วันที่ 30 เมษายน 2024

ผบ.ตร. สั่งตรวจสอบทุกประเด็นที่ “ดิว อริสรา” ออกมาแฉ

People Unity News : 9 กุมภาพันธ์ 2566 ผบ.ตร. สั่งตรวจสอบทุกประเด็นของ “ดิว อริสรา” พร้อมให้ความช่วยเหลือ และให้ความเป็นธรรม ส่วนสารวัตรเอี่ยวพนันออนไลน์ ให้หน่วยเร่งตรวจสอบแล้ว หากมีมูลให้ดำเนินการเด็ดขาด

วันที่ 9 ก.พ.66 พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยถึงกรณี ประเด็นสังคมที่เกี่ยวข้องกับ ดิว อริสรา ดารานักแสดง และสารวัตรที่ถูกพาดพิงว่า “พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ให้ความสำคัญกับประเด็นดังกล่าว ได้สั่งการให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงในทุกเรื่อง ทุกประเด็นที่เกี่ยวข้อง ทั้งการพนันออนไลน์ ได้ดำเนินการตรวจค้น จับกุม ออกหมายจับ และทลายเครือข่ายกลุ่มผู้กระทำผิด ขณะนี้อยู่ระหว่างการขยายผล เพื่อดำเนินการกับผู้เกี่ยวข้องทุกราย รวมทั้งประเด็นการทำร้ายร่างกาย หรือความผิดอาญาอื่นๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อให้เห็นว่า ทุกคนในสังคมต้องอยู่ในกฎ กติกา และกรอบของกฎหมาย หากมีการทำผิดต้องมีการรับโทษตามกฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน

โดยหากคุณดิว อริสรา มีความประสงค์จะแจ้งความดำเนินคดีในประเด็นใดเพิ่มเติม ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมจะดูแลอำนวยความสะดวกในทุกๆเรื่อง พร้อมให้ความเป็นธรรม และทำคดีอย่างตรงไปตรงมา ตามพยานหลักฐาน เพื่อเอาผิดกับผู้ที่ละเมิดกฎหมายทุกคนที่เกี่ยวข้องอย่างเด็ดขาด โดย ผบ.ตร.ย้ำว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กำชับให้ตำรวจปฏิบัติหน้าที่อย่างซื่อตรง รักษากฎหมายอย่างเคร่งครัด ต้องไม่เป็นผู้กระทำผิดเสียเอง ถ้าใครทำผิด ต้องมีการดำเนินการอย่างเด็ดขาดทุกราย

โฆษก ตร. กล่าวเพิ่มเติมว่า “ในส่วนของอีกประเด็นที่มีการกล่าวหาพาดพิง ตำรวจเกี่ยวข้องกับพนันออนไลน์ และละทิ้งหน้าที่ราชการนั้น ผบ.ตร.ได้สั่งการให้ ผบช.สกบ.ตรวจสอบข้อเท็จจริงและพิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ หากพบว่ามีการละทิ้งหน้าที่ หรือมีการกระทำผิดอื่น ก่อให้เกิดความเสียหายต่อราชการ จะดำเนินการทางวินัยและทางอาญาอย่างเด็ดขาด พร้อมทั้งสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน”

Advertisement

เอาแล้ว พวกทำเฉยจ่ายค่าปรับ!! ตร.จับมือขนส่ง ชะลอออกป้ายภาษีรถยนต์ค้างจ่ายค่าปรับใบสั่ง

People Unity News : 8 กุมภาพันธ์ 2566 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จับมือกรมการขนส่งทางบก ลงนามความร่วมมือเชื่อมข้อมูลเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมายจราจร เริ่ม 1 เม.ย.66 เตือนมีใบสั่งค้างจ่าย ไม่ได้ป้ายภาษีรถ

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร., นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก ร่วมกันลงนามในบันทึกข้อตกลง (MOU) การเชื่อมโยงข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายจราจรทางบก เพื่อลดการกระทำผิดกฎหมาย ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน

ผบ.ตร. กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกรมการขนส่งทางบก จะร่วมกันดำเนินการกวดขันวินัยการขับขี่ โดยบังคับใช้มาตรการตามที่กำหนดในกฎหมายให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด มาตรการที่ 1 การตัดคะแนนความประพฤติ ซึ่งได้เริ่มดำเนินการไปตั้งแต่ 9 มกราคม 2566 มีผู้กระทำผิดกฎจราจรและถูกตัดคะแนนแล้ว จำนวน 15,456 ราย

มาตรการที่ 2 มาตรการชะลอการออกเครื่องหมายแสดงการเสียภาษี สำหรับรถที่มีใบสั่งค้างชำระ ตาม 141/1 พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งทั้ง 2 หน่วยงานจะต้องมีการเชื่อมโยงข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อส่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องตามที่กฎหมายกำหนด เช่น ข้อมูลใบอนุญาตขับขี่ ข้อมูลยานพาหนะ และข้อมูลใบสั่งค้างชำระ เพื่อให้เกิดการบูรณาการข้อมูลได้แบบ Real Time

สำหรับมาตรการชะลอเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีจะใช้กับรถยนต์ที่มีใบสั่งจราจรที่ค้างชำระ ซึ่งเจ้าของรถเพิกเฉยไม่ชำระค่าปรับตามที่กำหนด โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะส่งข้อมูลโดยระบบอิเล็กทรอนิกส์ไปยังนายทะเบียนกรมการขนส่งทางบก เมื่อประชาชนไปต่อภาษีรถยนต์ประจำปี นายทะเบียนจะรับต่อภาษีประจำปี แต่ยังไม่ได้รับเครื่องหมายแสดงการเสียภาษี (ป้ายภาษี) โดยจะได้หลักฐานชั่วคราวแทนป้ายภาษี ซึ่งมีอายุ 30 วัน เพื่อให้ผู้นั้นไปชำระค่าปรับที่ค้างชำระให้ครบถ้วนภายใน 30 วัน แล้วจึงสามารถมารับป้ายภาษีได้ แต่หากประชาชนต้องการจะชำระค่าปรับในขณะต่อภาษี กฎหมายกำหนดให้อำนวยความสะดวกแก่ประชาชน ให้นายทะเบียนสามารถรับชำระค่าปรับตามใบสั่งพร้อมกับชำระภาษี และรับเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีได้ทันที

ผบ.ตร. กล่าวเพิ่มเติมว่า การขับรถโดยไม่มีป้ายภาษี จะมีโทษตาม พ.ร.บ.รถยนต์ฯ มาตรา 11 ซึ่งกำหนดว่า รถยนต์คันที่ต่อภาษีแล้วจะต้องแสดงเครื่องหมายตามที่กรมการขนส่งกำหนดให้ครบถ้วน มีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท ทั้งนี้ ประชาชนสามารถตรวจสอบข้อมูลใบสั่งค้างชำระ และคะแนนความประพฤติได้จากเว็บไซต์ E-ticket PTM และแอปฯ ขับดี

ด้านอธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวว่า เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมและประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบ การเชื่อมโยงข้อมูลใบสั่งค้างชำระของทั้งสองหน่วยงาน จะเริ่มใช้กับใบสั่งจราจรตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2566 เป็นต้นไป โดยไม่มีผลย้อนหลัง สำนักงานตำรวจแห่งชาติและกรมการขนส่งทางบกเชื่อมั่นว่ามาตรการดังกล่าวจะสามารถนำไปสู่การเสริมสร้างวินัยจราจร จิตสำนึกด้านความปลอดภัยซึ่งจะสามารถช่วยลดอุบัติเหตุทางถนนอย่างยั่งยืนต่อไป

Advertisement

พบหญิงไทย 1 ราย เสียชีวิตจากเหตุแผ่นดินไหวในตุรกี

People Unity News : 8 กุมภาพันธ์ 2566 สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงอังการา แจ้งว่ามีหญิงไทย 1 ราย เสียชีวิตจากเหตุแผ่นดินไหวในตุรกี พบศพใต้ซากปรักหักพังของอาคาร

นางกาญจนา ภัทรโชค อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ว่ากระทรวงการต่างประเทศได้รับรายงานจากสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงอังการา ว่ามีสตรีชาวไทย 1 ราย เสียชีวิตจากเหตุแผ่นดินไหวในตุรกี โดยถูกพบที่ใต้ซากปรักหักพังของอาคารในเมือง Iskenderun ซึ่งเป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติแผ่นดินไหว สถานเอกอัครราชทูตฯ ได้แจ้งไปยังครอบครัวของผู้ที่เสียชีวิตแล้วและกำลังเร่งประสานงานกับทางการตุรกีเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

กระทรวงการต่างประเทศขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิตมา ณ ที่นี้

Advertisement

จ่ายแล้ว สนง.สลากฯเผยจ่ายเงินรางวัลที่ 1 ลูกค้ากองสลากพลัสครบแล้ว

People Unity News : 5 กุมภาพันธ์ 2566 สำนักงานสลากฯ ยืนยันจ่ายเงินรางวัลที่ 1 ให้ผู้ที่นำสลากฯ จากกองสลากพลัสมาขอรับเงินรางวัลครบถ้วนแล้ว

สืบเนื่องจากมีการเผยแพร่ข้อมูลผ่านสื่อสังคมออนไลน์ว่า ถูกรางวัลที่ 1 งวด 1 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ซื้อสลากฯ จากกองสลากพลัส แต่นำสลากฯ ไปขึ้นเงินรางวัลที่สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล กลับถูกไล่กลับ นั้น

วันนี้ (5 กุมภาพันธ์ 2566) พันโท หนุน ศันสนาคม ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ชี้แจงว่า ช่วงก่อนออกรางวัลในงวดวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566 สำนักงานสลากฯ ได้รับการประสานงานจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ว่า สลากฯ งวดวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566 กรมสอบสวนคดีพิเศษ จะยึดอายัดไว้ทั้งหมด สำหรับในส่วนของสลากฯ ที่ถูกรางวัล กรมสอบสวนคดีพิเศษ จะดำเนินการจ่ายเงินรางวัลให้กับผู้ถูกรางวัล ดังนั้น ในวันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ผ่านมา เมื่อมีผู้สวมเสื้อลายกองสลากพลัส นำสลากฯ งวดวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566 มาขอขึ้นเงินรางวัล เจ้าหน้าที่สำนักงานสลากฯ จึงไม่สามารถจ่ายรางวัลให้ได้ในทันที เนื่องจากไม่เป็นไปตามที่ได้มีการประสานงานกับกรมสอบสวนคดีพิเศษไว้

