วันที่ 15 ตุลาคม 2025

“เพื่อไทย” กางประวัติ “ชัยเกษม” แคนดิเดตนายกฯ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 31 สิงหาคม 2568 “เพื่อไทย” กางประวัติ “ชัยเกษม” แคนดิเดตนายกฯ ชูผสมผสานประสบการณ์ด้านกฎหมาย-การเมือง ยืนหยัดหลักประชาธิปไตยและนิติรัฐ แก้ รธน.60 มุ่งสร้างความเชื่อมั่นกระบวนการยุติธรรม ดันประเทศไทยเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจเฟซบุ๊กพรรคเพื่อไทย โพสต์รูปพร้อมข้อความ ระบุว่า แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี นายชัยเกษม นิติสิริ หนึ่งในบุคคลสำคัญในแวดวงกฎหมายและการเมืองของไทย ด้วยประสบการณ์ยาวนานทั้งในฐานะอัยการสูงสุด และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เขาได้รับการยอมรับว่าเป็นนักกฎหมายที่ยึดมั่นในหลักนิติรัฐ และเคยมีบทบาทโดยตรงในหลายเหตุการณ์สำคัญของประเทศ

ประวัติการศึกษาและเส้นทางการทำงาน

ปริญญาตรี แผนกนิติศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (เกียรตินิยมอันดับสอง), กฎหมายระหว่างประเทศ Columbia University, USA, ได้รับประกาศนียบัตรเนติบัณฑิตไทย จากสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา ก่อนเข้าสู่เส้นทางสายกฎหมายเต็มตัว

งานอัยการ เริ่มรับราชการอัยการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2516 ค่อยๆ ก้าวหน้าจนได้รับตำแหน่งสูงสุดคือ อัยการสูงสุด ระหว่างปี พ.ศ. 2550-2552

งานการเมือง หลังเกษียณราชการ ได้เข้าสู่การเมือง โดยได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2556 มีบทบาทสำคัญในการผลักดันนโยบายด้านกระบวนการยุติธรรม เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย เป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน และที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร

ส่วนประสบการณ์อื่นที่สำคัญ ประธานคณะกรรมการด้านประชาธิปไตย กระบวนการยุติธรรม และความเสมอภาคเท่าเทียม พรรคเพื่อไทย, ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมือง พรรคเพื่อไทย, อดีตประธานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)

สำหรับบทบาททางการเมืองและเหตุการณ์สำคัญ

กับพรรคเพื่อไทย นายชัยเกษม เป็นบุคคลสำคัญที่พรรคให้ความไว้วางใจ และได้รับการเสนอชื่อเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค ในการเลือกตั้ง 2562-2566

การรัฐประหารปี พ.ศ. 2557 ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เขาเป็นหัวหน้าคณะฝ่ายรัฐบาลในการเจรจากับคณะรัฐประหาร ที่สโมสรทหารบก เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ได้ยืนยันจุดยืนของรัฐบาลรักษาการว่าจะไม่ลาออกทั้งคณะและรายบุคคล หลังจากนั้นไม่นาน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศยึดอำนาจ ถือเป็นเหตุการณ์ที่เขามีบทบาทเผชิญหน้าโดยตรง

บทบาทหลังรัฐประหาร ยังคงเคลื่อนไหวทางการเมืองในพรรคเพื่อไทย ได้รับแต่งตั้งเป็นประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมืองของพรรค

จุดยืนทางการเมือง

หลักนิติรัฐ (Rule of Law) ย้ำมาตลอดว่า หลักนิติรัฐคือทางออกของความขัดแย้งทางการเมือง, มองว่าการนำกฎหมายมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง ก่อให้เกิดความแตกแยกและบั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชน

การแก้ไขรัฐธรรมนูญ เห็นว่ารัฐธรรมนูญปี 2560 เป็นอุปสรรคต่อพัฒนาการประชาธิปไตย, สนับสนุนการจัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้ง เพื่อให้ได้รัฐธรรมนูญที่เป็นของประชาชนอย่างแท้จริง, เสนอให้เขียนไว้ชัดเจนว่า “การรัฐประหารเป็นความผิดอาญาฐานกบฏ และไม่มีอายุความ เพื่อป้องกันการยึดอำนาจในอนาคต”

เส้นทางของนายชัยเกษม นิติสิริ เป็นการผสมผสานระหว่างประสบการณ์ด้านกฎหมายกับการเมือง เขายืนหยัดในหลักประชาธิปไตยและนิติรัฐ มุ่งหวังสร้างความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม และผลักดันให้ประเทศไทยเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคงบนเส้นทางประชาธิปไตย

Advertisement

“ธนาธร” ยอมรับคุย “ทักษิณ” มาขอเสียงโหวตหนุน “ชัยเกษม”

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 30 สิงหาคม 2568 “ธนาธร” ยอมรับเมื่อเช้าเจอตัวและคุยกับ “ทักษิณ” เผยมาหารือขอเสียงโหวตหนุน “ชัยเกษม” เป็นนายกฯ โยนพรรค ปชน.ตัดสิน ชี้ประเทศต้องมาก่อน หลัง “สุริยะ-พงศ์กวิน” หวังใช้นามสกุลดีล บอกข้อเสนอของพรรคภูมิใจไทยอยู่บนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว

นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีกระแสข่าวพูดคุยกับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในการจัดตั้งรัฐบาล โดยยอมรับว่า เมื่อช่วงเช้าวันนี้ (30 ส.ค.) ตนเองได้เจอกับนายทักษิณ ต่อหน้า และได้พูดคุยกับนายทักษิณ หลังจากที่ได้รับการติดต่อมาเพื่อขอคุยตั้งแต่เมื่อวาน (29 ส.ค.) ซึ่งนายทักษิณ ได้มาปรึกษาหารือต่อกรณีที่พรรคประชาชนจะยกมือสนับสนุนให้นายชัยเกษม นิติสิริ เป็นนายกรัฐมนตรีได้หรือไม่ และตนได้ตอบไปว่า พรรคประชาชนมีจุดยืนเรื่องนี้อย่างชัดเจน และพรรคประชาชนได้แถลงจุดยืนเรื่องนี้มา 2 เดือนแล้ว ในเรื่องของทีโออาร์ หรือเงื่อนไขของการยกมือสนับสนุนผู้ใดผู้หนึ่งเป็นนายกรัฐมนตรี โดยเงื่อนไข คือ ยุบสภาภายใน 4 เดือน และจัดทำประชามติเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เสร็จ นี่เป็นสิ่งที่ตนเองได้บอกกับนายทักษิณไป

