วันที่ 28 พฤศจิกายน 2025

สส.ปชน. จี้ถาม “สรวงศ์” โครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง ใช้งบไปแล้วเท่าไหร่-เกิดความเสียหายใครรับผิดชอบ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 17 กรกฎาคม 2568 รัฐสภา 17 ก.ค.-สส.ปชน. จี้ถาม “สรวงศ์” โครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง ใช้งบไปแล้วเท่าไหร่-ถ้าเกิดความเสียหายใครรับผิดชอบ อัดแอปมีปัญหาเยอะเหตุรัฐบาลทำงานไม่เป็น ด้าน “รัฐมนตรี” แจงพยายามอุดรอยรั่วแล้ว ย้ำรัฐบาลเร่งเรียกความเชื่อมั่น ดึงนักท่องเที่ยวกลับไทย เผยเที่ยวไทยคนละครึ่ง สิทธิยังว่างกว่า 3 แสนสิทธิ ลงทะเบียนได้ถึง 31 ต.ค.นี้

การประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานการประชุม พิจารณากระทู้ถามสดด้วยวาจา ของว่าที่ ร.ต.สมชาติ เตชถาวรเจริญ สส.ภูเก็ต พรรคประชาชน ถามนายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เรื่องโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง ว่า เนื่องจากสภาพการท่องเที่ยวของประเทศไทยในปีนี้ซบเซาลงกว่าปีที่แล้ว เพราะนักท่องเที่ยวจีนไม่มั่นใจในความสามารถของรัฐบาลที่้บังคับใช้กฎหมายการค้ามนุษย์จนจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เป็นตลาดหลักของเราลดลงไปเหลือไม่ถึงครึ่ง ทำให้กระทรวงการท่องเที่ยวจึงได้จัดสรรงบประมาณจากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 1.57 แสนล้านบาทมาดำเนินโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง จำนวน 1.75 พันล้านบาท แต่จนถึงวันนี้มีการใช้สิทธิ์ห้องพักไปแล้ว 1.58 แสนสิทธิ์ ไม่ถึง 1 หมื่นสิทธิ์ต่อวัน ซึ่งต่ำกว่าที่คาด เหตุเพราะรัฐบาลทำงานไม่เป็น ขาดความรู้ความสามารถ มีการออกแบบแอปพลิเคชั่นใหม่ทั้งที่โครงการนี้คล้ายกับโครงการเที่ยวคนละครึ่ง แต่หลังจากที่เปิดตัวแอปพลิเคชั่นออกมาตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา ทั้งผู้ใช้บริการและผู้ประกอบการต่างประสบปัญหา เช่น การลงทะเบียนของประชาชนมีขั้นตอนเยอะ ลงทะเบียนยาก ระบบล่ม อีกทั้งการแก้ปัญหาเรื่องราคาห้องพักก็มีปัญหาและล่าช้า ทำให้ผู้ประกอบการเสียโอกาส รวมถึงการตั้งราคาที่ไม่เหมาะสม ทำให้ประชาชนรู้สึกว่าไม่คุ้นค่าและเสียสิทธิ์ต่างๆ

ว่าที่ ร.ต.สมชาติ กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมารัฐบาลนี้่ขยันที่จะทำแอปพลิเคชั่นออกมาจำนวนมาก โดยมีการของบประมาณในการทำแอปพลิเคชั่นจากหน่วยงานต่างๆ จำนวนกว่า 4.2 พันล้านบาท แต่แอปพลิเคชั่นที่ประชาชนรู้จักมีไม่ถึงร้อยตัว แอปพลิเคชั่นบางตัวไม่มีคนรู้จักและไม่ได้ใช้งานจริงจนถูกทิ้งร้างเป็นแอปผี ฉะนั้น จึงขอถามนายสรวงศ์ว่าเหตุใดจึงไม่ใช้ธนาคารกรุงไทยทำโครงการนี้ต่อ เนื่องจากมีแอปพลิเคชั่นอยู่แล้ว รวมถึงประชาชนและผู้ประกอบการก็ต่างเคยติดตั้งแอปพลิเคชั่นเป๋าตังและถุงเงินในมือถือเรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ ตนได้ลองค้นข้อมูลเกี่ยวกับการทำแอปพลิเคชั่นนี้แล้วทั้งในเว็บไซต์และของกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ก็ไม่พบข้อมูลเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างโครงการนี้ หรือเว็บไซต์ไม่ได้อัปเดต หรือเพราะใช้ชื่อโครงการเป็นอย่างอื่น หรือใช้หน่วยงานภาครัฐอื่นเป็นผู้จัดซื้อจัดจ้าง หรือให้ผู้จัดซื้อจัดจ้างดำเนินการไปก่อนแล้วไปทำการจัดซื้อจัดจ้างทีหลังหรือไม่อย่างไร รวมถึงงบประมาณในการจัดซื้อจัดจ้างในการทำโครงการดังกล่าวนี้เป็นจำนวนเงินเท่าไหร่

ว่าที่ ร.ต.สมชาติ กล่าวด้วยว่า กระทรวงการท่องเที่ยวฯ รวมถึงหน่วยงานในกำกับมีการสร้าง แอปพลิเคชั่นไปแล้วทั้งหมดกี่แอปพลิเคชั่น รวมงบประมาณทั้งหมดกี่บาท มีการใช้งานจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ มีผู้ใช้งานมากขนาดไหน ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบต่อความเสียหายกรณีแอปพลิเคชั่นทำงานผิดพลาดที่สามารถจองห้องพักได้มากกว่า 1 ห้องต่อคืน และลูกค้าได้ทำการเช็กอินเข้าห้องพักแล้ว อีกทั้งการให้ประชาชนโอนเงินแล้วอัปเดตสลิปโอนเงินเข้ายืนยันในระบบเว็บไซต์นั้น เราสามารถอัปเดตรูปภาพอะไรไปแทนสลิปโอนเงินก็ได้ ซึ่งอาจจะเป็นการเปิดช่องว่างให้มีการทุจริตหรือฮั้วกันได้ เพื่อรับเงินอุดหนุนจากภาครัฐโดยที่ไม่มีการจองห้องพักจริง หากเกิดการทุจริตจริงใครจะเป็นผู้รับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้น แอปพลิเคชั่นนี้จะใช้งานได้อย่างเสถียรภาพเมื่อไหร่ จะมีการขยายขีดความสามารถ Thai-D เพื่อให้สามารถรองรับผู้ใช้งานจำนวนมากได้อย่างเพียงพอหรือไม่