ต่อมา เมื่อผู้ที่นำสลากฯ มาขอรับเงินรางวัลดังกล่าว แสดงเอกสารบันทึกรับต้นฉบับสลากกินแบ่งรัฐบาล ที่มีการลงนาม 3 ฝ่าย ประกอบด้วย ตัวแทนบริษัท ลอตเตอรี่ออนไลน์ จำกัด (กองสลากพลัส) กับผู้ติดต่อขอรับต้นฉบับสลากกินแบ่งรัฐบาลรางวัลที่ 1 และตัวแทนกรมสอบสวนคดีพิเศษ ให้กับเจ้าหน้าที่สำนักงานสลากฯ ในขณะระหว่างที่รอตรวจสอบเอกสาร ทางสำนักงานสลากฯ ได้มีการประสานไปที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อตรวจสอบความถูกต้องว่าเป็นไปตามเอกสารดังกล่าวหรือไม่ หลังจากนั้น เมื่อได้รับคำตอบจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ ว่าเป็นไปตามเอกสารดังกล่าวจริง โดยเป็นขั้นตอนของกรมสอบสวนคดีพิเศษที่กำหนดขึ้นใหม่ สำนักงานสลากฯ จึงได้รีบดำเนินการจ่ายรางวัลที่ 1 ให้กับผู้ถือสลากฯ มาขึ้นเงินรางวัลทันที และผู้ถือสลากฯ มาขอรับเงินรางวัล ก็ได้รับเงินรางวัลที่ 1 ไปครบถ้วนถูกต้องตามขั้นตอนทุกประการ ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ของสำนักงานสลากฯ ได้กล่าวขอโทษและขออภัยในความไม่สะดวกที่ทำให้การขึ้นเงินรางวัลมีความล่าช้าในขั้นตอนการดำเนินงานดังกล่าวไปแล้ว

Advertisement

กลุ่มยานยนต์ ส.อ.ท. ชวน “รถเก่า” เข้า “คลินิกรถ” ลดฝุ่น PM2.5

People Unity News : 3 กุมภาพันธ์ 2566 กลุ่มยานยนต์ ส.อ.ท. ชวนประชาชนเข้าร่วมโครงการ คลินิกรถ ลดฝุ่น PM2.5 เพื่อบำรุงรักษารถยนต์ ลดควันดำ ต้นเหตุ PM2.5

นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)  ชวนผู้ใช้รถยนต์ที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป เข้าตรวจเช็คสภาพเครื่องยนต์ฟรี  ที่ “คลินิกรถ ลดฝุ่น PM 2.5”  เพื่อลดการปล่อยฝุ่นละออง PM 2.5 จากรถยนต์ใช้งาน หลังกรมควบคุมมลพิษรายงานว่า ช่วง 1-2 วันนี้ หลายจังหวัดทั่วประเทศมีปริมาณฝุ่น pm2.5 เกินค่ามาตรฐาน ซึ่งอาจจะส่งผลต่อสุขภาพของประชาชนทั่วไปโดยเฉพาะอาศัยในเขตเมือง โดยโครงการนี้ได้รับความร่วมมือจากผู้ประกอบการรถยนต์ 9 ราย ประกอบด้วย TOYOTA , ISUZU , MITSUBISHI , NISSAN , MAZDA , FORD , HONDA , SUZUKI และ HINO ร่วมให้บริการตรวจเช็คสภาพเครื่องยนต์ฟรี ซ่อม บำรุงรักษาและเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง โดยให้ส่วนลดราคาทั้งค่าน้ำมันเครื่อง ค่าอะไหล่และค่าแรงให้กับรถยนต์ใช้งานที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป เพื่อลดการปล่อยฝุ่นละออง PM 2.5 จากรถยนต์ใช้งาน พร้อมส่งเสริมการมีส่วนร่วมป้องกันและแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ของประชาชนทั่วไป หากรถยนต์มีอายุการใช้งานที่ยาวนานจะได้รับส่วนลดที่เพิ่มมากขึ้น โดยโครงการนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 4 ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2565 ถึง เดือนเมษายน 2566

“รถบรรทุก รถเมล์ขนาดใหญ่ควรมีการตรวจสภาพรถอย่างเข้มงวด เพราะใช้เครื่องยนต์ดีเซลเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในปริมาณมากกว่า และรถยนต์เก่าอายุมากกว่า 20 ปี ในบ้านเราตัวเลขเมื่อสิ้นเดือนธันวาคมปีที่แล้ว มีมากกว่า 3 ล้านคัน ก็ควรหมั่นตรวจเช็คสภาพ ซึ่งนอกจากจะเป็นการลดควันดำแล้ว ยังจะช่วยผู้ใช้รถประหยัดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการซ่อมแซมรถด้วย” นายสุรพงษ์ กล่าว

ที่ผ่านมาบริษัทรถยนต์ได้ร่วมมือกันให้ส่วนลดค่าบำรุงรักษา เพื่อลดควันดำมากกว่า 252,414 คัน รวมเป็นงบประมาณกว่า 160 ล้านบาท

สำหรับผู้ใช้รถที่สนใจเข้าร่วมโครงการ สามารถประสานศูนย์บริการใกล้บ้าน เพื่อตรวจสอบรายละเอียดส่วนลดและระยะเวลาการดำเนินโครงการฯ เนื่องจากแต่ละบริษัทให้การสนับสนุนที่แตกต่างกัน โดยสามารถดูรายละเอียดได้ที่ shorturl.at/ejqKT