เมื่อถามว่า กังวลว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยหรือไม่ นายธนาธร ระบุว่า พรรคประชาชนมีเงื่อนไขที่ชัดเจน ขึ้นอยู่กับพรรคเพื่อไทยจะยอมรับเงื่อนไขของพรรคประชาชนได้หรือไม่ หากพรรคเพื่อไทยยอมรับเงื่อนไขของพรรคประชาชนได้ ก็ไม่ต้องมาคุยกับตน ไปคุยกับหัวหน้าพรรคได้เลย ซึ่งหัวหน้าพรรคได้ให้สัมภาษณ์ไปแล้วว่า ยังไม่มีการติดต่อหรือนัดหมายจากพรรคเพื่อไทยอย่างเป็นทางการมาที่พรรคประชาชน

นายธนาธร ยังกล่าวถึงกรณีที่นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ และนายพงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ อาจจะทำให้คุยกันในตระกูลจึงรุ่งเรืองกิจ ได้มากกว่านั้น ว่า นายสุริยะเป็นอา และตนเองกับนายพงศ์กวิน เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ด้วยความเคารพทั้งสองท่านเป็นญาติกัน แต่เรื่องปัญหาของบ้านเมืองไม่ได้ใช้จุดนี้มาคุยกัน และยังไม่ได้รับการติดต่อเพื่อพูดคุยจากทั้งสองคน

ส่วนพรรคประชาชนยังไม่ปิดประตูเลือกนายชัยเกษม ใช่หรือไม่ นายธนาธร ระบุว่า หัวหน้าพรรคประชาชนได้ตอบชัดเจนแล้ว

ส่วนพรรคประชาชนจะเลือกพรรคไหนในมุมมองของนายธนาธร เข้าใจว่า เหตุผลที่พรรคประชาชนยื่นทีโออาร์ มีเงื่อนไขขึ้นมา ไม่ได้อยากมีอำนาจหรืออยากเป็นรัฐบาล และพรรคประชาชนยังเป็นฝ่ายค้านเช่นเดิม แต่สิ่งที่พรรคประชาชนต้องการคือ การพาประเทศไปข้างหน้า เพราะด้วยสภาในปัจจุบันไม่มีกลุ่มการเมืองไหนที่มีความชอบธรรม และมีศักยภาพเพียงพอที่จะพาประเทศไปข้างหน้า ไม่มีใครที่จะมีความสามารถในการแก้ปัญหาของประเทศได้ ทั้งการแก้ปัญหายาเสพติด และการฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักลงทุน รวมถึงปัญหาทางการเมือง ดังนั้น ทางที่ดีที่สุดคือ การคืนอำนาจให้พรรคประชาชนด้วยการยุบสภา ทำให้พรรคประชาชนมีเงื่อนไขแค่ 2 ข้อ ตอบโจทย์ปัญหาเฉพาะหน้า และสิ่งที่ต้องการคือ สภาผู้แทนราษฎรชุดใหม่ เพื่อพาประเทศไปข้างหน้า นั่นคือโจทย์ใหญ่ของสังคม

ส่วน 4 เดือน เป็นระยะเวลาการทำประชามติพอหรือไม่ นายธนาธร เชื่อว่า พรรคประชาชนได้คำนวณมาแล้วว่าเพียงพอในการทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ

เมื่อถามว่า ไม่ว่าจะเลือกทางไหน พรรคประชาชนอาจจะเจ็บทั้งคู่ เพราะผู้สนับสนุนไม่อยากได้ทั้งพรรคภูมิใจไทยและพรรคเพื่อไทย นายธนาธร ยืนยันหนักแน่นว่า พรรคเพื่อไทย และพรรคภูมิใจไทย พรรคประชาชน ไม่มีกลุ่มไหนรวมเสียงข้างมาก และจัดตั้งรัฐบาลได้ ดังนั้นต้องสื่อสารกับประชาชนอย่างตรงไปตรงมาว่า สถานการณ์เช่นนี้ การคืนอำนาจให้ประชาชนเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล ส่วนจะเลือกใครก็ต้องดูว่า พรรคไหนมีโอกาสทำสิ่งต่างๆ ได้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นพรรคไหน พรรคประชาชนพร้อมรับฟังข้อเสนอ

เมื่อถามว่า มีความกังวลหรือไม่เรื่องการจะถูกฉีก MOU นายธนาธร ระบุว่า ต้องให้ประชาชนตัดสิน หากพรรคไหนรับเงื่อนไขของพรรคประชาชนไปแล้วไม่ทำตาม ก็ขอให้ประชาชนตัดสิน

ส่วนจะคุยกับพรรคภูมิใจไทยเพิ่มเติมหรือไม่ นายธนาธร กล่าวว่า ให้ไปถามหัวหน้าพรรคประชาชน เพราะตอนนี้ข้อเสนอของพรรคภูมิใจไทยอยู่บนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว

Advertisement

บอร์ด 6 เสือ กห. ลงนาม “โผทหาร” ไฟเขียวตามที่ ผบ.เหล่าทัพ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 29 สิงหาคม 2568 “บิ๊กเล็ก” เผยบอร์ด 6 เสือ กห. ลงนาม “โผทหาร” ไฟเขียวตามที่ ผบ.เหล่าทัพ เสนอ ยันเลือกคนที่เหมาะสมกับสถานการณ์ คาด “อุกฤษฎ์” ผบ.ทสส. “เสกสรร” ผบ.ทอ. “ไพโรจน์” ผบ.ทร. ขยับ 2 แม่ทัพ “วรยส-วีระยุทธ์” รับสถานการณ์ชายแดนกัมพูชา จับตา 5 เสือ ทบ. วาง “อมฤต-ณรงค์ฤทธิ์” รอชิง ผบ.ทบ.ปี 70

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 13:35 น. ก่อนการประชุมสภากลาโหม พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมและรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการปรับย้ายนายทหารชั้นนายพล โดยมี พล.อ.สนิธชนก สังขจันทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบกพล.ร.อ.จิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผู้บัญชาการทหารอากาศ ร่วมประชุม โดยใช้เวลาหารือประมาณ 45 นาที หลังจากนั้นจึงเข้าประชุมสภากลาโหม ในเวลา 14.20 น. ซึ่งเป็นช่วงที่ศาลรัฐธรรมนูญเตรียมอ่านคำวินิจฉัยคดี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ซึ่งมีคำวินิจฉัยพ้นตำแหน่ง และ ครม.พ้นจากตำแหน่งยกชุด

