกัญชาจะดำเนินการตามกฎหมาย เพราะในประเทศไทยอนุญาตให้ใช้กัญชาเฉพาะทางการแพทย์เท่านั้น แต่ต้องสั่งจ่ายยากัญชาในสถานพยาบาล โดยแพทย์ผู้สั่งจ่ายยาได้ต้องเป็นแพทย์แผนปัจจุบัน หรือแพทย์แผนไทยที่ผ่านการอบรมจากกระทรวงสาธารณสุขมาแล้ว

“ขอเตือนประชาชนผู้บริโภคอย่าสั่งซื้ออาหารหรือผลิตภัณฑ์สุขภาพ ที่อ้างว่ามีส่วนผสมของกัญชาเข้ามาในประเทศไทย เพราะเป็นสิ่งผิดกฎหมายและจะถูกดำเนินคดีทันที โดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และนายอนุทิน มีความห่วงใยในเรื่องนี้อย่างมาก เนื่องจากเกรงว่า หากประชาชนที่สั่งซื้อผลิตภัณฑ์กัญชามารับประทาน อาจได้รับอันตรายต่อสุขภาพ เพราะกัญชาไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ที่สามารถใช้ได้ทั่วไป เว้นแต่ใช้เฉพาะทางการแพทย์เท่านั้น”น.ส.ไตรศุลี กล่าว

“อนุสรณ์”แนะพลังประชารัฐ คิดบ้านเมืองให้มาก ป่วนการเมืองให้น้อย

People Unity News : “อนุสรณ์”โฆษกพรรคเพื่อไทย แนะพลังประชารัฐ คิดบ้านเมืองให้มาก ป่วนการเมืองให้น้อย

วันที่ 23 พฤศจิกายน 2562 นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี ความปั่นป่วนวุ่นวายในกรรมาธิการป.ป.ช. ว่า ประชาชนตัดสินใจได้ว่า การสลับตัวกรรมาธิการของพรรคพลังประชารัฐ เจตนาส่งคนไปป่วน หรือ ไปช่วยกันทำงานให้ประชาชน แม้แต่จะเอาคนมาร้องเรียนกล่าวหาคนอื่น ก็ยังถูกจับโป๊ะว่า เป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ที่วางแผนกันมาป่วนเป็นกระบวนการ เป็นขั้นเป็นตอน

รวมถึงการที่พรรคพลังประชารัฐ เตรียมเสนอ นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ เป็นประธานกมธ.แก้ไขรัฐธรรมนูญแทน นายสุชาติ ตันเจริญ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 ประชาชนมีสิทธิ์ตั้งคำถามได้ว่า การที่พรรคพลังประชารัฐ ตั้งใจจุดพลุเรื่องนี้ เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ และสับขาหลอกการแก้ไขรัฐธรรมนูญไปวันๆหรือไม่ พรรคพลังประชารัฐ มีความจริงใจต่อพรรคร่วมรัฐบาลที่ประกาศแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นนโยบายเร่งด่วน หรือไม่

“บันทึกข้อตกลงหรือ MOU ไม่มีความจำเป็นต้องทำกับประชาชน ขอแค่ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี ยึดประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นตัวตั้ง ทำงานอย่างตรงไปตรงมา คิดบ้านเมืองให้มาก ป่วนการเมืองให้น้อย” นายอนุสรณ์ กล่าว

รองโฆษก พปชร.สอน กม.”ช่อ” ปมโอนหุ้นของ บจก.กับ บมจ.

People Unity News : รองโฆษก พปชร.สอน กม.”ช่อ” ปมโอนหุ้นของ บจก.กับ บมจ. หลังยกเคส “มาดามเดียร์” เทียบเคียง “ธนาธร”

วันที่ 23 พฤศจิกายน 2562 น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า ความแตกต่างกรณีการโอนหุ้นของบริษัทจำกัด (บจก.) กับ บริษัทมหาชนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (บมจ.) จากประสบการณ์ #อดีตนักกฎหมายตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย #อดีตผู้ร่างข้อบังคับตลท. #อาจารย์สอนกฎหมายหลักทรัพย์ ดังนี้ค่ะ การโอนหุ้นของบริษัทจำกัด อยู่ภายใต้บทบัญญัติมาตรา 1129 ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แต่กรณีการโอนหุ้นของบริษัทมหาชนจำกัดนั้น อยู่ภายใต้บทบัญญัติของ มาตรา 58 ของ พรบ. บริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535

ใจความสำคัญว่า “…การโอนหุ้นนั้นจะใช้ยันบริษัทได้เมื่อบริษัทได้รับคำร้องขอให้ลงทะเบียนการโอนหุ้นแล้ว แต่จะใช้ยันบุคคลภายนอกได้เมื่อบริษัทได้ลงทะเบียนการโอนหุ้นแล้ว…”

ซึ่งหมายความว่าการโอนหุ้นของบริษัทมหาชนจะสมบูรณ์เมื่อนายทะเบียนของบริษัทได้จดแจ้งการโอน ซึ่งหากบริษัทมหาชนจำกัดเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ หรือที่เรียกว่า Listed Co. แล้ว ตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไขและวิธีปฏิบัติของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ผู้ที่ทำหน้าที่เป็นนายทะเบียนของ Listed Co. คือ บริษัท ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ TSD ประกอบกับการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์นั้นเป็นการซื้อขายผ่านระบบอิเลคทรอนิคส์ แบบไร้ใบหุ้น (Scriptless)

ดังนั้น การบันทึกการซื้อขายจึงเป็นการบันทึกในระบบของ TSD ทันที ภายหลังที่มีการซื้อขายผ่านระบบของตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งการซื้อขายเปลี่ยนมือของหุ้นนั้นจึงมีผลสมบูรณ์ สามารถใช้ยันต่อบุคคลภายนอกได้ทันที

น.ส.ทิพานันท์ ระบุอีกว่า ในประเด็นของการส่งบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์นั้น บริษัทมีหน้าที่ยื่นบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นหรือที่เรียกว่า บมจ. 006 อย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง

เมื่อมีการประชุมสามัญประจำปี หรือที่เรียกว่าการประชุมผู้ถือหุ้น หมายความว่า บริษัทไม่จำเป็นต้องยื่นบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้น

#ซึ่งสาเหตุที่กฎหมายกำหนดเช่นนี้เพราะเนื่องจาก จำนวนผู้ถือหุ้นของบริษัท Listed Co. นั้นมีจำนวนมากหลายหมื่นหลายแสนคน และมีการซื้อขายเปลี่ยนมือกันในทุกวัน วันละหลายครั้งในตลาดหลักทรัพย์ และเพื่อให้เกิดสภาพคล่องในการซื้อขายนั่นเอง

ซึ่งหากกฎหมายจะกำหนดให้บริษัทต้องยื่นบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นให้กระทรวงพาณิชย์ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนมือแล้ว ตลาดหลักทรัพย์คงจะไม่เกิดสภาพคล่อง และไม่เป็นผลดีต่อนักลงทุนเป็นแน่แท้

ดังนั้นบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นที่ถูกยื่นต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์นั้นจึงเป็นการสรุปรายชื่อผู้ถือหุ้น “ในวันที่บริษัทกำหนด” ว่าจะมีการประชุมผู้ถือหุ้นนั่นเอง ซึ่งนักลงทุนโดยทั่วไปย่อมทราบดีว่า “มิใช่รายชื่อผู้ถือหุ้นที่อัพเดท” ดังนั้นหากต้องการตรวจสอบความเป็นเจ้าของหุ้นแล้วนั้น “จึงไม่สามารถตรวจสอบจากบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นที่ยื่นต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์เพียงอย่างเดียวได้”

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของความแตกต่างระหว่างบริษัทจำกัดกับบริษัทมหาชนจำกัดนี้ เป็นเรื่องที่นักลงทุนควรรู้ค่ะ หากเป็นเรื่องเดียวกันก็ใช้มาตรฐานเดียวกันในการพิจารณา แต่หากเป็นคนละเรื่องแล้ว ก็ไม่สามารถนำบทบัญญัติของกฎหมายที่แตกต่างกันมาใช้เทียบเคียงหรือนำมาบังคับใช้กันได้

#ไม่รู้ให้ถาม

“ธนกร”ยันพรรคร่วมรัฐบาลยังเหนียวแน่นไร้ปัญหากับภท.

People Unity News : “ธนกร”ยันพรรคร่วมรัฐบาลยังเหนียวแน่นไร้ปัญหากับภท. ลั่นไม่มีเวลาให้ขัดแย้งโวพร้อมรับมือฝ่ายค้านซักฟอก “อนุทิน”สยบลือ!!ไม่มีเวลาขัดแย้งรัฐบาลบินอุบลฯรับบริจาคหัวใจ รัฐบาลเดินหน้าตามแผนปฏิรูปประเทศด้านกฎหมาย

วันที่ 23 พฤศจิกายน 2562 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า ขณะนี้พรรคร่วมรัฐบาลทำงานด้วยความราบรื่นเพื่อพี่น้องคนไทยทั้งประเทศ ไม่ได้มีปัญหาความขัดแย้งใดๆ ทั้งสิ้น โดยเฉพาะกับพรรคภูมิใจไทยนั้น ผู้ใหญ่ของพรรคคุยกันอยู่ตลอด ที่สำคัญคือ รัฐบาลภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ไม่ต้องการขัดแย้งกับใคร เอาเวลาทั้งหมดไปทำงานให้กับพี่น้องประชาชนดีกว่า เพราะประเทศยังมีหลายสิ่งที่จะต้องเร่งดำเนินการเพื่อให้พี่น้องประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น การทำงานของพรรคร่วมรัฐบาลขณะนี้จึงเป็นไปตามนโยบายที่รัฐบาลได้ประกาศไว้

นายธนกร กล่าวอีกว่า สำหรับการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลของพรรคร่วมฝ่ายค้านนั้น รัฐบาลพร้อมที่จะชี้แจงในทุกประเด็น ซึ่งทราบข้อมูลมาบ้างว่าฝ่ายค้านจะอภิปรายในประเด็นรัฐบาลบริหารงานล้มเหลวเป็นหลัก เพราะรัฐบาลนี้ไม่มีปัญหาในเรื่องการทุจริตคอรัปชั่นเหมือนรัฐบาลในอดีต ดังนั้น ตนมั่นใจว่ารัฐบาลจะสามารถชี้แจงได้อย่างแน่นอน นอกจากนี้ ที่ผ่านมารัฐบาลทุ่มเททำงานอย่างเต็มที่เพื่อพี่น้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศ โดยเฉพาะพล.อ.ประยุทธ์ หากพรรคฝ่ายค้านไม่มีอคติมากจนเกินไปจะเข้าใจว่า พล.อ.ประยุทธ์ทุ่มเททำงานให้ประชาชนด้วยหัวใจจริงๆ ยิ่งตอนที่เห็นเด็กนักเรียนวิ่งไปกอดพล.อ.ประยุทธ์แล้วส่งเสียงบอกรักลุงตู่นั้น เชื่อว่าพล.อ.ประยุทธ์จะมีกำลังใจทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

“อนุทิน”สยบลือ!!ไม่มีเวลาขัดแย้งรัฐบาลบินอุบลฯรับบริจาคหัวใจ

ขณะที่ช่วงเช้าวันนี้ (23 พ.ย.62) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รอง รมน.และ รมว.สธ. นำคณะแพทย์และพยาบาลโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ บินไปรับ อวัยวะหัวใจ จากผู้บริจาคที่เสียชีวิต ที่จังหวัดอุบลราชธานี

รัฐบาลเดินหน้าตามแผนปฏิรูปประเทศด้านกฎหมาย

ขณะที่นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงความก้าวหน้าในการปฏิรูปประเทศด้านกฏหมาย ตามที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 77 ได้บัญญัติแนวทางในการจัดทำและตรากฏหมายขึ้นใหม่โดยให้มีเท่าที่จำเป็น และต้องมีการประเมินผลสัมฤทธิ์เพื่อยกเลิกหรือปรับปรุงกฎหมายที่หมดความจำเป็นหรือไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ รวมถึงต้องจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องเพื่อวิเคราะห์ผลกระทบจากกฎหมายอย่างรอบด้าน และประชาชนต้องได้รับทราบและเข้าใจถึงเหตุผลในการตรากฎหมาย

เพื่อรองรับการดำเนินการตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญ พ.ร.บ.หลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ.2562 ได้ถูกตราขึ้นและจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 27 พ.ย. นี้  อีกทั้ง ในการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่ออังคารที่ผ่านมา รัฐบาลได้อนุมัติร่างกฎกระทรวง ร่างคำแนะนำ และร่างหลักเกณฑ์ รวม 11 ฉบับ ตามที่คณะกรรมการพัฒนากฎหมายเสนอ เพื่อให้หน่วยงานของรัฐเข้าใจโดยละเอียดและสามารถปฏิบัติตามพ.ร.บ.หลักเกณฑ์ฯได้อย่างถูกต้อง ประเด็นหลักๆที่หน่วยงานรัฐต้องปฏิบัติในการจัดทำร่างกฏหมาย อาทิ 1) วิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมาย 2) ประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย โดยกำหนดหลักเกณฑ์การประเมินและระยะเวลาที่ต้องทำให้เสร็จ 3) ยกเลิกหรือปรับปรุงกฎหมายที่หมดความจำเป็น ล้าสมัย หรือที่เป็นอุปสรรคต่อการดำรงชีวิตหรือประกอบอาชีพของประชาชน 4) กฎหมายใดที่มีผลบังคับใช้ก่อนวันที่ 27 พ.ย. 2562 ให้ทำการประเมินผลสัมฤทธิ์ครั้งแรกไม่ช้ากว่าห้าปีนับจากวันที่ 1 ม.ค. 2563 และประเมินครั้งต่อไปทุกๆห้าปี ซึ่งต้องทำให้แล้วเสร็จภายในหนี่งปีหลังเริ่มดำเนินการ 5) รับฟังความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องโดยรับฟังจากทั้งผู้สนับสนุนและผู้คัดค้านอย่างเท่าเทียมกัน และต้องเปิดกว้างหลายช่องทาง ทั้งเว็บไซด์ การสัมภาษณ์ การเชิญมาให้ข้อมูล และอื่นๆ 6) เผยแพร่กฎหมาย/กฎกระทรวง/ข้อบังคับ/ประกาศ/คำสั่งการในเว็บไซด์กลางที่รับผิดชอบโดยสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์กรมหาชน) (สพร.) 7) จัดทำคำอธิบายโดยสรุปสาระสำคัญของกฎหมายด้วยภาษาที่ประชาชนสามารถเข้าใจได้ 7) กฎหมายต้องได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อให้ขาวต่างชาติเข้าใจกฎหมายไทย

นางสาวรัชดา กล่าวเพิ่มเติมว่า การขับเคลื่อนการปฏิรูปด้านกฎหมายนี้ รัฐบาลได้ยึดแนวทางที่สากลปฏิบัติ และมีความเหมาะสมสอดคล้องกับความพร้อมของหน่วยงานของรัฐและและบริบทประเทศไทย ซึ่งการดำเนินงานของคณะกรรมการพัฒนากฎหมายและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฏีกาได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) เพื่อเรียนรู้ประสบการณ์และมาตรฐานของการดำเนินการในเรื่องนี้ของต่างประเทศ รวมทั้งได้รับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานภาครัฐทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อมากำหนดแนวทางปฏิบัติ และจัดให้มีการอบรมเตรียมความพร้อมในเรื่องดังกล่าวแล้ว

“พิชัย”เล่นแรง! เสนอ”บิ๊กตู่”ปลด”สมคิด” รับผิดชอบล้มเหลวทางศก.

People Unity News : “พิชัย”แนะ”บิ๊กตู่”ปลด”สมคิด”รับผิดชอบความล้มเหลวทางเศรษฐกิจ ชี้หมดเครดิตและเริ่มพูดสะเปะสะปะ ติงหากไม่ปลดเท่ากับยอมรับความล้มเหลวไว้เอง

วันที่ 23 พฤศจิกายน 2562 นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว. พลังงาน กล่าวว่า สภาวะเศรษฐกิจของไทยยังคงย่ำแย่ลงไปอีก การส่งออกในเดือนตุลาคมติดลบถึง 4.5 % แต่ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ กลับบอกว่าเศรษฐกิจไทยไม่ได้ชะลอตัว อีกทั้งยังบอกว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 3 ที่ขยายตัวได้อย่างต่ำเตี้ยเพียง 2.4% แต่นายสมคิดกลับบอกว่าเศรษฐกิจโตได้ดีเป็นที่น่าพอใจ ซึ่งสวนกับความรู้สึกของคนทั้งประเทศที่กำลังย่ำแย่จากพิษเศรษฐกิจ

ดังนั้นจึงอยากให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รมว. กลาโหม และ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจได้ปลดนายสมคิดออกจากรองนายกรัฐมนตรี เพราะดูเหมือนว่าจะหมดความสามารถที่จะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของไทยแล้ว ถึงต้องออกมาพูดสะเปะสะปะเหมือนหลอกตัวเอง และ หลอกประชาชนไปวันๆเพื่อประคองตัว ใครมาถาม หรือ มาต่อว่าเรื่องเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ นายสมคิดก็จะออกตัวว่าไม่ใช่หัวหน้าทีมเศรษฐกิจแล้ว และโยนให้ไปถามพลเอกประยุทธ์ที่เป็นหัวหน้าทีม ซึ่งเท่ากับ โยนความล้มเหลวในปัจจุบันที่สืบเนื่องมากจากความล้มเหลวในการบริหารเศรษฐกิจตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ให้กับพลเอกประยุทธ์รับไปเต็มๆ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าปัจจุบันนายสมคิดทำหน้าที่อะไร ถ้าเที่ยวโยนความรับผิดชอบแบบนี้ จึงไม่ควรจะทำงานต่อแล้ว และการปลดนายสมคิดยังจะเป็นการแสดงให้เห็นว่าใครควรจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบต่อการบริหารเศรษฐกิจที่ผิดพลาดและล้มเหลวตลอดเวลาที่ผ่านมา

