วันที่ 16 เมษายน 2024

นายกฯ ย้ำ บอร์ด Digital Wallet เดินหน้าภายใต้ รธน. และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 15 กุมภาพันธ์ 2567 ทำเนียบ – บอร์ด Digital Wallet เดินหน้าใช้เงิน 5 แสนล้านบาท ภายใต้กฎหมายเกี่ยวข้อง ตั้งอนุกรรมการด้านการตรวจสอบ

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีปละรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ครั้งที่ 1/2567 โดยภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet เป็นหนึ่งในนโยบายที่รัฐบาลได้แถลงต่อรัฐสภา เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและวางรากฐานทางเศรษฐกิจดิจิทัลให้กับประเทศในอนาคต เพื่อให้โครงการฯ นี้ ให้สำเร็จ รัฐบาลมีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณ 500,000 ล้านบาท

นายกรัฐมนตรี กล่าวย้ำว่า รัฐบาลจะดำเนินการโครงการฯ ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยจะปฏิบัติหน้าที่และใช้อำนาจด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต มีความรอบคอบและระมัดระวังในการดำเนินกิจการต่างๆ เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศและประชาชนส่วนรวม รวมทั้งรักษาวินัยการเงินการคลังของรัฐอย่างเคร่งครัด

ที่ประชุมไม่ต้องการให้เกิดข้อห่วงกังวลเรื่องความโปร่งใส ในการดำเนินโครงการ คณะกรรมการไม่ต้องการให้มีข้อครหา ในการดำเนินนโยบายนี้ จึงได้มีมติมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการนโยบายฯ (กระทรวงการคลังและกระทรวงพาณิชย์) เป็นอนุกรรมการร่วมหารือกับฝ่ายต่างๆที่เกี่ยวข้องรวบรวมข้อเท็จจริงเพื่อตอบข้อสังเกตของคณะกรรมการกฤษฎีกา และมอบหมายให้กระทรวง DES และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) (DGA) ศึกษาและดำเนินการตามข้อหารือ และข้อเสนอแนะของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อวางแนวทางการขยายขอบเขตการพัฒนาระบบเพื่อให้เกิดความโปร่งใสและตรวจสอบได้เพื่อป้องการการทุจริต และยังได้แต่งตั้งอนุกรรมการด้านการตรวจสอบการกระทำอันเข้าข่ายการผิดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการฯ

ในการประชุมครั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานฯ ได้รับฟังข้อคิดเห็นของทุกหน่วยงานที่ร่วมการประชุมอย่างทั่วถึง และหลากหลาย โดยทุกส่วนได้แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นกันอย่างเป็นประโยชน์ ถึงขอบเขตปัญหาทางเศรษฐกิจของประชาชน ข้อห่วงกังวล และการออกแบบมาตรการนี้ ที่ประชุมพร้อมนำไปพิจารณา ประมวลความคิดเห็น เพื่อข้อสรุปนำมาหารือกันอีกครั้งในการประชุมครั้งต่อไป

นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวในช่วงท้ายว่า ตลอดเวลาของการเป็นนายกรัฐมนตรีที่ใกล้ชิด เข้าถึงประชาชน เห็นแววตา ความลำบากของประชาชน และต้องการให้ความช่วยเหลือ แต่ไม่ต้องการให้โครงการนี้เกิดการทุจริต จึงตั้งใจที่จะควบคุม เพื่อให้เป็นมาตรการที่เหมาะสม เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศชาติ และประชาชน

Advertisement

“สุริยะ” แจงคมนาคมไม่เกี่ยวการบินไทยซื้อเครื่องบินใหม่ เผยถ้ามีอำนาจ จะหยุดไว้ก่อน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 13 กุมภาพันธ์ 2567 ทำเนียบรัฐบาล – “สุริยะ” ปัดไม่เกี่ยวการบินไทยซื้อเครื่องบินใหม่ รับกังวล แต่เบรคไม่ได้เพราะไม่มีอำนาจ ห่วงสุวรรณภูมิลำเลียงกระเป๋ามีปัญหา ไม่ตอบโจทย์ศูนย์กลางการบินในภูมิภาค จี้ เจ้าของสัมปทานเร่งแก้

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวถึงกรณีที่บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เตรียมจัดซื้อเครื่องบินรุ่นโบอิ้ง 787 ฝูงใหม่ จำนวน 47 ลำ ว่าขณะนี้การบินไทยอยู่ในระยะการฟื้นฟู ผู้บริหารแผนฟื้นฟูจึงเป็นผู้ดำเนินการ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับกระทรวงคมนาคม เราไม่มีอำนาจเข้าไปทำ เพียงแต่สอบถามการจัดซื้อครั้งนี้มีความคุ้มค่าหรือไม่ แต่ยอมรับว่ากระทรวงคมนาคมมีความเป็นห่วงอย่างมาก

เมื่อถามว่า ภาระการจัดซื้อฝูงบินดังกล่าวจะเกี่ยวพันมาถึงรัฐบาลหรือไม่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ก่อนหน้านี้การบินไทยล้มละลายและกำลังอยู่ในแผนฟื้นฟูกิจการ รัฐบาลรวมถึงกระทรวงคมนาคมจึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แม้เราจะอยากแสดงความคิดเห็นไป แต่อำนาจอยู่ที่เขา และหากถามว่าสบายใจหรือไม่ เราก็เป็นห่วงแต่ไม่มีอำนาจตรงนั้น เพราะเรื่องนี้เป็นอำนาจของคณะกรรมการที่ฟื้นฟูอยู่ และว่า “เห็นในโซเชียลมีเดียบอกว่าเป็นคนอนุมัติจัดซื้อเครื่องบินฝูงใหม่นี้ มันตรงกันข้ามเลย ถ้าผมมีอำนาจผมจะหยุดไว้ก่อน เพื่อดูว่าคุ้มทุนหรือไม่ แต่ผมไม่มีอำนาจ“

