วันที่ 18 มิถุนายน 2025

“ศักดิ์สยาม”ร่วมประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน ครั้งที่ 25 ที่เวียดนาม

People Unity News : “ศักดิ์สยาม”ร่วมประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน ครั้งที่ 25 ที่เวียดนาม ส่งเสริมการเป็นประชาคมอาเซียนอย่างไร้รอยต่อรวมถึงประเทศคู่เจรจา

วันที่ 14 พฤศจิกายน 2562 นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้ทำหน้าที่หัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน ครั้งที่ 25 (ASEAN Transport Ministers Meeting: ATM) ครั้งที่ 25 ในวันที่ 14 และ 15 พฤศจิกายน 2562 ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐเวียดนาม ซึ่งมี นายเหวียน หว่าน เถ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเวียดนาม เป็นประธานการประชุม และดาโต๊ะ อับดุล มูตาหลิบ ยูซอฟ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมและการสื่อสารสารสนเทศบรูไนดารุสซาลาม ทำหน้าที่รองประธาน โดยมีรัฐมนตรีขนส่งของประเทศกัมพูชา อินโดนีเซีย สปป.ลาว มาเลเซีย เมียนมา ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทยและรองเลขาธิการอาเซียน เข้าร่วมการประชุมฯ ในส่วนของคณะผู้แทนไทย ประกอบด้วย นางสาวกอบกุล โมทนา หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม นายธานี แสงรัตน์ เอกอัครราชทูต ณ กรุงฮานอย นายสมชาย สุมนัสขจรกุล รองอธิบดีกรมเจ้าท่า นายปรีดา ยังสุขสถาพร รองผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย เรือเอก รุจน์ สุขปรีดี รองผู้อำนวยการท่าเรือกรุงเทพ นายสุทธิพงษ์ คงพูล รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด ผู้แทนกองการการต่างประเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคม กรมเจ้าท่า กรมการขนส่งทางบก กรมท่าอากาศยาน กรมทางหลวง สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร การท่าเรือแห่งประเทศไทย สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด และกระทรวงการต่างประเทศ เข้าร่วมการประชุมด้วย

ในพิธีเปิดการประชุมซี่งมีนายตริน ดิน ดึง รองนายกรัฐมนตรีเวียดนามเป็นประธาน ได้กล่าวถึงความสำคัญของความร่วมมือของอาเซียนด้านการขนส่ง ทั้งการขนส่งทางอากาศ ทางบก ทางน้ำ และการอำนวยความสะดวกในการขนส่ง เพื่อส่งเสริมการเป็นประชาคมอาเซียนอย่างไร้รอยต่อ (Seamless ASEAN) และเป็นประโยชน์ต่อการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจในภูมิภาคอาเซียน

การประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน ครั้งที่ 25 เป็นการติดตามผลการดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์ ด้านการขนส่งของอาเซียนหรือ Kuala Lumpur Transport Strategic Plan (KLTSP) ปี 2559-2568 ของเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านการขนส่งของอาเซียน คณะกรรมการประสานการขนส่งผ่านแดนของอาเซียน รวมถึงการดำเนินความร่วมมือด้านการขนส่งระหว่างอาเซียนและประเทศคู่เจรจา (จีน ญี่ปุ่นและสาธารณรัฐเกาหลี) เพื่อส่งเสริมการขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและปลอดภัย การขนส่งที่ยั่งยืน และความเชื่อมโยงอย่างไร้รอยต่อระหว่างกันในภูมิภาคอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา พร้อมนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและให้การรับรองและลงนามเอกสาร จำนวน 6 ฉบับ ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่สำคัญของการประชุมในการเร่งรัดและส่งเสริมการดำเนินการของอาเซียนด้านการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ การดำเนินการด้านการขนส่งทางน้ำที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการเชื่อมโยงด้านการบินในภูมิภาคอาเซียนและระหว่างอาเซียนกับภูมิภาคอื่นๆ เพื่อไปสู่เป้าหมายการเป็นตลาดการบินเดียวของอาเซียน (ASEAN Single Market) และตลาดการขนส่งทางทะเลร่วมอาเซียน (ASEAN Single Shipping Market) ดังนี้

เอกสารที่รับรอง จำนวน 4 ฉบับ ประกอบด้วย (1) กรอบการดำเนินการตามกรอบความตกลงอาเซียนว่าด้วยการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ (Implementation Framework of the ASEAN Framework Agreement on Multimodal Transport) (2) ปฏิญญาว่าด้วยการรับรองกรอบการดำเนินการตามกรอบความตกลงอาเซียนว่าด้วยการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ (Declaration on the Adoption of the Implementation Framework of the ASEAN Framework Agreement on Multimodal Transport) (3) แผนยุทธศาสตร์อาเซียนว่าด้วยเรือที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (ASEAN Green Ship Strategy) และ (4) พิธีสาร 1 ว่าด้วยเครื่องช่วยฝึกบิน (Protocol 1 on Flight Simulation Training Devices)

เอกสารที่รับรองและลงนาม จำนวน 2 ฉบับ ประกอบด้วย (1) พิธีสารเพื่ออนุวัติข้อผูกพันชุดที่ 11 ของบริการขนส่งทางอากาศ ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยบริการของอาเซียน (Protocol to Implement the Eleventh Package of Commitments on Air Transport Services under the ASEAN Framework Agreement on Services) และ (2) พิธีสาร 3 ว่าด้วยการขยายสิทธิรับขนการจราจรเสรีภาพที่ 5 ระหว่างภาคีคู่สัญญา (Protocol 3 on the Expansion of Fifth Freedom Traffic Rights between Contracting Parties)

“จุรินทร์”แถลงผลสำเร็จลุยส่งออก ทั้งจีน-อเมริกามูลค่าทะลุ 16,780 ล้าน

People Unity News : “จุรินทร์”แถลงผลสำเร็จภารกิจตลาดต่างประเทศเพื่อส่งออกทั้งจีน-อเมริกา งานเดียวมูลค่าทะลุ 16,780 ล้าน ยันประกันรายได้โอนทุกงวดส่วนยางพาราต้องตรวจสอบ