ด้านนายสรวงศ์ กล่าวว่า ตนขอใช้เวทีนี้กราบขอโทษประชาชนอีกครั้งกับความเสียหายที่เกิดขึ้น แต่ต้องยอมรับว่าการที่ว่าที่ ร.ต.สมชาตินำตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนมาผูกพันกับคำถามต้องขอชี้แจงว่า อย่างแรกคือเป็นคนละเรื่องกัน โครงการเที่ยวไทยคนละครึ่งเป็นนโยบายที่จะออกมากระตุ้นโครงการไทยเที่ยวไทย คนที่จะใช้สิทธิ์ได้ต้องมีบัตรประชาชนคนไทยเท่านั้น เป็นคนละเรื่องกับตลาดจีน ซึ่งต้องบอกว่าโครงการที่ผ่านมา ปัจจุบันการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยยังคงมีคดีค้างกับผู้ประกอบการ มีประชาชนได้รับหมายเรื่องการทุจริตที่เกิดขึ้น กว่า 1,300 คดี โดยสิ่งที่พวกเราอยากทำและอยากให้เกิดคือฐานข้อมูลนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะคนไทย เพื่อวางแผนยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวในอนาคตต่อไปอย่างยั่งยืน ส่วนคำถามที่ว่าเหตุใดจึงไม่ใช้แอปพลิเคชันเก่า หรือฐานข้อมูลจากธนาคารกรุงไทยนั้น ขอเรียนว่าจาก MOU ที่ผ่านมา ตนไม่ทราบว่ามีการทำอย่างไร แต่ในปัจจุบันธนาคารกรุงไทยไม่ได้มีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจแล้ว ดังนั้น การที่จะไปผูกพันอะไรกับธนาคารธนาคารหนึ่ง จะเป็นการปิดกั้นธนาคารพาณิชย์ด้วยกันเอง ส่วนการเปิดให้ลงทะเบียนวันแรก แน่นอนว่าประชาชนยังคงสับสน ซึ่งตนได้มีการต่อว่าและตั้งคณะกรรมการสอบขึ้นมาแล้วว่าเหตุใดประชาชนจึงยังคงสับสน เพราะโครงการนี้ไม่เหมือนกับโครงการที่ผ่านมา เนื่องจากเราเปิดให้ประชาชนลงทะเบียน 500,000 สิทธิ์ และมีการปิดลงทะเบียนทันที โดยต้องมีการจองภายใน 3 วัน ไม่เช่นนั้น จะถือว่าหมดสิทธิ์ แต่ครั้งนี้เราต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจจริงๆ ต้องการให้คนที่มีแผน และพร้อมจะเที่ยวทันที ได้มีการซื้อ จอง และจ่ายเงิน นี่คือสิ่งที่แตกต่าง ซึ่งตนเคยบอกไปแล้วก่อนหน้านี้ ว่าหากใช้ระบบนี้ ประชาชนจะไม่ต้องลงทะเบียน เพื่อใช้สิทธิ์เลย จะได้ไปเน้นในส่วนปลายทาง หรือคือผู้ประกอบการ และการจ่ายเงินจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยให้กับผู้ประกอบการ

นายสรวงศ์ กล่าวต่อว่า ทุกคนมีสิทธิ์ ทุกคนมีบัตรประชาชนอยู่แล้ว แต่ด้วยคดีที่ค้างอยู่ ทุกกระทรวง ทบวง กรม หน่วยงานต่างๆ จึงต้องการปกป้องและป้องกันตัวเอง ไม่ให้มีการทุจริตเกิดขึ้น ฉะนั้น จึงจำเป็นต้องผ่านแอปพลิเคชันไทยไอดี ในวันลงทะเบียน เมื่อมีปัญหาตนก็ได้มีการสั่งการทันที ให้มีการบายพาส เพื่อให้ประชาชนสามารถลงทะเบียนได้ โดยใช้การลงทะเบียนในภายหลัง เมื่อระยะเวลาผ่านไป ก็ยังมีปัญหาเรื่องการส่งโอทีพี สำหรับประชาชนที่ใช้จีเมล์ เนื่องจากเราไม่มีการแจ้งไว้ก่อนว่า จะมีทราฟฟิกเข้าไปจำนวนมากขนาดนี้ จึงทำให้เอไอของกูเกิลจับว่าเป็นสแกม ซึ่งมีการปิดระบบในเบื้องต้น ซึ่งเราก็ได้มีการประสานกับทางกูเกิลไปในทันที และสุดท้ายตนได้ลงไปสั่งการด้วยตัวเองว่าจะขอปิดระบบการลงทะเบียน ซึ่งในวันที่ปิดการลงทะเบียนนั้น มีจำนวนประชาชนลงทะเบียนแล้วกว่า 1.4 ล้านคน จากนั้นเราจึงมาแก้ปัญหาหลังบ้านของเราในการเพิ่มสเปซคลาวด์ และเพิ่มช่องทางให้ประชาชนเข้าถึงได้มากขึ้น จนถึงตอนนี้ ตัวเลขที่ถูกยืนยันแล้ว คือมีผู้ลงทะเบียนประสงค์จะใช้สิทธิ์ทั้งสิ้น 1.11 ล้านคน มีผู้ที่จองเรียบร้อยแล้ว และจ่ายเงินแล้ว 1.4 แสนคน ขณะที่ระยะเวลา เราเปิดให้ประชาชนสามารถเที่ยวได้ถึง 31 ตุลาคมนี้ แม้จากกำหนดการเดิมที่จะต้องเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อเดือนที่แล้ว แต่ด้วยเรื่องการของบประมาณ ทำให้เกิดความล่าช้า ซึ่งเมื่อมีการอนุมัติ เราก็มีการประกาศคิกออฟโครงการทันที

“ผมต้องขอกราบอภัยพี่น้องประชาชนอีกครั้งในความไม่สะดวก ยืนยันว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นขั้นตอนของการทำงาน และเราก็พยายามจะอุดรูรั่วนั้นแล้ว ส่วนในอนาคตจะมีเฟสสอง เฟสสามหรือไม่ ต้องขอดูอีกครั้ง เนื่องจากโครงการนี้ แต่เดิมทีมีการออกนโยบาย เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวช่วงสถานการณ์โควิด-19 และขอใช้โอกาสนี้ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบว่า โครงการนี้ยังสามารถจองสิทธิ์เข้ามาเพิ่มได้” นายสรวงศ์ กล่าว

ทำให้ว่าที่ ร.ต.สมชาติ กล่าวว่า นายสรวงศ์ ยังตอบคำถามตนไม่ครบขอให้ช่วยตอบด้วยว่าการจัดซื้อจัดจ้างไปอยู่ที่เล่มไหน ไปสอดใส้อยู่ในโครงการอะไรหรือไม่ รวมถึงที่ผ่านมารัฐบาลใช้งบประมาณไปแล้วเท่าไหร่ และหากเกิดความเสียหายขึ้นมาใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ เราจะโยนความผิดให้ประชาชนและผู้ประกอบการที่อาจจะมีบางส่วนที่ทุจริตอย่างเดียวนั้น ตนไม่เห็นด้วย เพราะมีตัวอย่างจากโครงการจำนำข้าวที่พรรคของท่านเคยโดน ผู้มีอำนาจเพิกเฉยไม่ป้องกันการช่องโหว่การทุจริต ซึ่งถือว่ามีความผิดเช่นเดียวกัน และสุดท้ายขอฝากไปยังรัฐบาลว่าให้นำคำแนะนำของตนไปปรับปรุงแอปพลิเคชั่นเพื่อให้ผู้ประกอบการและประชาชนได้รับความสะดวก ซึ่งหากปรับปรุงไม่ทันเฟสนี้ก็ขอให้นำไปปรับปรุงในเฟสหน้าก็ได้

นายสรวงศ์ ชี้แจงว่า นักท่องเที่ยวจีนหายจากทุกประเทศทั่วโลกไม่ใช่เฉพาะแค่ที่ประเทศไทย แต่เรื่องความเชื่อมั่นและเรื่องความปลอดภัยที่ถูกถาม รัฐบาลจะรับไปดำเนินการฟื้นฟูความเชื่อมั่นให้เร็วที่สุด เพื่อให้นักท่องเที่ยวกลับเข้ามาในประเทศไทย สำหรับงบประมาณที่เราขอในการดำเนินการทำแอปพลิเคชันนี้ อยู่ในงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท และเราได้มีการขอคืนเงินในส่วนการแอปพลิเคชัน 10 ล้านบาทที่ขอไป เนื่องจากงบประมาณที่ได้รับไม่ทันการต่อการทำสัญญาจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เป็นปัญหา เพราะเราไม่ได้จ้างคนที่มีประสบการณ์ แต่มีการแก้ไขแล้ว ยืนยันว่า งบประมาณในส่วนของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รวมถึงงบประมาณของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ไม่ได้ถูกใช้ในการทำแอปพลิเคชันไปเป็นจำนวนเยอะ