ส่วนเครื่องบินที่ถูกจอดทิ้งไว้มีจำนวนมาก แต่ยังมีแผนซื้อเพิ่ม นายสุริยะ  กล่าวว่า ต้องให้ความเป็นธรรมกับการบินไทย เรื่องเครื่องบินเก่าที่จอดอยู่ ส่วนใหญ่เป็นเครื่องบิน A380 ตอนนั้นค่าน้ำมันเพิ่มขึ้นเยอะ ดังนั้น การใช้เครื่องบิน A380 ซึ่งลำใหญ่ ทำให้การบินไม่คุ้มค่า จึงต้องหยุดไป แต่ส่วนหนึ่งที่การบินไทยควรจะทำคือรีบขาย เหมือนสายการบินสิงคโปร์แอร์ไลน์ และแลกเปลี่ยนเครื่องขนาดเล็กลงซึ่งเขาไม่ได้ทำ และถ้าหากขายตอนนี้ก็เป็นชิ้นส่วนเศษเหล็ก

นายสุริยะ กล่าวว่า กระทรวงคมนาคมต้องการทำตามนโยบายรัฐบาล ที่ต้องการผลักดันให้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ขณะนี้มีความเป็นห่วงเรื่องการบริหารจัดการกระเป๋าภายในสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งทราบปัญหาจากสายการบินต่าง ๆ ว่ามีความไม่สบายใจเกี่ยวกับระบบขนส่งกระเป๋าภายในสนามบิน โดยช่วงที่ตนเป็น รมว.คมนาคมครั้งที่แล้ว ได้ให้สัมปทานการจัดการกระเป๋าแก่บริษัทการบินไทย โดยไม่ต้องประมูล เพราะในขณะนั้นเป็นรัฐวิสาหกิจ พร้อมกับเอกชนอีกรายหนึ่ง

“ผมสอบถามกับดีดีการบินไทย ถึงปัญหาดังกล่าวก็ได้รับการยืนยันว่าไม่มีปัญหา จึงจัดให้ประชุมเพื่อรับฟังความเห็นทั้งสองฝ่าย ซึ่งทางสายการบินต่างๆ ยืนยันว่า บุคลากรไม่เพียงพอ อุปกรณ์ในการขนส่งกระเป๋าก็ไม่เพียงพอ มีอุบัติเหตุบ่อยครั้ง จึงขอให้การบินไทยไปปรับปรุง หากไม่ปรับปรุงกระทรวงคมนาคมอาจพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าว

เมื่อถามว่า ถึงขั้นต้องปรับเปลี่ยนผู้ดูแลเรื่องดังกล่าวเลยหรือไม่ นายสุริยะ กล่าวว่า ตามสัญญาระบุว่าหากไม่สามารถดำเนินการได้ตามข้อกำหนดก็มีสิทธิ์จะยกเลิกสัญญาสัมปทานดังกล่าวโดยขณะนี้เข้าใจว่าสัมปทานดังกล่าวของการบินไทยยังเหลือระยะเวลาอีก 10 กว่าปี และตรงนี้ก็เป็นปัญหาหนึ่งที่นายกรัฐมนตรีได้เห็น ในการลงพื้นที่สุวรรณภูมิก่อนหน้านี้

Advertisement

นายกฯ ลั่นขั้นตอนดูแลขบวนเสด็จเป็นเรื่องสำคัญ ควรทำตามกฎ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 10 กุมภาพันธ์ 2567 นายกฯ ลั่นขั้นตอนดูแลขบวนเสด็จเป็นเรื่องสำคัญ ควรทำตามกฎ มองเหตุปะทะ “ทะลุวัง-​ศปปส.” กลางห้างฯ ในสายตาต่างชาติอาจมองไม่ดี ชี้ควรมีพื้นที่ปลอดภัยพูดคุยระหว่างผู้เห็นต่าง กำชับฝ่ายความมั่นคงดูตลอด

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง​ กล่าวถึงกรณีการปะทะกันระหว่างกลุ่มทะลุวัง กับ ศปปส. ว่า ยังไม่ทราบเรื่อง

เมื่อถามว่า มีการปะทะกันกลางศูนย์การค้าสยามพารากอน และเหมือนเป็นการขัดแย้งระหว่างผู้รักสถาบันกับกลุ่มทะลุวัง นายเศรษฐา กล่าวว่า คิดว่าควรจะพูดคุยกันดีๆ ไม่น่าจะใช้กำลัง เพราะเป็นเรื่องที่ไม่ดี และวันนี้เป็นวันปีใหม่ เป็นวันที่มีการท่องเที่ยว ในสายตาต่างชาติก็อาจจะมองไม่ดี ควรที่จะมีการระมัดระวังให้ดี หลังจากนี้จะสอบถามว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร

เมื่อถามว่า จำเป็นต้องกำชับฝ่ายความมั่นคงหรือไม่เ พราะกลายเป็นการปะทะกันระหว่างผู้เห็นต่าง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เรื่องความปลอดภัยของประชาชนทั้งสองฝ่าย และประชาชนที่ไม่เกี่ยวข้อง เป็นเรื่องสำคัญที่สุด อยากให้บรรยากาศที่มีความขัดแย้ง พูดจากันได้ในพื้นที่ปลอดภัย

