วันที่ 2 พฤษภาคม 2025

“จุรินทร์”เตรียมนำทัพเอกชนลุย 10 ตลาดส่งออกทั่วโลก

People Unity : “จุรินทร์”เตรียมนำทัพเอกชนลุย 10 ตลาดส่งออกทั่วโลก ติวเข้มกระทรวงพาณิชย์หน่วยงานภาคราชการที่เกี่ยวข้องและภาคเอกชน

วันที่ 25 ต.ค.2562 ตั้งแต่เวลา 8.30-10.30 น. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนด้านการพาณิชย์ (กรอ.พาณิชย์) ครั้งที่ 2/2562 วันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม 2562 ณ สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ โดย

นายจุรินทร์ กล่าวว่า วันนี้เป็นการประชุม กรอ.พาณิชย์อีกครั้งหนึ่ง ได้มีการแลกเปลี่ยนความเห็นระหว่างกระทรวงพาณิชย์หน่วยงานภาคราชการที่เกี่ยวข้องและภาคเอกชนประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย และสมาคมผู้ส่งออกสินค้าและอื่นๆวันนี้ประเด็นสำคัญก็คือ การเพิ่มตัวเลขการส่งออก ภายใต้สถานการณ์ที่ได้รับผลกระทบสงครามการค้า Brexit และ เรื่องค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นอย่างต่อเนื่อง สำหรับยุทธศาสตร์เดิมที่กำหนดไว้คือการมุ่งเน้นรักษาตลาดเดิม และขยายเพิ่มเติมตลาดใหม่รวมทั้งฟื้นตลาดเก่าที่เคยมีอยู่แต่สูญเสียไปได้เน้นย้ำเพิ่มเติมลึกลงไปในรายละเอียดของยุทธศาสตร์ในทางปฏิบัติที่จะมุ่งเน้น 5-6 ประเด็นใหญ่

ประเด็นแรกจะคงเดินหน้าการสร้างไทยแบรนด์เพื่อให้มีความเข้มแข็งในตลาดโลกต่อไป อันที่สอง คือ มุ่งเน้นการส่งเสริมภาคบริการใหม่นอกจากที่เคยทำมา เช่น ค้าปลีก โลจิสติกส์และเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ กีฬา การก่อสร้างตกแต่ง โรงแรมอีคอมเมิร์ซเพิ่มเติม เป็นต้น อันที่สาม คือมุ่งเน้นกระชับการสร้างพันธมิตรเครือข่ายกับสภาธุรกิจเอกชนระหว่างประเทศในภูมิภาคต่างๆถือว่าเป็นเรื่องที่จำเป็นและส่งผลให้ตัวเลขการส่งออกเป็นรูปธรรมได้ชัดเจนโดยเร็วขึ้น และสี่ คือ การเน้นสนับสนุนให้เอสเอ็มอีสามารถที่จะส่งออกได้มากขึ้นผ่านช่องทางต่างๆ อันที่ห้า มุ่งเน้น ให้ทูตพาณิชย์หาลู่ทางเจาะเป็นตลาดในประเทศใหญ่ๆ รายมณฑลเพิ่มตัวเลขการส่งออกแผนการเจาะตลาดประเทศ

นายจุรินทร์ กล่าวว่า ได้ข้อสรุปร่วมกันว่าอย่างน้อยในช่วงระยะเวลาถ้าจากนี้ไปจะบุกตลาดไปด้วยกันทั้งภาครัฐและเอกชนใน 10 ตลาดใหญ่ที่เห็นว่ามีศักยภาพ ประกอบด้วยตลาด จีน อินเดีย ตุรกี เยอรมัน ศรีลังกา บังคลาเทศ ตะวันออกกลาง แอฟริกาใต้ อังกฤษ ยุโรป เป็นต้น และสิ่งที่ที่ประชุมนี้มีความเห็นให้ฝ่ายเลขาฯไปทำการบ้านเพิ่มเติมเพื่อการประชุมเที่ยวหน้าคือหนึ่งการทำให้ภูมิภาคอาเซียนการค้าชายแดนของไทยสามารถใช้โลโก้ข้าวอินทรีย์ได้มากขึ้น และจัดทำแผนสนับสนุนเอสเอ็มอีกับสตาร์ทอัพให้เพิ่มตัวเลขการส่งออกในตลาดสำคัญสำคัญต่างๆทั่วโลกได้มากขึ้นกับสามให้ทูตพาณิชย์ไปศึกษากฎเกณฑ์กติกาต่างๆของประเทศสำคัญสำคัญที่ช่วยให้การส่งออกของไทย สามารถได้รับสิทธิพิเศษหรืออัตราภาษีต่ำตามกฎเกณฑ์ที่มีอยู่แล้วเพื่อให้ส่งออกไปในราคาที่แข่งขันกับคู่แข่งได้

“ประภัตร”เปิดด่านการค้าโค-กระบือ ที่ชายแดนไทย-เมียนมา อ.แม่สอด​ จ.ตาก

People Unity : “ประภัตร”เปิดด่านการค้าโค-กระบือ ที่ชายแดนไทย-เมียนมา อ.แม่สอด​ จ.ตาก พร้อมลงนามความร่วมมือระหว่างกลุ่มผู้ประกอบการในพื้นที่กับหน่วยงานภาครัฐ

วันที่ 24 ต.ค.2562 นายประภัตร โพธสุธน  รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานเปิดด่านการค้าโค-กระบือ  ที่บริเวณท่า 23 (ท่าลุงคำ) ริมแม่น้ำเมย บ้านวังแก้ว(ห้วยกะโหลก หมู่ 4 ต.แม่ปะ อ.แม่สอด จ.ตาก โดยมี นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดตาก​ นายชัยวุฒิ บรรณวัตร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดตาก เขต 2 พรรคประชาธิปัตย์  นายภาคภูมิ บูลย์ประมุข  สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดตาก เขต 3  พรรคพลังประชารัฐ​ นายชัยพฤกติ์ เชียรธานรักษ์ นายอำเภอแม่สอด​ ดร.เทอดเกียรติ​ ชินสรนันท์ นายกเทศมนตรีนครแม่สอด​ ​และเกษตรกรผู้เลี้ยงโค กระบือ จำนวนกว่า 300 คน ให้การต้อนรับ

