วันที่ 2 พฤษภาคม 2024

เพื่อไทยเปิด 2 นโยบายแรก “เกษตรแบบตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” – “1 ครอบครัว 1 Soft Power”

People Unity News : 10 กันยายน 65 “แพทองธาร” เปิด 2 นโยบายแรก “เกษตรแบบตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” – “1 ครอบครัว 1 Soft Power” อาสาขอเป็นเซลส์แมนขนสินค้าเกษตรไปขายต่างประเทศ

น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และประธานที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม พรรคเพื่อไทย กล่าวบนเวที “สะบัดชัย เพื่อไทยมาเหนือ”ว่า วันนี้รู้สึกดีใจ และเป็นเกียรติที่ได้มาปราศรัยที่ จ.เชียงใหม่ ตั้งแต่ลงเครื่องก็มีความสุข เพราะเชียงใหม่ คือบ้านเกิดของพ่อและอา ทำให้หายคิดถึงกันได้นิดนึง ตอนเด็กๆ เคยมาฟังพ่อปราศรัยที่นี่ รู้สึกตื่นเต้นมาถึงตอนนี้

น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า การพัฒนาเชียงใหม่และภาคเหนือเป็นสิ่งที่เพื่อไทยทำมาโดยตลอด ตนจะคงดำรงเจตนารมย์นี้ต่อไป ตนมีเลือดเนื้อเชื้อไขคนเมือง ไม่มีทางลืมภาคเหนือแน่นอน อยากจะให้ประชาชนทั่วประเทศมั่นใจ ถ้าเพื่อไทยเข้ามาทำงานเมือง เมื่อไหร่จะสร้างความกินดีอยู่ดีให้อย่างแน่นอน เอาหนี้สินเปลี่ยนเป็นการเติมเงินในกระเป๋า วันนี้นำผู้สมัครมามากมาย เพื่อให้เห็นความพร้อม ต่อศึกการเลือกตั้ง วันเลือกตั้งเมื่อไหร่ขอให้กาพรรคเพื่อไทยทุกๆบัตร

น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า4 ปีภายใต้รัฐบาลเพื่อไทย จะทำให้ทุกคนกินดีอยู่ดีอย่างแน่นอน ส่วนคำพูดที่ว่า “เราจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน” ที่ได้ฟังจากชายคนหนึ่งทำให้ทุกคนรู้สึกเจ็บปวด แต่ผู้หญิงคนนี้และพรรคเพื่อไทยจะทำได้ อย่างแน่นอน เหมือนที่เคยทำมาแล้ว

น.ส.แพทองธาร ยังกล่าวว่า วันตนตื่นเต้น แต่ก็รู้สึกมีความสุขจากกำลังจากทุกคน โดยเฉพาะคุณแม่ แม้รู้ดีว่าศึกหน้าจะหนัก แต่วันนี้เพื่อไทยลั่นกองสะบัดชัยเพื่อประกาศความพร้อมให้ทุกคนรับทราบ หลายคนบอกกับตนรวมถึง นายทักษิณ ว่า ใครจะมาเป็นนายกฯ จะต้องทำงานหนักอย่างมากในรัฐบาลหน้า เพราะรัฐบาลนี้ทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย ประเทศหยุดนิ่ง พัฒนาล่าช้า ยาเสพติดเต็มไปหมด จับตรงไหนก็มีปัญหา แต่ตนมั่นใจว่าประสบการณ์ของบุคคลากรของพรรคจะพัฒนา ถ้าได้โอกาสจากประชาชนแบบแลนด์สไลด์ พรรคเพื่อไทยจะเป็นตำตอบของทุกปัญหา

ทั้งนี้พรรคเพื่อไทย จะเริ่มทำจากปัญหาระยะสั่น คือการลดรายจ่ายให้ประชาชน จะต้องมำให้ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น ระบบราชการต้องเข้าถึงได้ง่าย จะต้องมีระบบออนไลน์ One stop service ทั่วทุกจังหวัด จะต้องมีการกระจายอำนาจ ความเจริญจะต้องมีทั่วทุกจังหวัด จะต้องมีโอกาสที่จะขจัดหนี้ของประชาชนให้ออกไปจากชีวิต

น.ส.แพทองธาร กล่าวอีกว่า วันนี้ตนขอเสนอนโยบายหลักๆ2 ข้อในวันนี้ คือนโยบายการเกษตร ต้องการจะเอา “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” ซึ่งตนก็มีที่ปรึกษาเรื่องการตลาด จากคนที่ทุกคนที่รู้ว่าใคร และตนก็จะรับเป็นเซลล์ไปขายสินค้าของเกษตรกรให้กับต่างประเทศ เมื่อเกษตรกรมีกินมีใช้ ก็จะส่งผลต่อระบบทั้งประเทศ

นอกจากนี้ยังมี นโยบาย “1 ครอบครัว 1ซอฟต์พาวเวอร์” เป็นการส่งเสริมศักยภาพของประชาชนทุกอาชีพ คนไทยสามารถปรับตัวเอง ให้เข้ากับทุกวัฒนธรรม และรู้จักพลิกแพลง พรรคเพื่อไทยมองเห็นโอกาส ว่าจะสามารถทำตรงนี้ได้ หากตอนนี้มี20ล้านครอบครัว จะหาครอบครัวละ1คน ก็ได้ 20 ล้านคนจะนำคนเหล่านั้นมาเจียระไน ฝึกฝน เพื่อสร้างรายได้และดูแลครอบอย่างมีเกียรติมีศักดิ์ศรี ตอนนี้อยากให้ประชาชน กรอกรายละเอียดในเว็บไซต์ ว่าใครในครอบครังเป็นที่มีศักยภาพด้านใดบ้าง หากต่อไปในอนาคตเพื่อไทยได้มีโอกาส ก็จะเอาข้อมูลตรงนี้ไปต่อยอด จัดให้มีหน่วยงานดูแล จัดคัดแยกบุคคลตามศักยภาพด้านต่างๆ โดยผู้เป็นนายกฯจะเป็นผู้ดูแล รัฐจะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด 20 ล้านคนจะเป็นเเรงงานสำคัญที่จะทำให้ครอบครัวของเขามีกินมีใช้ อย่างมีเกียรติ