เมื่อถามว่า กลุ่มที่เห็นต่างเขาไม่พอใจที่มีการก่อกวนขบวนเสด็จ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะมีขั้นตอนในการที่จะปกป้องดูแลผู้นำของประเทศ และพระราชวงศ์ ในเรื่องของขบวนเสด็จ ก็ควรที่จะต้องทำตามกฎ

เมื่อถามว่า มีการกำชับเจ้าหน้าที่แล้วใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า “ก็กำชับมาตลอด”

Advertisement

รบ.เดินหน้าปราบยาเสพติด มุ่งเป้ารายใหญ่ ไม่ให้กระจายต่อ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 8 กุมภาพันธ์ 2567 รัฐสภา – นายกฯ รับ ตกใจยาเสพติดแพร่หลายขายตามสี่แยก สั่งด่วนให้ตำรวจเร่งปราบ ชี้มุ่งเป้ารายใหญ่เพื่อไม่ให้กระจายต่อ ระบุนอกจากยาบ้า ยาไอซ์ ปัจจุบัน 4 คูณ 100 และบุหรี่ไฟฟ้า ก็น่าห่วง ย้ำจับมือเพื่อนบ้านแก้ปัญหา PM 2.5

นายโสภณ ซารัมย์ สส.บุรีรัมย์ พรรคภูมิใจไทย ตั้งกระทู้ถามนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง 3 เรื่องสำคัญ คือ การแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยหากเปรียบกับผู้ป่วย คืออยู่ในขั้นโคม่า ดังนั้นต้องปฏิรูปทั้งองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหายาเสพติดทั้งหมด เพราะแม้สถิติการแก้ไขจะลด แต่สวนทางกับความเป็นจริง หากมองให้ลึกลงไป จากปกติปัญหายาเสพติดเกิดกับผู้ใช้แรงงาน แต่ปัจจุบันกลับพบไปถึงนักเรียน นอกจากยาบ้า ยาไอซ์ โดยเฉพาะขณะนี้การนำกระท่อมมาทำเป็นสูตรที่เรียกว่า 4 คูณ 100 กำลังเป็นแฟชั่น กับ บุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งยาเสพติดมีหลายประเภท หาง่าย ราคาถูก การแก้ไขไม่จริงจัง จนเป็นปัญหาสังคม ขณะที่กฎหมายก็ไม่เอื้อต่อผู้ปฏิบัติ จับแล้วก็ปล่อย จึงมองว่าปัญหายาเสพติดในขณะนี้อาจจะเป็นวิกฤต เท่ากับวิกฤตเศรษฐกิจหรือการศึกษา รวมถึงการแก้ปัญหาเรื่องฝุ่น PM 2.5 ในระยะสั้นและระยะยาว และจากการที่นายกรัฐมนตรีเดินทางไปต่างประเทศ จะมีแนวทางส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างไร โดยเฉพาะการแชร์นักท่องเที่ยวจากเมืองหลักอย่างกรุงเทพฯ พัทยา และภูเก็ต ไปสร้างรายได้ให้กับจังหวัดอื่นๆ ที่เป็นเมืองรอง

โดยนายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่า ประเด็นยาเสพติดเป็นเรื่องสำคัญที่ประชาชนห่วงใย เพราะจากตัวเลขการจับกุม 4 เดือนสุดท้ายเมื่อปลายปี 2566 สามารถจับผู้ค้ารายย่อยเพิ่มมากกว่า 40 เปอร์เซ็นต์ จำนวน 32,000 เคส ยาบ้าจับได้มากกว่าปีก่อน 2 เท่า คือ กว่า 250 ล้านเม็ด โดยเน้นจับผู้ค้ารายใหญ่ไม่ให้ไปกระจายต่อ ซึ่งรายใหญ่ที่ขายมากกว่า 500,000 เม็ดขึ้นไป จับได้ 62 เคส ยึดทรัพย์แล้วกว่า 2,500 ล้านบาท

“หากพูดถึงปัญหาจริง ก็ต้องยอมรับว่าตัวเลขเหล่านี้ยังไม่ได้เป็นที่น่าสบายใจ เพราะแม้ผู้ค้ารายใหญ่จะถูกจับไป แต่ไม่ได้ส่งผลให้ราคายาบ้าแพงขึ้น จึงเป็นการบ้านของรัฐบาลที่ยังมีอยู่เป็นจำนวนมาก ต้องยอมรับรากเหง้าของปัญหามาจากเศรษฐกิจ การที่ประชาชนประสบปัญหารายจ่ายสูง รายได้น้อย อาจหมดหวังมาหลายปี รัฐบาลจึงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ เพราะตระหนักปัญหาที่เกิดขึ้น” นายเศราฐา กล่าว

ส่วนเรื่องยาเสพติดที่จับได้แล้วใช้เวลานานในการทำลายนั้น นายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่า รัฐบาลมีนโยบายชัดเจนที่จะจับและพิสูจน์ทราบ และเก็บตัวอย่างเล็กๆ ไว้ ส่วนที่เหลือให้ทำลายล้างโดยเร็ว เพื่อตัดปัญหาที่สังคมสงสัยว่าอาจมีการรั่วไหล ขณะที่เรื่องน้ำกระท่อม ถือว่าเป็นยาเสพติดชนิดใหม่ที่วัยรุ่นให้ความสำคัญ และแพร่กระจายไปเร็ว

“ยอมรับว่า ไม่เคยทราบว่ามีการจำหน่ายอย่างแพร่หลายตามสี่แยก จึงได้เรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจมาพูดคุย เพื่อให้ดำเนินการกวาดล้างอย่างรวดเร็ว ร่วมกับฝ่ายปกครอง จนสามารถดำเนินการได้ภายใน 1 สัปดาห์ ที่จังหวัดอุบลราชธานี หลังได้พบกับ สส.ในจังหวัด พร้อมกันนี้ยังพยายามกระจายให้ดำเนินการต่อในจังหวัดอื่นๆ ด้วย ย้ำว่า หาก สส.ในพื้นที่มีปัญหา ขอให้แจ้งรัฐบาลเพื่อจัดการอย่างทันควัน” นายเศรษฐา กล่าว

