วันที่ 1 มิถุนายน 2025

“ประยุทธ์” ประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติเห็นชอบแผนยุทธศาสตร์ชาติฉบับ “ล้มแล้วลุกไว”

People Unity News : คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ เห็นชอบร่างแผนแม่บทเฉพาะกิจภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติฯ ฉบับสมบูรณ์ ภายใต้แนวคิด “ล้มแล้วลุกไว” ใน 3 มิติการพัฒนา ให้ประเทศมีการพัฒนาที่สมดุลและยั่งยืน

วันนี้ (9 พ.ย.63) เวลา 09.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ครั้งที่ 3/2563 ร่วมกับ ศาสตราจารย์พิเศษพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยนายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เผยผลการประชุม ดังนี้

คณะกรรมการฯ รับทราบ (1) การเพิ่มเติมองค์ประกอบของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ โดยเห็นชอบให้แต่งตั้ง ศ.พิเศษ ดร.ทศพร ศิริสัมพันธ์ อดีตเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ และอดีตเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อรับตำแหน่งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ด้านการเมืองและการบริหารราชการแผ่นดิน (2) ความก้าวหน้าการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศผ่านระบบติดตามและประเมินผลแห่งชาติ (eMENSCR) โดยได้สั่งการเพิ่มเติมให้หน่วยงานดำเนินการรายงานผลการดำเนินการโครงการ/การดำเนินงาน และนำเข้าแผนระดับที่ 3 เข้าในระบบ eMENSCR ตามที่ระเบียบว่าด้วยการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ และแผนการปฏิรูปประเทศ พ.ศ. 2562 กำหนด เพื่อเป็นช่องทางให้ภาคประชาชนและภาคีการพัฒนามีส่วนร่วมในการติดตามตรวจสอบการดำเนินการภาครัฐอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป (3) การจัดตั้งศูนย์อำนวยการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืน ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (ศจพ.) เพื่อเป็นกลไกเชิงนโยบายในการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาความยากจนและการพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างบูรณาการและเป็นรูปธรรม โดยใช้ข้อมูลจากระบบบริหารจัดการข้อมูลการพัฒนาคนแบบชี้เป้า (Thai People Map and Analytics Platform : TPMAP) เป็นข้อมูลหลักในการดำเนินการ เนื่องจาก ระบบ TPMAP เป็นเครื่องมือเชิงนโยบายแรกของประเทศที่สามารถระบุกลุ่มเป้าหมายของการพัฒนาได้ทั้งในครัวเรือนและบุคคล โดยให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน สอดคล้องกับสภาพปัญหาและความต้องการเชิงพื้นที่ ครอบคลุมทุกกลุ่มเปราะบาง ทั้งเกษตรกร ผู้เคยต้องรับโทษ ผู้มีหนี้สิน ผู้ที่ทำงานอยู่นอกภูมิลำเนา ทั้งนี้ ให้นำกรณีตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาในต่างประเทศมาประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสมกับบริบทและขีดความสามารถของประเทศไทย เพื่อความคุ้มค่าของการใช้เงินงบประมาณของประเทศต่อไปและ (4) หลักสูตรยุทธศาสตร์ชาติ ให้มีการขยายผลการจัดทำหลักสูตรการเรียนการสอนแบบออนไลน์ (Massive Open Online Course: MOOCs) วิชายุทธศาสตร์ชาติสำหรับกลุ่มเป้าหมายนิสิต นักเรียน นักศึกษา นอกจากนี้ ต้องเร่งสร้างการตระหนักรู้ให้กับข้าราชการทุกระดับต่อไป เพื่อให้การแปลงยุทธศาสตร์ชาติไปสู่การปฏิบัติสามารถเป็นไปได้อย่างบูรณาการต่อไป

พร้อมกันนี้ คณะกรรมการฯ ให้ความเห็นชอบเรื่องสำคัญ จำนวน 3 เรื่อง ดังนี้

1) (ร่าง) แผนการปฏิรูปประเทศ (ฉบับปรับปรุง) คณะกรรมการฯ เห็นชอบ (ร่าง) แผนปฏิรูปประเทศ (ฉบับปรับปรุง) ทั้ง 13 ด้าน ได้แก่ การเมือง การบริหารราชการแผ่นดิน กฎหมาย กระบวนการยุติธรรม เศรษฐกิจ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สาธารณสุข สื่อสารมวลชน เทคโนโลยีสารสนเทศ สังคม พลังงาน การป้องกันและปราบปรามทุจริตและประพฤติมิชอบ การศึกษา วัฒนธรรม กีฬา แรงงานและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งมีเป้าหมายเป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฯ และสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ มีกิจกรรมปฏิรูปที่จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อประชาชนอย่างมีนัยสำคัญ (Big Rock) รวม 62 กิจกรรม และมีกฎหมายที่ต้องจัดทำหรือปรับปรุงแก้ไข จำนวน 45 ฉบับ โดยได้สั่งการเพิ่มเติมให้สรุปผลความสำเร็จของแผนฯในช่วงที่แผนมา เพื่อให้เห็นถึงความก้าวหน้าและประเด็นที่ควรให้ความสำคัญในการปฏิรูปประเทศ ทั้งนี้ คณะกรรมการฯเห็นชอบแนวทางการขับเคลื่อนแผนการปฏิรูปประเทศ (ฉบับปรับปรุง) เพื่อใช้เป็นกรอบในการดำเนินงานระยะต่อไปหลังจากที่ได้มีการประกาศใช้แล้ว โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินงานกิจกรรมตามแผนการปฏิรูปฯเดิม คู่ขนานไปกับกิจกรรม Big Rock และสื่อสารสร้างความเข้าใจกิจกรรม Big Rock เพื่อถ่ายทอดสู่หน่วยปฏิบัติ โดยให้มีการจัดทำแผนปฏิบัติการที่ระบุระยะเวลาและวิธีการดำเนินการที่ชัดเจน รวมทั้งให้มีการกำหนดกรอบงบประมาณเป็นการเฉพาะ เพื่อนำไปสู่การจัดทำโครงการที่ส่งผลต่อการบรรลุเป้าหมายตามผลอันพึงประสงค์ที่กำหนด

