วันที่ 5 กรกฎาคม 2025

วว. แนะกิน “แตงโม” ป้องกันการติดเชื้อ

People Unity News : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดย สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) แนะทาน “แตงโม” เพื่อช่วยคลายร้อน คลายความเครียด ด้วยคุณสมบัติอุดมด้วยสารอาหาร ที่ให้ประโยชน์กับร่างกาย ส่งผลดีต่อระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยป้องกันการติดเชื้อ รักษาแผลให้หายเร็ว ลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็ง โรคหัวใจ ในสภาวะที่มีแรงกดดันมากมายในยุคปัจจุบัน การรับประทานแตงโมสามารถช่วยลดความตึงเครียดได้ เพราะสารโพแทสเซียมในแตงโมจะช่วยควบคุมความดันโลหิตทำให้รู้สึกผ่อนคลาย อารมณ์ดี เย็นชื่นใจ เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย นอกจากนี้แตงโมยังมีสารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายในด้านต่างๆ ดังนี้

“ช่วยป้องกันการติดเชื้อ” เพราะการดื่มน้ำแตงโมจะช่วยเพิ่มเบต้าแคโนทีน (Beta Carotene) ซึ่งร่างกายสามารถนำไปใช้ในการสร้างวิตามินเอ หากร่างกายมีวิตามินเอในปริมาณมากๆ จะมีผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร ระบบทางเดินหายใจ และระบบขับปัสสาวะ รวมถึงยังช่วยบำรุงผิวพรรณและเส้นผมให้แข็งแรงอีกด้วย

“ช่วยรักษาแผลให้หายเร็วขึ้น” แตงโมมีสารซิตรัลลีน (citrulline) อยู่มาก โดยสารนี้จะไปช่วยในการรักษาแผลให้หายเร็วขึ้น ทั้งนี้ในการรับประทานแตงโมไม่ใช่เพียงจะดื่มน้ำแตงโมอย่างเดียว เราควรกินเนื้อแตงโมเข้าไปด้วย โดยเฉพาะในส่วนที่เป็นเนื้อสีขาวที่อยู่ลึกลงไป แม้รสชาติจะไม่ค่อยหวาน แต่มีประโยชน์มากมายต่อร่างกาย

“ช่วยต้านมะเร็ง มีประโยชน์ต่อหัวใจ” แตงโมมีสารสำคัญสีแดงที่มีชื่อว่า “ไลโคปีน” (Lycopene) ที่ช่วยในการต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งและโรคหัวใจ ซึ่งสารนี้จะมีอยู่มากในมะเขือเทศด้วยเช่นกัน แต่เมื่อเทียบกันแล้วแตงโมจะมีมากกว่าถึง 40% นอกจากนี้วารสารวิชาการ “โรคมะเร็ง” แห่งเอเชียแปซิฟิก ได้ระบุว่าสารไลโคปีนนี้จะช่วยเป็นโล่ปกป้องผิวหนังจากรังสีอัลตราไวโอเลตจากแสงแดด เพื่อไม่ให้เป็นมะเร็งผิว

นอกจากนี้ทีมนักวิจัยจาก Florida State University พบว่าแตงโมมีกรดอะมิโน L-Citrulline อยู่มาก ซึ่งกรดชนิดนี้เป็นสารตั้งต้นของ L-Arginine ที่ช่วยควบคุมการทำงานของหลอดเลือดหัวใจและช่วยให้การไหลเวียนโลหิตเป็นไปโดยสะดวก จำเป็นต่อการสร้างกรดไนตริก ซึ่งเป็นก๊าซที่ช่วยขยายหลอดเลือด ช่วยลดความดันโลหิตและป้องกันเส้นเลือดสมองแตกได้

“มีประโยชน์ต่อคนที่เป็นโรคอ้วนและเบาหวาน” แตงโมมีแคลอรี่ต่ำและยังอุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ ที่มีประโยชน์ วารสารโภชนาการของต่างประเทศ “Journal of Nutrition” ได้ให้ข้อมูลว่า กรดอะมิโนในแตงโมที่มีชื่อว่า “อาร์จินิน (Arginine)” มีอยู่มากมายในเนื้อแตงโม เป็นสารที่ช่วยในการเผาผลาญแคลอรี่ได้ ช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมันและกลูโคส ส่วนไขมันในแตงโมมี 96 แคลอรี่เท่านั้น ฉะนั้นการกินแตงโมที่ชุ่มฉ่ำด้วยน้ำ จะช่วยทำให้เราอิ่มได้เร็วขึ้น