Advertisement

“จุรินทร์” นำ “พาณิชย์-เกษตร” เชื่อม Big Data สินค้าเกษตร

People Unity News : “จุรินทร์”นำพาณิชย์-เกษตร ร่วมมือเชื่อมฐานข้อมูลสินค้าเกษตร Big Data สำคัญ 5 รายการทั้ง ข้าว ปาล์มน้ำมัน ยางพารา มันสำปะหลัง และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์

วันที่ 12 พฤศจิกายน 2562 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์ ประชุมหารือร่วมกัน เพื่อกำหนดแนวทางความร่วมมือบูรณาการในระดับส่วนกลาง เรื่องเชื่อมโยงฐานข้อมูลสินค้าเกษตร (Big Data) ในระดับจังหวัด ระดับภูมิภาค และระดับประเทศเพื่อใช้ในการบริหารจัดการทั้งระบบเพื่อให้สินค้าเกษตรที่ผลิตได้มีความสมดุล ทั้งในด้านปริมาณความต้องการซื้อ และความต้องการขายซึ่งจะส่งผลให้สินค้าเกษตรมีเสถียรภาพด้านราคาทำให้เกษตรกรมีรายได้ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

นายจุรินทร์ กล่าวว่า ในส่วนกระทรวงพาณิชย์ ได้มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า(สนค.) ให้จัดทำระบบกำกับและติดตามนโยบายด้านการบริหารจัดการสินค้าเกษตรสำคัญ 5 รายการ ได้แก่ ข้าว ปาล์มน้ำมัน ยางพารา มันสำปะหลัง และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เพื่อนำมาศึกษาวิเคราะห์สำหรับประกอบการตัดสินใจเชิงนโยบายและยุทธศาสตร์ของผู้บริหารระดับสูงของกระทรวง และ สนค. ได้หารือร่วมกับผู้อำนวยการและเจ้าหน้าที่ศูนย์เทคโนโลยีสาระสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัด กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เกี่ยวกับแนวทางการจัดทำ MOU ด้านการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างกระทรวงพาณิชย์กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

โดยการดำเนินการเริ่มจากด้านการบริหารจัดการสินค้าเกษตรทั้งระบบเพื่อให้สินค้าเกษตรที่ผลิตได้มีความสมดุล ทั้งในด้านปริมาณความต้องการซื้อและความต้องการขาย ซึ่งจะส่งผลให้สินค้าเกษตรมีเสถียรภาพด้านราคา และจัดเตรียมข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบที่พร้อมเชื่อมโยงสู่ระบบฐานข้อมูล เพื่อนำไปสู่การจัดทำระบบกำกับ และติดตามนโยบาย ซึ่งจะเป็นกลไกในการขับเคลื่อนไปสู่การกำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์ในการบริหารจัดการสินค้าเกษตรทั้งระบบต่อไป

สำหรับรายละเอียดของ MOU หรือข้อตกลง คือ ส่งเสริมสนับสนุนการเชื่อมโยงข้อมูลเชิงลึกเพื่อใช้ในการตัดสินใจกำหนดนโยบาย และยุทธศาสตร์ ด้านการบริหารจัดการสินค้าเกษตรทั้งระบบ รวมถึงการปลดล๊อคเงื่อนไข หรือกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการใช้ประโยชน์ข้อมูลเพื่อการตัดสินใจภาครัฐ ร่วมกันพัฒนาและดำเนินการปรับเปลี่ยนรูปแบบการเก็บข้อมูล ที่สนับสนุนการใช้ปัญญาประดิษฐ์ รวมถึงพัฒนาฐานข้อมูลกลางให้มีมาตรฐานร่วมกัน เพื่อสร้างการเชื่อมโยงข้อมูลที่มีความต่อเนื่องทันสมัย และเป็นอัตโนมัติ ร่วมกันออกแบบ กระบวนการบริหารจัดการข้อมูลที่เป็นความลับ โดยทั้งสองฝ่ายจะใช้ข้อมูลดังกล่าวสำหรับการประมวลผล และวิเคราะห์สำหรับประกอบการตัดสินใจเชิงนโยบาย และยุทธศาสตร์ สำหรับผู้บริหารระดับสูง โดยจะรักษาความลับ และไม่เปิดเผยไม่ว่ากรณีใด เว้นแต่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากหน่วยงานเจ้าของข้อมูล ต่อไปคือให้จัดตั้งทีมงานด้านเทคนิคและข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อดำเนินการขับเคลื่อนการดำเนินการ ตามประเด็นความร่วมมือ ให้บรรลุผลโดยเร็วและมีประสิทธิภาพ

“การจัดทำบิ๊กดาต้าราวมกันนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับการแก้ไขปัญหาประชาชนได้ทันเวลาและตรงกับยุทธศาสตร์ง่ายต่อการตัดสินใจทางนโยบายและสำหรับประเทศไทยซึ่งเป็นพื้นมีสินค้าเกษตรจำนวนมากต้องบูรณาการระหว่างกระทรวง” นายจุรินทร์ กล่าว

โฆษณา

“เพื่อแม้ว”ยันไม่มีอุปาทานคนจะมาเป็นประธาน กมธ.ศึกษาแก้ รธน.

