วันที่ 28 พฤศจิกายน 2025

ครม.เห็นชอบเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัด F1 วงเงิน 41,339 ล้าน ตลอด 5 ปี

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 17 มิถุนายน 2568 “สรวงศ์” เผย ครม.เห็นชอบเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัด F1 วงเงิน 41,339 ล้านบาท ตลอด 5 ปี ตั้งแต่ 2571-2575 โดยจะมีการแข่ง 3 วัน คือ ศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ ของเดือน มี.ค. หรือ ก.ย. พร้อมตั้งคณะกรรมการศึกษารายละเอียด สำนักเลขานายกฯ ติงเป็นวงเงินที่ค่อนข้างสูง และอาจส่งผลกระทบต่อสถานะการเงินของประเทศในอนาคต ขณะที่รายได้ที่หามาไม่คุ้มเงินที่ลงทุน

นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบนโยบายการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันรถยนต์สูตรหนึ่ง Fomula หรือ F1 แล้ว และหลังจากนี้ ซึ่งตามข้อตกลงร่วมกัน (MOU) ไทยจะเสนอตัวเป็นเจ้าภาพการแข่งขัน 5 ปี ตั้งแต่ปี 2571 กรอบวงเงินกว่า 40,000 ล้านบาท จะใช้งบเป็นรายปี และต้องเสนอเข้ามาให้ ครม.พิจารณาทุกปี ดังนั้น วันนี้ที่ประชุมจึงได้พิจารณากรอบการดำเนินโครงการเพื่อไปศึกษาโดยละเอียดต่อไป โดยนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ตนเป็นประธานคณะทำงานประมูลสิทธิ์ และมีองค์ประกอบเป็นปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวฯ และอธิบดีที่เกี่ยวข้องในกระทรวงคมนาคม และอื่นๆ พร้อมยืนยันว่า ระยะเวลาในการศึกษาโครงการที่มีจนถึงปี 2571 เพียงพอ เพราะขณะนี้ได้มีการออกแบบไว้คร่าวๆ แล้ว และเบื้องต้นมีแบบออกมาบ้างแล้ว โดยทำงานร่วมกับสำนักงานส่งเสริมการจัดการประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) ของ สปน. รวมถึงบริษัท F1 แล้ว

ขณะที่นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เสนอการเสนอตัวขอเป็นเจ้าภาพการจัดการแข่งขันรถยนต์ชิงแชมป์โลก รายการ FIA FORMULA ONE WORLD CHAMPIONSHIP ในประเทศไทย ประจำปี 2571-2575 รวม 5 ปี ภายในกรอบวงเงิน 41,339.67 ล้านบาท รวมถึงงบประมาณที่จำเป็นเร่งด่วนในส่วนของค่าออกแบบ 218.07 ล้านบาท ซึ่งกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจะขอรับจัดสรรงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป และจะมีการขอรับการสนับสนุนจากภาคเอกชน เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของภาครัฐ แต่หากไม่เพียงพอ สามารถตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม อย่างไรก็ตาม หากได้รับการสนับสนุนจากภาคเอกชนและมีเงินคงเหลือ ให้นำส่งและคืนเงินตามกฏหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป

ทั้งนี้ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้เสนอผลการศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดการแข่งขัน จะช่วยสร้างรายได้กระตุ้นเศรษฐกิจและเกิดมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ รวมทั้งส่งเสริมให้ไทยเป็นจุดหมายปลายทางการเป็นศูนย์กลางในการแข่งขันกีฬาชั้นนำของโลก และ World Class Event Hub ตลอดจนช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดี ส่งเสริมการท่องเที่ยว และเสริมสร้างประสบการณ์ของบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับกีฬายานยนต์ โดยระยะเวลาการแข่งขันจะใช้เวลา 3 วันต่อปี ตรงกับวันศุกร์-อาทิตย์ ของเดือนมีนาคม หรือเดือนกันยายน ของปี 2571-2575

สำหรับพื้นที่ที่จะใช้ในการจัดการแข่งขัน คือ บริเวณจตุจักร ประกอบด้วย 8 พื้นที่หลัก เนื่องจากมีพื้นที่เพียงพอสำหรับการติดตั้งสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ และมีพื้นที่สำหรับแฟนกีฬาไม่ได้เป็นญาติที่พักอาศัยหลัก ทำให้มีผลกระทบต่อชุมชนและการจราจรน้อย ได้แก่ สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ มีขนาดพื้นที่ 838 ไร่ สถานีขนส่งหมอชิต 2 มีขนาดพื้นที่ 109 ไร่ ตลาดนัดสวนจตุจักร 241 ไร่ สวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ 207 ไร่ สวนจตุจักร 163 ไร่ สวนวชิรเบญจทัศ หรือสวนรถไฟ 418 ไร่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) 45 ไร่ และการรถไฟแห่งประเทศไทย 146 ไร่ โดยจะมีพื้นที่ Grandstand เป็นที่นั่งบนอัฒจันทร์ที่จัดเตรียมไว้สำหรับผู้ชมทั่วไปชมการแข่งขันกระจายตามจุดต่างๆ ของจำนวน 93,500 ที่นั่ง และพื้นที่ Paddock Club เป็นพื้นที่ VIP ตั้งอยู่บน Pit Lane 4,000 ที่นั่ง และพื้นที่ VIP Hospitality เป็นพื้นที่โซนวีไอพี โดยเป็นที่นั่งบนอัฒจันทร์ Grandstand ในตำแหน่งพิเศษ

“เส้นทางสนามที่เสนอให้มีการแข่งขัน มีระยะทาง 5.732 กิโลเมตร โดยมีจำนวนโค้งทั้งหมด 18 จุด และช่องทางตรงที่ยาวที่สุดถึง 1.2 กิโลเมตร อัฒจันทร์ที่กระจายตัวตามจุดต่างๆ รอบสนาม รองรับผู้ชมได้สูงสุดถึง 108,200 คน”

ขณะที่ผลการศึกษาได้ประมาณการรายได้จากการเป็นเจ้าภาพ ทั้งจากการจำหน่ายตั๋ว จากผู้สนับสนุน จากการขายของที่ระลึก อาหาร เครื่องดื่ม รายได้จากการจัดคอนเสิร์ต จากค่าเช่าพื้นที่ และค่าคอมมิชชั่นจากโรงแรมที่พัก รวม 5 ปี อยู่ที่ 27,276.77 ล้านบาท หรือเฉลี่ยประมาณปีละกว่า 5,000 ล้านบาท