“แตงโมกับความงาม” ความเย็นของแตงโมจะช่วยผ่อนคลายผิวหน้าภายนอกให้ดูสดชื่น ส่วนสารสีแดงจากแตงโม คือ ไลโคปีน ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) จะสามารถดูดซับความมันบนใบหน้าได้เป็นอย่างดี และวิตามินเอที่มีในแตงโมจะช่วยให้ผิวพรรณกระจ่างใสขึ้น และวิตามินซีจะช่วยให้ผิวกายสดใสขึ้น แตงโมสีแดงสดยังเต็มไปด้วยโพแทสเซียมที่จะช่วยควบคุมระบบการไหลเวียนของโลหิตในบริเวณผิวหน้าให้เป็นปกติ อีกทั้งยังช่วยให้รูขุมชนมีความยืดหยุ่น ชุ่มชื่น น้ำของแตงโมก็มีประโยชน์ต่อผิวสวยของทุกคน เพราะในน้ำของแตงโมจะมีโมเลกุลของน้ำตาล รวมทั้งมีกรดอะมิโนอยู่เล็กน้อย ซึ่งจะช่วยในการบำรุงผิวของสาวๆ ให้สวยใสยิ่งขึ้น

แม้ว่าแตงโมแช่เย็นจะให้ความสดชื่นแก่ผู้รับประทาน แต่อาจมีคุณค่าทางโภชนาการลดลงเมื่อเทียบกับแตงโมที่เก็บไว้ที่อุณหภูมิห้อง เนื่องจากแตงโมยังผลิตสารอาหารต่อเนื่องแม้ถูกเก็บมาจากต้นแล้ว ซึ่งกระบวนการนี้จะลดลงหากนำแตงโมไปเก็บในอุณหภูมิเย็น อย่างไรก็ตามรสเย็นของแตงโมก็มีส่วนช่วยในเรื่องระบบขับถ่ายและระบบย่อยอาหาร นอกจากนี้ “แตงโม” ยังมีคุณค่าทางสมุนไพร อาทิ “ราก” มีน้ำยางใช้กินแก้อาการตกเลือดหลังการแท้ง “ใบ” ใช้ชงเป็นยาลดไข้ ผลที่แสนอร่อยนั้นมีคุณสมบัติเป็นยาเย็น ช่วยระบาย ขับปัสสาวะ ช่วยย่อย แก้เบาหวาน และดีซ่าน จากคุณประโยชน์ที่หลากหลายนี้แตงโมจึงเป็นผลไม้เพื่อสุขภาพอีกทางเลือกหนึ่งของคนรักสุขภาพทุกๆท่าน

โฆษณา

สนง.ประกันสังคมเร่งนายจ้างส่งหนังสือรับรองการหยุดงานของลูกจ้างเพื่อลูกจ้างรับเงิน 5 พัน

{"subsource":"done_button","uid":"2A67EC0C-8EC8-4FCE-81C7-7331C4100FF9_1580973473718","source":"other","origin":"gallery","source_sid":"2A67EC0C-8EC8-4FCE-81C7-7331C4100FF9_1584793653401"}

People Unity News : ประกันสังคมขอให้นายจ้างที่สั่งไม่ให้ลูกจ้างทำงานเพราะเหตุสุดวิสัยหรือกรณีนายจ้างถูกรัฐมีคำสั่งหยุดสถานประกอบกิจการ เร่งส่งหนังสือรับรองการหยุดงานของลูกจ้างผ่าน www.sso.go.th

นับตั้งแต่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการเพิ่มสิทธิประโยชน์กรณีว่างงานเนื่องจาก เหตุสุดวิสัย กรณีผู้ประกันตนไม่ได้ทำงานหรือนายจ้างไม่ให้ทำงานกักตัว 14 วัน เนื่องจากสัมผัสหรือใกล้ชิดผู้ติดเชื้อโควิด-19 และกรณีหน่วยงานภาครัฐมีคำสั่งให้นายจ้างหยุดประกอบกิจการเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ ทั้ง 2 กรณี สำนักงานประกันสังคมจะจ่ายสิทธิประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานในอัตราร้อยละ 62 ของค่าจ้างรายวันให้รับตลอดระยะเวลาที่หยุดงาน ทั้งนี้ให้รับไม่เกิน 90 วัน โดยสำนักงานฯเปิดช่องทางให้บริการขอรับสิทธิประโยชน์ว่างงานเนื่องจากเหตุสุดวิสัยเพื่อรองรับมาตรการดังกล่าวเป็นการเฉพาะ โดยผู้ประกันตนจะต้องยื่นขอรับสิทธิและนายจ้างมีหน้าที่รับรองการหยุดงานของลูกจ้างอันเนื่องจากเหตุสุดวิสัยผ่าน e-form บนหน้าเว็บไซต์ www.sso.go.th ผลปรากฏมีผู้ประกันตนยื่นขอรับสิทธิเป็นจำนวนมากแต่ยังขาดนายจ้างรับรองการหยุดงานดังกล่าว