อีกทั้ง สื่อหลักต่างประเทศที่ได้มาพบตน ต่างพากันหัวเราะที่นายสมคิดออกมาพูดว่าไม่อยากให้คนวิจารณ์ว่าเศรษฐกิจไม่ดี เพราะจะขาดความเชื่อมั่น ซึ่งดูเหมือนความคิดยังยึดติดอยู่กับความเป็นเผด็จการที่ไม่อยากให้คนวิพากษ์วิจารณ์ ทั้งที่ประชาชนเดือดร้อนกันอย่างมากจาก รายได้ที่ลดลงไม่พอเลี้ยงครอบครัว ไม่มีเงินจ่ายค่าเทอมลูก การค้าขายฝืดเคือง กว่าพันโรงงานปิดตัวลง คนตกงานจำนวนมาก หนี้สินท่วมตัว หุ้นตกหนัก คนฆ่าตัวตายเป็นจำนวนมากจากพิษเศรษฐกิจ และยังไม่มีทิศทางที่จะดีขึ้น แต่นายสมคิดกลับห้ามคนไม่ให้พูดว่าเศรษฐกิจไม่ดี ซึ่งไม่มีผู้บริหารของประเทศประชาธิปไตยที่ไหนที่จะกล้าบอกแบบนี้ อีกทั้งประชาชนทนลำบากมากว่า 5 ปีแล้ว ไม่ใช่พึ่งจะลำบากกันปีนี้ ซึ่งนายสมคิดไม่เคยยอมรับการบริหารงานของตัวเองที่ล้มเหลวมาตลอดนี้เลย ดังนั้น การที่ไม่อยากให้คนพูดถึงเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ก็เพราะไม่ต้องการให้คนพูดประจานความล้มเหลวในการบริหารของนายสมคิดนั่นเอง

ทั้งนี้ยังไม่นับก่อนหน้านี้ที่นายสมคิดเคยประกาศเป็นสัญญาประชาคมว่าคนจนจะหมดไปในปี 2561 แต่กลับมีคนจนเพิ่มขึ้นถึง 14.5 ล้าน ตามจำนวนคนที่รับบัตรคนจน และทุกปีนายสมคิดจะให้ความหวังลมๆแล้งๆว่าปีหน้าเศรษฐกิจจะฟื้น แต่ก็ไม่เคยฟื้นเลย และบอกว่านักลงทุนต่างประเทศกำลังเข้ามา แต่ยอดการลงทุนจริงกลับลดต่ำลงมาตลอด จนหมดเครดิตและไม่เหลือความน่าเชื่อถืออีกต่อไปแล้ว

ความล้มเหลวของนายสมคิดสามารถพิสูจน์ได้ชัดเจนจากการที่มีการสั่งให้ไปลบคลิปที่นายสมคิดเคยวิจารณ์รัฐบาลยิ่งลักษณ์ไว้เรื่องเสาหลักเศรษฐกิจเสื่อมในปลายปี 2556 ก่อนจะมีการปฏิวัติ ซึ่งหากเปรียบเทียบกับผลงาน 5 ปีที่ผ่านมา การบริหารของนายสมคิดกลับทำทุกเสาหลักเศรษฐกิจของไทยเสื่อมลงหนักกว่ามาก จนตัวเองทนละอายใจไม่ไหว จึงต้องสั่งลบคลิปที่ตัวเองพูดไว้เองออกไปใช่หรือไม่

“นายสมคิดพูดไว้เองว่าการฟื้นเศรษฐกิจต้องอาศัยความเชื่อมั่น ดังนั้น ต้องถามว่าจากเหตุการณ์และเหตุผลที่กล่าวมานี้ประชาชนไม่เหลือความเชื่อมั่นให้กับนายสมคิดแล้ว การฟื้นฟูเศรษฐกิจคงเป็นไปไม่ได้เลย ถ้านายสมคิดยังคงร่วมบริหารอยู่ ซึ่งปัจจุบันก็ยังไม่รับผิดชอบในผลงานที่ล้มเหลวของตัวเองเลย ซึ่งหากพลเอกประยุทธ์ยังคงให้นายสมคิดร่วมบริหารอยู่และเกิดความล้มเหลวในการบริหารเพิ่มขึ้นอีก พลเอกประยุทธ์จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว เพราะเท่ากับยอมรับความล้มเหลวตลอด 5 ปีไว้ที่ตัวเอง และ เชื่อได้ว่าผลของความล้มเหลวตลอด 5 ปีจะทำให้เศรษฐกิจไทยยังคงจะย่ำแย่ลงต่อไปอีก” นายพิชัย กล่าว

“ธรรมนัส”ยันวันแมปแนวแก้ปัญหาแผนที่ทับซ้อนอื้อ

People Unity News : “ธรรมนัส”ลุยใต้ ลงพื้นที่ จ.นราธิวาส พบครู-นักเรียน โรงเรียนนราสิกขาลัย ก่อนไปรับฟังปัญหาของประชาชนเรื่องที่ดินทำกิน อำเภอสุไหงปาดี ย้ำเร่งผลักดันใช้แผนที่ วันแมป (One map) แก้ปัญหาที่ดินทับซ้อนจบแน่นอน

เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2562 ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่พบปะผู้บริหารโรงเรียน คณะครู สมาคมผู้ปกครอง และนักเรียน พร้อมเยี่ยมชมผลงานโรงเรียน ที่โรงเรียนนราสิกขาลัย อำเภอเมืองนราธิวาส โดยมี นายธรรมรงค์ คงวัดใหม่ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส และส่วนราชการในสังกัดให้การต้อนรับ ในโอกาสนี้ ร้อยเอกธรรมนัส ในฐานะศิษย์เก่าของโรงเรียนนราสิกขาลัย ยังได้ปาฐกถาพิเศษเรื่อง “บทบาทของโรงเรียนที่มีต่อการพัฒนาพัฒนาประเทศ” ด้วย