นายสรวงศ์ กล่าวต่อว่า สำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้น ไม่มีทางที่ตนจะปฏิเสธความรับผิดชอบ ย้ำว่าตนในฐานะที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กราบขออภัยประชาชนอีกครั้งในความไม่สะดวกที่เกิดขึ้น จะทำให้ดียิ่งขึ้นและทำให้ประชาชนได้รับความลำบากน้อยที่สุด และจะดำเนินการให้เป็นรูปธรรมโดยเร็วที่สุด

Advertisement

รัฐบาลชู 5 สมุนไพร Herb of the Year

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 12 กรกฎาคม 2568 ภูมิปัญญาไทย สมุนไพรไทย สร้างคุณค่าเศรษฐกิจไทย รัฐบาลชู 5 สมุนไพร Herb of the Year เผยสร้างรายได้มากกว่า 3.5 พันล้าน

นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลเดินหน้าผลักดันสมุนไพรไทย ภูมิปัญญาไทย สร้างคุณค่าเศรษฐกิจไทย ชู 5 สมุนไพร Herb of the Year สร้างรายได้มากกว่า 3.5 พันล้าน พร้อมยกระดับการแพทย์พื้นบ้าน การแพทย์ทางเลือก และสมุนไพรของไทย ให้เป็นระบบบริการสุขภาพทางเลือกที่มีคุณภาพ ปลอดภัย และเข้าถึงได้ง่าย มุ่งยกระดับศักยภาพสมุนไพรไทยเป็น Soft Power ที่สามารถสร้างรายได้และขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว

นายอนุกูล กล่าวว่า ความสำเร็จของสมุนไพรในปีที่ผ่านมา เป็นการยกระดับ 5 สมุนไพรยอดนิยม ได้แก่ ขมิ้นชัน ไพล กระชายดำ กระท่อม และกัญชา ให้เป็น Herb of the Year ซึ่งสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มกว่า 3,526 ล้านบาทในปีนี้ รัฐบาลโดยกระทรวงสาธารณสุข ได้จัดงาน “งานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติครั้งที่ 22” ขึ้น ได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างมากจาก มีผู้เข้าร่วมงานกว่า 3 แสนคน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 20% มีการซื้อขายในงานด้วยเงินสดเกือบ 50 ล้านบาท อีกทั้งมีการจับคู่ทำธุรกิจเกี่ยวกับสมุนไพรมากถึง 219 คู่ คาดว่ามีเงินหมุนเวียนประมาณ 198 ล้านบาท ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่แล้วจะเห็นถึงการพัฒนาการและความเจริญเติบโตของสมุนไพรไทยอย่างชัดเจน

“รัฐบาลให้ความสำคัญในการพัฒนาแพทย์แผนไทยแพทย์ทางเลือกและสมุนไพร พร้อมสนับสนุนงบประมาณในการทำธุรกิจ หรือให้เกษตรกรปลูกสมุนไพร พร้อมมุ่งมั่นส่งเสริมการแพทย์แผนไทย การแพทย์ทางเลือก รวมถึงการนำภูมิปัญญาท้องถิ่นที่เป็นจุดแข็ง และ soft power ของไทย นำไปสู่การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ สร้างความเชื่อมั่นพัฒนาระบบบริการสุขภาพ (Service Plan) เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ สร้างรายได้ให้ประชาชนและประเทศอย่างยั่งยืนต่อไป” นายอนุกูล กล่าว

Advertisement

รัฐบาล เดินหน้าช่วยชาวสวนผลไม้

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 9 กรกฎาคม 2568 รัฐบาล เดินหน้าช่วยชาวสวนผลไม้ หลังสถานการณ์ชายแดน กห.ส่งทหาร ออกมาช่วยเก็บลำไย แก้ปัญหาแรงงานขาด ขณะที่กรมราชทัณฑ์ส่งนักโทษชั้นดีช่วย ด้านพาณิชย์ประสานผู้ส่งออกรวบรวมล้ง เร่งเปิดจุดรับซื้อ พร้อมดึงเซเว่น กระจายผลไม้ผ่าน 8,200 สาขา

นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการช่วยเหลือเกษตรกรกระจายผลไม้ภาคตะวันออกในช่วงปลายฤดู ที่ไม่สามารถส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านจากสถานการณ์การปิดด่านชายแดน โดยได้ดำเนินการไปแล้วประมาณ 10,000 ตัน ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ได้แก่ การร่วมมือกับตลาดสด 13 แห่ง ระบายผลผลิตทุเรียน จับมือบริษัท ไทยแอร์เอเชีย จำกัด ซื้อมังคุด ลำไย สับปะรดภูแล นำไปผลิตอาหารและเครื่องดื่มจำหน่ายบนเครื่องบิน จับมือบริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) ซื้อผลไม้จำหน่ายในห้างแม็คโคร และโลตัส จับมือห้างโก โฮเซลล์ ซื้อผลไม้ไปจำหน่าย ร่วมมือกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ดึง 40 บริษัทจดทะเบียนกลุ่ม SET50 รับซื้อผลไม้ไทย ประสานห้างค้าส่งค้าปลีก ห้างท้องถิ่น ช่วยรับซื้อไปจำหน่าย และดึงหน่วยงานราชการเข้ามาช่วยรับซื้อ ซึ่งทุกภาคส่วน พร้อมที่จะช่วยรับซื้อผลไม้ต่อเนื่อง ทั้งภาคเหนือและภาคใต้ที่ผลผลิตกำลังออกสู่ตลาด

นายอนุกูล กล่าวว่า หลังจากนี้ อีกไม่กี่สัปดาห์ ผลไม้ภาคตะวันออกจะสิ้นสุดฤดูกาล โดยในส่วนของภาคเหนือ ผลผลิตลำไย มะม่วง ลิ้นจี่ สับปะรด กำลังจะออกสู่ตลาด รัฐบาล โดยกระทรวงพาณิชย์ ได้ทำการประสานไปยังกองทัพ เพื่อขอกำลังพลทหารให้เข้ามาช่วยเก็บผลไม้แล้ว โดยเฉพาะลำไย ที่ปีนี้คาดว่าผลผลิตจะมีมาก เพื่อช่วยลดต้นทุนให้กับเกษตรกร และช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน รวมทั้งได้ประสานไปยังกรมราชทัณฑ์ เพื่อนำผู้ต้องหาชั้นดี ออกมาช่วยเก็บลำไยด้วยแล้ว

ทั้งนี้ ในส่วนของลำไย ได้เตรียมแผนระบายผลผลิต โดยจะผลักดันการส่งออกไปยังตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ อาทิ อินเดีย ที่เป็นอีกหนึ่งตลาดที่เริ่มนิยมบริโภคลำไยไทย และตะวันออกกลาง ที่เป็นตลาดที่มีโอกาสสูง โดยจะใช้จุดขายการเป็นผลไม้ที่มีรสชาติหวาน เหมาะสำหรับบริโภคของชาวมุสลิมที่ถือศีลอดในเดือนรอมฎอน รวมถึงตลาดจีน ที่จะมุ่งเจาะเมืองและมณฑลใหม่ ๆ เพราะยังมีโอกาสอีกมาก

นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะช่วยเร่งระบายผลผลิต โดยประสานหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนให้เข้ามาช่วยรับซื้อ ซึ่งล่าสุดได้ประสานความร่วมมือไปยังบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ให้เข้ามาช่วยรับซื้อมังคุดภาคตะวันออก ที่ขณะนี้อยู่ในช่วงปลายฤดูกาล และบางส่วนมีปัญหาจากการที่กัมพูชาปิดด่าน ทำให้ระบายผลผลิตไม่ได้ จึงได้เข้าไปช่วยรับซื้อ โดยเบื้องต้นซื้อแล้ว 70 ตัน และจะซื้อต่อเนื่อง เพื่อนำมาจำหน่ายในเซเว่น อีเลฟเว่น จำนวน 8,200 สาขาทั่วประเทศ ราคากิโลกรัม (กก.) ละ 40 บาท รวมทั้งมีแผนที่จะซื้อมังคุดภาคใต้ ลำไยภาคเหนือ และผลไม้ชนิดอื่น ๆ เข้าไปจำหน่ายด้วย อีกทั้ง ยังมีแผนสำรองไว้รองรับผลไม้ หากมีปัญหาผลผลิตล้นตลาด หรือผลผลิตออกกระจุกตัว โดยจะร่วมมือกับหอการค้าไทย วางแผนระยะสั้น กลาง และยาว เพื่อรับมือผลผลิต โดยจะเชื่อมโยงโรงงานเข้าไปรับซื้อ นำผลผลิตไปแปรรูป และช่วยกันทำตลาด โดยขอพี่น้องเกษตรกรมั่นใจว่า รัฐบาลได้กำหนดแผนเพื่อจะช่วยดูแลผลผลิตผลไม้ภาคเหนือและภาคใต้ที่กำลังออกสู่ตลาด และดูแลเกษตรกรให้ขายผลผลิตได้ให้มากที่สุด

Advertisement

เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ สะท้อนพิรุธ 3 ด้าน ชี้การพนันไม่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 7 กรกฎาคม 2568 กมธ.เอ็นเตอร์เทนเมนต์ฯ สว. รายงานผลกระทบสะท้อนพิรุธ 3 ด้าน ชี้การพนันไม่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เสี่ยงเป็นแหล่งบ่มเพาะอาชญากร ด้าน “จรัญ” เบรก เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ส่อขัดรัฐธรรมนูญชัดเจน ยก 4 มาตรา ค้ำคอ ไม่เป็นนิติธรรม ขาดมาตรการป้องกันการทุจริต ไม่สอดคล้องหลักเศรษฐกิจพอเพียงตามยุทธศาสตร์ชาติ

ในการประชุมวุฒิสภา มี นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุม รับทราบรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมาธิการ(กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาการเปิดสถานบันเทิงครบวงจร หรือเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ วุฒิสภา โดยมี นพ.วีระพันธ์ สุวรรณนามัย สว. เป็นประธานกมธ.ฯ

นพ.วีระพันธ์ รายงานข้อสังเกตุและความเห็นเบื้องต้นว่า กมธ.ฯได้ศึกษาตมกรอบอำนาจหน้าที่อย่างรอบด้าน โดยได้พิจารณาข้อมูลจากเอกสารวิชาการงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง รวมถึงข้อมูลที่สืบค้นได้จากสื่อมวลชนต่างๆ และยังได้เชิญบุคคลผู้ทรงคุณวุฒิและผู้ที่เกี่ยวข้อง อาทิ อดีตนายกรัฐมนตรี นักวิชาการ ภาคประชาชน เพื่อนำเสนอต่อรัฐบาลให้ทันต่อสถานการณ์

นพ.วีระพันธุ์ กล่าวว่า กมธ.ฯมีข้อสังเกตและความเห็นต่อร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร ในเบื้องต้น แบ่งเป็น 3 ด้านสำคัญ แต่ละด้านมีข้อย่อย ที่สะท้อนถึงข้อพิรุธหรือความไม่ชัดเจน และควรติดตามตรวจสอบพิจารณาอย่างต่อเนื่องต่อไป คือ1. ด้านเศรษฐกิจ พบว่า กิจกรรมการพนันไม่ใช่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เพราะเป็นการโอนเงิน อุตสาหกรรมกาสิโนมีแนวโน้มเข้าสู่ภาวะขาลง และถูกแทนที่ด้วยการพนันออนไลน์ ดังนั้น การให้ความสำคัญกับการกำกับดูแลการพนันออนไลน์จึงเป็นสิ่งที่ควรทำในสถานการณ์ปัจจุบัน ขณะที่รัฐบาลจีนมีจุดยืนเห็นว่าการพนันขัดต่อจริยธรรม หากประเทศไทยยืนยันจะมีกาสิโน ก็อาจถูกรัฐบาลจีนกีดกัดไม่ให้พลเมืองเดินทางมาท่องเที่ยว

นพ.วีระพันธุ์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ การดึงดูดนักลงทุนและนักท่องเที่ยวคุณภาพสูง ไม่จำเป็นต้องใช้กาสิโน ประเทศไทยมีศักยภาพหลายด้านที่ส่งเสริม เช่น อุตสาหกรรมการส่งเสริมสุขภาพแบบองค์รวม หรือ Wellness Industry รวมถึงคาดการณ์รายได้จากผู้เล่นคนไทยสูงกว่า 5 หมื่นล้านบาท นั้นเกินจริง เพราะต้องมีผู้เล่นเป็นจำนวนมาก ขัดกับเงื่อนไขที่คนไทยต้องมีเงินฝากในบัญชี 50 ล้านบาท ติดต่อกัน 6 เดือน

นพ.วีระพันธุ์ กล่าวอีกว่า 2. ด้านสังคม และด้านอื่นๆ พบว่าการติดการพนันเป็นโรคชนิดหนึ่ง ที่มีผลกระทบอย่างรุนแรง กาสิโนยังเป็นแหล่งบ่มเพาะอาชญากรรมที่ซับซ้อนขึ้น มีการจ้างงานที่ไร้ทักษะอาชีพ ควรทำประชาพิจารณ์และถามประชามติให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจสุดท้าย ว่าควรมีการเปิดกาสิโนในประเทศไทยหรือไม่ และ 3. ด้านกฎหมาย พบว่าร่างกฎหมายดังกล่าวมีแนวโน้มขัดต่อหลักนิติธรรม หน้าที่ของรัฐ และแนวนโยบายแห่งรัฐ ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ หมวดที่ 5 และ 6

ด้านนายจรัญ ภักดีธนากุล อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ในฐานะ กมธ.ฯ อภิปรายในประเด็นผลกระทบด้านกฎหมาย ว่า ไม่มีข้อกังวลเรื่องสถานบันเทิง แต่เมื่อมีการให้เปิดบ่อนกาสิโนที่ชอบด้วยกฎหมาย เปิดกว้างให้ทั้งผู้เล่นชาวไทยและต่างชาติ จะก่อให้เกิดผลกระทบด้านรัฐธรรมนูญ โดยมาตรา 5 ของรัฐธรรมนูญ ปี 2560 ระบุไว้ว่า รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติกฎหมายหรือการกระทำใดๆ จะขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญไม่ได้ ถือเป็นหลักพื้นฐานของประเทศไทยที่สอดคล้องกับหลักสากล

นายจรัญ กล่าวว่า เมื่อร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงฯ ที่กำหนดให้การเปิดกาสิโนชอบด้วยกฎหมาย จะเกิดปัญหา เนื่องจากมาตรา 3 วรรค 2 ระบุว่า การปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภา คณะรัฐมนตรี (ครม.) ศาล องค์กรอิสระ และหน่วยงานของรัฐทั้งหมด ต้องปฏิบัติหน้าที่ให้ถูกต้องตามหลักนิติธรรม คือ ธรรมะของกฎหมาย เป็นการเชิดชูหลักสุจริต เป็นปฏิปักษ์ต่อพฤติกรรมทุจริตประพฤติมิชอบ รวมถึงมาตรฐานทางจริยธรรมของเจ้าหน้าที่รัฐทั้งระบบ และหลักนิติธรรมยังได้คำนึงเข้าไปคุ้มครองถึงศีลธรรมอันดีของพี่น้องประชาชน