นายกรัฐมนตรี มองว่า ปัญหายาเสพติดโยงไปถึงประเทศเพื่อบ้านด้วย เพราะต้องยอมรับว่า ประเทศที่มีปัญหาภายในอย่างมาก คือ ประเทศเมียนมา ที่มีพรมแดนติดต่อกัน 2,500 กม. ไทยจึงได้รับมอบหมายจากประเทศอาเซียน ที่จะเข้าไปเจรจากับฝ่ายเมียนมา จึงเป็นเรื่องน่ายินดี ที่สัปดาห์ที่ผ่านมา มหาอำนาจ 2 ประเทศ ส่งผู้นำมาเจรจาพูดคุยในหลายๆ ปัญหา ตนเองก็ได้เจรจาพูดคุยเรื่องปัญหาที่ส่งผลกับประเทศไทย ทั้งปัญหายาเสพติดที่ทะลักเข้ามาตามแนวชายแดน และต้องขอขอบคุณกองทัพไทยและความร่วมมือระหว่างฝ่ายปกครอง สส.พื้นที่ และกองทัพบก โดยแม่ทัพภาคที่ 3 กำจัดออเดอร์ได้อย่างมาก ซึ่งการที่ประเทศเพื่อนบ้านมีปัญหาภายใน เรื่องเงินจึงเป็นเรื่องสำคัญ ง่ายสุดคือผลิตยาแล้วส่งกลับมาขายกับเรา เราก็ไม่ยอม และพยายามพูดคุยและชี้แจงให้มหาอำนาจทั้ง 2 ประเทศเข้าใจ เพราะเป็นเรื่องใหญ่ที่ประเทศไทยมีส่วนได้เสียเป็นอย่างมาก ส่วนในอนาคตต้องสกัดการเข้ามาตามแนวชายแดนต่อไป เพราะปัจจุบันทางภาคเหนือทำได้ดี แต่ไปเจอที่ภาคกลาง เช่น กาญจนบุรีที่พบปัญหา จึงต้องสู้กันไป สำหรับการบำบัดคืนผู้เสพให้เป็นผู้ป่วย ก็เป็นเรื่องสำคัญที่รัฐบาลต้องดำเนินการต่อไป ซึ่งจะเรียกรัฐมนตรีสาธารณสุข มาหารือบ่ายนี้

ส่วนเรื่องของฝุ่นละออง PM 2.5  ก็เป็นปัญหาที่มีรากเหง้าจากปัญหาเศรษฐกิจ ยังมีการเผาทำลายวัชพืชด้วยการใช้ไม้ขีดเพียงก้านเดียว ดังนั้น เราจึงจำเป็นจะต้องสร้างองค์ความรู้ให้กับเกษตรกร ซึ่งรัฐบาลนี้ให้ความสำคัญ ควบคู่กับการผลักดัน พ.ร.บ.อากาศสะอาด

“จะเห็นได้ว่า จุดความร้อนที่เกิดขึ้นปีนี้ เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา พบว่าลดลงอย่างมีนัย แต่เราไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งอาจจะยังเข้าใจการแก้ปัญหาน้อยหรือขาดปัจจัยบางอย่าง แต่เมื่อวานนี้ก็ได้มีการหารือกับผู้นำของกัมพูชา ซึ่งยืนยันว่าจะร่วมมือกันแก้ปัญหาเรื่องนี้” นายเศรษฐา กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะเดียวกัน ตนได้สั่งการให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง หากเกษตรกรยังใช้วิธีการเผาอยู่ อาจจะมีการใช้บังคับกฎหมายโดยกระทรวงมหาดไทย หรือตัดความช่วยเหลือจากรัฐบาล

ส่วนมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลนี้ลงทุนมากในการออกนโยบายต่างๆ เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว ทั้งระยะสั้นและระยะยาว เพราะประเทศไทยมีสถานที่ท่องเที่ยวที่ดีมาก ไม่ใช่แค่ภูเก็ต เชียงใหม่ พัทยา หัวหิน หรือกรุงเทพฯ อย่างเดียว แต่เมืองรองก็ถือเป็นส่วนสำคัญ รัฐบาลอยากสนับสนุนให้นักท่องเที่ยวกระจายตัวไปเมืองรอง เพื่อเป็นการกระจายรายได้ ผ่านทางซอฟต์พาวเวอร์ด้วยการจัดเทศกาลต่างๆ ทั้งปี ไม่ใช่เฉพาะไฮซีซั่นเท่านั้น

“แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องของนโยบายอย่างเดียวก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาเมืองรองได้ การคมนาคมที่สะดวกสบายก็เป็นส่วนสำคัญ ซึ่งรัฐบาลมีแผนที่จะอัพเกรดสนามบินทั่วประเทศ เพื่อให้การเดินทางของนักท่องเที่ยว ทั้งคนไทยและต่างประเทศ สามารถเดินทางเข้าสู่เมืองรองได้” นายเศรษฐา กล่าว