2) ร่างแผนแม่บทเฉพาะกิจภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติอันเป็นผลมาจากสถานการณ์โควิด-19 พ.ศ. 2564 – 2565 (ฉบับสมบูรณ์) คณะกรรมการฯเห็นชอบร่างแผนแม่บทเฉพาะกิจฯ ซึ่งมีแนวคิด “ล้มแล้วลุกไว” หรือ Resilience โดยกำหนดเป้าหมาย เพื่อให้ “คนสามารถยังชีพอยู่ได้ มีงานทำ กลุ่มเปราะบางได้รับการดูแลอย่างทั่วถึง สร้างอาชีพและกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น เศรษฐกิจประเทศฟื้นตัวเข้าสู่ภาวะปกติ และมีการวางรากฐาน เพื่อรองรับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่” มี 3 มิติการพัฒนา ได้แก่ (1) การพร้อมรับ (Cope) (2) การปรับตัว (Adapt) (3) การเปลี่ยนแปลงเพื่อพร้อมเติบโตอย่างยั่งยืน (Transform) เพื่อพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสสำหรับการพัฒนาประเทศต่อไป ซึ่งจะทำให้ประเทศมีการพัฒนาที่สมดุลและยั่งยืนภายใต้หลัก 3 ขั้นการพัฒนา ได้แก่ Survival (การอยู่รอด) Sufficiency (พอเพียง) และ Sustainability (ยั่งยืน) ประเด็นการพัฒนาประกอบด้วย 4 ประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ ในระยะ 2 ปีข้างหน้า ได้แก่ (1) การเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากภายในประเทศ (Local Economy) ลดความเสี่ยงในการพึ่งพาต่างประเทศ (2) การยกระดับขีดความสามารถของประเทศ รองรับการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว (Future Growth) ส่งเสริมอุตสาหกรรมและบริการที่มีโอกาสและศักยภาพภายใต้กระแสการเปลี่ยนแปลงและบริบทโลกใหม่ (3) การพัฒนาศักยภาพและคุณภาพชีวิตของคนให้เป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ (Human Capital) เพื่อการยกระดับและปรับทักษะแรงงานให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดงานและโครงสร้างเศรษฐกิจ พร้อมเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะวิกฤต และ (4) การปรับปรุงและพัฒนาปัจจัยพื้นฐานเพื่อส่งเสริมการฟื้นฟูและพัฒนาประเทศ (Enabling Factors) ให้สอดรับกับกระแสการเปลี่ยนแปลงที่จะส่งผลกระทบต่อศักยภาพของประเทศ ทั้งนี้ แผนแม่บทเฉพาะกิจภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติฯ (ฉบับสมบูรณ์) เป็นแผนระดับที่ 2 ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2560 โดยเป็นฉบับเพิ่มเติมจากแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติทั้ง 23 ประเด็น ดังนั้น เพื่อให้การแปลงร่างแผนแม่บทเฉพาะกิจภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติฯ (ฉบับสมบูรณ์) ไปสู่การปฏิบัติ สามารถดำเนินการได้บูรณาการและสอดคล้องเป็นไปในทิศทางเดียวกัน คณะกรรมการฯจึงได้เห็นชอบแนวทางการขับเคลื่อนร่างแผนแม่บทเฉพาะกิจฯ ไปสู่การปฏิบัติ เพื่อให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องใช้เป็นกรอบในการจัดทำโครงการ/การดำเนินงานประจำปีงบประมาณ 2465 เพิ่มเติมจากโครงการสำคัญประจำปีงบประมาณ 2565 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2563 รวมทั้งให้สำนักงบประมาณใช้เป็นกรอบจัดสรรงบประมาณในปีงบประมาณ 2565 ร่วมกับแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติทั้ง 23 ประเด็นในปัจจุบัน

3) แนวทางการจัดทำแผนระดับที่ 3 ที่เป็นแผนปฏิบัติการด้าน … เพื่อเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี คณะกรรมการฯเห็นชอบแนวทางการจัดทำแผนปฏิบัติการด้าน … ซึ่งเป็นแผนปฏิบัติของหน่วยงานของรัฐ เพื่อเป็นการแปลงยุทธศาสตร์ชาติและแผนระดับที่ 2 ไปสู่การปฏิบัติ ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอ ทั้งนี้ คณะกรรมการฯเห็นชอบให้ สศช. เสนอ (1) (ร่าง) แผนการปฏิรูปประเทศ (ฉบับปรับปรุง) (2) ร่างแผนแม่บทเฉพาะกิจภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติอันเป็นผลมาจากสถานการณ์โควิด-19 พ.ศ. 2564-2565 (ฉบับสมบูรณ์) และ (3) แนวทางการจัดทำแผนระดับที่ 3 ที่เป็นแผนปฏิบัติการด้าน … เพื่อเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบต่อไป

Advertising

เชิญชวน ปชช.ลงทะเบียนพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล

People Unity News : 19 มีนาคม 2566 โฆษกรัฐบาลเผย รัฐบาลเชิญชวนประชาชนลงทะเบียนระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล DOPA-Digital ให้สามารถใช้ Digital ID ทดแทนบัตรประชาชนตัวจริง ใช้ยืนยันตัวตนบนโลกดิจิทัลได้อย่างถูกต้องแม่นยำ มั่นคง ปลอดภัย

นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า ตามที่ พ.ร.บ.การปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2565 ซึ่งเป็นกฎหมายกลางส่งเสริมให้การบริการของภาครัฐใช้วิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์เป็นหลัก มีผลบังคับใช้ทั้งฉบับ และรัฐบาลได้เปิดให้ประชาชนสามารถลงทะเบียนยืนยันตัวตนทางดิจิทัล DOPA-Digital กับกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ตั้งแต่ 10 ม.ค. 66 ที่ผ่านมานั้น พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมให้ประชาชนลงทะเบียนระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล DOPA-Digital ให้สามารถใช้ Digital ID ทดแทนบัตรประชาชนตัวจริง เพื่อความสะดวกและปลอดภัยในการใช้บริการต่าง ๆ ที่ต้องแสดงบัตรประจำตัวประชาชน ซึ่งเป็นการใช้ยืนยันตัวตนบนโลกดิจิทัลได้อย่างถูกต้องแม่นยำ มั่นคงปลอดภัย

นายอนุชากล่าวเพิ่มเติมว่า การพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล เป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่จะเชื่อมต่อการยืนยันตัวตนจากทุกภาคส่วนเข้ามาไว้ด้วยกัน แทนระบบเดิมที่ผู้ให้บริการและผู้รับบริการ ต้องมาเผชิญหน้าและแสดงตน เพื่อยืนยันตัวตนด้วยเอกสารทางราชการ เป็นการสร้างมิติใหม่ของการทำธุรกรรมภาครัฐและภาคเอกชน ที่มีความสะดวก รวดเร็ว ผ่านช่องทางดิจิทัล และมีความปลอดภัยมากขึ้น อีกทั้งยังลดความเสี่ยงในการใช้เอกสารราชการปลอมในกระบวนการยืนยันตัวตนของระบบเดิม และเพื่อสนับสนุนการบริการประชาชนของภาครัฐ และภาคเอกชน ที่จะต้องปรับตัวและวิธีการเพื่อตอบสนองงานบริการแนวใหม่ที่ไม่ต้องเผชิญหน้า หรือการเว้นระยะห่างทางสังคมอีกด้วย โดยขณะนี้มีหลายหน่วยงานที่ได้อนุญาตให้สามารถใช้บัตรประชาชนดิจิทัล เพื่อติดต่อทำธุรกรรมต่าง ๆ ได้ เช่น กรมสรรพากรที่ได้มีการเชื่อมโยงแอปพลิเคชัน D.DOPA กับเว็บไซต์กรมสรรพากร เพื่อเป็นช่องทางยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ ภ.ง.ด. 90/91/94 ได้ และสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ที่ได้อนุญาตให้ประชาชนที่โดยสารเครื่องบิน สามารถแสดงเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงบัตรประชาชนดิจิทัลผ่านแอปพลิเคชัน D.DOPA เพื่อยืนยันผ่านจุดตรวจค้น และเป็นเอกสารประกอบกับบัตรผ่านขึ้นเครื่อง (Boarding Pass) ก่อนขึ้นเครื่องได้ด้วย ซึ่งเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนได้เป็นอย่างดี

“ในปัจจุบันบริการจากภาครัฐและเอกชนส่วนใหญ่ต่างก็ถูกเปลี่ยนไปอยู่ในรูปแบบดิจิทัล รัฐบาลจึงขอเชิญชวนประชาชนลงทะเบียนระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล DOPA-Digital ให้สามารถใช้ Digital ID ทดแทนบัตรประชาชนตัวจริง เพื่อใช้ในการติดต่อทั้งหน่วยงานราชการและเอกชน ใช้พิสูจน์และยืนยันสถานะของตัวบุคคลเมื่อต้องทำธุรกรรมหรือนิติกรรมต่าง ๆ รวมทั้งใช้ยืนยันสถานภาพการเป็นคนไทยของตัวบุคคลตามกฎหมาย ซึ่งเป็นการใช้ยืนยันตัวตนบนโลกดิจิทัลได้อย่างถูกต้องแม่นยำ มั่นคงปลอดภัย” นายอนุชา กล่าว