ในโอาสนี้ นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดตาก  กล่าวรายงานสรุปเกี่ยวกับสถานการณ์การค้าโค-กระบือ จากนั้นรมช.เกษตรได้ตรวจเยี่ยมคอกสัตว์ และพบปะเกษตรกรผู้เลี้ยง กลุ่มผู้ค้าขาย โค-กระบือ และผู้เลี้ยงโคขุน หลังจากนั้นได้มีการประชุมเจ้าหน้าที่ผู้ปฎิบัติงาน ที่ด่านกักกันสัตว์ตาก(แม่สอด) คอกกักบ้านวังแก้ว
นายประภัตร กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ จีนเข้ามาตีตลาด โค กระบืออย่างหนัก และยังกดราคา  ทำให้เมื่อ 2-3 เดือน​ เราจำเป็นต้องปิดด่าน เพื่อให้ตลาดขาดและมีความต้องการมากขึ้น

วันนึ้จึงมาทำให้เปิดด่านการค้าโค-กระบือ ที่ชายแดนไทย-เมียนมา และเพิ่มราคาระหว่าง กก.ละ   99 -​100  บาท และกลับส่งไปขายจีน กก.ละ 105-110 บาท​ (ซึ่งคิดนน.ตัวโค ระหว่าง 320-400 กก.) ส่วนขนาด นน.ตัวที่เล็กก็ราคาลดน้อยลง กก.ละ  95 บาท เพื่อนำไปขุนต่อ  โดยมีตลาดกลางซื้อขาย และมีการประกันราคาด้วย  ทั้งนี้แต่ละครอบครัวจะได้รับโค- กระบือรายละ 5 ตัวต่อครอบครัวและสามารถนำมาเป็นหลักประกัน ในการกู้ได้จากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรได้อีกด้วย นอกจากนี้ภายในงานกลุ่มผู้ประกอบการในพื้นที่ได้ลงนาม MOU ให้ความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐในการดำเนินโครงการฯ เป็นอย่างดี

“จุรินทร์”โชว์ศก.ไทยสร้างสรรค์ เวทีPIMผู้แทนจากม.ชั้นนำทั่วโลก

People Unity : “จุรินทร์” เป็นประธานเปิดงานสัมนา PIM Annual Conference 2019 on Creative Economy เชื่อมั่นเศรษฐกิจสร้างสรรค์จะขยายตัวต่อเนื่องในตลาดโลก พร้อมการแข่งขันที่รุนแรงและไทยคือผู้เล่นสำคัญ

วันที่ 24 ตุลาคม 2562 เวลา 9.00 น. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานเปิดงานสัมนา PIM Annual Conference 2019 on Creative Economy โดยหัวข้อสัมมนาเรื่องเศรษฐกิจสร้างสรรค์นี้มีผู้เข้าร่วมงานสัมมนาจากมหาวิทยาลัยชั้นนําจากทั่วโลก ตั้งแต่วันที่ 23 ถึง 25 ตุลาคม 2562 โดยนายจุรินทร์กล่าวเปิดในเวลา 9.00 น. วันนี้ ที่โรงแรมเพนนินซูล่า

นายจุรินทร์ กล่าวว่า เศรษฐกิจสร้างสรรค์เป็นสาขาเศรษฐกิจที่มีส่วนในการสร้างเสริมการพัฒนาและความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจในระยะยาว หลอมรวมความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม และเทคโนโลยี เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มที่สูงขึ้นของสินค้าและบริการ ยกระดับค่าจ้าง พัฒนาทักษะแรงงาน เพิ่มเวลาว่างสำหรับพักผ่อน และที่สำคัญที่สุดคือ การขยายตัวและความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ และการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้ เนื่องจากจินตนาการและนวัตกรรมเป็นสิ่งเสริมสร้างเอกลักษณ์และความแปลกใหม่ให้กับสินค้าและบริการ

ในขณะที่เทคโนโลยีช่วยส่งเสริมการเข้าถึงองค์ความรู้ การมีส่วนร่วมทางสังคม และวัฒนธรรม นอกจากนี้ เนื่องจากคนส่วนใหญ่ในเศรษฐกิจสร้างสรรค์เป็นวิสาหกิจขนาดกลางและย่อม การส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์จึงมีส่วนช่วยในการสร้างโอกาสทางธุรกิจอย่างมากมายให้กับ SMEs ได้อย่างอัตโนมัติ แนวโน้มนี้เป็นที่รับรู้กันทั่วโลก ดังจะเห็นได้จากการที่ประเทศสำคัญหลายประเทศได้ประกาศตนเองว่าจะเป็นศูนย์กลางของเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของโลก

และจากรายงานล่าสุดของ UNCTAD ขนาดตลาดสินค้าเชิงสร้างสรรค์ของโลกขยายตัวขึ้นกว่าเท่าตัว จาก 2.08 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ในปี ค.ศ. 2002 เป็น 5.09 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2015 ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีที่สูงกว่าร้อยละ 7 ถึงแม้ว่าโลกจะประสบกับวิกฤติเศรษฐกิจหลายครั้งในช่วงเวลาดังกล่าว

นอกจากนี้ ในขณะที่ทวีปยุโรปเป็นผู้ส่งออกสินค้าเชิงสร้างสรรค์ที่ใหญ่ที่สุด แต่กลุ่มประเทศในเอเชียกำลังมีส่วนแบ่งการตลาดที่เพิ่มขึ้นโดยแค่จีนประเทศเดียวก็มีอัตราการขยายตัวของการส่งออกสินค้าและบริการเชิงสร้างสรรค์สูงถึงร้อยละ 14 ระหว่างปี พ.ศ. 2002 ถึง 2015 ปรากฏการณ์นี้เครื่องบ่งชี้ที่ชัดเจนว่ากลจักรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของโลกตั้งอยู่ที่เอเชีย

นายจุรินทร์ กล่าวด้วยว่า ประเทศไทยเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่โดดเด่นในตลาดเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของโลก ด้วยมูลค่าถึง 6.1 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณเกือบสองแสนล้านบาท มูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์เชิงสร้างสรรค์ของไทยสูงเป็นอันดับที่ 8 ของโลก เมื่อเทียบกับประเทศกำลังพัฒนาด้วยกัน และเป็นอันดับที่ 17 เมื่อเทียบกับทุกประเทศในโลก และได้ขยายตัวด้วยอัตราที่ก้าวกระโดดที่ร้อยละ 6.6 ต่อปี ระหว่างปี 2005 และ 2014 และเศรษฐกิจสร้างสรรค์มีสัดส่วนถึงร้อยละ 10-12 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของไทย ที่สำคัญไปกว่านั้น ประเทศไทยของเราเป็นที่รู้จักดีในเวทีโลกถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรม

ดังนั้น เศรษฐกิจสร้างสรรค์จึงถือเป็นสาขาเศรษฐกิจที่มีศักยภาพสำหรับประเทศเป็นอย่างยิ่ง และในการส่งเสริมการขยายตัวของเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ประเทศไทยจึงใช้ประโยชน์จากภูมิปัญญาและมรดกทางวัฒนธรรมของชาติ อาทิ อาหารไทย และหัตถกรรมไทย รวมทั้ง งานศิลปะ สื่อสร้างสรรค์ และงานออกแบบ ที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วในประเทศ โดยสำหรับไทย สินค้าส่งออกเชิงสร้างสรรค์ที่สำคัญ ได้แก่ อัญมณีและเครื่องประดับ ผลิตภัณฑ์ตกแต่งภายใน และสินค้าแฟชั่น เป็นต้น

“ผมมีความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจสร้างสรรค์จะยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่องในตลาดโลกที่มีการแข่งขันกันอย่างรุนแรง ที่การทำให้สินค้าและบริการมีความแปลกใหม่และโดดเด่น ได้กลายเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการอยู่รอดและขยายตัวของธุรกิจ” นายจุรินทร์ กล่าว

“สนธิรัตน์”พบชาวเเม่เเจ่ม ลุยโรงงานไฟฟ้าชุมชน

People Unity : “สนธิรัตน์”พบชาวเเม่เเจ่ม ลุยโรงงานไฟฟ้าชุมชน สร้างรายได้ประหยัดพลังงาน สั่งคน”พปชร.”เกาะติดพื้นที่

วันที่ 23 ต.ค.2562 นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงานเเละเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ได้ลงพื้นที่อ.เเม่เเจ่ม จ.เชียงใหม่ พร้อมด้วยนายสุรพร ดนัยตั้งตระกูล กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน,นายอนุรุทธิ์ นาคาศัย เลขานุการรมว.พลังงาน,นายวัชระ กรรณิการ์ โฆษกกระทรวงพลังงาน พร้อมคณะผู้บริหารกระทรวงพลังงาน,รองผู้ว่าฯจ.เชียงใหม่ (นายคมสัน สุวรรณอัมพา),นายนรพล ตันติมนตรี ข้าราชการประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เเละอดีตส.ส.เชียงใหม่ เพื่อรับฟังปัญหาประชาชนเเละเพื่อสำรวจศักยภาพความพร้อมการสร้างวิสาหกิจชุมชนรวมทั้งโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก โดยมีประชาขนให้การต้อนรับกว่า 800 คน

นายสนธิรัตน์กล่าวว่า ตนมาติดตามเเละรับฟังประชาชนเรื่องโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนที่จะช่วยประชาชนให้มีรายได้เพิ่มจากวัตถุดิบทางการเกษตรที่เหลือใช้เเละสร้างความเข้มเเข็งด้านพลังงานไฟฟ้าให้ชุมชนเเละประเทศ

นายสนธิรัตน์กล่าวว่า ตนยังได้พบอดีตผู้สมัครส.ส.พรรคพลังประชารัฐในจ.เชียงใหม่ เช่น นายนรพล โดยตนย้ำไปว่าขอเป็นกำลังใจให้เเม้จะไม่ได้รับการเลือกตั้งเเละขอบคุณที่ยังช่วยงานพรรคในพื้นที่โดยสะท้อนปัญหาต่างๆที่รับฟังจากประชาชนเเละส่งมาให้พรรคนำไปหาเเนวทางช่วยประชาชน ตรงนี้เป็นสิ่งที่ดีเเละตนจะกำชับส.ส.รวมทั้งอดีตผู้สมัครส.ส.รวมทั้งสมาชิกพรรคในทุกพื้นที่ว่าภารจกิจของพรรคคือดูเเลประชาขน ต้องอาสาช่วยสังคม เมื่อรับฟังสิ่งที่ประชาชนต้องการเเล้วให้เเจ้งมาที่พรรคหรือตนก็ได้ จะได้เร่งเเก้ไข

นายสนธิรัตน์กล่าวว่า หากส.ส.เเละผู้สมัครส.ส.ไม่ทิ้งประชาขน เเละยังติดตามภารกิจในพื้นที่ เชื่อว่าในครั้งหน้าประชาชนจะพิจารณาคนของพรรคพลังประชารัฐให้ไปทำหน้าที่ตัวเเทนประชาชนเพิ่มขึ้น ตรงนี้รวมทั้งการเมืองระดับท้องถิ่นด้วยเเม้จะยังไม่ทราบช่วงเวลาที่เเน่นอนว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใด เเต่สมาชิกพรรคที่สนใจทำงานการเมืองในระดับนี้ต้องทำงานต่อเนื่อง โดยพรรคจะเลือกคนที่ประชาชนในพื้นที่ต้องการลงสมัครเลือกตั้งท้องถิ่นเป็นตัวเเทนพรรคไปทำงานในพื้นที่นั้นๆเพื่อสานงานของพรรคเเละรัฐบาลในการพัฒนาประเทศต่อไป

นายสนธิรัตน์กล่าวว่า ส่วนตัวนั้นเชื่อว่าความเคลื่อนไหวทางการเมืองจากนี้ไปนั้นจะเดินหน้าในทางที่ดี เพราะตอนนี้สภาผู้เเทนราษฎรกำลังเตรียมพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี2563 วงเงิน3.2ล้านล้านบาทในชั้นกมธ.วิสามัญ ตรงนี้มีความสำคัญกับการพัฒนาประเทศ เพราะโครงการต่างๆที่รัฐบาลจะดำเนินการต้องอาศัยร่างกฎหมายฉบับนี้ ตนเชื่อว่ากมธ.วิสามัญจะพิจารณาความจำเป็นของร่างกฎหมายฉบับนี้อย่างรอบคอบเเละไม่ชิงไหวชิงพริบเล่นการเมืองในเวทีนี้