ขณะเดียวกัน เราก็ได้มีการประสานพูดคุยกับประเทศเพื่อนบ้าน ประกอบด้วย กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม มาเลเซีย บรูไน นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางต่อได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า เพราะเราไม่ได้มองเพื่อนบ้านเป็นคู่แข่ง แต่จะมาช่วยสนับสนุนซึ่งกันและกัน จึงมั่นใจว่าสิ่งนี้จะพัฒนาเมืองรอง สามารถตอบสนองนักท่องเที่ยวได้แน่นอน และวันที่ 1 มีนาคมนี้ ก็จะมีการเปิดวีซ่าฟรีกับจีน อีกทั้งอยู่ระหว่างการดำเนินการประสานพูดคุย เรื่องขอฟรีวีซ่าเชงเก้นเข้ายุโรป

นายกรัฐมนตรี ยืนยันไม่ได้ให้ความสำคัญกับจังหวัดใหญ่เพียงอย่างเดียว เพราะตนเองก็ได้เดินทางไปทั่วประเทศไทย เข้าใจถึงวัฒนธรรม และสิ่งดีๆ ที่เมืองรองสามารถนำเสนอให้กับนักท่องเที่ยวได้ โดยปลายเดือนนี้ก็จะลงพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อดูเรื่องของวัฒนธรรม อาหารการกิน มีอะไรบ้างที่รัฐบาลสามารถสนับสนุนสร้างโอกาสพี่น้องสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ แต่ทั้งหมดยังเป็นยังมีการบ้านที่ต้องทำต่อ เพื่อปรับปรุงให้ดีที่สุด

Advertisement

นายกฯ ตั้งเป้าใช้มวยไทยเป็นจุดดึงดูดนักมวยทั่วโลก

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 6 กุมภาพันธ์ 2567 “เศรษฐา” ตั้งเป้าใช้มวยไทยเป็นจุดดึงดูดนักมวยจากทั่วทุกมุมโลก

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์ข้อความถึงการไปร่วมงานวันมวยไทยโลก ประจำปี 2567 “Amazing MuayThai World Festival 2024” ที่อุทยานราชภักดิ์ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ได้เห็นพลังของแม่ไม้มวยไทย ผ่านการแสดงของคนรักมวยไทยทั่วโลกกว่า 5,000 คน ซึ่งทางกองทัพบกจัดงานอย่างยิ่งใหญ่ เพื่อบันทึก Guinness World Records ทุกปี

มวยไทย คือ มรดกของไทย ที่เราคนไทยได้ร่วมกันรักษาและส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น มากว่า 300 ปี วันนี้เรากำลังทำให้มวยไทยเป็นมรดกของโลก ซึ่งต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา เรามีงาน WBC Amazing Muay Thai ที่รวมนักมวยกว่า 60 ประเทศ

“ความยิ่งใหญ่ที่เราร่วมกันถ่ายทอด และความงดงามของการไหว้ครูมวย ทำให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางของนักมวยจากทุกมุมโลก ที่ครั้งหนึ่งในชีวิตต้องเดินทางมาร่วมไหว้ครูมวยที่นี่ครับ” นายเศรษฐา กล่าว

Advertisement

ประธานสภาฯ ระบุ ข้อบังคับการประชุมสภาห้ามพูดเรื่องสถาบัน-คนภายนอกอยู่แล้ว

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 1 กุมภาพันธ์ 2567 รัฐสภา – ประธานสภาฯ ขอดูคำวินิจฉัยศาล รธน.ละเอียดก่อน เพื่อทำความเข้าใจกับสมาชิกว่าอะไรทำได้-ไม่ได้ แต่ข้อบังคับเดิมห้ามพูดเรื่องสถาบัน-คนนอกอยู่แล้ว ย้ำต้องยึดหลัก กม.-ข้อบังคับการประชุม

นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงการทำความเข้าใจกับสมาชิกในการยื่นแก้ไขกฎหมาย หลังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เรื่องการแก้ไขมาตรา 112 ที่ไม่สามารถใช้กระบวนการสภาฯ ได้ และก่อนหน้านี้มีการยื่นกฎหมายเกี่ยวกับการนิรโทษกรรม ซึ่งอาจจะเกี่ยวข้องกับมาตรา 112 ว่า ต้องรอดูคำวินิจฉัยทั้งหมดของศาลรัฐธรรมนูญก่อน เพื่อนำมาประกอบและให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องรวมถึงฝ่ายกฎหมายของประธานสภาผู้แทนราษฎรดูรายละเอียดและเสนอกลับมาอีกครั้ง

ส่วนที่อาจจะมีผู้ยื่นร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เกี่ยวกับ สส.พรรคก้าวไกลที่เคยเสนอร่างกฎหมายเมื่อปี 2564 จะส่งผลอย่างไรหรือไม่ ประธานสภาผู้แทนราษฎรกล่าวว่า เป็นเรื่องนอกสภาฯ เป็นการดำเนินการตามขั้นตอนของผู้ที่ร้องและผู้ถูกร้องต่อองค์กรอิสระทั้งหลาย ไม่อาจก้าวล่วงได้

เมื่อถามถึงการควบคุมการประชุมสภาฯ อย่างเข้มงวดหรือไม่ กรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งห้ามแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับคำวินิจฉัยวานนี้ (31 ม.ค.) นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่า สภาฯ มีฝ่ายกฎหมายคอยกลั่นกรองอยู่ ก็ดูตามขั้นตอน ซึ่งเป็นเรื่องปกติทั่วไป ไม่มีอะไรเข้มงวดหรือไม่เข้มงวด เป็นไปตามกฏหมายข้อบังคับของสภาฯ ปกติแล้ว  มีข้อบังคับที่กำหนดไว้ไม่ให้พูดถึงเรื่องสถาบัน ห้ามพูดถึงบุคคลภายนอก หากพูด ผู้พูดต้องรับผิดชอบ ทางสภาฯ จะถือข้อบังคับและกฎหมาย