สำหรับผลคาดการณ์จำนวนผู้ร่วมงานฟอร์มูล่าวันในประเทศไทย ในกรณีมีการจัดงานในปี 2571 พิจารณาสัดส่วนจากผู้เข้าร่วมการแข่งขันจากจำนวนนักท่องเที่ยวในประเทศและท่องเที่ยวต่างประเทศของ 21 ประเทศเจ้าภาพ พบว่ามีความเป็นไปได้ในระดับสูงที่จะมีผู้เข้าร่วมงานในไทยที่ค่าเฉลี่ยจำนวน 407,132 คน 81,918 คน และสูงสุด 314,508 คน และเป็นผู้ร่วมงานจากต่างประเทศ 92,622 คน

ด้านผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจในช่วงปี 2571-2575 ช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยว สร้างรายได้ให้กับธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น โรงแรม ร้านอาหาร บริการขนส่ง ทำให้เงินสะพัดทางเศรษฐกิจระหว่างการจัดการแข่งขันอยู่ที่ 16,000 ล้านบาทต่อปี ส่งผลให้มูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น 14,000 ล้านบาทต่อปี ช่วยสร้างรายได้จากการจัดเก็บภาษีของภาครัฐ 1,400 ล้านบาทต่อปี เกิดการลงทุนใหม่ประมาณ 7,000 ล้านบาทต่อปี และสร้างงานใหม่ให้ประเทศไทย 8,000 ตำแหน่งต่อปี

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี จะแสดงความเห็นถึงการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพการแข่งขัน Formula 1 ในไทย ภายในกรอบวงเงิน 41,779.67 ล้านบาท เป็นวงเงินที่ค่อนข้างสูงและอาจส่งผลผลกระทบต่อสถานะการเงินของประเทศในอนาคตได้ โดยเฉพาะในบริบทที่ภาครัฐมีงบจำกัด และมีภาระทางการคลังจากภารกิจจำเป็นอื่นๆ ที่ต้องดำเนินการควบคู่กันไป แม้ผลการศึกษาความเหมาะสมจะแสดงให้เห็นว่า การลงทุนโดยภาครัฐทั้งหมดมีข้อดีบางประการ แต่ก็มีข้อเสียที่สำคัญ โดยเฉพาะความเสี่ยงด้านการขาดทุนที่ตกอยู่กับภาครัฐเพียงฝ่ายเดียว หากการเป็นเจ้าภาพดังกล่าวไม่ประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย อาจก่อให้เกิดภาระทางการคลังอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ผลการศึกษาเห็นว่า ไม่สามารถสร้างรายได้จากการจัดงานรวมมากกว่างบประมาณค่าใช้จ่ายในการจัดงานและการลงทุน จึงเสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเรื่องนี้ให้ครบถ้วนและครอบคลุมผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในทุกมิติ โดยเฉพาะแนวทางในการเพิ่มรายได้และลดภาระงบประมาณภาครัฐ

Advertisement

กรุงเทพฯ ติดท็อป 10 เมืองจัดประชุมนานาชาติของโลก

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 14 มิถุนายน 2568 ไทยแลนด์ต่างชาติบอกน่ามาประชุมขึ้นแท่นเบอร์หนึ่งอาเซียนด้านไมซ์ กรุงเทพฯ ทะยานติดท็อป 10 เมืองจัดประชุมนานาชาติของโลก

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า สมาคมการจัดประชุมนานาชาติ (International Congress and Convention Association : ICCA) ได้เปิดเผยรายงาน GlobeWatch Business Analytics-Country & City Rankings ล่าสุดประจำปี 2567 ในงาน IMEX Frankfurt 2025 ที่ประเทศเยอรมนี โดยรายงานฉบับนี้ได้วิเคราะห์ข้อมูลจากการจัดประชุมกว่า 11,000 รายการที่จัดขึ้นทั่วโลกในปี 2567 จากการวิเคราะห์ชี้ว่าภูมิภาคเอเชียมีความโดดเด่นได้รับความนิยมเป็นอันดับ 2 สำหรับการจัดประชุมนานาชาติรองจากทวีปยุโรป พบว่าประเทศไทยได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมนานาชาติรวม 158 งาน เพิ่มขึ้นจาก 143 งานในปี 2566 ทำให้ประเทศไทยขยับจากอันดับที่ 26 ของโลกในปี 2566 ขึ้นสู่อันดับที่ 25 ในปี 2567 พร้อมทั้งครองอันดับ 5 ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก และเป็นอันดับ 1 ในภูมิภาคอาเซียน

สำหรับผลงานที่โดดเด่นสุดในระดับเมืองคือ กรุงเทพฯ เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมนานาชาติรวม 115 งาน ก้าวขึ้นสู่อันดับ 7 ของโลก ในฐานะเมืองจุดหมายปลายทางการประชุมนานาชาติระดับโลก ซึ่งเป็นการก้าวกระโดดจากอันดับที่ 15 ในปี 2566 อีกทั้ง กรุงเทพฯ ได้รับการจัดอันดับที่ 3 ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก และอันดับที่ 2 ในภูมิภาคอาเซียน นอกจากนี้ กรุงเทพฯ ยังได้รับการยืนยันจาก Cvent ในการประกาศรายชื่อ 2025 Top Meeting Destinations ในงาน IMEX Frankfurt 2025 ว่าเป็นเมืองอันดับที่ 2 ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก รองจากสิงคโปร์ ซึ่งผลการจัดอันดับนี้อ้างอิงจากกิจกรรมของผู้วางแผนและผู้จัดงานในการจัดหาและการขอข้อเสนอ (RFP) สำหรับการจัดงานจากเมืองต่าง ๆ ทั่วโลกที่มีมูลค่ารวมมากกว่า 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

นอกจากนี้ อีกหนึ่งความสำเร็จครั้งสำคัญของประเทศไทยในรอบปี 2567 คือ มีจำนวนเมืองมากถึง 13 เมือง ได้รับการจัดอันดับในรายงานของ ICCA เป็นครั้งแรก นอกจากกรุงเทพฯ ยังมีอีก 12 เมือง ที่ได้รับการจัดอันดับประกอบด้วย เชียงใหม่ เป็นเจ้าภาพจัดการประชุม 12 งาน พัทยา 10 งาน ภูเก็ต 8 งาน ชลบุรี 3 งาน เชียงราย 2 งาน ปทุมธานี 2 งาน หัวหิน 1 งาน ขอนแก่น 1 งาน สมุย 1 งาน นครราชสีมา 1 งาน นนทบุรี 1 งาน และปัตตานี 1 งาน