People Unity News : “เพื่อแม้ว”ยันไม่ยึดติดตัวคนจะมาเป็นประธาน กมธ ศึกษาแก้ รธน. เพราะสาระอยู่ที่แนวคิดและความจริงใจของแต่ละฝ่าย

วันที่ 4 พฤศจิกายน 2562 นายนพดล ปัทมะ อดีต รมว ต่างประเทศ กล่าวถึงการที่สภาจะพิจารณาญัตติตั้ง กมธ.ไปศึกษาวิธีการแก้ไข รธน. และขณะนี้มีการพูดถึงชื่อตัวบุคคลที่จะมานั่งเป็นประธาน กมธ. ชุดดังกล่าวว่า พรรคเพื่อไทยไม่ได้ยึดติดตัวบุคคลที่จะเป็นประธาน แต่ให้ความสำคัญกับแก่นสาระและแนวคิด รวมทั้งความจริงใจของพรรคการเมืองทุกพรรคในสภา ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน ว่าจะเห็นปัญหาและประเด็นที่ควรได้รับการแก้ไขหรือไม่ ซึ่งการพิจารณาของกรรมาธิการฯคงต้องไปพิจารณาว่า

1. จะมีการแก้ รธน. ให้มีการเลือกตั้งตัวแทนประชาชนมาร่าง รธน. ในรูป สภาร่าง รธน หรือ สสร. ตามที่พรรคฝ่ายค้านเสนอหรือไม่ หรือ 2. จะแก้ไขมาตรา 256 โดยลดเงื่อนไขให้การแก้ไขรธน. ยากน้อยลง เช่นที่เคยบัญญัติไว้ใน รธน ปี 2550 คือใช้เสียงกึ่งหนึ่งของจำนวน สส. และ สว.

หรือ 3. อาจมีการเสนอแก้ไขในประเด็นอื่นตามที่รัฐสภาเห็นชอบ “การมีการเลือกตั้งที่เป็นธรรมและสะท้อนเจตจำนงของประชาชน การมีรัฐบาลที่เข้มแข็ง และสามารถแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชนได้นั้นขึ้นอยู่กับบทบัญญัติของ รธน. ตนเชื่อว่าพรรคการเมืองทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านและ สว. จะยึดเอาประโยชน์ของคนไทยและประเทศไทย และร่วมกันหาทางออกเพื่อให้ประเทศเดินหน้าเต็มศักยภาพและนำความรุ่งเรืองและมาสู่คนไทยทุกคน”

“บิ๊กตู่”บอกจะไม่พูดเรื่องถวายสัตย์ฯไม่ครบอีก ย้ำขอรับผิดชอบคนเดียว รบ.ต้องทำงานต่อให้ได้

People Unity : นายกรัฐมนตรี ยืนยัน กรณีกล่าวถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบ ขอรับผิดชอบเพียงผู้เดียว ย้ำทำทุกอย่างเต็มที่แล้ว พร้อมมุ่งหวังให้ทุกคนทำงานต่อไป

8 สิงหาคม 2562 – พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชี้แจงนโยบายเร่งด่วนแก่หัวหน้าส่วนราชการ โดยตอนหนึ่งกล่าวถึงประเด็นเรื่องของรัฐธรรมนูญที่ขณะนี้กังวลว่าจะทำอย่างไรให้ทำงานได้ โดยบอกว่าพร้อมขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว และขอโทษรัฐมนตรี ยืนยันทำทุกอย่างเต็มที่แล้ว พร้อมมุ่งหวังให้ทุกคนทำงานต่อไป และต้องไปศึกษารัฐธรรมนูญว่าเขียนไว้อย่างไร

นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญของไทยมีมาแล้วหลายฉบับ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในแต่ละช่วง ซึ่งรัฐธรรมนูญทำให้ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยและเป็นสากล แต่สำคัญที่สุด ปัญหาไม่ได้อยู่ที่รัฐธรรมนูญ แต่คือการนำไปสู่การปฏิบัติ ซึ่งทั้งหมดอยู่ที่ตัวผู้ปฏิบัติว่าจะทำอย่างไรให้เกิดผลสัมฤทธิ์ ต้องทำด้วยความสุจริต ไม่เอื้อประโยชน์ หรือทำให้เกิดความขัดแย้ง ส่วนประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น มีกฎหมายและกรอบไว้แล้ว ซึ่งตนเองไม่ขัดข้อง แต่ต้องสอบถามประชาชนด้วยว่าถ้าแก้แล้วได้ประโยชน์อย่างไร ทั้งนี้ตนเองมีความสุขกับการทำงานและเห็นความตั้งใจที่ทุกคนจะทำงานเพื่อประชาชน ฝากพรรคร่วมรัฐบาลและฝ่ายค้านต้องทำงานให้ประชาชนเป็นสำคัญ ส่วนเรื่องอื่นๆก็ให้เป็นเรื่องการเมืองไป

ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรี กล่าวย้ำว่า วันนี้เป็นเวทีที่จะทำให้ข้าราชการได้พบปะกับคณะรัฐมนตรี เชื่อมั่นว่าคนทุกคนคาดหวังว่าประเทศไทยจะเดินหน้าไปได้อย่างไร ด้วยความสงบเรียบร้อย ซึ่งเรื่องใดก็ตามที่บกพร่องและมีปัญหา ก็ต้องขอโทษ และรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว แต่อย่างไรก็ตามประเทศต้องเดินหน้าและรัฐบาลนี้ต้องทำงานให้ได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ตนเองเชื่อมั่นและตั้งใจไว้ โดยจะไม่ตอบคำถามเรื่องนี้อีกแล้ว

การเมือง : “บิ๊กตู่” บอกจะไม่พูดเรื่องถวายสัตย์ฯไม่ครบอีกแล้ว ย้ำขอรับผิดชอบคนเดียว รัฐบาลต้องทำงานต่อไปให้ได้

People Unity : post 8 สิงหาคม 2562 เวลา 11.00 น.