สื่อมวลชนได้รับการเปิดเผยว่าปัจจุบันมีผู้ประกันตนยื่นคำขอผ่านทาง e- form จำนวนกว่า 300,000 ราย และมีนายจ้างยื่นการรับรองผ่านทาง e-form จำนวนเพียงกว่า 30,000 ราย เมื่อเร่งดำเนินการตรวจสอบข้อมูลเพื่อจะสามารถทำการจ่ายเงินได้ทันทีเมื่อกฎหมายมีผลใช้บังคับ แต่พบว่านายจ้างส่วนใหญ่ยังไม่ยื่นการรับรองการหยุดงานของลูกจ้างอันเนื่องมาจากเหตุสุดวิสัย ดังนั้นขอให้นายจ้างในกลุ่มดังกล่าว เร่งยื่นรับรองการหยุดงานของลูกจ้างอันเนื่องมาจากเหตุสุดวิสัยผ่านช่องทาง e-form บนหน้าเว็บไซต์ www.sso.go.th โดยเร็วเพื่อประโยชน์แก่ตัวของลูกจ้างในสถานประกอบการนั้นเอง

ทั้งนี้ ในการยื่นรับรองการหยุดงานของลูกจ้างอันเนื่องมาจากเหตุสุดวิสัย นายจ้างเพียงระบุ วันที่หยุดงาน และวันที่ครบกำหนด โดยยื่นแบบทาง e-Form บนหน้าเว็บไซต์ www.sso.go.th สำนักงานประกันสังคมจะตอบยืนยันการรับข้อมูลของนายจ้างผ่านทาง e-mail ที่นายจ้างได้แจ้งไว้ ขณะนี้มีผู้ประกันตนได้รับความเดือดร้อนเป็นจำนวนมากจึงขอความร่วมมือให้ทุกภาคส่วนทำหน้าที่อย่างครบถ้วน ในส่วนของสำนักงานประกันสังคมก็ได้เร่งรัดการดำเนินการเพื่อให้สิทธิประโยชน์ถึงมือผู้ประกันตนโดยเร็ว

โฆษณา

การบินพลเรือนฯประกาศห้ามเครื่องบินโดยสารบินเข้าสู่ประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 7-18 เม.ย.2563

People Unity News : สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ประกาศห้ามอากาศยานทำการบินเข้าสู่ประเทศไทยเป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 7 – 18 เมษายน 2563

ประกาศสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย

เรื่อง ห้ามอากาศยานทำการบินเข้าสู่ประเทศไทยเป็นการชั่วคราว (ฉบับที่ 2)

ตามที่ได้มีประกาศสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย เรื่อง ห้ามอากาศยานทำการบินเข้าสู่ประเทศไทยเป็นการชั่วคราว ประกาศ ณ วันที่ 3 เมษายน 2563 เพื่อป้องกันมิให้สถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID 19) รุนแรงมากยิ่งขึ้น และเพื่อสนับสนุนการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินข้างต้นให้ยุติลงโดยเร็ว นั้น

ด้วยเหตุผลและความจำเป็นในการคงความต่อเนื่องของมาตรการดังกล่าวเพื่อประสิทธิผลในการป้องกันและควบคุมโรค อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 27 และมาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติการเดินอากาศ พ.ศ. 2497 ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยจึงมีคำสั่ง ดังต่อไปนี้

1.ห้ามอากาศยานขนส่งคนโดยสารทำการบินเข้ามายังท่าอากาศยานในประเทศไทยเป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 7 เมษายน 2563 เวลา 00.01 น. จนถึงวันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 23.59 น.

2.การอนุญาตการบินที่สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยได้ออกให้แก่อากาศยานขนส่งคนโดยสาร สำหรับการบินเข้าสู่ประเทศไทยในช่วงระยะเวลาตาม 1. ให้เป็นอันยกเลิก

3.ข้อห้ามตาม 1. ไม่รวมถึงอากาศยานดังต่อไปนี้

(1) อากาศยานราชการหรือที่ใช้ในราชการทหาร (State or Military aircraft)

(2) อากาศยานที่ขอลงฉุกเฉิน (Emergency landing)

(3) อากาศยานที่ขอลงทางเทคนิค (Technical landing) โดยไม่มีผู้โดยสารออกจากเครื่อง

(4) อากาศยานที่ทำการบินเพื่อให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรม ทำการบินทางการแพทย์ หรือการขนส่งสิ่งของเพื่อสงเคราะห์แก่ผู้ได้รับผลกระทบจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID 19) (Humanitarian aid, medical and relief flights)

(5) อากาศยานที่ได้รับอนุญาตให้ทำการบินรับส่งบุคคลกลับภูมิลำเนา (Repatriation)

(6) อากาศยานขนส่งสินค้า (Cargo aircraft)

4.ให้ผู้โดยสารบนอากาศยานที่ได้ออกเดินทางจากท่าอากาศยานต้นทางก่อนประกาศนี้ใช้บังคับอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อและข้อกำหนดที่ออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการใน สถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 โดยต้องได้รับการกักตัวเป็นเวลา 14 วัน

ทั้งนี้ บัดนี้เป็นต้นไปหรือจนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลง

ประกาศ ณ วันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2563

นายจุฬา สุขมานพ

ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย

โฆษณา

ออมสินเปิดให้บริการตามปกติพรุ่งนี้ 7 เม.ย. เตรียมรองรับจ่ายเงินเยียวยา 5 พันวันแรก 8 เม.ย.