ในปี 2567 ที่ผ่านมา อุตสาหกรรมไมซ์ของประเทศสามารถดึงดูดนักเดินทางทั้งในและต่างประเทศ 25,350,288 คน สร้างรายได้ 148,341 ล้านบาท เกิดเป็นรายได้ประชาชาติรวมมูลค่ากว่า 309,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 1.67% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศหรือ GDP ของประเทศไทย โดยสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือทีเส็บ พร้อมเดินหน้า 5 ยุทธศาสตร์ มุ่งใช้ดิจิทัล ความหลากหลายอัตลักษณ์พื้นที่ พัฒนาอุตสาหกรรมไมซ์ไทย รวมถึงใช้กลยุทธ์ 3S – Stay Longer, Spend More, See You Again เพิ่มขีดความสามารถไมซ์ สร้างรายได้เข้าประเทศ และบุกเจาะตลาดกลุ่ม BRICS ตั้งเป้าปี 2568 ดึงดูดนักเดินทางไมซ์ทั้งในและต่างประเทศ 34 ล้านคน รายได้ 2 แสนล้านบาท พร้อมเป้าหมายพิชิตอันดับการเป็นจุดหมายปลายทางไมซ์แห่งเอเชีย

“รัฐบาลพร้อมสนับสนุนอุตสาหกรรมไมซ์ในทุกมิติ โดยเฉพาะการพัฒนาศักยภาพของเมืองรองให้สามารถเติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งในด้านการบริการ โครงสร้างพื้นฐาน และความสามารถในการจัดการประชุมระดับนานาชาติ เพื่อให้ประเทศไทยสามารถรักษาตำแหน่งผู้นำในภูมิภาค และก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางไมซ์ระดับโลกอย่างแท้จริง” นางสาวศศิกานต์ กล่าว

Advertisement

มังคุดในสายหมอกเบตง จ.ยะลา ได้ GI แล้ว

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 13 มิถุนายน 2568 รองโฆษกรัฐบาล เผยมังคุดในสายหมอกเบตง จ.ยะลา ได้ GI แล้ว ส่งออกไปต่างประเทศมูลค่ากว่า 62 ล้านบาท

นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า “มังคุดในสายหมอกเบตง” ของดี จ.ยะลา ได้รับการขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) จากกรมทรัพย์สินทางปัญญาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยเป็นการขึ้นทะเบียนเป็นลำดับที่ 4 ต่อจากกล้วยหินบันนังสตา ทุเรียนสะเด็ดน้ำยะลา และส้มโชกุนเบตง ที่ได้รับการขึ้นทะเบียน GI ไปก่อนหน้านี้

โดยมังคุดในสายหมอกเบตงมีจุดกำเนิดในพื้นที่ตำบลธารน้ำทิพย์ อำเภอเบตง จังหวัดยะลา ซึ่งแรกเริ่มชาวบ้านส่วนใหญ่จะปลูกยางพาราเป็นหลัก และปลูกไม้ผลเป็นพืชรอง เช่น ทุเรียน ลองกอง ส้ม และมังคุด เป็นต้น ต่อมาราคายางพาราเริ่มตกต่ำ เกษตรกรจึงหันมาปลูกและดูแลไม้ผลในพื้นพื้นที่ให้มีคุณภาพมากขึ้นเพื่อชดเชยรายได้จากสภาวะราคายางตกต่ำ ประกอบกับสภาพภูมิศาสตร์และสภาพภูมิอากาศในพื้นที่เพาะปลูก จึงส่งผลให้มังคุดที่ปลูกมีเอกลักษณ์เฉพาะ ประกอบกับในพื้นที่ดังกล่าว มีสภาพภูมิอากาศแบบร้อนชื้น ส่งผลให้สภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง 3 ครั้งต่อวัน คือ ช่วงเช้ามีหมอก ช่วงเที่ยงมีแดด และช่วงเย็นมีฝนตกบ่อยครั้ง ทำให้บริเวณที่ปลูกมังคุด จะมีหมอกหนาปกคลุมเกือบทั้งปี จึงส่งผลต่อการสร้างชั้นเนื้อของมังคุดแบบเคลือบทีละชั้น เนื้อจึงมีสีขาวนวลปุ้ยฝ้าย มีกลิ่นหอมเฉพาะ รสชาติดี จึงส่งผลให้มังคุดในสายหมอกเบตงมีคุณภาพดีและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทำให้ผู้บริโภคยอมรับในคุณภาพสินค้าและเรียกขานเป็นที่รู้จักกันในชื่อ ‘มังคุดในสายหมอกเบตง’

“รัฐบาลมุ่งส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากการขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ หรือ GI เพื่อคุ้มครองสินค้าท้องถิ่นชุมชนที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และยังช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า การขึ้นทะเบียน GI จะเป็นโอกาสของเกษตรกรต่อการขยายช่องทางการตลาดได้อย่างต่อเนื่อง โดยมังคุดในสายหมอกเบตงมีการส่งออกไปตลาดต่างประเทศ มูลค่ากว่า 62 ล้านบาท” นายอนุกูล ระบุ

Advertisement

กสิกรไทย คงจีดีพีปี 68 ที่ 1.4% ชี้ใกล้ครบเส้นตายชะลอภาษี 90 วัน แต่เจรจาสหรัฐยังไม่คืบ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 11 มิถุนายน 2568 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองเศรษฐกิจไทยยังคงเติบโตที่ 1.4% เสี่ยงเกิดภาวะถดถอยทางเทคนิคจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ทั้งการส่งออก-นักท่องเที่ยวต่างชาติลดลง ปรับลดคาดการณ์เงินเฟ้อลงที่ 0.3% ชี้ใกล้ครบเส้นตายชะลอภาษีนำเข้า 90 วัน แต่เจรจาสหรัฐยังไม่คืบ ประเมินหากสหรัฐคงภาษีที่ 10% ตลอดทั้งปี คาดส่งออกไทยขยายตัวที่ 0.5% และเศรษฐกิจไทยโต 1.8% ค่าเงินบาทยังผันผวนมีโอกาสแตะ 32 บาท/ดอลล่าร์ คาด กนง.ลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในปีนี้

นายบุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ และ Chief Economist บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ความไม่แน่นอนของนโยบายด้านภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีทรัมป์ส่งผลกระทบต่อภาคการค้า การลงทุนและเศรษฐกิจทั่วโลก โดยล่าสุดOECD ได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปี 2568  ลง 0.2 % มาอยู่ที่ 2.9% และปรับประมาณการเศรษฐกิจสหรัฐฯ ลง 0.6% เหลือ 1.6% เมื่อเทียบกับการคาดการณ์เมื่อเดือนมีนาคม 2568 ซึ่งความไม่แน่นอนของนโยบายของสหรัฐฯ ทั้งด้านการค้า การเงิน การคลัง การศึกษา และการเมืองภายในประเทศ ส่งผลให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อค่าเงิน เสถียรภาพและศักยภาพของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลงกว่า 8% นับตั้งแต่ประธานาธิบดีทรัมป์เข้ารับตำแหน่ง  ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้น