“ประภัตร”แนะเร่งขึ้นทะเบียนปุ๋ยอินทรีย์ สารชีวภาพกำจัดศัตรูพืชสูตรโครงการหลวง

People Unity : “ประภัตร” ออกโรงหาสารทางเลือกทดแทน 3 สารพิษเกษตรให้ชาวไร่ชาวนา แนะหน่วยงานเร่งขึ้นทะเบียนปุ๋ยอินทรีย์ สารชีวภาพกำจัดศัตรูพืชสูตรโครงการหลวง และสูตรภูมิปัญญาชาวบ้าน ให้จบรู้ผลใน3-7วันนี้ ลั่นไม่กระทบต้นทุนทำเกษตร

เมื่อวันที่ 23 ต.ค.2562 นายประภัตร โพธสุธน รมช.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงกรณีการแบน 3 สารเคมี คลอร์ไพรีฟอส พาราควอต ไกลโฟเซต ยกระดับเป็นวัตถุอันตรายประเภท 4 โดยห้าม จำหน่าย ผลิต ครอบครอง นำเข้า ส่งออก ให้มีผลวันที่ 1 ธ.ค.นี้ทันทีว่าคนไทยส่วนใหญ่เห็นว่าสาร 3 ตัวมีอันตรายต่อร่างกาย ตนเห็นด้วยที่ยุติการใช้สารเคมี โดยกระทรวงเกษตรฯทุกคนเห็นด้วยเราสนับสนุนการแบนสารครั้งนี้ กระทรวงเกษตรฯจะร่วมมือกับทุกฝ่ายแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรเพราะต้องยอมรับว่าเกษตรกรบางส่วน ยังเคยชินกับการใช้สารเคมี ดังนั้นการปรับเปลี่ยนให้มาใช้สารทางเลือกในการทำเกษตรปลอดภัย จะต้องทำให้เกษตรกรเกิดความเชื่อถือในสารชีวภัณฑ์ตัวใหม่ ที่เป็นอินทรีย์ มาทดแทน โดยจะไม่ทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้นไม่ให้เป็นภาระกับชาวไร่ชาวนา

“ชาวไร่ ชาวนา บางส่วนยังติดการใช้สารเคมี เพราะเคยใช้อะไร ที่หาง่าย ฉีดแล้วหญ้า แมลง ตายทันที ถ้ามาใช้ตัวใหม่ศัตรูพืชตายช้าลง ก็ยังอยากใช้ตัวเดิม ซึ่งการแบน3สารในครั้งนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของประเทศ ขอให้ทุกฝ่ายจะต้องมาพูดกันช่วยกัน หันหน้ามาช่วยกัน ทำให้เกษตรกรฐานราก ให้อยู่ได้ เพราะเกษตรกรเป็นฐานใหญ่ของประเทศ ใครมีข้อคิดเห็นดีๆมาเสนอได้ ซึ่งสารทดแทน มีมากหลายอย่าง สิ่งสำคัญต้องทำให้เกษตรกร เชื่อถือ ในผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ที่อาจกำจัดศัตรูพืชได้ช้ากว่า3สาร ซึ่งต้องหาทางเลือก ทางออกทำเกษตรที่มีความปลอดภัยต่อร่างกายมนุษย์และสิ่งแวดล้อม ถึงเวลาที่ทุกภาคส่วนต้องคิดทำสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อคนไทย ไม่ให้แผ่นดินไทย เต็มไปด้วยสารพิษ เป็นที่ทิ้งสารเคมีที่ต่างประเทศ แต่มีเพียงคนกลุ่มเดียวได้ผลประโยชนมหาศาลจากการเอาเปรียบคนไทยมาตลอด ซึ่งจากนี้กรมวิชาการเกษตร ต้องเปิดรับการขึ้นทะเบียน ให้กับสารทดแทน สารชีวภัณฑ์ ที่คิดค้นโดยคนไทย นำภูมิปัญญาชาวบ้าน มาขึ้นทะเบียนสูตรต่างๆไว้ ทั้งปุ๋ยอินทรีย์ สารชีวภาพ วีธีการทำเกษตรปลอดสาร ที่ใช้ทำในโครงการหลวง ของในหลวงรัชกาลที่9 พระองค์ทรงทำต้นแบบไว้มากมายให้คนไทย” นายประภัตร กล่าว

นายประภัตร กล่าวว่ากรมวิชาการเกษตร ต้องเปิดรับการขอจดขึ้นทะเบียน สูตรปุ๋ย ยากำจัดศัตรูพืช ที่เป็นอินทรีย์ ทำในประเทศได้ผลดี ทุกวันนี้ทำใช้กันในชุมชนมีเป็นจำนวนมาก และต้องให้รู้ผลโดยเร็วภายใน3-7วัน เพื่อมาเป็นสารทางเลือกให้กับเกษตรกร รวมทั้งควรเปิดโอกาส ผู้ประกอบการ ผู้คิดค้น ที่มีสารทดแทน ใครมีของดี นำมาเข้าสู่ขั้นตอนทางวิชาการ และกรมวิชาการเกษตร ต้องบอกมาว่าไม่ให้ขึ้นทะเบียนเพราะอะไรใน 3-7วัน หากเครื่องมือตรวจสอบไม่พอ ตนจะขอให้เอกชน มาช่วยเพื่อการทดสอบจะได้รวดเร็วขึ้น เพราะชาวไร่ ชาวนา ต้องมีทางเลือกให้เขาโดยไม่กระทบต้นทุน ซึ่งตนเห็นว่าโครงการหลวง ทั่วประเทศ มีสารอินทรีย์ สูตรกำจัดวัชพืช แมลง ที่เกษตรกรสามารถทำได้เอง ให้หน่วยงานเข้าไปดู นำมาขึ้นทะเบียนโดยเร็วเพื่อให้นำทำเองใช้ได้อย่างแพร่หลาย ทั้งมีความปลอดภัยต่อผู้บริโภคและเกษตรกรอีกด้วย

ท่องเที่ยวฯจับมือคมนาคม เพิ่มศักยภาพโครงข่ายฯ รองรับนักท่องเที่ยวพุ่ง

People Unity : ท่องเที่ยวฯจับมือคมนาคม เพิ่มศักยภาพโครงข่ายฯ รองรับนักท่องเที่ยวพุ่ง ปรับปรุง SlotCoordination เพื่อรองรับเที่ยวบินตรงจากต่างประเทศ

