วันที่ 18 พฤษภาคม 2024

ชวนชม “ดนตรีในสวน เฉลิมพระเกียรติในหลวง ร.10”

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 26 เมษายน 2567 ทำเนียบ – รมต.พวงเพ็ชร ชวนชม “ดนตรีในสวน เฉลิมพระเกียรติในหลวง ร.10” ที่สวนรถไฟ 28 เม.ย.นี้

นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ทุกวันที่ 28 เมษายน ของทุกเดือน ตลอดปี พ.ศ.2567 คณะกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์การจัดงานพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ได้กำหนดให้มีการจัดกิจกรรมดนตรีในสวนเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยความร่วมมือของกรมประชาสัมพันธ์ กรุงเทพมหานคร รวมถึงเหล่าศิลปิน เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนได้ร่วมรับฟังบทเพลงอันไพเราะและทรงคุณค่า เช่น เพลงพระราชนิพนธ์ ในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และบทเพลงทั่วไป ในบรรยากาศสวนสวยใจกลางกรุงเทพมหานคร เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตลอดปีมหามงคล และเป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์ ซึ่งเป็นสถาบันหลักของชาติ

โดยในวันที่ 28 เมษายน 2567 กิจกรรมดนตรีในสวน มีกำหนดจัดขึ้น ณ สวนวชิรเบญจทัศ หรือ สวนรถไฟ ประชาชนสามารถร่วมกิจกรรมได้ตั้งแต่ 17.00 น. เป็นต้นไป นอกจากบทเพลงจากวงดนตรีกรมประชาสัมพันธ์แล้ว ยังมีกลุ่มศิลปินนำโดย คุณโฉมฉาย อรุณฉาน และศิลปินรุ่นใหม่ จากการประกวดในรายการเพลงเอกร่วมขับร้องบทเพลงอันไพเราะ เช่น ธัช กิตติธัช แชมป์รายการเพลงเอกซีซัน 1 แบ๊งค์ เฉลิมรัฐ จุลโลบล แชมป์รายการเพลงเอกซีซัน 2 เซม ภานุรุจ พงพิทักษ์กุล แชมป์รายการเพลงเอกซีซัน 3 และ โอ๋ ชุติมา แก้วเนียม ผู้ร่วมประกวดรายการเพลงเอกซีซัน 2

“ในปีมหามงคลนี้ ขอเชิญชวนประชาชนคนไทย ร่วมแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ โดยเข้าร่วมกิจกรรมที่รัฐบาล ภาคเอกชน และประชาชนทั่วประเทศ พร้อมใจจัดขึ้นตลอดทั้งปี สำหรับการจัดกิจกรรมดนตรี นับเป็น Soft Power สาขาหนึ่ง จาก 11 สาขา ที่รัฐบาลให้ความสำคัญ และเป็นสื่อกลางที่สร้างความสามัคคีกลมเกลียวของคนในชาติ ช่วยส่งเสริมความรัก ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ทำให้ประเทศไทยเกิดความสงบสุขภายใต้ร่มพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์“ นางพวงเพ็ชร กล่าว

Advertisement

ร.10 พระราชทานวีดีทัศน์แนวพระราชดำริ ร.9 และสมเด็จพระราชินีนาถ ให้รัฐบาลนำไปสานต่อ

People unity news online : สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานวีดีทัศน์รวมแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9

วันนี้ (15 สิงหาคม 2560) เวลา 13.50 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีว่า เป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ โดยเมื่อวันที่ 12 สิงหาคมที่ผ่านมา ภายหลังเสร็จสิ้นพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ในพระบรมมหาราชวัง สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานวีดีทัศน์ จำนวน 4 แผ่น ซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการสานต่อ รักษา และต่อยอดแนวทางพระราชดำริและโครงการพัฒนาไม่ว่าจะเป็นเรื่องน้ำ ป่า และเรื่องต่างๆ ที่เป็นแนวทางของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ทรงทำไว้ และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรับมาแล้วให้รวบรวมและนำไปเผยแพร่ เพื่อเป็นการถวายพระเกียรติ รวมถึงเพื่อให้รัฐบาลและทุกภาคส่วนนำไปใช้ประโยชน์ในการสานต่อและต่อยอดสิ่งที่ทั้ง 2 พระองค์ทำไว้  ขณะเดียวกัน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงนำแนวทางดังกล่าวมาใช้ในการทรงงานต่อไป เพื่อให้ประเทศไทยมีความมั่นคงอย่างยั่งยืนตลอดไป ส่วนรัฐบาลจะนำมาประยุกต์ใช้ด้วยเช่นกัน

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้นำวีดีทัศน์ชุดดังกล่าวมาแสดงต่อสื่อมวลชน โดยใช้ชื่อชุด “สืบสาน รักษา ต่อยอด สร้างสุขปวงประชา” หน้าปกเป็นพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

โดยนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ปกด้านในมีพระราชปรารภของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ความว่า พระมหากรุณาธิคุณในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรามีมากหลายด้วยพระบารมี และพระเมตตา ได้ทรงพระราชทานแนวความคิด พระราชดำริ และข้อปฏิบัติในการพัฒนาความเจริญและความสุขให้แก่ประเทศชาติและประชาชนมาหลายด้านหลายสิ่ง หากจะได้ศึกษาและน้อมนำพระราชดำริต่างๆนี้ มาปฏิบัติให้ถูกต้องเหมาะสมและพอเพียงต่อสถานการณ์ และก็เชื่อแน่ว่าจะแก้ปัญหา และทำให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม ประเทศชาติ และตนเอง ซึ่งจะนำพามาสู่ความสุขและความเจริญกับทุกๆคน ตามพระราชปณิธานของล้นเกล้าล้นกระหม่อมตลอดไป หวังว่าวีดีทัศน์ชุดนี้จะเป็นประโยชน์ และนำความสุข ความเจริญมาสู่ผู้ชมในทุกประการ ทั้งนี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงลงพระปรมาภิไธยด้วย

สำหรับวีดีทัศน์มีจำนวน 4 แผ่น แบ่งเป็น 4 ตอน ได้แก่ ตอนที่ 1 น้ำคือชีวิตแผ่นดิน ตอนที่ 2 พิทักษ์ป่า พัฒนาสินสายน้ำ ตอนที่ 3 พืชพรรณ ปลูกชีวิตมั่นคง และตอนที่ 4 เศรษฐกิจพอเพียงนำทางชีวิต