ด้านธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ยังคงต้องดำเนินนโยบายอย่างระมัดระวัง ท่ามกลางความเสี่ยงจากเงินเฟ้อที่อาจเร่งตัวขึ้นจากการปรับขึ้นภาษีศุลกากร และความเสี่ยงที่เศรษฐกิจอาจชะลอตัว ถึงแม้ว่าจะเผชิญแรงกดดันให้ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง โดยปรับลดคาดการณ์เงินเฟ้อทั่วไปปี2568 ลงมาอยู่ที่ 0.3% และคาดว่า กนง. มีโอกาสลดดอกเบี้ยนโยบายอีก 1 ครั้งในปีนี้ อย่างไรก็ตาม ประเมินว่าเงินบาทมีโอกาสแข็งค่าที่ระดับ 32 บาท/ดอลล่าร์สหรัฐใน 3-6 เดือน และอาจยาวไปถึงสิ้นปึ

สำหรับมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่จะสิ้นสุดการชะลอลงในวันที่ 9 กรกฎาคม 2568 ยังมีความไม่แน่นอนสูง มองว่า ขณะนี้การเจรจาของไทยยังไม่คืบหน้า เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองเศรษฐกิจไทยยังคงเติบโตที่ 1.4% และเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะถดถอยทางเทคนิค อย่างไรก็ตาม หากอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ในหลายประเทศยังคงไว้ที่ระดับ 10% ตลอดทั้งปี คาดว่าการส่งออกไทยจะขยายตัวได้ที่ 0.5% และเศรษฐกิจไทยจะมีแนวโน้มเติบโตได้ 1.8% แต่ถ้าหากไทยถูกเรียกเก็บภาษีในอัตรา 36% จะส่งผลต่อการส่งออกในไตรมาสที่ 3 และไตรมาสที่ 4 ติดลบ รวมถึงจีดีพีอาจจะหดตัวมากกว่าที่คาดการณ์ไว้

ทั้งนี้ ภาษีสหรัฐฯ ที่ไม่ชัดเจนจะทำให้การผลิตภาคอุตสาหกรรมหดตัวต่อเนื่องจากความเสี่ยงการส่งออกไปสหรัฐฯ และจีนในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนรถยนต์ เครื่องจักรกล เหล็ก ผลิตภัณฑ์พลาสติก เคมีภัณฑ์ เป็นต้น รวมถึงการแข่งขันในประเทศกับสินค้านำเข้า โดยคาดว่าสัดส่วนมูลค่าการนำเข้าสินค้าอุปโภคต่อยอดขายของธุรกิจค้าปลีกปี 2568 จะอยู่ที่กว่า 30% และคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีนี้จะหดตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี

ขณะที่ยอดขายรถยนต์ในประเทศจะหดตัวลึกขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังที่ -1.7% YoY เทียบกับ -1.0% YoY ในช่วงครึ่งปีแรก จากภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอและการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวด ขณะที่รายได้ภาคเกษตรไทยมีแนวโน้มหดตัวจากแรงกดดันทั้งด้านราคาและความต้องการสินค้าเกษตรที่ลดลง  รวมถึงการแข่งขันที่สูงขึ้นในตลาดสินค้าเกษตรโลก

ด้านสภาวะการระดมทุนของภาคเอกชนว่ายังอ่อนแอต่อเนื่องจากความต้องการสินเชื่อที่ชะลอลง การชำระคืนหนี้ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงสถาบันการเงินที่ยังคงกังวลเรื่องปัญหาหนี้เสีย ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยปรับประมาณการสินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ไทยในปีนี้ลงมาที่ -0.6% จากเดิมที่ 0.6% ในขณะเดียวกัน มองว่า เอ็นพีแอลยังเป็นขาขึ้น แม้ว่าตัวเลขอาจไม่เกิน 3% ต่อสินเชื่อรวม โดยสถาบันการเงินจะยังคงพยายามเร่งจัดการหนี้เสีย และหนี้ที่เริ่มมีวันค้างชำระ ด้วยการปรับโครงสร้างหนี้และการขายหนี้เสียออกไป เป็นต้น

ขณะที่กิจกรรมด้าน ESG ของภาคเอกชนไทยก็ชะลอลงเช่นกัน ท่ามกลางหลายปัจจัยลบ การออกหุ้นกู้ Sustainable Finance ลดลง โดยส่วนหนึ่งเปลี่ยนมาเป็นการใช้บริการสินเชื่อสีเขียวจากธนาคารพาณิชย์ ที่ข้อมูลเป้าหมายการปล่อยสินเชื่อสีเขียวในปีนี้ จะยังคงขยายตัวค่อนข้างสูง โดยกลุ่มที่ยังระดมทุนอยู่เน้นไปที่ธุรกิจรายใหญ่ผ่านโครงการ Project Finance ที่มีแผนการระดมทุนอยู่แล้ว ขณะที่ธุรกิจเอสเอ็มอีคงเลือกชะลอแผนไปก่อน หรือเน้นลงทุนในกิจกรรมที่เกี่ยวกับแผงโซลาร์เซลล์ (Solar Panel), การประหยัดพลังงาน หรือรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) ที่เห็นความคุ้มค่าค่อนข้างชัดเจนในระยะสั้น

นายบุรินทร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อรับมือกับทิศทางเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังที่มีความไม่แน่นอนมากขึ้น ภาครัฐควรเน้นการใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถเน้นมาตรการระยะสั้นที่ยังมีความจำเป็น แต่ต้องให้ความสำคัญเพิ่มขึ้นกับมาตรการระยะยาวเพื่อปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยด้วย ส่วนมาตรการเยียวยาเฉพาะหน้า เพื่อลดแรงกระแทกให้กับผู้ผลิตที่ได้รับผลกระทบเรื่องภาษีสหรัฐฯ คงต้องมุ่งสนับสนุนสินค้าที่ใช้วัตถุดิบหรือผลิตในประเทศ รวมทั้งเร่งพลิกฟื้นความเชื่อมั่นนักท่องเที่ยวและกระตุ้นตลาดนักท่องเที่ยวหลัก ขณะที่ คำแนะนำสำหรับธุรกิจ คือ การรักษากระแสเงินสด เพื่อรองรับความไม่แน่นอนที่ยังอยู่ในระดับสูง