วันที่ 14 พฤศจิกายน 2562 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับ นายสมเด็จ สุสมบูรณ์ อธิบดีกรมการค้าระหว่างประเทศ แถลงข่าวสรุปภารกิจการเยือนต่างประเทศ โดยนายจุรินทร์ กล่าวว่า สิ่งที่จะมานำเสนอในวันนี้ประกอบด้วย 3 เรื่องใหญ่ๆ คือ ผลการเดินทางเยือนจีน ผลการเดินทางเยือนสหรัฐอเมริกา และ กิจกรรมการผลักดันการส่งออกสินค้าเกษตรที่กระทรวงพาณิชย์จะดำเนินการเร็วๆนี้ โดยสรุปการเยือนจีนเพื่อเข้าร่วมงาน China International Import Expo (CIIE) ที่มีประธานธิบดีสี จิ้น ผิง มาเป็นประธานเปิด โดยมีผู้ประกอบการไทยเข้าร่วม 46 ราย และสามารถขายสินค้าไทยได้รวมมูลค่าถึง 2,000 ล้านบาท และมีโอกาสประชาสัมพันธ์สินค้าไทยผ่านสื่อรายสำคัญๆ เช่น สถานีโทรทัศน์ CCTV, People Daily, Shanghai Daily, Weibo และ Economic Daily และร่วมกับ Bank of China นำผู้ประกอบการเข้าร่วมกิจกรรม Business matching จำนวน 40 ราย

มีการเปิดตัว TOPTHAI Flagship Store บน Tmall Global ของ Alibaba Group เพื่อผลักดันสินค้าแบรนด์ไทย รวมทั้งสินค้าผลไม้ และอาหารไทยเข้าสู่ตลาดจีน ภายใต้ร้าน Thailand Food Country Official Store บน Tmall.com  ตั้งเป้ามีผู้ประกอบการไทยเข้าร่วมไม่น้อยกว่า 100 บริษัท สร้างยอดขายได้ไม่น้อยกว่า 1,200 ล้านบาทใน 3 ปี มีการหารือกับตลาดหลงอู๋ ซึ่งเป็น 1 ใน 3 ตลาดนำเข้า ค้าส่ง ค้าปลีก ผลไม้ที่ใหญ่ที่สุดในเซี่ยงไฮ้ ในการจัดกิจกรรมเปิดตัวโครงการส่งเสริมผลไม้ทั่วจีน 7 แห่งพร้อมกันในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2563 ซึ่งได้รับความมั่นใจว่าโอกาสผลไม้ไทยในตลาดยังมีอีกมาก โดยเฉพาะ ทุเรียน มะพร้าวสด มังคุด ลำไย มะม่วง โดยในปี 2563 มูลค่าการนำเข้าผลไม้รวมจากไทยจะเพิ่มขึ้นถึงประมาณร้อยละ 20 รวมเป็น 9,291 ล้านบาท การหารือซุปเปอร์มาเก็ตเหอม่า เฟรช – Hema Fresh (หรือ Freshhippo) ในเครือของอาลีบาบา ที่มีระบบบริหารจัดการทั้งหมดเป็นระบบดิจิทัล  โดยทาง Hema ยินดีให้ความร่วมมือผลักดันให้สินค้าไทยเข้าไปวางจำหน่ายในซุปเปอร์ฯ ให้มากขึ้น ดันให้ยอดขายสินค้าไทยใน Hema จะเพิ่มขึ้นอย่างน้อยร้อยละ 50 ในปี 2563

นายจุรินทร์ กล่าวว่า สำหรับผลการเยือนสหรัฐอเมริกา ได้ผลักดันภาพยนตร์และบริการไทยในงาน American Film Market (AFM) 2019 ผ่านกิจกรรมเจรจาธุรกิจในงาน AFM ระหว่าง มีผู้ประกอบการไทย เข้าร่วมจำนวน 8 บริษัท เกิดผลเจรจาธุรกิจ รวม 281 ครั้ง เป็นมูลค่าถึง 2,000 ล้านบาท รวมถึงยังได้ขยายตลาดไปยังแพลตฟอร์มใหม่ๆ มากขึ้น ซึ่งยืนยันได้ว่าภาพยนตร์และบริการไทยได้รับความนิยมสูงทั่วโลก มีโอกาสอีกมาในแพล็ตฟอร์มภาพยนตร์ต่างๆ และยังหารือความร่วมมือในการจัดกิจกรรมเรียนรู้วัฒนธรรมไทยกับ  Nickelodeon Animation Studio และ Walt Disney studio และ Animator คนไทยรุ่นใหม่ 8 ราย เพื่อเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์การ์ตูนที่ผสมผสานวัฒนธรรมเอเชีย และหาแนวทางที่จะพัฒนาส่งเสริมคนไทยที่มีศักยภาพให้ได้มีโอกาสมาพัฒนาฝีมือ และสร้างสรรค์งานร่วมกับบริษัทระดับโลก ทั้งนี้ ในปี 2563 หลังจากนี้จะได้มีการจัดกิจกรรมพบปะผู้ผลิตแอนิเมชั่นระดับโลกเพื่อส่งเสริมเวทีการทำงานของคนไทยมากขึ้น

การหารือผู้นำเข้าข้าวและอาหารแปรรูปรายสำคัญของสหรัฐฯ 8 บริษัท (รวมสัดส่วนการนำเข้าจากทั้ง 8 บริษัทคิดเป็นประมาณร้อยละ 30 ของมูลค่านำเข้าข้าวจากไทยทั้งหมด) เพื่อตอกย้ำความร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์ในฐานะพันธมิตรอย่างใกล้ชิด และกระทรวงพาณิชย์ยังมีโครงการแนะนำสินค้าและผู้ประกอบการไทยในงานแสดงสินค้าสำคัญในพื้นที่ อาทิ NPEW (Natural Product Expo West) 3 – 7 มี.ค. 2563 NRA (National Restaurant Association Show) 16 – 19 พ.ค. 2563 เพื่อเพิ่มยอดจำหน่ายข้าวไทยและข้าวหอมมะลิไทยไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 ในช่วงการจัดกิจกรรม และเพิ่มยอดการส่งออกข้าวไทยมาสหรัฐฯ ไม่น้อยกว่าร้อยละ 5

นายจุรินทร์ กล่าวว่า อีกเรื่องคือการเข้าร่วมงาน Thai Night 2019 (8 พ.ย. 2019) โดยมีทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนฯ เสด็จมาเป็นองค์ประธาน ในพิธี มีผู้เข้าร่วมงาน จำนวนกว่า 550 ราย จากประเทศต่างๆ มากกว่า 16 ประเทศ ซึ่งรวมถึงนักแสดงและผู้สร้างภาพยนตร์ชั้นนำ เพื่อเป็นเวทีที่อุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยได้แสดงความสามารถและศักยภาพ รวมทั้งการใช้โลเคชั่นประเทศไทยในอุตสาหกรรมนี้