People Unity News : ออมสินเปิดให้บริการตามปกติตั้งแต่ 7 เม.ย.63 เป็นต้นไป ยังจำกัดผู้ใช้บริการต่อวันเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 เตรียมพร้อมรองรับประชาชนเบิกเงินเยียวยา 5,000 ของรัฐรอบแรก แนะนำ “ได้รับเงินเยียวยาโอนเข้าบัญชีแล้ว ถอนเงินที่ตู้ ATM ได้ทุกธนาคาร”

ดร.ชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้เตรียมโอนเงิน  ให้ผู้ที่ขอรับสิทธิ์ตาม “มาตรการเยียวยา 5,000 บาท (3 เดือน)” ในวันที่ 8 เมษายน 2563 เป็นวันแรกนั้น ธนาคารออมสินคาดว่าจะมีลูกค้าและประชาชนมาใช้บริการที่สาขาเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อเปิดบัญชีใหม่ ผูกพร้อมเพย์ที่สาขาเพื่อให้การโอนเงินได้รับความสะดวก ธนาคารฯ จึงได้เตรียมความพร้อมบริหารจัดการการให้บริการที่สาขาให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดรวมทั้งคำนึงถึงมาตรการด้านความปลอดภัยตามหลัก Social Distancing ของกระทรวงสาธารณสุข เพื่อไม่ให้การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ขยายไปในวงกว้างและเป็นการรับผิดชอบต่อสังคมโดยรวมด้วย รวมถึงพระราชกำหนดบริหารราชการแผ่นดินในภาวะฉุกเฉิน พ.ศ.2548 เพื่อเฝ้าระวังป้องกันและควบคุมนั้น โดยตั้งแต่วันที่ 7 เมษายน 2563 เป็นต้นไป สาขาของธนาคารออมสินจะเปิดให้บริการตามปกติ แต่จะจำกัดการให้บริการหน้าเคาน์เตอร์เป็นบางธุรกรรม ได้แก่ จำกัดการเปิดบัญชีใหม่และผูกพร้อมเพย์วันละไม่เกิน 50 คิว และเบิกถอนเงินหน้าเคาน์เตอร์สาขาวันละไม่เกิน 100 คิว

ทั้งนี้ ขอแนะนำว่าการเบิกถอนเงินสดนั้น ผู้ที่ได้รับสิทธิ์ได้รับโอนเงินเข้าบัญชีแล้ว สามารถถอนเงินที่ตู้เอทีเอ็มได้ทุกธนาคาร ส่วนลูกค้าของธนาคารออมสินสามารถใช้บริการผ่าน Mobile Banking on MyMo ของธนาคารออมสิน และช่องทางอิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ และออนไลน์ของธนาคารฯได้ตลอด 24 ชั่วโมง

อย่างไรก็ตาม สำหรับการลงทะเบียนเพื่อขอรับเงินช่วยเหลือชดเชยรายได้ของผู้ที่ได้รับผลกระทบฯ จำนวน 5,000 บาทนั้น ธนาคารฯขอย้ำถึงหลักความปลอดภัย “3 ไม่” คือ 1.ไม่ต้องมาธนาคาร โดยสามารถลงทะเบียนออนไลน์ได้ที่บ้านผ่านเว็บไซต์เราไม่ทิ้งกันเท่านั้น ซึ่งเปิดรับลงทะเบียนอย่างต่อเนื่องและยังไม่มีกำหนดปิดรับ 2.ไม่ต้องเปิดบัญชีใหม่ โดยใช้บัญชีธนาคารเดิมที่มีอยู่แล้วบัญชีใดก็ได้ และ 3.ไม่ต้องไปรับเงินที่ธนาคาร เพราะผู้ได้รับสิทธิ์จะได้รับเงินโอนเข้าบัญชีพร้อมเพย์หรือบัญชีที่ได้แจ้งในการลงทะเบียนไว้

โฆษณา

รัฐบาลสั่งซื้อยา Favipiravir รักษาผู้ป่วยโควิดจากญี่ปุ่นและจีน เม.ย.นี้เข้ามาอีก 2 แสนเม็ด