วันที่ 22 ตุลาคม 2562 กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จับมือกระทรวงคมนาคมร่วมประชุมเพื่อเพิ่มขีดความสามารถโครงข่ายคมนาคม ทั้งทางอากาศ ทางบก และทางน้ำ เพื่อรองรับปริมาณนักท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทางอากาศ ได้มีการปรับปรุง SlotCoordination เพื่อรองรับเที่ยวบินตรงจากต่างประเทศ โดยปรับแผนขยายและก่อสร้างสนามบินเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวในอนาคต ทางบกได้มีการปรับปรุงและเชื่อมโยงเส้นทางหลักสู่แหล่งท่องเที่ยว เช่น การจัดทำป้ายเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยวในการเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยว โดยเฉพาะการท่องเที่ยวโดยชุมชน

สำหรับทางน้ำ ได้เน้นเกี่ยวกับการกำหนดมาตรการเพิ่มความปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยว เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่นักท่องเที่ยวโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่นิยมมายังแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลของไทยเป็นจำนวนมาก นอกจากนั้น ยังมีการขอความร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับมาตรการห้ามการนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้าเข้ามาในประเทศ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มภาพลักษณ์ที่ดีสำหรับประเทศไทย ในการเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า เพื่อให้ประเทศไทยสามารถเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ประเทศไทยควรจะต้องเดินหน้าพัฒนาในด้านที่ควรปรับปรุง ได้แก่ ด้านความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพิ่มความเข้มข้นในด้านความปลอดภัย และยกระดับความสะอาดและสุขภาพให้มีความครอบคลุมในทุกสาขาของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทย

พร้อมทั้ง เพิ่มมาตรการในการอำนวยความสะดวกต่อการเดินทาง พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งทางอากาศให้มีประสิทธิภาพและสามารถรองรับต่อการขยายตัวของคนเดินทางทั่วโลก ประกอบกับยกระดับอันดับที่อยู่ในระดับดีเด่นให้สามารถรักษาระดับให้สูงขึ้น เป็นที่น่าสังเกตว่า อันดับที่อยู่ในเกณฑ์ดีที่สุด แต่ปรับอันดับลดลง อาจจะต้องมีมาตรการในการรองรับโจทย์ในข้อดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็น ด้านทรัพยากรธรรมชาติ การแข่งขันด้านราคาและโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งทางอากาศ เพื่อปรับปรุงให้ดีขึ้น ทั้งนี้ อาจจะต้องบูรณาการความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรมกับผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่ายเพื่อการพัฒนาด้านการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนต่อไป และเน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานให้ความสำคัญกับทั้ง 4 ด้านหลัก ตามนโยบาย คือ เรื่องความปลอดภัย ความสะอาด ยั่งยืน และการไม่เอาเปรียบ

นายโชติ ตราชู ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า ขีดความสามารถการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวของไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก ลำดับ 35 ในปี 2558 เป็นลำดับ 34 ในปี 2560 และลำดับที่ 31 ในปี 2562 แต่ประเมินว่าขีดความสามารถฯ ยังสามารถเพิ่มขึ้นได้อีกหากได้รับความร่วมมือจากกระทรวงคมนาคมที่มีภารกิจในการพัฒนาโครงข่ายด้านคมนาคม โดยเฉพาะการเพิ่มศักยภาพโครงข่ายพื้นฐานด้านการขนส่งทางอากาศ หากมีการปรับปรุงคาดว่าศักยภาพโครงข่ายการคมนาคมของไทยจะสูงขึ้นและสามารถรองรับปริมาณนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติได้เป็นจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ประมาณร้อยละ 80 เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยทางอากาศ

ด้าน นายชัยวัฒน์ ทองคำคูณ ปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า กระทรวงคมนาคม ได้พัฒนาระบบการอำนวยความสะดวกใน 3 ทาง ได้แก่ 1. การอำนวยความสะดวกทางอากาศ ซึ่งมีการบริหารจัดการ Slot Coordination และน้ำมันเชื้อเพลิง พร้อมทั้งการก่อสร้างและการขยายสนามบินอื่นๆ เพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางได้สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น 2. การอำนวยความสะดวกทางบก เรื่องการผ่านข้ามแดน (รถบัส) บริเวณด่านประเทศมาเลเซีย , การอำนวยความสะดวกในการผ่านข้ามแดนรถยนต์ และการดำเนินโครงการถนนเลียบชายฝั่งทะเลภาคใต้ และ 3. การอำนวยความสะดวกทางน้ำ เน้นย้ำด้านการรักษาความปลอดภัยทางน้ำ และการขยายท่าเทียบเรือเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว ทั้งนี้ การพัฒนาด้านการคมนาคมโครงสร้างพื้นฐานและการบริการนี้จะทำให้นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยวได้อย่างสะดวก ปลอดภัย และรวดเร็วมากขึ้น

“ศักดิ์สยาม”สั่งขบ.ใช้ AIทำงาน-สั่งศึกษาติดGPSรถยนต์ส่วนบุคคล

People Unity : “ศักดิ์สยาม” ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายแก่กรมการขนส่งทางบก สั่งขบ.ใช้ AIทำงาน-สั่งศึกษาติด GPSรถยนต์ส่วนบุคคล

วันที่ 21 ต.ค.2562 นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายแก่กรมการขนส่งทางบก พร้อมด้วย นายวิรัช พิมพะนิตย์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายสุชาติ โชคชัยวัฒนากร กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นางสุขสมรวย วันทนียกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายชัยวัฒน์ ทองคำคูณ ปลัดกระทรวงคมนาคม และนางสาวกอบกุล โมทนา หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม โดยมี นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก และผู้บริหารกรมการขนส่งทางบก ให้การต้อนรับ ที่กรมการขนส่งทางบก