โฆษกเผยเงินเดือนนายกฯ และ ครม. นำไปทำ “ถุงกำลังใจ” แจกให้ “กลุ่มเปราะบาง”

People Unity News : โฆษกเผยเงินเดือนนายกฯ และ ครม. ส่วนหนึ่ง นำไปจัดทำ “ถุงกำลังใจ” ส่งมอบให้ “กลุ่มเปราะบาง” กว่า 6,800 ราย ในพื้นที่ กทม.และปริมณฑล รวมทั้งจะได้นำเงินไปช่วยเหลือด้านอื่นต่อไป

21 ส.ค. 64 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เปิดเผยถึงการส่งมอบ “ถุงกำลังใจ” แก่กลุ่มเปราะบาง ซึ่งได้แก่ เด็ก ผู้สูงอายุ คนพิการ คนเร่ร่อน คนไร้บ้าน กลุ่มผู้ป่วยติดเตียง และผู้ด้อยโอกาส ตลอดจนผู้ที่มีความเสี่ยงสูงที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid-19) ซึ่งเป็นข้อริเริ่มของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมให้จัดทำ “ถุงกำลังใจ” เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยวิกฤตโควิด-19 นอกเหนือจากมาตรการต่างๆของภาครัฐที่มีอยู่แล้ว ทั้งนี้ สำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีได้นำเงินเดือนของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีที่ร่วมบริจาค รวมถึงทีมโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นำเงินเดือนที่บริจาคเข้าบัญชี “สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อรับบริจาคสนับสนุนการแก้ไขปัญหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)” มาดำเนินการจัดทำ “ถุงกำลังใจ” เพื่อส่งมอบให้แก่กลุ่มเปราะบางดังกล่าว นอกจากนี้ ยังมีภาคเอกชนและประชาชนได้บริจาคเพิ่มเติม เพื่อแสดงน้ำใจร่วมกับภาครัฐและนายกรัฐมนตรี ในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยวิกฤตโควิด-19 ด้วย

“ถุงกำลังใจ” บรรจุเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็นแก่การดำรงชีวิต อาทิ ข้าวสาร อาหารแห้ง แอลกอฮอล์เจล หน้ากากอนามัย และยาสมุนไพรฟ้าทะลายโจร มอบให้แก่กลุ่มเปราะบาง ซึ่งได้ดำเนินการแจกจ่ายแล้วใน 50 เขตพื้นที่ ตั้งแต่วันที่ 4 – 19 สิงหาคม 2564 รวมเป็นจำนวน 5,000 ราย แบ่งเป็นการส่งมอบจากการลงพื้นที่ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ปลัดกระทรวง พม. ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี คณะผู้บริหารกระทรวง พม. และอาสาสมัคร ใน 26 เขต จำนวน 2,800 ราย และส่งผ่านบริษัทไปรษณีย์ไทยไปยัง 24 เขต จำนวน 2,200 ราย และจะแจกจ่ายเพิ่มเติมอีก 1,800 ราย เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายทั้งหมดประมาณ 6,800 ราย ซึ่งจะดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุดเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน และจะพิจารณาดำเนินการช่วยเหลือด้านอื่นๆต่อไป

ปัจจุบัน บัญชี “สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อรับบริจาคสนับสนุนการแก้ไขปัญหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)” บริหารโดยคณะกรรมการฯ พิจารณาจัดสรรเงินเพื่อนำไปช่วยเหลือบุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง กลุ่มเปราะบาง และประชาชนผู้ได้รับผลกระทบในจังหวัดพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด และจังหวัดต่างๆทั่วประเทศ

“การช่วยเหลือประชาชนทุกกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์วิกฤตโควิด-19 เป็นไปตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี ที่มีความห่วงใยและต้องการส่งกำลังใจให้แก่ประชาชนกลุ่มเปราะบางในช่วงเวลาวิกฤตขณะนี้” นายอนุชากล่าว

Advertising

จ่อเสนอ “ครูบาเจ้าศรีวิชัย” เป็นบุคคลสำคัญของโลก

People Unity News : 17 มีนาคม 2566 เชียงใหม่ – นายกฯ สนับสนุนข้อเสนอการสนับสนุนแผนแม่บทโครงการเสนอชื่อ ครูบาเจ้าศรีวิชัย เป็นบุคคลสำคัญของโลก

ที่วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร ตำบลสุเทพ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์ โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับฟังข้อเสนอการสนับสนุนแผนแม่บทโครงการเสนอชื่อครูบาเจ้าศรีวิชัยเป็นบุคคลสำคัญของโลก กลุ่ม 10 จังหวัดภาคเหนือ จากพระเทพรัตนนายก เจ้าอาวาสวัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร จังหวัดลําพูน ในฐานะประธานมูลนิธิครูบาเจ้าศรีวิชัย

ภายหลังรับฟังบรรยายสรุป นายกรัฐมนตรีกล่าวมอบนโยบายตอนหนึ่งว่า รัฐบาลพร้อมสนับสนุน โครงการเสนอชื่อครูบาเจ้าศรีวิชัยเป็นบุคคลสำคัญของโลก พร้อมกล่าวชื่นชมว่าเป็นโครงการที่ดี เป็นการเชิดชูยกย่องบุคคลสำคัญของประเทศไทย ซึ่งครูบาศรีวิชัยเป็นพระภิกษุรูปหนึ่งที่เป็นที่เคารพบูชาอย่างยิ่งของพุทธศาสนิกชนชาวล้านนา เป็นแบบอย่างในการมีอุดมคติที่มุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวในการปฏิบัติตามพระธรรมไทยทั่วประเทศ และเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณในการอุทิศตนเพื่อบำรุงพระธรรมวินัยโดยได้นำธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมมาพุทธเจ้าเป็นแบบอย่างในการเสียสละ อดทนอดกลั้นในการบำรุงพระพุทธศาสนา ทำให้พุทธศาสนิกชนที่เดินทางตามแนวทางการปฏิบัติของท่าน มีความสามัคคีในหมู่คณะ มีความเสียสละเพื่อส่วนรวม เอื้ออาทรต่อกัน อยู่ร่วมกันอย่างสันติ แม้เกิดปัญหาก็จะแก้ไขปัญหาด้วยขันติธรรมและปัญญา

