วันที่ 17 มิถุนายน 2025

สำนักงานสลากฯ พร้อมทำการออกรางวัลสัญจร จ.เชียงใหม่ งวด 1 ธันวาคม 2567 นี้

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 19 พฤศจิกายน 2567 การออกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาลหกหลัก และสลากกินแบ่งรัฐบาลตัวเลขสามหลัก ในงวดวันที่ 1 ธันวาคม 2567 นี้ สำนักงานสลากฯ จะเดินทางไปออกรางวัลสลากสัญจร ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเชียงใหม่ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่

19 พฤศจิกายน 2567 พันโท หนุน ศันสนาคม ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล (GLO) เปิดเผยว่า การออกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาลหกหลัก และสลากกินแบ่งรัฐบาลตัวเลขสามหลัก ในงวดวันที่ 1 ธันวาคม 2567 นี้ สำนักงานสลากฯ จะเดินทางไปออกรางวัลสลากสัญจร ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเชียงใหม่ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนในพื้นที่ต่างจังหวัดได้เห็นความโปร่งใสของกระบวนการและวิธีการในการออกรางวัล ตลอดจนอุปกรณ์ที่ใช้ในการออกรางวัลด้วยตนเอง

นอกจากนี้ ยังเป็นการเพิ่มความรู้ความเข้าใจ และสร้างความเชื่อมั่นให้กับพี่น้องประชาชนผู้ซื้อสลาก จะได้ไม่หลงเชื่อข่าวลือเรื่องเลขเด็ดจากกลุ่มมิจฉาชีพที่ทำการหลอกลวงต้มตุ๋น ผ่านทางสังคมออนไลน์ และการส่งจดหมายแอบอ้างว่าสามารถให้ตัวเลขที่จะออกรางวัลได้ ซึ่งอาจส่งผลให้ต้องสูญเสียทรัพย์สินได้

สำหรับการออกรางวัลครั้งนี้ ได้รับเกียรติจากผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ร่วมเป็นประธานกรรมการออกรางวัล รวมทั้งข้าราชการระดับสูง ผู้แทนภาคประชาชนและผู้แทนสื่อมวลชนในพื้นที่ เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการออกรางวัล และในโอกาสนี้ ได้เปิดโอกาสให้ข้าราชการหรือบุคลากรของจังหวัดร่วมทำหน้าที่หมุนวงล้อสลับกับพนักงานหมุนวงล้อของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลอีกด้วย

ประชาชนที่สนใจสามารถเข้าชมการออกรางวัลได้ด้วยตนเองโดยไม่มีค่าใช้จ่าย พร้อมนำบัตรประจำตัวประชาชนหรือบัตรที่ทางราชการออกให้แสดงในวันดังกล่าว นอกจากนี้ยังสามารถรับชมการถ่ายทอดสดได้ผ่านช่องทางต่างๆ ได้แก่ สถานีโทรทัศน์อมรินทร์ ทีวี ตั้งแต่เวลา 13.50 น. เป็นต้นไป, สถานีโทรทัศน์ไทยรัฐทีวี ตั้งแต่เวลา 14.00 น. เป็นต้นไป ช่องทาง LINE TODAY, เว็บไซต์สำนักงานสลากฯ www.glo.or.th, แอปพลิเคชันของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล “GLO Lottery official” รวมทั้งการถ่ายทอดเสียงผ่านทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ ตั้งแต่เวลา 14.30 น. เป็นต้นไป

ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากการเดินทางมาออกรางวัลสลากสัญจรแล้ว สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลได้จัดกิจกรรมการช่วยเหลือสังคม (CSR) ในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2567 โดยจัดกิจกรรมจัดเลี้ยงอาหารและมอบของใช้จำเป็นที่โรงเรียนโสตศึกษาอนุสารสุนทร จังหวัดเชียงใหม่ ทั้งนี้ สามารถติดตามข่าวสารและภารกิจที่น่าสนใจของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ได้ที่  www.glo.or.th, เฟซบุ๊กแฟนเพจ สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล, Line Official และแอปพลิเคชัน GLO Lottery

Advertisement

รัฐบาลเร่งพัฒนาแพลตฟอร์ม ‘DE-fence platform’ คัดกรองสายเรียกเข้า-SMS

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 18 พฤศจิกายน 2567 รัฐบาลเดินหน้าแก้ไขปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เร่งพัฒนาแพลตฟอร์ม ‘DE-fence platform’ แพลตฟอร์มกันลวง ช่วยคัดกรองสายเรียกเข้า-SMS คาดพร้อมใช้ต้นปี 68 หวังแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลเดินหน้าแก้ไขปัญหา อาชญากรรมออนไลน์มิจฉาชีพ และอาชญากรรมข้ามชาติ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน โดยบูรณาการความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยกระทรวงดีอีร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) และผู้ให้บริการเครือข่ายโทรคมนาคม เร่งรัดการป้องกันและปราบปรามการก่ออาชญาการรมทางเทคโนโลยี ผ่านโครงการ ‘DE-fence platform’ หรือ แพลตฟอร์มกันลวง ป้องกันการโทรหลอกลวง และ SMS หลอกลวง ช่วยคัดกรองสายเรียกเข้า และข้อความสั้น รวมถึงช่วยยืนยันเบอร์จากหน่วยงานสำคัญ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) จะเร่งพัฒนาให้พร้อมใช้ในต้นปี 2568

นางสาวศศิกานต์ กล่าวว่า มาตรการนี้เป็นการป้องกัน แก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ใช้การโทร และการส่ง SMS หลอกลวงประชาชน ควบคู่กับมาตรการลงทะเบียนผู้ให้บริการส่ง SMS ใหม่ทั้งระบบ ภายในปี 2567 ซึ่งต้องมีการลงทะเบียนทุก ๆ ปี เพื่อให้สามารถระบุว่าผู้ให้บริการ และผู้ส่ง SMS คือใคร รวมทั้งการลงทะเบียนการส่ง SMS แนบลิงก์ จะต้องระบุรายละเอียดของข้อความ และลิงก์ เพื่อให้ผู้ให้บริการเครือข่าย ตรวจสอบลิงก์ ก่อนที่จะส่ง SMS ไปยังผู้ใช้บริการ