Advertisement

ฝุ่นยังคลุ้ง! เช้านี้ PM 2.5 ยังสูงเกินค่ามาตรฐาน 43 จังหวัด

People Unity News : 3 กุมภาพันธ์ 2566 ฝุ่นยังคลุ้ง! เช้าวันนี้ (3 ก.พ.66) ปริมาณ PM 2.5 ยังเกินค่ามาตรฐาน 43 จังหวัด ด้าน รมว.ทส. ขอความร่วมมือลดการเผา บริหารจัดการเชื้อเพลิงแบบครบวงจร

ศูนย์แก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ รายงานการติดตามตรวจสอบคุณภาพอากาศ วันนี้ พบว่า ปริมาณ PM2.5 ในประเทศพบเกินค่ามาตรฐานใน 43 จังหวัด อาทิ ปทุมธานี กรุงเทพฯ นครพนม นครราชสีมา บุรีรัมย์ ส่วนผลการตรวจวัดตามรายภาคพบเกินค่ามาตรฐานเป็นส่วนใหญ่ กรุงเทพฯและปริมณฑล ตรวจวัดได้ 54 – 119 มคก./ลบ.ม. ภาคเหนือ ตรวจวัดได้ 34 – 154 มคก./ลบ.ม. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ วัดได้ 29 – 96 มคก./ลบ.ม. ภาคกลางและตะวันตก ตรวจวัดได้ 48 – 117 มคก./ลบ.ม. ส่วนภาคตะวันออก เกินค่ามาตรฐาน 4 พื้นที่ ตรวจวัดได้ 32 – 79 มคก./ลบ.ม. โดยสถานีตรวจวัดของ คพ. ร่วมกับ กทม. เกินค่ามาตรฐานเป็นส่วนใหญ่

ด้าน นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ระบุถึงมาตรการลดฝุ่นพิษ ว่า ได้ขอความร่วมมือกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ บริหารจัดการเชื้อเพลิงในแต่ละพื้นที่แบบครบวงจร ทั้งการชิงเก็บ ลดการเผา

คพ.ชี้สถานการณ์ PM 2.5 กทม. รุนแรงระดับ 3 ต่อเนื่องอีก 2 วัน

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 2 ก.พ. คพ. เผยดัชนีคุณภาพอากาศใน กทม. อยู่ระดับ 3 เหตุมีการสะสมของฝุ่น PM 2.5 โดยจะมีสภาพเช่นนี้ไปอีก 2 วัน แนะเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้งและสวมใส่หน้ากากอนามัยอย่างถูกต้อง รวมถึงพิจารณา WFH เพื่อลดการจราจรและลดความเสี่ยง หากรุนแรงถึงระดับ 4 จะแนะนำให้ปิดโรงเรียน

นายปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) และผู้อำนวยการศูนย์แก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ (ศกพ.)  กล่าวว่า ดัชนีคุณภาพอากาศกรุงเทพมหานครวันที่ 2 ก.พ.อยู่ที่ระดับ 3 (ระดับสีส้ม) ซึ่งเป็นระดับที่ประชาชนทั่วไปยังสามารถทำกิจกรรมกลางแจ้งได้ แต่เพื่อลดความเสี่ยงจึงแนะนำให้ลดเวลาการทำกิจกรรมกลางแจ้ง โดยเฉพาะประชาชนที่อยู่บริเวณพื้นที่คุณภาพอากาศมีผลกระทบต่อสุขภาพหรือใช้อุปกรณ์ป้องกันตนเอง อุปกรณ์ที่สำคัญคือ หน้ากากอนามัย หากสวมใส่ถูกวิธีจะลดการรับฝุ่น PM2.5 ได้ 50-60% ย้ำถ้ามีอาการทางสุขภาพ ควรปรึกษาแพทย์

สำหรับการที่ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครขอความร่วมมือ Work from home (Wfh) ระหว่างวันที่ 2-3 กุมภาพันธ์ เป็นคำแนะนำของกรมควบคุมมลพิษเนื่องจากการลดการเดินทางจะลดฝุ่น PM2.5 จากยานยนต์และลดความเสี่ยงของประชาชนด้วย พร้อมย้ำว่า หาก ศกพ. คาดการณ์ว่า ดัชนีคุณภาพอากาศจะรุนแรงระดับ 4 ต่อเนื่อง 3-4 วันจะแนะนำให้ปิดโรงเรียน เช่นเดียวกับจังหวัดอื่นๆ ซึ่งแนะนำให้ออกมาตรการพื้นที่อื่นๆ แนะนำให้กำหนดมาตรการตามสถานการณ์ในพื้นที่

นายปิ่นสักก์กล่าวว่า สาเหตุที่ทำให้การสะสมของฝุ่น PM2.5 เพิ่มขึ้นในระยะนี้ เนื่องจากสภาพอากาศที่ปิดซึ่งเกิดขึ้นเป็นระยะๆ ในฤดูหนาว เมื่อประกอบกับการเผาในพื้นที่เกษตรและพื้นที่ป่าจึงทำให้สถานการณ์รุนแรงขึ้น