นายศักดิ์สยาม กล่าวว่า ได้มอบนโยบายการบริหารงาน ให้กับผู้บริหาร ข้าราชการกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) โดยมีนโยบายหลักๆ11 เรื่อง ทั้งนี้ โดยเน้นหนักเรื่องความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน อย่างไรก็ตาม ได้มอบหมายให้กรมการขนส่งทางบกศึกษารายละเอียดเรื่องของการนำเทคโนโลยี (AI) มีปรับใช้เพื่อความสะดวกและแม่นยำมากขึ้น รวมถึงกฎหมายที่มีอยู่แล้ว แต่ยังไม่ได้บังคับใช้อย่างจริงจังหลายเรื่อง ซึ่งทั้งหมดกระทรวงคมนาคมวางเป้าหมายที่จะลดสถิติอุบัติเหตุบนท้องถนนลงให้ได้มากที่สุด

“ประเด็นสำคัญที่ต้องการให้เร่งดำเนินการ คือ การติดตั้งระบบ GPS รถยนต์ส่วนบุคคลและรถจักรยานยนต์จากโรงงาน ซึ่งจะมีการหารือร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม เนื่องจากเป็นหน่วยงานที่กำกับดูแลภาคการผลิตอุตสาหกรรมรถยนต์ตั้งแต่ต้นทาง ภาคเอกชนค่ายรถต่าง ๆ รวมทั้งเปิดรับฟังความคิดเห็นจากภาคประชาชน เนื่องจากการควบคุมจีพีเอสรถทุกคันจะมีการเข้าถึงสิทธิ์ข้อมูลต่าง ๆ ในการเดินทางต้องได้รับความยินยอมจากผู้ใช้รถ และในอนาคตก็จะมีแหล่งข้อมูลการใช้รถขนาดใหญ่ที่กำกับดูแลด้านความปลอดภัย โดยมีกรมการขนส่งทางบกเป็นหน่วยงานที่ monitor ข้อมูลเหล่านี้ ส่วนการปฏิบัติที่จะขับเคลื่อนแนวทางดังกล่าวไปสู่ผู้กระทำนั้น กรมการขนส่งทางบกจะเริ่มทำการศึกษาและคาดว่าน่าจะใช้ระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี เพื่อให้ได้ข้อสรุปกับการนำนโยบายเหล่านี้มาใช้” นายศักดิ์ กล่าว

นายศักดิ์สยาม ยังกล่าวถึงการกระทำผิดกฎหมายจราจรแล้ว จะต้องมีการถูกตัดแต้มนั้น กรณีดังกล่าวมอบให้กรมการขนส่งทางบกเก็บฐานข้อมูลในกรณีของผู้ใช้รถที่มีใบอนุญาตจะมีคะแนน 100 คะแนนเต็ม แต่หากมีการกระทำผิดกฎหมายจราจรก็จะมีการทยอยหักแต้มไปเรื่อย ๆ และเมื่อมีการหักจนครบเพดานขั้นต่ำที่วางไว้จะถูกยึดใบอนุญาตถาวร เช่นเดียวกับรถแต่ละคันหากมีการบันทึกข้อมูลการกระทำผิดซ้ำจะถูกจำหน่ายทะเบียนรถคันนั้นออกจากระบบ ซึ่งทั้งหมดกระทรวงคมนาคมจะนำมาเป็นแนวทางดูแลงานด้านความปลอดภัยและเพิ่มวินัยจราจรให้แก่ผู้ใช้รถใช้ถนน นอกจากนี้ ยังมีประเด็นกำกับดูแลด้านกฎหมายต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการที่จะนำระบบสินบนนำจับมากำกับดูแลงานความปลอดภัยของรถสาธารณะ โดยประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบ หากพบรถของผู้ประกอบการรายใดไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย หรือเงื่อนไขความปลอดภัย สามารถแจ้งดำเนินคดี เช่น กรณีที่ผู้ประกอบการทำผิดและต้องเสียเบี้ยปรับ 50,000 บาท อาจจะหักเงินดังกล่าวเป็นสินบนนำจับ 10% มอบให้แก่ผู้แจ้งเบาะแส ซึ่งเรื่องเหล่านี้ขอให้กรมการขนส่งทางบกไปลองศึกษาข้อมูล เพื่อให้ได้ข้อสรุปภายใน 1 เดือน

ด้าน นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก(ขบ.) กล่าวว่า กรมการขนส่งทางบกพร้อมรับมอบนโยบายเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติโดยกำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวบรวมข้อมูลและจัดทำแผนการดำเนินการอย่างรอบด้านและเร่งดำเนินการติดตามประเมินผลการดำเนินการอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การดำเนินการตามนโยบายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล ประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุด ซึ่งปัจจุบันกรมการขนส่งทางบกมีแผนปฏิบัติราชการกรมการขนส่งทางบก ระยะ 3 ปี (พ.ศ. 2563-2565) ซึ่งสอดคล้องกับแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 แผนการปฏิรูปประเทศ นโยบายรัฐบาล และแผนปฏิบัติการด้านคมนาคม (พ.ศ. 2563-2565) โดยดำเนินการภายใต้กรอบแนวคิด 3S ประกอบด้วย S (Safety & Security) คือ ควบคุม กำกับ ดูแลระบบการขนส่งทางถนนทุกรูปแบบให้มีความปลอดภัยและมั่นคง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้มีความมั่นคงและปลอดภัย S (Sustainability) คือ ควบคุม กำกับ ดูแลระบบการขนส่งทางถนนทุกรูปแบบให้สามารถรองรับผู้ใช้งานได้ทุกกลุ่ม

“จุรินทร์”ยันพาณิชย์หนุน SME ให้ทันสมัยเป็นรากฐานสังคม

People Unity : “จุรินทร์” สั่งจัดรับฟังความเห็นทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบบัญชีเพื่อขยายอำนาจทีเอ ย้ำบริษัท CSR ที่ถูกต้องทำเพื่อสังคมมากกว่าบริษัทอื่น เน้นก.พาณิชย์ส่งเสริมผู้ประกอบการธุรกิจ SME ให้ทันสมัยเป็นรากฐานสังคม

เมื่อเวลา 10.00 น.-11.00 น. วันที่ 20 ตุลาคม 2562 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานเปิดงานการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2562 ของสมาคมผู้สอบบัญชีภาษีอากรแห่งประเทศไทย ณ รร.ริชมอนด์ ถนนรัตนาธิเบศ จ.นนทบุรี