นายจรัญ กล่าวต่อว่า ในหมวดที่ 5 ของรัฐธรรมนูญ ยังได้บัญญัติว่า รัฐต้องมีหน้าที่ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน มาตรา 58 ระบุว่า รัฐจะกระทำกิจการใด หรืออนุญาตให้บุคคล คณะบุคคลใด ดำเนินการที่มีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต และประโยชน์ส่วนรวมของประชาชน และชุมชน หรือสิ่งแวดล้อม จะต้องมีการทำประเมินเรื่องผลกระทบทางสุขภาพ ก่อนจะดำเนินการได้ เช่นเดียวกับมาตรา 63 บัญญัติว่า รัฐมีหน้าที่ต้องสร้างกลไก มาตรการต่างๆ เพื่อป้องกันและขจัดการทุจริตประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งเชื่อมโยงกับช่องโหว่ว่า หากมีสถานบันเทิงที่มีกาสิโนขึ้น จะเปิดช่องให้มีการทุจริตประพฤติมิชอบมากกว่าสถานประกอบธุรกิจอื่นๆ จึงควรต้องมีมาตรการหรือกลไกเพื่อป้องกันปราบปรามการทุจริตให้เข้มข้นกว่าการประกอบธุรกิจปกติทั่วไป แต่ในร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ หาได้มีมาตรการเหล่านั้นให้เราเห็นเลย

นายจรัญ กล่าวว่า มาตรา 65 ในหมวดแนวนโยบายแห่งรัฐ บัญญัติไว้ว่า รัฐพึงจะให้มียุทธศาสตร์ชาติ เพื่อให้การพัฒนาประเทศเป็นไปได้อย่างยั่งยืน โดยใช้กระบวนวิธีการบริหารตามหลักธรรมาภิบาล และในยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี นั้น จะเห็นได้ชัดเจนว่า การพัฒนาประเทศจะยั่งยืนต้องเชื่อมโยงกับมาตรฐานทางจริยธรรม สำนึกในจริยธรรมอันดี และไม่ปรากฏในประเทศอื่น คือ หลักเศรษฐกิจพอเพียง

“กาสิโนเป็นแหล่งหาเงิน หาทรัพย์สมบัติ ที่ไม่พอเพียง เต็มไปด้วยความสุ่มเสี่ยงนานัปประการ ด้วยเหตุของบทบัญญัติรัฐธรรมนูญไทย 4 มาตราดังกล่าว ผมจึงเห็นว่า ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญอย่างแน่นอน” นายจรัญ กล่าว

ขณะที่ นพ.วีระพันธุ์ กล่าวสรุปการเสนอรายงานว่า การศึกษาของกมธ.ฯ ยังไม่จบ แค่ศึกษามาถึงตรงนี้ก็พบแล้วว่า ยังมีข้อพิรุธและความสุ่มเสี่ยงอย่างยิ่ง กมธ.ฯ ยังมีระยะเวลาเหลือ ต้องการทำให้ครบ แม้จะได้ยินว่ารัฐบาลเตรียมจะถอนร่างนี้ออกไป แต่ต้องรอดูครม.วันที่ 8ก.ค.ก่อน เพราะเอาอะไรแน่นอนไม่ได้ เรายืนยันว่าจะศึกษาต่อไปให้ครบรอบด้าน เพราะในอนาคต แม้จะมีรัฐบาลใดที่นำร่าง พ.ร.บ. ในลักษณะนี้กลับมาอีก คิดว่าการศึกษาของกมธ.ฯ จะเป็นประโยชน์ต่อลูกหลานของไทยในอนาคต

Advertisement

รัฐบาลมั่นใจศักยภาพอาหารไทยยึดเวทีโลก

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 5 กรกฎาคม 2568 “ศศิกานต์” เผยนักท่องเที่ยวแห่ค้นหา “ประสบการณ์สายกิน” ในไทยกว่า 80% รัฐบาลมั่นใจศักยภาพอาหารไทยยึดเวทีโลก

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผย ข่าวดีที่สะท้อนความนิยมของการท่องเที่ยวเชิงอาหารไทยบนเวทีโลก โดยจากการจัดอันดับยอดค้นหาบนแพลตฟอร์มทราเวลโลก้า (Traveloka) พบว่า กว่า 80 อันดับจาก 100 อันดับแรกของประสบการณ์อาหารและเครื่องดื่มที่มีการค้นหาสูงสุดในภูมิภาคอาเซียน อยู่ในประเทศไทย

ข้อมูลดังกล่าวตอกย้ำภาพลักษณ์ของประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวเชิงอาหารที่แข็งแกร่ง โดยรัฐบาลตั้งเป้าชัดเจนที่จะผลักดันไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางอาหารระดับโลกภายในปี 2569

จากสถิตินักท่องเที่ยวค้นหาประสบการณ์สายกิน พบว่า กรุงเทพมหานคร ครองอันดับหนึ่งของอาเซียน โดยกว่า 60% ของประสบการณ์อาหารและเครื่องดื่มยอดนิยมบน Traveloka อยู่ในกรุงเทพฯ นอกจากนี้ เมืองท่องเที่ยวสำคัญอย่าง พัทยา เชียงใหม่ ขอนแก่น ภูเก็ต และหัวหิน ต่างได้รับความสนใจเป็นอย่างมากเช่นกัน สะท้อนถึงความหลากหลายของแหล่งท่องเที่ยวสายกินทั่วประเทศ

ทั้งนี้ กระแสการท่องเที่ยวเชิงอาหารเติบโตต่อเนื่องทั่วโลก และประเทศไทยถือเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เดินทางมาเพื่อสัมผัสรสชาติและวัฒนธรรมอาหารโดยเฉพาะ ซึ่งสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ของรัฐบาลในการส่งเสริมอุตสาหกรรมอาหารให้เติบโตเฉลี่ยปีละ 5% พร้อมตั้งเป้าสร้างรายได้จากการค้าขายอาหารเกิน 7 แสนล้านบาทในปีนี้

โดย การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้เดินหน้าโปรโมตการท่องเที่ยวเชิงอาหารผ่านแคมเปญ “เมืองน่าเที่ยว Year of Celebration” ในช่วงฤดูฝน หรือ Green Season ระหว่างเดือนมิถุนายนถึงกันยายน 2568 โดยเน้นส่งเสริม 55 เมืองรองทั่วประเทศ พร้อมกิจกรรมหลากหลาย อาทิ “Gastro Nomad #ตามหารส” สำหรับนักท่องเที่ยวที่หลงใหลในการกิน ซึ่งคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเข้าร่วมกว่า 10 ล้านคน และสร้างรายได้หมุนเวียนในประเทศไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท

“รัฐบาลเดินหน้าผลักดันเศรษฐกิจไทยผ่านจุดแข็งด้านอาหารและการท่องเที่ยวอย่างจริงจัง พร้อมสนับสนุนทุกภาคส่วนให้ร่วมกันสร้างชื่อเสียงและรายได้ให้ประเทศ เพื่อให้คนไทยทุกคนเติบโตไปพร้อมกับเศรษฐกิจท่องเที่ยวเชิงอาหารที่แข็งแกร่งและยั่งยืน” นางสาวศศิกานต์ กล่าว

Advertisement

เปิดกำหนดการ “แพทองธาร-ทักษิณ-เศรษฐา” แสดงวิสัยทัศน์งาน SPLASH

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 5 กรกฎาคม 2568 เปิดกำหนดการ 3 นายกฯ “แพทองธาร-ทักษิณ-เศรษฐา” แสดงวิสัยทัศน์ในงาน SPLASH มหกรรม Soft Power ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมผนึกกำลัง 14 อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ดันไทยเติบโตสู่เส้นทางเศรษฐกิจและรายได้ใหม่ที่ยังยืน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส. แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม จะเดินทางไปร่วมงาน “SPLASH – Soft Power Forum 2025” ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ในวันที่ 8 ก.ค.นี้ เวลา 14.00-15.30 น. พร้อมจะกล่าวเปิดงานในหัวข้อ “Thailand Rising: Tourism, Education and the New Soft Power Frontier”