นายกรัฐมนตรี สั่งการให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงวัฒนธรรม รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันดำเนินการ โดยมอบหมายให้กระทรวงวัฒนธรรมเป็นเจ้าภาพหลักในการจัดทำแผนและรายละเอียดต่างๆ ให้ครอบคลุมและชัดเจน และเตรียมพร้อมการนำเสนอต่อการพิจารณา

ด้านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม รายงานต่อที่ประชุมว่า กระทรวงวัฒนธรรมได้เตรียมแผนดำเนินการไว้เรียบร้อยแล้ว ทั้งในส่วนของงบประมาณและรายละเอียดการนำเสนอ มีความพร้อมเป็นอย่างมาก

นายกรัฐมนตรี ขอบคุณในความร่วมมือของทุกภาคส่วน พร้อมกล่าวย้ำว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาหลักของคนไทย สอนให้คนเป็นคนดีมีความรักความสามัคคี และอยู่ร่วมกันได้ด้วยความสงบ สถาบันศาสนามีส่วนสำคัญต่อจิตใจของประชาชน ฝากให้วัดช่วยกันทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา สร้างความศรัทธา เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของประชาชน

พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้ผู้นำท้องถิ่น หัวหน้าส่วนราชการ เร่งทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ ช่วยกันแก้ไขปัญหาการเผาป่า ลดมลพิษสร้างอากาศที่ดีให้กลับคืนมา ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ง่าย แต่ก็ไม่มีอะไรที่จะทำไม่ได้ ถ้าทุกคนร่วมมือกัน เพราะทุกคนคือคนไทย ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนต้องรักประเทศไทย ส่วนใครจะรักหรือไม่รักตนเองก็ไม่เป็นไร

Advertisement

“บิ๊กตู่”ฉุนขาด!รบ.แพ้โหวต ทวงสัญญาลูกผู้ชายพรรคร่วม

People Unity News : “บิ๊กตู่”ชี้รบ.แพ้โหวต ไม่เกี่ยวเสถียรภาพรัฐบาล ทวงสัญญาลูกผู้ชายพรรคร่วม ต้องร่วมรัฐบาลจริง ไม่ใช่หวังผลเลือกตั้งในอนาคต รับต้องมีนัดทานข้าว  “นิพิฏฐ์” เห็นใจ 6 ส.ส.ปชป.โหวตญัตติตัวเองแต่สวนมติวิปแนะยืดหยุ่นแทนบังคับ

วันที่ 28 พฤศจิกายน 2562 ที่กระทรวงกลาโหม พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลแพ้โหวตในสภา ในการลงมติตั้งกรรมาธิการวิสามัญ เพื่อศึกษาผลกระทบ จากการทำประกาศ หรือคำสั่ง ของ คสช. และอำนาจการใช้คำสั่ง ตามมาตรา 44 พลเอกประยุทธ์กล่าวว่า ตรงนี้เป็นเรื่องธรรมดา ซึ่งตนได้ติดตามดู เห็นว่าพรรคร่วมหลายคนติดราชการ บางคนไปต่างประเทศกับตนเอง ก็เลยมาโหวตไม่ทันอะไรทำนองนี้ ถ้ามีการโหวตใหม่ก็ว่ากันไป ตามกลไกลของสภา คงไม่ใช่เรื่องเสถียรภาพของรัฐบาลไม่มั่นคง

“ผมยังเชื่อมั่นตรงนี้ว่ายังมั่นคงอยู่ ผมถือว่าผมเป็นทหารเก่า ฉะนั้นถือว่าสัญญา ลูกผู้ชายสุภาพบุรุษสำคัญที่สุด การเป็นพรรคร่วมรัฐบาลก็ต้องร่วมรัฐบาลจริงๆ ในสิ่งที่รัฐบาลทำสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ใช่ต่อสู้กันทางการเมืองอย่างเดียวมันไม่ได้ หรือจะมองอนาคตวันข้างหน้าเรื่องการเลือกตั้ง มันยังมาไม่ถึงตอนนี้ ถึงเวลาก็ค่อยว่าอีกทีในตอนนั้น แต่วันนี้บ้านเมืองกำลังมีปัญหาเศรษฐกิจ ความมั่นคง ความขัดแย้ง ของสงครามการค้า เราจะไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องเหล่านี้เลยหรือ โจมตีกันไปมามันไม่เกิดประโยชน์ อะไรกับใครทั้งสิ้น แม้กระทั่งกับพรรคการเมืองของตนเอง ก็ไม่เกิดประชาชนเรียนรู้ และเชื่อว่าประชาชนจะตัดสินใจได้เองในวันข้างหน้า ในการเลือกตั้ง” นายกฯกล่าวว่า

เมื่อถามว่า จะมีการนัดแกนนำพรรคร่วมหารือหรือไม่ นายกฯกล่าวว่า ต้องมีการทานข้าวแต่ต้องหาเวลาก่อน