นายจุรินทร์ กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงานที่มีความสำคัญในการพัฒนาและผลักดันเศรษฐกิจการค้าของประเทศ ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการส่งเสริมผู้ประกอบการธุรกิจ SME ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยให้มีความแข็งแกร่งโดยปรับเปลี่ยนจากผู้ประกอบการ SME ดั้งเดิม (Tradition SME)ไปสู่ผู้ประกอบการที่เน้นนวัตกรรมในการดำเนินธุรกิจมากขึ้น (Smart Enterprise ) ตลอดจนส่งเสริมให้ผู้ประกอบธุรกิจเกิดความตระหนัก และมีจรรยาบรรณในการประกอบธุรกิจในการจัดทำบัญชี และการเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้อง รวมถึงลดต้นทุนการประกอบการ และเพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขันผมจึงมุ่งเน้นให้ความสำคัญในการส่งเสริมและเพิ่มศักยภาพธุรกิจ SME ของประเทศไทยให้สอดรับกับยุคดิจิตอลเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้แข็งแกร่ง

การประกอบธุรกิจเพื่อสังคม CSR นั้นต้องแตกต่างจากธุรกิจ ปกติ แต่ต้องทำเพื่อสังคมเข้มข้นเป็นรูปธรรมกว่า เพราะได้รับสิทธิพิเศษมากกว่านิติบุคคลธรรมดาทั่วไป ดังนั้นต้องนำสิทธิพิเศษนั้นไปแลกกับการทำเพื่อสังคม ตอนนี้มีประกาศที่ลงนามไปทั้งหมด 4 ฉบับประกาศในราช 1.ประกาศเรื่องกำกับดูแลกิจการที่ดีลงนามเองเมื่อ 14 กย.2562 2.ประกาศคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม เรื่องกำหนดรายการอื่นเพื่อสังคม 3.ประกาศเรื่องระยะเวลาดำเนินการแระกอบธุรกิจเพื้อสังคม 24 กย2562 4.ประกาศเรื่องเงื่อนไขการนำกำไรไปใช้เพื่อสังคมต้องเป็นไปตามเงื่อนไข พรบ.วิสาหกิจเพื่อสังคม มาตรา 5

นายจุรินทร์ กล่าวว่า เรื่องการจดทะเบียนออนไลน์ สามารถดำเนินการได้แล้ว เรื่องต่อมากรณีบริษัทจำกัดคนเดียวเป็นเรื่องตรากฎหมายอยู่ระหว่างกฤษฎีการอกลับมาครมและเข้่สภาฯต่อไป เช่นกันกับบริษัท 2 คนจำกัดและ 3 คนจำกัด อย่างไรก็ตามประเทศไทยก็ไปทีละขยัก ส่วนเรื่องการขอหนังสือรับรองหรือนำส่งงบการเงินด้วยระบบอิเลคทรอนิคสามารถดำเนินการได้แล้ว 10 ธนาคาร และนำส่งงบการเงินประจำปีทาวอิเลคทรอนิคได้ โดยเมื่อปี 2561 สามารคใช้ได้ถึง ร้อยละ 91 และขณะนี้กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ กำลังพัฒนาเรื่องการยืนยันตัวตนผ่านทางออนไลน์

” ส่วนเรื่องขอเพิ่มอำนาจทีเอ ( Tax Auditor) หรือผู้ตรวจสอบบัญชี ให้สามารถตรวจสอบรับรองบัญชีมากกว่าเดิมนั้นเป็นเรื่องที่ไม่มีนโยบายขณะนี้เพราะมีทั้งบวกและลบแต่สิ่งที่มีนโยบาย คือ ต้องให้ทุกฝ่ายต้องมีความเห็นสอดคล้องกันเสียก่อน ดังนั้นจึงควรจัดเวทีรับฟังความเห็นทุกสมาคม ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องให้ตกผลึกว่าสุดท้ายควรเป็นอย่างไร เมื่อสรุปความเห็นแล้วจึงค่อยดำเนินการ ” นายจุรินทร์ กล่าว

ด้าน ดร.สมบูรณ์ เอื้ออัชฌาสัย นายกสมาคมผู้สอบบัญชีภาษีอากรแห่งประเทศไทยว่า การประชุมใหญ่สามัญสมาชิกในวันนี้ถือเป็นการครบรอบ 12 ปี ของการก่อตั้งสมาคมซึ่งมีสมาชิกจำนวนมากกว่า 1600 ท่าน ประกอบด้วยผู้สอบบัญชีภาษีอากร นักบัญชีผู้ประกอบการ และกลุ่มเครือข่ายพันธมิตรจาก 4 สมาคมซึ่งถือเป็นการรวมตัวกันเพื่อวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมและยกระดับวิชาชีพด้านบัญชี ซึ่งมีทั้งผู้ทำบัญชี ผู้สอบบัญชีรับอนุญาต และผู้สอบบัญชีภาษีอากร เพื่อเป็นเครื่องมือสำคัญที่ร่วมช่วยกันส่งเสริมผู้ประกอบธุรกิจ SME

คลัง”ชิมช้อปใช้”สัญจรโคราช! เข้าครม. 22 ต.ค.ต่อยอดเฟส2

People Unity : คลังเตรียมต่อยอดชิมช้อปใช้เฟส 2 หลังคลังเตรียมเสนอ ครม. 22 ต.ค. หวังสำรวจยอดการจับจ่ายใช้สอยผ่านร้านค้ารายย่อยในโคราช พร้อมกระตุ้นนักท่องเที่ยวจับจ่ายใช้สอยผ่านกระเป๋า 2

วันที่ 19 ต.ค.2562 นายชาญกฤช เดชวิทักษ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี (ปฎิบัติงานกระทรวงการคลัง) เปิดเผยว่า ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์นี้ได้เดินทางลงพื้นที่ที่ตลาดนัดเซฟวัน จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเป็นตลาดนัดกลางคืนใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อสำรวจยอดการจับจ่ายใช้สอยของผู้ได้รับสิทธิ์โครงการชิมช้อปใช้ผ่านร้านค้ารายย่อยในจังหวัดนครราชสีมา พร้อมทั้งรณรงค์ให้ผู้ที่ได้รับสิทธิ์ออกมาจับจ่ายใช้สอย โดยเฉพาะกระเป๋า 2 เพราะสามารถได้รับเงินคืนสูงถึง 15%