สำหรับแอปพลิเคชัน D.DOPA ได้พัฒนาเวอร์ชันล่าสุดเมื่อวันที่ 18 ม.ค.ที่ผ่านมา ให้ประชาชนสามารถดาวน์โหลดและลงทะเบียนด้วยตัวเองเพิ่มอีกหนึ่งช่องทาง จากเดิมต้องลงทะเบียนผ่านเจ้าหน้าที่ในการขอรับบริการการลงทะเบียนเพื่อยืนยันตัวตน ที่สำนักทะเบียน ได้แก่ สำนักงานเขตทุกเขตในกรุงเทพมหานคร และที่ว่าการอำเภอทุกจังหวัด โดยลงทะเบียนด้วยตัวเอง จะใช้วิธีถ่ายรูปบัตรประจำตัวประชาชนทั้งด้านหน้าและด้านหลัง จากนั้นสแกนใบหน้าเพื่อประมวลผลผ่านเทคโนโลยีชีวมิติ แล้วตั้งรหัสผ่าน 8 หลักเพื่อเข้าใช้งาน เป็นอันเสร็จสิ้น โดยผู้ประสงค์ขอลงทะเบียนระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “D.DOPA” ของกรมการปกครอง ได้ทั้งระบบ ios และ Android โดยสามารถลงทะเบียนด้วยตนเอง หรือลงทะเบียนผ่านเจ้าหน้าที่ ซึ่งภายหลังลงทะเบียนเรียบร้อยแล้ว เมื่อต้องติดต่อรับบริการจากหน่วยงานรัฐ หรือมีเจ้าพนักงานเรียกตรวจบัตรประชาชนในกรณีต่าง ๆ ประชาชนสามารถใช้สมาร์ทโฟนที่ได้รับการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลแล้วข้างต้นแสดงต่อเจ้าพนักงานที่เรียกตรวจแทนการใช้บัตรประชาชนได้

ทั้งนี้ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมคาดว่าในปี 2566 จะมีประชาชนใช้ Digital ID แทนบัตรประจำตัวประชาชนประมาณ 10 ล้านคน และจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องหลังกรมการปกครองได้พัฒนาระบบการลงทะเบียนทั้งหมดไปอยู่ในรูปแบบออนไลน์ และกระทรวงดิจิทัลฯ ยังคาดว่า Digital ID จะเข้ามาแทนที่การยืนยันตัวตนด้วยบัตรประจำตัวประชาชน ด้วยความปลอดภัยที่สูงกว่า เนื่องจาก Digital ID จะมีลักษณะเป็นคิวอาร์โค้ด ขณะที่บัตรประจำตัวประชาชนตัวจริงจะเกิดโอกาสที่มิจฉาชีพเห็นข้อมูลหน้าบัตรจากการทำธุรกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการแลกบัตร การติดต่อหน่วยงาน การใช้ประกอบการทำธุรกรรมการเงิน หรือ ธุรกิจต่างๆ โดย Digital ID จะช่วยลดการปลอมแปลงบัตรประชาชน หรือสวมรอยเจ้าของที่แท้จริงได้

Advertisement

รัฐบาลเปิดแอปฯ ทางรัฐ ให้ประชาชนเช็คเบี้ยผู้สูงอายุ-ผู้พิการ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 27 พฤศจิกายน 2566 มหาดไทย – ก.มหาดไทย ร่วมกับภาคีเครือข่าย เปิดบริการแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” อำนวยความสะดวกให้ประชาชนตรวจสอบเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ-ผู้พิการ “พวงเพ็ชร” ขอบคุณ มท.เห็นความสำคัญ

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมทำพิธีเปิดบริการตรวจสอบเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ และเบี้ยความพิการบนระบบพอร์ทัลกลางเพื่อประชาชน (Citizen Portal) หรือแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ”  ที่กระทรวงมหาดไทย โดยนายอนุทิน กล่าวว่า วันนี้ถือเป็นวันที่น่ายินดีที่ได้เปิดบริการตรวจสอบเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและเบี้ยความพิการบนระบบพอร์ทัลกลางเพื่อประชาชน (Citizen Portal) หรือ แอปพลิเคชัน “ทางรัฐ”

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ระบบนี้เป็นส่วนหนึ่งของความตั้งใจตามนโยบายรัฐบาล ที่จะปรับเปลี่ยนการบริหารประเทศให้เข้าสู่ยุค Digital Government ซึ่งเมื่อข้อมูลทั้งหลายถูกนำเข้าสู่ระบบออนไลน์แล้ว ประเทศก็จะได้ทั้งการ บริหารงานที่โปร่งใส และการให้บริการที่สะดวกสบายสำหรับประชาชน ซึ่งการนำเทคโนโลยีดิจิทัล มาเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างสรรค์ บริการ ทั้งการพัฒนาบริการเดิมและเสริมบริการใหม่ จะช่วยลดขั้นตอนการติดต่อราชการที่ซ้ำซ้อนลง และตอบสนองความต้องการของคนยุคนี้ ในการเข้าถึงบริการของรัฐได้ตลอด 24 ชั่วโมง

“หลายท่านคงเคยมีประสบการณ์ของความหงุดหงิดเวลาอยากจะทำอะไรนอกเวลาราชการแล้วทำไม่ได้ ต้องมาเสียเวลาทำการทำงานเพื่อไปติดต่อราชการตามเวลาราชการ ความรู้สึกแบบนั้นจะหายไป เมื่อเราเข้าสู่ความเป็น Digital Government โดยสมบูรณ์ ซึ่งการรวมศูนย์บริการภาครัฐให้เป็น “พอร์ทัลกลาง” ก็ถือว่าเป็น Game Changer เป็นปัจจัยที่จะทำให้รัฐบาลดิจิทัลเกิดขึ้นได้จริง” นายอนุทิน กล่าว

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า การที่กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นได้นำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เข้ามาใช้ในการให้บริการตรวจสอบเบี้ยยังชีพเพื่อสูงอายุ และเบี้ยความพิการ รองรับผู้ใช้งานกว่า 14 ล้านคนในครั้งนี้ถือว่าสอดคล้องอย่างยิ่งกับอัตลักษณ์การทำงานของกระทรวงมหาดไทย  นั้นคือ “ทันโลก ทันสมัย ทันท่วงที” ใช้เทคโนโลยีได้เหมาะสม เพื่อสนองความต้องการของประชาชน

ด้านนางพวงเพ็ชร กล่าวว่า ขอขอบคุณกระทรวงมหาดไทย ที่เล็งเห็นความสำคัญของแอปพลิเคชันทางรัฐ  ซึ่งเป็นแอปฯ ที่รวบรวมการบริการทั้งหลายและการตรวจสอบทั้งหลายไว้ที่แอปฯนี้ เป็นการร่วมกับหลายกระทรวง ซึ่งวันนี้กระทรวงมหาดไทยเล็งเห็นความสำคัญของการบริการประชาชนให้สะดวกรวดเร็วขึ้น โดยการตรวจสอบเบี้ยผู้สูงอายุและผู้พิการทางแอปพลิเคชันตามความมุ่งหวังของกระทรวงมหาดไทยที่จะ บำบัดทุกข์ บำรุงสุข ให้กับพี่น้องประชาชน