นายกฯกล่าวอีกว่า การทำงานอย่ามองว่ารัฐบาลสอนให้คนขี้เกียจ เราต้องมองคนที่เขาไม่มีจะทำยังไง และทำอย่างไรให้คนซื้อสินค้าที่ผลิตออกมา ถ้าไม่มคนซื้อโรงงานก็ปิดอีก ปัญหามันจะพันกัน ดังนั้นขอให้เข้าใจด้วยในเรื่องเหล่านี้ ทุกพรรคไม่ว่าจะฝ่ายค้านหรือรัฐบาลลองเสนอมา ว่าควรจะต้องทำอะไร แต่ถ้าโจมตีกัน มันไม่ได้อะไรขึ้นมา เพื่อที่จะได้เห็นว่าสภาของเรา ส.ส.ของเรามีคุณภาพมากขึ้น ในวันนี้และอนาคต อย่างที่ทุกคนคาดหวัง ที่อยากให้มีการเลือกตั้ง ซึ่งตนได้ผ่านช่วงเวลานั้นให้มาแล้ว ฉะนั้นเราต้องปรับตัวเองใหม่เหมือนกัน จะทำอะไรแบบเดิมๆ หรือการเมืองแบบเดิมๆไม่ได้ เพราะมันจะไม่ยั่งยืน

นายกฯกล่าวว่า การที่ออกมาตำหนิเรื่องการแก้ไขเศรษฐกิจ ขอถามว่า ที่ติเตือนมาทั้งหมด สิ่งเหล่านี้ ท่านเคยทำหรือเปล่า ท่านก็เคยทำมา แล้วมีอะไรใหม่ๆที่รัฐบาลนี้ทำหรือไม่ ซึ่งมันก็มี การสร้างความเข้มแข็งก็มี เอาคนมาฝึก เรียนรู้ การค้าขายออนไลน์ เรื่องแรงงานก็ทำ มีการฝึกอบรม มาจรการรองรับการตกงานถ้าไม่ร่วมมือกันมันก็ไม่เกิดขึ้น ทั้งหมดไม่ว่ารัฐบาลไหนก็ทำไม่ได้ ทุกประเทศเขาทำหมด

“นิพิฏฐ์” เห็นใจ 6 ส.ส.ปชป.โหวตญัตติตัวเองแต่สวนมติวิปแนะยืดหยุ่นแทนบังคับ

นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการประชุมกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ในวันพรุ่งนี้ (29 พ.ย.62) ว่า เป็นวาระที่กำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว ไม่ใช่การประชุมนัดพิเศษเพื่อพิจารณาการโหวตสวนมติวิปรัฐบาลของ 6 ส.ส. กรณีตั้งกรรมาธิการวิสามัญศึกษาการใช้อำนาจตามมาตรา 44 แต่อย่างใด เพราะเรื่องการลงมติของส.ส.ต้องพิจารณากันในที่ประชุมส.ส. โดยส่วนตัวเห็นว่าพรรคควรเห็นใจส.ส.ทั้ง 6 คน เนื่องจากที่ประชุมส.ส.เป็นคนอนุมัติให้มีการเสนอญัตติให้มีการตั้งกรรมาธิการฯ เมื่อส.ส.ยืนยันลงคะแนนตามญัตติที่ส.ส.ของพรรคเสนอต่อสภาก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผล ไม่ได้มีเรื่องการเมืองใดเข้ามาเกี่ยวข้อง

“วิปของพรรคควรทำความเข้าใจกับวิปรัฐบาลถึงสาเหตุที่เกิดขึ้น และควรมีความยืดหยุ่นในการทำงานมากกว่าการใช้มติวิปมาบังคับ เพราะส.ส.เองก็ไม่มีทางเลือกต้องยืนยันสิ่งที่ตัวเองเสนอเช่นเดียวกัน” นายนิพิฏฐ์ กล่าว

“ธนาธร”ลั่นต้องทะเยอทะยาน! แก้รธน.60 เพื่อคนรุ่นต่อไป

People Unity News : “ธนาธร” ลงใต้ชี้รัฐธรรมนูญ 60 ให้อำนาจที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งสูงส่งกว่าอำนาจประชาชน – ไม่แปลกใจจัดสรรงบเอื้อกลุ่มทุน – ลั่นนี่คือเวลาที่ต้องคิดอย่างทะเยอทะยานเพื่อคนรุ่นต่อไป!

วันที่ 2 พฤศจิกายน 2562 ที่โรงแรมชัยคณาธานี จ.พัทลุง เครือข่ายภาคประชาสังคมกลุ่มต่างๆ ในพื้นที่ภาคใต้ ร่วมจัดเวทีเสวนา “แก้ปัญหาปากท้องประชาชน ต้องแก้รัฐธรรมนูญ?” โดย นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ร่วมเวทีเสวนาและรับฟังปัญหาจากเครือข่ายต่างๆ ทั้งนี้ นายธนาธร เริ่มต้นด้วยการถามผู้เข้าร่วมว่า หากสมมุติว่าที่นี่เป็นสภา แล้วเราต้องตัดสินใจว่ามีงบประมาณก้อนหนึ่งประมาณ 2-3 หมื่นล้านบาท จะเอาไปทำอะไร 4 ตัวเลือก 1.เพิ่มเบี้ยเลี้ยงดูบุตรจากคนละ 600 บาทต่อเดือนสำหรับคนจน เป็น 700 บาทต่อเดือนแบบถ้วนหน้า ใช้งบ 1.7 หมื่นล้านบาท 2.นำไปพัฒนาโรงเรียนขนาดเล็ก 10,000 โรงทั่วประเทศ โรงละ 2 ล้านบาท ใช้งบ 2 หมื่นล้านบาท 3.นำไปอุดหนุนค่าสัมปทานให้กับบริษัทโทรคมนาคมที่ได้รับสัมปทานจากรัฐ 2 หมื่นล้านบาท หรือ 4.นำไปซื้อเรือดำน้ำ 3 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ ทุกคนในห้องร่วมกันยกมือให้กับตัวเลือกที่ 1 และ 2 โดยไม่มีใครเลือกตั้งเลือกที่ 3 และ 4 เลยแม้แต่คนเดียวส