นอกจากนั้น ยังจะมีกิจกรรมการผลักดันการส่งออกสินค้าเกษตรที่กระทรวงพาณิชย์จะดำเนินการเร็วๆนี้ จัดกิจกรรมจับคู่ธุรกิจสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูป ยางพารา มันสำปะหลัง ข้าว สินค้านวัตกรรมที่ทำจากผลไม้ และผลิตภัณฑ์พลาสติกชีวภาค Bio Plastic ในวันพุธที่ 20 พฤศจิกายน 2562 โดยดึงผู้นำเข้า ผู้ซื้อ และตัวแทนจำหน่ายจากภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก กว่า 130 บริษัท อาทิ ตะวันออกกลาง สหภาพยุโรป อเมริกา แอฟริกา และเอเชีย ร่วมกิจกรรมจับคู่ธุรกิจกับผู้ผลิตและผู้ส่งออกไทยกว่า 200 บริษัท พร้อมตั้งเป้าสร้างมูลค่าการเจรจาซื้อขายได้สูงถึง 2,800 ล้านบาท และยังมีพิธีลงนามความตกลงทางการค้า (MOU) กว่า 8 ฉบับ และการนำผู้นำเข้าต่างประเทศเยี่ยมชมสถานประกอบการที่มีศักยภาพ และการจัดนิทรรศการสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์แปรรูป

ส่วนที่จะทำต่อไปในเวลาอันใกล้นี้ คือ ตนจะนำคณะนักธุรกิจเดินทางเยือนตุรกีและเยอรมัน ระหว่าง 15 – 19 พ.ย. 2562 โดยตั้งเป้าหมายจะไปขายยางพารา ผลิตภัณฑ์อาหาร อื่นๆ จะมีการลงนาม MOU ระหว่างนักธุรกิจไทยและตุรกีในกลุ่มสินค้ายางพาราและผลิตภัณฑ์ข้าว มันสำปะหลัง และซอสปรุงรส และ MOU ระหว่างนักธุรกิจไทยและเยอรมัน และนำผู้ส่งออกไทยที่ผลิตยางที่เกี่ยวข้องกับอุปกรณ์ทางการแพทย์เข้าร่วมแสดงสินค้าในงาน MEDICA 2019 ในระหว่างวันที่ 18-21 พฤศจิกายน 2562 ณ เมืองดึสเซลดอร์ฟ เพื่อผลักดันการส่งออกผลผลิตยางพาราไปยังต่างประเทศอีกด้วย

ยันประกันรายได้โอนทุกงวดส่วนยางพาราต้องตรวจสอบ

นายจุรินทร์ กล่าวถึงความคืบหน้าเกี่ยวกับโครงการประกันรายได้ว่า ขอแจ้งตัวเลขว่าจากการเริ่มดำเนินการตั้งแต่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ความเห็นชอบ ทั้งปาล์ม ข้าว และยางพารา 3 ตัวนี้มาถึงวันนี้มีการโอนเงินส่วนต่างให้กับเกษตรกรแล้วดังนี้ โดยปาล์มน้ำมันโอนเงินให้กับเกษตรกรแล้วจำนวน 295,880 รายคิดเป็นเงิน 3,360 ล้านบาท ส่วนข้าวโอนแล้ว 440,000 รายคิดเป็นเงิน 11,400 ล้านบาท และยางพาราได้มีการโอนไปแล้ว 503,800 ราย คิดเป็นเงิน 2,868 ล้านบาท

นายจุรินทร์ กล่าวว่า สำหรับยางพารานั้นจะปัญหาทางปฏิบัติอยู่บ้าง คือกำหนดวันโอนเงินเข้าบัญชีเกษตรกรตั้งแต่ 1-15 พฤศจิกายน แต่การยางแห่งประเทศไทยต้องไปตรวจสวนยางด้วยว่ายังทำสวนอยู่หรือไม่และผลิตยางชนิดใดยางแผ่น น้ำยางสด หรือยางก้อนถ้วย จึงจะให้ ธ.ก.ส.โอนเงินเข้าบัญชีเกษตรกร เนื่องจากมีบุคลากรจำกัดและต้องใช้เวลาจึงทำให้วันที่ 15 พฤศจิกายน การยางต้องตรวจสวนให้ครบถ้วน ซึ่ง รมว.กระทรวงเกษตรและตนจะให้ดำเนินการให้เร็วที่สุดเพราะเกษตรกรจำนวนมากยังรอเงินส่วนต่างโอนเข้าบัญชีอยู่

อย่างไรก็ตามก็ไม่ได้หมายความว่าหลังวันที่ 1 – 15 จะไม่ได้รับเงินส่วนต่างแต่จะโอนให้ต่อเนื่องจนกว่าจะครบบัญชีเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนไว้ และยางนั้นจะโอน 3 งวดต่อปีทุก 2 เดือน เดือนนี้โอน 1 ถึง 15 พฤศจิกายน 2572 งวดหน้าโอนวันที่ 1 มกรารม 2563 สำหรับ 1 มกราคม 2573 นั้นจะไม่ได้ช้ามากเหมือนงวดแรกเนื่องจากมีการตรวจส่วนครบถ้วนแล้วสามารถโอนเงินได้ทันทีภายในวันเดียวคือวันที่ 1 มกราคมงวดต่อไปก็โอนได้ครบถ้วนภายในวันเดียวกันช่วงการโอนเงินงวดแรกก็ปุบปับเพราะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ตั้งแต่มีประเทศไทยมาที่มีการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกยางจึงมีปัญหาในทางปฏิบัติอยู่บ้าง

ภาครัฐจับมือเอกชนสร้างแอปฯ ส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งชาติ

People Unity News : ภาครัฐจับมือเอกชนกว่า 40 หน่วยงาน ร่วมเปิดโครงการ Digital Tourism Platform เน้นการสร้าง Platform การท่องเที่ยวแห่งชาติ
วันที่ 13 พฤศจิกายน 2562 นายพุทธิพงษ์  ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมงานแถลงข่าวโครงการ “Digital Tourism Platform ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนกว่า 40 หน่วยงาน โดยนายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า ปัจจุบันดิจิทัลมีความสำคัญและเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของคนไทยมากขึ้นเป็นลำดับ โดยเฉพาะกับภาคธุรกิจแล้ว ถือว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะหากไม่มีการปรับตัวรองรับกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นแล้ว ธุรกิจอาจจะดำเนินไปด้วยความยากลำบาก จนอาจถึงขั้นต้องยุติการดำเนินงาน

อย่างไรก็ตาม เป็นที่ทราบกันดีว่าภาวะถดถอยของเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน ได้ส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างมาก แต่ภาคการท่องเที่ยวยังคงเป็นเครื่องจักรสำคัญที่ช่วยประคองภาวะเศรษฐกิจของไทย ไม่ให้ชะลอตัวลงไปมากนัก ดังนั้น หากเราสามารถดึงดูดเม็ดเงินด้านการท่องเที่ยวจากต่างประเทศได้เพิ่มขึ้น เชื่อว่าเศรษฐกิจของประเทศจะยังคงเดินหน้าและเติบโตได้ตามที่คาดการณ์ไว้