จากนั้น ร้อยเอก ธรรมนัส พร้อมคณะที่ปรึกษาและ คณะทำงาน ได้เดินทางตรวจราชการและพบปะประชาชน ณ ที่ว่าการอำเภอสุไหงปาดี เพื่อรับฟังปัญหาด้านที่ดินทำกิน ซึ่งพบว่าอยู่ในพื้นที่ทับซ้อนเขตป่า ที่ไม่มีแนวเขตที่ดินชัดเจน ประมาณ 27,600 ไร่ ก่อนจะไปพบปะเกษตรกรกลุ่มปลูกข้าวหอมกระดังงา และเยี่ยมชมการแปรรูปข้าว ที่บ้านตอหลัง อำเภอตากใบด้วย

โดยร้อยเอกธรรมนัส ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนถึงความคืบหน้าการแก้ปัญหาที่ดินทำกินของเกษตรกรและประชาชน ว่า ปัญหาที่ดินทับซ้อนระหว่างกรมอุทยาน กรมป่าไม้ ของกระทรวงทรัพยากรฯ ทับซ้อนระหว่างนิคมอุตสาหรรม รวมถึงส.ป.ก นั้น ณ เวลานี้ มีแนวทางแก้ปัญหาให้เบ็ดเสร็จอย่างยั่งยืน โดยไม่ให้ชาวบ้านเดือดร้อนคือการทำแผนที่วันแมป ซึ่งปัจจุบันนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตลอดจนทหาร ต่างมีแผนที่ของตัวเอง จึงไม่รู้จะเอาแผนที่ไหนเป็นหลักในการแก้ปัญหา ทำให้สามารถแก้ปัญหาให้ชาวบ้านได้

ทั้งนี้ เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ตนได้เสนอนายกรัฐมนตรี พิจารณา การใช้แผนที่วันแมป เพื่อแก้ปัญหา ซึ่งนายกรัฐมนตรีเห็นด้วย ในการนำวันแมปเข้าสู่ครม.เพื่อพิจารณาเห็นชอบ และประกาศใช้แผนที่วันแมปฉบับเดียว เท่านั้น แล้วปัญหาต่างๆจะจบสิ้นไป ดังนั้น ในส่วนปัญหาของที่อำเภอสุไหงปาดี รวมถึงจว.แม่ฮ่องสอน ที่มีปัญหาที่ดินทำกินทับซ้อนดังกล่าว ตนจะตั้งคณะกรรมการขึ้นมาแก้ปัญหา และขับเคลื่อนอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ ยืนยันว่า รัฐบาลชุดนี้ โดยนายกรัฐมนตรี ได้มีนโยบายชัดเจนในเรื่องการแก้ปัญหาที่ดินทำกินให้ได้อย่างชัดเจน ดังนั้นต้องดำเนินการอย่างเต็มที่ในเรื่องวันแมป โดยเฉพาะในส่วนของส.ป.ก.ที่ตัวเองรับผิดชอบ ต้องแก้ไขให้เป็นรูปธรรมโดยเร็วที่สุด

มีรายงานว่า วันพรุ่งนี้ (23 พ.ย. 62) ร้อยเอกธรรมนัส ยังปฎิบัติภารกิจต่อในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส จะร่วมพิธีทำบุญทอดผ้าป่าและพบปะผู้นำและเกษตรกร ณวัดทรายขาว อำเภอตากใบ ก่อนจะเดินทางกลับกรุงเทพฯ ในช่วงบ่ายของวันเดียวกัน

“สุวัจน์”มอบทุนมูลนิธิทวีคุณพัฒนาร่วม 4 แสน ให้เยาวชนโคราช

People Unity News : “สุวัจน์”มอบทุนมูลนิธิทวีคุณพัฒนาร่วม 4 แสน ให้เยาวชนโคราชที่ต้องการเรียนแต่ยากจน

เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2562 ที่ห้องประชุมสุวัจน์ ลิปตพัลลภ 2 อาคารยุพราชเบญจมงคล มหาวิทยาลัยราชภัฎนครราชสีมา จัดให้มีพิธีมอบทุนการศึกษา ครั้งที่ 21 มูลนิธิทวีคุณพัฒนา (องค์กรสาธารณประโยชน์) โดยมีนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และประธานมูลนิธิทวีคุณพัฒนา เดินทางมามอบทุนการศึกษาของมูลนิธิทวีคุณพัฒนา ให้กับเยาวชนในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา ที่มีความประสงค์จะศึกษาเล่าเรียน แต่ขาดแคลนทุนทรัพย์

มูลนิธิทวีคุณพัฒนา เกิดจากความคิดริเริ่มของ พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม (ในสมัยนั้น) ที่เล็งเห็นความสำคัญของการศึกษาของเยาวชนมีความประสงค์จะศึกษาเล่าเรียน แต่ยังขาดแคลนทุนทรัพย์ โดยได้ขออนุญาตจัดสร้างเหรียญ หลวงพ่อคูณ ปริสุมโธ รุ่นทวีคุณ ให้พุทธศาสนิกชนได้เช่าบูชาเพื่อเป็นการระดมทุนครั้งแรก เมื่อ พ.ศ.2538 รวมเป็นเงินทุน 16,233,717.32 บาท จากนั้นได้จัดสรรเงินทุนออกเป็น 2 ส่วน มอบให้กับมูลนิธิทวีคูณพัฒนา จำนวน 8,116,858.66 บาท และมอบให้แก่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี จำนวน 8,116,858.66 บาท นอกจากนี้ ยังมีวัตถุมงคล คงเหลือเป็นมูลค่า 12,586,534 บาท จึงจัดสรรให้กับทางมูลนิธิทวีคูณพัฒนา และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี เป็นมูลค่าองค์กรละ 6,293,262 บาท