ภาครัฐได้ยกระดับมาตรการแก้ปัญหาที่เข้มข้นขึ้นในการลดแหล่งกำเนิด PM2.5 โดยในกรุงเทพฯ และเมืองใหญ่ซึ่งมีแหล่งกำเนิดจากการจราจรได้กำหนดมาตรฐานรถยนต์ให้เป็นมาตรฐานยูโร 5 ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2567 ส่วนในต่างจังหวัดมีแหล่งกำเนิดจากการเผา ได้กำหนดแนวทางในการเปลี่ยนวัสดุทางการเกษตรเป็นปุ๋ยหรือพลังงานชีวมวล ตลอดจนมาตรการจัดระเบียบการเผา โดยบางช่วงต้องหยุดเผาและการลงทะเบียนขออนุญาตเผาเพื่อไม่ให้เผาพร้อมๆ กัน พร้อมกันนี้ได้ประสานไปยังประเทศเพื่อนบ้านในการดำเนินการตามข้อตกลงอาเซียนว่าด้วยมลพิษจากหมอกควันข้ามแดนเพื่อลดจุดความร้อน ซึ่งทุกหน่วยงานกำลังเร่งแก้ปัญหาอย่างเต็มที่เพื่อปกป้องสุขภาพของประชาชน

Advertisement

ศิริราชฯ เปิดตัว 2 นวัตกรรมใหม่ รักษาผู้ป่วยโรคสั่น-AI อ่านค่าวินิจฉัยโรคทรวงอก

People Unity News : 1 กุมภาพันธ์ 2566 ศิริราชพยาบาล เปิดตัว 2 นวัตกรรมการแพทย์แบบใหม่ ช่วยผู้ป่วยโรคสั่นไม่ทราบสาเหตุ รักษาหายได้ทันที เพียงแต่ยิงรังสีอัลตราซาวด์เข้าไปเฉพาะจุดผ่านชั้นผิวหนังลงไปในเนื้อสมอง ไม่ต้องผ่าตัดเปิดสมอง ในอนาคตจะนำนวัตกรรมนี้ใช้รักษาโรคพาร์กินสัน ส่วนอีกนวัตกรรมนำเทคโนโลยี AI อ่านค่าเอกซเรย์วินิจฉัยเกี่ยวกับ 8 กลุ่มโรคทรวงอก ได้อย่างแม่นยำ

ศ.นพ.อภิชาติ อัศวมงคลกุล คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ร่วมกับ ศ.คลินิก พญ.อัญชลี ชูโรจน์ หัวหน้าภาควิชารังสีวิทยา และ อ.พญ.ยุวดี พิทักษ์ปฐพี สาขาประสาทวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ แถลงข่าวเปิดตัว 2 นวัตกรรม การพัฒนาการวินิจฉัยเอกซเรย์ด้วย AI และรักษาโรคสั่นที่ไม่ทราบสาเหตุด้วย MRI และอัลตราซาวด์ โดยการรักษาพัฒนาใช้ AI ทำให้การอ่านและแปลผลการรักษาด้วยการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์แตกต่างไปจากเดิม ที่เห็นเป็นสีขาวดำ การอ่านผลจะเปลี่ยนเป็นแสดงสีและตำแหน่ง ทำให้การวิเคราะห์ภาพชัดเจนมากยิ่งขึ้น ซึ่งระยะเวลาในการอ่านผลใช้เพียงแค่ 10 วินาทีเท่านั้น วินิจฉัยโรคได้อย่างแม่นยำ ที่ผ่านมามีการใช้ในการวินิจฉัย 8 กลุ่มโรค ได้แก่ สภาวะปอดแฟบ, หัวใจโต, ปอดเป็นฝ้าขาว, ก้อนเนื้องอกที่มีขนาดใหญ่ กว่า 3 ซม., ก้อนเนื้องอกที่มีขนาดเล็กกว่า 3 ซม. สภาวะที่มีน้ำในเยื่อหุ้มปอด, สภาวะของปอดที่บวมน้ำ และสภาวะที่คล้ายวัณโรค

อ.พญ.ยุวดี กล่าวว่า ส่วนรักษาโรคสั่นที่ไม่ทราบสาเหตุด้วย MRI และอัลตราซาวด์ มีการนำเครื่องที่ทันสมัย และเริ่มใช้ในต่างประเทศมารักษาผู้ป่วย โรคสั่นโดยไม่ทราบสาเหตุ หรือจากพันธุกรรม โดยผู้ป่วยต้องมีการสั่นที่กระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ทั้งการรับประทานอาหาร เขียนหนังสือ หรือ ธุรกรรมการเงิน จนไม่สามารถใช้ชีวิตได้ เดิมการรักษาแบบนี้จะใช้การผ่าตัดเปิดสมอง แต่ด้วยเทคโนโลยีนี้จะมีการยิงรังสีที่มีความร้อนลงไปตำแหน่งของเนื้อสมองใต้ผิวหนัง เพื่อให้เกิดรอย ลดอาการสั่น โดยที่ผ่านมาศิริราชมีการรักษาผู้ป่วยไปแล้ว 3 รายด้วยกัน ซึ่งการรักษานี้สามารถลดอาการสั่นได้ทันทีหลังรักษา ซึ่งการรักษาผู้ป่วยจะใช้ในผู้ที่มีอาการมือสั่นทั้ง 2 ข้าง และไม่ต้องการผ่าตัด ปัจจุบันพบให้พบดี แต่จะเป็นการรักษาอาการสั่นของมือข้างใดข้างหนึ่งเท่านั้น และยังไม่ครอบคลุมสิทธิการรักษา แต่ในอนาคตมีแนวโน้มนำนวัตกรรมนี้มาใช้ในการรักษาโรคพาร์กินสัน

ปัจจุบันค่ารักษาพยาบาลนี้ เนื่องจากเป็นนวัตกรรมใหม่ จึงราคาตก 200,000 บาท แต่เพื่อให้ประชาชนได้รับและเข้าถึงการรักษาด้วยวิธีการนี้ ทางศิริราชพยาบาลนำเข้าสู่ โครงการช่วยเหลือและรักษาของโรงพยาบาลศิริราช