พร้อมกันนี้ ยังได้กำชับให้ผู้ประกอบการทุกรายห้ามละเมิดกฎอย่างเด็ดขาด มิฉะนั้นจะถูกปิดแอ๊พถุงเงินทันที และจะถูกขึ้นบัญชีดำ ห้ามเข้าร่วมโครงการต่างๆของรัฐบาลในอนาคต ทั้งนี้เนื่องจากมีประชาชนร้องเรียนเข้ามาว่า ยังมีผู้ประกอบการบางรายที่กล้าฝ่าฝืนคำสั่งของกระทรวงการคลัง ด้วยการเปิดรับแลกสิทธิ์ 1,000 บาท เป็นเงินสดหรือแลกสิทธิ์ข้ามจังหวัด เป็นต้น

สำหรับความคืบหน้าของเฟส 2 นั้น กระทรวงการคลังเตรียมนำเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันที่ 22 ต.ค. หวังดึงประชาชนร่วมโครงการจาก 10 ล้านคน ประมาณ 2-5 ล้านคน การเพิ่มจำนวนร้านค้าด้วยการดึงเครือข่ายลูกค้าของธนาคารออมสินและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ที่มีศักยภาพเข้ามาร่วมอีกราว 1 แสนร้านค้า หลังจากเฟสแรก มีร้านค้าใหม่มาร่วมโครงการเกือบแสนราย รวมทั้งต้องปรับเวลาการลงทะเบียนเป็นกลางวัน และหวังขยายระยะเวลาสิ้นสุดโครงการออกไปเป็นวันที่ 31 ธันวาคม 62 เพราะเป็นช่วงไฮซีซั่นของการท่องเที่ยว เมื่อ ครม.พิจารณาเห็นชอบแล้ว จะเปิดให้ประชาชนลงทะเบียน สิ่งจูงใจในการร่วมลงทะเบียนโครงการชิมช้อปใช้เฟส 2 กระซิบบอกได้เลยว่าน่าสนใจไม่แพ้ชิมช้อปใช้เฟสแรกอย่างแน่นอน

สรุปยอดการใช้จ่ายจนถึงวันที่ 18 ต.ค. 62 มียอดการใช้จ่ายทั้งสิ้น 8,676.8 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดจากกระเป๋า 1 จำนวน 8,537.2 ล้านบาท จากกระเป๋า 2 จำนวน 139.6 ล้านบาท แบ่งเป็นร้านชิม จำนวน 1,241.0 ล้านบาท ร้านช้อป จำนวน 4,847.1 ล้านบาท ร้านใช้ จำนวน 116.4 ล้านบาท และร้านค้าทั่วไป 2,472.3 ล้านบาท

“จุรินทร์”กระชับความสัมพันธ์ไทย-จีน ติดตามการซื้อ-ขายยางพารา

People Unity : “จุรินทร์”กระชับความสัมพันธ์ไทย-จีน หารือความร่วมมือพร้อมติดตามการซื้อ-ขายยางพาราไทย

วันที่ 18 ตุลาคม 2562 เวลา 14.00 น. นายหาน ฉางฟู่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและกิจการชนบทสาธารณรัฐประชาชนจีนและคณะ ได้เข้าพบนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ โดยเบื้องต้นมีการหารือด้านความสัมพันธ์ระหว่างไทยจีนและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้านกลไกความร่วมมือด้านการเกษตรทั้งในระดับทวิภาคีและพหุภาคี การแรกเปลี่ยนผู้เชี่ยวชาญและการอบรมบุคลากรรวมทั้งความร่วมมือด้านการค้าสินค้าเกษตรระหว่างกัน ซึ่งโอกาสนี้หลังจากการคารวะรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์แล้วทางคณะจะได้ไปพบปะแลกเปลี่ยนในเชิงรายละเอียดกับนายเฉลิมชัยศรีอ่อนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรในช่วงเย็นวันที่ 18 ตุลาคม 2562 ต่อไป

นายหาน ฉางฟู่ กล่าวว่า ทางการจีนเน้นว่าการมาเยือนเพื่อกระชับความสัมพันธ์อันเป็นประโยชน์ของทั้งสองประเทศพร้อมทั้งจะช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์และผักดันให้เกิดความร่วมมือที่ดีขึ้นทางด้านการเกษตรระหว่างไทยและจีนให้เกิดผลเป็นรูปธรรมและเป็นประโยชน์ อย่างไรก็ตาม นายหานระบุด้วยว่ากระทรวงเกษตรและกิจการชนบทของจีนมีความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับกระทรวงเกษตรของประเทศต่างไทยภายใต้บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางวิชาการเกษตรไทยจีนซึ่งประชุมร่วมกันมาแล้ว 11 ครั้ง รวมทั้งความร่วมมือด้านอาหารและการเกษตรจีน-อาเซียน และความร่วมมือด้านการเกษตรภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ซึ่งทั้งสองคนไกลนี้ประเทศไทยมีความสำคัญมาก

รายงานข่าวแจ้งว่า นายจุรินทร์ ได้แสดงความขอบคุณและชื่นชมประเทศจีนในการแก้ไขปัญหาความยากจนในประเทศจีนซึ่งประสบความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมโดยเป็นต้นแบบของการแก้ไขปัญหาระดับโลกทั้งนี้ไทยเองก็จะได้เรียนรู้เนื่องจากทางการจีนมีความสำเร็จทั้งวิธีการที่ชัดเจน มีกระบวนการแก้ และผลสำเร็จที่เป็นรูปธรรมซึ่งจะได้มีการนำมาปรับใช้ให้เหมาะกับไทยอย่างไรต่อไป

ในช่วงท้ายของการหารือ นายจุรินทร์ ยังได้ฝากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯของจีน ช่วยติดตามอีกแรงกรณีพันธะสัญญาที่ทางจีนจะซื้อยางพาราจากทางการยางแห่งประเทศไทยเกือบ 200,000 ตัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ได้หารือไประดับหนึ่งแล้วภายใต้ กรอบความร่วมมือ( ตามโครงการ One Belt One Road ) ทั้งนี้เพื่อแก้ไขปัญหาราคายาวพาราตกต่ำในประเทศไทย และต้องการช่วยเกษตรกรชาวสวนยางเร่งด่วน ซึ่งนายหาน ฉางฟู่ ได้รับปากจะนำไปติดตามกับฝ่ายที่เกี่ยวข้องต่อไป

Verified by ExactMetrics