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ขอให้ทุกคนติดตามและเข้าใจถึงพระเจตนารมณ์ที่พระองค์ทรงมอบหมายมา โดยจะให้กรมประชาสัมพันธ์นำวีดีทัศน์ดังกล่าวไปเผยแพร่ทางโทรทัศน์ในเวลา 18.00 น. นอกจากนี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรับสั่งอีกหลายเรื่อง อาทิ การทำให้คนไทยปลูกข้าวให้ได้ในพื้นที่ที่มีดินเปรี้ยว ซึ่งรัฐบาลต้องไปพิจารณาด้วยว่าหากการปลูกข้าวอย่างเดียวไม่ได้ทำให้ประชาชนมีรายได้เพียงพอ ก็ต้องนำไปสู่การทำตามแนวพระราชดำริเกษตรทฤษฏีใหม่ 3:3:3:1 ปลูกพืชชนิดอื่นด้วย หรือถ้าปลูกพืชชนิดใดได้ดีก็นำไปปลูกพืชแปลงใหญ่ ส่วนพื้นที่ใดปลูกพืชชนิดใดได้ผลผลิตน้อย ก็ให้นำพื้นที่นั้นไปทำปศุสัตว์บ้าง เพราะทิศทางน้ำในปัจจุบันเปลี่ยนไปมากพอสมควร และไม่ควรเกิดการขัดแย้งกันอีก

“พระองค์ทรงรับสั่งว่าสามารถประยุกต์ได้ หลักเศรษฐกิจพอเพียงมีคนอยู่หลายประเภทด้วยกัน มีทั้งพอเพียง รวยก็มี ไม่พอเพียงก็มี ใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียงได้ในคนทุกระดับ” นายกรัฐมนตรี กล่าว

อนึ่ง ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2560 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีว่า เมื่อวาน (7 สิงหาคม) ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นการส่วนพระองค์ ซึ่งเป็นการถวายรายงานการทำงานของรัฐบาลตามห้วงระยะเวลา โดยได้ถวายงานในหลายๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านความมั่นคง ด้านเศรษฐกิจ รวมถึงการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยน้ำท่วม

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรับสั่ง สรุปได้ดังนี้

1.ทรงห่วงใยประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยน้ำท่วมทั้งภาคเหลือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทรงรับสั่งให้รัฐบาลช่วยเหลือตามมาตรการต่างๆอย่างรวดเร็ว และทั่วถึง ลดภาระความซ้ำซ้อน สิ่งใดที่สถาบันจะช่วยได้ ก็จะทรงพระราชทานความช่วยเหลือมาให้ อย่างที่ทรงพระราชทานอยู่ปัจจุบันนี้ พร้อมทรงรับสั่งให้แก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนเป็นพื้นที่ๆไป ถ้าไม่สามารถแก้ไขในภาพรวมได้ โดยนายกรัฐมนตรีได้ทูลถวายถึงโครงการแก้ไขปัญหาการบริหารจัดการน้ำภาพรวมของรัฐบาลว่า ติดปัญหาอยู่ที่ประชาชนที่มีส่วนได้ส่วนเสียเรื่องที่ดิน และในพื้นที่ส่วนบุคคล โดยไม่สามารถทำได้ ซึ่งจะมีการหารือเพื่อแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้ต่อไป

2.ทรงรับสั่งขอให้ทำให้ประเทศชาติและประชาชนมีความสุข ทั้งการช่วยเหลือ การบรรเทา การจัดระเบียบ การสร้างวินัย การสร้างอุดมการณ์ ขอให้ทำในทุกมาตรการอย่างต่อเนื่อง

3.ให้ช่วยกันรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีไทยแต่โบราณกาลที่เป็นส่วนที่ดีงาม เป็นอัตลักษณ์ของไทย ให้คนมาท่องเที่ยว มาชื่นชม ขอให้รักษาไว้ให้ได้

4.เรื่องภัยคุกคามในรูปแบบต่างๆ อาทิเช่น ภัยคุกคามรูปในแบบเก่า การรักษาอธิปไตย วันนี้น้อยลง ก็มีแต่การรักษาทรัพยากรบนแผ่นดินและบนพื้นน้ำที่เป็นอาณาของประเทศไทย ที่จำเป็นต้องมีกำลังไว้รักษา และภัยคุกคามรูปแบบใหม่ต้องเตรียมมาตรการรองรับให้ดี ให้เป็นสากล

5.ทรงให้เร่งดูแลระบบการศึกษา ซึ่งปัจจุบันได้มีการปฏิรูปการศึกษา เร่งกระบวนการเรียนรู้ ให้คนไทยมีความรู้ สามารถประกอบอาชีพมั่นคง มีความเข้มแข็ง มีหลักคิดที่ถูกต้องในทุกๆเรื่อง จะได้ลดความขัดแย้ง

6.ทรงขอให้ช่วยกันส่งเสริมกลุ่มงานจิตอาสา ซึ่งตนได้สั่งในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีให้กระทรวงมหาดไทย จัดตั้งอาสาสมัครในการดูแลพื้นที่ และความมั่นคง ในลักษณะจิตอาสา หรือทำกิจกรรมสาธารณะ

7.การดูแลประชาชน ให้ความเป็นธรรม กระบวนการยุติธรรมทุกอย่างให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายทุกประการ มีหลักฐานที่ชัดเจน ให้ประชาชนเชื่อมั่นไว้วางใจในกระบวนการยุติธรรมให้ได้

8.ข้าราชการทุกหมู่เหล่า ทรงขอให้ประพฤติตนเป็นแบบอย่าง เป็นแม่แบบให้กับประชาชนให้เคารพศรัทธาเชื่อมั่นในการทำงานเพื่อให้เกิดความร่วมมือ ลดผลกระทบระหว่างกันให้ได้ในการบังคับใช้กฎหมาย

9.ทรงเสียพระทัยในการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 โดยรับสั่งว่าขอให้ช่วยกันสร้างความเข้าใจ ขยายสิ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ได้ทรงทำไว้มากมายให้ยึดถือเป็นแนวทางปฏิบัติต่อไป ขอให้สำนึกถึงสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พร้อมขอให้นำทุกอย่างที่ทั้งสองพระองค์ได้ทรงริเริ่มนำไปขับเคลื่อน ส่วนพระองค์จะสนับสนุนส่งเสริมรัฐบาลในการทำเพื่อประชาชน

ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่า นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น และโชคดีที่ประเทศไทยมีพระบาทสมเด็จสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 ซึ่งทรงสืบสานพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถต่อไป ขอให้คนไทยทุกคนช่วยกันรักษา ให้ใช้การสูญเสียในครั้งนี้ เปลี่ยนแปลงประเทศไทยไปในสิ่งที่ดีกว่าเดิม เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระองค์ท่านต่อไป

ร.10 พระราชทานวีดีทัศน์แนวพระราชดำริ ร.9 และสมเด็จพระราชินีนาถ ให้รัฐบาลนำไปสานต่อ

People unity news online : post 15 สิงหาคม 2560 เวลา 22.00 น.