Advertisement

นายกฯ เร่งเครื่องปราบธุรกิจผิด กม. สร้างกติกาเป็นธรรม

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 10 มิถุนายน 2568 นายกฯ ระบุปัญหาธุรกิจต่างชาติฝ่าฝืนกฎหมายส่งผลกระทบโดยตรงกับคนไทย ลั่นไม่ใช่แค่ “จับผิด” หรือ “ปราบ” อย่างเดียว แต่คือการสร้างกติกาที่เป็นธรรมให้ทุกคน พร้อมเร่งดำเนินการ 5 ประเด็นสำคัญ

นางสาว แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านโซเชียลมีเดีย ภายหลังเป็นประธานการประชุมติดตามมาตรการป้องกันปราบปรามธุรกิจผิดกฎหมาย ว่า ต้องเรียนตามตรงค่ะว่าปัญหาธุรกิจต่างชาติฝ่าฝืนกฎหมายไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นเรื่องที่สะสมมายาวนาน และส่งผลกระทบโดยตรงกับคนไทย ทั้งในฐานะผู้บริโภค ผู้ประกอบการที่ทำถูกต้อง

เรื่องนี้ไม่ใช่แค่ “จับผิด” หรือ “ปราบ” อย่างเดียว แต่คือการสร้างกติกาที่เป็นธรรมให้กับทุกคน

วันนี้ดิฉันได้เรียกประชุมเพื่อติดตามความคืบหน้าในการจัดการธุรกิจเหล่านี้ โดยเฉพาะกรณี ‘การสวมสิทธิ์สินค้าไทย’ และ ‘การลักลอบนำเข้าสินค้าผิดกฎหมาย’ ที่ต้องเร่งจัดการอย่างจริงจัง

โดยมี 5 ประเด็นที่เรากำลังเร่งดำเนินการ มีดังนี้ 1. จัดการ บริษัทนอมินี ที่ใช้คนไทยบังหน้า แต่ต่างชาติเป็นผู้ควบคุมจริง 2. ตรวจเข้ม มาตรฐานสินค้า เพราะประชาชนไม่ควรต้องเสี่ยงกับสินค้าที่ไม่ได้คุณภาพ 3. แก้ปัญหา การสวมสิทธิ์สินค้าไทย เพราะแบรนด์ไทยต้องไม่ถูกฉวยโอกาส 4. ตรวจสอบ โรงงานต่างชาติที่ฝ่าฝืนกฎหมายในนิคมอุตสาหกรรม 5. ปราบปรามการ ถ่ายลำสินค้า ช่องโหว่สำคัญของการลักลอบนำเข้าหนีภาษี

นายกรัฐมนตรี ยังระบุว่า ผลการดำเนินงานล่าสุด การแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย โดยเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างกระทรวงพาณิชย์ และ กระทรวงมหาดไทย

-เก็บภาษี VAT จากสินค้านำเข้าราคาต่ำกว่า 1,500 บาท ได้แล้ว 1.87 ล้านบาท (ก.ค. 67 – พ.ค. 68)

-ดำเนินคดีสินค้าไม่ได้มาตรฐานไปแล้วกว่า 57,739 คดี มูลค่าความเสียหายรวมกว่า 2,287 ล้านบาท (ข้อมูล ก.ย. 67-พ.ค. 68)

-ตรวจสอบสินค้าบนแพลตฟอร์มออนไลน์ ในมาตรการ Notice & Takedown กว่า 38,473 รายการ แจ้งเตือน 15,256 รายการ/เว็บไซต์ โดยได้ดำเนินการถอดสินค้าที่ผิดกฎหมายออกไปแล้วกว่า 14,967 รายการ/เว็บไซต์

นอกจากนี้ ยังมีความคืบหน้าในการทำงานร่วมกับแพลตฟอร์มออนไลน์ในการ ปิดช่องโหว่ทางการค้า อย่างเป็นระบบ

“ดิฉันขอย้ำว่า เราไม่ได้ทำสิ่งเหล่านี้เพราะอยากปราบใครเป็นรายๆ แต่เพราะเราเชื่อว่า ประเทศไทยควรมีระบบเศรษฐกิจที่โปร่งใส แข่งขันได้ และให้ความเป็นธรรมกับคนไทยทุกคน ขอบคุณทุกหน่วยงานที่ร่วมมือกัน และดิฉันจะติดตามความคืบหน้านี้อย่างใกล้ชิดต่อไป”

Advertisement

นายกฯ เปิดงาน OTOP MIDYEAR 2025 ย้ำรัฐบาลหนุนเต็มที่

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 9 มิถุนายน 2568 นายกฯ เปิดงาน OTOP MIDYEAR 2025 เผยผูกพันตั้งแต่เริ่ม ชี้เป็นนโยบายทำประชาชนอยู่ดีกินดี ย้ำรัฐบาลพร้อมหนุนเต็มที่ ด้าน “อนุทิน” อวย “ทักษิณ” ต้นคิด OTOP บอกนายกฯ มาเปิดงาน ผู้ประกอบการมีกำลังใจ-หายเหนื่อย “เซ็งลี้ฮ้อ” แน่นอน

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เปิดงาน OTOP MIDYEAR 2025 ภายใต้แนวคิด “OTOP ทันโลก ทันสมัย เศรษฐกิจไทยยั่งยืน” โดยมี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (มท.1) คณะรัฐมนตรี, นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย, นายสยาม ศิริมงคล อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน คณะทูตานุทูต ผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน คณะทำงานโครงการผ้าไทยใสให้สนุก ผู้ประกอบการ OTOP ร่วมในพิธี

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี ถวายราชสักการะเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว และนำคณะผู้บริหารระดับสูงเยี่ยมชมนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติฯ

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวบนเวทีช่วงหนึ่งว่า ไม่มีนายกรัฐมนตรีมาเปิดงาน OTOP มาหลายปีแล้ว ซึ่งการปรากฏตัวของนายกรัฐมนตรีในวันนี้ (9 มิ.ย.) ทำให้คนจัดงานที่ทุ่มเทมีกำลังใจ หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง และมีความภาคภูมิใจในการจัดงาน

นายอนุทิน กล่าวว่า คนที่ให้กำเนิดงาน OTOP ก็คือนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี คุณพ่อของนายกรัฐมนตรี และ ตนเองได้เดินในงาน ได้ยินหลายคนบอกว่านายกรัฐมนตรี จะมางานนี้ “ปีนี้เซ็งลี้ฮ้อแน่นอน”

โดยกระทรวงมหาดไทย ตั้งเป้า OTOP สร้างเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ไม่น้อยกว่า 600 ล้านบาท ช่วย ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก ให้เติบโตเข้มแข็งเชื่อมโยงเศรษฐกิจระดับภูมิภาค