พล.อ.ณัฐพล เปิดเผยถึงการประชุมคณะกรรมการปรับย้ายนายทหารชั้นนายพล ว่าวันนี้เป็นการพูดคุยและพิจารณากันครั้งสุดท้าย โดยที่ผ่านมาก็มีการพูดคุยกันเป็นระยะ ซึ่งการหารือเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ไม่มีข้อขัดแย้งใด ๆ ทั้งสิ้น โดยคำนึงถึงแผนปรับลดนายพล ซึ่งในปี พ.ศ. 2551 เรามีตำแหน่งระดับผู้ทรงคุณวุฒิ 756 คน และเป้าหมายคือในปี 2571 ต้องเหลือ 378 คน ซึ่งเป็นไปตามลำดับ และปีนี้ยังลดได้ตามเป้า แต่ทั้งนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ละเอียดได้ ต้องรอพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ จึงจะสามารถเปิดเผยได้

พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่าการจัดโผครั้งนี้ เป็นไปตามที่ ผบ.เหล่าทัพ เสนอ ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เนื่องจากได้มีการพูดคุยกันเป็นระยะ และขอความร่วมมือ ผบ.เหล่าทัพ ที่กำลังจะเกษียณอายุราชการ ว่าอยากให้สร้างกองทัพที่มีความเหมาะสม มีความพร้อมรบ ในการปฏิบัติการรับมือภัยทุกชนิด หลายรูปแบบ โดยเฉพาะสถานการณ์ในปัจจุบัน เพราะฉะนั้น การปรับย้ายครั้งนี้จึงมีความพิเศษ คือปรับกำลังพลให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันที่มีความตึงเครียดบริเวณชายแดนทั้งด้านตะวันออก และด้านตะวันตก เนื่องจากในสถานการณ์ปกติ เราปรับย้ายโดยคำนึงถึงหลักอาวุโส แต่ปัจจุบันต้องคำนึงถึงความรู้ความสามารถ บุคลิกภาพประกอบด้วย

เมื่อถามว่า มีการนำกระแสเรียกร้องเรื่องชายแดนไทย – กัมพูชา โดยเฉพาะเรื่องแม่ทัพภาคที่ 1 มาพิจารณาด้วยหรือไม่ พล.อ. ณัฐพล ยืนยันว่าไม่มีผล เนื่องจากเป็นอำนาจในการพิจารณาของผู้บัญชาการทหารบก ส่วนการที่ผู้บัญชาการทหารเรือ ออกจากห้องประชุมเป็นคนสุดท้าย เนื่องจากมีการหารือเป็นพิเศษหรือไม่นั้น ยืนยันว่าไม่มีอะไร อาจเกิดจากการที่ติดธุระ

พร้อมกันนี้ได้ยืนยันว่า ในวันนี้ได้ลงนามรับรองบัญชีรายชื่อโยกย้ายดังกล่าว ร่วมกับผู้บัญชาการเหล่าทัพ เรียบร้อยแล้ว และแม้ว่าในขณะนี้จะดำรงตำแหน่งรักษาราชการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หลังจากที่คณะรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งก็ไม่มีผลใด ๆ เนื่องจากเป็นการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2551

จากนั้นในที่ประชุมได้ขอบคุณผู้บังคับหน่วย ทั้งปลัดกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และผู้บัญชาการเหล่าทัพ ที่สนับสนุนการปฏิบัติงานของกระทรวงกลาโหมจนเป็นไปด้วยความเรียบร้อย และได้เน้นย้ำ การเตรียมการช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ต่าง ๆ และเตรียมความพร้อมสถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับบัญชีรายชื่อโยกย้ายนายทหารที่เสนอให้พิจารณาเห็นชอบ ได้แก่ พล.อ.ธราพงษ์ มะละคำ เป็น ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.อุกฤษฎ์ บุญตานนท์ เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด พล.อ.อ.เสกสรร คันธา เป็นผู้บัญชาการทหารอากาศ พล.ร.อ.ไพโรจน์ เฟื่องจันทร์ เป็นผู้บัญชาการทหารเรือ

ขณะที่กองทัพบก ซึ่งยังไม่มีการเปลี่ยนผู้บัญาการทหารบก เนื่องจาก พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ยังไม่เกษียณอายุราชการ แต่จะมีการปรับเปลี่ยนในส่วนของ 5 เสือทบ.โดยมีชื่อของ พล.อ.ชิษณุพงษ์ รอดศิริ ผช.ผบ.ทบ. ขึ้นเป็น รองผบ.ทบ. พล.ท. อมฤต บุญสุยา แม่ทัพภาคที่1 เป็น ผช.ผบ.ทบ. พล.ท.ณรงค์ฤทธิ์ คัมภีระ ผบ.นสศ.เป็น ผช.ผบ.ทบ. พล.ท.พล.อ.ชัยพฤกษ์ ด้วงประพัฒน์ เป็นเสนาธิการทหารบก โดยมีชื่อ พล.ท.วรยศ เหลืองสุวรรณ แม่ทัพน้อยที่ 1 เป็นแม่ทัพภาคที่1 และ พล.ท.วีระยุทธ์ รักศิลป์ รองแม่ทัพภาคที่ 2 ขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 2

Advertisement

สภาผ่านร่าง กม.รถไฟฟ้าขนส่งฯ ยันเป็นประโยชน์กับคนทั้งประเทศ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 27 สิงหาคม 2568 สภาผ่านร่าง พ.ร.บ.รถไฟฟ้าขนส่งฯ หลัง สส.ฝ่ายค้านไม่เห็นด้วย เอาเงิน รฟม.มาหนุน 20 บาทตลอดสาย ขณะที่ประธาน กมธ. ยันเป็นประโยชน์ไม่ใช่เฉพาะคนกรุง เหตุคนต่างจังหวัดมาอยู่ กทม.จำนวนมาก

ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายไชยา พรหมา รองประธานสภาฯ คนที่หนึ่ง เป็นประธานที่ประชุม พิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (ฉบับที่..) พ.ศ… ที่คณะกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาแล้วเสร็จ โดยเป็นการพิจารณาวาระ 2 และวาระ 3 โดยการพิจารณาแต่ละมาตราต้องลุ้นเรื่ององค์ประชุมแบบใจหายใจคว่ำ เนื่องจาก สส.ฝ่ายค้าน ไม่ร่วมเป็นองค์ประชุมให้ในการแสดงตนแต่ละมาตรา ทำให้ในแต่ละมาตรามีองค์ประชุมเกินมาเพียง 3-5 เสียงเท่านั้น

โดยการอภิปรายที่สมาชิกให้ความสนใจมากสุด คือ มาตรา 8 ที่ให้นำรายได้ของ รฟม. หลังจากหักค่าใช้จ่ายต่างๆ แล้วมาเป็นรายได้ของรัฐ โดย สส.ฝ่ายค้าน แสดงความเป็นห่วงว่า การนำรายได้ของ รฟม.ส่งให้รัฐ เพื่อนำไปใช้อุดหนุนโครงการค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย โดยเห็นว่ารัฐมีหน้าที่นำงบประมาณแผ่นดินเพื่อดูแลประชาชน 70 ล้านคนทั้งประเทศ ไม่ใช่แค่คน 2 ล้านคนที่ใช้รถไฟฟ้า ซึ่งจะกระทบวินัยการเงินการคลังของประเทศ

ทั้งนี้ นายสรวุฒิ เนื่องจำนงค์ ประธาน กมธ.ฯ ชี้แจงว่า โครงการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เป็นประโยชน์กับคนทั้งประเทศ ไม่ได้เอาเงินของรัฐมาอุ้มเฉพาะคน กทม. เพราะใน กทม.ไม่ได้มีเฉพาะคนกรุงเทพฯ แต่มีคนต่างจังหวัดเข้ามาอยู่อาศัยเป็นจำนวนมาก ถือว่าเป็นประโยชน์กับคนทั้งประเทศ สุดท้ายที่ประชุมเห็นชอบตาม กมธ.ฯ แก้ไข

จากนั้นที่ประชุมลงมติวาระสาม เห็นชอบ 248 เสียง ไม่เห็นชอบ 151 เสียง งดออกเสียงไม่มี ไม่ลงคะแนน 1 เสียง ขั้นตอนต่อไปส่งต่อให้วุฒิสภาพิจารณาต่อไป

Advertisement

“มาลี” เบาได้เบา หลังโฆษกกลาโหมกัมพูชาลวงโลกรายวัน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 4 สิงหาคม 2568 “มาลี” เบาได้เบา หลังโฆษกกลาโหมกัมพูชาลวงโลกรายวัน ย้ำเส้นทางสันติภาพจะมั่นคงได้ ต้องเริ่มต้นจาก “ความจริง” เท่านั้น

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตนขอเรียกร้องให้โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา หยุดการสร้างข่าวปลอม บิดเบือนข้อเท็จจริงต่อสาธารณชนอย่างต่อเนื่อง และเลิกนำข้อมูลเท็จมาอ้างเพื่อกล่าวหาโจมตีประเทศไทยซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ตัวอย่างล่าสุด คือการกล่าวอ้างผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ว่าไทยเตรียมอพยพประชาชนในจังหวัดสุรินทร์ เพื่อเปิดฉากโจมตีกัมพูชาก่อนการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ซึ่งไม่เป็นความจริงโดยสิ้นเชิง ปัจจุบันไม่มีคำสั่งอพยพใดๆ ในพื้นที่ดังกล่าว

ข้อมูลเท็จลักษณะนี้ไม่เพียงสร้างความเข้าใจผิดแก่สาธารณะชน แต่ยังเป็นบ่อนทำลายความเชื่อมั่นของกัมพูชาเอง ในเวทีระหว่างประเทศ จึงขอให้ หยุดการกระทำดังกล่าว

ทั้งนี้ ฝ่ายไทยยังคงยึดมั่นในข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด แต่ได้เตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับสถานการณ์ไม่คาดคิดจากการละเมิดข้อตกลงซ้ำซากโดยฝ่ายกัมพูชา ซึ่งมีการเคลื่อนไหวกำลังพลและยุทโธปกรณ์ในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง

“เป็นเรื่องน่าเสียดาย ที่แทนที่จะร่วมมือกันลดความตึงเครียด ฝ่ายกัมพูชายังคงเลือกใช้การบิดเบือนข้อมูล ซึ่งเป็นบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของประเทศกัมพูชาเองบนเวทีนานาชาติ ทุกการตอบโต้ของประเทศไทยตั้งอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง เราพร้อมเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณชนและองค์กรระหว่างประเทศได้ทุกเมื่อ และขอยืนยันว่า เส้นทางสันติภาพจะมั่นคงได้ ก็ต่อเมื่อเริ่มต้นจากความจริงเท่านั้น” นางสาวศศิกานต์ กล่าว

Advertisement

ครม. ตั้งบิ๊กข้าราชการลอตใหญ่ “ชญานันท์” นั่งปลัดกระทรวงทรัพย์ฯ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 29 กรกฎาคม 2568 ครม. ตั้งบิ๊กข้าราชการลอตใหญ่ “ชญานันท์” นั่งปลัดกระทรวงทรัพย์ฯ

น.ส.ศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติแต่งตั้งข้าราชการหลายกระทรวงตามที่มีการเสนอ โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ครม.มีมติแต่งตั้ง นางชญานันท์ ภักดีจิตต์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งเลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ดำรงตำแหน่ง ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แทนตำแหน่งที่ว่าง

นอกจากนี้ ครม.ยังมีมติแต่งตั้ง ข้าราชการพลเรือนสามัญ 6 ตำแหน่ง ประกอบด้วย น.ส.นฤมล สงวนวงศ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวง ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง, นายกฤษ อุตตมะเวทิน ผู้ตรวจราชการกระทรวง ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง, น.ส.ทัศนีย์ เมืองแก้ว ผู้ตรวจราชการกระทรวง ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง, นางอัญชลี สุวจิตตานนท์ รองปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมหม่อนไหม, นายอานนท์ นนทรีย์ ผู้ตรวจราชการกระทรวง ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการข้าว และนายนิรันดร์ มูลธิดา ผู้ตรวจราชการกระทรวง ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.68 เป็นต้นไป