“อุตสาหกรรมท่องเที่ยวมีความเกี่ยวข้องกับทุกภาคส่วน หากมีการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชนอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว จะทำให้การท่องเที่ยวขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ กระทรวงฯ เห็นว่า เครื่องมือดิจิทัลจะเป็นแนวทางหนึ่งในการเพิ่มประสิทธิภาพและพัฒนาการท่องเที่ยวให้เติบโตได้อย่างยั่งยืนจึงพร้อมให้การสนับสนุนภาคเอกชนผลักดันโครงการความร่วมมือนี้ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว” นายพุทธิพงษ์ กล่าว

ด้านนายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย    ในฐานะประธานคณะทำงานโครงการ “Digital Tourism Platform” กล่าวว่า โครงการ Digital Tourism Platform เป็นการสร้าง Platform การท่องเที่ยวแห่งชาติ ภายใต้ชื่อ Application TAGTHAi (ทักทาย)        ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนกว่า 40 หน่วยงาน ที่มีการลงนามความร่วมมือกัน โดยดำเนินการผ่านบริษัท ไทย ดิจิทัล แพลตฟอร์ม วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด ทั้งนี้ Platform กลางดังกล่าว จะเป็นการเชื่อมโยงข้อมูลการท่องเที่ยว สินค้าและบริการของผู้ประกอบการในตลอดทั้ง Value Chain ด้านการท่องเที่ยว ยกระดับประสบการณ์การท่องเที่ยวแบบครบวงจร ด้วยการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล    มาเป็นตัวช่วยอำนวยความสะดวกตลอดการเดินทาง

นอกจากนี้ ยังช่วยสนับสนุนผู้ประกอบธุรกิจของประเทศไทยให้มีช่องทางดิจิทัลในการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มนักท่องเที่ยวที่หลากหลายขึ้น ซึ่งโดยรวมแล้ว  จะเกิดประโยชน์ในด้านการกระจายรายได้ และการลดความเหลื่อมล้ำ ซึ่งตอบรับกับยุทธศาสตร์ชาติในด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขันด้วยเช่นกัน

“วีรศักดิ์”ปลุกร้านเสริมสวยรายย่อยคึกคักปลายปี

People Unity News : “วีรศักดิ์”ปลุกร้านเสริมสวยรายย่อยคึกคักปลายปี เปิดตัวโครงการเพิ่มศักยภาพการบริหารธุรกิจเสริมสวยอย่างมืออาชีพ หวังเพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบธุรกิจร้าน เสริมสวยรายย่อย สามารถยืนหยัดในธุรกิจบริการไทยได้อย่างเข้มแข็ง

วันพุธที่ 13 พฤศจิกายน 2562 กระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) และสมาคมวิชาชีพช่างผมไทย เปิดอบรมธุรกิจและบุคคลในวิชาชีพเสริมความงาม ดึงกูรูช่างผมชื่อดังของเมืองไทยร่วมถ่ายทอดประสบการณ์ตรงในการสร้างธุรกิจให้เป็นมืออาชีพ พร้อมการันตีเรียนจบกลับไปพัฒนาธุรกิจบิวตี้ในชุมชน ให้แข่งขันกันเติบโตได้แน่ คาดกิจกรรมดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นธุรกิจบริการเสริมสวยให้กลับมาคึกคักสร้างเม็ดเงินสะพัดได้ในช่วงปลายปี

นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยหลังเป็นประธานเปิดการอบรมหลักสูตรพิเศษ “การบริหารธุรกิจเสริมสวยอย่างมืออาชีพ” ณ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ว่ากิจกรรมครั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อตอบสนองนโยบายการเร่งรัดพัฒนาธุรกิจบริการไทยให้เข้มแข็งเพื่อเป็นกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก โดยในวันนี้ได้จัดการอบรมร่วมกับสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) และสมาคมวิชาชีพช่างผมไทย สำหรับหลักสูตรนี้ได้แบ่งการอบรมเป็น 2 รุ่น รุ่นที่ 1 เป็นเจ้าของธุรกิจเสริมสวยมาที่เปิดกิจการแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปี หรือต้องการขยายสาขา อบรมระหว่างวันที่ 13, 20-21 พฤศจิกายน 2562 และรุ่นที่ 2 สำหรับช่างและนักศึกษาที่กำลังศึกษาหลักสูตรช่างทำผม แต่งหน้า ทำเล็บ และเสริมความงาม อบรมระหว่างวันที่ 13, 27-28 พฤศจิกายน 2562

รมช.พณ. กล่าวเพิ่มเติมว่า กิจกรรมในวันนี้ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญด้านความงาม การบริหารธุรกิจร้านเสริมสวย และช่างทำผมมืออาชีพชื่อดังของเมืองไทย อาทิ ดร.สมศักดิ์ ชลาชล นายกสมาคมวิชาชีพช่างทำผมไทย, คุณไกรวิทย์ พุ่มสุโข ผู้บริหาร Sukho Salon, คุณสมเพชร ศรีชัยโย ผู้อำนวยการสถาบัน Anthony Hair, คุณวรชนาธิป จันทนู รองผู้อำนวยการสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ มาร่วมแบ่งปันประสบการณ์ด้วย นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมเสวนาเรื่องเสริมสวยมืออาชีพ บทเรียนสำหรับประกอบการยุคใหม่, เทรนด์ผมสมัยใหม่ มืออาชีพต้องตามทัน, และเทคนิคการบริหารงานให้ประสบความสำเร็จเคล็ด (ไม่) ลับ สำหรับช่างเสริมสวยมืออาชีพ อีกทั้ง กระทรวงฯยังได้ขอความร่วมมือจากผู้ผลิตสินค้าเกี่ยวกับธุรกิจทำผมชั้นนำเพื่อมาจำหน่ายในราคาพิเศษ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนด้านวัตถุดิบหลักที่ใช้ให้บริการและสร้างรายได้เสริมแก่ธุรกิจที่เข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้

“มากไปกว่านั้น ธุรกิจที่ผ่านการอบรมจะสามารถนำความรู้กลับไปปิดจุดอ่อน (Pain Point) ร้านเสริมสวยของตนเอง ด้วยการใช้เทคนิคด้านการตลาดมาช่วยดึงดูดลูกค้าให้เข้าร้าน การเลือกทำเลทอง ในการลงทุน การครองใจลูกค้าให้กลับมาใช้บริการซ้ำและการซื้อใจพนักงานให้เต็มใจในงานบริการ การปักหมุดร้านให้เป็นที่รู้จักในโลกออนไลน์ การบริหารเงินและการเข้าถึงแหล่งเงินทุน และการปรับภาพลักษณ์ร้านเสริมสวยให้น่ามอง”