มูลนิธิทวีคูณพัฒนา ได้จัดสรรเป็นทุนการศึกษาให้กับนักเรียน-นักศึกษาตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธิฯ อย่างเคร่งครัด โดยจัดพิธีมอบทุนการศึกษาครั้งแรก เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2539 และปีนี้เป็นพิธีมอบทุนการศึกษาฯ ครั้งที่ 21 จำนวน 147 ทุน ซึ่งเป็นเงินจากมูลนิธิทวีคุณพัฒนา จำนวน 300 ,000 บาท และจากนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ที่บริจาคสมทบอีก 100,000 บาท รวมเป็นเงิน 400,000 บาท

ทั้งนี้นายสุวัจน์ได้กล่าวให้โอวาทพร้อมกับกล่าวถึงการมอบทุนการศึกษาช่วยเหลือเยาวชนของมูลนิธิทวีคูณพัฒนาว่า การศึกษามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะในยุคที่มีการเติบโตของนวัตกรรมและเทคโนโลยีอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน การศึกษาจะมีส่วนช่วยเติมเต็มพื้นฐานความรู้ให้กับเยาวชนของชาติได้นำเทคโนโลยีต่างๆ มาใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและประเทศชาติ ซึ่งเด็กและเยาวชนในภาคอีสานอีกจำนวนไม้น้อยที่ยังขาดแคลนทุนทรัพย์และโอกาสทางการศึกษา มูลนิธิทวีคุณพัฒนา จึงดำเนินโครงการเพื่อสาธารณะประโยชน์มาอย่างต่อเนื่อง โดยมอบทุนการศึกษาให้กับเยาวชนไปแล้วทั้งสิ้น 4,409 ทุน รวมเป็นเงิน 8,081,500 บาท เพื่อเป็นการช่วยเหลือและเพิ่มโอกาสทางการศึกษาให้กับเยาวชนในพื้นที่

ไม่ฟังผู้ใหญ่สอน! องครักษ์พิทักษ์”ชวน”ฮึ่มใส่”ปารีณา”

People Unity News : “พิมพ์รพี” ป้อง “ชวน” สวน “ปารีณา” อย่าเยอะ ชี้ทำตัวไม่น่ารัก ไม่ฟังผู้ใหญ่สอน แถมลามปาม ระบุอาการหนักแนะกลับสู่ความพอดี

เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2562 นางสาวพิมพ์รพี พันธุ์วิชาติกุล คณะทำงานประธานสภาผู้แทนราษฎร โพสต์เฟซบุ๊ก น้ำผึ้ง พิมพ์รพี โต้นางสาวปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ หลังออกมาแถลงข่าวโจมตีการทำหน้าที่ของนายชวน หลีกภัย ประธานสภาฯ ว่าเยอะเกินไป กรณีตัดบทไม่ให้นำปัญหาส่วนตัวในกรรมาธิการฯมาอภิปรายระหว่างการหารือในที่ประชุมสภา โดยจั่วหัวเรื่องว่า “ปารีณา” อย่าเยอะ!!!” มีเนื้อหาดังนี้ เห็นข่าวคุณปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ ออกมาฟาดงวงฟาดงา ทำตัวไม่น่ารักใส่ท่านชวน เมื่อผู้ใหญ่ด้วยความเมตตาอย่างสุภาพให้รู้จักกฏกติกา ระเบียบและมารยาท ระหว่างการประชุมสภาที่คุณปารีณายกปัญหาส่วนตัวในกรรมาธิการป.ป.ช.มาหารือในช่วงที่ควรจะหารือเกี่ยวกับปัญหาทุกข์สุขของประชาชนแล้ว บอกได้คำเดียวว่า “อาการหนัก” รู้สึกสงสารเธอที่จนป่านนี้ยังไม่รู้ตัวว่าทำไม่ถูก ผู้ใหญ่สั่งสอนก็ยังไม่หลาบจำ แถมลามปามต่อว่าอีก

“คนที่ควรทบทวนตัวเองไม่ใช่ท่านชวน เพราะท่านทำหน้าที่ได้สมเกียรติการเป็นประธานแล้ว แต่คุณปารีณา ต่างหากที่เยอะจนไม่รู้แล้วว่าความพอเหมาะ พอดีอยู่ตรงไหน” โตโตกันแลัว ประสบการณ์ก็มาก เป็นส.ส มาหลายสมัย ควรเป็นตัวอย่างที่ดี เอาที่พอดีพอดี อย่าเยอะ จะสวยและดีงามนะคะ  #คิดแบบ​พิมพ์​รพี #อดีตเจ้านายพ่อนะคะไม่ใช่เพื่อน #คนสวยอย่างเยอะ # #กฏกติกาและมารยาทางการเมือง

องครักษ์นายหัวแนะหน้าตาดี-การศึกษาสูง ควรเป็นผู้แทนให้คนราชบุรีภูมิใจ

นายสมบูรณ์ อุทัยเวียนกุล เลขานุการประธานสภาผู้แทนราษฎร แถลงกรณีน.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พูดพาดพิงถึงนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ว่า เป็นการพูดที่ทำให้สังคมเข้าใจผิดว่าประธานสภาฯเลือกปฏิบัติในการทำหน้าที่ โดยเฉพาะการเปิดโอกาสให้นำเรื่องหารือเข้าสู่ที่ประชุม ซึ่งเรื่องที่ประธานสภาฯ จะไม่อนุญาตให้มีการหารือ คือเรื่องที่เกี่ยวข้องกับประเด็นทางการเมือง ตนเป็นส.ส.มา 4 สมัย ทราบว่าวาระหารือจะต้องไม่ใส่ร้ายใคร แต่ในการประชุมสภาฯ เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายนที่ผ่านมา น.ส.ปารีณา ได้หารือเรื่องปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนเกี่ยวกับการก่อสร้างโรงงานผลิตอาหารสัตว์ ในพื้นที่ อ.โพธาราม จ.ราชบุรี แต่จากนั้น น.ส.ปารีณา ได้หารือเรื่องการถูกประธานกมธ.ป.ป.ช. ดูหมิ่นจึงขอให้ประธานสภาฯ ตั้งคณะกรรมการสอบจริยธรรม ซึ่งประธานสภาฯ เห็นว่าไม่ใช่เรื่องความเดือดร้อนของประชาชน ก็มีความเมตตาโดยบอกว่าจะดำเนินการให้ต่อไป แต่ก็ตามที่ทุกคนเห็นว่า น.ส.ปารีณา บอกว่าตัวเองถูกปิดไมโครโฟน ความเมตตาของผู้ใหญ่ต่อผู้น้อยถูกบิดเบือนข้อมูล กล่าวหาว่าประธานสภาฯ 2 มาตรฐาน ซึ่งหลังจากน.ส.ปารีณา แถลงข่าวเสร็จได้มาพบกับประธานสภาฯ โดยขอความเป็นธรรมกรณีถูกดูหมิ่น ซึ่งประธานสภาฯก็เมตตาบอกให้ทำเรื่องมา