เมื่อถามย้ำว่าจากนี้เรื่องมาตรา 112 จะไม่สามารถนำมาพูดถึงในสภาได้อีกแล้วใช่หรือไม่ ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า ไม่สามารถวิจารณ์ได้ ต้องขอดูรายละเอียดของคำวินิจฉัยทั้งหมด และฝ่ายกฎหมายจะเสนอให้ประธานและรองประธานสภารับทราบต่อไป

Advertisement

นายกฯ รับหนังสือคัดค้านจากชาวบ้าน ยันพิจารณาโครงการแลนด์บริดจ์รอบด้าน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 23 มกราคม 2567 ชุมพร – นายกฯ รับหนังสือคัดค้านการก่อสร้างโครงการแลนด์บริดจ์ จากชาวบ้านเครือข่ายรักษ์พะโต๊ะ จ.ชุมพร ฝากทบทวนผลการศึกษาโครงการใหม่ ด้านนายกฯ ยืนยันรัฐบาลคำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับทุกฝ่าย

หลังเสร็จสิ้นการประชุม ครม.สัญจร นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เดินทางมาที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ศูนย์การศึกษา จ.ระนอง เพื่อรับหนังสือคัดค้านการก่อสร้างโครงการแลนด์บริดจ์ จากชาวบ้านเครือข่ายรักษ์พะโต๊ะ จ.ชุมพร โดยเครือข่ายฝากให้ทบทวนผลการศึกษาโครงการใหม่ เนื่องจากมองว่าไม่ได้มาตรฐานทางวิชาการ และไม่เคารพการมีส่วนร่วมของประชาชน รวมถึงเสนอให้ตั้งคณะทำงานร่วมระหว่างนักการเมือง หน่วยงานราชการ และชาวบ้าน เพื่อร่วมกันถ่วงดุลและตรวจสอบโครงการ

นายกรัฐมนตรีนั่งรับฟังข้อเสนอแนะและข้อเรียกร้องจากชาวบ้านนานกว่า 10 นาที ก่อนบอกกับชาวบ้านว่าขออย่ากังวล รัฐบาลจะมีการพิจารณาข้อมูลต่างๆ และความกังวลของชาวบ้านอย่างรอบด้าน ยืนยันรัฐบาลคำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับทุกฝ่าย

นายกฯ ยัน รัฐบาลจัด ครม.สัญจรทุกภาค

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 21 มกราคม 2567 เชียงใหม่ – นายกฯ ยันรัฐบาลจัด ครม.สัญจรทุกภาค บอกเปิดรับฟังเสียงคัดค้านโครงการแลนด์บริดจ์ ชี้แง่สื่อสารยังทำได้อีก ยันไม่คิดปรับ ครม. พรรคร่วมยังทำงานกันด้วยดี ไม่ฝากเรื่องการเมือง มุ่งทำงานแก้ปัญหาความเดือดร้อนประชาชน

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ถึงวัตถุประสงค์เลือกจังหวัดระนองเป็นพื้นที่การประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่อย่างเป็นทางการ ครั้งที่ 2 ว่า ครม.สัญจรนัดแรกไปภาคอีสาน ที่จังหวัดหนองบัวลำภู ครั้งนี้เป็นภาคใต้ ครั้งต่อไปเป็นภาคเหนือ สลับสับเปลี่ยนกันไป จะต้องไปดูแลให้ทั่วถึง รับฟังปัญหา พร้อมชี้แจงโอกาสที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย

ผู้สื่อข่าวถามว่า จะมีโอกาสพูดคุยกับประชาชนเกี่ยวกับโครงการแลนด์บริดจ์หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวสั้นๆ ว่า “น่าจะ”

เมื่อถามว่า มีรายงานข่าวอาจจะมีประชาชนมาแสดงความคิดเห็น โดยเฉพาะการคัดค้านโครงการแลนด์บริดจ์ เตรียมจะชี้แจงอย่างไรหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ก็ต้องมีการชี้แจง และมีการชี้แจงตลอด เวลาเราลงพื้นที่ก็มีคนมาร้องเรียน ขอใช้คำว่า ร้องเรียนทุกเรื่องอยู่แล้ว รัฐบาลมีหน้าที่ต้องรับฟัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของราคาพืชผล หรือเรื่องอื่นๆ ก็ต้องรับฟังอยู่แล้ว

เมื่อถามว่า ยืนยันว่าโครงการแลนด์บริดจ์จะทำให้เกิดประโยชน์มากกว่าใช่หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ใช่ ก็ต้องไปพูดคุย คิดว่ายังทำได้อีกในแง่ของการสื่อสาร และรับฟังความคิดเห็น

เมื่อถามว่า มีการมองกันว่ารัฐบาลพยายามสร้างความเชื่อมั่นให้กับต่างชาติ แต่กับคนในพื้นที่ การสร้างความเชื่อมั่นค่อนข้างน้อย นายเศรษฐา กล่าวว่า ก็รับฟัง แล้วก็เห็นอยู่ว่า เมื่อวานที่ตนเดินทางกลับถึงกรุงเทพฯ เวลา 10.30 น. เช้าวันศุกร์ จากนั้น 20.00 น. ก็เดินทางมาที่จังหวัดเชียงใหม่ ดังนั้น การลงพื้นที่และการให้ความสำคัญกับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ถือว่าเป็นการให้ความสำคัญสูงสุด เดี๋ยวจะเดินทางไปที่จังหวัดระนอง วันพรุ่งนี้ (22 ม.ค.) อีกทั้งยังมีตารางเดินทางไปอีกหลายจังหวัด ไม่ต้องห่วงเรื่องนี้ ให้ความสำคัญอย่างมาก