“ร้านเสริมสวยเป็นธุรกิจที่อยู่คู่กับสังคมไทยมาอย่างยาวนาน มีเสน่ห์ในการเข้าถึงคนในชุมชนได้ทุกเพศทุกวัย หากพิจารณาให้ดีจะถือว่าเป็นธุรกิจสำคัญที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในท้องถิ่น แม้ธุรกิจนี้จะมีจำนวนมากเพราะเป็นธุรกิจที่ไม่ซับซ้อน งบลงทุนไม่มากส่งผลให้เกิดการแข่งขันสูง แต่ถ้าสามารถพัฒนาตนเองเข้าสู่มาตรฐานวิชาชีพได้ก็จะเป็นสิ่งที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถแยกความแตกต่างระหว่างร้านเสริมสวยทั่วไปกับร้านที่มีความเป็นมืออาชีพได้ ซึ่งแน่นอนลูกค้าจะต้องเลือกเข้าร้านที่มีความน่าเชื่อถือมากกว่า อีกทั้งถ้าธุรกิจสามารถรวมกลุ่มกันภายใต้วิชาชีพเดียวกันได้ ก็จะเพิ่มความสามารถในการพัฒนาวิชาชีพและเพิ่มอำนาจการต่อรองทางธุรกิจได้ ช่วยประหยัดต้นทุนในการบริหารธุรกิจได้อีกทาง” รมช.พณ. กล่าวในท้ายที่สุด

จากข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติในปี 2559 พบว่า มีธุรกิจเสริมสวยที่จัดตั้งในอยู่ในประเทศไทย จำนวน 121,296 ราย และมีมูลค่าทางการตลาดรวมกันทั้งประเทศกว่า 6 หมื่นล้านบาทต่อปี นอกจากนี้ ข้อมูลจากของกรมการจัดหางาน ยังพบว่า อัตราการเติบโตของธุรกิจเสริมสวยในประเทศไทยระหว่างปี 2558-2562 อยู่ที่ร้อยละ 3.4

“จุรินทร์”เคาะประกันรายได้มันสำปะหลัง กก.ละ 2.50 บาท

People Unity News : “จุรินทร์” นำกรรมการนโยบายมันสำปะหลังเคาะ “1 ธันวาคม ” จ่ายส่วนต่างประกันรายได้มันสำปะหลัง กก.ละ 2.50บาท ครัวละไม่เกิน100ตัน อนุมัติวันนี้ และพรุ่งนี้นำเข้าครม.ด่วน

วันที่ 11 พฤศจิกายน 2562 เวลา 10.30 น. -13.20 น. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการมันสำปะหลัง ที่ศาลากลางจังหวัดกาญจนบุรี ภายหลังหลังการประชุม นายจุรินทร์สรุปแถลงว่า ที่ประชุมอนุมัติโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังปี 2562/2563 วงเงิน 9,671 ล้านบาท โดยจะประกันรายได้ผลผลิตหัวมันสำปะหลังสด เชื้อแป้ง 25% ในพื้นที่เพาะปลูกมันสำปะหลังทั่วประเทศ กก.ละ 2.50 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 100 ตัน

โดยเกษตรกรที่สามารถเข้าร่วมโครงการต้องขึ้นทะเบียนผู้ปลูกมันสำปะหลังกับกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2561 – 30 พฤศจิกายน 2562 ที่มีจำนวนประมาณ 540,000 ราย และจะเปิดโอกาสให้เกษตรกรขึ้นทะเบียนได้ต่อเนื่อง โดยเกษตรกรสามารถใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันที่เก็บเกี่ยวเป็นต้นไป และโดยรัฐบาลจะโอนเงินงวดแรกในวันที่ 1 ธันวาคม 2562 สำหรับเกษตรกรที่ได้รับสิทธิที่เก็บเกี่ยวตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 62 – 30 พฤศจิกายน 2562 (ประมาณร้อยละ 20 ของเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียน) และจะโอนเงินทุกวันทำการแรกของเดือนให้กับเกษตรกรที่เหลือ ที่เก็บเกี่ยวตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม ถึง 31 เม ย 63 (ประมาณร้อยละ 80) และจะโอนเงินครั้งสุดท้ายวันที่ 1 พค 63 รวมทั้งมีการเก็บเกษตรกรที่ตกหล่นจนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 63

โดยเกษตรกรหนึ่งรายสามารถใช้สิทธิได้เพียงครั้งเดียว และเกษตรกรที่เก็บเกี่ยวหลังจากนั้น สามารถขึ้นทะเบียนใหม่สำหรับโครงการระยะที่ 2 และธกส จะโอนเงินชดเชยส่วนต่างเข้าบัญชีเกษตรกรโดยตรง ตามช่วงระยะเวลาที่กำหนดภายใน 3 วัน นับตั้งแต่วันที่ประกาศราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงในแต่ละรอบ ทั้งนี้ เพื่อเป็นการลดภาระในการเข้าร่วม โครงการฯ เกษตรกรไม่ต้องทำสัญญาประกันรายได้กับ ธ.ก.ส. โดยภายใต้โครงการนี้ รัฐบาลจะจ่ายเงินทุกวันที่หนึ่งของเดือน จำนวน 12 ครั้งต่อปี

นายจุรินทร์ กล่าวว่า ที่ประชุมยังเห็นชอบมาตรการคู่ขนานเพื่อรักษาเสถียรภาพราคามันสำปะหลัง ในการสร้างมาตรฐานของมันสำปะหลังและเข้มงวดการกำกับดูแลการนำเข้าและส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังให้เป็นไปตามมาตรฐานอย่างเคร่งครัด รวมทั้งสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำให้แก่ผู้ประกอบการลานมัน โรงแป้ง รายละไม่เกิน 350,000 บาท นำไปใช้ เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการจัดหาเครื่องร่อนดิน และสนับสนุนสินเชื่อแก่สถาบันเกษตรกรที่มีการประกอบธุรกิจเกี่ยวกับมันสำปะหลัง นำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการรวบรวมหรือรับซื้อหัวมันสำปะหลังสด มันสำปะหลังเส้น เพื่อจำหน่ายต่อ และหรือแปรรูปเพื่อ สร้างมูลค่าเพิ่มผลิตภัณฑ์