DE-fence platform สามารถเชื่อมต่อฐานข้อมูลระหว่างผู้ประกอบการโทรคมนาคม เพื่อให้ได้ข้อมูลเลขหมายที่เป็นปัจจุบันมากที่สุด รวมถึงเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลของ ตร. สำนักงาน ปปง. ศูนย์ AOC 1441 และกระทรวงดีอี เพื่อใช้ในการเตือนประชาชนให้ทราบข้อมูลของผู้โทรเข้าว่าเป็นมิจฉาชีพหรือไม่ ความเสี่ยงของเบอร์โทรอยู่ระดับใด ก่อนรับสายหรืออ่านข้อความ SMS รวมถึงสามารถตรวจหาความผิดปกติของ Link ที่แนบมากับ SMS ได้ นอกจากนี้ ยังมีระบบแจ้งความออนไลน์ และแจ้งอายัดบัญชีคนร้ายผ่าน AOC 1441 พร้อมระบบการยืนยันตัวตนของผู้ใช้งาน เพื่อส่งข้อมูลให้กับตำรวจอีกด้วย

DE-fence platform ใช้หลักการในการแบ่งสายโทรเข้า รวมถึง SMS ที่ได้รับ เป็น 3 กลุ่มสี คือ

1)Blacklist ซึ่งเป็นหมายเลขการติดต่อจากคนร้ายที่ได้รับการยืนยันจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว และแนะนำให้ผู้ใช้บริการเลือก Block หรือปิดกั้นแบบอัตโนมัติ

2)Greylist เป็นการติดต่อจากหมายเลขที่ต้องสงสัย ซึ่งติดต่อจากต่างประเทศ หรือติดต่อจากอินเตอร์เน็ต โดยระบบจะแจ้งเตือนให้ผู้ใช้บริการได้รู้ถึงระดับความเสี่ยงของสายโทรเข้า หรือ SMS ดังกล่าว

3)Whitelist หรือ สีขาว เป็นหมายเลขที่ได้รับการยืนยันจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าเป็นหมายเลขของหน่วยงานรัฐ หรือหมายเลขหน่วยงานที่ลงทะเบียนถูกต้อง รวมถึงเป็นหมายเลขที่ผู้ใช้บริการ platform ยืนยันว่าเป็นหมายเลขที่ต้องการรับสาย หรือ ยินยอมรับข้อความ

สำหรับการพัฒนา DE-fence platform ระยะแรกจะเน้นที่เบอร์โทรและ SMS ก่อน โดยเฉพาะ Whitelist ที่เป็นของหน่วยงานรัฐ ที่คนร้ายชอบใช้ และในระยะต่อไปจะขยาย Whitelist ให้ครอบคลุมมากขึ้น พร้อมทั้งขยายการป้องกันและแจ้งเตือนสำหรับการติดต่อทางโซเชียลมีเดีย ถือเป็นมาตรการเชิงรุกของรัฐบาลที่มุ่งเน้นแก้ไขปัญหาแบบบูรณาการกวาดล้างอาชญากรรมทางเทคโนโลยีให้เห็นผล

Advertisement

เร่งค้นหาเด็กนอกระบบ เน้นมาตรการ Learn to Earn

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 12 พฤศจิกายน 2567 “ประเสริฐ” เผยเร่งค้นหาเด็กนอกระบบ ดึงผู้ว่า 77 จังหวัดเป็นแม่ทัพ ระดมทุกหน่วยในพื้นที่ ทั้งอำเภอ ตำบล ค้นหา ช่วยเหลือ ทุกมิติปัญหา เน้นมาตรการ Learn to Earn ของรัฐบาลพาเด็กกลับสู่เส้นทางการศึกษายืดหยุ่นและมีรายได้ระหว่างเรียน

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาให้กลายเป็นศูนย์ หรือ บอร์ด คกศ. (Thailand Zero Dropout) โดยมี ดร. ณหทัย ทิวไผ่งาม ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะรองประธานกรรมการ เข้าร่วมประชุมด้วย ผลการประชุมครั้งแรก ซึ่งคณะกรรมการชุดนี้ มีหน้าที่และอำนาจในการขับเคลื่อนการแก้ปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาของชาติ ซึ่งจะเป็นการดำเนินงานตามนโยบายด้านการศึกษาของรัฐบาล นำโดยนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อแก้ไขปัญหาและยกระดับคุณภาพการศึกษาอย่างเป็นระบบ โดยเร่งส่งเสริมผลักดันให้เกิดการพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างเต็มกำลังและความสามารถ ให้เป็นไปตามที่ท่านนายกรัฐมนตรีได้แถลงนโยบายด้านการศึกษาของรัฐบาล 9 ข้อ ต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2567 และการสร้างการขับเคลื่อนประเทศไทยเพื่อแก้ปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาให้กลายเป็นศูนย์ (Thailand Zero Dropout) โดยทำงานในเชิงระบบ เพื่อความยั่งยืนและต่อเนื่อง แก้ปัญหาใน 4 ประเด็น ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2567

รองนายกรัฐมนตรีฯ และประธานคณะกรรมการ TZD กล่าวว่า คณะกรรมการฯ ได้มีมติ ผลักดัน 4 ประเด็นเร่งด่วน เพื่อยกระดับการช่วยเหลือเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาทั้ง 1.02 ล้านคน ดังนี้

1.ปลดล็อกการเชื่อมโยงข้อมูลเด็กเยาวชนรายบุคคลระหว่างหน่วยงาน เพื่อให้การค้นหาและส่งต่อเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษามีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยสนับสนุนการพาเด็กเยาวชนเข้าสู่เส้นทางการเรียนรู้ทั้งในและนอกระบบการศึกษา รวมทั้งการพัฒนาทักษะการมีงานทำให้สามารถดำเนินการได้รวดเร็วมากขึ้น โดยที่ประชุมบอร์ด คกศ. ได้เห็นชอบแต่งตั้งคณะอนุกรรมการบูรณาการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานเพื่อขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาให้กลายเป็นศูนย์ เพื่อเร่งติดตามสถานการณ์ข้อมูลรายบุคคลของเด็กเยาวชนนอกระบบการศึกษาในปีการศึกษา 2/2567 และบูรณาการการทำงานด้านข้อมูลร่วมกับหน่วยงานหลักต่างๆ ทั้งด้านการศึกษา สุขภาพ สังคม และเศรษฐกิจ เพื่อส่งเสริมการบูรณาการงบประมาณจากระบบสวัสดิการจากกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สปสช. องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นอกเหนือจากงบประมาณที่รัฐบาลได้จัดสรรให้แก่กระทรวงศึกษาธิการ และกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา

2.กระตุ้นการทำงานระดับจังหวัดและพื้นที่เพื่อเริ่มต้นมาตรการติดตาม ช่วยเหลือ ส่งต่อ และดูแลเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาเป็นรายคน ทั้งด้านการศึกษา สุขภาวะ พัฒนาการ สภาพความเป็นอยู่ และสภาพสังคม โดยบูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงานต่างๆ ผ่านคณะกรรมการ 77 จังหวัด รวมทั้งระดับอำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน ซึ่งหลังจากนี้จะมีหนังสือสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้แต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาให้กลายเป็นศูนย์ (Thailand Zero Dropout) ระดับจังหวัด ทั้ง 77 จังหวัด ต่อไป

3.ตั้งคณะอนุกรรมการจัดการศึกษาและเรียนรู้แบบยืดหยุ่น และส่งเสริมการสร้างรายได้ของเด็กและเยาวชน เพื่อเร่งผลักดัน การจัดการศึกษาและเรียนรู้แบบยืดหยุ่นและมีคุณภาพให้เหมาะสมกับศักยภาพของเด็กและเยาวชนแต่ละราย เน้นส่งเสริมการจัดการศึกษาหรือเรียนรู้ควบคู่กับการทำงานร่วมกับผู้ประกอบการภาคเอกชน เพื่อพัฒนาทักษะอาชีพ สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานและให้มีรายได้เสริมในระหว่างการศึกษา โดยมีกระทรวงศึกษาธิการ กสศ. และสถาบันพัฒนาคุณวุฒิวิชาชีพ เป็นฝ่ายเลขาของคณะอนุกรรมการชุดนี้

4.กระตุ้นการมีส่วนร่วมของผู้ประกอบการ ภาคเอกชน ด้วยมาตรการหรือกลไกทางภาษี เพื่อส่งเสริมให้มีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาหรือเรียนรู้ควบคู่กับการทำงาน (Learn to Earn) สำหรับเด็กและเยาวชน เพื่อพัฒนาทักษะการทำงานที่สอดคล้องกับตลาดแรงงาน ศักยภาพของเด็ก และให้มีรายได้เสริมระหว่างการศึกษา โดยทางกระทรวงการคลัง สภาหอการค้าไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และ กสศ. เป็นแกนหลักของเรื่องนี้

รองนายกรัฐมนตรีฯ และประธานคณะกรรมการ TZD กล่าวว่า ในที่ประชุม กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ยังได้รายงานผลการเชื่อมโยงข้อมูลปีการศึกษา 1/2567 เฉพาะสังกัด สพฐ. และ อปท. พบว่า มีนักเรียนจากฐานข้อมูลจำนวน 1.02 ล้านคน เข้าเรียนในระบบการศึกษาแล้ว ทั้งสิ้น 139,690 คน คิดเป็นร้อยละ 13.6 ของจำนวนเด็กและเยาวชนที่ไม่มีชื่อในระบบการศึกษา และในจำนวนการกลับเข้าสู่ระบบดังกล่าว มีจำนวน 22,541 คน ที่ได้รับการจัดสรรเงินอุดหนุนพิเศษแบบมีเงื่อนไข (ทุนเสมอภาค) ของ กสศ. ในการบรรเทาอุปสรรคการมาเรียน เพื่อเป็นการป้องกันการหลุดจากระบบการศึกษาซ้ำ

“ในจำนวนที่เข้ามาเรียนนี้ ส่วนใหญ่เป็น เด็กชั้นอนุบาล และป.1 ที่เข้าเรียนช้า ซึ่งในอนาคต เราพยายาม สร้างความรู้ความเข้าใจ ส่งเสริมให้ครัวเรือนยากจนที่ขาดความพร้อม ทั้งไม่มีเวลา ไม่มีผู้ดูแล ส่งลูกหลานให้ได้รับการดูแลในศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียน หรือโรงเรียน ให้เร็วที่สุด เพราะ เป็นโอกาสได้รับการส่งเสริมพัฒนาการที่เหมาะสมตามวัย รวมถึงได้รับการคุ้มครองดูแลอีกด้วย” นายประเสริฐ กล่าว

Advertisement

รัฐบาลเชิญชวนประชาชนร่วมงานประเพณีลอยกระทง 15 พฤศจิกายน 2567

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 11 พฤศจิกายน 2567 รัฐบาลเชิญชวนประชาชนร่วมงานประเพณีลอยกระทง 15 พฤศจิกายน 2567 ภายใต้แนวคิด “ลอยกระทงวิถีไทย ปลอดภัย ใส่ใจสิ่งแวดล้อม” สืบสานคุณค่าสาระวัฒนธรรมไทย ผลักดันซอฟต์พาวเวอร์ สู่ World Event ชู 5 เมืองอัตลักษณ์ 8 เมืองน่าเที่ยว

นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาล เชิญชวนประชาชนร่วมงานประเพณีลอยกระทง ร่วมกันสืบสาน รักษา ประเพณีลอยกระทงให้คงคุณค่าความเป็นไทย ส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาประเพณีลอยกระทงอันเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมให้เป็น Soft Power เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจของประเทศ ผลักดันประเพณีลอยกระทงให้เป็น World Event เป็นหมุดหมายของนักท่องเที่ยวจากทุกมุมโลก และขอให้พี่น้องชาวไทย ร่วมงานประเพณีลอยกระทงอย่างมีความสุข สนุกสนานรื่นเริง เป็นเจ้าบ้านที่ดีในการต้อนรับชาวต่างชาติ ที่มาร่วมงานลอยกระทง ให้เกิดความประทับใจในประเพณีไทย และเห็นคุณค่าที่แท้จริงของประเพณีไทยที่มีการสืบสานมาอย่างยาวนาน

สำหรับกิจกรรมรณรงค์แนวทางและมาตรการการจัดงานประเพณีลอยกระทงปีนี้ รัฐบาล โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรมบูรณาการความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายต่าง ๆ ภายใต้แนวคิด “ ลอยกระทง วิถีไทย ปลอดภัย ใส่ใจสิ่งแวดล้อมใน 3 ด้าน ได้แก่ 1.ด้านลอยกระทง วิถีไทย 2.ด้านความปลอดภัย และ 3.ด้านใส่ใจสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ยังมีการจัดงานประเพณีลอยกระทง ในวันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน 2567 ณ วัดอรุณราชวราราม ราชวรมหาวิหาร กรุงเทพมหานคร ในส่วนภูมิภาค กระทรวงวัฒนธรรม จัดงานในพื้นที่ 5 เมืองอัตลักษณ์ ได้แก่ เชียงใหม่, สุโขทัย, ตาก, สมุทรสงคราม, ร้อยเอ็ด และพื้นที่ 8 เมืองน่าเที่ยว ได้แก่ กาญจนบุรี, พระนครศรีอยุธยา, ลำปาง, นครราชสีมา, ขอนแก่น, บุรีรัมย์, สุรินทร์, ภูเก็ต และทุกจังหวัดทั่วประเทศ