ผู้สื่อข่าวถามว่า ในขณะที่รัฐบาลพยายามทำงานไปในทางการเมือง ยังมีกระแสข่าวปรับคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีจะให้คำยืนยันหรือให้ความมั่นใจอย่างไร นายเศรษฐา กล่าวว่า ตนยืนยันมาตลอดเวลาว่า เรายังทำงานร่วมกันดีอยู่กับพรรคร่วมรัฐบาล และรัฐมนตรีทุกคนก็ทำงานหนักมาก ตรงนี้ขอให้ฟังจากตนคนเดียวก็แล้วกัน ถึงเวลาเมื่อไรจะบอกเอง

เมื่อถามว่า นายกรัฐมนตรีได้วางไว้หรือไม่ว่า 6 เดือน จะมีการประเมินผลการทำงานของ ครม.หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ตนคิดว่าทุกคนมีการประเมินผลตลอดเวลา เรามีการติชม เสนอแนะมาตลอด ไม่จำเป็นต้อง 6 เดือน 3 เดือน หรือ 1 ปี

เมื่อถามว่า หากพรรคร่วมรัฐบาลพรรคไหนต้องการปรับรัฐมนตรีในส่วนของพรรคตัวเอง สามารถเสนอได้ใช่หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า รับฟังอยู่ตลอด แต่ตอนนี้เท่าที่ได้ยินมา ทุกท่านมัวแต่ง่วนกับการทำงาน ยังไม่ได้สนใจเรื่องนี้ ซึ่งความเดือดร้อนของประชาชนทุกคนก็รู้อยู่ว่ามีเยอะอยู่แล้ว ขณะเดียวกัน รัฐมนตรีหลายท่านก็ลงพื้นที่ ที่จังหวัดเชียงใหม่ก็มาด้วยหลายคน แม้แต่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ก็มา และรัฐมนตรีบางท่านได้ลงไปในพื้นที่จังหวัดระนอง เพื่อเตรียมงานในพื้นที่แล้ว เพราะเวลาลงพื้นที่ประชุม ครม.ต่างจังหวัด อยากรับฟังเรื่องที่พี่น้องประชาชนเดือดร้อน แต่แน่นอนเชื่อว่าคงต้องมีเรื่องร้องเรียนขอความช่วยเหลือ บ่นเยอะ ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐบาล ก็ต้องรับฟังความเห็นของประชาชน อะไรที่ทำได้ก็ต้องพยายามทำออกไปให้ได้

เมื่อถามว่า ในฐานะที่เป็นนักการเมือง อยากจะฝากอะไรเกี่ยวกับเรื่องการเมืองหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ไม่มี นอกจากต้องรับฟังความเห็นประชาชน ซึ่งเรื่องความเห็น เรื่องเสนอแนะ และความเดือดร้อน เป็นเรื่องที่รัฐมนตรีทุกท่านให้ความสนใจ และต้องใส่ใจด้วย

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนการให้สัมภาษณ์ นายกรัฐมนตรีได้ทักทายสื่อ “กู๊ดมอร์นิ่ง” ด้วยน้ำเสียงที่แหบๆ โดยนายกฯ กล่าวว่า เสียงไม่ค่อยดีตั้งแต่เดินทางกลับจากดาวอส เพราะเป็นหวัด แต่เมื่อคืนได้นอนพักผ่อน อาการไม่ได้แย่ลง

นายกฯ เผย ถือเป็นหน้าที่ พร้อมแจง สว.ซักฟอก

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 17 มกราคม 2567 สมาพันธรัฐสวิส – นายกฯ พร้อมแจง หาก สว.รวมเสียงพอ ขอซักฟอกตาม ม.153 ยันไม่เสียสมาธิทำงาน ถือเป็นหน้าที่ และหากตอบชัดแล้วถึงจุดหนึ่งก็ต้องพอ

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่สมาชิกวุฒิสภา (สว.) มีเสียงพอที่จะเปิดอภิปรายทั่วไปตามมาตรา 153 แล้ว ว่า ก็ว่ากันไปตามรัฐธรรมนูญหากมีเสียงพอที่จะขอเปิดอภิปรายได้ก็เป็นหน้าที่ของรัฐบาล ในฐานะฝ่ายบริหารที่จะต้องตอบ เมื่อฝ่ายนิติบัญญัติมีข้อข้องใจ ซึ่งเป็นไปตามกฎหมาย แต่ก็ขอให้เป็นไปอย่างสร้างสรรค์และมีวิธีการสื่อสารที่ถูกต้อง

ส่วนที่ สว. บางส่วนยอมรับว่าเพิ่งทำงานได้เพียง 4 เดือนเร็วเกินไปที่จะอภิปราย ในขณะที่รัฐบาลชุดที่แล้วไม่มีการอภิปรายนั้น  นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าไม่ขอวิจารณ์ในเรื่องนี้ ถือว่าเป็นการใช้สิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ ส่วนเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมนั้น ก็ให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน ซึ่งหน้าที่ของตน หากมีการรวบรวมเสียงถูกต้อง เป็นไปตามรัฐธรรมนูญแล้วก็เป็นหน้าที่ของตนที่จะต้องไปตอบ