ไปชม! งาน “ใต้ร่มพระบารมี 235 ปีกรุงรัตนโกสินทร์” กิจกรรมมากมายตลอดเดือน เม.ย.นี้

People unity news online :  เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2560 นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานแถลงข่าวการจัดงานมหกรรมวัฒนธรรม “ใต้ร่มพระบารมี 235 ปี  กรุงรัตนโกสินทร์” น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณตราบนิรันดร์ โดยมี ดร.ฉวีรัตน์ เกษตรสุนทร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม นายปรารพ เหล่าวานิช เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม และผู้แทนหน่วยงานต่างๆเข้าร่วม

นายวีระ กล่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรมจัดงาน 235 ปีกรุงรัตนโกสินทร์ และกิจกรรมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งกระทรวงวัฒนธรรมได้บูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ อาทิ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงพาณิชย์ และกรุงเทพมหานคร เป็นต้น เพื่อจัดงานดังกล่าวขึ้นภายใต้ชื่องานมหกรรมวัฒนธรรม “ใต้ร่มพระบารมี 235 ปี กรุงรัตนโกสินทร์” น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณตราบนิรันดร์ เพื่อรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ที่ทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ และเพื่อเทิดพระเกียรติพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ในราชวงศ์จักรีที่ได้ทรงนำพาประเทศชาติเป็นปึกแผ่น และเจริญรุ่งเรืองมาครบรอบ 235 ปี รวมทั้งเพื่อให้คนรุ่นหลังได้ร่วมรำลึก เรียนรู้ประวัติศาสตร์และความเป็นมาของการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งงานครั้งนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 1 – 30 เม.ย.2560 ระหว่างเวลา 10.00 – 22.00 น. และจะมีพิธีเปิดงานในวันที่ 5 เม.ย.นี้ที่โรงละครแห่งชาติ หลังจากนั้นจะมีพิธีเปิดนิทรรศการรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งนิทรรศการจัดขึ้นระหว่างวันที่ 5 – 30 เม.ย.ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร และเปิดกิจกรรมเยี่ยมยลพิพิธภัณฑ์ (Night Museum) ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 20 – 25 เม.ย.ที่โรงละครแห่งชาติด้วย

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า กิจกรรมภายในงานประกอบด้วยพิธีสำคัญ คือ พิธีบวงสรวงและพิธีสักการะบูรพกษัตริย์ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร รวมทั้งมีพิธีสักการะศาลหลักเมืองกรุงเทพมหานคร โดยทั้ง 3 พิธีนี้จะจัดขึ้นในวันที่ 20 เม.ย. พิธีเจริญพระพุทธมนต์และตักบาตรพระสงฆ์ 236 รูปที่ลานคนเมืองในวันที่ 21 เม.ย. หลังจากนั้นจะมีพิธีศาสนา 5 ศาสนา มหามงคล ในวันที่ 22 เม.ย.ที่โรงละครแห่งชาติ

ขณะเดียวกันยังได้จัดนิทรรศการจิตรกรรมฝีพระหัตถ์ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ระหว่างวันที่ 1 – 30 เม.ย.ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป นิทรรศการรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ต้นไม้ปณิธานความดี และรถศูนย์ข้อมูลดนตรี ระหว่างวันที่ 5 – 30 เม.ย.ที่โรงละครแห่งชาติ (โรงเล็ก) รวมทั้งการเสวนาทางวิชาการ อาทิ ภาพเก่าเล่าขานตำนานรัตนโกสินทร์และ 235 ปี รัตนโกสินทร์คีตการ : ดุริยางค์ราชสำนัก มรดกไทยมรดกโลก ระหว่างวันที่ 22 – 25 เม.ย.ที่โรงละครวังหน้า

รวมถึงจัดกิจกรรม “สวดพระพุทธมนต์ 10 วัด สืบสิริ 10 รัชกาล” ระหว่างวันที่ 6 – 24 เม.ย. อาทิ   วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม วัดอรุณราชวราราม วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม วัดพระราม 9 กาญจนาภิเษก  วัดวชิรธรรมสาธิต เป็นต้น รวมทั้งกิจกรรม “ไหว้พระเสริมสิริมงคล” ระหว่างวันที่ 21 – 25 เม.ย.ที่วัดรอบเกาะรัตนโกสินทร์ ได้แก่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร วัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร วัดบวรนิเวศวิหาร วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร วัดราชนัดดารามวรวิหาร วัดสุทัศนเทพวรราม วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม และเทวสถานโบสถ์พราหมณ์ ทั้งนี้ ได้รับความร่วมมือจากองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพมหานคร (ขสมก.) จัดรถโดยสารปรับอากาศให้บริการรถรับ – ส่ง ประชาชน 10 จุดใน 10 วัด โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ติดต่อสอบถามโทร. 02 422 8812

นายวีระ กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ ยังได้จัดงานมหกรรมการแสดงทางวัฒนธรรม ระหว่างวันที่ 20 – 25 เม.ย. มีการแสดงทางวัฒนธรรมที่โรงละครแห่งชาติ การแสดงวัฒนธรรมไทย 4 ภาคที่ลานคนเมือง การแสดงมหกรรมวิทยาลัยนาฏศิลป์ทั่วประเทศที่สวนสันติชัยปราการ และจัดมหกรรมวัฒนธรรมอาเซียน ครั้งที่ 2 โดยมีงานมหกรรมการแสดงหุ่นร่วมสมัยไทย-อาเซียน ที่โรงละครแห่งชาติ (โรงใหญ่) ลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์ และสวนสันติชัยปราการ บางลำพู โดยจะเชิญทูตานุทูตจากประเทศต่างๆในอาเซียนเข้าร่วม ขณะเดียวกันได้จัดการแสดงนาฏยศาลาหุ่นละครเล็กโจหลุยส์ โดยแสดงเรื่อง “พระมหาชนก” เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ระหว่างวันที่ 20 – 21 เม.ย. รวมถึงมีนิทรรศการและการแสดงหุ่นร่วมสมัยไทยและอาเซียน ระหว่างวันที่ 20 – 30 เม.ย. ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้จัดขึ้นที่หอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนินอีกด้วย