“รัฐบาลตระหนักถึงความสำคัญ และเร่งขับเคลื่อนนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยว ผ่านการยกระดับภูมิปัญญาไทยสู่วัฒนธรรมสร้างสรรค์ (Creative Culture) พร้อมส่งเสริม Soft Power และภูมิปัญญาพื้นบ้าน (Local Wisdom) พร้อมผลักดันการส่งเสริมคุณค่าเทศกาลประเพณีของชาติ และเทศกาลอื่น ๆ ด้านวัฒนธรรม โดยเฉพาะประเพณีลอยกระทงให้ยกระดับสู่งานเฟสติวัลระดับโลก หรือ World Event เพื่อเป็นหนึ่งในหมุดหมายด้านการท่องเที่ยวที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และต่างชาติ รวมทั้งเม็ดเงินจากการท่องเที่ยวเข้าสู่ประเทศพร้อมกระจายรายได้สู่ชุมชน การจัดงานประเพณีลอยกระทงให้เป็นที่รู้จักในระดับสากลมากยิ่งขึ้น ทั้งเพื่อสืบสานวัฒนธรรมอันดีงามของไทย ควบคู่ไปกับการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน เพื่อให้ทั่วโลกได้ประจักษ์ และสัมผัสกับมนต์เสน่ห์อันน่าประทับใจของวิถีชุมชนริมสายน้ำ ที่เป็นบ่อเกิดแห่งวัฒนธรรมอันหลากหลาย สะท้อนถึงอัตลักษณ์ความเป็นไทยอย่างแท้จริง” นายคารม กล่าว

Advertisement

โฆษก มท. เผย “อนุทิน” ปลื้มผลงาน”ศูนย์ดำรงธรรม” ปี 67 ยุติเรื่องได้ถึง 99.43%

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 7 พฤศจิกายน 2567 “อนุทิน” ชื่นชมการทำงาน “ศูนย์ดำรงธรรม กระทรวงมหาดไทย” หลังผลสำรวจนิด้าโพลเผยประชาชนให้ความเชื่อมั่นสูงสุดเป็นหน่วยงานช่วยเหลือเมื่อไม่ได้รับความเป็นธรรม เผยผลงานปี 67 ยุติเรื่องได้ถึง 99.43%

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขานุการ รมว.มหาดไทย และโฆษกกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ตามที่ “นิด้าโพล” ได้จัดทำและเผยแพร่ผลสำรวจเรื่อง “ทนายความจิตอาสาจริง ๆ” ซึ่งเป็นการสำรวจความไว้วางใจของประชาชนต่อบุคคลหรือหน่วยงานในการขอความช่วยเหลือเมื่อไม่ได้ความยุติธรรมจากคดีความต่างๆ ซึ่งปรากฏว่า “ศูนย์ดำรงธรรม กระทรวงมหาดไทย” เป็นหน่วยงานที่ได้รับคะแนนความไว้วางใจเป็นอันดับหนึ่งที่ 42.06% ซึ่งนับเป็นผลสะท้อนความมุ่งมั่นการทำงานหน่วยงานของกระทรวงมหาดไทย ตามนโยบายของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ที่เน้นย้ำในเรื่องเร่งแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนกรณีประชาชนต้องการความช่วยเหลือ

ทั้งนี้ ปัจจุบันศูนย์ดำรงธรรม เป็นส่วนงานที่ให้การสนับสนุนภารกิจการบริการประชาชนทั้งในส่วนกลางและระดับพื้นที่ ซึ่งที่ผ่านมาได้เป็นกลไกในการสนับสนุนหลายนโยบายสำคัญของรัฐบาล อาทิ ปัญหาหนี้นอกระบบ การจัดระเบียบสังคมและปราบปรามผู้มีอิทธิพล การแก้ไขปัญหายาเสพติดและสิ่งผิดกฎหมาย บริการเบ็ดเสร็จ (OSS) การแก้ไขปัญหาความยากจน

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ในปี 2567 ศูนย์ดำรงธรรมกระทรวงมหาดไทย ได้ให้บริการประชาชน รวมจำนวนทั้งสิ้น 293,531 เรื่อง แบ่งเป็นเรื่องที่ดำเนินการจนได้ข้อยุติ จำนวน 291,841 เรื่อง คิดเป็น 99.43% และเรื่องที่อยู่ระหว่างดำเนินการ เนื่องจากเป็นเรื่องที่มีความซับซ้อนเกี่ยวข้องกับข้อกฎหมายของหลายหน่วยงาน จำนวน 1,690 เรื่อง คิดเป็น 0.57% นอกจากนี้ ได้มีการสำรวจความพึงพอใจของประชาชนต่อการดำเนินงานของศูนย์ดำรงธรรม กระทรวงมหาดไทย พบว่า ในปี 2567 ประชาชนมีความพึงพอใจต่อการดำเนินงานของศูนย์ดำรงธรรม กระทรวงมหาดไทย คิดเป็น 94.30%

“นายอนุทิน ชื่นชมการทำงานของเจ้าหน้าที่ทุกคนตลอดจนผู้มีส่วนเกี่ยวข้องที่ลงมือทำงานหนักจนได้รับความไว้วางใจดังผลสะท้อนออกมาที่โพลซึ่งจัดทำโดยสถาบันที่น่าเชื่อถือ พร้อมมอบกำลังใจขอให้ทุกคนทำหน้าที่เร่งบำบัดทุกข์ บำรุงสุข ให้ประชาชนทุกพื้นที่ของประเทศ” น.ส.ไตรศุลี กล่าว

โฆษกกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ปัจจุบัน ศูนย์ดำรงธรรม กระทรวงมหาดไทย มีโครงสร้างการบริหารงาน 2 ระดับ ได้แก่ 1. ส่วนกลาง คือ ศูนย์ดำรงธรรมกระทรวงมหาดไทย ศูนย์ดำรงธรรมกรม และหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัด และ 2. ส่วนภูมิภาค คือ ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด และศูนย์ดำรงธรรมอำเภอ รวมถึงศูนย์ดำรงธรรมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบในการรับเรื่องร้องเรียน/ร้องทุกข์ ตลอด 24 ชั่วโมง แล้วนำข้อมูลที่ได้รับทำการวิเคราะห์ ติดตาม ประสาน และประเมินผลการทำงาน พร้อมทั้งรายงานความก้าวหน้าของเรื่องที่ได้รับแจ้งกับผู้แจ้งและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง ในกรณีที่เป็นเรื่องเดือดร้อนเร่งด่วน จะมีชุดปฏิบัติการเคลื่อนที่เร็วลงในการพื้นที่ ตามนโยบายทันโลก ทันสมัย ทันท่วงทีของนายอนุทิน