ด้านกระทรวงพาณิชย์ ครม.มีมติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทผู้บริหารระดับสูง จำนวน 4 ราย เพื่อทดแทนผู้ดำรงตำแหน่งที่จะเกษียณอาอายุราชการ และสับเปลี่ยนหมุน ประกอบด้วย น.ส.จิตติมา ศรีถาพร ผู้ตรวจราชการกระทรวง ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง , นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา ,นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานโยบายและยุทธศาสตร์การค้า ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า และนายนันทพงษ์ จิระเลิศพงษ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวง ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงางานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.68 เป็นต้นไป

ขณะเดียวกันที่ประชุม ครม. ยังมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการการเมืองหลายตำแหน่ง นายวิเชียร สุขสร้อย เป็นข้าราชการการเมืองตำแหน่งเลขานุการ รมว.อุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัย และนวัตกรรม

กระทรวงมหาดไทย ครม.มีมติแต่งตั้ง นายสราวุธ อ่อนละมัย ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษา รมช.มหาดไทย ของนายเดชอิศม์ ขาวทอง นายมนตรี ปาน้อยนนท์ ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการ รมว.มหาดไทย ปฏิบัติหน้าที่เลขานุการรมช.มหาดไทย

กระทรวงสาธารณสุข ครม.มีมติแต่งตั้ง นายฐิติพันธ์ จูจันทร์โชติ ให้ตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการ รมว.สาธารณสุข ปฏิบัติหน้าที่เลขานุการ รมช.สาธารณสุข ของนายอนุชา สะสมทรัพย์

Advertisement

อนุมัติเงินช่วยเหลือเยียวยา เหตุชายแดนไทย-กัมพูชา

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 25 กรกฎาคม 2568 กองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี อนุมัติเงินช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา

นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี ครั้งที่ 2/2568 เพื่อพิจารณาให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา

นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า คณะกรรมการกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี ได้มีมติอนุมัติในหลักการให้ความช่วยเหลือประชาชน ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และทหารพราน ผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ดังนี้ 1.กรณีเสียชีวิต รายละ 1,000,000 บาท 2.กรณีทุพพลภาพ รายละ 700,000 บาท 3.กรณีบาดเจ็บสาหัส รายละ 200,000 บาท 4.กรณีบาดเจ็บมาก รายละ 100,000 บาท และ 5.กรณีบาดเจ็บเล็กน้อย รายละ 50,000 บาท

นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า รัฐบาลขอแสดงความห่วงใยและรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยได้มีข้อสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการให้ความช่วยเหลือเยียวยาแก่ครอบครัวผู้ได้รับผลกระทบทั้งด้านความเป็นอยู่และสภาพจิตใจ รัฐบาลขอแสดงความเสียใจต่อผู้เสียชีวิตและครอบครัว พร้อมทั้งขอส่งกำลังใจและความห่วงใยไปยังผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ในครั้งนี้

ในการนี้ ประชาชนที่มีความประสงค์จะบริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา สามารถร่วมบริจาคได้ที่ “กองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี” ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาทำเนียบรัฐบาล บัญชีเลขที่ 067-0-06895-0 โดยยอดเงินบริจาคสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้

Advertisement

“ทักษิณ” ลั่นไม่มีอีกแล้ว ใช้สัมพันธ์ส่วนตัวคุย “ฮุนเซน”

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 19 กรกฎาคม 2568 “ทักษิณ” ลั่นไม่มีอีกแล้ว ใช้สัมพันธ์ส่วนตัวคุย “ฮุนเซน” หวั่นโดนอัดเทปซ้ำรอย ชี้หากพิสูจน์ได้ทหารพรานเหยียบทุ่นระเบิดใหม่ต้องประท้วงตามกติกา ซัดหากเล่นนอกบทต้องดำเนินการ

นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ทหารพรานถูกเหยียบทุ่นระเบิด ที่ช่องบก อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ที่มีกระแสข่าวว่ากว่า 80% จากการตรวจสอบเป็นระเบิดใหม่ว่า ทั้งสองฝ่ายต้องพูดคุยกัน ถ้าไม่คุยกันอยู่อย่างนี้ไม่เป็นผลดี และขณะนี้อยู่ระหว่างการวิเคราะห์ว่าเป็นระเบิดใหม่หรือเก่า ผู้สื่อข่าวจึงถามย้ำว่า แต่ล่าสุดกระแสข่าวจากภาคสองยืนยันว่ากว่า 80% เป็นระเบิดใหม่ นายทักษิณ กล่าวว่าก็ต้องว่ากันไป ก็ต้องประท้วงตามกติกา และประท้วงเสร็จก็ต้องมาคุยกันทั้งสองฝ่าย

ผู้สื่อข่าวจึงถามย้ำว่า ฝั่งกัมพูชามักเล่นนอกเกมบ่อยๆ เราต้องรับมืออย่างไร นายทักษิณ ระบุว่าก็ว่ากันไปตามสิ่งที่ควรจะเป็น ถ้าเขาทำอะไรที่นอกกติกา เราก็ต้องดำเนินการ เมื่อถามว่าถ้าพิสูจน์ได้แล้วเป็นเรื่องจริง จะร้ององค์กรโลกหรือไม่ เนื่องจากมีสนธิสัญญาออตตาวา ว่าด้วยเรื่องทุ่นระเบิด นายทักษิณ ระบุว่าที่จริงแล้ว เรามีสนธิสัญญาหลายฉบับ แต่ไม่ได้หยิบขึ้นมาใช้

เมื่อถามย้ำว่าหลังจากนี้จะไม่เจรจาโดยใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวแล้วใช่หรือไม่ นายทักษิณ ยืนยันด้วยเสียงหนักแน่นว่าไม่มีอีกแล้ว เพราะกลัวโดนอัดเทปเหมือนกัน

Advertisement

สส.ปชน. จี้ถาม “สรวงศ์” โครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง ใช้งบไปแล้วเท่าไหร่-เกิดความเสียหายใครรับผิดชอบ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 17 กรกฎาคม 2568 รัฐสภา 17 ก.ค.-สส.ปชน. จี้ถาม “สรวงศ์” โครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง ใช้งบไปแล้วเท่าไหร่-ถ้าเกิดความเสียหายใครรับผิดชอบ อัดแอปมีปัญหาเยอะเหตุรัฐบาลทำงานไม่เป็น ด้าน “รัฐมนตรี” แจงพยายามอุดรอยรั่วแล้ว ย้ำรัฐบาลเร่งเรียกความเชื่อมั่น ดึงนักท่องเที่ยวกลับไทย เผยเที่ยวไทยคนละครึ่ง สิทธิยังว่างกว่า 3 แสนสิทธิ ลงทะเบียนได้ถึง 31 ต.ค.นี้

การประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานการประชุม พิจารณากระทู้ถามสดด้วยวาจา ของว่าที่ ร.ต.สมชาติ เตชถาวรเจริญ สส.ภูเก็ต พรรคประชาชน ถามนายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เรื่องโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง ว่า เนื่องจากสภาพการท่องเที่ยวของประเทศไทยในปีนี้ซบเซาลงกว่าปีที่แล้ว เพราะนักท่องเที่ยวจีนไม่มั่นใจในความสามารถของรัฐบาลที่้บังคับใช้กฎหมายการค้ามนุษย์จนจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เป็นตลาดหลักของเราลดลงไปเหลือไม่ถึงครึ่ง ทำให้กระทรวงการท่องเที่ยวจึงได้จัดสรรงบประมาณจากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 1.57 แสนล้านบาทมาดำเนินโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง จำนวน 1.75 พันล้านบาท แต่จนถึงวันนี้มีการใช้สิทธิ์ห้องพักไปแล้ว 1.58 แสนสิทธิ์ ไม่ถึง 1 หมื่นสิทธิ์ต่อวัน ซึ่งต่ำกว่าที่คาด เหตุเพราะรัฐบาลทำงานไม่เป็น ขาดความรู้ความสามารถ มีการออกแบบแอปพลิเคชั่นใหม่ทั้งที่โครงการนี้คล้ายกับโครงการเที่ยวคนละครึ่ง แต่หลังจากที่เปิดตัวแอปพลิเคชั่นออกมาตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา ทั้งผู้ใช้บริการและผู้ประกอบการต่างประสบปัญหา เช่น การลงทะเบียนของประชาชนมีขั้นตอนเยอะ ลงทะเบียนยาก ระบบล่ม อีกทั้งการแก้ปัญหาเรื่องราคาห้องพักก็มีปัญหาและล่าช้า ทำให้ผู้ประกอบการเสียโอกาส รวมถึงการตั้งราคาที่ไม่เหมาะสม ทำให้ประชาชนรู้สึกว่าไม่คุ้นค่าและเสียสิทธิ์ต่างๆ

ว่าที่ ร.ต.สมชาติ กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมารัฐบาลนี้่ขยันที่จะทำแอปพลิเคชั่นออกมาจำนวนมาก โดยมีการของบประมาณในการทำแอปพลิเคชั่นจากหน่วยงานต่างๆ จำนวนกว่า 4.2 พันล้านบาท แต่แอปพลิเคชั่นที่ประชาชนรู้จักมีไม่ถึงร้อยตัว แอปพลิเคชั่นบางตัวไม่มีคนรู้จักและไม่ได้ใช้งานจริงจนถูกทิ้งร้างเป็นแอปผี ฉะนั้น จึงขอถามนายสรวงศ์ว่าเหตุใดจึงไม่ใช้ธนาคารกรุงไทยทำโครงการนี้ต่อ เนื่องจากมีแอปพลิเคชั่นอยู่แล้ว รวมถึงประชาชนและผู้ประกอบการก็ต่างเคยติดตั้งแอปพลิเคชั่นเป๋าตังและถุงเงินในมือถือเรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ ตนได้ลองค้นข้อมูลเกี่ยวกับการทำแอปพลิเคชั่นนี้แล้วทั้งในเว็บไซต์และของกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ก็ไม่พบข้อมูลเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างโครงการนี้ หรือเว็บไซต์ไม่ได้อัปเดต หรือเพราะใช้ชื่อโครงการเป็นอย่างอื่น หรือใช้หน่วยงานภาครัฐอื่นเป็นผู้จัดซื้อจัดจ้าง หรือให้ผู้จัดซื้อจัดจ้างดำเนินการไปก่อนแล้วไปทำการจัดซื้อจัดจ้างทีหลังหรือไม่อย่างไร รวมถึงงบประมาณในการจัดซื้อจัดจ้างในการทำโครงการดังกล่าวนี้เป็นจำนวนเงินเท่าไหร่

ว่าที่ ร.ต.สมชาติ กล่าวด้วยว่า กระทรวงการท่องเที่ยวฯ รวมถึงหน่วยงานในกำกับมีการสร้าง แอปพลิเคชั่นไปแล้วทั้งหมดกี่แอปพลิเคชั่น รวมงบประมาณทั้งหมดกี่บาท มีการใช้งานจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ มีผู้ใช้งานมากขนาดไหน ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบต่อความเสียหายกรณีแอปพลิเคชั่นทำงานผิดพลาดที่สามารถจองห้องพักได้มากกว่า 1 ห้องต่อคืน และลูกค้าได้ทำการเช็กอินเข้าห้องพักแล้ว อีกทั้งการให้ประชาชนโอนเงินแล้วอัปเดตสลิปโอนเงินเข้ายืนยันในระบบเว็บไซต์นั้น เราสามารถอัปเดตรูปภาพอะไรไปแทนสลิปโอนเงินก็ได้ ซึ่งอาจจะเป็นการเปิดช่องว่างให้มีการทุจริตหรือฮั้วกันได้ เพื่อรับเงินอุดหนุนจากภาครัฐโดยที่ไม่มีการจองห้องพักจริง หากเกิดการทุจริตจริงใครจะเป็นผู้รับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้น แอปพลิเคชั่นนี้จะใช้งานได้อย่างเสถียรภาพเมื่อไหร่ จะมีการขยายขีดความสามารถ Thai-D เพื่อให้สามารถรองรับผู้ใช้งานจำนวนมากได้อย่างเพียงพอหรือไม่