รวมทั้งมีกิจกรรมเยี่ยมยลพิพิธภัณฑ์ ระหว่างวันที่ 20 – 25 เม.ย. โดยเชิญชวนเด็ก เยาวชน และประชาชนเข้าชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป หอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนิน หอศิลป์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ มิวเซียมสยาม นิทรรศน์รัตนโกสินทร์ พิพิธบางลำพูและวังจักรพงษ์ โดยนักเรียน นักศึกษาและประชาชนสามารถเข้าชมได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เพื่อจะได้เรียนรู้และซึมซับด้านประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรมของชาติ

นอกจากนี้ มีกิจกรรมการประกวดภาพถ่าย หัวข้อ “ใต้ร่มพระบารมี 235 ปี กรุงรัตนโกสินทร์” จัดระหว่างวันที่ 2 – 30 เม.ย. ที่หอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนิน และการจำหน่ายสินค้าทางวัฒนธรรมทั้งของดีบ้านฉัน 76 จังหวัด และของดีรอบเกาะรัตนโกสินทร์ ระหว่างวันที่ 20 – 25 เม.ย.ที่ลานคนเมือง และสวนสันติชัยปราการ และจัดงาน “สัปดาห์วันอนุรักษ์มรดกไทย” ระหว่างวันที่ 2 – 8 เม.ย.ที่โรงละครแห่งชาติ และงาน “เทศกาลวันสงกรานต์” ระหว่างวันที่ 13 – 17 เม.ย.นี้ ที่ลานคนเมือง สยามพารากอน วัดปทุมวนารามราชวรวิหารและสยามสแควร์ด้วย ทั้งนี้ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนวัฒนธรรม โทร.1765

People unity news online : post 3 เมษายน 2560 เวลา 10.33 น.

 

​นายกฯซาบซึ้งพระมหากรุณาธิคุณ ในหลวงพระราชทานรถวิเคราะห์ผลด่วนพิเศษเคลื่อนที่

People Unity News : ​นายกฯ ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ ในหลวงพระราชทานรถวิเคราะห์ผลด่วนพิเศษเคลื่อนที่ต้นแบบ และชื่นชมการทำงานของเจ้าหน้าที่กองกำลังป้องกันชายแดน

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า รัฐบาลและประชาชนไทย ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้จากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงห่วงใยประชาชนไทยและได้พระราชทาน รถวิเคราะห์ผลด่วนพิเศษพระราชทาน และ รถเก็บตัวอย่างชีวนิรภัยพระราชทาน โดยได้พระราชทานมาแล้วรวมทั้งสิ้น 20 คัน เพื่อตรวจเชื้อโควิด-19 และวิเคราะห์ผลได้อย่างรวดเร็วขึ้น จะส่งผลให้ทำการตรวจเชิงรุกได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้เปิดเผยเพิ่มเติมว่า นายกรัฐมนตรียังชื่นชมการทำงานของศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคงที่มีผู้บัญชาการทหารสูงสุดเป็นหัวหน้าศูนย์ฯ ที่สนธิกำลังกวดขันและบูรณาการการทำงานของกองกำลังป้องกันชายแดนอย่างเข้มข้น ทั้งเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง ในการสกัดกั้นการลักลอบเข้าเมือง เพิ่มความถี่การตั้งจุดตรวจ และลาดตระเวนในพื้นที่ชายแดนทุกด้าน เพิ่มการวางเครื่องกีดขวางตามช่องทาง/ท่าข้ามที่ล่อแหลมและสำคัญในภูมิประเทศ และเครื่องมือพิเศษทุกระบบในการเฝ้าตรวจพื้นที่ เช่น CCTV และการใช้โดรน ทั้งนี้เพื่อป้องกันการข้ามแดนผิดกฎหมาย ทั้งการลักลอบข้ามแดนของแรงงานผิดกฎหมาย การมั่วสุมผิดกฎหมายเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรค การลักลอบขนย้ายสินค้าผิดกฎหมาย และยาเสพติด

นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำให้ประชาชนปฏิบัติตนตามกฎหมายโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคเพื่อรับผิดชอบต่อตนเอง และรับผิดชอบต่อผู้อื่นในสังคม

Advertising

ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ฉีดวัคซีนตัวเลือกซิโนฟาร์มแก่ผู้ด้อยโอกาส ผู้สูงอายุ ผู้พิการ 6,400 ราย

People Unity News : “ประยุทธ์” ตรวจเยี่ยมศูนย์ฉีดวัคซีนตัวเลือกซิโนฟาร์ม ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ เปิดให้บริการวันแรกสำหรับการฉีดวัคซีนพระราชทานฯ แก่ประชาชนผู้ด้อยโอกาส ผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้มีรายได้น้อย และชุมชนโดยรอบ

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า วันนี้ (25 มิ.ย. 2564) เมื่อเวลา 09.30 น. ณ บมจ.โทรคมนาคมแห่งชาติ ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตรวจเยี่ยมศูนย์ฉีดวัคซีนตัวเลือกซิโนฟาร์ม ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ เปิดให้บริการวันแรกสำหรับการฉีดวัคซีนพระราชทานในศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี แก่ประชาชนผู้ด้อยโอกาส ผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้มีรายได้น้อย และชุมชนในพื้นที่โดยรอบโรงพยาบาลเป็นกลุ่มแรก จำนวน 6,400 ราย (วัคซีนจำนวน 6,400 โดส) เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมายุ ครบ 64 พรรษา 4 กรกฎาคม 2564 และเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงวัคซีนตัวเลือกซิโนฟาร์ม และได้รับวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันได้เร็วที่สุด เพื่อป้องกันและลดการแพร่ระบาดของโรคให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพต่อประเทศชาติ นับเป็นพระกรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้แก่ปวงชนชาวไทย โดยมี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และศาสตราจารย์ นายแพทย์นิธิ มหานนท์ เลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์และผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ร่วมตรวจเยี่ยมด้วย