โดยงาน “SPLASH – Soft Power Forum 2025” เป็นความร่วมมือระหว่างรัฐบาล กับ สำนักงานส่งเสริมวัฒนธรรมสร้างสรรค์ (THACCA) ที่จัดงาน Soft Power ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ “SPLASH – Soft Power Forum 2025” ระหว่างวันที่ 8-11 กรกฎาคม 2568 ตั้งแต่เวลา 10.00-20.00 Hall 1-4 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

โดยประชาชนสามารถร่วมสัมผัสปรากฏการณ์ซอฟต์พาวเวอร์ไทยแบบครบวงจร ภายใต้แนวคิด “โอกาสประเทศไทยในอุตสาหกรรมวัฒนธรรมสร้างสรรค์” ซึ่งเปรียบเสมือน “สายน้ำแห่งโอกาส” ที่กำลังหล่อเลี้ยงทุนวัฒนธรรมไทยให้เติบโตสู่เศรษฐกิจใหม่อย่างยั่งยืน ผ่านการผนึกกำลังของ 14 อุตสาหกรรมซอฟต์พาวเวอร์ ต่อยอดสู่ตลาดโลกอย่างเป็นรูปธรรม

โดยอีกหนึ่งหัวใจของงานอยู่ที่ Visionary Stage ซึ่งรวบรวม “ผู้รู้จริง” แนวหน้าจากไทยและต่างประเทศ เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองและแบ่งปันประสบการณ์สร้าง “มูลค่าทางวัฒนธรรม” ให้ทรงพลัง รวมถึง “ผู้นำ” ที่ร่วมขึ้นเวทีแลกเปลี่ยนอย่างคับคั่ง

นอกจาก น.ส.แพทองธาร แล้ว ในวันที่ 9 ก.ค. 2568 เวลา 13.00-14.00 น. นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 23 จะถ่ายทอดวิสัยทัศน์ในหัวข้อ “Crafting the Future: From OTOP to ThaiWORKS and Beyond”

วันที่ 10 ก.ค. 2568 เวลา 12.45-13.45 น. นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 จะร่วมเสวนากับ “บัวขาว” บัญชาเมฆ และ “เทนนิส” พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ ในหัวข้อ “Rethinking Thai Sports in a Disruptive Era”

ขณะที่ภายในงานได้แบ่งพื้นที่ออกเป็น 6 โซนหลักเพื่อสะท้อนศักยภาพซอฟต์พาวเวอร์ไทยอย่างรอบด้าน ได้แก่

1.Creative Culture Village – โชว์เคส 14 อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ไทย ตั้งแต่อาหาร ภาพยนตร์ ดนตรี แฟชั่น จนถึงการท่องเที่ยว ในรูปแบบอินเทอร์แอ็กทีฟที่เข้าถึงคนรุ่นใหม่

2.THACCA Pavilion – ศูนย์รวมองค์ความรู้ ยุทธศาสตร์ และเครื่องมือการสร้างแบรนด์ไทยด้วยซอฟต์พาวเวอร์ พร้อมคำแนะนำเชิงลึกสำหรับผู้ประกอบการ

3.Glo-Cal Networking – พื้นที่จับคู่ธุรกิจ เชื่อมโยงนักลงทุนกับผู้ประกอบการทั้งไทยและต่างชาติ สร้างเครือข่ายระดับโลก

4.Workshop & Masterclass – หลักสูตรอบรมภายใต้โครงการ “One Family One Soft Power (OFOS)” เปิดโอกาสให้เยาวชน นักศึกษา และผู้ประกอบการเรียนรู้กับผู้เชี่ยวชาญโดยตรง

5.Experiential Zone – นิทรรศการเทคโนโลยี “Multisensory Mindfulness Experiences” กระตุ้นประสาทสัมผัสทั้ง 5 ถ่ายทอดประสบการณ์ซอฟต์พาวเวอร์ไทยแนวใหม่

6.Visionary Stage – เวทีเสวนาระดับโลกที่รวมนักคิดและนักสร้างสรรค์ตัวจริง ก่อเกิดแรงบันดาลใจสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์

สำหรับ งาน“SPLASH – Soft Power Forum 2025” จัดขึ้นภายใต้ความร่วมมือของกระทรวงวัฒนธรรม กรมส่งเสริมวัฒนธรรม คณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ คณะกรรมการพัฒนาและอนุกรรมการทุกสาขา โดยประสานพลังภาครัฐ เอกชน ชุมชน และเครือข่ายนานาชาติ เพื่อยกระดับซอฟต์พาวเวอร์ไทยสู่ตลาดโลกอย่างเป็นรูปธรรม ผู้สนใจสามารถเข้าร่วมงานได้ฟรี เพียงลงทะเบียนล่วงหน้าที่ splash.thacca.go.th

Advertisement

รบ.ลุยเจรจา FTA หลังใช้สิทธิ 4 เดือน เพิ่มขึ้น 13.46%

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 4 กรกฎาคม 2568 รัฐบาลเดินหน้าเจรจา FTA เพิ่มต่อเนื่อง หลังใช้สิทธิภายใต้ความตกลงการค้าเสรี (FTA) 4 เดือนปี 68 มูลค่าทะลุกว่า 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นถึง 13.46%

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าภายใต้ความตกลงการค้าเสรี (FTA) ในช่วง 4 เดือน ของปี 2568 (ม.ค.-เม.ย.) มีมูลค่ารวม 28,834.57 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 13.46% คิดเป็นสัดส่วนการใช้สิทธิ์ 79.45% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าที่ได้รับสิทธิ์ทั้งหมด โดย 5 อันดับแรก เป็นการส่งออกไปยังอาเซียนภายใต้ความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (ATIGA) สูงที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง มูลค่า 10,259.88 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วนการใช้สิทธิ์ 66.34% รองลงมา คือ ความตกลงอาเซียน-จีน (ACFTA) มูลค่า 7,032.96 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วน 91.02% ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-อินเดีย (AIFTA) มูลค่า 4,475.67 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วน 84.29% ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) มูลค่า 2,062.61 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วน 75.57% และความตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย (TAFTA) มูลค่า 1,850.89 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วน 59.39%

สำหรับสินค้า 5 อันดับแรกที่มีการใช้สิทธิ์ FTA ส่งออกมากที่สุด ได้แก่ 1.ยานยนต์สำหรับขนส่งของอื่น ๆ (ที่มีเครื่องดีเซล หรือกึ่งดีเซล) น้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุก ไม่เกิน 5 ตัน มูลค่า 2,112.47 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 2.แพลทินัมยังไม่ได้ขึ้นรูป (อันรอต) กึ่งสำเร็จรูปหรือเป็นผง มูลค่า 1,655.82 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 3.ยางสังเคราะห์ผสมยางธรรมชาติ มูลค่า 1,138.09 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 4.ทุเรียนสด มูลค่า 955.57 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 5.แพลทินัมยังไม่ได้ขึ้นรูป (อันรอต) กึ่งสำเร็จรูปหรือเป็นผงอื่น ๆ มูลค่า 760.76 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ส่วนสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูป ที่มีมูลค่าการใช้สิทธิ์ FTA สูง 5 อันดับแรก ได้แก่ ทุเรียนสด น้ำตาลที่ได้จากอ้อย ไก่ที่ปรุงแต่ง เนื้อของสัตว์ปีกเลี้ยงแช่เย็นจนแข็ง และผลไม้สด (เงาะ ลำไย ทับทิมสด) มูลค่ารวม 6,898.01 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 23.92% ของมูลค่าการใช้สิทธิ์ทั้งหมด และสินค้าอุตสาหกรรม 5 อันดับแรก ได้แก่ ยานยนต์สำหรับขนส่งของ แพลทินัมยังไม่ได้ขึ้นรูป (อันรอต) กึ่งสำเร็จรูปหรือเป็นผง ยางสังเคราะห์ผสมยางธรรมชาติ แพลทินัมยังไม่ได้ขึ้นรูป (อันรอต) กึ่งสำเร็จรูปหรือเป็นผงอื่น ๆ และเครื่องปรับอากาศชนิดติดผนังหรือติดเพดาน มูลค่ารวม 21,936.56 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 76.08% ของมูลค่าการใช้สิทธิ์ทั้งหมด