ด้านนายสรวงศ์ กล่าวว่า ตนขอใช้เวทีนี้กราบขอโทษประชาชนอีกครั้งกับความเสียหายที่เกิดขึ้น แต่ต้องยอมรับว่าการที่ว่าที่ ร.ต.สมชาตินำตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนมาผูกพันกับคำถามต้องขอชี้แจงว่า อย่างแรกคือเป็นคนละเรื่องกัน โครงการเที่ยวไทยคนละครึ่งเป็นนโยบายที่จะออกมากระตุ้นโครงการไทยเที่ยวไทย คนที่จะใช้สิทธิ์ได้ต้องมีบัตรประชาชนคนไทยเท่านั้น เป็นคนละเรื่องกับตลาดจีน ซึ่งต้องบอกว่าโครงการที่ผ่านมา ปัจจุบันการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยยังคงมีคดีค้างกับผู้ประกอบการ มีประชาชนได้รับหมายเรื่องการทุจริตที่เกิดขึ้น กว่า 1,300 คดี โดยสิ่งที่พวกเราอยากทำและอยากให้เกิดคือฐานข้อมูลนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะคนไทย เพื่อวางแผนยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวในอนาคตต่อไปอย่างยั่งยืน ส่วนคำถามที่ว่าเหตุใดจึงไม่ใช้แอปพลิเคชันเก่า หรือฐานข้อมูลจากธนาคารกรุงไทยนั้น ขอเรียนว่าจาก MOU ที่ผ่านมา ตนไม่ทราบว่ามีการทำอย่างไร แต่ในปัจจุบันธนาคารกรุงไทยไม่ได้มีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจแล้ว ดังนั้น การที่จะไปผูกพันอะไรกับธนาคารธนาคารหนึ่ง จะเป็นการปิดกั้นธนาคารพาณิชย์ด้วยกันเอง ส่วนการเปิดให้ลงทะเบียนวันแรก แน่นอนว่าประชาชนยังคงสับสน ซึ่งตนได้มีการต่อว่าและตั้งคณะกรรมการสอบขึ้นมาแล้วว่าเหตุใดประชาชนจึงยังคงสับสน เพราะโครงการนี้ไม่เหมือนกับโครงการที่ผ่านมา เนื่องจากเราเปิดให้ประชาชนลงทะเบียน 500,000 สิทธิ์ และมีการปิดลงทะเบียนทันที โดยต้องมีการจองภายใน 3 วัน ไม่เช่นนั้น จะถือว่าหมดสิทธิ์ แต่ครั้งนี้เราต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจจริงๆ ต้องการให้คนที่มีแผน และพร้อมจะเที่ยวทันที ได้มีการซื้อ จอง และจ่ายเงิน นี่คือสิ่งที่แตกต่าง ซึ่งตนเคยบอกไปแล้วก่อนหน้านี้ ว่าหากใช้ระบบนี้ ประชาชนจะไม่ต้องลงทะเบียน เพื่อใช้สิทธิ์เลย จะได้ไปเน้นในส่วนปลายทาง หรือคือผู้ประกอบการ และการจ่ายเงินจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยให้กับผู้ประกอบการ

นายสรวงศ์ กล่าวต่อว่า ทุกคนมีสิทธิ์ ทุกคนมีบัตรประชาชนอยู่แล้ว แต่ด้วยคดีที่ค้างอยู่ ทุกกระทรวง ทบวง กรม หน่วยงานต่างๆ จึงต้องการปกป้องและป้องกันตัวเอง ไม่ให้มีการทุจริตเกิดขึ้น ฉะนั้น จึงจำเป็นต้องผ่านแอปพลิเคชันไทยไอดี ในวันลงทะเบียน เมื่อมีปัญหาตนก็ได้มีการสั่งการทันที ให้มีการบายพาส เพื่อให้ประชาชนสามารถลงทะเบียนได้ โดยใช้การลงทะเบียนในภายหลัง เมื่อระยะเวลาผ่านไป ก็ยังมีปัญหาเรื่องการส่งโอทีพี สำหรับประชาชนที่ใช้จีเมล์ เนื่องจากเราไม่มีการแจ้งไว้ก่อนว่า จะมีทราฟฟิกเข้าไปจำนวนมากขนาดนี้ จึงทำให้เอไอของกูเกิลจับว่าเป็นสแกม ซึ่งมีการปิดระบบในเบื้องต้น ซึ่งเราก็ได้มีการประสานกับทางกูเกิลไปในทันที และสุดท้ายตนได้ลงไปสั่งการด้วยตัวเองว่าจะขอปิดระบบการลงทะเบียน ซึ่งในวันที่ปิดการลงทะเบียนนั้น มีจำนวนประชาชนลงทะเบียนแล้วกว่า 1.4 ล้านคน จากนั้นเราจึงมาแก้ปัญหาหลังบ้านของเราในการเพิ่มสเปซคลาวด์ และเพิ่มช่องทางให้ประชาชนเข้าถึงได้มากขึ้น จนถึงตอนนี้ ตัวเลขที่ถูกยืนยันแล้ว คือมีผู้ลงทะเบียนประสงค์จะใช้สิทธิ์ทั้งสิ้น 1.11 ล้านคน มีผู้ที่จองเรียบร้อยแล้ว และจ่ายเงินแล้ว 1.4 แสนคน ขณะที่ระยะเวลา เราเปิดให้ประชาชนสามารถเที่ยวได้ถึง 31 ตุลาคมนี้ แม้จากกำหนดการเดิมที่จะต้องเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อเดือนที่แล้ว แต่ด้วยเรื่องการของบประมาณ ทำให้เกิดความล่าช้า ซึ่งเมื่อมีการอนุมัติ เราก็มีการประกาศคิกออฟโครงการทันที

“ผมต้องขอกราบอภัยพี่น้องประชาชนอีกครั้งในความไม่สะดวก ยืนยันว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นขั้นตอนของการทำงาน และเราก็พยายามจะอุดรูรั่วนั้นแล้ว ส่วนในอนาคตจะมีเฟสสอง เฟสสามหรือไม่ ต้องขอดูอีกครั้ง เนื่องจากโครงการนี้ แต่เดิมทีมีการออกนโยบาย เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวช่วงสถานการณ์โควิด-19 และขอใช้โอกาสนี้ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบว่า โครงการนี้ยังสามารถจองสิทธิ์เข้ามาเพิ่มได้” นายสรวงศ์ กล่าว