Advertisement

นายกฯ ติดตามความคืบหน้าโครงการก่อสร้างมอเตอร์เวย์บางปะอิน – นครราชสีมา

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 5 ธันวาคม 2566 นายกฯ ติดตามความคืบหน้าโครงการก่อสร้างมอเตอร์เวย์บางปะอิน – นครราชสีมา พร้อมเปิดใช้ฟรี ช่วงปากช่อง – เมืองนครราชสีมา ตั้งแต่ 28 ธันวาคม 2566 เป็นต้นไป

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ตรวจติดตามความคืบหน้าโครงการก่อสร้างมอเตอร์เวย์บางปะอิน – นครราชสีมา และความพร้อมที่จะเปิดให้บริการช่วงสีคิ้ว – นครราชสีมา ณ จังหวัดนครราชสีมา โดยมีนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม และนายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมเข้าร่วม นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญดังนี้

ภายหลังตรวจติดตามฯ และรับฟังบรรยายสรุปข้อมูลโครงการก่อสร้างมอเตอร์เวย์บางปะอิน – นครนครราชสีมา นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2567 ตั้งแต่วันที่ 28 ธันวาคม 2566 เป็นต้นไป จะเปิดใช้ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 6 (M6) ฟรีตลอดจนกว่าการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 6 (M6) จะแล้วเสร็จสมบูรณ์ พร้อมสั่งการให้กระทรวงคมนาคม โดยกรมทางหลวง เปิดใช้ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 6 ตอน 24 ตำบลหนองสาหร่าย อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ถึง ตอน 40 อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา แบบไปกลับ 4 ช่องจราจร ระยะทาง 77.493 กิโลเมตร เฉพาะรถยนต์ 4 ล้อเท่านั้น ตลอด 24 ชั่วโมง และให้มีจุดบริการห้องน้ำ 1 จุด ช่วง อำเภอปากช่อง – อำเภอสีคิ้ว ที่ กม.147 ทั้งขาเข้าและขาออก

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้กรมทางหลวง กำชับสำนักงานทางหลวง และแขวงทางหลวง ที่ดูแลเส้นทางต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนที่ใช้เส้นทาง ปรับปรุงเส้นทางให้เกิดทัศนวิสัยในการมองเห็นชัดเจน มีการจัดตั้งศูนย์บริการประชาชน เพื่ออำนวยความสะดวก โดยบูรณาการร่วมกับหน่วยงานราชการ และเอกชนในพื้นที่ ติดตั้งไฟฟ้าส่องแสงสว่างตลอดเส้นทาง รวมถึงติดตั้งป้ายเตือน ป้ายแนะนำ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชน โดยเฉพาะติดตั้งป้ายระหว่างการก่อสร้าง ในช่วงที่ยังมีการก่อสร้าง ต้องมีป้ายเตือน ไฟเตือนให้เป็นไปตามระเบียบ และให้เพิ่มให้มากขึ้นในช่วงที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุ

สำหรับความคืบหน้าโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสายบางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา ข้อมูล ณ เดือนพฤศจิกายน 2566 แผนงานความก้าวหน้าร้อยละ 92.588 ผลงานความก้าวหน้าร้อยละ 93.054 เร็วกว่าแผนร้อยละ 0.466 คาดว่าจะเปิดทดลองให้บริการช่วงเทศกาลปีใหม่ 2567 ตั้งแต่ปากช่อง – ทางเลี่ยงเมืองนครราชสีมา ระยะทางประมาณ 80 กิโลเมตร ทั้งนี้ งานโยธาจะก่อสร้างเสร็จแล้วปลายปี 2568 โดยจะทดลองวิ่งจริงและเปิดให้บริการเต็มรูปแบบ ทั้ง 196 กิโลเมตรแบบเก็บค่าผ่านทาง ส่วนโครงการก่อสร้างกำแพงบังสายตาพร้อมวัสดุปิดคลุมแบบสมบูรณ์ 700 เมตร และกำแพงบังตารวม 1,000 เมตร ช่วง กม.140+040.000 ถึง กม.140+345.000 และช่วง กม.141+045.000 ถึง 141+740.000 ได้ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้ว

Advertisement

ชูพัฒนาภาคใต้เป็นเมืองท่องเที่ยวระดับโลก-ศูนย์กลางผลิตภัณฑ์ยางและปาล์มน้ำมัน

People unity news online : นายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุม การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย และกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน

วันนี้ (21 สิงหาคม 2561) เวลา 09.10 น. ณ ห้องประชุม ชั้น 4 อาคารวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง วิทยาเขตชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย (ชุมพร นครศรีธรรมราช พัทลุง สุราษฎร์ธานี สงขลา) และกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน (กระบี่ ตรัง พังงา ภูเก็ต ระนอง สตูล) ร่วมกับคณะรัฐมนตรี ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้แทนภาคเอกชน ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และผู้แทนเกษตรกร ทั้งนี้ เพื่อให้การพัฒนาสอดคล้องกับเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ในการเป็นเมืองท่องเที่ยวพักผ่อนตากอากาศระดับโลก และเป็นศูนย์กลางผลิตภัณฑ์ยางพาราและปาล์มน้ำมันของประเทศ รวมถึงเป็นเมืองเศรษฐกิจเชื่อมโยงการค้า การลงทุนกับภูมิภาคอื่นของโลก โดยที่ประชุมเห็นชอบตามข้อเสนอการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคใต้ ดังนี้

1.ด้านการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ สนับสนุนด้านอุตสาหกรรม การค้า การลงทุน และการค้าชายแดน ที่ประชุมเห็นชอบสนับสนุนการเพิ่มประสิทธิภาพการคมนาคมทางถนน ทางราง ทางน้ำ และทางอากาศที่สำคัญเพื่อให้เกิดความเชื่อมโยง รวมถึงเพื่อพัฒนาโครงข่ายเส้นทางเพื่อเชื่อมต่อในเชิงพื้นที่แนวตะวันตก – ตะวันออก และแนวเหนือใต้ โดยนายกรัฐมนตรีสั่งการให้จัดแผนงานโครงการให้ชัดเจน คำนึงถึงความคุ้มค่าการใช้จ่ายงบประมาณ และผลประโยชน์ที่จะได้รับเป็นหลัก รวมถึงให้สอดคล้องกับแผนการพัฒนาของรัฐบาล

2.ด้านการท่องเที่ยว เพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวของภาคใต้ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวคุณภาพชั้นนำของโลก โดยกำหนดให้มีการยกระดับคุณภาพบริการ และส่งเสริมธุรกิจต่อเนื่องในแหล่งท่องเที่ยว คำนึงถึงความสามารถในการรองรับของพื้นที่อย่างยั่งยืน ที่ประชุมเห็นชอบแนวทางการพัฒนา ได้แก่

2.1 การพัฒนาศักยภาพการรักษาความปลอดภัยในเมืองท่องเที่ยวหลัก โดยใช้เทคโนโลยี และนวัตกรรมทั้งทางบกและทางน้ำ 2.2 การพัฒนาศักยภาพแหล่งท่องเที่ยว โครงการยกระดับพัฒนาแหล่งสปาวารีบำบัดน้ำพุร้อน พัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวสุขภาพให้มีคุณภาพมาตรฐาน และเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวสุขภาพในภาคใต้ฝั่งอันดามันและฝั่งอ่าวไทย 2.3 วางแผนศึกษาพัฒนาเส้นทางเพื่อการท่องเที่ยว เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวทะเลสาบสงขลา นครศรีธรรมราช – พัทลุง – สงขลา และปรับปรุงภูมิทัศน์ในส่วนที่ไม่มีผลกระทบกับสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีขอให้บูรณาการทำงานขับเคลื่อนไม่ว่าจะเป็นการรักษาความปลอดภัย กำหนดจุดให้ชัดเจน มีแผนเตรียมการรองรับสถานการณ์ พร้อมกับให้ช่วยกันดูแลเรื่องความสะอาดของสถานที่ท่องเที่ยว โดยเฉพาะเรื่องขยะต้องมีการบริหารจัดการให้ดี