ทั้งนี้ จาก FTA ทั้งหมด 12 ฉบับ ที่ พบว่า มีการใช้สิทธิ์เพิ่มขึ้นรวม 5 ฉบับ ได้แก่ 1.ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-อินเดีย (ส่งออกไปอินเดีย) เพิ่มขึ้น 159.18% 2.ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) เพิ่มขึ้น 23.59% 3.ความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน เพิ่มขึ้น 8.39% 4.ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน (ส่งออกไปจีน) เพิ่มขึ้น 4.91% 5.ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-เกาหลี (ส่งออกไปเกาหลี) เพิ่มขึ้น 3.86% ซึ่งการใช้สิทธิ์ FTA ที่เพิ่มขึ้นทั้งหมด เป็นผลมาจากภาพรวมการส่งออกของไทยเพิ่มสูงขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2567 จาก 93,904.61 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็น 106,789.28 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2568

“รัฐบาลให้ความสำคัญต่อการส่งเสริมการค้าและขยายโอกาสทางการค้า มุ่งเน้นให้กับผู้ประกอบการไทยใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าภายใต้ FTA เพื่อต่อยอดธุรกิจ และการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าภายใต้ FTA พร้อมผลักดันให้ใช้ FTA เพื่อสร้างแต้มต่อในการส่งออก รวมทั้งเพื่อเพิ่มโอกาสทางการค้าและขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ” นางสาวศศิกานต์ ระบุ

Advertisement

ค่าแรง 400 บาท ทั่วไทย มีผลบังคับใช้แล้ว

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 2 กรกฎาคม 2568 ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศ ค่าจ้างขั้นต่ำลอตใหม่ มีผลบังคับใช้แล้ว เริ่มเลยวันนี้ ค่าแรง 400 บาท ทั่วไทย

เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ประกาศ ประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง เรื่อง อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ (ฉบับที่ 14) ตามมติคณะกรรมการค่าจ้าง ขั้นต่ำ เมื่อวันที่ 17 มิ.ย 2568 กำหนดค่าจ้างขั้นต่ำ เพื่อบังคับใช้แก่นายจ้าง และลูกจ้างทุกคน โดยใจความสรุป ให้กำหนดอัตราค่าจ้าจ้างขั้นต่ำเป็นวันวันละ 400 บาท ดังนี้

(1) ประเภทกิจการโรงแรมตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรม เฉพาะโรงแรมประเภท 2 โรงแรม ประเภท 3 และโรงแรมประเภท 4 ในท้องที่ทุกจังหวัด

(2) ประเภทกิจการสถานบริการตามกฎหมายว่าด้วยสถานบริการ ในท้องที่ทุกจังหวัด (3) ในท้องที่กรุงเทพมหานคร จังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี ภูเก็ต ระยอง และสุราษฎร์ธานี เฉพาะอำเภอเกาะสมุย

ข้อ 3 ให้กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นเงินวันละ 380 ในท้องที่จังหวัด เชียงใหม่ เฉพาะอำเภอเมืองเชียงใหม่ และสงขลาเฉพาะอำเภอหาดใหญ่ ข้อ 4 ให้กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นเงินวันละ 372 บาท ในท้องที่จังหวัดนครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ และสมุทรสาคร ข้อ 5 ให้กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นเงินวันละ 359 บาทในท้องที่จังหวัดนครราชสีมาฃ

ข้อ 6 ให้กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นเงินวันละ358 บาท ในท้องที่จังหวัด สมุทรสงคราม ข้อ 7 ให้กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นเงินวันละ 357 บาท ในท้องที่จังหวัด ขอนแก่น เชียงใหม่ ยกเว้นอำเภอเมืองเชียงใหม่ ปราจีนบุรี พระนครศรีอยุธยา และสระบุรี ข้อ 8 ให้กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นเงินวันละ 356 บาท ในท้องที่จังหวัดลพบุรี ข้อ 9ให้กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นเงินวันล 355 บาท ในท้องที่จังหวัด นครนายก สุพรรณบุรี และหนองคาย

ข้อ 10 ให้กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นเงินวันละ 354 บาท ในท้องที่จังหวัดกระบี่ และตราด ข้อ 11 ให้กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นเงินวันละ 352 บาท ในท้องที่จังหวัด กาญจนบุรี จันทบุรี เชียงราย ตาก นครพนม บุรีรัมย์ ประจวบคีรีขันธ์ พังงา พิษณุโลก มุกดาหาร สกลนคร สงขลายกเว้นอำเภอหาดใหญ่ สระแก้ว สุราษฎร์ธานียกเว้นอำเภอเกาะสมุย และอุบลราชธานี ข้อ 12 ให้กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นเงินวันละ 351 บาท ในท้องที่จังหวัด ชุมพร เพชรบุรี และสุรินทร์ ข้อ 13 ให้กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นเงินวันละ 350 บาท ในท้องที่จังหวัดนครสวรรค์ ยโสธร และลำพูน

ข้อ 14 ให้กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นเงินวันละ 349 บาท ในท้องที่จังหวัดกาฬสินธุ์ นครศรีธรรมราช บึงกาฬ เพชรบูรณ์ และร้อยเอ็ด ข้อ 15 ให้กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นเงินวันละ 348 บาท ในท้องที่จังหวัดชัยนาท ชัยภูมิ พัทลุง สิงห์บุรี และอ่างทอง ข้อ 16ให้กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นเงินวันละ 347 บาท ในท้องที่จังหวัดกำแพงเพชร พิจิตร มหาสารคาม แม่ฮ่องสอน ระนอง ราชบุรี ลำปาง เลย ศรีสะเกษ สตูล สุโขทัข หนองบัวลำภู อำนาจเจริญ อุดรธานี อุตรดิตถ์ และอุทัยธานี

ข้อ 17 ให้กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นเงินวันละ 345 บาท ในท้องที่จังหวัดตรัง น่าน พะเยา และแพร่ ข้อ 18 ให้กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นเงินวันละ 337 บาท ในท้องที่จังหวัดนราธิวาส ปัตตานี และยะลา

ข้อ 19 เพื่อประโยชน์ตามข้อ 2 ถึงข้อ 18 คำว่า “วัน” หมายถึง เวลาทำงานปกติของลูกจ้าง

ซึ่งไม่เกินชั่วโมงทำงานดังต่อไปนี้ แม้นายจ้างจะให้ลูกจ้างทำงานน้อยกว่าเวลาทำงานปกติเพียงใดก็ตาม (1) เจ็ดชั่วโมง สำหรับงานที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพและความปลอดภัยของลูกจ้าง ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2541) ออกตามความในพ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานพ.ศ. 2541 ส่วน (2) แปดชั่วโมง สำหรับงานอื่นซึ่งไม่ใช่งานตาม (1) ข้อ 20 ห้ามมิให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างเป็นเงินแก่ลูกจ้างน้อยกว่าค่าจ้างชั้นต่ำ

ทั้งนี้ ประกาศคณะกรรมการค่าจ้างฉบับนี้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค 2568 เป็นต้นไป

Advertisement

“เที่ยวไทยคนละครึ่ง” เริ่มเปิดจอง 1 ก.ค. เที่ยวจริง 4 ก.ค.