นายกรัฐมนตรี กล่าวเปิดงานว่า ขอบคุณนายอนุทิน ที่บอกว่าดีใจที่ตนเองมาเปิดงาน ซึ่งตนก็ดีใจมาก และยังจำได้ตั้งแต่แรกว่านโยบาย OTOP มาอย่างไร มีความคิดเริ่มต้นแบบไหนนับ ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายของรัฐบาลตั้งแต่ 24 ปีที่แล้ว ที่ค่อนข้างจะผูกพันส่วนตัวกับตัวเอง เพราะเห็นตั้งแต่เริ่มจริง ๆ และวันนี้ที่ผู้ประกอบการมากมาย มีความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม การมาร่วมเปิดงานในวันนี้ มามีส่วนร่วมที่สำคัญในวันนี้ เห็นแล้วก็รู้สึกดีใจที่นโยบายนี้ทำให้พี่น้องมีชีวิตที่ดีขึ้น เป็นสิ่งสำคัญที่สุดของการเป็นรัฐบาล คือการให้ชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องดีขึ้น เศรษฐกิจที่ดี ต้องเริ่มจากรากฐานที่แข็งแรง และแน่นอนว่าศิลปะ ซอฟพาวเวอร์ คือรากฐานที่สำคัญของคนไทย ประเทศไทยมีเสน่ห์ มีซอฟพาวเวอร์ที่แข็งแรงมาก วัฒนธรรมที่เข้มแข็งมาก ไปไหนมาไหนต่างชาติก็ชื่นชอบในวัฒนธรรมของเรา เป็นสิ่งที่เรานำเสนอต่างชาติมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน และเป็นสิ่งที่เราทุกคนภูมิใจ

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้ที่มีโอกาสเป็นรัฐบาลดูแลนโยบายต่าง ๆ อยากสนับสนุนโครงการ OTOP เพิ่มเติมเข้าไป นโยบายที่สามารถไปถึงพี่น้องทุกจังหวัดจริง ๆ แล้วทำให้พี่น้องได้ใช้ความสามารถ และความถนัดของตัวเองมาประกอบอาชีพ เป็นสิ่งที่น่าสนใจอย่างมาก อย่างที่นายอนุทิน ตั้งเป้าหมายไว้ ก็อยากให้ถึงเป้าหมายอย่างง่ายดาย แบบไม่ต้องลุ้น ขอให้ทุกคนขายได้ดีๆ ขอส่งกำลังใจ แม้ว่าเศรษฐกิจทั่วโลกของเราจะค่อนข้างท้าทาย แต่ตนเองมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า วันนี้รัฐมนตรีมากันหลายท่าน มีคณะทูตมาด้วยช่วยกัน โปรโมตงานนี้ ดังนั้น ใครอยากมาดูของไทย สนับสนุนผู้ประกอบการไทย ก็ขอเชิญชวนพี่น้องทุกท่านว่าเรามีงานนี้

นายกรัฐมนตรี ย้ำว่า ขอเชิญชวนทุกท่านอีกครั้งให้มาเที่ยวงาน OTOP มาจากทุกภูมิภาคที่เป็นฝีมือของคนไทยของเรา มีทั้งอาหาร แฟชั่น มาที่นี่หนึ่งจุดต้องมีสิ่งที่ตัวเองชอบ และเอ็นจอยอย่างแน่นอน

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ได้เยี่ยมชมนิหรรศการ กิจกรรม และการจำหน่ายสินค้าของหน่วยงานภาคี อาทิ โซนกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โซนบริษัทประชารัฐรักสามัคคี วิสาหกิจเพื่อสังคม (ประเทศไทย) จำกัด โซนศิลปิน OTOP ที่นำเสนอผลงานที่มีอัตลักษณ์บ่งบอกถึงภูมิปัญญาอันทรงคุณค่า โขนผ้าไทยใส่ให้สนุก , โขน OTOP Fist Lady, โซนนิทรรศการเส้นไหมและเส้นใยธรรมชาติ, โซนการจัดแสดงและจำหน่ายสินค้า OTOP ระดับ 3-5 ดาว

สำหรับงาน OTOP Midyear 2025 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 7-15 มิ.ย. 68 ตั้งแต่เวลา 10.00 – 21.00 น. ที่อาคารชาเลนเจอร์ 1-3 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ก เมืองทองธานี สามารถเดินทางด้วยรถไฟรถไฟฟ้า MRT สายสีชมพู ซึ่งอยู่ระหว่างการทดสอบการเดินรถเข้าภายในบริเวณสถานีชาเลนเจอร์ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

Advertisement

 

 

กระทรวงมหาดไทย เชิญชวนคนไทย ชม ช้อป ชิม งาน OTOP Midyear 2025

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 8 มิถุนายน 2568 มท. เชิญชวนคนไทยร่วมชม ช้อป ชิม เช็คอิน สุดยอดมหกรรมโอทอปยิ่งใหญ่กลางปี กับงาน OTOP Midyear 2025 ทันโลก ทันสมัย เศรษฐกิจไทยยั่งยืน 7-15 มิ.ย.68 ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี มท.ตั้งเป้าสร้างรายได้หมุนเวียนในประเทศไม่น้อยกว่า 600 ล้านบาท

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขานุการ รมว.มหาดไทยและโฆษกกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทย ภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย มีนโยบายสนับสนุนการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากและยกระดับการท่องเที่ยวชุมชน เกิดการใช้จ่ายในประเทศ โดยมีกรมการพัฒนาชุมชน เป็นหน่วยงานหลักขับเคลื่อนการพัฒนาทักษะและศักยภาพของผู้ประกอบการ OTOP ควบคู่การส่งเสริมช่องทางการตลาด

โดยระหว่างวันที่ 7-15 มิ.ย. 68 นี้ ตั้งแต่เวลา 10.00-21.00 น. กระทรวงมหาดไทย โดยกรมการพัฒนาชุมชน กำหนดจัดงานมหกรรม OTOP Midyear 2025 ภายใต้แนวคิด “OTOP ทันโลก ทันสมัย เศรษฐกิจไทยยั่งยืน” โดยใช้พื้นที่จัดงานมากกว่า 60,000 ตารางเมตร ณ ชาเลนเจอร์ 1-3 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ด้วยการรวบรวมผลิตภัณฑ์ OTOP 3-5 ดาว กว่า 2,000 บูธ  ในโซนต่างๆ ได้แก่ โซน “พลิกโฉม OTOP ไทยสู่โลกออนไลน์ และ Modern Trade” – อัปเดตเทรนด์ค้าขายยุคดิจิทัล