3.ด้านการยกระดับการผลิตสร้างมูลค่าเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรให้เป็นฐานเศรษฐกิจที่สร้างรายได้อย่างยั่งยืน พัฒนาเขตอุตสาหกรรมโอเลโอเคมีจากปาล์มน้ำมันแบบครบวงจร เพื่อให้เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ของภาค ประกอบกับศักยภาพทางด้านการเกษตรที่ค่อนข้างสูงในพื้นที่กลุ่มจังหวัด ที่ประชุมเห็นชอบตามที่เสนอ ดังนี้

3.1 จัดตั้ง Oil Palm City (สุราษฎร์ธานี) 3.2 สนับสนุนการทำเกษตรแบบผสมผสานหรือ “วนเกษตร” ในส่วนยางพาราและส่วนปาล์มน้ำมัน 3.3 พัฒนาฟาร์มต้นแบบที่มีความแม่นยำสูง เพื่อส่งเสริมศักยภาพการผลิตทางการเกษตร 3.4 ส่งเสริมให้เป็นเมืองนวัตกรรมและการออกแบบไม้ยางพาราเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและการจัดทำมาตรฐานการจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืน และรองรับ Industry 4.0 3.5 ส่งเสริมและการพัฒนางานวิจัยทางด้านยาง ปาล์ม พืชผักสมุนไพร ปศุสัตว์ และประมง เพื่อรองรับ Agro – Bio – Economy รวมทั้งสนับสนุนการผลิตอาหารปลอดภัยเพื่อการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพระดับโลก 3.6 การจัดตั้งโรงงานต้นแบบสินค้าการเกษตร 4.0 แบบครบวงจร เพื่อยกระดับเป็นพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ คลัสเตอร์อุตสาหกรรมเกษตร 3.7 การส่งเสริมการทำระบบแก๊สชีวภาพและชีวมวลจากกระบวนการผลิตปาล์มและยางพารา เพื่อเป็นพลังงานทดแทนในระบบอุตสาหกรรมและตามแนวประชารัฐ 3.8 การจัดตั้งศูนย์ยกระดับผลิตภัณฑ์ชุมชนตามแนวประชารัฐและการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชนทางการเกษตร และ 3.9  การพัฒนานวัตกรรมดิจิทัลด้านการเกษตร สินค้าและบริการภาคใต้ โดยนายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้ขับเคลื่อนให้ได้โดยเร็ว สร้างกลไกทางการเกษตร กำหนดพื้นที่เพาะปลูก มีการปลูกพืชเสริมพืชหลัก รวมถึงการรวมกลุ่มทำเกษตรแปลงใหญ่ นำข้อมูลบิ๊กดาต้ามาใช้ประโยชน์ ใช้ข้อมูลแต่ละหน่วยงานมาวิเคราะห์ รวบรวมเป็นข้อมูลนำมาตัดสินใจ เพื่อจะได้ส่งเสริมการทำเกษตรให้ตรงจุด

4.ด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิต ที่ประชุมเห็นชอบสนับสนุนส่งเสริมให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ โดยเร่งรัดก่อสร้างโรงพยาบาลระดับทุติยภูมิ จังหวัดสุราษฎร์ธานี เร่งรัดการพัฒนาศูนย์ความเป็นเลิศโรงพยาบาลสุราษฎร์ธานีระดับภาคใต้ตอนบน และเร่งรัดการเพิ่มประสิทธิภาพด้านเครื่องมือการรักษาพยาบาลและคุณภาพด้านการบริหารของโรงพยาบาลมหาราช นครศรีธรรมราช รวมทั้งส่งเสริมความเข้มแข็งของชุมชนในพื้นที่กลุ่มจังหวัด โดยนายกรัฐมนตรีมอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขรับไปพิจารณาเรื่องงบประมาณ

5.ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่ประชุมได้กำหนดแนวทางการพัฒนา ดังนี้

5.1 การขุดลอกร่องน้ำชายฝั่งทะเลเพื่อเพิ่มศักยภาพ 5.2 การบริหารจัดการน้ำเพื่อแก้ปัญหาอุทกภัย ประกอบด้วย ขอรับการสนับสนุนศึกษาและออกแบบแนวทางการป้องกันปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งภาคใต้แบบครบวงจร รวมถึงการจัดหาแหล่งน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคและการเกษตรในเขตพื้นที่จังหวัดพังงา และจังหวัดระนอง โดยนายกรัฐมนตรีมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินตามแผนงาน และให้พิจารณาดำเนินการตามความเร่งด่วน ตรงความต้องการของประชาชน

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวมอบนโยบายตอนหนึ่งว่า การลงพื้นที่ประชุม ครม. ครั้งนี้ไม่ใช่มาเพื่อแจกเงินหรือแจกงบประมาณ แต่มาเพื่อทำให้เกิดความเชื่อมโยงในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยว ท่าเรือ และสนามบินให้เกิดห่วงโซ่มูลค่า สร้างรายได้ในพื้นที่ต่างๆมากขึ้น รวมถึงเพื่อมารับฟังข้อเสนอแนะและปรับแผนการทำงานให้ตรงกัน โดยเน้นการทำงานแบบบูรณาการ ซึ่งการใช้งบประมาณต้องคุ้มค่า ลดความซ้ำซ้อน ตรงตามความต้องการของประชาชนมากที่สุด พร้อมกับสั่งการให้หน่วยงานในพื้นที่ลงทะเบียนแหล่งที่มาของพืชการเกษตรหลัก เพื่อบ่งบอกถึงแหล่งการเพาะปลูกพืชการเกษตร เพราะต่างชาติให้ความสำคัญในเรื่องดังกล่าว หากไม่พบแหล่งที่มาของพืชการเกษตรหรือปลูกในพื้นที่ผิดกฎหมาย จะไม่มีการซื้อสินค้าเกษตรดังกล่าว พร้อมกับสั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสร้างความเข้าใจให้ประชาชนในจังหวัดรับรู้ข้อมูลที่มีความถูกต้อง ผ่านช่องทางต่างๆอย่างบูรณาการ พร้อมกับสร้างการเรียนรู้ให้กับประชาชน และทำประชาธิปไตยไม่ให้เป็นประชานิยม จะต้องเป็นประชาธิปไตยที่มาจากความยินยอมของประชาชน โดยการประชุมในวันนี้ที่ต้องใช้เวลามากกว่าปกติเพราะต้องการทำความเข้าใจกับทุกภาคส่วน เพื่อให้มีความเข้าใจที่ตรงกัน นำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ

People unity news online : post 21 สิงหาคม 2561 เวลา 13.10 น.