นายสมบูรณ์ กล่าวอีกว่า น.ส.ปารีณา เป็นส.ส.มา 4 สมัย คงมีวุฒิภาวะ และวันนี้ในส่วนของสภาเอง นายชวน ได้กำชับเสมอว่าเมื่อสภาเป็นสถานที่ออกกฎหมายจะต้องไม่ทำตัวผิดกฎหมายเอง และแน่นอนว่าเด็กคนใดที่ก้าวร้าวต่อผู้ใหญ่ ใส่ร้ายว่าสองมาตรฐาน ก็มองว่าเป็นผู้น้อยที่ไม่เคารพผู้ใหญ่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรเอาเป็นแบบอย่างให้เยาวชนได้เห็น

“น.ส.ปารีณา ส.ส. 4 สมัย ควรเป็นตัวอย่างที่ดีให้สังคมเห็นว่า เราหน้าตาดี มีการศึกษาสูง การทำหน้าที่ในฐานะผู้แทน ก็ขอให้เป็นความภาคภูมิใจของประชาชนที่เขาเลือกมา ให้เป็นผู้แทนของคนราชบุรี” นายสมบูรณ์ กล่าว

จากนั้น นพ.สุกิจ อัตโถปกรณ์ ที่ปรึกษาประธานสภาฯ ในฐานะอดีตส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ตนไม่ถือสากับเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะตนเป็นหมอเคยเรียนจิตเวช รู้จิตใจของคนดีว่าเป็นอย่างไร แต่เมื่อพาดพิงเรื่องการเลือกตั้งในพื้นที่ จ.ตรัง ตนจึงต้องออกมาพูด ซึ่งยืนยันว่าตนและนายชวน ไม่ใช่พวกที่เอาเรื่องส่วนตัวมาเกี่ยวข้องกับหน้าที่การงาน ทั้งนี้ การเลือกตั้งของ จ.ตรัง น.ส.ปารีณา ไปถามคนตรังดีกว่าว่าพรรคการเมืองไหนใช้วิธีสกปรกอย่างไร คนตรังรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้น ตนภาคภูมิใจในความเป็นส.ส.ของตนตั้งแต่ปี 2529 เป็นส.ส. 3 สมัย ส.ว. 3 สมัย ตนภาคภูมิใจที่ทำแต่สิ่งดีๆสิ่งที่ถูกต้องดีงาม

“ชั่วชีวิตผมไม่เคยนำสิ่งชั่วร้ายไปให้กับเมืองตรัง การเลือกตั้งที่ผ่านมาผมเสียใจ ที่ไม่สามารถทำให้ จ.ตรัง รอดพ้นจากความสกปรกโสโครกที่นำเข้าไปสู่เมืองตรังได้ และผมยืนยันว่าแม้จะทำงานตรงนี้ แต่ก็จะทำสิ่งดีๆเพื่อที่อย่างน้อยเมืองตรัง จะได้รอดพ้นจากความสกปรกโสโครกชั่วร้ายที่เข้าไปครอบงำอยู่ได้” นพ.สุกิจ กล่าว

“ช่อ”ยื่นข้อมูลถึง”ศูนย์ต้านเฟคนิวส์”แล้ว พิสูจน์ฝีมือ”พุทธิพงษ์”

People Unity News : “อนาคตใหม่” ยื่นข้อมูล “เฟคนิวส์” ถึง “ศูนย์ต้านฯ” พิสูจน์ฝีมือ “พุทธิพงษ์” ไม่สองมาตรฐานหรือไล่จัดการเฉพาะคนเห็นต่างรัฐบาล

เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2562 ที่รัฐสภา (เกียกกาย) น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ และส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ กล่าวว่า จากกรณีพรรคอนาคตใหม่เคยแถลงข่าวเครือข่ายเฟคนิวส์ สร้างข่าวปลอม สร้างความเกลียดชัง ส่งผลกระทบต่อการอยู่ร่วมกันของประชาชน วันนี้ได้นำส่งข้อมูลเรื่องเฟคนิวส์ ที่โจมตีพรรคอนาคตใหม่และพรรคการเมืองฝ่ายค้าน ในบรรดาข่าวปลอมนี้ ศูนย์ต่อต้านเฟคนิวส์บอกว่าจะเน้นข่าวกระทบต่อความมั่นคง และประชาชนโดยรวม ซึ่งในหลักฐานนี้มีอยู่หลายเรื่องมาก เช่น ข่าว กมธ.กฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน พบผู้ช่วยรัฐมนตรี สหรัฐอเมริกา ที่รัฐสภา แต่กลับบอกว่า อ.ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ในฐานะประธาน กมธ. เป่าหูต่างชาติโจมตีไทยนั้น

เรื่องนี้ไม่ได้สร้างความเสียหายแต่ กมธ.เท่านั้น แต่กระทบความสัมพันธ์ต่างประเทศด้วย ยังมีข่าวปลอมกล่าวหาพรรคอนาคตใหม่ เกี่ยวข้องกับขบวนการแบ่งแยกดินแดนและการก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ การกล่าวหาว่าพรรคการเมืองที่มี ส.ส. 80 คน มีผู้เลือกมากกว่า 6.3 ล้าน แบบนี้ แน่นอนว่าเป็นเรื่องกระทบต่อความมั่นคง และกระทบความสงบสุขในประเทศ