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 30 มิถุนายน 2568 เชิญชวนคนไทยใช้สิทธิ์ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” เริ่มเปิดจอง 1 ก.ค. เที่ยวจริง 4 ก.ค. รัฐสนับสนุนสูงสุด 3,000/คืน

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลโดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เดินหน้าโครงการ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและสนับสนุนผู้ประกอบการไทย ล่าสุด มีผู้ประกอบการท่องเที่ยวยื่นคำขอลงทะเบียนผ่านระบบ https://partner.tat.or.th แล้วกว่า 34,005 ราย และมีผู้ผ่านการตรวจสอบและลงทะเบียนสำเร็จแล้วถึง 6,400 ราย ส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างการตรวจสอบคุณสมบัติอย่างเข้มงวด เพื่อให้โครงการเกิดประโยชน์สูงสุดและป้องกันการสวมสิทธิ์

ขั้นตอนสำคัญของการลงทะเบียน ผู้ประกอบการต้องกรอกหนังสือยินยอมให้ธนาคารกรุงไทยตรวจสอบข้อมูล เพื่อป้องกันการหลอกลวงและการแฝงตัวของสถานประกอบการที่ไม่มีคุณสมบัติครบถ้วน โดยธนาคารจะใช้เวลาตรวจสอบประมาณ 3 วัน ก่อนส่งข้อมูลให้ ททท. นำไปเผยแพร่บนเว็บไซต์ในวันที่ 30 มิถุนายน 2568 จากนั้นประชาชนจะสามารถจองสิทธิ์ได้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 และเริ่มเดินทางท่องเที่ยวจริงได้ในวันที่ 4 กรกฎาคมนี้

สำหรับสิทธิประโยชน์ของโครงการ รัฐบาลจัดสรรสิทธิ์รวม 500,000 สิทธิ โดยประชาชน 1 คน สามารถใช้สิทธิ์สูงสุด 5 สิทธิ แบ่งเป็น เมืองหลัก 3 สิทธิ เมืองรอง 2 สิทธิ โดยมีวงเงินค่าที่พักสูงสุด 3,000 บาทต่อคืนต่อห้อง แบ่งตามวันเดินทาง ดังนี้

วันธรรมดา (จันทร์-ศุกร์) รัฐบาลสนับสนุน 50% ของค่าที่พัก (ไม่เกิน 3,000 บาทต่อคืน) และวันหยุด (เสาร์-อาทิตย์ และนักขัตฤกษ์) รัฐบาลสนับสนุน 40% ของค่าที่พัก (ไม่เกิน 3,000 บาทต่อคืน)

นอกจากนี้ ยังมีคูปองมูลค่า 500 บาทต่อ 1 สิทธิ เพื่อใช้จ่ายในร้านอาหารหรือร้านค้าต่าง ๆ ที่เข้าร่วมโครงการ

“โครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง ถือเป็นอีกหนึ่งมาตรการสำคัญที่รัฐบาลตั้งใจผลักดัน เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว สร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการในทุกภูมิภาค และช่วยให้คนไทยได้พักผ่อนในราคาคุ้มค่า ขอเชิญชวนประชาชนทุกคนเตรียมตัวจองสิทธิ์ให้พร้อม แล้วออกไปสัมผัสเสน่ห์ของเมืองไทย เติมสีสันให้ชีวิต พร้อมช่วยกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไปด้วยกัน” นางสาวศศิกานต์ กล่าว

Advertisement

 

บสย. อัดฉีด 5,000 ล้าน ค้ำสินเชื่อ “SMEs เปราะบาง-รายย่อย”

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 28 มิถุนายน 2568 เอสเอ็มอีคึกคักหลังรัฐบาลโดย บสย. อัดฉีด 5,000 ล้าน ค้ำสินเชื่อ “SMEs เปราะบาง-รายย่อย” เพิ่มโอกาส เข้าถึงทุน เสริมสภาพคล่องธุรกิจ

นางสาว ศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) จัดสรรวงเงินค้ำประกันเพิ่มเติมภายใต้โครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS11 “บสย. SMEs ยั่งยืน” อีก 5,000 ล้านบาท ภายใต้มาตรการ บสย. พร้อมค้ำกับ 2 ผลิตภัณฑ์ค้ำประกันสินเชื่อใหม่ เพื่อช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง SMEs รายย่อย และผู้ส่งออก ที่ขาดคนค้ำประกันและหลักทรัพย์ค้ำประกัน

สำหรับผลิตภัณฑ์ค้ำประกัน ประกอบด้วย 1.ผลิตภัณฑ์ค้ำประกันภายใต้โครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs Power Trade & Biz วงเงินค้ำประกัน 3,000 ล้านบาท ค้ำประกันต่อราย 500,000 – 10,000,000 บาท ตอบโจทย์กลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า และซัพพลายเชนที่เกี่ยวข้อง และ 2.ผลิตภัณฑ์ค้ำประกันภายใต้โครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs Micro Biz วงเงินค้ำประกัน 2,000 ล้านบาท ค้ำประกันต่อราย 10,000 – 500,000 บาท ตอบโจทย์กลุ่มรายย่อย (Micro SMEs) พ่อค้า แม่ค้า ค้าขายออนไลน์ อาชีพอิสระ ฯลฯ ที่ต้องการเงินทุนหมุนเวียน และขาดหลักทรัพย์ค้ำประกัน ซึ่งเป็น “กลุ่มเปราะบาง” ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ

นางสาวศศิกานต์กล่าวต่อว่า จุดเด่นของ 2 โครงการ คือค่าธรรมเนียมต่ำ 1.5% ต่อปี ฟรี! ค่าธรรมเนียมค้ำประกัน 3 ปีแรก โดยค้ำประกันสูงสุด 7 ปี เป็นมาตรการพิเศษที่มุ่งเน้นการค้ำประกันสินเชื่อ เพื่อช่วยกระตุ้นให้สถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อในรายที่ต้องการสภาพคล่องเพิ่มเติม แต่ขาดหลักทรัพย์ค้ำประกัน ด้วยการจ่ายเคลม (จ่ายค่าประกันชดเชย) ในอัตราสูง

ทั้งนี้ โครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs Power Trade & Biz และ SMEs Micro Biz ภายใต้วงเงินค้ำประกัน 5,000 ล้านบาท คาดว่าจะก่อให้เกิดสินเชื่อในระบบ 5,600 ล้านบาท สามารถช่วย SMEs เข้าถึงสินเชื่อกว่า 21,000 ราย รักษาการจ้างงาน 46,150 ตำแหน่ง และสร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจได้ 20,650 ล้านบาท และข้อดีของโครงการใหม่นี้จะมีส่วนสำคัญที่ทำให้ธนาคารปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและเสริมสภาพคล่อง

สำหรับผู้ประกอบการ SMEs ที่สนใจเข้าร่วมโครงการค้ำประกันสินเชื่อดังกล่าว สามารถเข้ามาตรวจสุขภาพทางการเงิน พร้อมจองคิวขอรับคำปรึกษาที่ LINE OA : @tcgfirst ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย หรือติดต่อที่สำนักงานเขตของ บสย. ทั้ง 11 สาขา สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ บสย. Call Center โทร. 02-890-9999

“รัฐบาลมุ่งมั่นเดินหน้าแก้ปัญหาเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs และกลุ่มเปราะบาง ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนและมีโอกาสขยายธุรกิจอย่างทั่วถึง เพราะเศรษฐกิจฐานราก คือรากฐานสำคัญที่จะสร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างยั่งยืน” นางสาวศศิกานต์ ระบุ

Advertisement

Verified by ExactMetrics