ทั้งนี้ ประชาชนสามารถแจ้งร้องเรียนร้องทุกได้ในหลายช่องทาง ทั้ง สายด่วน 1567 เว็บไซต์ https://damrongdham.moi.go.th/ ตลอดจนการเดินทางมารับบริการด้วยตนเอง (Walk in) ที่ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดและอำเภอทั่วประเทศ

Advertisement

นายกฯ พบผู้แทนพิเศษยูเอ็น ย้ำสนับสนุนเต็มที่โครงการ Road Safety

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 4 พฤศจิกายน 2567 นายกฯ พบผู้แทนพิเศษยูเอ็น ด้านความปลอดภัยทางถนน ย้ำสนับสนุนเต็มที่โครงการ Road Safety พร้อมมีส่วนร่วมสร้างความตระหนักรู้ร่วมกับ UN เพื่อสร้างสังคมที่ปลอดภัยจากอุบัติเหตุทางถนน

วันนี้ (4 พฤศจิกายน 2567) เวลา 10.00 น. ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พบหารือกับนายฌอง ท็อด (Mr. Jean Todt) ผู้แทนพิเศษของเลขาธิการสหประชาชาติด้านความปลอดภัยทางถนน (UN Secretary General’s Special Envoy for Road Safety) และคณะ ในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญของการหารือ ดังนี้

นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณสำหรับการสนับสนุนของสหประชาชาติ รวมทั้งย้ำถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างกันในการเดินหน้าทำงานเพื่อสังคมที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น  ซึ่งผู้แทนพิเศษฯ ได้กล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรีและยินดีที่ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนมุมมองในประเด็นต่าง ๆ ด้านความปลอดภัยทางถนนในระดับประเทศ ภูมิภาค และระดับโลก รวมถึงเป็นการส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองฝ่าย

นายกรัฐมนตรีและผู้แทนพิเศษเห็นพ้องถึงความสำคัญของความปลอดภัยทางท้องถนน (Road Safety) โดยเฉพาะการบูรณาการระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ  ทั้งภาครัฐ และเอกชน รวมไปถึงองค์กรระหว่างประเทศ เพื่อสร้างความตระหนักรู้ถึงความสำคัญของความปลอดภัยทางถนน จะช่วยยกระดับความปลอดภัยบนท้องถนนของไทย ซึ่งไทยพร้อมสนับสนุนสหประชาชาติเพื่อสร้างสังคมที่ปลอดภัยจากอุบัติเหตุทางถนน

โอกาสนี้ ผู้แทนพิเศษฯ ยังได้กล่าวเชิญชวนนายกรัฐมนตรีร่วมแคมเปญโครงการ UN Global Campaign for Road safety ร่วมกับผู้มีชื่อเสียงอื่นๆ เพื่อส่งเสริมความปลอดภัยบนท้องถนนและสร้างถนนที่ปลอดภัย ครอบคลุม และยั่งยืนทั่วโลก ทั้งการคาดเข็มขัดนิรภัย การขับรถอย่างปลอดภัย การสวมหมวกนิรภัย การไม่ส่งข้อความขณะขับรถ และการไม่ขับรถขณะเมาสุรา เป็นต้น

นายกรัฐมนตรียังขอบคุณผู้แทนพิเศษ ฯ ที่นำหมวกกันน็อก จากโครงการ Road Safety ที่สนับสนุนโดย UN เพื่อลดอุบัติเหตุจากการใช้รถ  โดยมีต้นแบบการผลิตหมวกนิรภัยให้มีราคาที่ต่ำกว่า 20 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 600 กว่าบาท และผลิตขึ้นตามมาตรฐาน UN มามอบให้นายกรัฐมนตรี ด้วย

Advertisement

ไทยติด TOP 8 ประเทศที่ร่ำรวยมรดกทางวัฒนธรรมมากที่สุดในโลก ปี 67

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 2 พฤศจิกายน 2567 รัฐบาลปลื้ม! ไทยติด TOP 8 ประเทศที่ร่ำรวยมรดกทางวัฒนธรรมมากที่สุดในโลก ปี 67 อันดับสูงสุดในประเทศแถบเอเชีย เดินหน้าขับเคลื่อนงานวัฒนธรรม ผลักดันให้ติด 1 ใน 25 ประเทศที่มีอิทธิพลด้าน Soft Power มิติวัฒนธรรม

วันเสาร์  2  พฤศจิกายน 2567 เวลา  08.00 น. นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า  ผลสำเร็จการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์ไทย ในรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่มุ่งมั่นยกระดับศักยภาพของคนไทยและทุนทางวัฒนธรรมของประเทศไทยให้เป็นที่รู้จักในระดับสากล สร้างความประทับใจให้คนทั่วโลก ส่งผลต่อการจัดอันดับในหัวข้อ “ประเทศที่ร่ำรวยมรดกทางวัฒนธรรมมากที่สุดในโลก” ประจำปี 2567 บนเว็บไซต์ U.S. News & World Report  ประเทศไทยติดอันดับที่ 8 จากทั้งหมด 89 ประเทศ ถือเป็นอันดับสูงสุดของประเทศแถบเอเชีย

นายจิรายุ กล่าวถึงหลักเกณฑ์พิจารณา จะพิจารณาจากคุณลักษณะของประเทศ 5 ประการ ประกอบด้วย มีวัฒนธรรมที่เข้าถึงได้ มีประวัติศาสตร์อันรุ่งเรือง มีอาหารที่ยอดเยี่ยม มีสถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมมากมาย และมีสถานที่ท่องเที่ยวทางภูมิศาสตร์เป็นจำนวนมาก  ซึ่งจากรายละเอียดการจัดอันดับระบุว่า ประเทศไทยเป็นดินแดนแห่งเสรีภาพและเป็นดินแดนแห่งรอยยิ้ม และเป็นหนึ่งในประเทศที่มีนักท่องเที่ยวไปเยือนมากที่สุดในโลก ผสมผสานระหว่างศิลปวัฒนธรรมดั้งเดิมกับบ้านเมืองที่ทันสมัย มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน มีสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และทางธรรมชาติ หาดทรายและวัดวาอารามที่งดงาม และมีชื่อเสียงด้านการนวดแผนไทยและอาหารที่มีรสชาติยอดเยี่ยม