น.ส.พรรณิการ์ กล่าวว่า เราติดตามการทำงานศูนย์ต่อต้านเฟคนิวส์มาโดยตลอด พบว่า ผลงานที่ผ่านมาเป็นการกำจัด และทำลายข่าวปลอมที่เป็นโทษกับรัฐบาลเท่านั้น ส่วนข่าวปลอมที่เป็นโทษกับพรรคฝ่ายค้าน ไม่เคยมีการจัดการ วันนี้ จึงมอบหลักฐานทั้งหมดให้ คุณพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมต. กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งดูแลศูนย์นี้ โดยเราอยากจะพิสูจน์ ดูว่าจะมีการจัดการเฉพาะข่าวที่เป็นโทษกับรัฐบาล หรือมีความตั้งใจจริงที่จัดการเฟคนิวส์ จะเป็นการพิสูจน์ว่าศูนย์ต่อต้านเฟคนิวส์ 2 มาตรฐานหรือไม่ หรือตั้งขึ้นมาเพื่อไล่จัดการเฉพาะคนที่เห็นต่างกับรัฐบาลเท่านั้น

ตรวจแล้วมีพิรุธ! “พรรณิการ์” ชี้ “มาดามเดียร์” เคยถือหุ้นเนชั่นจริง

People Unity News : ตรวจแล้วมีพิรุธ! “พรรณิการ์” ชี้ “มาดามเดียร์” เคยถือหุ้นเนชั่นจริง – พบยื่นแบบ บมจ.6 เปลี่ยนรายชื่อผู้ถือหุ้นหลังสมัครรับเลือกตั้ง 10 เดือน – ส่งทนายร้อง กกต. ใช้มาตรฐานเดียวกันจัดการ

เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2562 ที่รัฐสภา (เกียกกาย) น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ และ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ กล่าวถึง กรณี น.ส.วทันยา วงษ์โอภาสี หรือ “มาดามเดียร์” ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ แจ้งความเอาผิดฐานใส่ร้าย บิดเบือนกับตนเอง กรณีที่เคยแถลงข่าวระบุเคยถือหุ้นสื่อเครือเนชั่น และมีสามีเป็นผู้บริหารรับดับสูงมาก ซึ่งตอนนี้ศาลรับไต่สวนมูลฟ้องแล้วนั้น โดยระบุว่า ทางทีมงานได้ตรวจสอบข้อเท็จจริง และได้พบว่าน.ส.วทันยาเคยถือหุ้นบริษัทในเครือเนชั่นจริง

ดังนั้น ที่บอกว่าตนเองใส่ร้าย จนให้ทนายไปฟ้องและศาลรับไต่สวนมูลฟ้องแล้วนั้น ถามกลับเมื่อข้อเท็จจริงว่าเคยถือหุ้นเครือเนชั่น และคู่สมรสเป็นผู้บริหารระดับสูงมากดังกล่าว การที่กล่าวหาว่าตนทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง จะเอามูลฟ้องจากไหน และนอกจากนี้ เราได้พบข้อมูลน่าสนใจด้วย เกี่ยวกับการโอนหุ้นสื่อของคุณวทันยา

น.ส.พรรณิการ์ กล่าวว่า การโอนหุ้นเมื่อเสร็จแล้วต้อง แจ้งสำเนาเปลี่ยนแปลงรายชื่อผู้ถือหุ้นต่อกระทรวงพาณิชย์ ในบริษัททั่วไปอย่างวีลัค เรียก บอจ.5 ส่วนบริษัทมหาชนอย่างเครือเนชั่น เรียก บมจ.6 กรณีศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยล่าสุดว่า การแจ้ง บอจ.5 ต่อกระทรวงพาณิชย์ กรณีหุ้นสื่อบริษัทวีลัค ล่าช้า ถือว่ามีข้อพิรุธว่าจะไม่มีการโอนหุ้นก่อนมีการรับสมัครรับเลือกตั้งนั้น เกิดขึ้นในเดือนมีนาคม 2562 หรือหลังการรับสมัครเลือกตั้ง 1 เดือน แต่กรณีการแจ้ง บมจ. 6 คือ สำเนาเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นเครือเนชั่นนั้น แจ้งในเดือนกันยายน 2562 คือ 6 เดือน หลังการรับสมัครเลือกตั้ง ซึ่งถ้ากรณีคุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ มีคำถามน่าสนสัยว่าทำไมล่าช้า กรณีคุณวทันยายิ่งน่าสงสัยว่า เหตุใดเครือเนชั่นแจ้งล่าช้าถึง 6 เดือน

“ด้วยเหตุนี้ ได้ให้ทนายความไปยื่นข้อร้องเรียนต่อ กกต. เรียบร้อย ให้ใช้บรรทัดฐานเดียวกันกับคดีคุณธนาธร ในการตรวจสอบเรื่องนี้เพื่อเอาผิดต่อคุณวทันยา เพราะมีหลักฐานเป็นผู้ขาดคุณสมบัติการลงสมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจากถือครองหุ้นสื่อ โดยยึดตาม บมจ.6 และยังขอให้ศาลรัฐธรรมนูญระงับการปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. รวมถึง ขอให้ กกต.ดำเนินการทางอาญาตามมาตรา 151 ต่อคุณวทันยาด้วย ซึ่งโทษสูงสุดคือจำคุก 10 ปี หรือตัดสิทธิ์ทางการเมือง 20 ปี เพื่อให้เป็นบรรทัดฐานเดียวกัน และเป็นที่ประจักษ์ต่อสาธาณะว่า คดีถือหุ้นสื่อ ได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน ระหว่างนักการเมืองฝ่ายค้านและรัฐบาล รวมถึงเจตนารมย์รัฐธรรมนูญได้รับการตอบสนอง โดยไม่เลือกปฏิบัติว่าเป็นนักการเมืองฝ่ายผู้มีอำนาจหรือท้าทายผู้มีอำนาจ” น.ส.วทันยา กล่าว

Verified by ExactMetrics