โซน “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” – แฟชั่นผ้าไทยใส่ได้ทุกวัน, โซน “OTOP ชวนชิม” – รวมของอร่อยทั่วไทยไว้ในที่เดียว, โซน “Health & Spa” – สมุนไพรไทยเพื่อสุขภาพและความผ่อนคลาย, โซน “ผ้าและเครื่องแต่งกาย” – ดีไซน์ร่วมสมัยจากชุมชน

โซน “อาหาร” – ของกินของฝากพื้นบ้านคุณภาพ, โซน “เครื่องดื่ม” – สดชื่นด้วยน้ำสมุนไพร ชา กาแฟพื้นถิ่น, โซน “ของใช้ ของตกแต่ง และของที่ระลึก” – สินค้าหัตถกรรมดีไซน์โดน, โซน “สมุนไพรที่ไม่ใช่อาหาร” – ยาดม ยาหม่อง น้ำมันนวดจากภูมิปัญญาไทย

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ในงานยังมีไฮไลต์สำคัญ คือ โซนศิลปิน OTOP จัดแสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากศิลปิน OTOP กว่า 40 ราย และ โซนชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี โซนผ้าไทยใส่ให้สนุก และ Frst Lady จัดแสดงผ้าที่มีอัตลักษณ์และเอกลักษณ์ของแต่ละจังหวัด ดีไซน์ทันสมัย เหมาะกับทุกรุ่น ทุกเพศ ทุกวัย

ดังนี้ จึงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมจับจ่ายใช้สอย ในงาน OTOP Midyear 2025 วันที่ 7-15 มิ.ย. 68 เวลา 10.00-21.00 น. ณ ชาเลนเจอร์ 1-3 อิมแพคเมืองทองธานี อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ซึ่งในครั้งนี้ พี่น้องประชาชนสามารถเลือกเดินทางได้สะดวกผ่านรถไฟฟ้า MRT สายสีชมพู ซึ่งอยู่ระหว่างการทดสอบการเดินรถเข้าไป%ภายในบริเวณสถานี Challenger โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายอีกด้วย

“กระทรวงมหาดไทย ตั้งเป้าหมายว่างานนี้จะสามารถสร้างรายได้ให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้ไม่น้อยกว่า 600 ล้านบาท ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงกลางปี ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากให้เติบโต เข้มแข็ง และเชื่อมโยงไปยังเศรษฐกิจระดับภูมิภาค ซึ่งถือเป็นนโยบายที่สำคัญ ที่นายอนุทิน” น.ส.ไตรศุลี กล่าว

Advertisement

“กรุงเทพฯ” อันดับ 1 เมืองที่ดีที่สุด “ทำงานทางไกล-ค่าใช้จ่ายต่ำ”

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 31 พฤษภาคม 2568 รองโฆษกรัฐบาล เผยเว็บไซต์ New York Post จัดอันดับกรุงเทพฯ อันดับ 1 เมืองที่ดีที่สุดสำหรับทำงานทางไกล-ค่าใช้จ่ายต่ำ อินเทอร์เน็ตเร็ว วิวสวย ครบจบในเมืองเดียว

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ข้อมูลจากเว็บไซต์ New York Post จากสหรัฐอเมริกา จัดอันดับให้แต่ละเมืองได้รับคะแนนเต็ม 100 โดยกรุงเทพฯ ประเทศไทย คว้าอันดับ 1 ไปครอง ด้วยคะแนน 69.98 จากจุดเด่นเรื่องอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง และไลฟ์สไตล์ราคาย่อมเยา เมื่อเทียบกับเมืองอื่นๆ วัดวาอารามอันวิจิตร อาหารรสเลิศ และชีวิตริมถนนที่คึกคักของกรุงเทพฯ คือเสน่ห์ที่ดึงดูดใจสำหรับผู้ที่ต้องการเปิดประสบการณ์ใหม่

นางสาวศศิกานต์ กล่าวว่า เมืองหลวงของไทยเปี่ยมไปด้วยพลังและชีวิตชีวา เหมาะอย่างยิ่งสำหรับนักเดินทางสายดิจิทัลที่ต้องการใช้ชีวิตในเมือง ซึ่งผสมผสานความทันสมัยเข้ากับวัฒนธรรมดั้งเดิมได้อย่างลงตัว ข้อมูลจากเว็บไซต์ New York Post จากสหรัฐอเมริกา รายงานว่าการทำงานทางไกล กลายเป็นทางเลือกที่หลายคนใฝ่ฝันมากขึ้น หลังจากผ่านช่วงโควิดมาเกือบ 5 ปี

ล่าสุดผู้เชี่ยวชาญจาก QR Code Generator ได้จัดทำดัชนีจัดอันดับเมืองน่าอยู่สำหรับนักเดินทางสายดิจิทัล โดยพิจารณาจากความเร็วอินเทอร์เน็ต ค่าครองชีพ การเข้าถึงวีซ่าทำงานระยะไกล และปัจจัยอื่นๆ โดยกรุงเทพฯ ประเทศไทย คว้าอันดับ 1 ไปครองด้วยคะแนน 69.98 คะแนนเต็ม 100 คะแนน จากจุดเด่นเรื่องอินเทอร์เน็ตที่เร็ว และไลฟ์สไตล์ราคาย่อมเยา ส่วนอันดับ 2 บูคาเรสต์ เมืองหลวงของโรมาเนีย ด้วยคะแนน 65.62 เมืองในยุโรปตะวันออกแห่งนี้โดดเด่นด้านการเข้าถึงวีซ่าทำงานทางไกลได้ง่ายที่สุดตามการประเมินของผู้เชี่ยวชาญ

“รัฐบาลเดินหน้ายกระดับการท่องเที่ยวไทย ด้วยการขยายฟรีวีซ่าเป็น 93 ประเทศ/ดินแดน พำนักได้ไม่เกิน 60 วัน พร้อมออกวีซ่าใหม่ “Destination Thailand Visa (DTV)” สำหรับชาวต่างชาติที่ต้องการเที่ยวไทย ควบคู่กับทำงานทางไกลหรือทำกิจกรรมด้านวัฒนธรรมและการแพทย์ เพื่อตอบโจทย์นักเดินทางยุคใหม่ และกระตุ้นเศรษฐกิจไทยทั้งปี” นางสาวศศิกานต์ กล่าว

Advertisement

“เที่ยวคนละครึ่ง” มาแน่! “สรวงศ์” จ่อชง ครม. ก่อนเริ่มใช้ 1 ก.ค.