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีเข้าเยี่ยมชมศูนย์ฉีดวัคซีนตัวเลือกซิโนฟาร์ม ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ และให้กำลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์ ผู้ปฏิบัติงาน และประชาชนที่ได้เข้ารับการฉีดวัคซีน ซึ่งเป็นที่น่ายินดีที่ในวันนี้มีผู้ได้รับวัคซีนเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันรัฐบาลพยายามจัดหาวัคซีนให้ประชาชนทุกคนตามความเหมาะสม พร้อมย้ำบุคลากรทางการแพทย์ พยาบาลผู้ปฏิบัติงาน ระหว่างดูแลประชาชนขอให้ระมัดระวังดูแลสุขภาพตนเองไปพร้อมด้วย โดยเฉพาะการปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณุข สวมหน้ากากอนามัย หน้ากากผ้า ล้างมือ เว้นระยะห่างอย่างเคร่งครัด

นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการตรวจเยี่ยมว่า วันนี้เป็นที่น่ายินดีที่ได้มาตรวจเยี่ยมศูนย์ฉีดวัคซีนตัวเลือกซิโนฟาร์ม ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ เปิดให้บริการสำหรับการฉีดวัคซีนพระราชทานในศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี แก่ประชาชนผู้ด้อยโอกาส ผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้มีรายได้น้อย เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมายุ ครบ 64 พรรษา 4 กรกฎาคม 2564 โดยวัคซีนซิโนฟาร์มล็อตแรก จำนวน 1 ล้านโดส ที่ได้จัดส่งถึงประเทศไทยแล้วนั้น สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าฯ กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี พระราชทานให้แก่หน่วยงานต่างๆ ได้แก่ กระทรวงสาธารณสุข กรุงเทพมหานคร กรมราชทัณฑ์ รวมทั้งโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ จำนวนแห่งละ  6,400 โดส รวมทั้งหมด 25,600 โดส ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวสอดคล้องกับรัฐบาลที่ได้มีการดำเนินการอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด โดยวันนี้การฉีดวัคซีนจะเน้นไปที่กลุ่มผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้มีรายได้น้อย และผู้อยู่ในพื้นที่เสี่ยง และจะเร่งดำเนินการกระจายวัคซีนไปในทุกจังหวัด โดยบริหารจัดการให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ รวมถึงการจัดหาวัคซีนก็ยังเป็นไปตามแผนที่กำหนด และจะมีการเร่งเจรจาจัดหาและจัดซื้อเพิ่มเติมอีก เพื่อให้เพียงพอสำหรับประชาชนทุกกลุ่มและสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้กับประชาชนในประเทศ

สำหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นปัจจุบันนั้น นายกรัฐมนตรีได้หารือกับกระทรวงสาธารณสุข และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหามาตรการที่เหมาะสมที่จะดูแลประชาชน รวมถึงมีการปรับเตียงรองรับผู้ป่วยให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น รวมทั้งจัดหาสถานที่ ห้องความดันลบ และจัดหาเจ้าหน้าที่ให้เพียงพอให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาอย่างทั่วถึงและทันท่วงที ซึ่งคาดว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยในเร็วๆนี้ นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้เร่งรัดดำเนินการสำหรับแรงงานที่ลักลอบเข้ามาทำงานอย่างผิดกฎหมาย โดยให้ดำเนินการตามกฎหมายที่มีอยู่ ทั้งได้กำชับและสั่งการให้กระทรวงแรงงานไปตรวจโรงงานที่รับแรงงานที่ผิดกฎหมายซึ่งเป็นวิธีการแก้ปัญหาที่ดีที่สุด เพราะตราบใดที่มี Demand ก็ยังมี Supply และมีคนแสวงหาประโยชน์จากเรื่องดังกล่าว ซึ่งนายกรัฐมนตรียอมไม่ได้ หากพบว่าใครเกี่ยวข้องก็จะต้องถูกลงโทษ

นายกรัฐมนตรีย้ำว่า ขณะนี้รัฐบาลดำเนินการแก้ไขปัญหาโควิด-19 ควบคู่กับการดำเนินการในหลายเรื่อง ทั้งการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน ปัญหายาเสพติด และอื่นๆ ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในสังคมด้วย โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาโควิด-19 รัฐบาล ศบค. กระทรวงสาธารณสุข และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ความสำคัญยึดหลักร่วมกัน คือ 1. การดูแลเรื่องการติดเชื้อ การแพร่ระบาด 2. การตรวจสอบคัดกรองเชิงรุก 3. การปิดกั้นพื้นที่ที่แพร่ระบาดด้วยความร่วมมือของทุกภาคส่วน 4. การจัดหาวัคซีน ทั้งที่ได้มาแล้วสู่การฉีดให้ได้มากและเร็วที่สุด และการจัดหาวัคซีนเพิ่มเติม 5. การรักษาสมดุลกับการควบคุม เพื่อให้เศรษฐกิจสามารถเดินหน้าต่อไปได้ ซึ่งหลายประเทศให้ความสนใจ ต้องการมาเที่ยวประเทศไทย แต่ต้องมีมาตรการที่รัดกุม เช่น ที่จังหวัดภูเก็ต ที่กำลังจะเปิดในวันที่ 1 กรกฎาคม 2564 นี้ก็ได้มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขไปดูแลแล้ว ซึ่งหากดำเนินการในพื้นที่ภูเก็ตได้ ก็จะมีการพิจารณาขยาย Phuket Sandbox ไปดำเนินการในพื้นที่อื่นด้วย

Advertising

เชิญชวนภาครัฐ เอกชน ประดับธงตราสัญลักษณ์ ตลอดปี 2567

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 25 ธันวาคม 2566 ทำเนียบ – คณะกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์ งานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567” เชิญชวนภาครัฐ เอกชน ประดับธงตราสัญลักษณ์ ตลอดปี 2567

นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์ งานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ครั้งที่ 1/2566 โดยมี นายวราวุธ ยันต์เจริญ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะกรรมการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม

ที่ประชุมรายงานแนวทางการสื่อสารและการประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างการรับรู้ให้ประชาชนให้ทราบถึงการจัดงานเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 โดยมีชื่อพระราชพิธีภาษาไทยว่า “พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗” ส่วนภาษาอังกฤษ ใช้ชื่อ “The Celebration on the Auspicious of His Majesty the King’s 6th Cycle Birthday Anniversary 28th July 2024” และชื่อการจัดงานว่า “การจัดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567” กำหนดขอบเขตการจัดงานระหว่างวันที่ 1 มกราคม ถึง 31 ธันวาคม 2567 รวมถึงตราสัญลักษณ์งานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567