เมื่อถามว่าต้องกำชับรัฐมนตรีให้เตรียมพร้อมเป็นพิเศษหรือไม่นั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ยังไม่ได้กำชับอะไร เพราะยังไม่มีการยื่นมาและเชื่อว่ารัฐมนตรีทุกคนทำงานเต็มที่อยู่แล้ว และทุกคน ต้องพร้อมที่จะชี้แจงหากถูกพาดพิง ส่วนจะขอร้อง สว. ว่าอย่าพาดพิงถึงคนนอกหรือไม่นั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตามความเหมาะสม และตามความถูกต้อง หากมีการตอบอย่างชัดเจนแล้ว เป็นไปตามหลักนิติธรรมแล้ว ถึงจุดหนึ่งก็ต้องพอ ยืนยันไม่เสียสมาธิในการทำงาน เพราะถือเป็นหน้าที่ ซึ่งเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ หากรวบรวมเสียงได้ เราก็ต้องไปตอบ แม้อาจจะเพิ่งเริ่มต้นทำงานก็ตามที หาก สว.มีข้อคลางแคลงใจก็ต้องพร้อมที่จะตอบ แต่ถ้าถามว่าอยากจะเอาเวลา มาทำงานเพื่อประเทศก็อยาก แต่หาก สว.มีข้อคลางแคลงใจและอยากที่จะอภิปราย ตนก็โอเค

นายกฯ พร้อมรับข้อเสนอแนะ ปรับงบฯวาระ 2-3

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 4 มกราคม 2567 รัฐสภา – นายกฯ พอใจภาพรวมอภิปรายวันแรก เมินฉายา “งบเป็ดง่อย” ชี้เป็นวาทกรรม แต่พร้อมนำข้อเสนอแนะไปปรับปรุงในวาระ 2-3 เหน็บ “จุรินทร์” ทำงาน 4 ปีไม่เท่า “ภูมิธรรม” ทำ 1 ปี

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ร่วมประชุมสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2567 ที่รัฐสภา โดยกล่าวถึงภาพรวมการอภิปรายวันแรก ว่า ดี ได้แลกเปลี่ยนข้อมูล ได้พูดจาอธิบายกัน ซึ่งไม่ทราบว่าแตกต่างจากการอภิปรายงบประมาณสมัยก่อน ๆ หรือไม่ เนื่องจากไม่เคยฟัง จึงพูดไม่ได้

ส่วนที่มีวาทกรรมจากฝ่ายค้าน ว่ารัฐบาลตั้งงบประมาณเป็น “เป็ดง่อย” นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนดูเป็น 2 มิติ มิติแรกคือเรื่องวาทกรรมกับเรื่องเจตนารมณ์ ซึ่งผู้อภิปรายอยากจะให้เราปรับปรุงแก้ไขในวาระ 2 และ 3 ซึ่งเป็นโอกาสที่จะนำข้อเสนอแนะ ข้อติชมไปปรับปรุง

“ส่วนเรื่อง “เป็ดง่อย” จะเป็นเรื่องของกลอนพาไปหรือไม่ แต่ผมมั่นใจที่ท่าน (นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์) พูดถึงกระทรวงพาณิชย์ ที่เคยดูแลอยู่ ก็มั่นใจว่านายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในระยะเวลา 1 ปี ทำมากกว่าท่านทำเป็นเวลา 4 ปี เรื่องสนธิสัญญา การค้าระหว่างประเทศ หรือเอฟทีเอ ที่ถือเป็นเรื่องใหญ่

“ผมว่าเป็นที่ประจักษ์อยู่แล้วที่ผ่านมาว่าง่อยหรือไม่ง่อย ที่เราทำตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง ผมมั่นใจในตัวรัฐมนตรีของเรา นโยบายบางเรื่องใช้งบประมาณน้อยมาก แต่เป็นเรื่องของการใส่ใจ เช่น FTA การดูแลราคา ความปลอดภัย เชื่อว่ารัฐบาลมีความตั้งใจจริงและรัฐมนตรีทุกท่านมีความปรารถนาดี” นายกรัฐมนตรี กล่าว

เมื่อถามว่า ส.ส. พรรคก้าวไกลพยายามกล่าวหาว่ารัฐบาลชุดนี้เดินตามรัฐบาลชุดก่อนหน้านี้ มากเกินไป เรื่องการจัดสรรงบประมาณ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เรื่องงบประมาณมีที่มาที่ไปชัดเจน ส่วนจะเดินตามหรือจะไม่เดินตาม ให้ดูที่ความเป็นจริง  อย่าพูดถึงคนว่าเป็นรัฐบาลไหนอย่างไร อะไรที่เป็นประโยชน์กับประชาชน ถ้ามาจากรัฐบาลแล้วเราก็ทำ มีอะไรที่ต้องปรับปรุง เราก็จะปรับปรุง เปลี่ยนแปลง

ส่วนกรณีตั้งคำถามเรื่องนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต ไม่ถูกบรรจุอยู่ในงบประมาณ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าเป็นพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) และกำลังรอกฤษฎีกา ซึ่งวันนี้ (4 ธ.ค.) จะสอบถาม

เมื่อถามว่ากรณีที่นายจุรินทร์เปรียบรัฐบาลเศรษฐาเป็น “นักกู้ถุงเท้าสีชมพู” นายกรัฐมนตรีก้มลงและดึงขากางเกงขึ้น พร้อมพูดว่า “ก็ใส่ให้ท่านดูวันนี้” พร้อมหัวเราะและพูดว่า “เป็นสีสัน ไม่เป็นไรครับ เพราะทุกคนก็กู้หมด แต่สำคัญว่ากู้แล้วนำมาทำประโยชน์ให้ประเทศชาติอย่างไรบ้าง ผมมั่นใจในรัฐบาลนี้และเอาประชาชนเป็นที่ตั้ง” ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังการให้สัมภาษณ์ได้ขอให้นายกรัฐมนตรี โชว์ถุงเท้าสีชมพูที่ใส่มาวันนี้ ซึ่งสื่อสอบถามว่าจะเอาสีไหนก็ทำงานได้ใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า  จะสีอะไรก็ทำงานได้ ไม่เกี่ยวกัน

Verified by ExactMetrics