มุ่งลดเหลื่อมล้ำ กระจายอำนาจเป็นระบบ

People Unity News : 7 ธันวาคม 2565 โฆษกรัฐบาล เผยนายกฯ ให้ความสำคัญแก้ไขปัญหาเหลื่อมล้ำ มุ่งกระจายอำนาจอย่างเป็นระบบ โปร่งใส มีประสิทธิภาพ ทันต่อความเปลี่ยนแปลงของนวัตกรรม บริหารตามอัตลักษณ์ของแต่ละพื้นที่

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้ความสำคัญการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำด้วยนโยบายกระจายความเจริญสู่ท้องถิ่น และผลักดันแนวคิดการกระจายอำนาจภาครัฐไปสู่ท้องถิ่น รวมทั้งปรับองค์กรภาครัฐ ให้มีความคล่องตัว และมีความยืดหยุ่นสูงขึ้น รองรับความเปลี่ยนแปลงของกระแสโลกยุคเทคโนโลยีดิจิทัล และความต้องการของประชาชนในแต่ละท้องที่ ซึ่งมีอัตลักษณ์ ประวัติศาสตร์ความเป็นมา มีสภาพแวดล้อมและเงื่อนไขที่แตกต่างกันได้อย่างมีประสิทธิผล

“รัฐบาลดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ด้านที่ 6 ยุทธศาสตร์ชาติด้านการปรับสมดุล และการพัฒนาระบบการบริหารการจัดการภาครัฐ ตามแผนงานย่อยโดยเพิ่มขีดความสามารถของภาครัฐให้มีความทันสมัย มีความยืดหยุ่น ผ่านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ประชาชนเป็นศูนย์กลาง ตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างรวดเร็ว โปร่งใส สะดวกและสุจริต กระจายอำนาจอย่างเหมาะสม ปรับตัวให้ภาครัฐมีขนาดเล็กลง เหมาะสมต่อภารกิจการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น มีระบบภาษีและรายได้ท้องถิ่นอย่างเหมาะสม พัฒนาค่านิยมในการทำงาน บุคลากรภาครัฐเป็นคนเก่งที่ดี ยึดมั่นในคุณธรรม และทำงานเพื่อประชาชน ภายใต้การสนับสนุนพัฒนาทุนมนุษย์ (Human Capital) ภาครัฐ ยึดมั่นในหลักประชาธิปไตย เคารพในสิทธิมนุษยชน และปฏิบัติต่อประชาชนอย่างเสมอภาค ส่งเสริมกระบวนการยุติธรรมทางเลือก ระบบยุติธรรมชุมชน และการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในกระบวนการยุติธรรม” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว

นายอนุชา กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีเดินหน้านโยบายกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาค ลดความเหลื่อมล้ำของการพัฒนา ลดการกระจุกตัวของการพัฒนา และประชากรของเมืองใหญ่ในปัจจุบัน โดยการสร้างสังคมชนบทเป็นสังคมเมืองที่สงบสุข เพียงพอ และแก้ปัญหาการย้ายถิ่นฐาน โดยส่งเสริมพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษเพื่อเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของเอเชีย ได้แก่ พัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกอย่างต่อเนื่อง ส่งเสริมการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้และการพัฒนาจังหวัดชายแดน เพิ่มพื้นที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจแห่งใหม่ในภูมิภาค และส่งเสริมและเร่งรัดการพัฒนาเมืองอัจฉริยะน่าอยู่ทั่วประเทศ พัฒนาโครงสร้างและระบบการบริหารจัดการภาครัฐสมัยใหม่ การส่งเสริมระบบธรรมาภิบาลในการบริหารจัดการภาครัฐ

Advertisement

นายกฯ ชู ป.ย.ป. จะทำให้ประเทศก้าวหน้าเหมือนจีน

People unity news online : วันนี้ (21 เมษายน 2560) เวลา 09.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.) ครั้งที่ 1/2560 เพื่อติดตามความก้าวหน้าแผนการดำเนินงานของคณะกรรมการภายใต้ ป.ย.ป. ทั้ง 4 คณะ คือคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ คณะกรรมการเตรียมการปฏิรูปประเทศ คณะกรรมการเตรียมการยุทธศาสตร์ชาติ และคณะกรรมการเตรียมการเพื่อความสามัคคีปรองดอง  โดยที่ประชุมรับทราบความก้าวหน้าแผนการดำเนินงานของคณะกรรมการภายใต้ ป.ย.ป ทั้ง 4 คณะ

คณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.) เป็นกลไกสำคัญของรัฐบาล มีเป้าหมายเพื่อการเร่งรัดผลักดันการปฏิรูปให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมก่อนการเลือกตั้ง และเป็นการเตรียมความพร้อมเพื่อให้กระบวนการปฏิรูป การจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดองที่ดำเนินงานอยู่โดยรัฐบาลปัจจุบัน เพื่อส่งต่อภารกิจไปสู่รัฐบาลหลังการเลือกตั้งได้อย่างราบรื่นและเกิดความต่อเนื่องของการดำเนินงาน เพื่อให้ประเทศมีความมั่นคง ยั่งยืน เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง นำไปสู่การพัฒนาให้คนไทยมีความสุข และตอบสนองต่อการบรรลุซึ่งผลประโยชน์แห่งชาติในการที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิต สร้างรายได้ระดับสูงเป็นประเทศพัฒนาแล้ว และสร้างความสุขของคนไทย สร้างสังคมให้มีความมั่นคง เสมอภาคและเป็นธรรม ประเทศสามารถแข่งขันได้ในระบบเศรษฐกิจ

โดยนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวมอบนโยบายตอนหนึ่งว่า การประชุมครั้งนี้เป็นการประชุมขนาดใหญ่ เพราะประเทศจะเดินหน้าได้ด้วยงานของรัฐบาลที่ทำอยู่ในขณะนี้ โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาและเดินหน้าประเทศระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว รวมถึงร่าง พ.ร.บ.ยุทธศาสตร์ชาติที่ผ่านการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในวาระแรกเมื่อวานนี้ ซึ่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจาก สนช. สปท. โดยส่วนตัวเห็นว่าข้อเสนอหลายอย่างนั้นมีประโยชน์ แต่อาจจะต้องหารืออีกครั้ง เพื่อให้มีความมั่นใจว่ากฎหมายดังกล่าวจะสามารถบังคับใช้ได้ในอนาคต ยืนยันว่าไม่ได้เป็นการปิดกั้นการทำงานของฝ่ายใดแต่เพื่อวางกรอบการทำงาน ซึ่งยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีอาจจะดูยาวนานแต่ในทางปฏิบัติอาจจะไม่นานนัก เพราะถือว่าเป็นระยะแรกในการวางรากฐานและปฏิรูปประเทศเหมือนกับประเทศจีน ซึ่งต้องใช้เวลากว่า 10 ปีในการยกระดับรายได้ของประเทศ จนสามารถยกระดับจนรายได้เป็นอันดับสองของโลก ในส่วนของประเทศไทยนั้นคงจะต้องใช้เวลานานกว่านั้น แต่เชื่อว่าใน 5 ปีแรกนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการวางรากฐานของประเทศ ซึ่งต้องอาศัยความรู้จากทั้งฝ่ายการเมือง ข้าราชการ ภาคประชาชนในรูปแบบของประชารัฐ ขณะเดียวกัน หากใครที่มีความคิดเห็นหรือข้อเสนอทางรัฐบาล และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ซึ่งพร้อมที่จะรับฟังแนวความคิดที่เป็นประโยชน์ของทุกคน

“ขอให้คณะกรรมการภายใต้ ป.ย.ป.ทั้ง 4 คณะให้ทำงานประสานสอดคล้องกันแบบบูรณาการอย่างเต็มที่ให้เกิดเป็นรูปธรรม สร้างความชัดเจนให้กับประชาชน และจัดคณะกรรมการลงพื้นที่สร้างความเข้าใจต่อประชาชน พร้อมทั้งขอให้กำหนดความสำคัญของแผนการดำเนินงาน กำหนดระยะเวลาการดำเนินงานให้ชัดเจน นำไปขับเคลื่อนสู่การปฏิบัติในพื้นที่และในสังคมให้รับรู้สร้างแนวคิดใหม่ๆขึ้นมา เกิดวิสัยทัศน์ในการทำงานอย่างถูกต้อง พร้อมขอความร่วมมือภาคเอกชนช่วยกันสร้างความเข้าใจต่อนักลงทุนให้เกิดการลงทุนในประเทศให้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันความเชื่อมั่นด้านเศรษฐกิจของประเทศไทยมีแนวโน้มในทางที่ดีทั้งเรื่องความเชื่อมั่น และมูลค่าการส่งออก”

People unity news online : post 21 เมษายน 2560 เวลา 16.03 น.