ชี้ “อำนาจ” ไม่ได้อยู่กับ ปชช.-งบจึงไม่เคยถึง

นายธนาธร กล่าวว่า หากนี่เป็นสภาจริงๆ เราคงจะได้นำงบประมาณไปพัฒนาสิ่งเหล่านี้ แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า ในความเป็นจริงของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ผ่านมา ได้มีการใช้ ม. 44 ไปลดค่าสัมปทานให้กับทุนคมนาคมไปแล้วกว่า 2 หมื่นล้านบาท และซื้อเรือดำน้ำไปแล้ว 3 หมื่นล้านบาท นี่คือตัวอย่างที่ชัดเจนของอำนาจที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ความจนหรือรวยในประเทศนี้ไม่ใช่เรื่องของบุญทำกรรมแต่ง เหตุผลที่คนส่วนใหญ่ยังยากจนเป็นเพราะพวกเขาไม่มีอำนาจ สิ่งที่เรามานั่งพูดกันวันนี้ รัฐธรรมนูญ 2560 ก็คือเรื่องของอำนาจ

“นี่คือเรื่องอำนาจที่จะเอางบจากภาษีประชาชนกว่า 3 ล้านล้านบาท จะเอาไปใช้เพื่อใคร ถามว่าทำไมในข้อเท็จจริงมันกลับถูกนำไปใช้ในสิ่งที่คนทั้งห้องนี้ไม่ได้เลือกเลย คำตอบเพราะอำนาจไม่ได้อยู่ที่ประชาชน และรัฐธรรมนูญ 60 คือ รัฐธรรมนูญที่บอกว่า อำนาจที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งสูงส่งกว่าอำนาจที่มาจากการเลือกตั้ง นี่คือรัฐธรรมนูญที่ไม่มีอำนาจของประชาชนอยู่ในนั้น ที่มาของอำนาจมาจากไหนอำนาจต้องรับใช้คนกลุ่มนั้น คนที่มีอำนาจในปัจจุบันก็คือกลุ่มคนเดียวกันกับที่รัฐประหารปี 2557 มาจากระบบราชการ กลุ่มทุน ปืนและรถถัง ไม่มีประชาชนเป็นที่มาของอำนาจ พวกเขาจึงออกแบบงบประมาณออกมาแบบนี้ ไปอุ้มกลุ่มทุน ไปหล่อเลี้ยงระบบราชการที่ใหญ่เทอะทะ” นายธนาธร กล่าว

คิดอย่างทะเยอทะยานแก้ รธน.เพื่อคนรุ่นต่อไป

นายธนาธร กล่าวว่า ดังนั้น ถ้าเราอยากเห็นสังคมไทยเดินไปข้างหน้า โดยที่ดอกผลของการพัฒนาได้รับการแจกจ่ายอย่างถ้วนหน้า ถ้าเราอยากเห็นสังคมไทยอยู่ในโลกาภิวัฒน์ได้อย่างเต็มภาคภูมิ ถ้าเราอยากเห็นงบประมาณถูกนำไปใช้เพื่อประชาชน ถ้าเราอยากเห็นสิ่งเหล่านี้ เราต้องแก้รัฐธรรมนูญ ผมว่านี่คือโจทย์ใหญ่ ว่าตกลงอำนาจในประเทศนี้เป็นของใคร อำนาจในการจัดสรรงบประมาณ 3.2 ล้านล้าน ใครควรจะได้เป็นคนจัดสรร นี่คือเวลาที่เราต้องคิดอย่างทะเยอทะยานเพื่อคนรุ่นต่อไป เพื่อให้ปัญหานี้จบในคนรุ่นเรา ว่าอำนาจในการจัดสรรทรัพยากรในประเทศนี้ ควรอยู่ที่ประชาชน และเพื่อจะแก้ปัญหานี้ เราต้องทำให้ประเทศนี้เป็นประชาธิปไตย, ยุติระบบราชการรวมศูนย์ที่ส่วนกลาง,การลดบทบาทของกองทัพ มีการแต่การทำ 3 อย่างนี้เท่านั้น ประเทศไทยถึงจะเดินไปข้างหน้าได้ และจะทำอย่างนี้ได้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าก้าวแรกก็คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

“สองนักศึกษาแม่โจ้” ยื่น “อนาคตใหม่” ปมถูกดำเนินคดีเหตุค้านเหมืองแร่ “อมก๋อย”

People Unity News :  “สองนักศึกษาแม่โจ้” ยื่นหนังสือ “อนาคตใหม่” ในงาน “อยู่ไม่เป็น” ร้องถึง กมธ.สิ่งแวดล้อม-กฎหมาย ขอความเป็นธรรม ปมถูกดำเนินคดีเหตุค้านเหมืองแร่ “อมก๋อย”

เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2562 ที่ เจเจ มอลล์ จตุจักร สองนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยแม่โจ้ เดินทางร่วมงานอยู่ไม่เป็น ที่พรรคอนาคตใหม่จัดขึ้น พร้อมยื่นหนังสือเพื่อขอความเป็นธรรมถึงคณะกรรมาธิการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นประธาน และคณะกรรมาธิการกฎหมาย ยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน ซึ่งมี นายปิยบุตร แสงกนกกุล เป็นประธาน ถึงกรณีผลกระทบจากการเตรียมเปิดเหมืองแร่ถ่านหินในพื้นที่ อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ ซึ่งมีกลุ่มนักศึกษาร่วมลงพื้นที่เก็บข้อมูล ก่อนที่ต่อมาจะถูกแจ้งความดำเนินคดี โดยมี น.ส.เยาวลักษณ์ วงษ์ประภารัตน์ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อพรรคอนาคตใหม่ และกรรมการบริหารพรรค ภาคเหนือ รับหนังสือ