“สะท้อนให้เห็นว่า ยุทธศาสตร์ของรัฐบาลเดินมาถูกทาง  นายก ฯ แพทองธาร เตรียมขับเคลื่อนงานวัฒนธรรม ให้เป็นเครื่องยนต์เศรษฐกิจตัวใหม่ในการสร้างรายได้ในประเทศเร่งเดินหน้าผลักดันประเทศไทยให้เป็น 1 ใน 25 ประเทศที่มีอิทธิพลด้าน Soft Power ในมิติวัฒนธรรม ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้มาสัมผัสประสบการณ์การท่องเที่ยววัฒนธรรมของไทย” นายจิรายุ ระบุ

Advertisement

นายก ฯ แพทองธาร ยืนยันจะทำให้ประเทศไทยมียาเสพติดน้อยลง

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 1 พฤศจิกายน 2567 นายก ฯ แพทองธาร ยืนยันจะทำให้ประเทศไทยมียาเสพติดน้อยลงและปราบปรามยาเสพติดอย่างเข้มข้นและเด็ดขาด วอนสังคมร่วมเป็นกำลังใจให้กันและกัน

วันนี้ (1 พฤศจิกายน 2567) เวลา 14.30 น. ณ ศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหายาเสพติด (อบต.น้ำใส) ตำบลน้ำใส อำเภอจตุรพักตรพิมาน จังหวัดร้อยเอ็ด นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เยี่ยมชมการฝึกอาชีพและแนวทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้เข้ารับการบำบัด และพบปะพี่น้องประชาชนชาวร้อยเอ็ด   โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมบูธขายสินค้าผู้ผ่านการบำบัดยาเสพติด โดยได้สอบถามพร้อมอุดหนุนสินค้า และให้กำลังผู้ผ่านการบำบัดยาเสพติด ซึ่งผู้ผ่านการบำบัดยาเสพติดได้กล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรีและผู้ที่เกี่ยวข้องที่ได้ทุ่มเทแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างจริงจัง ทำให้มีอาชีพ สร้างรายได้เลี้ยงตัวเองและครอบครัว กลับไปใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างเข้มแข็งด้วย

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการลงพื้นที่ว่า วันนี้นายกรัฐมนตรีพร้อมด้วยคณะรัฐมนตรีตั้งใจมาให้กำลังใจทุกคน ปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาระดับชาติ รัฐบาลได้ประกาศเป็นวาระแห่งชาติ  ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงห่วงใยประชาชนในเรื่องนี้เป็นพิเศษ ปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาที่ไม่สามารถบำบัดรักษาได้เพียงคนเดียวหรือกลุ่มเล็ก ๆ เพียงกลุ่มเดียว แต่ทุกคนต้องช่วยกันเริ่มตั้งแต่สถาบันครอบครัว สถาบันที่ทำงาน จังหวัด รวมถึงระดับประเทศ ในบางครั้งเมื่อมีหัวใจที่อ่อนแอ อาจหลงผิดไปพึ่งสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เช่น ยาเสพติด แต่การจะช่วยพวกเขากลับมาได้นั้นต้องอาศัยกำลังใจอย่างมหาศาล ทั้งนี้ ต้องขอบคุณทุกคนที่มีส่วนในการช่วยให้ผู้บำบัดกลับสู่สังคมได้เร็วขึ้น

นายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมว่า การเดินทางมาจังหวัดร้อยเอ็ดในครั้งนี้เพื่อมาติดตามการดำเนินงาน ประสบปัญหาหรือต้องการอะไรเพิ่มเติม รัฐบาลพร้อมที่จะสนับสนุน ช่วยเหลือ รวมทั้งจะดำเนินนโยบายเกี่ยวกับ   ยาเสพติดอย่างเต็มที่ นอกจากนั้น รัฐบาลยืนยันว่าจะทำให้ประเทศไทยมียาเสพติดน้อยลงและปราบปรามยาเสพติดอย่างเข้มข้นและเด็ดขาด ขอให้ทุกคนช่วยเป็นกำลังใจให้กันและกัน

สำหรับการดำเนินงานศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหายาเสพติด ตำบลน้ำใส อำเภอจตุรพักตรพิมาน บำบัดรักษาโดยชุมชนเป็นศูนย์กลาง CBTx  สำหรับกลุ่มผู้เสพ ชุดปฏิบัติการประจำตำบลนำเข้าสู่กระบวนการบำบัดผ่านกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต สร้างการรับรู้ ส่งเสริมสุขภาพ และตรวจปัสสาวะหาสารเสพติดทุกครั้ง จนครบ 9 ครั้ง ดำเนินการต่อเนื่องตามระยะห่าง 4 วัน/ครั้ง มีกลุ่มเป้าหมายเข้ารับการบำบัดรักษา CBTx 620 คน ผลปัสสาวะเป็นลบ 481 คน ผลปัสสาวะเป็นบวก 139 คน (ส่งเข้ารับการรักษาต่อมินิธัญญารักษ์ โรงพยาบาลจตุรพักตรพิมาน) ภายหลังทำการบำบัดรักษา ผู้บำบัดมีงานทำ จากการขยายโอกาสทางการศึกษา เพิ่มพูน ฝึกฝนทักษะ สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน เกิดการเรียนรู้ ตลอดชีวิต โดยมีหน่วยงานสนับสนุน เช่น ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ระดับอำเภอจตุรพักตรพิมาน สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน เป็นต้น ทำให้ผู้ผ่านการบำบัดมีอาชีพ สร้างรายได้เลี้ยงตัวเองและครอบครัวห่างไกลจากยาเสพติด

Advertisement

ดีอี เตือน “ภาพผู้ต้องหา THE iCON GROUP ในเรือนจำ” เป็นข่าว-ภาพปลอม

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 26 ตุลาคม 2567 ดีอี เตือน ข่าวปลอม “เผยภาพผู้ต้องหา THE iCON GROUP ในเรือนจำ” ขออย่าเชื่อ-แชร์ หวั่นทำสังคมเข้าใจผิดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ตรวจพบข่าวปลอมรายสัปดาห์ ที่ประชาชนให้ความสนใจสูงสุดอันดับที่ 1 เรื่อง “เผยภาพผู้ต้องหา THE iCON GROUP ในเรือนจำ” รองลงมาคือเรื่อง “ดิจิทัลวอลเล็ตเฟส 2 ผู้ลงทะเบียนได้รับทุกคนในเดือนธันวาคม จะโอนเงินเข้าแอปฯ ทางรัฐ” โดยขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข่าวปลอม เลือกเชื่อ เลือกแชร์ ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ หวั่นสร้างความวิตกกังวล ความสับสน ความเข้าใจผิด และส่งผลกระทบต่อประชาชนในสังคมเป็นวงกว้าง

นายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) ในฐานะโฆษกกระทรวงฯ กล่าวถึงผลการมอนิเตอร์และรับแจ้งข่าวปลอมของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ระหว่างวันที่ 11-17 ตุลาคม 2567 พบข้อความที่เข้ามาทั้งหมด 821,387 ข้อความ โดยมีข้อความที่ต้องดำเนินการตรวจสอบ (Verify) ทั้งสิ้น 400 ข้อความ

สำหรับช่องทางที่มีการพบเบาะแสมากที่สุด คือ ข้อความที่มาจาก Social Listening จำนวน 375 ข้อความ ตามมาด้วยการแจ้งเบาะแสผ่าน Line Official จำนวน 21 ข้อความ และช่องทาง Facebook จำนวน 4 ข้อความ รวมเรื่องที่ต้องดำเนินการตรวจสอบทั้งหมด 248 เรื่อง และจากการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้รับผลการตรวจสอบกลับมาแล้ว 101 เรื่อง

ทั้งนี้ กระทรวงดีอี ได้แบ่งข่าวปลอมที่ได้รับความสนใจเป็น 5 กลุ่ม ประกอบด้วย

กลุ่มที่ 1 : นโยบายรัฐบาล ข่าวสารทางราชการ ความสงบเรียบร้อยของสังคม ขัดศีลธรรมอันดี และความมั่นคงภายในประเทศ จำนวน 95 เรื่อง

กลุ่มที่ 2 : ผลิตภัณฑ์สุขภาพ วัตถุอันตราย เครื่องสำอาง รวมถึงสินค้าและบริการที่ผิดกฎหมายจำนวน 30 เรื่อง

กลุ่มที่ 3 : ภัยพิบัติ จำนวน 27 เรื่อง

กลุ่มที่ 4 : เศรษฐกิจ จำนวน 8 เรื่อง

กลุ่มที่ 5 : กลุ่มอาชญากรรมออนไลน์ จำนวน 88 เรื่อง

นายเวทางค์ กล่าวต่อว่า เมื่อพิจารณาจากข่าวปลอมที่ได้รับความสนใจในลำดับต้นๆ ในสัปดาห์นี้ พบว่าเป็นข่าวเกี่ยวกับหน่วยงานรัฐ และนโยบายของรัฐ ซึ่งเป็นข่าวที่เกี่ยวข้อง และมีผลกระทบต่อสังคม สร้างความวิตกกังวล หรือความเข้าใจผิด โดยข่าวที่ได้รับความสนใจจากประชาชนมากที่สุด 10 อันดับ ได้แก่

อันดับที่ 1 : เรื่อง เผยภาพผู้ต้องหา THE iCON GROUP ในเรือนจำ

อันดับที่ 2 : เรื่อง ดิจิทัลวอลเล็ตเฟส 2 ผู้ลงทะเบียนได้รับทุกคนในเดือนธันวาคม จะโอนเงินเข้าแอปฯ ทางรัฐ

อันดับที่ 3 : เรื่อง พายุไต้ฝุ่น เข้ามาอีก 3 ลูก น้ำท่วมกรุงเทพฯ แน่นอน

อันดับที่ 4 : เรื่อง หากคอเลสเตอรอลสูง และไตรกลีเซอไรด์สูง ไม่ต้องทานยา เพราะยาเป็นสาเหตุให้เกิดโรคหัวใจ

อันดับที่ 5 : เรื่อง ต้นต้อยติ่งนำไปต้มน้ำ แล้วนำมาดื่มก่อนอาหาร เช้า เย็น สามารถช่วยฟื้นฟูไตได้

อันดับที่ 6 : เรื่อง การไฟฟ้าแจ้งเปลี่ยนมิเตอร์ไฟฟ้าเป็นแบบดิจิตอลให้ฟรี โดยให้ติดต่อผ่านไลน์

อันดับที่ 7 : เรื่อง ทำ IF ปล่อยให้ร่างกายหิว ช่วยกำจัดเซลล์ที่ป่วย และโรคอัลไซเมอร์

อันดับที่ 8 : เรื่อง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เปิดให้ติดต่อ PEA e-Service โดยส่งเอกสารผ่านไลน์ และสนทนาวิดีโอคอลกับเจ้าหน้าที่

อันดับที่ 9 : เรื่อง เจ้าหน้าที่กรมขนส่งเปิดช่องทางให้ ลงทะเบียนทำใบขับขี่ออนไลน์เพียง 1 ชั่วโมง ผ่านเพจ ศูนย์การจัดการออกบัตรใบขับขี่ DLT

อันดับที่ 10 : เรื่อง กรุงไทยเปิดให้ลงทะเบียนอาชีพอิสระ แม่ค้า ลูกจ้าง กู้ได้ 5 หมื่น ผ่อน 826 บาท/เดือน

“เมื่อพิจารณาจากข่าวปลอมที่ประชาชนสนใจมากที่สุด จาก 10 อันดับข้างต้น พบว่าเป็นข่าวที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานรัฐและโครงการของรัฐ มากถึง 6 อันดับ และข่าวที่เกี่ยวข้องกับภัยพิบัติ สุขภาพ ซึ่งทั้งหมดมีผลกระทบต่อประชาชน อาจทำให้เกิดความวิตกกังวล ความสับสน สร้างความเสียหาย การเข้าใจผิด ให้กับประชาชนเป็นวงกว้าง หากมีการแชร์ส่งต่อกันไปในสังคม” นายเวทางค์ กล่าว

สำหรับอันดับ 1 เรื่อง “เผยภาพผู้ต้องหา THE iCON GROUP ในเรือนจำ” พบว่าเป็นข้อมูลเท็จ โดยกระทรวงดีอีได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงร่วมกับกรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม ถึงกรณีที่มีการเผยแพร่ภาพผู้ต้องหา THE iCON GROUP ขณะที่อยู่ในเรือนจำ ทางสื่อต่าง ๆ นั้น พบว่าภาพดังกล่าวเป็นภาพประกอบในละคร “ศีล 5 คนกล้า ท้าอธรรม” ซึ่งภาพดังกล่าวไม่มีความเกี่ยวข้องกับกรมราชทัณฑ์ และมิใช่ภาพจำลองเหตุการณ์จริง รวมถึงไม่ใช่สถานที่ภายในเรือนจำแต่อย่างใด

โดยหากมีการแชร์ส่งต่อกันไปอาจทำให้สังคมเข้าใจผิดว่าเป็นภาพที่ถ่ายจากภายในเรือนจำของกรมราชทัณฑ์ ดังนั้นขอเตือนให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลที่ถูกต้องจาก กรมราชทัณฑ์ สามารถติดตามได้ที่ www.correct.go.th หรือ โทร. 02-967-2222