ทำให้ว่าที่ ร.ต.สมชาติ กล่าวว่า นายสรวงศ์ ยังตอบคำถามตนไม่ครบขอให้ช่วยตอบด้วยว่าการจัดซื้อจัดจ้างไปอยู่ที่เล่มไหน ไปสอดใส้อยู่ในโครงการอะไรหรือไม่ รวมถึงที่ผ่านมารัฐบาลใช้งบประมาณไปแล้วเท่าไหร่ และหากเกิดความเสียหายขึ้นมาใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ เราจะโยนความผิดให้ประชาชนและผู้ประกอบการที่อาจจะมีบางส่วนที่ทุจริตอย่างเดียวนั้น ตนไม่เห็นด้วย เพราะมีตัวอย่างจากโครงการจำนำข้าวที่พรรคของท่านเคยโดน ผู้มีอำนาจเพิกเฉยไม่ป้องกันการช่องโหว่การทุจริต ซึ่งถือว่ามีความผิดเช่นเดียวกัน และสุดท้ายขอฝากไปยังรัฐบาลว่าให้นำคำแนะนำของตนไปปรับปรุงแอปพลิเคชั่นเพื่อให้ผู้ประกอบการและประชาชนได้รับความสะดวก ซึ่งหากปรับปรุงไม่ทันเฟสนี้ก็ขอให้นำไปปรับปรุงในเฟสหน้าก็ได้

นายสรวงศ์ ชี้แจงว่า นักท่องเที่ยวจีนหายจากทุกประเทศทั่วโลกไม่ใช่เฉพาะแค่ที่ประเทศไทย แต่เรื่องความเชื่อมั่นและเรื่องความปลอดภัยที่ถูกถาม รัฐบาลจะรับไปดำเนินการฟื้นฟูความเชื่อมั่นให้เร็วที่สุด เพื่อให้นักท่องเที่ยวกลับเข้ามาในประเทศไทย สำหรับงบประมาณที่เราขอในการดำเนินการทำแอปพลิเคชันนี้ อยู่ในงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท และเราได้มีการขอคืนเงินในส่วนการแอปพลิเคชัน 10 ล้านบาทที่ขอไป เนื่องจากงบประมาณที่ได้รับไม่ทันการต่อการทำสัญญาจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เป็นปัญหา เพราะเราไม่ได้จ้างคนที่มีประสบการณ์ แต่มีการแก้ไขแล้ว ยืนยันว่า งบประมาณในส่วนของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รวมถึงงบประมาณของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ไม่ได้ถูกใช้ในการทำแอปพลิเคชันไปเป็นจำนวนเยอะ

นายสรวงศ์ กล่าวต่อว่า สำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้น ไม่มีทางที่ตนจะปฏิเสธความรับผิดชอบ ย้ำว่าตนในฐานะที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กราบขออภัยประชาชนอีกครั้งในความไม่สะดวกที่เกิดขึ้น จะทำให้ดียิ่งขึ้นและทำให้ประชาชนได้รับความลำบากน้อยที่สุด และจะดำเนินการให้เป็นรูปธรรมโดยเร็วที่สุด

Advertisement

เพื่อไทย จ่อชงร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองพระพุทธศาสนา เข้าสภา

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 14 กรกฎาคม 2568 “ชูศักดิ์” เผย “เพื่อไทย” เตรียมชงร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองพระพุทธศาสนาเข้าสภา แก้ปัญหาพระสงฆ์-ฆราวาส ประพฤติผิด-เสพเมถุน เอาผิดอาญาบ่อนทำลายพระพุทธศาสนา

นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และประธานคณะกรรมการกลั่นกรองกฎหมายของพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงแนวทางการดำเนินงานเกี่ยวกับสถานการณ์ด้านพระพุทธศาสนาของพรรค ว่า จากปัญหาที่เกี่ยวกับการปฏิบัติของพระสงฆ์ขณะนี้ ทั้งในเรื่องการจัดการทรัพย์สินของวัดโดยไม่โปร่งใส การประพฤติผิดพระธรรมวินัยอย่างร้ายแรง การเสพเมถุนกับสีกาจนเป็นข่าวครึกโครมในขณะนี้ ตนเองได้รับมอบหมายจากพรรคให้พิจารณาดำเนินการจัดทำร่างกฎหมายเพื่อคุ้มครองพระพุทธศาสนาเพื่อกำหนดมาตรการในการแก้ปัญหาพระสงฆ์ประพฤติผิดวินัยร้ายแรงและหามาตรการในการปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนา

โดยวันนี้ (14 ก.ค.) ตนได้มอบหมายให้คณะทำงานด้านกฎหมายของพรรคเพื่อไทยยกร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและคุ้มครองพระพุทธศาสนาขึ้นมาโดยด่วน ซึ่งเรื่องดังกล่าวสอดคล้องกับแนวนโยบายแห่งรัฐ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 67 ที่กำหนดให้ รัฐต้องมีมาตรการและกลไกในการปกป้องมิให้มีการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาไม่ว่าในรูปแบบใด ดังนั้น ในร่างกฎหมายดังกล่าวกำหนดให้การกระทำบางอย่างเป็นความผิดอาญา นอกเหนือไปจากมาตรการทางวินัยสงฆ์จะมีบทกำหนดโทษอันเป็นโทษทางอาญาสำหรับผู้ที่กระทำความผิดอันเข้าข่ายเป็นการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนา ซึ่งจะมีทั้งในส่วนของการกระทำของพระสงฆ์และฆราวาสที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับพระสงฆ์ ดังเช่นกรณีที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน รวมถึงการกระทำอื่นๆ เหตุที่ต้องใช้มาตรการทางอาญาเข้ามาช่วยเพราะเห็นว่าในสถานการณ์ปัจจุบันลำพังการลงโทษตามวินัยสงฆ์ไม่เพียงพอที่จะช่วยปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนาได้ จึงต้องมีมาตรการเด็ดขาด โดยจะกำหนดความผิดและกำหนดอัตราโทษก็ให้เหมาะสม โดยจะเร่งรัดดำเนินการจัดทำร่างกฎหมายฉบับนี้ให้เร็วที่สุด เพื่อเสนอต่อสภา

นายชูศักดิ์ กล่าวอีกว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขณะนี้ อันเป็นผลจากการกระทำของพระสงฆ์บางรูป ได้ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อวงการพระสงฆ์ทั่วประเทศ กระทบต่อจิตใจและความรู้สึกของพุทธศาสนิกชนเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ขอให้คิดว่านั่นเป็นการกระทำส่วนบุคคล แต่หลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนาต่างๆ ที่สอนให้ทุกคนเป็นคนดีไม่มีเปลี่ยนแปลง จึงขอให้พุทธศาสนิกชนยังคงยึดมั่นในหลักศาสนาและช่วยกันส่งเสริมและคุ้มครองพระพุทธศาสนาต่อไป

Advertisement

Verified by ExactMetrics