ที่ประชุม ครม.ปรับแก้ (ร่าง) ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เปลี่ยนระยะเวลาเป็นปี 2561-2580

People unity news online : คณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แถลงข่าวความคืบหน้าของการขับเคลื่อน (ร่าง) ยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี พ.ศ. (2561-2580) หลังเข้าสู่การพิจารณาของ ครม. เพื่อนำประเทศชาติและประชาชนสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน

เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2561 เวลา 15.30 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี นายดนุชา พิชยนันท์ รองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมชาติ ได้แถลงข่าวผลการประชุมคณะรัฐมนตรี โดยสรุปความคืบหน้าของการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี สาระสำคัญ ดังนี้

การประชุมคณะรัฐมนตรีในวันนี้ (22 พ.ค.61) ซึ่งมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม ได้พิจารณาร่างยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี โดยที่ประชุมต่างได้แสดงความคิดเห็นที่หลากหลายพร้อมให้นำไปปรับ (ร่าง) ยุทธศาสตร์ชาติฯ ให้แล้วเสร็จ พร้อมนำกลับมาให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ในวันอังคารที่ 5 มิถุนายน 2561

ทั้งนี้ ความคิดเห็นของคณะรัฐมนตรีที่สมควรให้ปรับปรุงร่างยุทธศาสตร์ชาติฯ โดยสรุป คือ

1.เห็นควรปรับปรุงในรายละเอียดของยุทธศาสตร์ชาติให้มีระดับของเนื้อหาสาระเป้าหมายและตัวชี้วัดที่มีความสอดคล้องกัน

2.เห็นควรปรับปรุงความทับซ้อนกันระหว่างยุทธศาสตร์ชาติทั้ง 6 ด้าน ประกอบด้วย การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การส่งเสริมความเสมอภาค การจัดการด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยการพัฒนาด้านการเกษตร การพัฒนาด้านพลังงาน การพัฒนาจังหวัดและเมืองรอง ตลอดจนการบริการของภาครัฐ รวมทั้งการจัดทำฐานข้อมูลหรือฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) เพื่อให้ (ร่าง) ยุทธศาสตร์ชาติมีความกระชับและชัดเจนมากยิ่งขึ้น

3.เห็นควรมีการแก้ไขความไม่สอดคล้องกันของประเด็นการพัฒนาระหว่างยุทธศาสตร์ให้เป็นไปอย่างมีระบบ

4.เห็นควรปรับปรุงแนวทางการพัฒนาที่เป็นลักษณะตัวชี้วัด พร้อมมีการระบุตัวอย่างในรายละเอียดให้มีความเหมาะสมกับกรอบระยะเวลาดำเนินการ 20 ปี โดยมีการนำประเด็นที่สอดคล้องไปไว้ในการจัดทำแผนแม่บท

5.เห็นควรปรับปรุงแก้ไขการใช้คำศัพท์ที่มีความแตกต่างกันให้เป็นไปในแนวทางที่เหมาะสมเพื่อความชัดเจนและความเข้าใจที่ถูกต้อง

และ 6.เห็นควรเปลี่ยนกำหนดช่วงระยะเวลาการบังคับใช้ยุทธศาสตร์ชาติ เป็น พ.ศ.2561-2580 เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน

เมื่อ (ร่าง) ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีในวันที่ 5 มิถุนายน 2561 สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ก็จะนำขึ้นกราบบังคมทูล ทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยและประกาศในหนังสือราชกิจจานุเบกษาต่อไป

อนึ่ง (ร่าง) ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี มีเป้าหมายเพื่อการพัฒนาประเทศชาติ มีความมั่นคง ประชาชนมีความสุข มีการยกระดับศักยภาพในหลากหลายมิติ เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมีการพัฒนาคนในทุกมิติและในทุกช่วงวัยให้เป็นคนดี คนเก่ง และมีคุณภาพ ตลอดจนมีการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคมและมีการสร้างการเติบโต บนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมทั้งเป็นภาครัฐของประชาชนเพื่อประชาชนและยึดถือประโยชน์ส่วนรวม

ทั้งนี้ (ร่าง) ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ประกอบด้วย แกนหลักสำคัญของยุทธศาสตร์ 6 ด้าน ได้แก่ 1.ด้านความมั่นคง 2.ด้านการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน 3.ด้านการพัฒนาคนและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ 4.ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม 5.ด้านการสร้างความเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และ 6.ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ

People unity news online : post 23 พฤษภาคม 2561 เวลา 10.00 น.

มท.ขยายผลวิทยากรประวัติศาสตร์ชาติไทยประจำท้องถิ่น

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 23 มีนาคม 2567 มหาดไทยเดินหน้าขยายผลวิทยากรประวัติศาสตร์ชาติไทยประจำท้องถิ่น ประสานทุกจังหวัดต่อยอดองค์ความรู้จาก “ครู ก” ถ่ายทอดสู่ “ครู ข” ระดับอำเภอ เพื่อบ่มเพาะหนุนเสริมจิตสำนึกความเป็นไทย สร้างพลเมืองดีของสังคม เพื่อธำรงไว้ซึ่งสถาบันหลักของชาติอย่างยั่งยืน

นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า กระทรวงมหาดไทยได้ดำเนินโครงการอบรมวิทยากรเพื่อทำหน้าที่ผู้ถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ชาติไทยประจำท้องถิ่นระดับจังหวัด (ครู ก) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 จำนวน 18 รุ่น จำนวน 2,190 คน สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติด้านความมั่นคง นโยบายกระทรวงมหาดไทย และบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงแรงงาน และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม มุ่งหวังผลิตทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพ สร้างจิตสำนึกความเป็นไทย หนุนเสริมความมั่นคงของประเทศให้มีความเจริญรุ่งเรือง เพราะการที่พี่น้องประชาชนทุกช่วงวัยเข้าใจในรากฐานวัฒนธรรมไทย และเกิดความรัก ความผูกพัน ความภาคภูมิใจในประวัติศาสตร์ชาติไทย มีคุณธรรม จริยธรรม เป็นพลเมืองที่ดีของประเทศ

นายสุทธิพงษ์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทย โดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ได้แจ้งไปยังจังหวัดทุกจังหวัดประสานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่ง คัดเลือกบุคลากรในสังกัดอย่างน้อยแห่งละ 1 คน โดยหากเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีสถานศึกษาในสังกัด ประเภทโรงเรียนและวิทยาลัย ให้ผู้บริหารสถานศึกษาพิจารณาคัดเลือกครูผู้สอนอย่างน้อยแห่งละ 1 คน เพื่อทำหน้าที่เป็นผู้ถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ชาติไทยประจำท้องถิ่นระดับอำเภอ (ครู ข) หรือผู้เล่าเรื่องประวัติศาสตร์ชาติไทยประจำท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตลอดจนสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ของ ครู ก ในการขยายผลให้ครอบคลุมทุกพื้นที่