Advertisement

แพทย์แนะสังเกตสัญญาณเตือนมะเร็งหัวใจ เพื่อการรักษาทันท่วงที

People Unity News : 1 กุมภาพันธ์ 2566 กรมการแพทย์ โดยโรงพยาบาลราชวิถี เผย “มะเร็งหัวใจ” โรคร้ายที่สามารถพบได้ในทุกเพศทุกวัย แต่พบได้น้อยมาก อีกทั้งยังไม่ทราบสาเหตุของการเกิดโรคและปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคที่แน่ชัด ควรหมั่นสังเกตอาการของตนเองเพื่อการรักษาที่ทันท่วงที

นายแพทย์ณัฐพงศ์ วงศ์วิวัฒน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า มะเร็งหัวใจ (Cardiac cancer หรือ Heart cancer) เป็นโรคที่พบได้น้อยมาก แต่สามารถพบได้ในทุกเพศทุกวัย โดยส่วนใหญ่เป็นมะเร็งของอวัยวะอื่นๆ แล้วกระจายมาที่หัวใจ เช่น มะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ มะเร็งเต้านม ซึ่งสามารถแพร่กระจายมาที่หัวใจได้ แต่ถ้าเป็นมะเร็งหัวใจเองส่วนใหญ่เกิดจากเซลล์ผนังหลอดเลือดที่เรียกว่า Angiosarcoma ส่วนที่เกิดจากกล้ามเนื้อหัวใจเรียกว่า Rhabdomyosarcoma ซึ่งมะเร็งหัวใจของทั้ง 2 กลุ่มนี้ไม่ค่อยตอบสนองต่อการฉายแสงและยาเคมีบำบัด จึงต้องใช้วิธีรักษาด้วยการผ่าตัดเพื่อเอามะเร็งออกให้หมด

โดยมะเร็งหัวใจแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ มะเร็งหัวใจปฐมภูมิ ได้แก่ มะเร็ง Angiosarcoma, Rhabdomyosarcoma, Fibrosarcoma, Malignant schwannoma, Mesothelioma และมะเร็งหัวใจทุติยภูมิ (Secondary cardiac cancer หรือ Metastatic cardiac cancer) ได้แก่ มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม มะเร็งผิวหนังเมลาโนมา มะเร็งหลอดอาหาร เป็นต้น

นายแพทย์จินดา โรจนเมธินทร์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลราชวิถี กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุของการเกิดโรค รวมถึงยังไม่ทราบว่าอะไรเป็นปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคที่แน่ชัด โดยอาการของมะเร็งหัวใจมักจะมาด้วยอาการเหล่านี้ ได้แก่ เหนื่อยง่าย หอบ ไอเรื้อรัง มีไข้ต่ำๆ หน้าบวม คอบวม หลอดเลือดดำที่คอโป่ง ตับโต ท้องมานเพราะมีน้ำในช่องท้อง หรือขาบวมกดบุ๋มทั้งสองข้าง

สำหรับการตรวจวินิจฉัยมะเร็งหัวใจทำได้โดยการตรวจประวัติทางการแพทย์ต่างๆ ที่สำคัญคือประวัติอาการของผู้ป่วย การตรวจสัญญาณชีพ การตรวจฟังเสียงเต้นของหัวใจด้วยหูฟัง การตรวจร่างกาย การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ การตรวจเอคโคหัวใจ การตรวจสืบค้นอื่นๆ เพิ่มเติมตามดุลยพินิจของแพทย์ ซึ่งเป็นการตรวจที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น การตรวจภาพหัวใจด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT) และหรือเอ็มอาร์ไอ (MRI) การตรวจภาพและหลอดเลือดหัวใจด้วยการฉีดสีเข้าหลอดเลือดแดง (Cardiac angiography) และการตรวจก้อนเนื้อหรือรอยโรคด้วยการดูดเซลล์มาตรวจที่เรียกว่า การตรวจทางเซลล์วิทยา และหรือการตัดชิ้นเนื้อจากก้อนเนื้อเพื่อการตรวจทางพยาธิวิทยา

ทั้งนี้ การรักษาจะเป็นการผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งออกให้หมด ด้วยการผ่าตัดเปิดหัวใจโดยตรง (Open heart surgery) และรักษาต่อเนื่องด้วยการให้ยาเคมีบำบัดตามชนิดของแต่ละเซลล์มะเร็ง ซึ่งการรักษาร่วม ทั้งผ่าตัด การให้ยาเคมีบำบัด การฉายแสง จะขึ้นกับระยะของโรค ขนาดและชนิดของมะเร็ง อย่างไรก็ตาม เมื่อร่างกายเกิดความผิดปกติควรรีบพบแพทย์ เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาอย่างถูกต้องต่อไป

Advertisement

 

เตือนอย่าหลงเชื่อ “ปลาเหล็ก-กระทะเหล็ก” รักษาโรคโลหิตจาง ชี้อาหารที่มีธาตุเหล็กดีที่สุด

People Unity News : 24 มกราคม กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เตือนอย่าหลงเชื่อกรณีการส่งต่อข้อมูลบนโลกออนไลน์เกี่ยวกับปลาเหล็กและกระทะเหล็กช่วยเพิ่มธาตุเหล็กจากการปรุงประกอบอาหาร เนื่องจากยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอในการป้องกันแก้ไขปัญหาโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก ชี้ร่างกายควรได้รับธาตุเหล็กจากการกินอาหารที่มีสารอาหารครบในปริมาณที่เพียงพอ และวิตามินตามคำแนะนำของแพทย์