และที่ประชุมเรับทราบกับแนวทางการขยายตลาดมันสำปะหลังต่างประเทศ ตามกลยุทธ์รักษาตลาดเดิม ฟื้นฟูตลาดเก่า และขยายไปยังตลาดใหม่ การรักษาตลาดเดิม ได้แก่จีน โดยการเร่งรัดการจัดกิจกรรมในมณฑลสำคัญ เพื่อเพิ่มยอดส่งออก และการขยายตลาดใหม่ใน ตุรกี นิวซีแลนด์ เกาหลีใต้ และอินเดีย และฟื้นฟูตลาดเก่า คือ EU โดยการเจรจากับสหภาพยุโรปให้เพิ่มการจัดสรรปริมาณโควตาภาษีสินค้าแป้งดิบ จากปัจจุบันไม่เกินปีละ 10,000 ตัน ให้ไทยได้รับโควตาสินค้าแป้งมันสำปะหลังในปริมาณเป้าหมายที่ 20000 ตัน ซึ่งน่าจะเจรจาเสร็จสิ้นกลางปีหน้า

“และยังให้จัดตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจในการศึกษาแนวทางการจัดการกับโรคใบด่าง ให้มีประสิทธิภาพ และรวดเร็ว ให้ กระทรวงเกษตรรับไปดำเนินการ ภายใน 1 สัปดาห์ และการกำจัดโรคใบด่างทั้งในที่ดินที่มีและไม่มีเอกสารสิทธิ์ด้วย ” นายจุรินทร์ กล่าว

รายงานข่าวกรมการค้าภายในแจ้งด้วยว่า ที่ประชุมยัง มีมาตรการอื่นเพิ่มเติม เช่น เห็นชอบที่จะส่งเสริมการใช้เอทานอลให้เป็นไปตามแผนพลังงานทดแทนฯ ที่กำหนดการใช้เป็น 11.3 ล้านลิตร ต่อวัน ในปี 2579 (ปัจจุบันมีการใช้อยู่ที่ 4.5 ล้านลิตรต่อวัน) และแก้ไขพระราชบัญญัติสุรา พ.ศ. 2493 ให้โรงงานสุรากลั่นแห่งอื่น นอกเหนือจากองค์การสุราฯ ผลิตสุราสามทับออกจำหน่ายภายในประเทศได้ และลดการนำเข้าเอทานอลเกรดอุตสาหกรรม โดยให้โรงงานเอทานอลในประเทศไทย สามารถผลิตและจำหน่ายให้แก่อุตสาหกรรมอื่นได้ หรือเป็นผู้รับจ้างผลิต (Outsource) ให้แก่องค์การสุราได้ด้วยการใช้เอทานอลที่ผลิตในประเทศ

“ประภัตร”ปลื้มกลุ่มเกษตรกรข้าวอินทรีย์สุพรรณ นำร่องใช้ปุ๋ยธรรมชาติ

People Unity News : “ประภัตร”ปลื้มกลุ่มเกษตรกรข้าวอินทรีย์สุพรรณ นำร่องใช้ปุ๋ยธรรมชาติ ได้ผลตามเป้าคาดขยายวงกว้างได้รวดเร็ว

วันที่ 11 พฤศจิกายน 2562 นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมคณะ ลงพื้นที่ตรวจราชการ ณ จ.สุพรรณบุรี โดยตรวจเยี่ยมกลุ่มข้าวอินทรีย์ศรีสุพรรณ บ้านวังพลับใต้ ต.มดแดง อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี ซึ่งมีการผลิตข้าวอินทรีย์ที่ไม่ใช้สารเคมีทางการเกษตรทุกชนิด ซึ่งทำให้ข้าวมีผลผลิตที่มีคุณภาพ ปลอดสารพิษ และอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ เป็นการพัฒนาการเกษตรแบบยั่งยืนโดยมีพื้นที่ 136 ไร่ สมาชิก 14 ราย ปริมาณผลผลิตรวมของกลุ่ม 90,700 กิโลกรัม หรือเฉลี่ยประมาณ 500 กิโลกรัม/ไร่ ข้าวอินทรีย์ที่สมาชิกผลิตได้นำไปสีเพื่อบริโภคเองในครัวเรือน และจำหน่ายเป็นข้าวอินทรีย์แก่ผู้บริโภคในชุมชนและร้านค้าที่รับไปจำหน่าย

จากนี้ไปมีการคาดการณ์ว่า การใช้ปุ๋ยไร้สารเคมี จะนิยมกว้างขึ้นเรื่อยๆในหมู่เกษตรไทยอย่างรวดเร็ว ตามนโยบายของกระทรวงเกษตรฯ

เริ่มแล้ว! โครงการ“บ้านในฝัน รับปีใหม่” คลังมั่นใจกระตุ้นตลาดอสังหาฯ โค้งสุดท้ายคึกคัก

People Unity News : เริ่มแล้ว โครงการ “บ้านในฝัน รับปีใหม่” 11.11 ก.คลังร่วมกับ ธอส. และ 3 สมาคมอสังหาริมทรัพย์ ทำความฝันของผู้ที่อยากมีบ้านที่พักอาศัยเป็นของตนเองให้เป็นความจริง คลังมั่นใจกระตุ้นตลาดอสังหาฯ โค้งสุดท้ายให้คึกคัก

วันที่ 11 พ.ย.2562 นายชาญกฤช เดชวิทักษ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี (ปฎิบัติงานกระทรวงการคลัง) เปิดเผยว่า หลังจากที่กระทรวงการคลัง ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และ 3 สมาคมอสังหาริมทรัพย์ ประกอบด้วย สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย สมาคมอาคารชุดไทย สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร รวมทั้งผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายย่อยทั่วทั้งประเทศ ผนึกกำลังร่วมกันเปิดโครงการ “บ้านในฝัน รับปีใหม่” ในวันที่ 11 พฤศจิกายน (11.11) เพื่อทำความฝันของผู้ที่อยากมีบ้านเป็นของตนเองให้เป็นความจริง โดยพี่น้องประชาชนผู้สนใจซื้อที่อยู่อาศัย ในระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท เพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้ตนเอง พร้อมตอบรับแนวคิดสร้างความมั่นคงให้ครอบครัว ซึ่งเป็นการส่งเสริมการออมที่มีความสำคัญประการหนึ่ง ต่างให้การตอบรับโครงการดังกล่าวเป็นอย่างดี โดยวงเงินปล่อยกู้ของธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ล่าสุดถูกปล่อยกู้ไปแล้ว จำนวน 10,370 บาท