“เพื่อให้การขับเคลื่อนตามประกาศเจตนารมณ์ในการผลิตทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพ สร้างจิตสำนึกความเป็นไทย ขับเคลื่อนได้อย่างต่อเนื่องเกิดผลเป็นรูปธรรม และมีการนำองค์ความรู้ไปประยุกต์ ขยายผล และต่อยอดการพัฒนาเชิงพื้นที่ ตามแนวนโยบายยุทธศาสตร์ชาติด้านความมั่นคง และนโยบายสำคัญของกระทรวงมหาดไทยที่มุ่งเน้นพัฒนาเสริมสร้างความจงรักภักดีต่อสถาบันหลักของชาติ ปลูกจิตสำนึกให้คนในชาติมีความภาคภูมิใจในประวัติศาสตร์ชาติไทย รู้รัก สามัคคี รู้จักหน้าที่ของตนเอง และดำเนินชีวิตโดยยึดมั่นในคุณธรรม

กระทรวงมหาดไทยจึงได้แจ้งไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดให้จัดการอบรมขยายผลวิทยากรเพื่อทำหน้าที่ผู้ถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ชาติไทยประจำท้องถิ่นระดับอำเภอ (ครู ข) และรับสมัครกลุ่มเป้าหมายผู้เข้ารับการอบรมจากทุกอำเภอ โดยเชิญครูผู้สอนตามโครงการฝึกอบรมวิทยากรเพื่อทำหน้าที่ผู้ถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ชาติไทยประจำท้องถิ่น ทำหน้าที่เป็นครูผู้สอน และเชิญผู้ถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ชาติไทยประจำท้องถิ่นระดับจังหวัด (ครู ก) ซึ่งผ่านการอบรมฯ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ทั้ง 18 รุ่น ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยครูผู้สอน โดยสำนักงานจังหวัดร่วมกับสำนักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจังหวัดบูรณาการภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องดำเนินการ รวมทั้งพิจารณาบรรจุโครงการในลักษณะนี้ไว้ในแผนพัฒนาจังหวัดหรือแผนพัฒนากลุ่มจังหวัด เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง อันเป็นการเสริมสร้างรากฐานความมั่นคงของชาติผ่านกระบวนการทางการเรียนรู้และบ่มเพาะต่อยอดประวัติศาสตร์ชาติไทย”

“ขอให้นำโครงการอบรมวิทยากรเพื่อทำหน้าที่ผู้ถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ชาติไทยประจำท้องถิ่นระดับจังหวัด “ครู ก” ไปขยายผลถ่ายทอดให้กับเด็กและเยาวชน ทำให้เกิด “ครู ข” เพื่อไปเพิ่มพูนเผยแพร่ประวัติศาสตร์ชาติไทยและประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ประวัติของบ้านเมืองที่บรรพบุรุษที่เสียสละเลือดเนื้อ หวงแหน ปกป้องบ้านเมืองให้มีแผ่นดินที่แสนจะมีความสุขเป็นที่อยู่อาศัย นอกจากนี้ต้องประชาสัมพันธ์การบรรยายถ่ายทอดของ “ครู ก” ไปเผยแพร่ให้กับประชาชนในพื้นที่ โดยมีการประชุมติดตามทั้งการประชุมของจังหวัด อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน ซึ่งจะเป็นเวทีที่จะขับเคลื่อนประวัติศาสตร์ชาติไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อบ้านเมือง และความเป็นเอกราชของชาติไทย ช่วยกันสนองพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว “ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมีความสุข แก้ไขในสิ่งผิด สืบสานในพระราชปณิธาน ภายใต้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” อย่างยั่งยืน” นายสุทธิพงษ์ กล่าวในช่วงท้าย

Advertisement

รัฐบาลพร้อมส่งเสริม “มวยไทย” ต่อยอดเป็น Soft Power โดดเด่น

People Unity News : 6 มีนาคม 2566 โฆษกรัฐบาลเผย “มวยไทย” ได้รับความนิยมต่อเนื่อง หลายหน่วยงานให้การรับรองและบรรจุเป็นชนิดกีฬาในเวทีระดับสากล พร้อมส่งเสริม พัฒนาต่อยอดเป็น Soft Power ที่โดดเด่นของไทย

นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า “มวยไทย” ศิลปะการต่อสู้และการป้องกันตัวที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของประเทศไทย ได้รับการบรรจุเป็นชนิดกีฬาในการแข่งขัน European Games 2023 ซึ่งจะจัดขึ้นที่ประเทศโปแลนด์ ระหว่างวันที่ 21 มิถุนายน – 2 กรกฎาคม 2566 นี้ สะท้อนความนิยมของมวยไทยในระดับสากล และเป็นความก้าวหน้าสำคัญในการผลักดันมวยไทยเป็น Soft Power ตามนโยบายส่งเสริม Soft Power 5 หมวด (5F) ของรัฐบาล ต่อยอดเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้ประเทศ

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า คณะกรรมการโอลิมปิกยุโรป (The European Olympic Committees: EOC) ประกาศบรรจุมวยไทยเป็นชนิดกีฬาในการแข่งขัน European Games 2023 อย่างเป็นทางการ โดยเห็นว่า มวยไทยเป็นหนึ่งในกีฬาต่อสู้ที่มีการเติบโตเร็วที่สุดในโลกทั้งในแง่ของนักกีฬาและผู้ชม รวมถึงเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายทั่วโลก โดยเฉพาะในยุโรป จึงได้บรรจุมวยไทยเป็นชนิดกีฬาในการแข่งขันฯ อย่างเป็นทางการ โดยจะมีการแข่งขันประเภทชาย 7 รุ่น ประเภทหญิง 7 รุ่น และประเภททีมผสม ซึ่งก่อนการแข่งขันหรือขึ้นชก นักกีฬาจะมีการรำไหว้ครูตามประเพณีของมวยไทยด้วย

นอกจากนี้ “มวยไทย” ซึ่งเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่มีคุณค่าของประเทศไทย ยังได้รับการรับรองจากองค์กรกีฬาที่มีชื่อเสียง อาทิ คณะกรรมการโอลิมปิกสากล (International Olympic Committee: IOC) และล่าสุด คณะกรรมการโอลิมปิกและพาราลิมปิกแห่งสหรัฐอเมริกา (The United States Olympic & Paralympic Committee: USOPC) ได้รับรองมวยไทยเป็นชนิดกีฬาใหม่ เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2566 ที่ผ่านมา

“นายกรัฐมนตรียินดีกีฬามวยไทยได้รับความสนใจและชื่นชอบจากนานาประเทศทั้งเพื่อการแข่งขันในเวทีระหว่างประเทศ และเป็นอีกกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ได้รับความสนใจและชื่นชอบจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ภูมิใจที่มวยไทยได้รับการรับรองและบรรจุเป็นชนิดกีฬาในเวทีการแข่งขันระดับสากลอย่างต่อเนื่อง สะท้อนความสำเร็จตามนโยบายของรัฐบาลที่ได้บูรณาการความร่วมมือกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันส่งเสริมและผลักดันมวยไทย ให้เป็นที่รู้จักในระดับสากล พร้อมพัฒนาต่อยอดเป็น Soft Power ที่มีศักยภาพของประเทศ สร้างชื่อเสียงและรายได้ให้ประเทศ รวมถึงสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืน” นายอนุชา กล่าว

Advertisement

Verified by ExactMetrics