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 30 พฤษภาคม 2568 “สรวงศ์” เผย โครงการเที่ยวคนละครึ่งเตรียมเสนอเข้าที่ประชุม ครม.เร็ว ๆ นี้ ก่อนเริ่มใช้ 1 ก.ค.68 ขณะที่นายกฯ กำชับให้ดูแลภาพลักษณ์ ความปลอดภัย และความสะอาดให้กับนักท่องเที่ยว

นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา แถลงภายหลังร่วมประชุมติดตามสถานการณ์การท่องเที่ยวไทย ครั้งที่ 2/2568 ที่มีนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม ว่า ได้รายงานความคืบหน้าของทุกกระทรวง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ที่ต้องทำงานบูรณาการร่วมกัน เพราะมีเรื่องของภาพลักษณ์ ความปลอดภัย ความสะอาด ความสะดวกสบาย ให้กับนักท่องเที่ยว ซึ่งขณะนี้เข้าสู่ช่วงโลซีซั่น โดยนายกรัฐมนตรี ได้มอบนโยบายในหลายด้าน ทั้ง การทำให้นักท่องเที่ยวมีความสะดวกสบายมากขึ้น รวมถึงความปลอดภัย และมีงบที่จะใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท มาช่วยสร้างความเชื่อมั่น รวมถึงได้รายงานตัวเลขนักท่องเที่ยวที่มีจำนวนลดลง แต่รายได้เข้าประเทศยังสูงขึ้น ประกอบกับนักท่องเที่ยวที่มาจากทางไกล ทั้ง ตลาดยุโรป ตลาดอเมริกา เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

นายสรวงศ์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ยังได้ติดตามงานของเมืองหลัก และเมืองรอง ที่ของบกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้ขอไป ทั้งโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง หรือ การนำตลาดจีนกลับมาพร้อมกับตลาดที่มีคุณภาพมากขึ้น ซึ่งโครงการเที่ยวคนละครึ่ง จะนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในเร็ว ๆ นี้ ในเรื่องงบกระตุ้นเศรษฐกิจรอบแรก และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ได้ทำแพลตฟอร์มที่จะให้ผู้ประกอบการ และคนไทยทุกคนที่สนใจได้ลงทะเบียนควบคู่กันไป น่าจะใช้ได้ในวันที่ 1 กรกฎาคมนี้

ด้านนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ 2 – 3 ประเด็น ว่า ในครึ่งปีหลังจากนี้ไป นักท่องเที่ยวในประเทศ ทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติ ไม่ว่าจะเดินทางไปจุดใดของประเทศไทย ต้องมีความปลอดภัย ต้องเตรียมความพร้อมในเรื่องของความสะอาด ทั้ง สุขา ที่จอดรถ การอำนวยความสะดวก ระบบความปลอดภัยใหม่ใหม่สมัยใหม่ เช่น ระบบ AI ซึ่งตำรวจท่องเที่ยว หรือตำรวจท้องที่ และหน่วยงานอื่น ๆ จะประสานบูรณาการกัน เพื่อดูแลนักท่องเที่ยวในทุกจุด จะต้องดูและเรื่องความสะอาด เพราะได้รับการร้องเรียนมา ว่า มีหลายจุดไม่ได้ดำเนินการแก้ไขปรับปรุง เนื่องจากคนไปเที่ยวมีหลากหลายวัย นายกรัฐมนตรีจึงกำชับว่า แม้นักท่องเที่ยวจะลดลง แต่รายได้ยังสูงขึ้น ดังนั้น ครึ่งปีหลังจะมีกิจกรรมที่หลากหลาย

Advertisement

ย้ำไทยเป็นจุดหมายนักท่องเที่ยวทั่วโลกตลอดปี

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 19 พฤษภาคม 2568 รัฐบาลขอบคุณนักท่องเที่ยวกลุ่มไฮเอนด์สุดคึกคักสี่เดือนครึ่งตลาดโต รายได้ทะลุกว่า 6 แสนล้านบาท ย้ำไทยเป็นจุดหมายนักท่องเที่ยวทั่วโลกตลอดปี

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลเร่งผลักดันการดึงดูดนักท่องเที่ยวจากตลาดที่มีแนวโน้มเติบโตสูงและเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพ โดยเฉพาะตลาดนักท่องเที่ยวที่มีการเดินทางไกล พบว่ามีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง อาทิ นักท่องเที่ยวจาก ยุโรป รัสเซีย รัฐบาลจึงเร่งเดินหน้าเร่งขยายตลาดกลุ่มเป้าหมายนักท่องเที่ยวคุณภาพซึ่งมีการใช้จ่ายสูง อาทิ กลุ่ม Health & Wellness กลุ่มท่องเที่ยวทางเรือ Yacht กลุ่ม Sport and Entertainment เพื่อยกระดับคุณภาพของรายได้จากการท่องเที่ยว และฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน

“สถานการณ์ท่องเที่ยวล่าสุดของประเทศไทย (ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 14 พฤษภาคม 2568) เทียบช่วงเดียวกันของปี 2567 พบว่า ไทยมีรายได้รวมจากการท่องเที่ยวสะสม 1.034 ล้านล้านบาท (เพิ่มขึ้น 2.73%) โดยแบ่งออกเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวน 13.12 ล้านคน สร้างรายได้ 621,069 ล้านบาท (รายได้เพิ่มขึ้น 3.13%) และนักท่องเที่ยวชาวไทย ท่องเที่ยวภายในประเทศรวม 76.95 ล้านคน สร้างรายได้ 413,877 ล้านบาท (รายได้เพิ่มขึ้น 2.15%)”

ทั้งนี้ นักท่องเที่ยว ที่เดินทางมาไกลเพิ่มขึ้นเกือบทุกกลุ่ม โดยมีจำนวนนักท่องเที่ยว 5.02 ล้านคน (เพิ่มขึ้น 17.28%) จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะเดียวกัน รายได้จากตลาดกลุ่มนี้ สามารถ สร้างรายได้ 3.19 แสนล้านบาท (เพิ่มขึ้น 20.43%) จากปีก่อน“ นางสาว ศศิกานต์ ระบุ

“รัฐบาลเร่งเพิ่มขีดความสามารถด้านการคมนาคม เพื่อยกระดับการเชื่อมโยงระหว่างประเทศ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ทั้งนี้ การเติบโตของตลาดระยะไกลชี้ให้เห็นถึงความสามารถในการฟื้นตัวของประเทศไทย และขอยืนยันถึงความพร้อมของประเทศไทยในการต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ด้วยความเชื่อมั่นในคุณภาพบริการ ความปลอดภัย และศักยภาพของคนไทยทุกภาคส่วน ที่จะร่วมมือกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจท่องเที่ยวให้เติบโตอย่างมั่นคง ยั่งยืน และเป็นพลังสำคัญของประเทศต่อไป“ นางสาวศศิกานต์ กล่าว

Advertisement

Verified by ExactMetrics