ทั้งนี้ โครงการ “บ้านในฝัน รับปีใหม่” ภายใต้แคมเปญ ซื้อ ปุ๊บ โอนปั๊บ รับทันที 3 สิทธิพิเศษ
สิทธิ์ที่ 1 กู้ ธอส. ดอกเบี้ยคงที่ 2.5% นาน 3 ปี วงเงิน 5 หมื่นล้านบาท หมดแล้วหมดเลย
สิทธิ์ที่ 2 ฟรีค่าโอนและค่าจดจำนอง
สิทธิ์ที่ 3 รับโปรโมชั่น ลด แลก แจก แถม พร้อมส่วนลดสุดพิเศษอลังการ (จากโครงการที่เข้าร่วม)

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โครงการต่างๆ ที่กระจายอยู่ทั่วทั้งประเทศ ซึ่งถือเป็นโปรโมชั่นพิเศษสุดยิ่งใหญ่อลังการแบบไม่เคยมีมาก่อน เพื่อส่งเสริมให้พี่น้องประชาชนทั่วประเทศมีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง สร้างหลักประกันให้ครอบครัว รวมถึงช่วยระบายสต๊อกคงค้างของผู้ประกอบการที่มีอยู่จำนวน 35,000 ยูนิต โดยกระทรวงการคลังมั่นใจว่าแคมเปญดังกล่าวจะสามารถสร้างความคึกคัก กระตุ้นยอดขาย และเร่งให้เกิดการโอนในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 62 ได้เป็นอย่างดี

ทั้งนี้ในส่วนของผู้ประกอบการ นอกจากสามารถเข้าร่วมโครงการผ่านทางสมาคมที่สังกัดอยู่แล้ว ขณะนี้ ธอส.กำลังจัดทำระบบเพื่อให้ผู้ประกอบการทั่วประเทศลงทะเบียนสมัครเข้าร่วมโครงการได้ทางออนไลน์และ ดาวน์โหลด Artwork ไปใช้ประชาสัมพันธ์การขายได้อีกทางหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องเดินทางไปที่สาขาของ ธอส.เพื่อความสะดวกรวดเร็วและลดค่าใช้จ่าย

“จอมขมังเวทย์”กระหึ่มงานหนังสหรัฐ! “จุรินทร์”นำผู้สร้างร่วม เพิ่มยอดส่งออกดิจิทัลคอนเทนท์

People Unity News : “จุรินทร์”นำกระทรวงพาณิชย์และผู้สร้างลุยอุตสากรรมภาพยนตร์ระดับโลก ขยายงานดิจิทัลคอนเทนท์ เพิ่มยอดส่งออก  

วันนี้เมื่อเวลา 15.00 น. ตรงกับวันที่ 8 พย.2562 ลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และคณะผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ พาผู้ประกอบการไทยในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ จำนวน 8 บริษัท เข้าร่วมงาน American Film Market (AFM) ระหว่างวันที่ 6-13 พ.ย. 62 ณ เมืองซานต้า มอนิกา ลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา

โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้เยี่ยมชมทั้ง 8 บูธผู้ผลิตและจำหน่ายซึ่งเป็นผู้ประกอบการภาพยนตร์ไทย นำผลงานเด่นนำมาเสนอในงาน ได้แก่ จอมขมังเวทย์ ของ บริษัท สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด Bad Genius The series ของ บริษัท จีดีเอช ห้าห้าเก้า จำกัด Khun Phaen Begins ของ บริษัท เอ็ม พิคเจอร์ส จำกัด เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีบริษัทเดอะมั้งค์ สตูดิโอ จำกัด ที่ทำ Animation และบริษัทที่ให้บริการถ่ายทำภาพยนตร์ (Production Serives) เช่น บริษัท เบนีโทน ฟิล์มส์ จำกัด เข้าร่วมงานด้วย

รายงานกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ แจ้งว่าจากการเจรจาธุรกิจทั้ง 3 วัน เกิดการเจรจาทั้งสิ้น 185 ครั้ง รวมมูลค่าการเจรจาทั้งหมด 457.56 ล้านบาท และยังดำเนินการเจรจากันต่อเนื่องไป

“ปีนี้ประเทศไทยกระทรวงพาณิชย์ได้นำพาผู้ประกอบการภาพยนตร์มาจากคาดว่ารายได้ปีนี้ไม่น้อยกว่าเดิมจากปีก่อน โดยกระทรวงพาณิชย์นำมาทุกปี และเท่าที่ดูจะเห็นได้ชัดเจนว่าภาพยนตร์ไทยและอนิเมชั่นของไทยมีพัฒนาการที่ดีและไม่แพ้ประเทศใดในโลก ประกอบกับหลังจากที่ได้ไปเยี่ยมสตูดิโอยักษ์ใหญ่มาเทียบกับประเทศไทยฝีมือคนไทยเราก็ไม่ได้แพ้ใครเรามีพัฒนาการก้าวหน้ามาก

ซึ่งกลับไปจะได้หารือแนวทางเป็นเรื่องเกี่ยวกับการส่งออกและ ภาพยนต์ ถือว่าเป็นสินค้าบริการเป็นชนิดหนึ่งที่จะสามารถนำรายได้เข้าประเทศให้ตัวเลขการส่งออกเพิ่มขึ้นได้ หลังจากที่ได้มีโอกาสพบกับผู้สร้างทุกคนเห็นว่าพัฒนาการดีทำให้สามารถจัดและเปลี่ยนประสบการณ์และกระทรวงพาณิชย์จะได้นำไปเป็นแนวบริหารนโยบายต่อไป” นายจุรินทร์ กล่าว

“จุรินทร์”รุดหารือผู้นำเข้าข้าวไทยรายใหญ่ในอเมริกา

People Unity News : “จุรินทร์”รุดหารือผู้นำเข้าข้าวไทยรายใหญ่ในอเมริกา เน้นมาตรฐานและเพิ่มยอดส่งออกด้วยคุณภาพข้าวระดับพรีเมี่ยม  

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 8 พ.ย.2562 ตามเวลาท้องถิ่นลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และคณะผู้บริหารเปิดโอกาสให้ผู้นำเข้าข้าวจากประเทศไทยเพื่อจำหน่ายในสหรัฐอเมริกาเข้าพบหารือแลกเปลี่ยนถึงอุปสรรคปัญหาและโอกาสการพัฒนาการค้าเพิ่มปริมาณการส่งออกจากประเทศไทย โดยใช้เวลาหารือกว่า 2 ชม. ตัวแทนผู้ประกอบการที่สหรัฐอเมริการายใหญ่ร่วม 13 ราย เช่น Otis MaAllister,Inc. ,Sun Lee , Asian Trading Corp, Vinh-Sanh Trading &First World, U.S Trading Co., N.A Trading, H.C Food , Chayothai LLC, American Commercial Transportation เป็นต้น