ด้านข่าวปลอม อันดับ 2 “ดิจิทัลวอลเล็ตเฟส 2 ผู้ลงทะเบียนได้รับทุกคนในเดือนธันวาคม จะโอนเงินเข้าแอปฯ ทางรัฐ” พบว่าเป็นข้อมูลเท็จ โดยกระทรวงดีอีได้ประสานงานตรวจสอบคลิปข้อมูลกล่าวร่วมกับสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) และขอชี้แจงว่า ปัจจุบัน “แอปพลิเคชันทางรัฐ” ยังไม่มีการเชื่อมโยงกับบัญชีธนาคารและไม่มีการเก็บข้อมูลบัญชีธนาคารของประชาชนแต่อย่างใด ดังนั้นจึงไม่มีการโอนเงินเข้า “แอปฯ ทางรัฐ” โดยขณะนี้ “แอปทางรัฐ” จะมีการเชื่อมโยงข้อมูลและบริการของหน่วยงานรัฐเท่านั้น ภายใต้วิธีการเชื่อมต่อที่มีการควบคุมกำกับดูแล และมีความมั่นคงปลอดภัยสูง ไม่มีการเปิดให้บุคคลทั่วไป หรือภาคเอกชน หรือธนาคารเชื่อมโยงข้อมูลบัญชีและระบบบริการกับแอปพลิเคชันแต่อย่างใด ดังนั้นขอเตือนให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ โดยสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารจากสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล ได้ที่เว็บไซต์ www.dga.or.th หรือ โทร. 02-612-6060

อย่างไรก็ตาม ดีอี มีความห่วงใยประชาชน เรื่องความตระหนักรู้เท่าทันข่าวปลอมที่ถูกแพร่กระจายบนสื่อออนไลน์ โซเชียล ซึ่งหากขาดความรู้เท่าทัน ส่งต่อข้อมูลข่าวปลอม ทำให้เกิดการหลงเชื่อ สร้างความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน สร้างความเสียหายต่อทรัพย์สิน หรือข้อมูลส่วนบุคคล และอาจส่งผลกระทบต่อประชาชนในสังคมเป็นวงกว้าง ดังนั้นจึงควรตรวจสอบข้อเท็จจริงของข่าวหรือลิงก์เว็บไซต์ให้แน่ชัด

สามารถแจ้งเบาะแส ข่าวปลอม และอาชญากรรมออนไลน์ทุกรูปแบบ โทรสายด่วน 1111 (24 ชม.)

|  Line ID: @antifakenewscenter | เว็บไซต์ www.antifakenewscenter.com

Advertisement

นายกฯ ชวนคนไทยร่วมกิจกรรม “เดินวิ่งปั่น ป้องกันอัมพาตครั้งที่ 10 เฉลิมพระเกียรติในหลวง”

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 26 ตุลาคม 2567 นายกรัฐมนตรี ชวนคนไทยทั้งประเทศร่วมกิจกรรม “เดินวิ่งปั่น ป้องกันอัมพาตครั้งที่ 10 เฉลิมพระเกียรติในหลวง เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ” เสาร์ที่ 2 พ.ย.นี้

วันนี้ (26 ตุลาคม 2567) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ชวนคนไทยทั้งประเทศร่วมออกกำลังกายในโครงการ “เดิน วิ่ง ปั่น ป้องกันอัมพาต ครั้งที่ 10 เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567”  ซึ่งจัดโดยคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล , ศูนย์โรคหลอดเลือดสมองศิริราช , ศิริราชมูลนิธิ และภาคีเครือข่ายภาครัฐและเอกชนกว่า 40 หน่วยงาน

ทั้งนี้ กิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินี ที่ทรงเป็นแบบอย่างแก่ประชาชนชาวไทยในการรักษาสุขภาพและการออกกําลังกาย  ตลอดจนจัดกิจกรรมสร้างความตระหนักรู้โรคหลอดเลือดสมอง ภายใต้หัวข้อ “คนไทยสมองดี” หรือ “Healthy Thais, Healthy Brains” และรณรงค์เชิญชวนคนไทยให้หันมาออกกําลังกายเพื่อสุขภาพที่แข็งแรง อันจะเป็นการป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดสมองได้ในอีกทางหนึ่ง

นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงความสำคัญในการมีสุขภาพที่ดีของประชาชน ผ่านวิดีโอประชาสัมพันธ์โครงการว่า “สุขภาพคือสิ่งที่สำคัญที่สุดของทุกคน ไม่ว่าจะยากดีมีจนอย่างไรหรือเพศใดก็ตาม ถ้าสุขภาพดีก็คือพื้นฐานของความแข็งแรง (เปรียบได้กับ) ถ้ามีบ้านที่แข็งแรง บ้านสะอาด บ้านเรียบร้อย ผู้อาศัยก็จะอยู่สบาย”

นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อในประเด็นการดำเนินนโยบายของรัฐบาลด้านสุขภาพและการท่องเที่ยวว่า “รัฐบาลนี้เน้นเรื่องการดูแลสุขภาพไม่ว่าจะเป็นนโยบายของกระทรวงสาธารณสุข 30 บาท รักษาทุกที่ ที่ในปลายปีนี้จะสามารถดูแลประชาชนได้ทั่วทุกพื้นที่ ในส่วนของกรุงเทพมหานครได้มีการสร้างสวนสาธารณะเพิ่มมากขึ้นเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนได้เดิน (ออกกำลังกาย) นอกจากนี้รัฐบาลได้ส่งเสริมการกีฬาและการท่องเที่ยวผ่านนโยบาย Thailand Grand Tourism & Sport Year ในปี 2568 ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่น่าเที่ยวมากยิ่งขึ้น เป็นมิตรกับนักท่องเที่ยวมากยิ่งขึ้น”

สำหรับประชาชนที่มีความประสงค์จะร่วมออกกำลังกายในวันดังกล่าว สามารถสวมเสื้อสีเหลืองแบบใดก็ได้เข้าร่วมกิจกรรม ณ สถานที่จัดกิจกรรมซึ่งถูกจัดไว้ในแต่ละจังหวัด สำหรับกิจกรรมส่วนกลางจัด ณ สนามลู่ปั่นจักรยานเจริญสุขมงคลจิต หรือติดตามรายละเอียดการจัดกิจกรรมเพิ่มเติมได้ที่ เฟซบุ๊กแฟนเพจ WRB Fighting Stroke

Advertisement

Verified by ExactMetrics