นางพวงเพ็ชร กล่าวว่า เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษา 6 รอบ ในวันที่ 28 กรกฎาคม 2567 รัฐบาลขอเชิญชวนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนทั่วไป ร่วมแสดงความจงรักภักดี และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ โดยดำเนินการจัดตั้งโต๊ะหมู่ประดิษฐานพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมเครื่องราชสักการะ รวมทั้งประดับธงชาติไทย ธงตราสัญลักษณ์งานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาส “พระราชพิธีมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗” ตราสัญลักษณ์ฯ และประดับผ้าระบายสีเหลืองร่วมกับผ้าระบายสีขาว ตามอาคารสถานที่ของหน่วยงานและบ้านเรือน ตามความเหมาะสม โดยดำเนินการในระยะเวลาขอบเขตการจัดงานเฉลิมพระเกียรติฯ ตลอดปี 2567

“นอกจากนี้ คณะกรรมการยังได้เตรียมการสื่อสารและการประชาสัมพันธ์ทุกช่องทางการสื่อสารให้ครอบคลุม รวมถึงการผลิตและเผยแพร่สารคดี ข้อมูล ภาพประกอบ และกิจกรรมต่างๆ ของ “พระราชพิธีมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗” โดยให้หน่วยงานภาครัฐนำเสนอแผนการจัดกิจกรรมมายังคณะกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์ เพื่อให้กรมประชาสัมพันธ์ซึ่งเป็นฝ่ายเลขานุการ รวบรวมและกำหนดแผนการดำเนินงาน เพื่อให้สามารถสื่อสารไปยังประชาชนได้อย่างครอบคลุมและทั่วถึง พร้อมเปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการร่วมกิจกรรมต่างๆ เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดีร่วมกันทั้งประเทศ” นางพวงเพ็ชร กล่าว

สำหรับส่วนราชการ องค์กรเอกชน หรือหน่วยงานใดมีความประสงค์ขออนุญาตใช้ตราสัญลักษณ์ เพื่อประดิษฐานในสิ่งของใด ๆ ก็ตาม ให้แจ้งขออนุญาตไปที่ คณะกรรมการฝ่ายกลั่นกรองการขอใช้ตราสัญลักษณ์งานเฉลิมพระเกียรติฯ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สอบถาม โทร. 0 2283 4789-91, 0 2283 4775, 0 2283 4787, 0 2283 4780 โทรสาร 0 2283 4809–10 หรือสามารถดาวน์โหลดรายละเอียดเพิ่มเติมพร้อมแบบฟอร์มได้จาก QR Code ของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี

Advertisement

เผยรายชื่อ 108 แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ทั่วประเทศ ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก

People unity : มหาดไทยเผยรายชื่อ 108 แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ทั่วประเทศ สำหรับประกอบพิธีพลีกรรมตักน้ำ เพื่อจัดทำน้ำอภิเษกในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก

เมื่อวันที่ 9 มี.ค. 2562 ที่กระทรวงมหาดไทย นายพรพจน์ เพ็ญพาส รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการฝ่ายต่างๆ เพื่อช่วยดำเนินการงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เป็นประธานกรรมการฝ่ายจัดพิธีการงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก และได้แต่งตั้งให้ปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานอนุกรรมการฝ่ายจัดทำน้ำอภิเษก ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้แจ้งให้ทุกจังหวัด สำรวจและบำรุงรักษาแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพเลื่อมใส แหล่งน้ำที่เคยใช้ทำน้ำพระพุทธมนต์ศักดิ์สิทธิ์ให้คงอยู่ในสภาพที่ใสสะอาด และดำเนินการพัฒนาภูมิทัศน์โดยรอบ ให้มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย สวยงาม มีความพร้อมที่จะนำน้ำไปประกอบพิธีสำคัญ ซึ่ง พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และ นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้มอบนโยบายและเน้นย้ำให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดดำเนินการเตรียมความพร้อมในการจัดทำน้ำอภิเษกของทุกจังหวัดทั่วประเทศ ให้ไปด้วยความเรียบร้อยและสมพระเกียรติ โดยผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทยได้ลงพื้นที่เพื่อตรวจและติดตามความพร้อมของแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์เพื่อเตรียมการประกอบพิธีพลีกรรมตักน้ำอย่างต่อเนื่อง

รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า สำหรับกำหนดการประกอบพิธีพลีกรรมตักน้ำ ได้กำหนดขึ้นในวันเสาร์ที่ 6 เมษายน 2562 ฤกษ์เวลา 11.52-12.38 น. ณ แหล่งน้ำศักดิ์ของทุกจังหวัดทั่วประเทศ รวมจำนวน 107 แหล่งน้ำ แบ่งเป็น 1) จังหวัดที่มีแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ จำนวน 1 แห่ง 60 จังหวัด 2) จังหวัดที่มีแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ จำนวน 2 แห่ง 7 จังหวัด 3) จังหวัดที่มีแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ จำนวน 3 แห่ง 5 จังหวัด 4) จังหวัดที่มีแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ จำนวน 4 แห่ง 3 จังหวัด และ 5) จังหวัดที่มีแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ จำนวน 6 แหล่งน้ำ 1 จังหวัด ยกเว้นกรุงเทพมหานครจะประกอบพิธีพลีกรรมตักน้ำในวันที่ 12 เมษายน 2562 ณ หอศาสตราคมในพระบรมมหาราชวัง รวมทั้งสิ้น 108 แห่ง นอกจากนี้ มีแหล่งน้ำสรงมุรธาภิเษก จำนวน 9 แหล่งน้ำ ได้แก่ สระศักดิ์สิทธิ์ 4 สระ คือ สระแก้ว สระคา สระยมนา และสระเกษ ในอำเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี และน้ำจากแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ 5 สาย คือ แม่น้ำบางปะกง ตักที่บึงพระอาจารย์ อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก แม่น้ำป่าสัก ตักที่บริเวณบ้านท่าราบ อำเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี แม่น้ำเจ้าพระยา ตักบริเวณปากคลองบางแก้ว อำเภอเมืองอ่างทอง จังหวัดอ่างทอง แม่น้ำราชบุรี ตักบริเวณสามแยกคลองหน้าวัดดาวดึงษ์ อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม และแม่น้ำเพชรบุรี ตักบริเวณท่าน้ำวัดท่าไชยศิริ อำเภอบ้านลาด จังหวัดเพชรบุรี

รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้เน้นย้ำให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด เตรียมความพร้อมในการจัดทำน้ำอภิเษกในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ทั้ง 4 ด้าน คือ ด้านแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ของจังหวัด ด้านพิธีพลีกรรมตักน้ำ ด้านพิธีทำน้ำอภิเษก และด้านการเชิญคนโทน้ำอภิเษก โดยกระทรวงมหาดไทยจะให้การสนับสนุนจังหวัดทุกประการ เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและสมพระเกียรติ

สำหรับรายชื่อ 108 แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ทั่วประเทศ มีดังนี้

1) จังหวัดที่มีแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ จำนวน 1 แห่ง 60 จังหวัด 1. วังเทวดา จ.กระบี่ 2. แม่น้ำสามประกอบ จ.กาญจนบุรี 3. กุดน้ำกิน จ.กาฬสินธุ์ 4. บ่อสามแสน จ.กำแพงเพชร 5. บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ (บาราย) จ.ขอนแก่น 6. ปากน้ำโจ้โล้ (คลองท่าลาด) จ.จันทบุรี 7. สระเจ้าคุณเฒ่า วัดเขาบางทราย จ.ชลบุรี 8. แม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณหน้าวัดธรรมามูลวรวิหาร จ.ชัยนาท 9. บ่อน้ำทิพย์ถ้ำเขาพลู จ.ชุมพร 10. บ่อน้ำทิพย์ จ.เชียงราย 12. แม่น้ำตรัง บริเวณท่าน้ำวัดประสิทธิชัย จ.ตรัง 13. น้ำตกธารมะยม จ.ตราด 14. อ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพล จ.ตาก 15. สระน้ำจันทร์ (สระบัว) จ.นครปฐม 16. สระน้ำมุรธาภิเษก (บ่อน้ำพระอินทร์) จ.นครพนม 17. ต้นน้ำลำตะคอง จ.นครราชสีมา 18. บึงบอระเพ็ด จ.นครสวรรค์ 19. กลางแม่น้ำเจ้าพระยาเบื้องหน้าบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว วัดเฉลิมพระเกียรติวรวิหาร จ.นนทบุรี 20. แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์วัดกลาง จ.บุรีรัมย์ 21. แม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณหน้าวัดศาลเจ้า จ.ปทุมธานี 22. บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ (บ่อน้ำทิพย์) จ.ประจวบคีรีขันธ์ 23. บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์วัดตูม จ.พระนครศรีอยุธยา 24. บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ถ้ำน้ำผุด จ.พังงา 25. แม่น้ำน่านบริเวณหน้าพระอุโบสถ วัดท่าหลวง จ.พิจิตร 26. สระสองห้อง จ.พิษณุโลก 27. ท่าน้ำวัดท่าไชยศิริ จ.เพชรบุรี 28. บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์วัดไชยธาราราม (วัดฉลอง) จ.ภูเก็ต 29. บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ (หนองดูน) จ.มหาสารคาม 30. น้ำตกศักดิ์สิทธิ์ จ.มุกดาหาร 31. ถ้ำปลา จ.แม่ฮ่องสอน 32. ท่าคำทอง จ.ยโสธร 33. สระแก้ว สระน้ำศักดิ์สิทธิ์ จ.ยะลา 34. สระชัยมงคล จ.ร้อยเอ็ด 35. บ่อน้ำพุร้อนรักษะวาริน จ.ระนอง 36. วังสามพญา จ.ระยอง 37. สระโกสินารายณ์ จ.ราชบุรี 38. บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ วัดกวิศราราม จ.ลพบุรี 39. บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ (บ่อน้ำเลี้ยงพระนางจามเทวี) จ.ลำปาง 40. ดอยขะม้อ บ่อน้ำทิพย์ จ.ลำพูน 41. น้ำจากถ้ำเพียงดินภายในถ้ำวัดผาปู่ จ.เลย 42. บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ปราสาทสระกำแพงน้อย จ.ศรีสะเกษ 43. บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ “ภูน้ำลอด” จ.สกลนคร 44. บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์วัดแหลมบ่อท่อ จ.สงขลา 45. บ่อน้ำพุร้อนทุ่งนุ้ย จ.สตูล 46. แม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณหน้าองค์พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ 47. แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์คลองดาวดึงษ์ จ.สมุทรสงคราม 48. แหล่งน้ำคลองดำเนินสะดวก จ.สมุทรสาคร 49. สะแก้ว – สระขวัญ จ.สระแก้ว 50. แม่น้ำป่าสักบริเวณบ้านท่าราบ จ.สระบุรี 51. สระน้ำศักดิ์สิทธิ์วัดโพธิ์เก้าต้น จ.สิงห์บุรี 52. แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์พระบรมธาตุไชยาราชวรวิหาร จ.สุราษฎร์ธานี 53. สระโบราณ จ.สุรินทร์ 54. สระมุจลินท์ (สระพญานาค) จ.หนองคาย 55. บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์วัดศรีคูณเมือง จ.หนองบัวลำภู 56. แม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณพระอุโบสถวัดไชโยวรวิหาร จ.อ่างทอง 57. อ่างเก็บน้ำพุทธอุทยาน (อ่างเก็บน้ำห้วยปลาแดก) จ.อำนาจเจริญ 58. บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์คำชะโนด จ.อุดรธานี 59. บ่อน้ำทิพย์ จ.อุตรดิตถ์ 60. บ่อน้ำโจ้ก จ.อุบลราชธานี

2) จังหวัดที่มีแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ จำนวน 2 แห่ง 7 จังหวัด 1. จังหวัดชัยภูมิ ได้แก่ บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์วัดไพรีพินาศ และชีผุด แม่น้ำชี  2. จังหวัดนราธิวาส  ได้แก่ น้ำแบ่ง และน้ำตกสิรินธร 3. จังหวัดบึงกาฬ ได้แก่ พื้นที่ชุ่มน้ำบึงโขงหลง และบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ถ้ำพระ 4. จังหวัดปราจีนบุรี ได้แก่ บ่อน้ำหน้าโบราณสถานรอยพระพุทธบาทคู่ และโบราณสถานสระแก้ว 5. จังหวัดพะเยา ได้แก่ ขุนน้ำแม่ปืม และน้ำตกคะ (น้ำคะ) 6. จังหวัดเพชรบูรณ์ ได้แก่ สระแก้ว และสระขวัญ 7. จังหวัดอุทัยธานี ได้แก่ แม่น้ำสะแกกรัง และสระน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์วัดมณีสถิตกปิฏฐาราม