นายจุรินทร์กล่าวขอบคุณผู้ประกอบการทั้งหมดที่หลายรายเดินทางมาจากรัฐไกลๆ เพื่อมาเข้าพบหารือที่เมืองลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอเร์นีย เป็นการให้ความสำคัญต่อการหารืออย่างยิ่ง โดยปัจจุบันนี้ข้าวไทยส่งออกสหรัฐอเมริกาปีละประมาณ 500,000 ตัน โดยเฉพาะข้าวหอมมะลินั้นถือว่าอเมริกาเป็นตลาดสำคัญอันดับต้นๆ ของไทย

และในช่วง 5 ปีที่ผ่านมานี้ สหรัฐอเมริกานำเข้าข้าวหอมมะลิจากไทยเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 4.92 ไทยให้ความสำคัญกับตลาดสหรัฐและการผูกสัมพันธ์กับผู้นำเข้าข้าวและผู้ค้าข้าวมากประกอบกับราคาข้าวหอมมะลิไทยในช่วงนี้ค่อนข้างสูง ซึ่งการมาเยือนครั้งนี้จะเป็นโอกาสที่ทำให้รู้จักผู้นำเข้าเพื่อขอทราบสถานการณ์ตลาดและแนวทางความร่วมมือในการส่งเสริมการขายตลาดข้าวไทย

ปัจจุบันการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายข้าวหอมมะลิไทยร่วมกับผู้นำเข้าและห้างซูเปอร์มาร์เก็ตสำคัญทั่วประเทศสหรัฐอเมริกา ทั้งเข้าร่วมงานแสดงสินค้าสำคัญ การประชาสัมพันธ์ผ่านสถาบันสอนทำอาหาร การเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภค การประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ข้าวไทยผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย การร่วมกับร้านอาหารไทยประชาสัมพันธ์ข้าวหอมมะลิและอื่นๆ เป็นต้น

“รัฐบาลไทยให้ความสำคัญคู่ค้าทุกระดับ โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่นำเข้าข้าวและสินค้าอาหารจากไทยมาอย่างยาวนาน ทางกระทรวงพาณิชย์ก็พร้อมทำงานอย่างใกล้ชิดกับผู้ค้าทุกราย และหวังว่าจะมีโอกาสต้อนรับเสมอ จากนี้ไปเราจะเน้นการทำตลาดและทำประชาสัมพันธ์เชิงรุกมากขึ้นเพื่อส่งเสริมการบริโภคข้าวไทยให้เป็นข้าวพรีเมี่ยม เป็นข้าวคุณภาพดี” นายจุรินทร์กล่าว

คลังมอบของขวัญ”บ้านในฝัน รับปีใหม่”

People Unity News : กระทรวงการคลังลั่น คนไทยทุกคนต้องมีบ้านเป็นของตัวเอง มอบของขวัญปีใหม่สุดอลังการ ผ่านโครงการ “บ้านในฝัน รับปีใหม่” พร้อมผนึกกำลังธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) 3 สมาคมอสังหาฯ และผู้ประกอบการอสังหาฯ ทั่วประเทศ เปิดตัวโครงการ “บ้านในฝัน รับปีใหม่” จัดแคมเปญลดแลกแจกแถมกระหน่ำส่งท้ายปี ดีเดย์ 11.11

วันที่ 8 พฤศจิกายน 2562 นายชาญกฤช เดชวิทักษ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี (ปฎิบัติงานกระทรวงการคลัง) เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังขอความร่วมมือธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ผู้บริหาร 3 สมาคมอสังหาฯ ประกอบด้วย สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย สมาคมอาคารชุดไทย สมาคมบ้านจัดสรร รวมทั้งผู้ประกอบการอสังหาฯ รายย่อย ร่วมสานฝันของพี่น้องประชาชนคนไทย เพื่อให้พี่น้องประชาชนมีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง โดยได้ผนึกกำลังเพื่อจัดทำโครงการ “บ้านในฝัน รับปีใหม่” ด้วยการออกโปรโมชั่นยิ่งใหญ่สุดอลังการส่งท้ายปี 2562 ชนิดไม่เคยมีมาก่อน โดยใช้สโลแกน “ซื้อปุ๊บ โอนปั๊บ รับทันที 3 สิทธิพิเศษ” สิทธิ์ที่ 1. กู้ ธอส. ดอกเบี้ยคงที่ 2.5% นาน 3 ปี วงเงิน 5 หมื่นล้านบาท หมดแล้วหมดเลย สิทธิ์ที่ 2. ฟรีทันที ค่าโอนและค่าจดจำนอง และสิทธิ์ที่ 3. รับโปรโมขั่น ลดแลกแจกแถม พร้อมส่วนลดพิเศษสุดอลังการจากโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่เข้าร่วม ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม อาคารพาณิชย์ และคอนโดมิเนียม ทั้งนี้กำหนดให้เฉพาะที่อยู่อาศัยวงเงินไม่เกิน 3 ล้านบาท

โครงการ “บ้านในฝัน รับปีใหม่” จะเริ่มตั้งแต่วันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2562 เท่านั้น โดยวัตถุประสงค์หลักของกระทรวงการคลัง เพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับพี่น้องประชาชน ให้มีบ้านเป็นของตัวเอง สร้างความมั่นคงให้ครอบครัว ซึ่งเป็นการส่งเสริมการออมที่มีความสำคัญประการหนึ่ง โดยตั้งเป้าอยู่ที่ 35,000 ยูนิต ซึ่งผู้ประกอบการภาคอสังหาริมทรัพย์ทุกรายสามารถเข้าร่วมโครงการได้พร้อมกันทั่วประเทศ โดยติดต่อลงทะเบียนผ่านธนาคารอาคารสงเคราะห์ที่มีสาขากระจายอยู่ตามพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ พร้อมสามารถขอดาวน์โหลดไฟล์โครงการ “บ้านในฝัน รับปีใหม่” เพื่อทำป้ายประชาสัมพันธ์ติดหน้าโครงการได้ทันที

ทั้งนี้หวังว่าแคมเปญดังกล่าวจะเป็นที่สนใจของพี่น้องประชาชนที่ยังไม่มีและกำลังมองหาที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง สามารถกระตุ้นยอดขายและเร่งให้เกิดการโอนในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ได้เป็นอย่างดี อันจะช่วยกระตุ้นให้ธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ ธุรกิจก่อสร้าง และธุรกิจพัฒนาการคมนาคมมีความคึกคักมากขึ้น และช่วยให้เม็ดเงินหมุนเวียนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจของประเทศได้อีกทางหนึ่ง

Verified by ExactMetrics