People Unity News : รัฐบาลมอบให้กระทรวงสาธารณสุข จัดหายา Favipiravir โดยสั่งซื้อจาก 2 แหล่งหลักคือญี่ปุ่นและจีน รวมแล้วกว่า 2.87 แสนเม็ด กระจายให้กับโรงพยาบาลในเขตกรุงเทพและปริมณฑล และ 12 เขตสุขภาพ รักษาผู้ป่วยโควิด-19 องค์การเภสัชกรรมพร้อมจัดหาเพิ่มอย่างต่อเนื่อง

นายแพทย์วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยมอบให้กระทรวงสาธารณสุข จัดหายาฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir) ซึ่งเป็นยาสำคัญสำหรับผู้ติดเชื้อโควิด -19 มีแหล่งผลิตอยู่ 2 แหล่งหลัก คือญี่ปุ่นเจ้าของลิขสิทธิ์และจีนซึ่งได้รับลิขสิทธิ์จากญี่ปุ่น รวมได้รับยามาแล้ว 87,000 เม็ด โดย เมื่อ 24 กุมภาพันธ์ 2563 กรมควบคุมโรคได้นำเข้ายาจากประเทศญี่ปุ่นจำนวน 5,000 เม็ด  เมื่อวันที่ 2  มีนาคม 2563 รัฐบาลจีนได้บริจาคให้รัฐบาลไทยจำนวน 2,000 เม็ด  เมื่อ 12 มีนาคม 2563 กรมควบคุมโรคนำเข้ายาจากประเทศญี่ปุ่นจำนวน 40,000 เม็ด ส่งมอบให้สถาบันบำราศนราดูร ,กรมการแพทย์ ,โรงพยาบาลใน 12 เขตสุขภาพแล้ว และเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2563 องค์การเภสัชกรรมได้จัดซื้อจากญี่ปุ่น 40,000 เม็ด ส่งให้โรงพยาบาลราชวิถี 18,000 เม็ด เพื่อกระจายให้กับโรงพยาบาลในเขตกรุงเทพและปริมณฑล และ 12 เขตสุขภาพ จำนวน 18,000 เม็ด เพื่อจัดสรรให้กับโรงพยาบาลศูนย์ทั่วประเทศเป็นที่เรียบร้อยแล้วเช่นกัน เหลือไว้สำรองสำหรับจัดสรรกรณีจำเป็นเร่งด่วนอีกจำนวน 4,000 เม็ด

ปัจจุบันได้มีการใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ กับผู้ป่วยแล้ว จำนวน 515  ราย ใช้ไปแล้ว 48,875 เม็ดเหลืออยู่ 38,126 เม็ด สามารถมีใช้ได้อย่างต่อเนื่องอีกถึง 4-5 เดือน ล่าสุดเมื่อปลายเดือนมีนาคม 2563 องค์การเภสัชกรรม ได้สั่งซื้อจากจีนและญี่ปุ่นเพิ่ม 200,000 เม็ด โดยจะมีการจัดส่งยาภายในเดือนเมษายนนี้ รวมแล้ว 287,000 เม็ด และจะมีการสั่งซื้อเพื่อสำรองเพิ่ม

“การจัดหายาต้านไวรัสในครั้งนี้ มีความยากลำบากเนื่องจากเป็นที่ต้องการของทุกประเทศ ต้องใช้การดำเนินการทุกวิถีทาง ทั้งการเจรจาผ่านสถานทูตญี่ปุ่นและจีน ทั้งในแง่ของการซื้อและบริจาคมาโดยตลอด เพื่อสวัสดิภาพ ความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนชาวไทยเราไม่รอเด็ดขาด ส่วนกรณีข่าวญี่ปุ่นจะบริจาคยาให้ 30 ประเทศนั้น ในเบื้องต้นทราบว่าญี่ปุ่นจะบริจาคสำหรับโครงการวิจัยเท่านั้น ซึ่งทั้งนี้หากประเทศใดต้องการบริจาคยาประเทศไทยยินดีรับการสนับสนุน เพื่อให้มียาช่วยรักษาชีวิตของประชาชนชาวไทยอย่างเร่งด่วน”  นายแพทย์วิฑูรย์ กล่าว

โฆษณา

ท่าอากาศยานดอนเมืองปรับเวลาเปิดให้บริการและจำกัดช่องทางเข้า-ออกภายในอาคาร

People Unity News : ท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.) ประกาศปรับเวลาการเปิดให้บริการ และมาตรการในการจำกัดช่องทางเข้า – ออกภายในอาคารผู้โดยสาร ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

ท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.) ประกาศปรับเวลาการเปิดให้บริการ และมาตรการในการจำกัดช่องทางเข้า – ออกภายในอาคารผู้โดยสาร ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ดังนี้

อาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ อาคาร 1 ทดม. เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง

-ชั้น 1 (ขาเข้าระหว่างประเทศ) เปิดทางเข้าเฉพาะประตู 1 เท่านั้น สำหรับทางออกให้ใช้ประตู 1 และ 6

-ชั้น 3 (ขาออกระหว่างประเทศ) เปิดทางเข้า – ออก เฉพาะประตู 1 เท่านั้น

-ผู้ที่ใช้สะพานเชื่อมจากโรงแรมอมารีแอร์พอร์ต สามารถเข้าอาคารผู้โดยสาร ได้เฉพาะที่ ชั้น 1 ประตู 1 เท่านั้น

อาคารผู้โดยสารภายในประเทศ อาคาร 2 ทดม. เปิดให้บริการ เวลา 06.00 น. – 20.30 น.