3) จังหวัดที่มีแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ จำนวน 3 แห่ง 5 จังหวัด 1. จังหวัดจันทบุรี ได้แก่ สระแก้ว, ธารนารายณ์ และบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์วัดพลับ 2. จังหวัดเชียงใหม่ ได้แก่ บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์วัดบุพพาราม, อ่างกาหลวง และขุนน้ำแม่ปิง 3. จังหวัดนครนายก ได้แก่ เขื่อนขุนด่านปราการชล, บ่อน้ำทิพย์เมืองโบราณดงละคร และบึงพระอาจารย์ 4. จังหวัดพัทลุง ได้แก่ สระน้ำศักดิ์สิทธิ์วัดดอนศาลา, ถ้ำน้ำบนหุบเขาชัยบุรี และบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์พระบรมธาตุเขียนบางแก้ว 5. จังหวัดสุโขทัย ได้แก่ บ่อแก้ว, บ่อทอง และตระพังทอง

4) จังหวัดที่มีแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ จำนวน 4 แห่ง 3 จังหวัด 1. จังหวัดปัตตานี ได้แก่ น้ำสระวังพรายบัว, บ่อทอง (บ่อช่างขุด), บ่อไชย และน้ำบ่อฤษี 2. จังหวัดแพร่ ได้แก่ บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ลำน้ำแม่คำมี, บ่อน้ำวัดบ้านนันทาราม, บ่อน้ำพระฤๅษี และบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์วัดพระหลวง 3. จังหวัดสุพรรณบุรี ได้แก่ สระแก้ว สระคา สระยมนา และสระเกษ

5) จังหวัดที่มีแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ จำนวน 6 แหล่งน้ำ 1 จังหวัด คือ จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้แก่ บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ณ วัดหน้าพระลาน, บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ วัดเสมาเมือง, บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ วัดเสมาไชย, บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ วัดประตูขาว, แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ ห้วยเขามหาชัย และแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ ห้วยปากนาคราช

ใต้ร่มพระบารมี : เผยรายชื่อ 108 แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ทั่วประเทศ ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก

People unity : post 13 มีนาคม 2562 เวลา 22.30 น.

นายกฯ กำชับ ผบ.ตร. รักษาความปลอดภัยบุคคลสำคัญ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 11 กุมภาพันธ์ 2567 นายกฯ โพสต์เฟซบุ๊ก และ X เผยหารือ ผบ.ตร. และนายตำรวจระดับสูง เรื่องการรักษาความปลอดภัยบุคคลสำคัญ ระบุรัฐบาลมีหน้าที่ถวายการอารักขาและรักษาไว้ซึ่งพระเกียรติยศของสถาบัน

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรววงการคลัง โพสต์ข้อความผ่าน Facebook และ X ระบุ ผมหารือกับ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ, พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล, พล.ต.ท.ศักย์ศิรา เผือกอ่ำ ผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว และ พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง

เรื่องที่ผมเป็นห่วงและขอกำชับคือเรื่องมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยของบุคคลสำคัญ เพื่อไม่ให้ประเด็นนี้กลายเป็นเครื่องมือที่ถูกใช้โจมตีทางการเมืองของทุกฝ่าย หรือมือที่สามมาฉวยสร้างสถานการณ์ ที่สำคัญเรื่องนี้เป็นเรื่องมาตรฐานความปลอดภัยที่เป็นความรับผิดชอบของรัฐบาล และของผมในฐานะนายกฯ ขอย้ำครับว่าประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รัฐบาลมีหน้าที่ถวายการอารักขาและรักษาไว้ซึ่งพระเกียรติยศของสถาบัน

ผมเชื่อว่าเราคนไทยเห็นตรงกันในเรื่องนี้ครับ

Advertisement

 

นายกฯ ขอหน่วยงานรักษาความสะอาด รับปีมหามงคล

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 20 กุมภาพันธ์ 2567 ทำเนียบรัฐบาล – นายกฯ ขอทุกหน่วยงาน รักษาความสะอาด รับปีมหามงคล พร้อมเคาะจัด ครม.สัญจรพะเยา 18-19 มี.ค.

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ในการประชุม ครม.ได้พูดคุยกับ ครม.ว่า ปีนี้เป็นปีมหามงคล อยากขอความร่วมมือไปยังกรมราชทัณฑ์ ผ่านกระทรวงยุติธรรม หน่วยงานความมั่นคง กองทัพ ผู้ว่าราชการจังหวัด ในการรักษาความสะอาด พื้นที่สาธารณะ ทางเท้า ถนน สวนสาธารณะ ท่อระบายน้ำ แหล่งน้ำ เพื่อให้บ้านเมืองสะอาดและสวยงาม ลดปัญหาน้ำท่วมด้วย

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติให้จัดการประชุม ครม.อย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ระหว่างวันที่ 18-19 มี.ค. ที่ จ.พะเยา

Advertisement

กำหนดให้วันที่ 13 ต.ค. เป็นวันนวมินทรมหาราช

People Unity News : 26 กันยายน 2566 ทำเนียบรัฐบาล – ที่ประชุม ครม.เห็นสมควรกำหนดให้วันที่ 13 ต.ค.ของทุกปี เป็นวัน “นวมินทรมหาราช” น้อมรำลึกพระมหากรุณาธิคุณในหลวงรัชกาลที่ 9

นายชัย วัชรงค์  โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุมรับทราบและนำประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีเรื่องพระราชทานชื่อวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา วันที่ 13 ตุลาคม 2566 เป็นวันแห่งการเสด็จสวรรคตครบ 7 ปี หรือเรียกว่า “สัตตมวรรษ” เพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร

“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กำหนดชื่อวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ว่า “วันนวมินทรมหาราช” ตามที่รัฐบาลขอพระราชทานพระมหากรุณา จึงเห็นสมควรกำหนดให้วันที่ 13 ตุลาคม ของทุกปี เป็น “วันนวมินทรมหาราช” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  กล่าว

Advertisement

Verified by ExactMetrics