ดร.นพ.สราวุฒิ บุญสุข รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า จากกรณีการส่งต่อข้อมูลบนโลกออนไลน์ เกี่ยวกับปัญหาการขาดธาตุเหล็ก โดยมีข้อมูลงานวิจัยที่ระบุว่าการนำปลาเหล็กลงไปร่วมปรุงประกอบอาหาร เพื่อจะช่วยเพิ่มธาตุเหล็กในอาหารนั้น จากข้อมูลเชิงวิชาการพบว่า ปลาเหล็กที่ได้รับการเตรียมตามสูตรดังกล่าว (Lucky Iron Fish) สามารถให้ธาตุเหล็กเมื่อต้มในน้ำเดือดได้จริง แต่ผลจากการวิจัยชี้ให้เห็นว่า การดูดซึมและการที่ร่างกายนำธาตุเหล็กไปใช้ (Iron Bioavailability) น้อยมาก เมื่อเทียบกับการได้รับวิตามินเสริมธาตุเหล็ก Ferrous Sulfate จึงไม่พบการเพิ่มขึ้นของระดับเฟอร์ริติน (Ferritin) ที่เป็นโปรตีนที่จับกับธาตุเหล็กในเม็ดเลือดแดง ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาการขาดธาตุเหล็กหรือโรคโลหิตจางได้ ดังนั้น ปลาเหล็กจึงไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอในการป้องกันแก้ไขปัญหาโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก

นอกจากนี้ ยังพบอีกว่า มีการส่งต่อข้อมูลการขายสินค้ากระทะเหล็ก ที่อวดอ้างสรรพคุณว่ามีธาตุเหล็กและช่วยเพิ่มธาตุเหล็กในอาหาร ถือเป็นการโฆษณาเกินจริง เพราะยังไม่มีงานวิจัยใดสามารถยืนยันได้ สาเหตุหลักที่ผู้ปรุงอาหารนิยมนำกระทะเหล็กมาใช้ปรุงประกอบอาหาร เพราะร้อนเร็ว ให้ความร้อนสูง ใช้เวลาในการปรุงอาหารน้อย และยังทำให้อาหารสูญเสียคุณค่าทางโภชนาการน้อยลง แต่ข้อเท็จจริงคือ ความร้อนสูงที่ใช้ในการปรุงจะทำให้อาหารไขมันสูงบางชนิดก่อให้เกิดสารเคมีที่ไม่ดีต่อสุขภาพ หากไม่ระวังให้ดี การปรุงอาหารด้วยกระทะเหล็กอาจทำให้อาหารไหม้ได้ง่าย ดังนั้น การปรุงอาหารด้วยกระทะเหล็กจะดีต่อสุขภาพหรือไม่ ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ โดยเฉพาะอาหารหรือวัตถุดิบที่ใช้ ปริมาณ และชนิดของน้ำมันที่ใช้ในการปรุงอาหารอีกด้วย

ดร.นพ.สราวุฒิ กล่าวต่อไปว่า การขาดธาตุเหล็กส่วนใหญ่ก็มักจะเกิดกับผู้หญิง สาเหตุส่วนใหญ่มาจากการมีประจำเดือน และในกลุ่มคนที่ไม่กินเนื้อสัตว์ รวมไปถึงหญิงตั้งครรภ์ หญิงให้นมบุตร ร่างกายต้องการธาตุเหล็กเพื่อนำมาสร้างเม็ดเลือดแดง โดยสามารถสังเกตอาการของการขาดธาตุเหล็ก คือ อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ตัวซีด เปลือกตาด้านในซีด เจ็บป่วยง่าย เนื่องจากเลือดไม่มีธาตุเหล็กเพียงพอ ซึ่งนำไปสู่ภาวะโลหิตจาง ข้อมูลจากการสำรวจด้านโภชนาการของเด็กในภูมิภาคเอเชีย Southeast Asian Nutrition surveys (SEANUTS) ปี 2554-2555 พบว่าเด็กไทยอายุ 6 เดือน-12 ปี มีความชุกภาวะโลหิตจางร้อยละ 10.4 โดยพบความชุกในเขตชนบทสูงกว่าเขตเมืองถึง 2 เท่า และจากรายงานสำรวจสุขภาพประชาชนไทย โดยการตรวจร่างกาย

ครั้งที่ 5 พ.ศ.2556-2557 พบความชุกโลหิตจางในกลุ่มหญิงวัยเจริญพันธุ์ อายุ 15-45 ปี ร้อยละ 22.7 รวมถึงข้อมูลจากระบบคลังสุขภาพกระทรวงสาธารณสุข ยังพบความชุกโลหิตจางในกลุ่มหญิงตั้งครรภ์ ตั้งแต่ ปี 2562-2564 พบร้อยละ 16.4, 15.1 และ 14.6 ตามลำดับ