-ชั้น 1 (ขาเข้าภายในประเทศ) เปิดทางเข้า – ออก เฉพาะประตู 15 เท่านั้น

-ชั้น 3 (ขาออกภายในประเทศ) เปิดทางเข้าเฉพาะประตู 14 เท่านั้น สำหรับทางออกให้ใช้ประตู 15

ทางเชื่อมระหว่างอาคารจอดรถ 7 ชั้น และอาคารผู้โดยสารภายในประเทศ อาคาร 2 ทดม. กำหนดช่องทางการเข้า – ออก ดังนี้

-ชั้น 2 เปิดเฉพาะทางเข้า ตั้งแต่เวลา 04.45 น. – 20.30 น. สำหรับทางออกเปิด 24 ชั่วโมง

-ชั้น 1, 3 และ 4 ปิดการใช้งาน

สำหรับ ผู้ที่ผ่านประตูทางเข้าต้องผ่านการคัดกรองด้วยการตรวจวัดอุณหภูมิ หากมีอุณหภูมิร่างกายสูงกว่าหรือเท่ากับ 37.5 องศาเซลเซียส เจ้าหน้าที่จะแนะนำให้พักรอ และทำการตรวจซ้ำอีกครั้ง ซึ่งหากยังตรวจพบอุณหภูมิร่างกายสูงกว่าค่าที่กำหนด จะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าอาคาร ในกรณีที่เป็นผู้โดยสาร ทดม.จะประสานทางสายการบินที่ผู้โดยสารสำรองที่นั่งไว้ รวมทั้งเจ้าหน้าที่แพทย์ร่วมกันประเมินอาการ เพื่อพิจารณาว่าจะอนุญาตให้ผู้โดยสารเดินทางหรือไม่ ทั้งนี้ ทดม.ขอความร่วมมือให้ใช้ประตูทางเข้า-ออกที่กำหนดไว้เท่านั้น จึงขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ ที่นี้

นอกจากนี้ ทดม.ยังคงเฝ้าระวังและติดตามข่าวสารตลอดเวลาหากได้รับการประกาศแจ้งเตือนการยกระดับในเรื่องดังกล่าว และประสานงานกับกระทรวงสาธารณสุขอย่างต่อเนื่อง เพื่อติดตามสถานการณ์และมาตรการต่างๆอย่างใกล้ชิด หากพบเห็นปัญหาการให้บริการ หรือปัญหาอื่นๆ สามารถแจ้งไปยัง AOT Contact Center 1722 หรือศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทดม.โทร 0 2535 1192 ตลอด 24 ชั่วโมง

โฆษณา

ด่วน!ออมสินแจ้งเลื่อนลงทะเบียนยื่นกู้ฉุกเฉินเป็น 15 เม.ย.63 ย้ำยื่นทางออนไลน์เท่านั้น

People Unity News : ธนาคารออมสินเลื่อนเปิดรับลงทะเบียนพร้อมกรอกข้อมูลใบสมัครออนไลน์ช่วยผู้ได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID-19) “โครงการสินเชื่อฉุกเฉิน (สำหรับผู้มีอาชีพอิสระ)” และ “โครงการสินเชื่อพิเศษ (สำหรับผู้มีรายได้ประจำ)” ตามมติ ครม. จากวันที่ 1 เม.ย.63 เป็นวันที่ 15 เม.ย.63 เกรงลูกค้าสับสนกับการลงทะเบียนรับ 5,000 บาทของรัฐบาล ย้ำ!!…ลงทะเบียนพร้อมกรอกข้อมูลใบสมัครออนไลน์ในเว็บไซต์ธนาคารออมสิน www.gsb.or.th เท่านั้น