นายวรพล โชติจิรเดชเดชากุล อายุ 22 ปี หนึ่งในนักศึกษาที่เดินทางมายื่นหนังสือกล่าวว่า ตนได้ทราบถึงความวิตกกังวลของกลุ่มชาติพันธุ์ และชาวบ้าน ในบริเวณพื้นที่บ้านกะเบอะดิน ต.อมก๋อย อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ ถึงปัญหาการสร้างเหมืองแร่ถ่านหินในพื้นที่ ซึ่งจะส่งผลต่อวิถีชีวิต กลุ่มชาติพันธุ์ และชาวบ้านในพื้นที่ ด้วยจิตสาธารณะในฐานะนักศึกษา ตนและเพื่อนจึงได้รวบรวมเงินที่มีอยู่อย่างจำกัด เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเดินทางลงไปในพื้นที่เพื่อรับฟังปัญหาและสำรวจข้อเท็จจริงต่างๆ ของชาวบ้านในพื้นที่ โดยมิได้มีเจตนามุ่งร้ายต่อบุคคลใด หรือบริษัทใดบริษัทหนึ่ง แต่หลังจากที่ตนและเพื่อนไปรับฟังปัญหาจากชาวบ้าน เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ชาวบ้านที่ไปพูดคุยได้แจ้งต่อว่า ตนและกลุ่มเพื่อนจะถูกฟ้องดำเนินคดีอาญาข้อหาหมิ่นประมาท จากบริษัทหนึ่ง ทำให้ตนและกลุ่มเพื่อนๆที่มีจิตใจสาธารณะ ต้องขึ้นไปให้การต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่ สภ.อมก๋อย

“ผมและเพื่อนๆเป็นเพียงนักศึกษา การถูกดำเนินคดีและต้องไปให้ปากคำในพื้นที่ห่างไกล หรืออื่นๆที่ต้องใช้ระยะเวลาในชั้นกระบวนการยุติธรรม ส่งผลทั้งค่าใช้จ่าย เวลา ระยะทางทั้งทางตรงและทางอ้อมในการเรียน ผมและเพื่อนจึงได้เดินทางมาเพื่อร้องขอความเป็นธรรมในวันนี้” นายวรพล กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้คดีความของนักศึกษามหาวิทยาลัยแม่โจ้กลุ่มนี้ อยู่ในชั้นของการสืบสวนสอบสวนของตำรวจ ซึ่งจากสถานที่ให้ปากคำคือ สภ.อมก๋อย กับที่พักของนักศึกษาคือห้องพักบริเวณมหาวิทยาลัยแม่โจ้ห่างไกลกัน ทำให้การเดินทางไปให้การกับเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงมีความลำบากเป็นอย่างมาก

นายกฯ ย้ำ บอร์ด Digital Wallet เดินหน้าภายใต้ รธน. และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 15 กุมภาพันธ์ 2567 ทำเนียบ – บอร์ด Digital Wallet เดินหน้าใช้เงิน 5 แสนล้านบาท ภายใต้กฎหมายเกี่ยวข้อง ตั้งอนุกรรมการด้านการตรวจสอบ

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีปละรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ครั้งที่ 1/2567 โดยภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet เป็นหนึ่งในนโยบายที่รัฐบาลได้แถลงต่อรัฐสภา เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและวางรากฐานทางเศรษฐกิจดิจิทัลให้กับประเทศในอนาคต เพื่อให้โครงการฯ นี้ ให้สำเร็จ รัฐบาลมีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณ 500,000 ล้านบาท

นายกรัฐมนตรี กล่าวย้ำว่า รัฐบาลจะดำเนินการโครงการฯ ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยจะปฏิบัติหน้าที่และใช้อำนาจด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต มีความรอบคอบและระมัดระวังในการดำเนินกิจการต่างๆ เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศและประชาชนส่วนรวม รวมทั้งรักษาวินัยการเงินการคลังของรัฐอย่างเคร่งครัด

ที่ประชุมไม่ต้องการให้เกิดข้อห่วงกังวลเรื่องความโปร่งใส ในการดำเนินโครงการ คณะกรรมการไม่ต้องการให้มีข้อครหา ในการดำเนินนโยบายนี้ จึงได้มีมติมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการนโยบายฯ (กระทรวงการคลังและกระทรวงพาณิชย์) เป็นอนุกรรมการร่วมหารือกับฝ่ายต่างๆที่เกี่ยวข้องรวบรวมข้อเท็จจริงเพื่อตอบข้อสังเกตของคณะกรรมการกฤษฎีกา และมอบหมายให้กระทรวง DES และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) (DGA) ศึกษาและดำเนินการตามข้อหารือ และข้อเสนอแนะของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อวางแนวทางการขยายขอบเขตการพัฒนาระบบเพื่อให้เกิดความโปร่งใสและตรวจสอบได้เพื่อป้องการการทุจริต และยังได้แต่งตั้งอนุกรรมการด้านการตรวจสอบการกระทำอันเข้าข่ายการผิดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการฯ

ในการประชุมครั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานฯ ได้รับฟังข้อคิดเห็นของทุกหน่วยงานที่ร่วมการประชุมอย่างทั่วถึง และหลากหลาย โดยทุกส่วนได้แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นกันอย่างเป็นประโยชน์ ถึงขอบเขตปัญหาทางเศรษฐกิจของประชาชน ข้อห่วงกังวล และการออกแบบมาตรการนี้ ที่ประชุมพร้อมนำไปพิจารณา ประมวลความคิดเห็น เพื่อข้อสรุปนำมาหารือกันอีกครั้งในการประชุมครั้งต่อไป

นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวในช่วงท้ายว่า ตลอดเวลาของการเป็นนายกรัฐมนตรีที่ใกล้ชิด เข้าถึงประชาชน เห็นแววตา ความลำบากของประชาชน และต้องการให้ความช่วยเหลือ แต่ไม่ต้องการให้โครงการนี้เกิดการทุจริต จึงตั้งใจที่จะควบคุม เพื่อให้เป็นมาตรการที่เหมาะสม เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศชาติ และประชาชน

Advertisement

Verified by ExactMetrics