“การส่งเสริมสุขภาพในทุกกลุ่มวัย มีผลต่อการพัฒนาศักยภาพของประชากรไทยในระยะยาว กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข จึงเร่งดำเนินงานแก้ไข ผลักดันนโยบายและรูปแบบการบริการต่างๆ เพื่อให้หญิงไทยได้รับการส่งเสริมภาวะโภชนาการป้องกันภาวะโลหิตจาง โดยตั้งแต่ปี 2562-2564 เด็กอายุ 6 เดือน-5 ปี ได้รับยาน้ำเสริมธาตุเหล็กร้อยละ 47.28, 62.77 และ 70.57 ตามลำดับ และตั้งแต่ปี 2562-2564 เด็กอายุ 6-12 ปี ได้รับยาเม็ดเสริมธาตุเหล็ก ร้อยละ 43.20, 32.51 และ 30.02 ตามลำดับ นอกจากนี้ หญิงตั้งครรภ์ยังได้รับยาเม็ดเสริมไอโอดีน ธาตุเหล็ก และกรดโฟลิก ร้อยละ 75.89, 79.46 และ 80.61 ตามลำดับ รวมทั้งการส่งเสริมพฤติกรรมการกินอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง ได้แก่ 1) เนื้อสัตว์ต่างๆ โดยเฉพาะเนื้อแดง เลือด ตับ เครื่องในสัตว์ ไข่แดง ปลา เป็ด ไก่ และอาหารทะเล 2) ธัญพืช เช่น ซีเรียล ข้าวโอ๊ต จมูกข้าวสาลี แป้ง และถั่วเมล็ดแห้งต่างๆ เป็นต้น และ 3) ผักใบเขียวเข้ม เช่น คะน้า ตำลึง ผักโขม ผักบุ้ง บรอกโคลี หน่อไม้ฝรั่ง เป็นต้น และควรกินผลไม้ที่เป็นแหล่งของวิตามินซี เช่น ส้ม ฝรั่ง มะละกอ สตรอว์เบอร์รี ส้มโอ กีวี เป็นต้น ร่วมกับอาหารในมื้อนั้น จะช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กไปใช้ได้ง่ายขึ้น” รองอธิบดีกรมอนามัยกล่าว

Advertisement

อันตราย!! อย.เตือน “ขนมควันทะลัก” ใส่ไนโตรเจนเหลว

People Unity News : 22 มกราคม 66 จากกรณีรัฐบาลอินโดนีเซียเตือนภัย พบเด็กป่วยหลังกินขนมผสมไนโตรเจนเหลว โดยทำตามคลิปที่มีการกินขนมพร้อมพ่นควันสีขาวออกมาจากปาก อย.มีความห่วงใย ขอให้หลีกเลี่ยงการกิน สัมผัส หรือสูดดมไนโตรเจนเหลวโดยตรง เสี่ยงอันตรายโดยคาดไม่ถึง

นพ.วิทิต สฤษฎีชัยกุล รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า จากกรณีรัฐบาลอินโดนีเซียเตือนการใช้ไนโตรเจนเหลวในอาหารพร้อมรับประทาน หลังพบเด็กมีอาการแสบท้องและท้องเสีย หลังกินขนมท้องถิ่น “ชิกิ เกบุล” ซึ่งทำตามคลิปวิดีโอกินขนมพร้อมพ่นควันสีขาวออกมาจากปากนั้น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) มีความห่วงใย การใช้ไนโตรเจนเหลวในอาหารพร้อมบริโภค เพื่อให้เกิดควันพวยพุ่งออกมา ซึ่งเป็นการปลุกกระแสสร้างความแปลกใหม่ ดึงดูดลูกค้าให้ซื้อสินค้าไปรับประทาน หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า “ขนมควันทะลัก” หรือการดัดแปลงนำไนโตรเจนเหลวมาใช้ใส่ในอาหาร เพื่อทำให้แข็ง เช่น ราดหรือผสมลงในไอศกรีม ราดลงบนขนมให้แข็งตัว การใช้ในลักษณะดังกล่าว ผู้ใช้ต้องมีความระมัดระวัง และต้องใช้ไนโตรเจนเหลวที่มีคุณภาพตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 281) พ.ศ. 2547 เรื่อง วัตถุเจือปนอาหาร และปฏิบัติตามเงื่อนไขการใช้ที่กำหนดในประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 418) พ.ศ. 2563 หากตรวจพบว่ามีการใช้ไนโตรเจนเหลวในปริมาณมากจนเกินเหตุและเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค ถือว่าเป็นการผลิตเพื่อจำหน่ายอาหารไม่บริสุทธิ์ มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

รองเลขาธิการ อย. กล่าวย้ำว่า สำหรับผู้บริโภค ขอให้หลีกเลี่ยงการกิน สัมผัส หรือสูดดมโดยตรง เสี่ยงได้รับอันตรายโดยคาดไม่ถึง เพราะไนโตรเจนเหลวมีอุณหภูมิที่ต่ำมาก เมื่อสัมผัสถูกผิวหนังหรือเนื้อเยื่อ ไนโตรเจนเหลวจะดูดซับความร้อนจากผิวหนัง เพื่อการระเหยอย่างรวดเร็ว และทำให้ผิวหนังหรือเนื้อเยื่อถูกทำลายจากความเย็นจัด หรือหากสูดดมโดยตรงอาจทำให้หมดสติได้ การกินอาหารประเภทนี้ ต้องรอให้ควันของไนโตรเจนเหลวระเหยออกไปให้หมดก่อน จึงจะกินได้ หากผู้บริโภคไม่แน่ใจในคุณภาพหรือความปลอดภัยของอาหาร พบเห็นผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือไม่ได้รับความปลอดภัยจากการบริโภค สามารถร้องเรียนมาได้ที่สายด่วน อย. 1556 Line @FDAThai, Facebook FDAThai หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ

Advertisement

Verified by ExactMetrics