ดร.ชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ตามที่ธนาคารออมสินได้แจ้งประชาสัมพันธ์เรื่อง เปิดให้บริการสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับผู้มีอาชีพอิสระที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID-19) และ สินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับผู้มีรายได้ประจำที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID-19) โดยเปิดให้ลงทะเบียนแจ้งความจำนงใช้บริการผ่านเว็บไซต์ธนาคารออมสิน ในวันที่ 1 เมษายน 2563 เป็นต้นไป และให้เริ่มกรอกข้อมูลใบสมัครออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ธนาคารออมสิน ได้ตั้งแต่วันที่ 15 เมษายน 2563 เป็นต้นไป นั้น ธนาคารฯขอเลื่อนกำหนดการดังกล่าวเป็น เปิดให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบและต้องการเข้าโครงการสินเชื่อดังกล่าว เริ่มลงทะเบียนแจ้งความจำนงใช้บริการและกรอกข้อมูลใบสมัครออนไลน์ ได้ตั้งแต่วันที่ 15 เมษายน 2563 เป็นต้นไป ผ่านเว็บไซต์ธนาคารออมสิน www.gsb.or.th เท่านั้น เนื่องจากเกรงว่าประชาชนจะเกิดความสับสนกับการลงทะเบียนเพื่อขอรับเงินช่วยเหลือชดเชยรายได้จากการได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดไวรัสโคโรนา (COVID-19) ซึ่งกระทรวงการคลังได้เปิดรับลงทะเบียนเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2563 ที่ผ่านมา และกำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้

สำหรับ “โครงการสินเชื่อฉุกเฉิน” ตามมติคณะรัฐมนตรีนั้น ธนาคารออมสินสนับสนุนสินเชื่อวงเงินรวม 20,000 ล้านบาท ให้บริการด้วยสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับผู้มีอาชีพอิสระที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID-19) วงเงินกู้ต่อรายสูงสุด 10,000 บาท อัตราดอกเบี้ย 0.10% ต่อเดือน (Flat Rate) ผ่อนชำระคืนนานถึง 2 ปี โดยไม่ต้องชำระเงินกู้ 6 งวดแรก ที่สำคัญคือไม่ต้องใช้หลักประกันใดๆ คุณสมบัติผู้กู้ มีสัญชาติไทย อายุ 20 ปีขึ้นไป มีถิ่นที่อยู่อาศัยแน่นอน สามารถติดต่อได้ ประกอบอาชีพอิสระที่มีรายได้เดือนละไม่เกิน 30,000 บาท ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 เช่น พ่อค้าแม่ค้า คนขับรถโดยสารแท็กซี่-สามล้อ มัคคุเทศก์ เป็นต้น

ขณะที่ “โครงการสินเชื่อพิเศษ” ตามมติคณะรัฐมนตรีเพื่อเสริมสภาพคล่องชั่วคราวในการดำรงชีวิตแก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบดังกล่าว ธนาคารออมสินสนับสนุนสินเชื่อวงเงินรวม 20,000 ล้านบาท ด้วยสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับผู้มีรายได้ประจำที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID-19) วงเงินกู้ต่อรายสูงสุด 50,000 บาท อัตราดอกเบี้ย 0.35% ต่อเดือน (Flat Rate) ให้ผ่อนชำระคืนนานถึง 3 ปี โดยการค้ำประกันสามารถใช้บุคคลหรือหลักทรัพย์ค้ำประกันก็ได้ เพียงมีอายุ 20 ปีขึ้นไป สัญชาติไทย มีถิ่นที่อยู่อาศัยแน่นอน สามารถติดต่อได้ เป็นผู้มีรายได้ประจำแต่รายได้ลดลงหรือขาดรายได้เนื่องจากได้รับผลกระทบจาก COVID-19 และภัยอื่นๆ ซึ่งทั้ง 2 โครงการนี้ ธนาคารออมสินเปิดให้บริการจนถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2563

โฆษณา

กทม.ปิดพื้นที่เพิ่มเติม ห้องประชุม/ห้องจัดเลี้ยงโรงแรม สถานที่จัดเลี้ยงทั้งในหรือนอกโรงแรม 

People Unity News : โฆษก กทม.แจง ประกาศปิดพื้นที่เพิ่มเติม และอนุโลมให้เปิดบริการไปรษณีย์ให้ห้าง โรงอาหารในสถานพยาบาล และขายดอกไม้สด เพิ่มเติม

วันนี้ (27 มี.ค. 2563) เวลา 14.00 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ไวรัสสายพันธุ์ใหม่ “COVID-19” โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ร.ต.อ.พงศกร ขวัญเมือง โฆษกกรุงเทพมหานคร แถลงรายละเอียดมาตรการป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 สรุปสาระสำคัญ ดังนี้

ร.ต.อ.พงศกร ขวัญเมือง โฆษกกรุงเทพมหานคร กล่าวถึง คณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานครได้พิจารณาประกาศปิดสถานที่เพิ่มเติมเพื่อให้สอดคล้องกับประกาศกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉิน ได้แก่ 1. สนามแข่งขัน เช่น สนามแข่งขันนกพิราบ ทุกสนามที่มีการแข่งขันทั้งคนและสัตว์ 2. สนามเด็กเล่น ในสวนสาธารณะและหมู่บ้าน 3. สถานที่แสดงมหรสพหรือมีการแสดง เช่น ลานแสดงดนตรีในพื้นที่สาธารณะ 4. พิพิธภัณฑ์สถาน และ 5. ห้องสมุด โดยขยายคำสั่งจากเดิมประกาศถึงวันที่ 12 เม.ย. 63 เป็น 30 เม.ย. 63 ต่อมาคณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานครได้พิจารณาปิดและอนุโลมเปิดสถานที่เพิ่มเติมโดยกรุงเทพมหานคร ดังนี้ สถานที่ประกาศปิด 1. ห้องประชุม/ห้องจัดเลี้ยงภายในโรงแรม สถานที่จัดเลี้ยงไม่ว่าจะในหรือนอกโรงแรม  2. โต๊ะสนุกเกอร์และบิลเลียด 3. สถานรับเลี้ยงเด็กของรัฐและเอกชน ยกเว้นสถานรับเลี้ยงเด็กในโรงพยาบาล และ 4. คลินิกเวชกรรมส่วนที่เสริมความงาม  สำหรับสถานที่ที่อนุโลมให้เปิด 1. โรงอาหารในสถานพยาบาล โดยให้จัดเว้นระยะห่างและรักษาความสะอาดอย่างเคร่งครัด 2. ตลาดสดหรือตลาดนัดที่อนุญาตให้ขายดอกไม้เพิ่มได้  3. หน่วยงานของรัฐและรัฐวิสาหกิจในห้างสรรพสินค้า เช่น ไปรษณีย์ สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว (Passport) ประกาศฯ มีผลในกรุงเทพมหานคร ตั้งแต่วันที่ 28 มี.ค. 63 ยกเว้นสถานรับเลี้ยงเด็ก ให้มีผลวันที่ 31 มี.ค.63 มีผลถึง 30 เม.ย. 63 ทั้งนี้ โฆษกกรุงเทพมหานคร เข้าใจถึงความจำเป็นและความเดือดร้อนที่พี่น้องประชาชน แต่ต้องขอให้ร่วมมือกันเพื่อลดการแพร่ระบาดของเชื้อโรคโควิด-19 ให้ได้โดยเร็ว

โฆษณา

หากเราใส่หน้ากากผ้าอยู่ มีผู้ป่วยไวรัสโควิด-19 มาจามใส่ จะส่งผลให้เราติดโรคหรือไม่??

People Unity News : หากเราใส่หน้ากากผ้าอยู่ และมีผู้ป่วยจากการติดไวรัสโควิด-19 มาจามใส่ จะส่งผลให้เราติดโรคหรือไม่??

Q: หากเราใส่หน้ากากผ้าอยู่ และมีผู้ป่วยจากการติดไวรัสโควิด-19 มาจามใส่ จะส่งผลให้เราติดโรคหรือไม่??

A: มีโอกาสติดโรค เพราะว่าปัจจุบันหลักฐานทางการแพทย์ที่มาสนับสนุนว่าการป้องกันการติดเชื้อแบบ 100 % นั้นยังไม่พบ ดังนั้นแม้จะใส่หน้ากากผ้าเพื่อป้องกัน แต่เมื่อเราไปสัมผัสฝอยละอองแบบตรงๆ เช่นนี้ ก็มีโอกาสติดโรคได้ แต่ทั้งนี้การใส่หน้ากากอนามัย หรือหน้ากากผ้า ก็สามารถช่วยลดความเสี่ยงได้เป็นอย่างดีจึงควรใส่เมื่อต้องออกไปในที่สาธารณะ

ข้อมูลจาก ศูนย์ข้อมูลมาตรการแก้ไขปัญหาจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019

COVID-19

โฆษณา

ผู้ได้รับเชื้อไวรัสโควิด-19 ต้องเสียชีวิตทุกรายหรือไม่??

People Unity News : ผู้ได้รับเชื้อไวรัสโควิด-19 ต้องเสียชีวิตทุกรายหรือไม่??

Q: ผู้ได้รับเชื้อไวรัสโควิด-19 ต้องเสียชีวิตทุกรายหรือไม่??

A: ไม่ทุกราย โดยพบว่าส่วนใหญ่ร้อยละ 80 สามารถหายจากอาการป่วยได้เอง และพบผู้มีอาการป่วยหนักอยู่ที่ประมาณร้อยละ 4 เท่านั้น ทั้งนี้พบว่าผู้ที่มีความเสี่ยงจากการได้รับเชื้อไวรัสฯแล้วอาจถึงขั้นเสียชีวิต คือกลุ่มผู้สูงอายุ ผู้มีโรคประจำตัว และผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ำ

ข้อมูลจาก ศูนย์ข้อมูลมาตรการแก้ไขปัญหาจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019

COVID-19

โฆษณา

Verified by ExactMetrics